--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

“วรเจตน์ ปะทะ สมเกียรติ” วิวาทะผ่านจอทีวีไทย โต้คดียึดทรัพย์ทักษิณ.ผู้มีจิตใจเป็นธรรม ย่อมเข้าใจได้


ปลายเดือนที่แล้ว เว็ปไซต์ ประชาชาติธุรกิจ กลายเป็นเวทีสุดฮอต ในการโต้เถียงทางปัญญาว่าด้วยเรื่อง คดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 4.6 หมื่นล้าน บัดนี้ ได้กลายเป็นวิวาทะ ที่ผู้คนให้ความสนใจ อย่างถล่มทลาย จากเดิมที่เป็นบทความทางวิชาการที่แห้งแล้ง วันนี้ กลายเป็นหัวข้อที่มีคนถกเถียงกันทั้งเมือง

เริ่ม จากบทวิเคราะห์ของ ดร. วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเพื่อนอาจารย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ที่ถูก ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ นักเศรษฐศาสตร์ จาก ทีดีอาร์ไอ. ลูบคม และมี นายประสงค์ เลิศรัตน์วิสุทธ์ คอลัมนิสต์ใหญ่มติชน นิติศาสตร์บัณฑิต ร่วมแจม ทำให้เกิดความคึกคักในการลับคมปัญญา

ก่อนหน้านี้ มีข้อเสนอผ่าน มติชนสุดสัปดาห์ ให้ คู่ของ ดร. วรเจตน์ และ ดร. สมเกียรติ โต้กันบนเวทีเดียวกัน และประเด็นเดียวกัน ล่าสุด ทีวีไทย ทาบคู่วิวาทะไปขึ้นเวทีเดียวกัน ในช่วงสัปดาห์หน้า

ขณะที่ การโต้ตอบระหว่าง ดร. วรเจตน์ กับ ประสงค์ ก็ยังดำเนินอยู่

บ่ายวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายนที่ผ่านมา ดร. วรเจตน์ ฝากบทความถึงนายประสงค์ ในหัวเรื่อง ความ (ไม่) สำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงในคดียึดทรัพย์ทั้งคดี

งานนี้ ไม่ว่า จะเป็นแฟน ดร. วรเจตน์ หรือ เป็นแฟน คอลัมภ์ นายประสงค์ ก็ต้องอ่าน ....

@ ดร. วรเจตน์ ตอบ นาย ประสงค์

แม้ผมจะได้อธิบายความสัมพันธ์ของประเด็นการคงไว้หรือไม่คงไว้ซึ่งการถือครองหุ้นในชินคอร์ปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับประเด็นที่ว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อกล่าวหาที่ฟ้องร้องกันในคดียึดทรัพย์มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ในบทความตอบคุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ กรณีคำพิพากษายึดทรัพย์ประเด็น “ซุกหุ้น” และประเด็นดาวเทียม “ไอพีสตาร์” อย่างละเอียดพอสมควรแล้ว

แต่เมื่อได้อ่านบทความ “ความสำคัญของประเด็น “ซุกหุ้น” ต่อคดียึดทรัพย์” ที่คุณประสงค์เผยแพร่ในมติชนออนไลน์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2553 อีกครั้ง

ผมพบว่าคุณประสงค์ยังไม่พยายามเข้าใจประเด็นที่ผมนำเสนอ และในข้อเขียนดังกล่าวคุณประสงค์ยังแสดงความเป็นห่วงว่า สาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิพากษ์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรี

@ คุณประสงค์(ครับ) วางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ

ถ้าคุณประสงค์อ่านบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างวางอุเบกขาและอ่านอย่างช้าๆ

คุณประสงค์จะเห็นว่าในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นการถือครองหุ้นกับประเด็นว่าการกระทำของคุณทักษิณเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่นั้น กลุ่มห้าอาจารย์เขียนว่า “...อย่างไรก็ตามเมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว ประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญใดๆต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดีว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในส่วนที่เกี่ยวกับสัญญาสัมปทานโทรคมนาคม สัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ตลอดจนกรณีการกู้เงินของรัฐบาลสหภาพพม่าจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่ ดังที่จะได้วิเคราะห์ต่อไปนี้...” (ข้อความที่ขีดเส้นใต้เป็นข้อความที่ผมต้องการเน้น เพื่อจะอธิบายต่อไป)

เรื่องนี้เป็นอย่างที่ผมได้อธิบายไปแล้วว่า ถ้าวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปเสียแล้ว ก็เป็นอันไม่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์หรือไม่

แต่หากวินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ปจริง ก็ยังไม่สามารถจะพิพากษาให้ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากไม่ปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้กระทำการ และการกระทำนั้นมีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ซึ่งพอจะถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ไม่สมควรทำให้ร่ำรวยผิดปกติ

นั่นคือถ้าจะพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องได้ความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และ มีการกระทำที่ทำให้มีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปกติหรือมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควร สืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งสองประเด็นนี้แม้จะเกี่ยวเนื่องกันในกรณีที่จะพิพากษายึดทรัพย์ แต่ก็เป็นคนละประเด็นกัน ดังที่ผมได้ชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วในบทความที่เขียนตอบคุณประสงค์

@ ถือหุ้นหรือไม่ถือหุ้น ก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาในเนื้อหาของคดี

คุณประสงค์พึงสังเกตประโยคที่ว่า “เมื่อคณาจารย์ทั้งห้าได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ซึ่งหมายความว่าเมื่อกลุ่มห้าอาจารย์ได้อ่านคำพิพากษาทั้งคดีแล้ว เห็นว่าการถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีผลใดๆกับการพิจารณาในเนื้อหาของคดี

กล่าวคือ ไม่ว่าจะถือครองหรือไม่ถือครองหุ้นชินคอร์ป กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วในคดี ไม่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ใดๆตามข้อกล่าวหา

นั่นคือต่อให้ถือว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงถือครองไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงในทางเนื้อหาแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์ก็เห็นว่าทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ และการคงไว้ซึ่งหุ้นก็จะมีผลในทางกฎหมายเป็นประการอื่น ไม่ใช่การยึดทรัพย์

การที่คุณประสงค์เขียนว่า “ด้วยตรรกะเดียวกัน ถ้าสมมติว่า กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอื้อประโยชน์ให้แก่ชินคอร์ป (ซึ่งเป็นของบุคคลอื่น) แต่เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมิได้ “ซุกหุ้น” ก็ไม่อาจยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณได้เช่นเดียวกัน...” จึงเป็นการสมมติแทนกลุ่มห้าอาจารย์ ซึ่งไม่ถูกต้อง

เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ “ได้พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแห่งคดีโดยตลอดแล้ว” ไม่ได้เห็นเช่นนั้น กล่าวคือ เมื่อพิจารณาข้อกล่าวหา และข้อต่อสู้ซึ่งปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาฯทั้งหมดแล้ว กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าไม่มีการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ปรากฏข้อเท็จจริงในคดีที่มีลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์แต่อย่างใด กลุ่มห้าอาจารย์จึงเห็นว่าประเด็นว่ามีการถือหุ้นแทนกันหรือไม่ ไม่มีนัยสำคัญต่อการพิจารณาในทางเนื้อหาของคดี

แน่นอนว่าถ้ากลุ่มห้าอาจารย์พิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้ว เห็นว่าการกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการเอื้อประโยชน์ กลุ่มห้าอาจารย์ก็จำต้องพิเคราะห์ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” ให้ละเอียดและประเด็นนี้ย่อมจะเป็นประเด็นที่มีนัยสำคัญในการวินิจฉัย แต่เมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยตลอดแล้ว กลุ่มอาจารย์ไม่เห็นเช่นนั้น ประเด็นเรื่อง “ซุกหุ้น” จึงไม่มีนัยสำคัญดังที่ได้อธิบายมาละเอียดพอสมควรแล้ว

คุณประสงค์สามารถโต้แย้งในทางตรรกะอย่างใดก็ได้ตามที่คุณประสงค์ต้องการ แต่จะสมมติประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์วินิจฉัยเป็นยุติไม่ตรงตามการสรุปของกลุ่มห้าอาจารย์ เพื่อใช้เป็นฐานกลับมาโต้แย้งกลุ่มห้าอาจารย์ไม่ได้

ผมมีข้อสังเกตว่า การพิเคราะห์ของคุณประสงค์อาจมีข้ออ่อนให้ผู้อื่นโต้แย้งได้ว่าคุณประสงค์เองมุ่งหมายที่จะให้มีการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะยึดทรัพย์ได้นั้นจะต้องปรากฏในเบื้องต้นก่อนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป คุณประสงค์จึงจำเป็นต้องวินิจฉัยให้ได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป และเมื่อวินิจฉัยเช่นนั้นได้แล้ว ก็ยังไม่พอ ยังจะต้องชี้ต่อไปว่า พ.ต.ท.ทักษิณ กระทำการที่เป็นการเอื้อประโยชน์ด้วย ผมเองไม่คิดว่าคุณประสงค์มีความมุ่งหมายเช่นนั้น แต่สาธารณชนก็อาจเข้าใจเจตนาของคุณประสงค์ไปเช่นนั้นได้

ทำไมสาธารณชนอาจจะเห็นเช่นนั้นได้ คำตอบย่อมอยู่ที่วิธีการนำเสนอของคุณประสงค์ เพราะแม้คุณประสงค์จะกล่าวว่าในการเขียนวิเคราะห์คำพิพากษาคดียึดทรัพย์มีวัตถุประสงค์ (หลัก) เพียงเพื่อนำคำพิพากษาซึ่งมีความยาวและสลับซับซ้อน มาแยกแยะเป็นประเด็นๆให้อ่านง่ายขึ้นเท่านั้น มิได้มุ่งวิพากษ์ในเชิงเหตุผลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาก็ตาม

แต่ถ้าดูจากลักษณะการพาดหัวเช่น “วิเคราะห์คำพิพากษายึดทรัพย์ ลักไก่ยิงดาวเทียมไอพีสตาร์...” สาธารณชนอาจมองได้ว่าคุณประสงค์ได้แสดงความเห็นในทางลบแล้ว คล้ายกับว่ามีการลับลอบส่งดาวเทียมขึ้นไป ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงในคดีก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ผมได้เรียนให้ทราบแล้วว่าประเด็นเรื่องการถือครองหุ้นนั้นเป็นประเด็นหลักของคดีในลักษณะอื่น ซึ่งผลของการฝ่าฝืนเป็นอีกลักษณะหนึ่ง ไม่ใช่การยึดทรัพย์ ถ้าคุณประสงค์จะลองวางประเด็นเรื่องซุกหุ้นไว้ก่อน แล้วพิเคราะห์การกระทำในทางเนื้อหาล้วนๆ คุณประสงค์อาจจะได้มุมมองใหม่ๆในคดีนี้

คุณประสงค์อาจจะแย้งว่า การชี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังคงไว้ซึ่งหุ้นในชินคอร์ป จะเป็นเครื่องส่อแสดงที่สำคัญที่ชี้ให้เห็นมูลเหตุจูงใจในการกระทำการเพื่อประโยชน์ของตน

ผมเห็นว่าเรื่องนี้คงมีผลเฉพาะในทางกฎหมายที่จะทำให้ยึดทรัพย์ได้เท่านั้น ในทางความเป็นจริง การที่หุ้นเป็นของตนเอง หรือเป็นของบุตรหรือญาติใกล้ชิด ย่อมไม่ต่างกันมากนัก ถ้าจะเอื้อประโยชน์ก็เอื้อประโยชน์ได้เหมือนกัน แทบจะไม่แตกต่างกันเลยในแง่ของมูลเหตุจูงใจในการกระทำ

ในมุมมองของผมซึ่งคิดประเด็นเหล่านี้มาแล้วอย่างละเอียดพอสมควร ผมได้พิเคราะห์เนื้อหาของคดี และเหตุผลของการดำเนินการต่างๆตามที่มีการกล่าวหา

ผมเห็นว่าการกระทำในทุกกรณีไม่ว่าเป็นเรื่องโทรคมนาคม ดาวเทียมไอพีสตาร์ หรือการให้เงินกู้แก้รัฐบาลสหภาพพม่าที่ปรากฏในคดียึดทรัพย์ เป็นการกระทำที่มีเหตุผลอธิบายในทางกฎหมายได้ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผมเห็นด้วยกับวิธีการในการดำเนินงานดังกล่าวทุกประการในทางนโยบายหรือในทางการเมืองของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ประเด็นต่างๆเหล่านี้หากคุณประสงค์เห็นต่างออกไป เราก็สามารถอภิปรายโต้แย้งกันได้

สำหรับประเด็นที่คุณประสงค์กังวลว่าสาธารณชนอาจเข้าใจว่าบทวิเคราะห์ที่กลุ่มห้าอาจารย์นิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ทำขึ้นนั้นเป็นไปเพื่อช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะล้วนแต่กล่าวถึงสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่เว้นที่จะกล่าวถึงสิ่งที่เป็นโทษกับอดีตนายกรัฐมนตรีนั้น

ผมขอเรียนว่า อันที่จริงแล้ว มีอีกหลายประเด็นที่กลุ่มห้าอาจารย์เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับการมีผลบังคับเป็นการเฉพาะของประกาศ คปค. อำนาจในการดำเนินการไต่สวนต่อไปของ คตส.หลังจากที่รัฐธรรมนูญฯ 2550 ใช้บังคับแล้ว อำนาจในการดำเนินการของ ปปช.ที่รับเรื่องมาจาก คตส. ฯลฯ

แต่กลุ่มห้าอาจารย์ก็ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นเหล่านี้ไว้ในบทวิเคราะห์ เพราะกลุ่มห้าอาจารย์ต้องการเน้นไปที่ประเด็นเนื้อหาของคดีซึ่งแม้จะมีความซับซ้อนอยู่บ้าง

แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่บุคคลที่มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ มีจิตใจที่เป็นธรรม จะไม่สามารถเข้าใจได้ เว้นแต่จะไม่พยายามเข้าใจ

@ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้

สิ่งที่กลุ่มห้าอาจารย์ต้องการก็คือให้สังคมได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงในคดี ให้วงการนิติศาสตร์ได้ถกเถียงกันอย่างตรงไปตรงมา บนพื้นฐานของหลักวิชา ซึ่งหากการกระทำด้วยวัตถุประสงค์ดังกล่าวจะทำให้ใครคิดไปในทางร้าย กลุ่มห้าอาจารย์ก็สุดปัญญาที่จะห้ามได้

และผมก็ขอบคุณคุณประสงค์ด้วยความจริงใจที่เชื่อว่าการที่กลุ่มห้าอาจารย์ออกบทวิเคราะห์ในเรื่องดังกล่าวนี้ เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ใจเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนและวงวิชาการนิติศาสตร์

หากสาธารณชนพิจารณาบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์อย่างมีโยนิโสมนสิการ คือ ทำให้ให้แยบคาย พิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วน

มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า แยกแยะพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบ ย่อมจะเห็นได้โดยปราศจากข้อกังขาเลยว่าบทวิเคราะห์ดังกล่าวได้สรุปข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญและตลอดจนความเห็นของศาลในคำพิพากษาอย่างตรงไปตรงมาซึ่งหลายกรณีก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ใดๆกับ พ.ต.ท.ทักษิณ จากนั้นจึงได้แสดงความเห็นของกลุ่มอาจารย์ว่าเราเห็นว่าอย่างไร มีแง่มุมที่เห็นแตกต่างจากศาลอย่างไร

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่จดจารอยู่ในใจของกลุ่มห้าอาจารย์ แม้ว่าการวิเคราะห์คำพิพากษาในคดียึดทรัพย์นี้จะเสี่ยงต่อการเข้าใจผิด การกล่าวหาว่าร้าย การตำหนิประณาม จากผู้ที่เห็นต่าง ในสังคมที่ดูเหมือนว่าพื้นที่ของเหตุผลจะหดแคบลงไปทุกทีนี้


ที่มา. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************

ว่าด้วย เรื่อง ไพร่ ของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ .....ตรงเกินไปจนแสนระคายเคือง

เสื้อแดงบนถนนราชดำเนินและถนนราชประสงค์ เรียกตัวเองว่า ไพร่ เหตุใด คำว่า ไพร่ กลายเป็นความภาคภูมิใจ ไปได้ เสื้อยืดยอดนิยม สกรีน คำว่า ไพร่ บนหน้าอก ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นักธุรกิจหมื่นล้านแห่งไทยซัมมิท ก็นิยามตัวเองว่า เป็นไพร่ ล่าสุด “นิธิ เอียวศรีวงศ์” ฟันธงว่า คำนี้ มันตรงประเด็นเกินไปจนแสนระคายเคือง


ในคอลัมภ์ของ”นิธิ เอียวศรีวงศ์”นักวิชาการอิสระ เขียน เรื่อง ชื่อสั้นๆ ว่า “ไพร่” คำที่มีความหมายลึก แห่งการต่อสู้ เราสรรหา มาให้ท่านผู้อ่านพินิจ

กลุ่มผู้ประท้วง นปช. นิยามตนเองว่าเป็น "ไพร่" ทำไมเขาจึงเลือกคำนี้ ผมไม่ทราบ แต่นับว่าน่าสนใจแก่ผมอย่างมาก เพราะความหมายของคำนี้ในภาษาไทย คลี่คลายไปสู่ความหมายเชิง "ประท้วง" ต่อสังคมที่ถือเอาลำดับขั้นของสถานภาพอย่างเคร่งครัดไม่นานมานี้เอง ในขณะที่ความหมายก่อนหน้านี้คือการให้ความชอบธรรมแก่การแบ่งสถานภาพก็ยังอยู่ และถูกใช้ในอีกเงื่อนไขหนึ่งอยู่บ้าง

เมื่อผู้ปราศรัยบนเวที ชี้หน้าผู้ร่วมชุมนุมทุกคนว่าพวกเราล้วนเป็น "ไพร่" ผู้ร่วมชุมนุมก็ไม่รู้สึกโกรธว่าถูกเหยียดให้ต่ำ แสดงว่าพวกเขารับรู้ความหมายใหม่ของคำนี้อยู่แล้ว เป็นอีกหนึ่งในประจักษ์พยานว่า คนเสื้อแดงไม่ได้เป็นบ้านนอกขอกตื้อ ที่ตามไม่ทันความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในสังคมไทย

ความหมายเดิมจริงๆ ของคำนี้ในภาษาไทยอาจพอแปลเทียบกับคำว่า "เสรีชน" ได้กระมัง เพราะในรัฐไทดำของลุ่มน้ำดำ (ซึ่งเป็นรูปแบบที่เชื่อกันว่ามีลักษณะเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐไทย-ลาว) เขาแบ่งประชาชนออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกคือพวก "ไท-ไต" ซึ่งมีสิทธิ์ถืออาวุธหรือเป็นทหาร, ถือครองที่ดินส่วนที่เป็นที่ราบลุ่ม, และใช้เครื่องมือการเกษตรบางชนิดได้ กลุ่มนี้ถูกเรียกว่า "ไป" หรือ "ปาย" ซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นคำเดียวกับ "ไพร่" ในภาษาไทยกลางนั้นเอง

อีกกลุ่มหนึ่งคือพวกที่เรียกรวมๆ ว่า "ข้า" คือกลุ่มคนที่ต่างชาติพันธุ์ออกไป และมีสิทธิ์ทางสังคม, เศรษฐกิจและการเมืองด้อยกว่า

อย่างไรก็ตาม "ไพร่" ที่ปรากฏในสมัยอยุธยา คงเรียกว่า "เสรีชน" ลำบากแล้วล่ะครับ ฝรั่งจัดคนเหล่านี้ไว้เป็นกลุ่มหนึ่งในพวก bondsmen คือคนที่มีพันธะบางอย่างกับคนอื่น

คนอื่นซึ่งไพร่ต้องมีพันธะด้วยนั้น เรียกรวมๆ ว่า "มูลนาย" ประกอบด้วยคนหลายประเภท นับตั้งแต่พระเจ้าแผ่นดิน, ราชตระกูล, ขุนนาง, เจ้าเมืองท้องถิ่น, และคนที่เจ้าเมืองตั้งขึ้นเป็นขุนนางท้องถิ่น ไพร่มีภาระหน้าที่จะต้องส่งส่วยแก่มูลนาย ในรูปของส่วยแรงงาน หรือส่วยสินค้าก็ตาม ถ้าส่งให้หลวงก็เรียกว่าไพร่หลวง ถ้าส่งให้มูลนายอื่นก็เรียกว่าไพร่สม

พันธะอันนี้หมดไปในทางทฤษฎี เมื่อ ร.5 ทรงออก พ.ร.บ. เกณฑ์ทหารเข้ามาแทนที่ หมายความว่า เฉพาะผู้ชายเท่านั้นที่ยังมีพันธะต้องเป็นทหารให้แก่กองทัพของหลวงในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วก็กลายเป็น "เสรีชน" ไปตลอดชีวิต แต่ในทางปฏิบัติ รัฐหรือเจ้าหน้าที่รัฐยังใช้การเกณฑ์แรงงาน สืบมาโดยเปิดเผยหรือโดยการ "ขอร้อง" ทั้งทางตรงและทางอ้อมจนถึงระยะแรกๆ ของการพัฒนาหลังการยึดอำนาจของ จอมพลสฤษฎิ์ ธนะรัชต์ แล้ว

ฉะนั้น ว่ากันตามทฤษฎี ก็ไม่มีไพร่ในสังคมไทยอีกแล้วนับตั้งแต่นั้นมา แต่คำนี้ก็ยังถูกใช้อยู่ต่อมา หากในความหมายใหม่ หรือในจุดเน้นใหม่

ขอให้สังเกตนะครับว่า คู่ตรงข้ามของ "ไพร่" ในกฏหมายตราสามดวงที่ใช้กันมาตั้งแต่อยุธยาจนถึง ร.5 นั้น คือ "มูลนาย" ทั้งสองฝ่ายนี้ถึงจะร่วมวัฒนธรรมใหญ่กันก็จริง แต่ในรายละเอียดแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่รู้จักความละเอียดซับซ้อนของวัฒนธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ดูละครกันคนละเรื่องและคนละแบบ, ผลิตและใช้วรรณกรรมกันคนละชนิด, ฟังเพลงก็คนละประเภทกัน, แม้แต่เนื้อหาของพระพุทธศาสนาที่ต่างฝ่ายต่างนับถือก็ไม่สู้จะเหมือนกันนัก ฯลฯ

ผมไม่แน่ใจว่า ต่างมีสำนึกเหยียดหยามวัฒนธรรมของกันและกันหรือไม่ เพราะในชีวิตจริงแล้ว ต่างอยู่ในโลกของตน มีความจำเป็นล่วงเข้ามาในโลกของอีกฝ่ายไม่มากนัก แต่แน่นอนว่ามีหลักฐานมากมายที่ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไพร่ล่วงเข้ามาในโลกของมูลนาย วัฒนธรรมของไพร่ก็เป็นสิ่งน่าหัวร่อเยาะ หรือน่าเหยียดหยาม นับตั้งแต่อาหารการกิน, การแต่งเนื้อแต่งตัว, มารยาท, ไปจนถึงคุณค่าที่ยึดถือ

แต่ชีวิตที่ถูกแยกออกเป็นสองโลกนี้เริ่มอันตรธานไปในการปฏิรูปของ ร.5 ซึ่งยังสืบทอดอำนาจทางการเมือง, เศรษฐกิจและวัฒนธรรมไว้ในหมู่พวก "มูลนาย" (หรือกลุ่มหนึ่งของพวก "มูลนาย") เหมือนเดิม แต่บัดนี้เปลี่ยนคำที่ใช้เรียกจาก "มูลนาย" ให้กลายเป็น "ผู้ดี" แทน

คู่ตรงข้ามของไพร่ในภาษาไทยจึงกลายเป็น "ผู้ดี" ไป

ผมขอยกตัวอย่างการใช้คำว่า "ไพร่" ในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นตัวอย่าง

สำนวนว่า "ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร" นั้นมีความหมายอย่างไร ก.ศ.ร. กุหลาบไปเข้าใจว่า เมื่อพระอัครมเหสีจะประสูติพระราชโอรส-ธิดา ก็โปรดให้ตั้งพระมหาเศวตรฉัตรไว้เหนือที่ซึ่งจะมีพระประสูติกาล ฉะนั้น เมื่อสมเด็จฯ พระองค์นั้นทรงพระนิพนธ์พงศาวดารรัชกาลที่ 5 จึงได้ทรงอธิบายว่า ที่เข้าใจเช่นนั้นเป็นเพราะ ก.ศ.ร. กุหลาบ (ในพระนิพนธ์ไม่ได้ออกชื่อ) เป็น "ไพร่" ไม่รู้ธรรมเนียมเจ้า เพราะความหมายของสำนวนนี้ก็คือ ทรงพระราชสมภพเมื่อพระราชบิดาได้เสวยราชสมบัติแล้วเท่านั้น

(เช่น ร.2 ไม่ได้ทรงพระราชสมภพภายใต้พระมหาเศวตรฉัตร เพราะขณะนั้นพระราชบิดายังมิได้ครองราชย์ แต่ ร.5 ใช่ เพราะพระราชบิดาได้ขึ้นครองราชสมบัติแล้ว)

อย่างที่รู้กันอยู่แล้วนะครับว่า ก.ศ.ร. กุหลาบ ซึ่งเป็นสามัญชน ล่วงเข้ามาในพื้นที่ของ "ผู้ดี" คือพื้นที่ "วิชาการ" ซึ่ง "ผู้ดี" ในสมัยนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อันคนซึ่งปราศจากคุณสมบัติของ "ผู้ดี" จะเข้ามาไม่ได้

คุณสมบัตินั้นคือการศึกษา (ในความหมายกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะประกาศนียบัตร) อย่างหนึ่ง และความรอบรู้เจนจัดในขนบธรรมเนียมประเพณีของ "ผู้ดี" อีกอย่างหนึ่ง

ความหมายของ "ไพร่" จึงเคลื่อนไปจากประเภทของบุคคลที่ไม่ใช่ "มูลนาย" มาเป็นคนที่ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนมารยาทที่ถือกันว่าเป็นมารยาท "ผู้ดี"

ความหมายนี้ยิ่งมีพลังมากขึ้น เมื่อความหมายของคำว่า "ผู้ดี" เองก็เริ่มเคลื่อนจากกำเนิด มาสู่คุณสมบัติอื่นซึ่งมนุษย์สามารถแสวงหาไขว่คว้ามาเป็นของตนได้ เช่นมารยาท

หนังสือ "สมบัติผู้ดี" พูดชัดเจนไปเลยว่า กำเนิดไม่ใช่เงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ของ "ผู้ดี" แต่มารยาทและความประพฤติซึ่งอาจได้มาจากการอบรมสั่งสอนต่างหากที่จะแยก "ผู้ดี" ให้ออกจาก "ไพร่"

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ความทันสมัยของไทย เป็นกระบวนการที่พยายามจะสืบทอดอำนาจของ "มูลนาย" ไว้ให้คงอยู่ในระบบใหม่ด้วย คำว่า "ผู้ดี" ซึ่งแม้จะไม่เน้นในเรื่องกำเนิด แต่ความหมายถึงอภิสิทธิชนอันมาแต่กำเนิดก็ยังแฝงอยู่ในคำนี้ เพราะคนที่จะเป็น "ผู้ดี" ได้ ก็ต้องเติบโตมาในวัฒนธรรมมูลนาย, ได้รับการศึกษาแผนใหม่ซึ่งมีต้นทุนไม่น้อย อีกทั้งต้องมีอิทธิพลที่จะดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานอันเป็นที่นับหน้าถือตาด้วย

"ผู้ดี"จึงหมายถึงคนมีมารยาทอันงามและเป็นอภิสิทธิชน ในขณะที่ "ไพร่" ซึ่งเป็นตรงกันข้าม คือคนที่หยาบคาย, เป็นสามัญชนคนธรรมดา, ไม่มีอภิสิทธิ์ หรือว่ากันที่จริงแม้แต่สิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะพลเมืองก็มีไม่เต็ม

และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ถูกใช้ในความหมายเชิงประท้วง และผมคิดว่าหนึ่งในคนที่ทำให้ความหมายนี้ขยายไปจนเป็นที่รับรู้กันอย่างมากนั้น คือ คุณสุจิตต์ วงษ์เทศ สักสามทศวรรษมาแล้ว ที่คุณสุจิตต์แกล้งใช้คำนี้ในงานเขียนของตนหลายชิ้น (เช่น เสภาไพร่) จนกระทั่ง ใครๆ ก็สามารถประกาศตัวเป็นไพร่ได้ หากต้องการจะเน้นความเสียเปรียบ หรือความต่ำต้อยของตนเองอันเกิดจากระบบแห่งความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

และไพร่ในความหมายนี้แหละครับที่ระคายหูชนชั้นสูง เพราะเท่ากับย้ำความเป็นอภิสิทธิชนของพวกเขา ผมทราบมาว่าบางกลุ่มของชนชั้นสูงไม่อยากให้ใช้คำ "ไพร่" เอาเลย ยกเว้นแต่จะใช้เป็นศัพท์วิชาการ เพื่ออธิบายโครงสร้างสังคมไทยในอดีต

แต่ "ไพร่" ก็เหมือนคำในภาษาทั่วไป คือมีชีวิตของมันเอง หากไม่ตายหรือถูกเลิกใช้ไปเสีย ก็เคลื่อนคลายความหมายไปได้เรื่อยๆ ทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ในปัจจุบันหากไม่ใช้ในความหมายของศัพท์วิชาการแล้ว "ไพร่" มักมีความหมายในเชิงประท้วงหรือประชดอย่างนี้แหละครับ

"ไพร่" ในความหมายว่าไร้มารยาทและไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีเสียอีก ผมกลับไม่ค่อยได้ยินใครใช้

ดังนั้น เมื่อผู้ประท้วงเสื้อแดงเลือกคำว่า "ไพร่" มาใช้เรียกกลุ่มของตนเอง ผมจึงเห็นว่าเป็นการเลือกคำที่ชาญฉลาด เพราะ "ไพร่" คำเดียว แทนประเด็นที่เขาชุมนุมกันได้แทบหมด ไม่ว่าจะเป็นความอยุติธรรม, สองมาตรฐาน หรือความเหลื่อมล้ำที่เกิดจากการรักษาผลประโยชน์ตนเองอย่างมืดบอดของเหล่าอภิสิทธิชน

ก็จริงหรอกครับ คุณทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นวีรบุรุษของคนเสื้อแดงนั้น ก็เป็นอภิสิทธิชนคนหนึ่ง แต่ในทัศนะของคนเสื้อแดง คุณทักษิณเป็นอภิสิทธิชนที่ตกกระป๋อง เพราะระบบที่ไม่ยุติธรรม, สองมาตรฐาน และความเหลื่อมล้ำ อันเป็นระบบที่ทำให้ผู้ประท้วงต้องเป็น "ไพร่"

ยิ่งถ้ามองไปที่ "วาทกรรม" ของไพร่-ผู้ดี ไม่ใช่มองไปที่คำ ผมคิดว่ายิ่งตรงกับประเด็นการประท้วงมากขึ้น วาทกรรมคือข้อสรุปที่สมมติว่าเป็น "ความจริง" อันเกิดขึ้นจากชุดของเหตุผลและข้อเท็จจริงหนึ่ง วาทกรรม "ไพร่-ผู้ดี" ของวัฒนธรรมไทยนั้น คือการแบ่งสิทธิอย่างไม่เท่าเทียมกัน ระหว่างคนที่สามารถสร้างสถานภาพอันสูงได้ผ่านการศึกษา กับคนที่ไม่สามารถทำได้อย่างนั้น

และก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่นะครับ โอกาสของการศึกษานั้นกระจายไปในสังคมไทยอย่างเป็นธรรมหรือไม่เพียงใด หรือการศึกษาเป็นเพียงเครื่องมืออันหนึ่งในการสืบทอดสถานภาพแห่งอภิสิทธิชนจากชั่วอายุคนหนึ่งไปสู่อีกชั่วอายุคนหนึ่งกันแน่ (สถานภาพที่สามารถสืบทอดถึงลูกหลานได้ก็คือ "ชนชั้น")

คนที่สะพานผ่านฟ้าฯ ใช้คำว่า "ไพร่" ได้ตรงประเด็นเป๊ะ จะผิดอยู่บ้างก็คือตรงเกินไปจนแสนระคายเคือ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************

***รัฐธรรมนูญลับลวงพราง***

ปีสองสี่เจ็ดห้า นานมา
ขอเปลี่ยนอำนาจมา ต่ำใต้
ปกเกล้าปิ่นประชา มอบทั่ว ชนนา
เลือกแต่งตัวแทนไว้ ร่วมสร้างรัฐบาล

ใจเบิกบานไพร่ฟ้า แดนสยาม
ชนชื่นธรรมนูญงาม ก่อเกื้อ
ตัวแทนทั่วเขตคาม เดินสู่ สภานา
ถ่ทไถ้ภ่ษีเผื้อ แต่งสร้างเมืองงาม

ยามราษฎร์ทุกข์เสื่อมเซร้า วิบัติ
บอกแก่ตัวแทนรัฐ ป่วยด้วย
รัฐบาลท่านผันผัด พูดผ่อน
งบบ่พอรอฉ้วย เมื่อหน้าเงินพอ

สอสอมันต่ำช้า รานกู
ปฏิวัติมันตกคู หยุดยั้ง
นายทหารใหญ่เป็นครู ครอบทั่ว
รบไล่รุกฉีกทั้ง ถ่มทิ้งธรรมนูญ

อาดูรมาเนิ่นช้า ประชา
พบแต่ความอัปรา พ่ายแฟ้
ธิปไตยแย่งไปมา คิดเบื่อ
ราษฎร์บ่นขวนกันแก้ แต่ได้ลวงพราง

รัฐธรรมนูญนี่นี้ ผีสาว
เขียนแต่งลวงอำพราง ชั่วช้า
การเมืองอ่อนเปราะบาง ตายง่าย
ยุบฆ่าพรรคมันถ้า เก่งท้าอมาตย์ชน


by ปติตันขุนทด
************************************************

"เสธ.แดง" ลั่น เสื้อแดงสู้ไม่ถอย ท้าทหารสลาย

พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประกาศให้กลุ่มคนเสื้อแดงออกจากแยกราชประสงค์ว่า วันนี้ประชาชนพร้อมสู้ไม่ถอย เพราะเขากลัวแพ้จึงออกมากันจำนวนมาก โดยเขาจะสู้จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา และหากจะสลายการชุมนุม ขอท้าให้เข้ามาได้เลย ตอนนี้พวกเขาพร้อมสู้ไม่ถอย เขาจะสู้ด้วยวิธีอหิงสา โดยเขาจะนั่งกันทหาร ถ้าจะสลายก็ต้องมาอุ้มไป และถ้ามีคนเจ็บ หรือมีคนตายเมื่อไร รัฐบาลเจ๊งทันที ตอนนี้กลุ่มผู้ชุมนุมแบ่งกำลังมาที่แยกราชประสงค์ แล้วเดี๋ยวเขาจะไปที่สีลม และเยาวราช หากตำรวจจะกับทหารจะมาตั้งสกัด เชื่อว่า จะเอากลุ่มผู้ชุมนุมไม่อยู่ เพราะขณะนี้กลุ่มผู้ชุมนุมมีจำนวนมาก หรือหากจะจับกุมแกนนำก็คงเข้ามาไม่ได้ เพราะมีผู้ชุมนุมจำนวนมากกันไว้อยู่ ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกว่า ขอให้สู้จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา และได้ประชาธิปไตยคืน ขอให้เดินหน้าเต็มสตรีมไม่ต้องถอย

“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จำได้หรือไม่ว่า ตอนเป็นฝ่ายค้านพูดไว้ว่า หากเป็นผม ผมไม่อยู่แล้วคนออกมามากขนาดนี้ และ วันนี้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ใช้อำนาจเต็มที่ เพื่อช่วยรัฐบาล เพราะต้องการปรามรัฐบาลว่า อย่าเอาเรื่องทุจริตมาเล่น ทำให้ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาล ต้องร่วมมือกัน เพราะต่างฝ่ายต่างสมประโยชน์ เพราะไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ แต่ถ้าขัดกันเมื่อไร ทหารจะออกมาวางระเบิดเอง ส่วน ผบ.ทบ.จำได้หรือไม่ในสมัยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีกลุ่มพันธมิตรมาชุมนุมขับไล่ เคยพูดว่า ถ้าเป็นผม ผมจะยุบสภาหรือลาออก แต่สถานการณ์วันนี้ยิ่งกว่าวันนั้น วันนี้มีม็อบมหาศาลทั้งสองจุด แต่ไม่เห็นมาพูดว่า ให้ยุบสภาเลย วันนี้ ผบ.ทบ.ลืมไปแล้ว แถมยังกลืนน้ำลายตัวเองอีก” พล.ต.ขัตติยะ กล่าว

พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า วันนี้ ผบ.ทบ.ขาดความชอบธรรม ทำให้จะจบไม่สวย เมื่อเกษียณไปก็ตายตาไม่หลับ เพราะทำให้ประชาชนกังขาในหลายประเด็น และเมื่อวันที่ พล.อ.อนุพงษ์ ไม่มีรถถัง ไม่มีตำแหน่ง จะถูกประชาชนเอาตีนตบตั้งแต่ปากซอยยันท้ายซอย เหมือนหมาแน่ๆ วันนี้ ผบ.ทบ.นอกจากจะถูกกัมพูชาดูถูก ยังถูกต่างชาติดูถูกที่ถอนกำลังจากชายแดน กลับไปรักษาตัวเองในช่วงเวลาที่เหลือ 5 เดือน พล.อ.อนุพงษ์ ถือเป็น ผบ.ทบ.ที่สร้างประวัติศาสตร์ เพราะสามารถทำให้กองทัพตกต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะสามารถย้ายการรบจากพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขึ้นมาที่กรุงเทพฯได้ กระทรวงกลาโหม หน่วยทหารต่างๆถูกยิง แม้กระทั่งห้องผบ.ทบ.ยังโดนยิง และ ขนาดมีทหารเป็นแสนไปรักษาความปลอดภัยที่สาธารณสุขยังโดนยิง ซึ่งพล.อ.อนุพงษ์ เคยออกมายิงสลายม็อบช่วงเดือนเม.ย. 52 ทำให้พี่น้องตอนนี้เขาออกมาเพื่อเอาคืน

เมื่อถามถึงกรณีที่ตำรวจมีการระบุว่า จปร. 20 เข้าไปเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดในกรุงเทพ พล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า ปกติ จปร. 20 ไม่ยุ่งกับใคร และไม่มีประเด็นเกี่ยวข้อง เพราะไม่ใช่พวกฮาร์ดคอร์ แต่ จปร. 20 เป็นเด็กเรียบร้อยทั้งนั้น ทั้งพล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล อดีตประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม มีนิสัยเรียบร้อยเป็นนักจัดรายการ นักพูด ด้านพล.วิชิต ยาทิพย์ อดีต รอง ผบ.ทบ. ก็อยู่ในกรอบของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนประนีประนอม ส่วน พล.อ.มนตรี สังขทรัพย์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ที่เป็นประธานรุ่น จปร. 20 ก็เป็นหัวหน้านักเรียนที่เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าว และไม่มีแนวทางฮาร์ดคอร์ ดังนั้นการที่ตำรวจพูดอย่างนี้เป็นการพูดไปเรื่อย ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************

กองทัพอย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน ระวังโลกาวินาศ

ข้อสังเกตุการประกาศ เงื่อนไขการใช้กฎหมายความมั่นคงเพิ่มเติมเมื่อคืนที่ผ่านมา
เพื่อกดดันและเตรียมปราบปรามประชาชน
ทหารแตงโมแจ้งว่า มาร์ก ไม่กล้าลงนาม ให้เทือกลงนาม
ให้ ไก่อู และมอกระเป๋า ออกประกาศแทน
ทหารส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยที่จะใช้กำลังปราบประชาชน
แต่มีผู้แจ้งว่าคนที่กระ...นกระหือที่จะปราบประชาชน
มีเพียง 2คนคือ เทือกกับโอชา
ทหารตำรวจพร้อมอาวุธกว่าห้าหมื่น
ถ้าจะปิดล้อมมวลชนหลายแสน ตีตัดไม่ให้มวลชนรวมกัน
น่าจะทำได้ยาก เพราะทหารตำรวจจะต้อง แบ่งแยกกำลัง
แต่จะต้องถูกตอบโต้แน่นอนจากมวลชนเรือนแสนแน่นอน
โดยอาศัยกำลังจำนวนมาก แบ่งกำลังแล้วโอบล้อมตีโอบ
มวลชนไม่ยอมอีกต่อไป พวกเขาพร้อมที่จะปลดแอกบนบ่า
กองทัพทหาร อย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
มวลชนจะลุกฮือขึ้นต่อต้านทุกจังหวัด ไม่ฟังคำสั่งของรัฐบาล
พวกเขาเตรียมสู้อยู่แล้ว
ลองนึกภาพดู จะเป็นอย่างไร
ในสถานการณ์ในขณะนี้
ทางออกที่ดีที่สุด มี 2 ประการคือ
ประการแรกกองทัพเลิกอุ้มรัฐบาล เพราะไม่เกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมือง
ทำให้พลังอำนาจของขาติเสื่อมทรุดลงทุกวัน หรือว่าพวกท่านไม่สนใจประชาชน
อย่าหลอกตัวเองอยู่อีกต่อไป
ซึ่งประวัติศาสตร์จะจารึกว่าพวกท่านเป็นผู้ทำลายชาติเสียเอง
ประการที่สองรัฐบาลต้องยุบสภาหลีกเลี่ยงการสูญเสียเป็นวิธีทางการเมืองที่ เหมาะสมที่สุด
ใช้วิถึทางตามระบอบประชาธิปไตย อย่าใช้กำลังทหารตามวิธีของทหาร
หากนายกฯไม่ยุบสภา ในอนาคตประวัติศาสตร์จะจารึกว่าเป็นทรราชแน่ๆ
ระวังจะไม่มีแผ่นดินอยู่ บังเกิดทุรยุคในประเทศ
กองทัพอย่าเสี่ยงปราบปรามประชาชน
และอย่าใช้เครือข่ายตุลาการปราบปรามประชาชน
ระวังโลกาวินาศ


by ตุลานิรนาม
**************************************************

‘พท.’ฉีกหน้ารัฐบาลขี้โม้ แฉเศรษฐกิจไทยยังหืดจับ

นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้แถลงต่อกรณีที่นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าเศรษฐกิจในรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดีขึ้นว่า สิ่งที่ รมว.คลังพูดนั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะเป็นการอ้างตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลจากการฟื้นตัวชั่วคราวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจไทยในเวลานี้จึงฟื้นตัวอยู่เฉพาะเพียงบางกลุ่มเท่านั้น

ทั้งนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีเม็ดเงินจากต่างประเทศไหลเข้าสู่ภูมิภาคนี้และไม่ใช่ไทยประเทศเดียวแต่เป็นการปรับสูงขึ้นทั้งภูมิภาคเลยก็ว่าได้ "จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแค่เดือนมีนาคมเดือนเดียวยอดซื้อสุทธิจากนักลงทุนต่างชาติสูงกว่า 40,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว ส่วนการส่งออกทุกวันนี้ยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การฟื้นตัวในช่วงที่ผ่านมาเกิดขึ้นจากความต้องการในตลาดต่างประเทศที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นแต่หากไปดูตัวเลขที่แท้จริงจะพบว่ามูลค่าการส่งออกของไทยตลอดปี 52 ยังต่ำกว่าปี 51"

ด้านการท่องเที่ยวก็มีการปรับลดเป้าตัวเลขนักท่องเที่ยวในปี 52 ลงไปก่อนหน้านี้ จากเดิมตั้งไว้ 16 ล้านคน รัฐบาลมาเปลี่ยนให้ต่ำลงเป็น 10 ล้านคน พอตัวเลขการท่องเที่ยวของปี 52 ประกาศออกมาอยู่ที่ 14.094 ล้านคน รัฐบาลก็ออกมาแถลงว่าเกินเป้าทั้งที่จริงแล้วสถิตินักท่องเที่ยวปี 52 ยังต่ำกว่าทั้งปี 50 และ 51 นอกจากนี้ยังมีความสับสนในเรื่องข้อมูลระหว่างรัฐมนตรีที่กำกับดูแลและภาคเอกชน เพราะฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขดีขึ้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าตัวเลขลดลง "การลงทุนจากต่างประเทศทุกวันนี้ก็ยังติดลบอยู่ ตัวเลขการอนุมัติการลงทุนของ BOI ของปี 52 ต่ำกว่าปี 51 ทั้งจำนวนโครงการ มูลค่าโครงการ และทุนจดทะเบียน รวมทั้งปัญหามาบตาพุดที่วันนี้ยังไม่มีความคืบหน้าและไม่มีแนวโน้มที่จะแก้ไขปัญหาได้ในเร็ววันนี้"

ส่วนปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำที่กระทบชาวไร่ ชาวนาเกิดขึ้นจากนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาล ทำให้ราคาข้าวในประเทศตกต่ำทั้งๆที่ราคาข้าวในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น วันนี้ราคาข้าวขาว 5% ของรัฐบาลอภิสิทธิ์เฉลี่ยอยู่ที่ 9,666.22 บาท ต่อตัน ต่ำกว่าสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่ 10,051.12 บาทต่อตัน และรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ที่ 11,375.97 บาทต่อตัน

ปัญหาภัยแล้งทุกวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ให้ ความสนใจกับปัญหานี้ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก รัฐบาลพูดแต่เพียงว่าจะไปเจรจากับประเทศจีนเรื่องแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวและไม่มีมาตรการอะไรออกมาที่เป็นรูปธรรมเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแต่อย่างใด มีโรงเรียนมากกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศที่ขาดแคลนน้ำดื่มมากกว่า 2,000 แห่ง ขาดน้ำอย่างรุนแรงซึ่งยังไม่เห็นรัฐบาลเข้าไปแก้ปัญหาแต่อย่างใด "หนี้นอกระบบทุกวันนี้มีผู้ลงทะเบียน 1,181,133 ราย คิดเป็นมูลหนี้ 122,406.2 ล้านบาท แต่เจรจาสำเร็จเพียงแค่ 34,225 ราย วงเงิน 3,077.85 ล้านบาทหรือช่วยไปได้แค่ 2.8% เท่านั้น ถือว่าเรื่องนี้รัฐบาลยังล้มเหลวอยู่"

นายปานปรีย์กล่าวสรุปว่า การที่รัฐบาลกล่าวอ้างความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยหยิบยกตัวเลขบางตัวขึ้นมากล่าวอ้างนั้นทั้งเรื่องตลาดหุ้นหรือการส่งออกก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่รัฐบาลได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกแต่ไม่ได้เกิดขึ้นจากผลงานหรือนโยบายในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศแต่อย่างใด พรรคเพื่อไทยขอให้รัฐบาลกลับไปเร่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคั่งค้างอยู่ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วเสียก่อน

"พรรคเพื่อไทยคิดว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นและรัฐบาลควรที่จะทำได้ดีกว่านี้ ถ้าเศรษฐกิจดีทำไมเรายังสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้นเป็นรายวันอยู่ ไม่มีแนวโน้มที่จะคืนหนี้เลย หากเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้วจริง รัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกู้เงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มให้ครบวงเงิน 400,000 ล้าน ก็ควรระงับการกู้เพิ่มตั้งแต่นี้ไปทั้งหมดเพื่อจะได้ไม่เกิดภาระต่อหนี้สาธารณะของประเทศ" นายปานปรีย์กล่าว



ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************

‘พท.’ ชี้รัฐบาลถูกรัฐทหารปฏิวัติเงียบ

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประธานคณะทำงานศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยของประชาชน (ศชปป.) หรือ วอร์รูม ของพรรคเพื่อไทย แถลงผลการวิเคราะห์สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า การร้องเรียนของเสื้อแดงเป็นสัปดาห์ที่ 2 แล้ว ขณะนี้ทางศูนย์ปฎิบัติการของพรรคถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤตมากที่สุด โดยพรรคเพื่อไทยมีความเห็นต่อสถานการณ์ 7 ประเด็นดังนี้

1 .พรรคตั้งข้อสังเกตุว่าประเทศไทยเป็นรัฐทหาร เพราะมีการนำกำลังทหาร กำลังรบพร้อมอาวุธจากหลายกองพล จำนวนมากถึง 7 หมื่นนาย

2.การตัดสินใจของรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นแค่ในนามเท่านั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ ศอ.รส. การดำเนินการในทุกเรื่องเป็นการดำเนินการของฝ่ายทหารหมดทั้งสิ้น โดยรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเป็นกลไกของการปฎิวัติเงียบเท่านั้น

3.การเจรจาระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงพรรคเห็นว่าเป็นการซื้อเวลาเพื่อประโยชน์ของทหาร ที่จะนำเอางบประมาณที่ได้มาไปซื้ออาวุธ และการแต่งตั้ง ผบ.ทบ.คนใหม่ พยายามซื้อเวลาออกไปเพื่อให้ใช้กำลังสลายการชุมนุมเพื่อให้มองว่ามีความชอบธรรม

4.ขณะนี้ชัดเจนว่ารัฐบาล กองทัพ กระทรวงมหาดไทย และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ดำเนินการทางมวลชนเพื่อลดความกดดันจากกลุ่มมคนเสื้อแดง

5.กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยพรรคประชาธิปัตย์ใช้ข้อเสนอการแก้รัฐธรรมนูญพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลในช่วงวิกฤติทางการเมือง

6.พรรคเพื่อไทยและส.ส.ของพรรคทุกคนขอประนามการกล่าวหาว่าเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นเลือดของสัตว์เดรัจฉาน เพราะการกล่าวหาแบบนี้เป็นเท็จดูถูกเหยีดหยามความเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง มีนัยยะว่าเลือดคนไม่ต่างเลือดสัตว์ ไม่ต่างจากการด่านปช. ว่า ไอ้สัตว์ ซึ่งหากนปช.มีปฎิกริยาตอบโต้ก็อย่าไปโกรธเขาไม่ได้

7.พรรคขอประนามการใช้มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศมาเป็นเครื่องเมือทางการเมือง เพราะเป็นการแยกสังคมให้ปริขึ้นไปอีก

นายปลอดประสพ กล่าวว่า กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคประชาธิปัตย์ทำโรดแมพเสนอแก้นั้น ก็เพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล เพราะพรรคร่วมรัฐบาลมีความต้องการแก้เป็นเขตเลือกตั้งเล็กเพื่อความอยู่รอดของพรรคการเมืองขนาดเล็กในอนาคต เพราะถ้าพรรคเล็กถอนตัวทำให้รัฐบาลต้องยุบสภา ดังนั้น จึงต้องเลือกแก้รัฐธรรมนูญประเด็นเขตเลือกตั้งเล็ก ทำให้รัฐบาลไม่ต้องยุบสภา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่แก้ แล้วจู่ๆ กลับจะดันแก้รัฐธรรมนูญหวังดึงพรรคเล็กเอาไว้

นายปลอดประสพ ยังกล่าวถึงความพร้อมในการเลือกตั้งใหม่ว่า พรรคมีความพร้อมร้อยเปอร์เซ็นต์โดยกำหนดทิศทางของพรรคในการรณรงค์หาเสียงไว้แล้ว เปรียบเหมือนหญิงสาวที่สวยงามเห็นปุ๊บจะชอบทันที มั่นใจว่าพรรคจะกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้มากที่สุดและเกิน 200ที่นั่งแน่นอน ส่วนจะจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้หรือไม่ ยังไม่แน่ใจ


ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
***************************************************

นปช.ยอมเปิดเส้นทางจราจรบางส่วนแล้ว

พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา สบ.10 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ที่ปรึกษา สบ.10 พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภาณุ เกิดลาภผล รองผบช.น. พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ รองจเรตำรวจ และพล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น. 1 พล.ต.ต. อนุชัย เล็กบำรุง ผบก.น.5 ได้เดินทางเข้าพบกับทางแกนนำกลุ่มเสื้อแดง นำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เพื่อเจรจาขอเปิดพื้นที่ ท่ามกลางเสียงโห่ร้องผู้ชุมนุมเสื้อแดง เบื้องต้น ทางตำรวจต้องการให้กลุ่มเสื้อแดงเปิดเส้นทาง 4 ถนน ได้แก่ เส้นทาง1. บริเวณราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ถึงประตูน้ำ เส้นทางที่2. ถ.ราชดำริ ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ไปจนถึงสถานีรถไฟฟ้า ราชดำริ เส้นทางที่ 3. ถ.พระราม 1 ตั้งแต่แยกราชประสงค์ จนถึงแยกปทุมวัน และสุดท้าย ถ.เพลินจิต ตั้งแต่แยกราชประสงค์ ไปจนถึงแยกชิดลม


ภายหลังการเจรจา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า เบื้องต้นสามารถเปิดได้เพียง 2 เส้นทางคือ เส้นทางที่ 2และเส้นทางที่ 3เท่านั้น ขณะเดียวกันทางตำรวจได้ทำการประชาสัมพันธ์ พร้อมปิดประกาศห้ามบุคคลเข้าออกจากบริเวณพื้นที่อาคารหรือสถานที่ที่กำหนด ฉบับที่ 5 ให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยประกาศดังกล่าวลงชื่อ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ทำให้ทางกลุ่มผู้ชุมนุมแสดงอาการโห่ร้อง พร้อมกับระบุว่า ตัวจริงไม่มา ส่งชื่อกับนามสกุลมาให้กลัว ผู้สื่อข่าวรายงานขณะนี้สถานการณ์ทั่วไป ยังอยู่ในสภาพปกติ ขณะที่ทางกลุ่มเสื้อแดงอยู่ระหว่างการเคลียร์พื้นที่เปิดเส้นทางตามที่ได้มีการเจรจากับทางตำรวจ



ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

ดร.จารุพรรณ กุลดิลก ทายาท′อำมาตย์′ ในดง ′เสื้อแดง′


สัมภาษณ์พิเศษ

แนวร่วม ′เสื้อแดง′ มีหลากหลายชนชั้น

ทั้งลูก-หลาน นักการเมือง ทายาทตำรวจ หลานนายพล เครือข่าย ′เขย-สะใภ้′ นักธุรกิจ-เจ้าสัว

อีเวนต์-สงครามครั้งสุดท้ายจึงมีทั้งว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.-ส.ส.เพื่อไทย คลาคล่ำทั้งหลังเวที-บนเวที และในวงวอร์รูม

วงสนทนาถ่ายทอดเนื้อหาการประชุมภาคภาษาอังกฤษ จึงมักมี ′ดร.จารุพรรณ กุลดิลก′ ทายาท ′พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก′ มิตรในดงสีกากีของ ′ทักษิณ′ ปฏิบัติหน้าที่ ′ล่าม′ ประจำ ′ม็อบไพร่แดง′

ในแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จึงมีภาพซ้อน-เหลื่อม ทั้ง ′ไพร่-ข้าราชการ-นักธุรกิจ-พ่อค้า′ คลุกวงในทั้งแดงแก่-แดงอ่อน

หนึ่งในแดง-ว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย จึงมีชื่อทายาทอดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง อาจารย์พิเศษภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ขึ้นไฮด์ปาร์กบนเวทีทุกค่ำคืน

เธอคืออดีตผู้ร่วมงานกับ น.พ.ประเวศ วะสี ในโครงการจิตวิวัฒน์

อายุงานการเมือง นอกสภา ยังไม่ถึงขวบปี

หาก ′ยุบสภา′ ทันทีจะมี

′ดร.จารุพรรณ′ เป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งพื้นที่กรุงเทพมหานคร

ฟังเธอปราศรัยผ่าน ′ประชาชาติธุรกิจ′ ล่วงหน้า...


@ มีมุมมองปัญหาการเมือง เชิงโครงสร้างที่เสื้อแดงปราศรัย เป็นข้อต่อสู้หลักอย่างไร

มองว่าการใช้อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 ขาคือ บริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ ไม่มีความสมดุลกัน เพราะตอนนี้ฝ่ายตุลาการ มีอำนาจมากถึงขนาดทำให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีบทบาทในการบริหารประเทศ เพราะการเมืองแบบอำมาตยาธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจนอกระบบเข้ามามีบทบาทต่อฝ่ายตุลาการและกองทัพ ทำให้ดุลอำนาจไม่สมดุล ประเทศบริหารงาน ไม่ได้ ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติถูกลดทอนบทบาทลงไป สุดท้ายความลำบากจะอยู่ที่ประชาชน เพราะปัญหาต่าง ๆ ไม่ได้แก้ไข รวมทั้งปัญหาเดิมคือเรื่องความยากจนก็ยังคงทวีคูณมากยิ่งขึ้น


@ คุณมีความเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าอำมาตย์อย่างไร ในขณะที่ตัวเองเติบโตมาจากครอบครัวตำรวจ

ส่วนตัวเห็นว่าต้องแบ่งเป็น 2 อย่าง ระหว่าง 1.ผู้ที่มีอำนาจบารมีทางทุนทรัพย์และอำนาจบารมีทางสังคม กับ 2.อำมาตย์คือผู้ที่มีอำนาจบารมีทั้งทุนทรัพย์กับบารมีทางสังคม และจะอยู่ในอำนาจนั้นตลอดไปโดยที่ประชาชนไม่ได้เลือกให้อำมาตย์มีอำนาจในการกำหนดบทบาทขนาดนั้น อันนี้คืออำมาตย์ตามความเข้าใจส่วนตัว

ตลอดชีวิตที่เป็นลูกหลานของครอบครัวซึ่งมีทั้งทหารและตำรวจ เราเห็นปัญหาโครงสร้าง ผู้ที่เป็นผู้ปฏิบัติงานระดับล่างค่อนข้างจะมีโอกาสนำเสนอหรือเปลี่ยนแปลงอะไรน้อยมากในการบริหารงาน เพราะมีการสั่งการแบบ top-down จากบนลงล่าง เป็นโครงสร้าง functional แนวดิ่ง คือคนที่อยู่ลำดับบนจะมีอำนาจตัดสินใจ ขณะที่คนข้างล่างซึ่งต้องอยู่หน้างานไม่มีอำนาจตัดสินใจ ฉะนั้นจะเกิดสภาวะเฉื่อยงาน ไม่ทำงาน เพราะเขาไม่รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบ

คนระดับล่างเป็นคนที่เข้าใจปัญหาเพราะอยู่กับหน้างานตลอดเวลา จึงเข้าใจว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งบางทีอาจจะไม่มีเวลานำเสนอให้เป็นขั้นตอนตรรกะ แต่คนระดับล่างเป็นคนที่เข้าใจปัญหาและคนเหล่านี้ควรมีสิทธิเลือกผู้บังคับบัญชา มีสิทธิที่จะเลือกใครที่เขามั่นใจว่าเข้าใจในปัญหาภาพองค์รวมมาปกครองเขา เพราะฉะนั้นไม่เพียงแต่โครงสร้างทหาร-ตำรวจ แต่รวมทุกองค์กร แม้แต่มหาวิทยาลัยจนไปถึงระดับประเทศ ท้ายที่สุดก็กลับมาเรื่องระบอบประชาธิปไตยที่คนทุกคนในฐานะสมาชิกของระบบน่าที่จะมีเสียงอย่างเท่าเทียมกัน

@ โครงสร้างขององค์กรทหาร-ตำรวจ ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงง่ายตามสภาพความเป็นกลไกของรัฐ

ในอนาคตน่าจะเป็นไปได้ที่แต่ละองค์กรแต่ละคนจะมีส่วนเลือกผู้บังคับบัญชาให้มีเสียงแม้อาจจะไม่ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่คิดว่าจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น อาจเริ่มจาก 30 เปอร์เซ็นต์ก่อนก็ได้ ฉะนั้นแต่ละองค์กรควรมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในการบริหารงานให้เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ความคิดแบบอำมาตย์ มักให้คนปฏิบัติงานระดับล่างรับแต่ความผิด ส่วนคนระดับบนรับแต่ความชอบ

ส่วนตัวจึงคิดว่าสังคมควรจะเปลี่ยนแปลงไปสู่การให้คนระดับบนซึ่งเป็นผู้บริหารจัดการในสายงานต้องรับผิดชอบด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้คนหน้างานต้องโดน โยกย้ายได้รับผลกระทบทุกครั้งเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้น


@ ถึงตอนนี้พร้อมจะเป็นนักการเมืองแบบไหน

สิ่งหนึ่งที่อยากเปลี่ยนทัศนคติของสังคม คืออยากให้มองว่านักการเมืองไม่ได้เลวร้าย ถ้ามีทัศนคติว่านักการเมืองเลวร้ายเมื่อไร นักการเมืองก็จะเลวร้ายจริง ๆ ในฐานะที่เรียนวิศวกรรมจึงมองเป็นเรื่องการบริหารจัดการ เพราะประเทศอื่นก็ไม่ได้มองว่า นักการเมืองชั่วร้ายหรือต้องตกนรกหมกไหม้ในที่สุด และนักการเมืองที่ดี ๆ ทั่วโลกก็มีจริง สามารถนำพาประเทศไปเป็นมหาอำนาจและคนเคารพศรัทธาได้

นักการเมืองที่ดีคือคนที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาประชาชน เพราะประชาชนเป็นผู้เข้าใจปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวเอง และสามารถเลือกคนที่จะมาแก้ปัญหาของตัวเองได้ ฉะนั้นเมื่อเชื่อมั่นและเคารพเสียงประชาชน หลังจากนั้นในที่สุดทุกอย่างก็จะเข้าสู่ ′สภาวะสมดุลของระบบ′ อะไรที่เป็นปัญหาจำเป็นต้องแก้ไขก็จะมีพูดกันซ้ำ ๆ บ่อย ๆ และกลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ เช่น ปัญหาความยากจน หากได้รับการแก้ไขแล้ว ปัญหาต่อไปก็มีสิ่งแวดล้อม พลังงาน ประชาชนจะเป็นผู้รู้ว่าจะแก้ไขกับปัญหาหน้างานอย่างไร เพราะฉะนั้นในทางกลับกันเราจะได้รับความร่วมมือจากประชาชนด้วย ระหว่างผู้แทนราษฎรกับประชาชนก็จะให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน ในที่สุดทุกอย่างจะแก้ไขไปได้ ทุกวันนี้จึงอยากปลุกให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมือง มีความคิดเห็นทางการเมืองให้มาก เมื่อเรียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในที่สุดก็จะเข้าสู่สมดุลเพราะเรารับฟังเสียงประชาชน


@ในทางการเมืองมีความถนัดด้านใด และเตรียมชูประเด็นอะไรสำหรับการหาเสียง

วางไว้ 3 เรื่องคือ ขั้นที่ 1 เรียกร้องประชาธิปไตยให้ได้ก่อน เรื่องที่ 2 คือการศึกษา ความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพและรัฐธรรมนูญ ส่วนเรื่องที่ 3 คือประเทศเราน่าจะทำเรื่องความหลากหลายทางชีวภาพ เทคโนโลยีอาหาร ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียoจบมาโดยตรง คิดว่าประเทศเรามีทรัพยากรมากมายแต่เรายังมองไม่เห็น เท่านั้นเอง เราขาดการบริหารจัดการ เรามีวัตถุดิบที่เป็นประโยชน์ในทางโภชนาการของโลก มีความหลากหลายทางชีวภาพที่สามารถนำมาผลิตเป็นยาได้ ประเทศไทยน่าจะเป็นผู้นำเรื่องเหล่านี้ เทคโนโลยีเหล่านี้จะมาช่วยแก้ปัญหาทั้งพลังงานและสิ่งแวดล้อม แต่ ณ วันนี้เรายังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้เพราะเรายังไม่ฟังเสียงประชาชน


@ คิดอย่างไรที่ภาพการเคลื่อนไหวของ เสื้อแดง ไม่พ้นเรื่องคุณทักษิณ ชินวัตร

เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นปัญหา เพราะคนหลายคนอยากฟังคุณทักษิณโฟนอิน ถ้าไม่ได้ยินคุณทักษิณโฟนอินก็เหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง แล้วคนเสื้อแดงก็มีความต้องการที่หลากหลาย แต่สิ่งที่พูดซ้ำกันมากคือเราต้องการประชาธิปไตย นี่เป็นห้องเรียนประชาธิปไตยขนาดใหญ่ คนมีความต้องการหลากหลาย อาจจะพูดเรื่องคุณทักษิณมาก พูดเรื่องปัญหาคอร์รัปชั่นก็มาก แต่สิ่งที่พูดมากที่สุดคือเรื่องประชาธิปไตยที่ 1 คนมี 1 เสียงเท่ากัน

ถ้าลองทำวิจัยกันจริง ๆ ด้วยการไปเก็บความเห็นผู้ชุมนุมว่าเลือกจัดลำดับให้ความสำคัญอะไรใน 10 ข้อ ตั้งแต่เรื่องความเท่าเทียม ระบบความเป็นธรรม หรือเรื่องคุณทักษิณก็จะสามารถจัดลำดับได้ว่าเขามาเพราะอะไร และเชื่อว่า 100 เปอร์เซ็นต์คือต้องการประชาธิปไตยให้เลือกตั้งใหม่


@ บางคนมองว่าควรแยกคุณทักษิณออกจากขบวนการเคลื่อนไหว

เราไม่จำเป็นต้องตัดขาดจากใครสักคนเลย เพราะทุกวันนี้โลกมันอธิบายด้วยความสัมพันธ์ และสัมพันธภาพ หลักความจริงตอนนี้มันอธิบายด้วย 2 ทฤษฎีคือ หลักความสัมพันธ์ และความไม่แน่นอนในการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะฉะนั้นเราไม่จำเป็นต้องตัดใครออกจากระบบสักคนหนึ่งเลย แต่สิ่งสำคัญคือเราจะมีระบบสื่อสารกันได้อย่างไรและจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไรมากกว่า


@ ส่วนตัวคิดว่าครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อคุณทักษิณหรือไม่

เป็นการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย ส่วนคุณทักษิณเป็นตัวอย่างหนึ่งของผลพวงจากระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งเห็นได้ชัดทุกรูปแบบ ทำให้ประชาชนหวาดเสียวว่าขนาดคนที่ทำประโยชน์มากมายอย่างคุณทักษิณยังได้รับผลกระทบ เช่น ถูกศาลตัดสินในคดีที่ดินรัชดาฯ คดียึดทรัพย์ ขณะที่ยังมีการวิจารณ์ว่าเป็นความผิดด้วยตรรกะแบบไหน เป็นเรื่องคุณธรรมจริยธรรมหรือผิดกฎหมาย เป็นการผิดในมาตรฐานไหนกันแน่

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**************************************************

ผู้ว่าฯ กทม.สั่งเพิ่มอำนวยความสะดวกผู้ชุมนุม-ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ


ผู้ว่าฯ กทม.ส่งรถสุขา รถพยาบาลให้บริการผู้ชุมนุมย่านราชประสงค์ พร้อมขอความร่วมมือรถไฟฟ้าบีทีเอสเพิ่มเที่ยวรถ เพิ่มเที่ยวเรือคลองแสนแสบ บริการประชาชนที่ได้รับผลกระทบนำรถออกจากห้างกลับบ้านไม่ได้ วอนผู้ชุมนุมเคารพสิทธิผู้อื่นด้วย เลื่อนจัดมหกรรมสร้างสุขภาพคนกรุงเทพฯ ที่ถนนสีลมพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) เป็น 25 เม.ย.เพื่อความปลอดภัย

ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เรียกประชุมด่วนผู้บริหาร กทม. เรื่องความมั่นคงในพื้นที่ กทม.พร้อมกล่าวหลังประชุม ขณะนี้ได้นำรถสุขา 4 คันเข้าไปให้บริการพื้นที่ชุมนุมเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ล่าช้าเนื่องจากไม่ทราบล่วงหน้าว่าผู้ชุมนุมจะเดินทางไป อีกทั้งหลังจากทราบรถสุขาก็เข้าไปไม่ได้ เนื่องจากผู้ชุมนุมที่อยู่ด้านนอกขอเข้าห้องน้ำก่อน แต่ได้รับความร่วมมือจากห้างสรรพสินค้าในย่านดังกล่าวให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใช้บริการห้องน้ำของห้างได้ ส่วนรถสุขาที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ ก็ยังให้บริการอยู่ แต่หากผู้ชุมนุมต้องการอะไรเพิ่มขอให้แจ้งมายัง กทม.

นอกจากนี้ ยังเตรียมรถดับเพลิง รถพยาบาลเคลื่อนที่ เพื่อให้บริการ โดยไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง พร้อมประสานโรงพยาบาลโดยรอบในการบริการได้อย่างรวดเร็ว ประสานงานกับหัวหน้ารักษาความปลอดภัยบริษัท ห้างร้าน หน่วยงานที่ย่านราชประสงค์ กรณีเกิดเหตุร้ายก็จะสามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ทันที และประสานไปยังผู้บริหารรถไฟฟ้าบีทีเอส ในการเพิ่มจำนวนเที่ยวรถ เพราะมีประชาชนจำนวนมากที่ทำธุระย่านดังกล่าวไม่สามารถขับรถกลับบ้านได้ จึงเลือกเดินทางโดยบีทีเอส โดยจอดรถส่วนตัวไว้ที่ห้างต่างๆ ย่านราชประสงค์ ส่วนใหญ่ต้องเสียค่าจอดรถ จึงมอบหมายให้นางทยา ทีปสุวรรณ รองผู้ว่าฯ กทม. ประสานไปยังผู้ประกอบการให้ยกเว้นค่าจอดรถกรณีนำรถออกมาไม่ได้

ผู้ว่าฯ กทม.ยังฝากไปยังผู้ชุมนุมให้ดำเนินกิจกรรมต่างๆ ด้วยความระมัดระวังในการชุมนุมท่ามกลางสภาพอากาศร้อนจัด เสี่ยงต่อหลายปัญหา ต้องการให้ทุกฝ่ายระมัดระวังเป็นพิเศษ และให้เคารพสิทธิของผู้อื่นที่ไม่ได้ร่วมชุมนุม อีกทั้งจุดดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวและธุรกิจจำนวนมาก ขอให้เป็นเจ้าบ้านที่ดี ทั้งนี้ ส่วนตัวต้องการให้เจ้าหน้าที่ และพนักงาน ของ กทม.มีชีวิตตามปกติโดยเร็ว เพราะพวกเขาเหล่านี้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมงมาตั้งแต่วนที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เพื่ออำนวยความสะดวกผู้ชุมนุม กทม.มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุข เฝ้าระวัง แต่ไม่ได้มีอำนาจหน้าที่บอกให้ผู้ชุมนุมออกจากพื้นที่ เพราะเป็นปัญหาทางการเมือง จะแยกกันระหว่างการเมืองกับการให้บริการ หากผู้ชุมนุมต้องการอำนวยความสะดวกเรื่องอะไรก็ขอให้บอกมา

ด้านนายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงการบริการของรถไฟฟ้าบีทีเอส ว่า ในช่วงปกติ รถไฟฟ้าจะวิ่งทุก 6 นาทีต่อขบวน แต่ช่วงที่มีการชุมนุม บางเวลาที่ กทม.ขอความร่วมมือจะเร็วขึ้น 2-3 นาทีต่อขบวน ตั้งแต่มีการชุมนุมประชาชนใช้บริการเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว นอกจากนี้ กทม.ได้ประสานการเดินเรือคลองแสนแสบให้เพิ่มเที่ยวเรือด้วย หากการชุมนุมยังยืดเยื้อถึงวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันทำการ กทม.จะประสานกับหน่วยงานที่ดูแลด้านการจราจรอีกครั้ง ทั้งนี้ บริเวณแยกราชประสงค์มีกล้องซีซีทีวี ของ กทม.จำนวน 102 ตัว ทำงานได้สมบูรณ์ทุกตัว และยังมีกล้องซีซีทีวีของหน่วยงานอื่นอีก 64 ตัว นอกจากนี้ กทม.เตรียมพนักงานรักษาความสะอาดเก็บกวาดขยะบริเวณที่ชุมนุมแยกราชประสงค์ไว้พร้อม ซึ่งคาดว่าจะมีขยะประมาณ 100 ตัน

นอกจากนี้ ในวันพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) กทม.กำหนดจัด “ มหกรรมสร้างสุขภาพคนกรุงเทพฯ ” (Bangkok Health Day 2010 ) ณ บริเวณถนนสีลม ได้ขอเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 25 เมษายนนี้แทน เพื่อความปลอดภัย .

-สำนักข่าวไทย
*************************************************

นกพิราบเริ่มจะอ่อน ล้า เหยี่ยวรอเวลาโผบิน เสื้อแดงมาถึงทางสองแพร่ง กลับไปเป็นไพร่ หรือ ก่อสงครามปลดแอก

มีคำถามของพี่น้องเสื้อแดงหลายๆ คนว่า การต่อสู้ต่อไปจะทำอย่างไร เพราะถึงอย่างไรมาร์กก็คงไม่ลาออกแน่นอน แม้วันนี้จะไปราบ 11 แต่ก็คงไม่ได้คำตอบอะไร

พรุ่งนี้จะเดินต่ออย่างไร กลับบ้าน หรือยังจะลุยต่อ

ยุติสงคราม กลับไปเป็นไพร่ต่อไป

หรือจะเปิดสงครามปลดแอก

มาถึงวันนี้ ผมก็ไม่ได้คำตอบเหมือนกัน เพราะมันเหมือนเราเดินมาถึง "ทางสองแพร่ง"

คือ

1.ยึดแนวทางสันติอหิงสาต่อไป

2. ไปในอีกเส้นทางหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้อง สันติอหิงสาแบบเคร่งครัด

3. กลับบ้าน กลับไปก้มหน้าเป็นไพร่ ผีซาบซึ้งต่อไป

ผมพอจะจับสำเนียงสามเกลอได้ว่า จะยังไม่ยอมกลับบ้าน และจะสู้ต่อไป ส่วนจะสู้กันอย่างไรนั้นผมคิดว่าในกลุ่มนำ ก็กำลังหาแนวทางหรือถกเถียงกันอยู่

ส่วนมวลชนนั้นยังห่างไกลจากคำว่า ท้อแท้สิ้นหวัง เพียงแต่อาจให้ความเชื่อถือแนวทางสันติ อหิงสาลดน้อยลง และอารมณ์วันนี้คงยากที่จะยอมกลับไปเป็นไพร่ต่อไป

การไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวของอำมาตย์ เป็น "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ที่พวกเขาจะต้องเสียใจในภายหลัง วันนั้นพวกเขาไม่ควรดื้นร้น ภายใต้สังคมที่มีความซับซ้อน และกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่สังคมอุตสาหกรรม พวกเขาพยายาม "หยุดกงล้อแห่งการเปลี่ยนแปลง" ให้นิ่งอยู่กับที่


1. แนวทางของสายพิราบ

การต่อสู้บนถนนด้วยการเคลื่อนผู้คนจำนวนมากทั้งในเมือง และต่างจังหวัดหลายแสนคน รวมทั้งแนวร่วมจำนวนมากที่อยู่ในแนวหลัง ผ่านไปครึ่งเดือน ความคืบหน้าของแนวทางนี้ก็ยังไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด ฝ่ายอำมาตย์ก็ยังยื้อต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่า อำมาตย์จะไม่สามารถใช้กำลังสลายม็อบที่มีจำนวนมาก และเป็น "ม็อบยานยนต์" นี้ได้ เพราะจำนวนคนและ "ยานยนต์" มีมากมายมหาศาลเกินกว่าที่กำลังทหารตำรวจ จะสามารถสลายได้ โดยไม่เกิดความรุนแรง

แนทางต่อไปของสายพิราบ หากจะเดินในแนวนี้ ผมคิดว่า ก็ยังไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้


2. แนวทางของสายเหยี่ยว

ผมก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มอย่างไร แต่สายเหยี่ยวจะมีน้ำหนักมากขึ้นในกลุ่มแกนนำ รวมทั้งในใจของ "คนเสื้อแดงด้วย" แนวทางของแดงสยาม อาจมีการปฎิบัติหรือได้รับการยอมรับกันมากขึ้น ผู้นำของแนวทางนี้ที่รออยู่ ก็มีอยู่แล้ว เช่น จักรภพ หรือคนอื่นๆ

ผมไม่คิดว่าสงครามครั้งนี้จะจบ และเพิ่งเดินมาถึงทางสองแพร่งเท่านั้น

สำหร้บผมแล้ว ผมมีทางออกที่ผมพอจะคิดได้สองทาง

1. หากจะเดินแนวทางใช้ม็อบกดดันต่อไป ก็ต้องทำให้ใหญ่โตและกว้างขวางกว่านี้ เช่น เอารถปิดถนนทุกเส้น ใน กทม.ทำให้กรุงเทพฯ เป็นอำพาต ไปในทันที ซึ่งหากทำได้ (ผมรู้ว่าเขามีทรัพยากร) ทั้งกรุงเทพฯ จะปิดตายทันที ทหารก็จะเคลื่อนกำลังไม่ได้ ไม่มีฝ่ายใดเคลื่อนกำลังได้ และไม่ต้องกล้วการปราบเพราะไม่มีใครเคลื่อนย้ายรถ 20,000-30,000 คัน ออกไปได้ หากคนขับเขาไม่มาขับออกไปเอง การทำธุรกรรมต่างๆ การขนส่งอาหารเข้ามาสู่ กทม. ก็จะทำไม่ได้ หากไม่มีการเจรจายุติความขัดแย้ง คนกรุงเทพฯ ก็ต้องรับผลโดยตรง

คนอาจคิดว่าทำแบบนี้คนกรุงเทพฯ จะต่อต้าน ผมคิดว่า ในสงคราม หากยังกลัวโน่นกลัวนี่ ก็ไม่ต้องรบ เมื่อถึงเวลาต้องทิ้งระเบิด ฮิโรชิมา เพื่อยุติสงคราม ก็ต้องทิ้ง หากมันยุติสงครามได้ ก็ต้องทำ

2. แนวทางสันติหากจะเดินต่อไปคือ การยกระดับเข้ากดดันทางเศรษฐกิจ เช่นการบอยคอต กลุ่มทุนอำมาตย์

หากเสื้อแดงยังคงจะเดินในแนวทางสันติอหิงสาต่อไป ผมคิดว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ โดยไปต่อสู้ทางเศรษฐกิจ เช่น รณรงค์ให้พี่น้องเสื้อแดงทั้งหลาย “บอยคอต” ธุรกิจของกลุ่มทุนที่สนับสนุนอำมาตย์ เช่น ล้มธนาคารสักแห่งหนึ่ง หากมีการร่วมมือกันอย่างดี และทำจนเกินผล ผมเชื่อว่าจะเกิดความกลัวในกลุ่มทุนของอำมาตย และจะบีบให้มีการหาทางออกต่อไป

ธนาคารที่จะล้ม ต้องไม่ใช่ธนาคารกรุงเทพฯ แต่ต้องเลือก ธนาคารที่เป็น Comsumer Banking ที่มีธุรกรรมรายย่อยมากพอ และการบอยคอตของมหาชน จะส่งผลต่อธนาคารในทันที แม้ว่ารัฐจะเข้าช่วยเหลือ แต่ “กลุ่มทุน” ทั้งหลายก็จะตระหนักในพลังของคนเสื้อแดงว่า “มีมากแค่ไหน” หาก แกนนำชี้เป้าหมายไปที่กลุ่มทุนอำมาตย์ กลุ่มใด กลุ่มนั้นก็จะตายทันที

แนวทางแต่ละอันต่างก็มีจุดอ่อนจุดแข็งในตัวเอง คนเสื้อแดงคงจต้องถกและเรียนรู้กันต่อไป

แต่จะให้กลับไปเป็นไพร่ต่อไปนั้น คนยาก สงครามยังไม่จบ แต่จะรุนแรงขึ้น และเริ่มนับถอยหลังได้สำหรับสถาบันซาบซึ้งทั้งหลาย ภายใต้พายุแห่งการเปลี่ยนแปลง พวกท่านยินดีที่จะ ขวางทิศทางของทอนาโดให้ถึงที่สุด ผมเชื่อว่า ไทยใหม่ ไทยมหาชนรัฐกำลังปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า

วันนี้ วันที่คนจะกลับไปใช้ชีวิตซาบซึ๊งเหมือนเดิมนั้น เป็นไปไม่ได้

พวกท่านเป็นไม้ตายซากในสังคมไทย ที่รอวันล่มลงไปในที่สุดเท่านั้น

วันนี้ผมไม่ฟันธงว่ายุทวิธีใดจะได้ผล ผมกำลังอยู่ในระหว่างเรียนรู้ และประเมินผลเช่นเดียวกับคนเสื้อแดงทั้งหลาย ที่ก็คงกำลังช่วยสามเกลอคิดอยู่เหมือนกัน

แต่ผมเชื่อว่า วันนี้ นกพิราบกำลังอ่อนแรงแล้ว เหยี่ยวอาจโผผินบินออกมาเมื่อไหร่ก็ได้ แกนนำสายพิราบ จะมีอิทธิพลต่อคนเสื้อแดงลดลง แม้จะไม่ทันที แต่พวกเขาก็จะยังหาคำตอบให้กับ มวลชนของตนไม่ได้



บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
****************************************************

"วีระ"นำกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ บุกยื่นหนังสือแสดงจุดยืนและไม่ต้อนรับ"ฮุนเซน"ประชุมลุ่มน้ำโขง

นายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ พร้อมด้วยสมาชิกกลุ่มกว่า 200 คน เดินทางมาที่สำนักงานเทศบาลตำบลนายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นจุดก่อนเข้าเขตพื้นที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงเฉพาะพื้นที่ โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ประกาศเขตควบคุมเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงการประชุมสุดยอดผู้นำลุ่มน้ำโขงตอนล่าง (MRC SUMMIT ) ครั้งที่ 1 ที่จะมีขึ้น ณ โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่ อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระหว่างวันที่ 4-5 เมษายน

ทั้งนี้ นายวีระกับพวกมีความประสงค์ยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อเลขาธิการคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขงและคณะฯ เพื่อแสดงจุดยืนคัดค้านและไม่ต้อนรับการเดินทางมาร่วมประชุมของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ที่จะเดินทางมาร่วมครั้งนี้ซึ่งคาดว่าจะถึงที่ประชุมในตอนเย็นวันนี้ โดยมีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เป็นตัวแทนรับมอบแถลงการณ์ ณ บริเวณด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลนายาง ขณะที่กลุ่มที่อ้างตัวเป็นคนไทยรักชาติได้ถือป้ายประณามและไม่ต้อนรับนายกฯฮุนเซนจำนวนมาก

ก่อนยื่นหนังสือแถลงการณ์ นายวีระได้อ่านเนื้อความในแถลงการณ์ที่หน้าสำนักงานเทศบาลฯต่อสื่อมวลชนสรุปได้ว่า สมเด็จฮุนเซนเป็นศัตรูของชาติไทย โดยมีความเกี่ยวเนื่องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ผ่านมา สมเด็จฮุนเซนทำร้ายจิตใจคนไทย หมิ่นศักดิ์ศรีประเทศไทย แทรกแซงกิจการภายใน กล่าวหาโจมตีและปฏิเสธกระบวนการยุติธรรมของไทย นำเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวอยู่เหนื่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยแต่งตั้งและให้การสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษอาญาแผ่นดินไทยให้เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและเป็นที่ปรึกษาสมเด็จฮุนเซน นอกจากนี้ ยังละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนไทย อ้างแผนที่ที่ไม่ได้รับการรับรองจากศาลโลก ยึดครองพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหาร และพยายามยึดครองดินแดนไทยตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึงพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย โดยมีการตกลงแบ่งผลประโยชน์จากแหล่งน้ำมันและแก๊สธรรมชาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ

นายวีระกล่าวต่อไปว่า การกระทำดังกล่าวของ สมเด็จฮุนเซน เป็นไปด้วยวิธีที่ฉ้อฉล ตนและกลุ่มคนไทยผู้รักชาติขอประกาศคัดต้าน และจะต่อสู้ปกป้องอธิปไตยของชาติไทย และจะติดตามทวงคืนในทุกวิถีทาง ไม่ขอต้อนรับศัตรูของชาติผู้หยาบช้า ถ่อยเถื่อน ไร้เกียรติยศ อย่าได้เข้ามาเหยียบแผ่นดินไทย ถ้ามาก็ขอให้ออกไปจากแผ่นดินไทย

หลังอ่านแถลงการณ์นายวีระกล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้กัมพูชาได้นำหลักเขตแดนมาปักบริเวณพื้นที่ล้ำเข้ามาในแผ่นดินไทย ตนและกลุ่มคนไทยผู้รักชาติจะร่วมกันไปถอนหลักเขตเพื่อนำไปปักให้พ้นผืนแผ่นดินไทย จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้เพียง 1 ตางรางนิ้วให้แก่กัมพูชา

นายชวนนนท์ กล่าวว่าการคัดค้านและแสดงจุดยืนของกลุ่มนายวีระสามารถกระทำได้ แต่การแสดงจุดยืนดังกล่าวจะไม่นำเข้าสู่ที่ประชุมในครั้งนี้ เนื่องจากมิใช่ประเด็นการพูดคุยเกี่ยวกับลำน้ำโขง แต่จะหาช่องทางแจ้งให้กัมพูชารับทราบในโอกาสต่อไป

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรับมอบหนังสือแสดงจุดยืนใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นกลุ่มของนายวีระได้เดินทางกลับโดยไม่มีเหตุรุนแรง ท่ามกลางการคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายร้อยนายโดยมี พล.ต.ท.พงษ์สันต์ เจียมอ่อน ผบช.ภ.7 มาควบคุมสถานการณ์ด้วยตนเอง.


ที่มา.มติชนออนไลน์
***************************************************