หลังจากที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยืนกระต่ายขาเดียวจะนั่งอยู่ในอำนาจต่อไป โดยไม่ใยดีต่อความเดือดร้อนของประชาชน ยืนกรานจะยุบสภาใน 9 เดือน ปรากฏว่าได้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยวโดย นายประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า การชุมนุมที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมแล้ว โดยหากคำนวณจากตัวเลขรายได้ด้านการท่องเที่ยวทั้งปีนี้ ที่หลายฝ่ายประเมินไว้ 6 แสนล้านบาท เท่ากับว่า จะมีรายได้เดือนละ 5 หมื่นล้านบาท แต่จากตัวเลขที่สมาคมโรงแรมได้รับ พบว่าอัตราเข้าพักโรงแรมต่าง ๆ หายไป 20% แล้วในช่วงที่มีการชุมนุม ก็หมายความว่าภายใน 1 เดือนที่มีการชุมนุมนี้ ทำให้รายได้ด้านการท่องเที่ยวหายไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาท หากการชุมนุมยังยืดเยื้อต่อไปอีกหลายเดือน ก็จะเสียหายกว่านี้อีกหลายหมื่นล้านบาท
นายเจริญ วังอนานนท์ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (เฟตต้า) เปิดเผยว่า ผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวประมาณ 1,000 คน จะนัดรวมตัวที่สวนลุมพินี บริเวณหน้าอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 ในวันที่ 2 เม.ย.นี้ เวลา 16.00 น. เพื่อร่วมกันประกาศจุดยืน "ยุติความขัดแย้ง เพื่อท่องเที่ยวไทย ทุกฝ่ายหยุดทำร้ายท่องเที่ยวไทยสมานฉันท์เพื่อท่องเที่ยวไทย" นอกจากนี้จะมีตัวแทนผู้ประกอบการและพนักงานในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวบางส่วน ที่อยู่ในต่างจังหวัด รวมตัวเวลาเดียวกันในจังหวัดของตนเองด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า การชุมนุมของพนักงานโรงแรมในวันที่ 2 เมษายน เวลา 16.00 น. มีการเกณฑ์พนักงานโรงแรมไปร่วมการชุมนุมจะได้รับเงินคนละ 500 บาท แกนนำการชุมนุมดังกล่าว เป็นฝ่ายบริหารอักษรย่อ “ช” ทำงานอยู่ที่โรงแรมดุสิต ซึ่งเคยบริจาคเงินให้กับพันธมิตรจำนวนมาก และเป็นคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ไกล้ชิดกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แหล่งข่าวยืนยันว่า มีการนำเงินจำนวนกว่า 1,000,000 บาท ถอนจากธนาคารกรุงเทพ สาขาเทเวศน์เพื่อมาจ่ายให้กับพนักงานโรงแรมและการประชุมของนักธุรกิจโรงแรม ในต่างจังหวัดอาทิเช่นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ตเป็นต้น เพื่อให้ออกมาต่อต้านการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง
ที่มา.taksin-voice
***********************************************
วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553
วีระ ลั่นหากรัฐสลายแดงปะทะกันแน่

นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) "วีระ" แกนนำ นปช. ยันหากรัฐสลายการชุมนุม ในวันเสาร์นี้ เชื่อจะเกิดการรบกัน กับ ปชช. แน่
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าร่วมวงเสวนา ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดขึ้น ภายใต้หัวข้อเนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้งในระหว่างการเสวนา นายวีระ ได้กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนี้ว่า เกิดจากปัญหาที่ติดค้างอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน ตั้งแต่สมัย พ.ศ. 2475 โดยยกตัวอย่าง การทุจริตคอร์รัปชั่นว่า มีมานานแล้ว พร้อมกับพูดว่าอํามาตยาธิปไตย เป็นอุปสรรคไม่ให้ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง มาตั้งแต่สมัยก่อนด้วยเช่นกัน โดยนายวีระ ได้กล่าวถึง วิธีการแก้ปัญหาให้ประเทศชาติ คือไม่ควรมีการยึดอำนาจ แต่ควรให้อำนาจเป็นของประชาชน และอดทนใช้เวลากับประชาชน ให้ร่วมกันแก้ปัญหาตามแนวทางประชาธิปไตย เพราะ นายวีระ เชื่อว่าประชาชนสามารถร่วมกันแก้ไขปัญหาได้ แต่ไม่มีโอกาส แต่ถ้าประชาชนได้รับโอกาส ก็มั่นใจว่า จะทำให้ประเทศชาติเจริญรุ่งเรืองได้
นอกจากนี้ นายวีระ ได้กล่าวถึงฝ่ายรัฐบาลว่า หากใช้กำลังตำรวจทหารมาสลายการชุมนุมในวันที่ 3 เม.ย. ที่จะถึงนี้ก็จะเกิดการรบกันแน่ แต่ถ้าไม่มีการสลายการชุมนุมด้วยวิธีดังกล่าว ก็จะใช้แนวทางการต่อสู้แบบสันติวิธีต่อไป
นายวีระ ยังกล่าวถึง ความเป็นไปได้ในการเจรจารอบที่ 3 กับฝ่ายรัฐบาลว่า เรื่องของประเทศชาติต้องพูดจากันได้ แต่จะวันไหนเวลาไหน ต้องเป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยหลักการแล้วจะต้องพูดคุยกัน แต่ไม่อยากพูดอะไรให้กระทบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมกันนี้นายวีระ ได้กล่าวถึงเรื่องการยุบสภาว่า ไม่ใช่ 15 วัน และ 9 เดือน อย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นกำหนดเวลาเท่าไหร่นั้น เป็นเรื่องของการเจรจา ซึ่งขณะนี้ทางฝ่ายรัฐบาลก็ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา
ส่วนกรณีที่มีการหยิบยกการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มาอ้างนั้น นายวีระ กล่าวว่า ไม่ควรเอาเรื่องการปราศรัยบนเวทีมาพูดกันบนโต๊ะเจรจา มิเช่นนั้น เรื่องก็จะไม่จบ อย่างไรก็ตาม การที่ นายวีระ ประเมินว่า อาจเกิดความรุนแรงในการชุมนุมใหญ่วันที่ 3 เมษายน นี้เป็นการวัดจากความรู้สึกของประชาชน และประสบการณ์ การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา จึงเริ่มมีความรู้สึกว่า ดีกรีความร้อนแรงมีเพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่รีบจัดการแบบสันติวิธี ก็อาจจะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้
ที่มา.innnews
***********************************************
จับเข่าคุย"วีระ มุสิกพงศ์"ประธาน นปช. ถ้าเสื้อแดงใช้ความรุนแรง ผมกลับบ้านทันที อยากพักเต็มทีแล้ว!!!
บ่ายวันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน ก่อนคุณวีระ มุสิกพงศ์" ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ก้าวขึ้นเวทีสมาคมนักข่าวฯ นักข่าว ประชาชาติธุรกิจ ได้มีโอกาสนั่งสนทนากับ ประธาน นปช. ในหลายประเด็นที่คนทั่วไปอยากรู้ และหลายประเด็นที่คนเสื้อแดง หลายคนไม่ค่อย แฮปปี้ เท่าใดนัก
ประธาน นปช. ถือไม้เท้า คล้องคอด้วยพระร่วงที่ชาวบ้านมอบให้ และข้อมือมีสายสิญจน์
"ไข่มุกดำ" ใช้รถโตโยต้า แคมรี่ สีดำ เป็นพาหนะ ขนาบด้วยโชเฟอร์ 1 และเลขานุการส่วนตัวอีก 1
พฤษภาคม ศกนี้ ไข่มุกดำ จะอายุครบ 62 ปีแล้ว เขาเปรยให้ฟังว่า ถ้าไม่มี 19 กันยายน 2549 จะวางมือ และจะพักผ่อน อยากมีความสุขเต็มทีแล้ว
เป็นความเหนื่อยล้าที่ต้องต่อสู้กับพวกอำมาตย์มาหลายสมรภูมิแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 จนมาถึง พฤษภาทมิฬ 2535 และล่าสุดคือ การต่อสู้โค่นอำมาตย์ หลัง 19 กันยายน
" ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนนราชดำเนิน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย"
ประธาน นปช. เล่าว่า มีธุรกิจร้านอาหารไทยในชนบท ประเทศอังกฤษ 2 แห่ง โดยภริยาคือ คุณศรีวิไล เป็นคนดูแลกิจการ เป็นร้านอาหารที่ฝรั่งติดอกติดใจ แม้ว่า ปีที่แล้ว จะได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในยุโรป
" ผมอยากพักเต็มที่แล้ว ต่อสู้กลางแดด มาหลายวัน มันเหนื่อยนะคุณ คอผมแตกไปแล้ว เสียงแหบสนิท "
"วีระ" เล่าว่า ลูกสามคน ไม่ใครชอบการเมือง เพราะเคยเห็นพ่อติดคุกที่บุรีรัมย์ ลูกวิ่งเล่นอยู่ในเรือนจำ ...วันนี้ลูกของผมเป็นนักดนตรี เขามีความสุข
นักข่าว ถามประธาน นปช. แบบตรงประเด็นว่า การยกระดับการต่อสู้ วันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ จะรุนแรงไหม
คำตอบคือ "ผมยึดหลัก สันติ อหิงสา ถ้าแกนนำ นปช. อยากชนะศึก โดยการใช้ความรุนแรง ผมเลิก...กลับบ้านทันที"
" ผมเปรียบเทียบการต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนขบวนรถไฟจาก เชียงใหม่ มุ่ง สู่หัวลำโพง อันเป็นสถานีสุดท้ายที่หมายถึงชัยชนะ เราวิ่งมาจากเชียงใหม่ ได้รับการยอมรับตลอดเส้นทาง ว่า เราไม่ใช้ความรุนแรง แต่พอขบวนรถไฟ วิ่งมาถึง สถานีบางซื่อ ถ้าเสื้อแดงบอกว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ ใช้ความรุนแรงต่อสู้ เพื่อต้องการชนะศึก ผมบอกไว้เลยว่า ผมลงสถานีบางซื่อ ทันที ผมกลับบ้านเลย ไม่ชนะ ก็ไม่เป็นไร ผมกลับบ้าน "
ก่อนหน้านี้ การเจรจา ระหว่าง รัฐบาล กับ แกนนำ นปช. 2 นัดที่ผ่านมา
"วีระ มุสิกพงศ์" ได้รับการยอมรับว่า นิ่ง และมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด
"ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม" นักสันติวิธี ให้เครดิตประธาน นปช. วัย 62 ปีว่า " ทำได้ดี น่าพอใจ และน่าชื่นชม "
ขณะที่ในโลกไซเบอร์ " น.พ. เหวง โตจิราการ" มีภาพติดลบไปทันที จนกลายเป็นที่มาของการบัญญัติศัพท์ใหม่ ของคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และพูดจา วกวน ว่า พูดแบบเหวงๆ
ประธาน นปช. เล่าให้ฟังว่า " เขาให้ไปเจรจา ผมก็ไปเจรจา ไม่ได้ไปทะเลาะ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ถ้าเสื้อแดงไม่พอใจ ผมก็เลิก เท่านั้น "
นักข่าว ถามว่า การเจรจา รอบ 3 เกิดขึ้นได้หรือไม่
คำตอบคือ " เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
" นาทีนี้ ข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่นอน แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน "
ถอดรหัสง่ายๆ ก็คือ อาจเป็นการต่อรอง ประเด็นห้วงเวลา การยุบสภา ใน 2 ช่วงเวลาคือ 3 เดือน หรือ 6 เดือน
แต่ทุกสูตร ไม่ว่า จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ต้อง บวก 45 วันช่วงรัฐบาลรักษาการ เข้าไปด้วย
ประธาน นปช. วิเคราะห์ จุดอ่อนของการ ถ่ายทอดสด ระหว่างการเจรจาก็คือ " คนเจรจา ไม่ได้ สนใจ คู่เจรจา ที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกนี้ ต้องการพูดกับแฟนที่รอดู รอฟังทั่วประเทศ คนเจรจา จะไม่สนใจคู่เจรจา "
นักข่าวถามประธานนปช. แบบตรงๆว่า ขณะเจรจา มี"ทักษิณ" เป็นวาระซ่อนเร้น อยู่หรือไม่
คำตอบคือ " ผมหูหนวก ตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น "
ประธาน นปช. กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยุบสภา เสื้อแดงกลับบ้าน ผมจะไปต่อหนังสือเดินทางทันที อยากพักผ่อนเต็มที่แล้ว(ครับ )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
ประธาน นปช. ถือไม้เท้า คล้องคอด้วยพระร่วงที่ชาวบ้านมอบให้ และข้อมือมีสายสิญจน์
"ไข่มุกดำ" ใช้รถโตโยต้า แคมรี่ สีดำ เป็นพาหนะ ขนาบด้วยโชเฟอร์ 1 และเลขานุการส่วนตัวอีก 1
พฤษภาคม ศกนี้ ไข่มุกดำ จะอายุครบ 62 ปีแล้ว เขาเปรยให้ฟังว่า ถ้าไม่มี 19 กันยายน 2549 จะวางมือ และจะพักผ่อน อยากมีความสุขเต็มทีแล้ว
เป็นความเหนื่อยล้าที่ต้องต่อสู้กับพวกอำมาตย์มาหลายสมรภูมิแล้ว ไม่ว่าจะเป็น 14 ตุลาคม 2516 จนมาถึง พฤษภาทมิฬ 2535 และล่าสุดคือ การต่อสู้โค่นอำมาตย์ หลัง 19 กันยายน
" ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนนราชดำเนิน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย"
ประธาน นปช. เล่าว่า มีธุรกิจร้านอาหารไทยในชนบท ประเทศอังกฤษ 2 แห่ง โดยภริยาคือ คุณศรีวิไล เป็นคนดูแลกิจการ เป็นร้านอาหารที่ฝรั่งติดอกติดใจ แม้ว่า ปีที่แล้ว จะได้รับผลกระทบจากพิษเศรษฐกิจในยุโรป
" ผมอยากพักเต็มที่แล้ว ต่อสู้กลางแดด มาหลายวัน มันเหนื่อยนะคุณ คอผมแตกไปแล้ว เสียงแหบสนิท "
"วีระ" เล่าว่า ลูกสามคน ไม่ใครชอบการเมือง เพราะเคยเห็นพ่อติดคุกที่บุรีรัมย์ ลูกวิ่งเล่นอยู่ในเรือนจำ ...วันนี้ลูกของผมเป็นนักดนตรี เขามีความสุข
นักข่าว ถามประธาน นปช. แบบตรงประเด็นว่า การยกระดับการต่อสู้ วันเสาร์ที่ 3 เมษายน นี้ จะรุนแรงไหม
คำตอบคือ "ผมยึดหลัก สันติ อหิงสา ถ้าแกนนำ นปช. อยากชนะศึก โดยการใช้ความรุนแรง ผมเลิก...กลับบ้านทันที"
" ผมเปรียบเทียบการต่อสู้ ของกลุ่มคนเสื้อแดง เหมือนขบวนรถไฟจาก เชียงใหม่ มุ่ง สู่หัวลำโพง อันเป็นสถานีสุดท้ายที่หมายถึงชัยชนะ เราวิ่งมาจากเชียงใหม่ ได้รับการยอมรับตลอดเส้นทาง ว่า เราไม่ใช้ความรุนแรง แต่พอขบวนรถไฟ วิ่งมาถึง สถานีบางซื่อ ถ้าเสื้อแดงบอกว่า ต้องยกระดับการต่อสู้ ใช้ความรุนแรงต่อสู้ เพื่อต้องการชนะศึก ผมบอกไว้เลยว่า ผมลงสถานีบางซื่อ ทันที ผมกลับบ้านเลย ไม่ชนะ ก็ไม่เป็นไร ผมกลับบ้าน "
ก่อนหน้านี้ การเจรจา ระหว่าง รัฐบาล กับ แกนนำ นปช. 2 นัดที่ผ่านมา
"วีระ มุสิกพงศ์" ได้รับการยอมรับว่า นิ่ง และมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด
"ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม" นักสันติวิธี ให้เครดิตประธาน นปช. วัย 62 ปีว่า " ทำได้ดี น่าพอใจ และน่าชื่นชม "
ขณะที่ในโลกไซเบอร์ " น.พ. เหวง โตจิราการ" มีภาพติดลบไปทันที จนกลายเป็นที่มาของการบัญญัติศัพท์ใหม่ ของคนที่พูดไม่รู้เรื่อง และพูดจา วกวน ว่า พูดแบบเหวงๆ
ประธาน นปช. เล่าให้ฟังว่า " เขาให้ไปเจรจา ผมก็ไปเจรจา ไม่ได้ไปทะเลาะ ผมทำหน้าที่ของผมให้ดีที่สุด ถ้าเสื้อแดงไม่พอใจ ผมก็เลิก เท่านั้น "
นักข่าว ถามว่า การเจรจา รอบ 3 เกิดขึ้นได้หรือไม่
คำตอบคือ " เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
" นาทีนี้ ข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่นอน แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน "
ถอดรหัสง่ายๆ ก็คือ อาจเป็นการต่อรอง ประเด็นห้วงเวลา การยุบสภา ใน 2 ช่วงเวลาคือ 3 เดือน หรือ 6 เดือน
แต่ทุกสูตร ไม่ว่า จะเป็น 3 เดือน หรือ 6 เดือน ต้อง บวก 45 วันช่วงรัฐบาลรักษาการ เข้าไปด้วย
ประธาน นปช. วิเคราะห์ จุดอ่อนของการ ถ่ายทอดสด ระหว่างการเจรจาก็คือ " คนเจรจา ไม่ได้ สนใจ คู่เจรจา ที่อยู่ตรงหน้า แต่พวกนี้ ต้องการพูดกับแฟนที่รอดู รอฟังทั่วประเทศ คนเจรจา จะไม่สนใจคู่เจรจา "
นักข่าวถามประธานนปช. แบบตรงๆว่า ขณะเจรจา มี"ทักษิณ" เป็นวาระซ่อนเร้น อยู่หรือไม่
คำตอบคือ " ผมหูหนวก ตาบอด มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น "
ประธาน นปช. กล่าวว่า ถ้ารัฐบาลยุบสภา เสื้อแดงกลับบ้าน ผมจะไปต่อหนังสือเดินทางทันที อยากพักผ่อนเต็มที่แล้ว(ครับ )
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
**********************************************
กระทรวงสาธารณสุข
นับตั้งแต่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช. หรือม็อบเสื้อแดง รวมตัวชุมนุมทางการเมือง เพื่อกดดันรัฐบาลยุบสภา เมื่อวันที่ 13 มี.ค.
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความปลอดภัย และหวั่นว่าจะเป็นการท้าทายทำให้เกิดเหตุบานปลายขึ้น
แกนนำรัฐบาล และผู้นำทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ประชุมหารือกันก่อนตัดสินใจเลือกกระทรวงสาธารณสุข เป็นสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราวมาแล้ว 2 ครั้ง
เนื่องจากเห็นว่าสถานที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวกเข้า-ออกได้หลายช่องทาง ง่ายต่อการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย และใกล้กับร.11 รอ. เซฟเฮาส์ นายกฯ และผู้นำเหล่าทัพ
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่ถนนติวานนท์ แยกแคราย ในเขตจ.นนทบุรี
พื้นที่รวมกว่า 500 ไร่ มีอาคารสำนักงาน 13 อาคาร
ทิศเหนือใกล้ถนนงามวงศ์วาน ทิศตะวันออกใกล้ทางด่วนขั้นที่ 2 ทิศตะวันตกติดถนนติวานนท์ สามารถเข้า-ออกได้ถึง 5 ประตู
ตามปกติประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจะใช้เส้นทางภายในกระทรวงสาธารณสุขเป็นเส้นทางลัด ระหว่างถนนติวานนท์-งามวงศ์วาน และใช้เป็นเส้นทางขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ทำให้ในแต่ละวันมีปริมาณการจราจรบริเวณรอบๆ หนาแน่น
ประตูแต่ละด้านไม่ติดถนนใหญ่ ช่วยให้ควบคุมการเข้า-ออกได้อย่างดี
ในที่ตั้งของกระทรวงสาธารณสุข จะมีบ้านพักอาศัย และสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลบำราศนราดูร สำนักงานประกันสังคม ตั้งอยู่รายรอบ เหมือนเป็นด่านหน้าป้อมปราการแรก
สถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงใช้อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่กึ่งกลางของกระทรวง มีอาคารกรมกองอื่นๆ ขนาบรอบข้าง
หากนับระยะจากประตูทางเข้ามาถึงอาคารที่ประชุม มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ส่วนห้องประชุมครม. ใช้ห้องชัยนาทนเรนทร ชั้น 2 เป็นสถานที่ประชุม ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอรองรับครม.และผู้ติดตามทั้งหมด
ภายในบริเวณกระทรวงยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ และสนามหญ้าใกล้ๆ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ และยานยนต์สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้
วันอังคารที่ 23 มี.ค. นายอภิสิทธิ์เข้ามาทำหน้าที่ประธานการประชุมครม. ฝ่ายความมั่นคงนำเฮลิคอปเตอร์ มาจอดรอไว้ด้วย
นอกเหนือจากจากกำลังทหาร ตำรวจหลายกองร้อย พร้อมอุปกรณ์ต่อต้านและปราบจลาจลชนิดเต็มอัตราศึก
แต่ถึงการประชุมครม.ครั้งนั้นผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย
ทว่าหลังนายกฯ และครม.ทยอยเดินทางออกจากสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว ก็เกิดเหตุคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกลงมาบริเวณกรมสุขภาพจิต ภายในกระทรวงสาธารณสุข ถึง 2 ลูก
สันนิษฐานว่าคนร้ายยิงมาจากบนทางด่วนด้านข้างกระทรวง
การประชุมครม. วันอังคารที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนแรกรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเลือกประชุมใน ร.11 รอ.
แต่เมื่อนายกฯ ได้มีโอกาสเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับแกนนำนปช.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกฯ จึงตัดสินใจกลับไปประชุมครม.ที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง
การประชุมผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย เพราะด้วยสภาพชัยภูมิที่ตั้ง และมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
โดยอุดช่องโหว่จุดอ่อนต่างๆ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นอีก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
***********************************************
รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาความปลอดภัย และหวั่นว่าจะเป็นการท้าทายทำให้เกิดเหตุบานปลายขึ้น
แกนนำรัฐบาล และผู้นำทหาร ตำรวจ ฝ่ายความมั่นคง ประชุมหารือกันก่อนตัดสินใจเลือกกระทรวงสาธารณสุข เป็นสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราวมาแล้ว 2 ครั้ง
เนื่องจากเห็นว่าสถานที่กว้างขวาง การคมนาคมสะดวกเข้า-ออกได้หลายช่องทาง ง่ายต่อการวางมาตรการรักษาความปลอดภัย และใกล้กับร.11 รอ. เซฟเฮาส์ นายกฯ และผู้นำเหล่าทัพ
กระทรวงสาธารณสุข ตั้งอยู่ถนนติวานนท์ แยกแคราย ในเขตจ.นนทบุรี
พื้นที่รวมกว่า 500 ไร่ มีอาคารสำนักงาน 13 อาคาร
ทิศเหนือใกล้ถนนงามวงศ์วาน ทิศตะวันออกใกล้ทางด่วนขั้นที่ 2 ทิศตะวันตกติดถนนติวานนท์ สามารถเข้า-ออกได้ถึง 5 ประตู
ตามปกติประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงจะใช้เส้นทางภายในกระทรวงสาธารณสุขเป็นเส้นทางลัด ระหว่างถนนติวานนท์-งามวงศ์วาน และใช้เป็นเส้นทางขึ้นทางด่วนขั้นที่ 2 ทำให้ในแต่ละวันมีปริมาณการจราจรบริเวณรอบๆ หนาแน่น
ประตูแต่ละด้านไม่ติดถนนใหญ่ ช่วยให้ควบคุมการเข้า-ออกได้อย่างดี
ในที่ตั้งของกระทรวงสาธารณสุข จะมีบ้านพักอาศัย และสถานที่ราชการอื่นๆ เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลบำราศนราดูร สำนักงานประกันสังคม ตั้งอยู่รายรอบ เหมือนเป็นด่านหน้าป้อมปราการแรก
สถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว รัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงใช้อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง ซึ่งอยู่บริเวณพื้นที่กึ่งกลางของกระทรวง มีอาคารกรมกองอื่นๆ ขนาบรอบข้าง
หากนับระยะจากประตูทางเข้ามาถึงอาคารที่ประชุม มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร
ส่วนห้องประชุมครม. ใช้ห้องชัยนาทนเรนทร ชั้น 2 เป็นสถานที่ประชุม ซึ่งมีขนาดใหญ่เพียงพอรองรับครม.และผู้ติดตามทั้งหมด
ภายในบริเวณกระทรวงยังมีสนามกีฬาขนาดใหญ่ และสนามหญ้าใกล้ๆ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง สามารถจอดเฮลิคอปเตอร์ และยานยนต์สำหรับรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินได้
วันอังคารที่ 23 มี.ค. นายอภิสิทธิ์เข้ามาทำหน้าที่ประธานการประชุมครม. ฝ่ายความมั่นคงนำเฮลิคอปเตอร์ มาจอดรอไว้ด้วย
นอกเหนือจากจากกำลังทหาร ตำรวจหลายกองร้อย พร้อมอุปกรณ์ต่อต้านและปราบจลาจลชนิดเต็มอัตราศึก
แต่ถึงการประชุมครม.ครั้งนั้นผ่านไปได้อย่างเรียบร้อย
ทว่าหลังนายกฯ และครม.ทยอยเดินทางออกจากสถานที่ประชุมครม.ชั่วคราว ก็เกิดเหตุคนร้ายยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกลงมาบริเวณกรมสุขภาพจิต ภายในกระทรวงสาธารณสุข ถึง 2 ลูก
สันนิษฐานว่าคนร้ายยิงมาจากบนทางด่วนด้านข้างกระทรวง
การประชุมครม. วันอังคารที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา ตอนแรกรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงเลือกประชุมใน ร.11 รอ.
แต่เมื่อนายกฯ ได้มีโอกาสเปิดเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งแรกกับแกนนำนปช.
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง รักษาการนายกฯ จึงตัดสินใจกลับไปประชุมครม.ที่กระทรวงสาธารณสุขอีกครั้ง
การประชุมผ่านไปได้ด้วยความเรียบร้อย เพราะด้วยสภาพชัยภูมิที่ตั้ง และมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด
โดยอุดช่องโหว่จุดอ่อนต่างๆ ไม่ให้เกิดเหตุร้ายซ้ำรอยขึ้นอีก
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ คอลัมน์ที่13
***********************************************
วิชาอำมาตย์!!??
เพียงแค่วันสองวันหลังจากการเจรจารัฐบาล-เสื้อแดงล่ม ก็มีการปั่นคำศัพท์ว่า "เหวง" ให้กลายเป็นคำที่ส่อไปในทางไร้สาระหรือก่อกวน
ชื่อ "ตู่" ของจตุพร พรหมพันธุ์ ก็พลอยโดนไปด้วย
สื่อต่างๆ ที่เอาใจช่วยรัฐบาลก็พร้อมใจรับลูกเอาไปขยายต่อ อย่างมีชั้นเชิงบ้าง เนียนบ้าง ทื่อบ้างตามพื้นฐานของแต่ละคนแต่ละฉบับ
ทีวีช่องหนึ่งก็ตาลีตา เหลือก ไปรูดเอาเนื้อจากอินเตอร์เน็ต หยิบเอาศัพท์มาขยาย ให้ความสำคัญระดับเป็นสกู๊ปร่วมๆ สองนาทีเลยทีเดียว
ไม่มีการประเมินเลยว่า ศัพท์ที่ว่านี้ ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้เรื่องด้วยไหม ไม่ประเมินเลยว่าที่ว่าฮิตอยู่ตามเฟซบุ๊กหรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั้น เป็นความนิยมโดยธรรมชาติหรือมีใครปั่นขึ้นมา
ในทางการเมือง วิธีการอย่างนี้เป็นเทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง
พูดถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านไป มีข้อดีและจุดอ่อน
เช่น การโต้เถียงหรือการใช้เวลาพูดแบบอภิปราย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เกิดขึ้นเพราะมีการถ่ายทอดสด และไม่มี "คนกลาง" ทำหน้าที่คุมประเด็น
จึงมีการเสนอกันว่า การเจรจารอบต่อไป หากจะมีขึ้นอาจไม่ต้องถ่ายทอด และต้องมีคนกลางดูแล
กรณีหมอเหวงกับจตุพร เป็นความพยายามที่จะใช้โอกาสที่มีการถ่ายทอดสด นำเสนอประเด็นที่หมอเหวงกับจตุพรรู้สึกว่าถูกปิดกั้นและไปไม่ถึงประชาชนวงกว้าง
ถ้ามีคนกลางอยู่ด้วยอาจจะตัดบทได้ว่า ให้นายกฯ รับเอาไปก่อน แล้วค่อยไปออกทีวีชี้แจงคนเดียว 3 ชั่วโมงไปเลยก็ได้
แต่พอไม่มี คนไทยก็เลยได้เห็นนายกฯ หน้าดำหน้าแดงกับเรื่องที่ไม่ควรต้องมาเถียงกัน และหมอเหวงยังได้เตือนนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย
กรณีหมอเหวงที่กล่าวถึงปัญหาทางชนชั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นักวิชาการรู้และหนักใจกันทั้งนั้น
แต่สังคมไทยเหินห่างจากแนวคิดแบบนี้มานาน ก็เลยไม่เข้าใจ เมื่อ ไม่เข้าใจก็กล่าวหาว่าเพ้อเจ้อไร้สาระ
การเจรจา 2 วันนั้น คนเสื้อแดงได้ส่งสารหลายอย่างที่สังคมไทยบางส่วนไม่รู้และไม่พยายามเข้าใจ
แถมยังยอมเป็นเหยื่อ "วิชามาร" หมูๆ โดยคิดว่าเท่เสียเต็มประดาอีกซะล่วย!!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย.คาดเชือก คาถาพัน
*****************************************************
ชื่อ "ตู่" ของจตุพร พรหมพันธุ์ ก็พลอยโดนไปด้วย
สื่อต่างๆ ที่เอาใจช่วยรัฐบาลก็พร้อมใจรับลูกเอาไปขยายต่อ อย่างมีชั้นเชิงบ้าง เนียนบ้าง ทื่อบ้างตามพื้นฐานของแต่ละคนแต่ละฉบับ
ทีวีช่องหนึ่งก็ตาลีตา เหลือก ไปรูดเอาเนื้อจากอินเตอร์เน็ต หยิบเอาศัพท์มาขยาย ให้ความสำคัญระดับเป็นสกู๊ปร่วมๆ สองนาทีเลยทีเดียว
ไม่มีการประเมินเลยว่า ศัพท์ที่ว่านี้ ชาวบ้านร้านตลาดเขารู้เรื่องด้วยไหม ไม่ประเมินเลยว่าที่ว่าฮิตอยู่ตามเฟซบุ๊กหรือเว็บบอร์ดต่างๆ นั้น เป็นความนิยมโดยธรรมชาติหรือมีใครปั่นขึ้นมา
ในทางการเมือง วิธีการอย่างนี้เป็นเทคนิคทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง
พูดถึงการเจรจาระหว่างรัฐบาลกับเสื้อแดง 2 วันที่ผ่านไป มีข้อดีและจุดอ่อน
เช่น การโต้เถียงหรือการใช้เวลาพูดแบบอภิปราย ซึ่งก็เข้าใจได้ว่า เกิดขึ้นเพราะมีการถ่ายทอดสด และไม่มี "คนกลาง" ทำหน้าที่คุมประเด็น
จึงมีการเสนอกันว่า การเจรจารอบต่อไป หากจะมีขึ้นอาจไม่ต้องถ่ายทอด และต้องมีคนกลางดูแล
กรณีหมอเหวงกับจตุพร เป็นความพยายามที่จะใช้โอกาสที่มีการถ่ายทอดสด นำเสนอประเด็นที่หมอเหวงกับจตุพรรู้สึกว่าถูกปิดกั้นและไปไม่ถึงประชาชนวงกว้าง
ถ้ามีคนกลางอยู่ด้วยอาจจะตัดบทได้ว่า ให้นายกฯ รับเอาไปก่อน แล้วค่อยไปออกทีวีชี้แจงคนเดียว 3 ชั่วโมงไปเลยก็ได้
แต่พอไม่มี คนไทยก็เลยได้เห็นนายกฯ หน้าดำหน้าแดงกับเรื่องที่ไม่ควรต้องมาเถียงกัน และหมอเหวงยังได้เตือนนายกฯ ในเรื่องนี้ด้วย
กรณีหมอเหวงที่กล่าวถึงปัญหาทางชนชั้น ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่นักวิชาการรู้และหนักใจกันทั้งนั้น
แต่สังคมไทยเหินห่างจากแนวคิดแบบนี้มานาน ก็เลยไม่เข้าใจ เมื่อ ไม่เข้าใจก็กล่าวหาว่าเพ้อเจ้อไร้สาระ
การเจรจา 2 วันนั้น คนเสื้อแดงได้ส่งสารหลายอย่างที่สังคมไทยบางส่วนไม่รู้และไม่พยายามเข้าใจ
แถมยังยอมเป็นเหยื่อ "วิชามาร" หมูๆ โดยคิดว่าเท่เสียเต็มประดาอีกซะล่วย!!
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์. ทิ้งหมัดเข้ามุม
โดย.คาดเชือก คาถาพัน
*****************************************************
ยุบสภาได้อะไร!!??
ถกเถียงกันยังไม่หยุดว่า...
ระหว่าง รัฐบาล นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ แกนนำ “นปช.” ที่ปะทะคารมกันสองวัน...
ในเรื่องการเจรจา “ต่อ-รอง”ของ “คนเสื้อแดง” เพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
ซึ่งบัดนี้ได้ถูก “ล้มโต๊ะ”ไปเรียบร้อย...
เพราะพูดกันคนละภาษาแต่...
ก็ยังมีหลายท่านอยากรู้ผลว่าในการ “เจรจา”ที่ผ่านมานั้น...
“ใครได้-ใครเสีย” หรือ “ใครแพ้ -ใครชนะ”!!
อันนี้ตอบยากส์ครับท่านก็ต้องแล้วแต่ว่า “ใครเชียร์ใคร”!!
ฝ่าย“เชียร์รัฐบาล” ก็บอกว่า “อภิสิทธิ์” พูดจาไพเราะระรื่นหูหมดจดชัดเจน!!
ในทางตรงกันข้าม“คนเสื้อแดง”บอกว่า วันนั้น “อภิสิทธิ์” ถูก“จตุพร พรหมพันธุ์” จับแก้ผ้าเรียบร้อย..
ทั้ง ไฝ ฝ้า รอยกระด่างกระดำ เป็นปื้นนั้นมีอยู่ตรงไหนบ้างตบะแตก“น็อตหลุด”
เพราะทั้ง ถูก“แยง”
และ “แหย่” จาก มนุษย์หัวเขียง ถึงขนาด “หมอเหวง” ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามยังต้องช่วยเตือนสติว่า
“อภิสิทธิ์”ซึ่งในขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกฯ อะไรควรไม่ควร น่าจะ “นิ่ง” มากกว่านี้
กว่าจะเรียก สมาธิ และ สติ กลับคืนมาได้..
ต้องใช้เวลาปั้นหน้าหล่อนานพอสมควร
เพราะลืมตัวไปว่านี่คือ การออกรายการสด
ไม่ใช่รายการที่เคยออกมาเป็นประจำทุกอาทิตย์ “เวทีนี้จึงไม่มีพี่เลี้ยง”!!
ที่สำคัญคือขาด“เตี้ย รำเต้ย” ที่จะมาช่วยยืนคอย “กำกับ”และ“ตกแต่งเวที” พร้อมทั้งบริการเช็ดเหงื่อให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ส่ง SMS คอย “ป้อนข้อมูล”มา
แก้เกมให้เป็น ระยะ ระยะ เท่านั้นโอ..ทีมเวิร์คกันจริงๆ โว้ย!!
จากนั้นวันเดียว “ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์” ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนชาวกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล..
ผลสรุปคือให้ “อภิสิทธิ์” ออก และ “ยุบสภา” สูงถึง 66% อุแม่เจ้า!
ดังนั้น คำพูดที่ “อภิสิทธิ์” พยายาม ที่จะให้พิสูจน์ว่า “ยุบสภา” แล้วประชาชนได้อะไร??
คำตอบก็เห็นอยู่แล้วนี่ครับ.. “ประชาชน” นั้นได้ชัดๆ..คือได้เห็น รัฐบาล ชุดนี้ พ้นหู-พ้นตาไปซะที!!
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
ระหว่าง รัฐบาล นำโดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ แกนนำ “นปช.” ที่ปะทะคารมกันสองวัน...
ในเรื่องการเจรจา “ต่อ-รอง”ของ “คนเสื้อแดง” เพื่อให้นายกฯ “ยุบสภา”
ซึ่งบัดนี้ได้ถูก “ล้มโต๊ะ”ไปเรียบร้อย...
เพราะพูดกันคนละภาษาแต่...
ก็ยังมีหลายท่านอยากรู้ผลว่าในการ “เจรจา”ที่ผ่านมานั้น...
“ใครได้-ใครเสีย” หรือ “ใครแพ้ -ใครชนะ”!!
อันนี้ตอบยากส์ครับท่านก็ต้องแล้วแต่ว่า “ใครเชียร์ใคร”!!
ฝ่าย“เชียร์รัฐบาล” ก็บอกว่า “อภิสิทธิ์” พูดจาไพเราะระรื่นหูหมดจดชัดเจน!!
ในทางตรงกันข้าม“คนเสื้อแดง”บอกว่า วันนั้น “อภิสิทธิ์” ถูก“จตุพร พรหมพันธุ์” จับแก้ผ้าเรียบร้อย..
ทั้ง ไฝ ฝ้า รอยกระด่างกระดำ เป็นปื้นนั้นมีอยู่ตรงไหนบ้างตบะแตก“น็อตหลุด”
เพราะทั้ง ถูก“แยง”
และ “แหย่” จาก มนุษย์หัวเขียง ถึงขนาด “หมอเหวง” ซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามยังต้องช่วยเตือนสติว่า
“อภิสิทธิ์”ซึ่งในขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกฯ อะไรควรไม่ควร น่าจะ “นิ่ง” มากกว่านี้
กว่าจะเรียก สมาธิ และ สติ กลับคืนมาได้..
ต้องใช้เวลาปั้นหน้าหล่อนานพอสมควร
เพราะลืมตัวไปว่านี่คือ การออกรายการสด
ไม่ใช่รายการที่เคยออกมาเป็นประจำทุกอาทิตย์ “เวทีนี้จึงไม่มีพี่เลี้ยง”!!
ที่สำคัญคือขาด“เตี้ย รำเต้ย” ที่จะมาช่วยยืนคอย “กำกับ”และ“ตกแต่งเวที” พร้อมทั้งบริการเช็ดเหงื่อให้เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาก็ทำได้แค่ส่ง SMS คอย “ป้อนข้อมูล”มา
แก้เกมให้เป็น ระยะ ระยะ เท่านั้นโอ..ทีมเวิร์คกันจริงๆ โว้ย!!
จากนั้นวันเดียว “ธุรกิจบัณฑิตย์โพลล์” ทำการสำรวจความคิดเห็นของคนชาวกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล..
ผลสรุปคือให้ “อภิสิทธิ์” ออก และ “ยุบสภา” สูงถึง 66% อุแม่เจ้า!
ดังนั้น คำพูดที่ “อภิสิทธิ์” พยายาม ที่จะให้พิสูจน์ว่า “ยุบสภา” แล้วประชาชนได้อะไร??
คำตอบก็เห็นอยู่แล้วนี่ครับ.. “ประชาชน” นั้นได้ชัดๆ..คือได้เห็น รัฐบาล ชุดนี้ พ้นหู-พ้นตาไปซะที!!
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
สีชมพู เสื้อเหลืองแปลงกาย จะแปลงกายังไง ก็พวก "อำมาตย์นิยม" นั่นเอง
อันที่จริงการต่อสู้ทางการเมือง มันไม่มีสี สีเป็นสิ่งที่สมมุติกันขึ้นเท่านั้นเอง แทนอุดมการณ์ของคนกลุ่มหนึ่ง พวกที่ต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตย ต้องการประชาธิปไตย ใช้สีแทนกลุ่มของตน คือ "สีแดง" หากจะเรียกอุดมการณ์ก็น่าจะแทนแนวคิด "เสรีประชาธิปไตย (อุดมการณ์ทางการเมือง ส่วนแนวคิดทางเศรษฐกิจอาจเป็นเสรีนิยม หรือโซเชียลลิตก็ได้)
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกอำมาตยาธิปไตย สนับสนุนคนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจเก่าทางสังคม เป็นพวกนิยมเจ้าหรือ Royalist เคยมีอุดมการณ์สุดโต่งถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แนวคิดถวายคืนอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กลุ่มพวกนี้ อุดมการณ์ทางการเมืองคือ "อนุรักษ์นิยม" แต่ก่อนใช่ "สีเหลือง" แทนพวกของตน
มีพวกหนึ่งพยายามใช้สีขาว แต่ถูกจับได้ว่า ไม่ใช่ ขาวจริง แต่เป็นพวก "เหลืองปลอมตัวมา" เช่น พวกปริญญา เทวานิรมิตรกุล เป็นต้น พวกนี้อาจไม่ใช่ พวก พธม. แต่แนวคิดคือ "อนุรักษ์นิยม" เป็นเครือข่ายหนึ่งของอำมาตย์
สีขาวจริงๆ ในเมืองไทยตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็น ไม่ว่า ประเวศ วะสี หรือ โคทม อารียา พวกนี้เหลืองแปลงตัวมาทั้งสิ้น
สีเหลืองผิดพลาดในการยึดสนามบิน ทำให้ กลายเป็น "จุดด่าง" ของพวกเสื้อเหลือง
เมื่อพวก "เสื้อแดง" เข็มแข็งขึ้น ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวก "อำมาตย์ก็พยายามปลุกมวลชนสู้ มวลชนที่เป็นมี "อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม" ก็ละอายที่จะใส่เสื้อเหลือง
ก็เลยพยายามแปลงกายเสียใหม่ เป็น "เสื้อชมพู"
แต่เนื้อแท้ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นพวก "เสื้่อเหลือง" นั่นเอง
การเมืองไทยตอนนี้สรุปคือ "ไพร่ VS อำมาตย์"
ไพร่ ใช้ สีแดง
อำมมาตย์ละอายที่จะใช้ สีเหลือง ก็เลยพยายามแปลงกายเป็นเสื้่อสีชมพู
แปลงกายยังไงมันก็พวกเดิมนั่นแหละ
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
โดย.ลูกชาวนาไทย
**********************************************
ส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกอำมาตยาธิปไตย สนับสนุนคนชั้นสูงและกลุ่มอำนาจเก่าทางสังคม เป็นพวกนิยมเจ้าหรือ Royalist เคยมีอุดมการณ์สุดโต่งถึงระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น แนวคิดถวายคืนอำนาจแก่พระมหากษัตริย์ (ซึ่งก็คือ สมบูรณาญาสิทธิราชย์) กลุ่มพวกนี้ อุดมการณ์ทางการเมืองคือ "อนุรักษ์นิยม" แต่ก่อนใช่ "สีเหลือง" แทนพวกของตน
มีพวกหนึ่งพยายามใช้สีขาว แต่ถูกจับได้ว่า ไม่ใช่ ขาวจริง แต่เป็นพวก "เหลืองปลอมตัวมา" เช่น พวกปริญญา เทวานิรมิตรกุล เป็นต้น พวกนี้อาจไม่ใช่ พวก พธม. แต่แนวคิดคือ "อนุรักษ์นิยม" เป็นเครือข่ายหนึ่งของอำมาตย์
สีขาวจริงๆ ในเมืองไทยตอนนี้ ผมยังมองไม่เห็น ไม่ว่า ประเวศ วะสี หรือ โคทม อารียา พวกนี้เหลืองแปลงตัวมาทั้งสิ้น
สีเหลืองผิดพลาดในการยึดสนามบิน ทำให้ กลายเป็น "จุดด่าง" ของพวกเสื้อเหลือง
เมื่อพวก "เสื้อแดง" เข็มแข็งขึ้น ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พวก "อำมาตย์ก็พยายามปลุกมวลชนสู้ มวลชนที่เป็นมี "อุดมการณ์แบบอนุรักษ์นิยม" ก็ละอายที่จะใส่เสื้อเหลือง
ก็เลยพยายามแปลงกายเสียใหม่ เป็น "เสื้อชมพู"
แต่เนื้อแท้ จิตวิญญาณ อุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นพวก "เสื้่อเหลือง" นั่นเอง
การเมืองไทยตอนนี้สรุปคือ "ไพร่ VS อำมาตย์"
ไพร่ ใช้ สีแดง
อำมมาตย์ละอายที่จะใช้ สีเหลือง ก็เลยพยายามแปลงกายเป็นเสื้่อสีชมพู
แปลงกายยังไงมันก็พวกเดิมนั่นแหละ
ที่มา.ไทยฟรีนิวส์
โดย.ลูกชาวนาไทย
**********************************************
ซื้อเวลา
ความห่วงใยต่อ สถานการณ์ความรุนแรง ในการชุมนุมขับไล่ รัฐบาลของคนเสื้อแดง ที่มีความเป็นไปได้ว่าจะ ยืดเยื้อ นอกจากนี้ เหตุระเบิดแต่ละครั้งยังจับมือใครดมไม่ได้ จนเป็นที่สันนิษฐานกันว่า คนร้ายที่ออกมาสร้างความวุ่นวายน่าจะเป็นคนมี สีด้วยกันเอง
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
ขนาดกลางวันแสกๆยังสามารถใช้อาวุธสงครามก่อเหตุ รอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้อย่างไร เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเกิดคำถามต่อสังคมว่า คนมีสีเหล่านี้เป็นคนสีไหน จะแดง จะเขียว จะเหลือง หรือจะสีน้ำเงิน
หรือมือที่สามที่มองไม่เห็น
ตำรวจทหารที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบในส่วนของความมั่นคงอึกๆอักๆ ไม่รู้ไปเจอตออะไรเข้า วันนี้ไม่รู้เกิดเหตุระเบิดก็สิบครั้งแล้วในเวลาและสถานที่แตกต่างกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บไปแล้วนับสิบราย ทรัพย์สินเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย
ถามว่าใครรับผิดชอบ
ใน ศอ.รส.จะมองเห็นสัญญาณอันตรายจุดนี้หรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบกแถลงยืนยันว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์ระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้ง ที่ประชุม ศอ.รส.ประเมินสถานการณ์แล้ว จึงมีคำสั่งให้ทหารและตำรวจพกพาอาวุธในการปฏิบัติการ
โดยมีเงื่อนไขว่า ใกล้กับพื้นที่การชุมนุมจะไม่มีใครพกอาวุธเด็ดขาด (มีการจับได้ว่าทหารที่เข้าไปหาข่าวในพื้นที่การชุมนุมพกอาวุธปืนเข้าไปด้วย) ยกเว้นทหารตำรวจที่ปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหาร สถานที่สำคัญ และบุคคลสำคัญจึงจะพกอาวุธ (ปฏิบัติกันเป็นภารกิจปกติอยู่แล้ว) มีการพกอาวุธประจำกายทั้งใน และนอกเครื่องแบบ ทั้งนี้ ได้กำหนดจุดล่อแหลมไว้ 88 จุด จุดตรวจ 112 จุด และลาดตระเวนใน 93 เส้นทาง
ถามว่าเพื่อความปลอดภัยของรัฐหรือของประชาชน
การซื้อเวลาของรัฐบาลไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะเกี่ยงเรื่องเวลาว่าจะยุบสภาตอนไหนดี ไม่ใช่มาเถียงกันว่า จะต้องแก้กฎกติกาก่อนหรือไม่ ไม่ต้องมาต่อรองหรือท้าทายว่า จะทำประชามติว่ายุบหรือไม่ยุบสภาดีหรือไม่
แทงกั๊กปาหี่ไปเรื่อยๆ
เพราะความจริงก็คือ รัฐบาลยุบสภาไม่ได้อยู่แล้ว การเจรจาไม่ต่างจากปาหี่การเมืองฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อแก่นแท้ของปัญหาเป็นอย่างไร และถ้ารัฐบาลแพ้เที่ยวนี้ความเปลี่ยนแปลงอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ทุกฝ่ายรู้อยู่เต็มอก ดังนั้น จึงต้องทุ่มเทกันสุดความสามารถที่จะยื้อเวลาให้ครบวาระหรืออย่างน้อยก็ให้เกินเดือนตุลาคมไปให้ได้ ทั้งงบประมาณ ทั้งการโยกย้ายกำลังที่จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลือกตั้งจะต้องพร้อม
ดังนั้น ถ้ามีแรงกดดันให้ยุบสภาก่อนเดือนตุลาคมภายใน 15 วัน หรือ 3 เดือน จึงเป็นไปไม่ได้และ เป็นเงื่อนตาย ที่จะนำไปสู่การใช้กำลังทางทหารเข้าค้ำยันอำนาจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน.
หมัดเหล็ก ไทยรัฐ
*********************************************
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
สมาคมนักข่าวฯเปิดเวที"วีระ มุสิกพงศ์"ยันเรื่องประโยชน์ชาติคุยได้ตลอดเวลา-หา"เวลากลาง"ยุบสภา

เมื่อวันที่ 1 เมษายน สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดราชดำเนินเสวนา เรื่อง “เนื้อหาที่ควรคุยในวิกฤตความขัดแย้ง”
นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม อดีตรองนายกรัฐมนตรี เสนอแก้วิกฤตความขัดแย้งด้วยยุทธศาสตร์ถนน 3 สาย ได้แก่
1. แก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองและสร้างการเมืองแบบร่วมคิดร่วมทำ
2. แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาหนี้สิน และปัญหาความยากจน แบบบูรณาการยั่งยืน
3. คือ แก้ปัญหาความไม่เป็นธรรม และสร้างความเป็นมิตรไมตรีในสังคม
อดีตรองนายกฯ กล่าวว่า การแก้วิกฤตการเมือง น่าจะมีบุคลากรทั้งจากรัฐบาลและ นปช. มาร่วมทำการบ้าน จะเจอกันในรอบหรือนอกรอบก็ได้ในระดับคนทำงาน ร่วมคิดร่วมทำสรุปเนื้อหาที่พอใจร่วมกัน โดยมีกระบวนการจัดการหารือที่ดี สร้างทัศนคติ อารมณ์ มุมมองร่วมกันให้ชัดเจน ยอมรับซึ่งกันและกัน
“คนที่พูดคุยกัน คือ คนจากทุกภาคส่วนของสังคม ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลกับ นปช. เพราะประชาชนทั้งประเทศยิ่งใหญ่กว่ารัฐบาล ยิ่งใหญ่กว่านปช.”
นายไพบูลยืกล่าวว่า คิดว่า วิกฤตประเทศไทยวันนี้ให้กำไรกับสังคมไทย เรียนรู้ความก้าวหน้าของสังคมไทย ในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น การเรียนรู้และการจัดการบรรทัดฐานการชุมนุมสาธารณะ หรือการเรียนรู้ความคิดเห็นอันหลากหลายจากประชาชนหลายกลุ่ม
นายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวว่า ปัญหาของประเทศวันนี้อยู่ที่การยึดอำนาจ และไม่ให้เวลาประชาชนในการแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ฉะนั้น ข้อเสนอกลุ่มนปช.หลักการก็คือ ยุบสภาคืนอำนาจอธิปไตยให้กับประชาชน
“ปี 2535 ผมบอกกับท่านจำลอง (ศรีเมือง) ว่า การรบบนถนน ผมขอเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อปี 2549 มีการยึดอำนาจอีก ผมก็ออยู่เฉยไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยก็ตายไปเลย”
ต่อข้อถามว่า นปช.และรัฐบาลจะมีการเจรจากันอีกหรือไม่ นายวีระ กล่าวว่า เรื่องผลประโยชน์ประเทศชาติพูดคุยกันได้เสมอ แต่อย่าเอาคำพูดบนเวทีมาเป็นเนื้อหาหลักในการเจราจา เพราะไม่ฉะนั้นแล้ว การเจรจาจะจบไม่ได้
นายวีระ ยังกล่าวว่า เมื่อข้อเสนอยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 9 เดือน หาข้อยุติไม่ได้ ฉะนั้นคำตอบการยุบสภาก็คงไม่ใช่ 2 เวลาดังกล่าวนี้แน่ แต่จะเวลาไหน อย่างไร ก็อยู่ที่โอกาสที่จะได้ติดต่อพูดคุยกัน
นายไพโรจน์ พลเพชร ประธานคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวว่า สังคมไทยวันนี้ มีความตื่นตัวทางการเมืองสูงสุด อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เนื่องจากในอดีตวกฤตมักจบด้วยความรุนแรง เมื่อมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน แต่วันนี้สังคมก้าวหน้าด้วยแนวทางสันติวิธี
นายไพโรจน์ ยังกล่าวว่า ต้องเข้าในว่าวันนี้สังคมไทยเผชิญกับวิกฤต 2 ด้านใหญ่ 1. คือ เกิดวิกฤตความชอบธรรม ต่อสถาบันทางการเมืองทุกระดับ ทั้งวิกฤตการขึ้นสู่อำนาจของรัฐบาลที่ถูกตั้งคำถามว่า มาด้วยความชอบธรรมหรือไม่ หรือองค์กรอิสระวันนี้มีความชอบธรรมหรือเปล่า
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตการใช้อำนาจ ว่าการใช้อำนาจของสถาบันทางการเมืองวันนี้ใช้โดยชอบหรือไม่ และการตั้งคำถามเรื่องการใช้อำนาจ 2 มาตรฐาน ซึ่งปะทุให้เห็นอย่างชัดเจน
ส่วนวิกฤตที่ 2. คือ วิกฤตความชอบธรรมทางสังคม คือ เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เช่น การเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การถือครองที่ดินของรัฐ ดังเห็นได้จากกรณีปัญหา เขายายเที่ยง หรือ กรณีที่ดินเขาสอยดาว ซึ่งระบบการเมืองตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ และทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีวิกฤตความยากจน จนเกิดคำถามจากกลุ่มคนเสื้อแดงว่า เป็นสงครามชนชั้นหรือไม่ นี่คือสิ่งที่ต้องคิดร่วมกัน
นายไพโรจน์ เสนอว่า ระยะเวลาก่อนยุบสภาหรือหลังยุบสภา ควรมีการแก้ปัญหาหลักๆ คือ เสนอวาระด้านนิติบัญญัติร่างกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และควรปฏิรูปการเมืองสังคมไทยอีกรอบหนึ่ง โดยการเปลี่ยนโครงสร้างที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในระยะยาว
พล.อ. เอกชัย ศรีวิลาศ ผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า เห็นด้วยกับคุยเนื้อหาที่ว่าด้วยการแก้ความขัดแย้งเชิงโครงสร้าง ทั้งด้านเศรษฐกิจการเมือง และสังคม ส่วนการเจรจา ไม่ควรพูดเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ควรพูดเรื่องการแก้ปัญหาในอนาคต และไม่นิยมความรุนแรง
“ผมเชื่อว่าทั้ง 2 ฝ่ายยังต้องการพูดคุยร่วมกัน เพราะการทิ้งไว้นานจนเกินไป สถานการณ์อาจผกผัน เกิดระเบิดลงอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความบานปลายได้” พล.อ. เอกชัย กล่าว
ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************
"เสื้อแดง" ขู่ ชนทุกกลุ่มที่ต่อต้าน ตามแผน ศอ.รส.
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช.กล่าวถึงกรณีที่มีกลุ่มพี่น้องมหิดลนำโดย น.พ.กุศล ประวิชไพบูลย์ ยื่นหนังสือต่อรองเลขาธิการนายกฯโดยได้ประณามการสาดเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่นำไปเทสถานที่ต่างๆเนื่องจากตรวจเลือดแล้วพบว่าเป็นเลือดไวรัสตับซี ไวรัสตับอักเสบบี และเชื้อไวรัสเอดส์และได้มีการผสมเลือดหมู วัว รวมด้วย นั้น อยากถามว่า น.พ.กุศล มีสิทธิ์อะไรมาตรวจสอบเลือดของกลุ่มคนเสื้อแดง ได้รับมอบหมายจากหน่วยงานใดให้มาทำเช่นนี้ ทั้งนี้ที่บอกว่านำเลือดไปตรวจ นำไปตรวจตอนไหน
เพราะในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไปเทเลือดแล้วมีการทำความสะอาดทันที ยืนยันว่าการกระทำของ น.พ.กุศล เป็นการกระทำที่อัปยศที่สุดในวงการแพทย์ คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์มาประณามการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มคนเสื้อแดงยอมไม่ได้ เพราะนอกจากบอกว่าเลือดมีเชื้อไวรัสแล้ว ยังระบุว่าเป็นเลือดของสุกรและวัว แสดงว่าเลือดของคนเสื้อแดง เปรียบได้เสมือนกับเลือดของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ดังนั้นยังจะถามไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่าเป็นสถานที่ตรวจผลเลือด ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ล่าสุด ร.พ.รามาฯ ปฎิเสธว่าไม่เคยตรวจเลือด จึงไม่ใช่เป้าหมาย เหลือแต่ ม.มหิดล หากไม่มีคำตอบ วันที่ 3 เม.ย.เราจะเดินทางไปเยี่ยม
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 2 เม.ย. ทราบว่ากลุ่มนักวิชาการจุฬาฯจะจัดเสวนา โดยคณาจารย์ที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถอดเสื้อสีเหลืองออกมาใส่เสื้อสีชมพู รวมทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่จะชุมนุมต่อต้านการยุบสภา ที่สวนลุมพีนี แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนทราบที่มาของการชุมนุมครั้งนี้ ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นการจัดการของ ศอ.รส. ที่พยายามจัดหากลุ่มมวลชนมาต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง โดยใช้งบประมาณของราชการ ดังนั้นในวันที่ 2 เม.ย. เวลา 12.00 น. กลุ่มเสื้อแดงจะเดินทางไปยังจุฬาฯ เพื่อทวงถามอธิการบดีว่าจะจัดงานเสวนาจริงหรือไม่ ถ้าหากมีการใช้จุฬาฯเป็นสถานที่เสวนา กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะไปรณรงค์ให้ยุบสภาภายในจุฬาฯเช่นกัน ในเมื่อมีประชาชนกลุ่มหนึ่งใช้ได้ ประชาชนอีกกลุ่มก็ต้องใช้ได้เช่นกัน และหลังจากที่ไปที่จุฬาแล้ว จะแวะไปที่ลานหน้าสวนลุมพินีเพื่อไปสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มนักธุรกิจโรงแรมเหล่านี้
ด้านนายจตุพร พรมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.พ.กุศล เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ลงชื่อไม่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเคยเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน จึงถือว่า น.พ.กุศล เป็นเครือข่ายของกลุ่มอำมาตย์ ที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวของประชาชน และจากการตรวจสอบ พบว่า น.พ.กุศล ได้เปิดคลีนิกศัลยกรรม อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ดังนั้นคนเสื้อแดงที่อยากไปทำศัลยกรรมจมูกกับหมอคนนี้ก็สามารถติดต่อได้ โดยตนได้ประกาศหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทราบว่า ผอ.โรงพยาบาลรามาฯได้แถลงแล้วว่า น.พ.กุศล ไม่ใช่คนของโรงพยาบาลรามาฯ และการตรวจเลือดของบุคคลที่ไม่ยินยอมก็ไม่สามารถดำเนินการ ดังนั้น เป้าหมายที่โรงพยาบาลรามาฯ เราคงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมอีกแล้ว และหวังว่า ม.มหิดล จะแถลงถึงความชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มเพื่อนมหิดล จริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคิดว่าเป็นฝีมือในวันโกหกนานาชาติ ที่พยายามสร้างเรื่องมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
เพราะในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไปเทเลือดแล้วมีการทำความสะอาดทันที ยืนยันว่าการกระทำของ น.พ.กุศล เป็นการกระทำที่อัปยศที่สุดในวงการแพทย์ คนกลุ่มนี้ไม่มีสิทธิ์มาประณามการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งเรื่องนี้กลุ่มคนเสื้อแดงยอมไม่ได้ เพราะนอกจากบอกว่าเลือดมีเชื้อไวรัสแล้ว ยังระบุว่าเป็นเลือดของสุกรและวัว แสดงว่าเลือดของคนเสื้อแดง เปรียบได้เสมือนกับเลือดของสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ดังนั้นยังจะถามไปยังมหาวิทยาลัยมหิดล และโรงพยาบาลรามาธิบดี ที่ระบุว่าเป็นสถานที่ตรวจผลเลือด ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร แต่ล่าสุด ร.พ.รามาฯ ปฎิเสธว่าไม่เคยตรวจเลือด จึงไม่ใช่เป้าหมาย เหลือแต่ ม.มหิดล หากไม่มีคำตอบ วันที่ 3 เม.ย.เราจะเดินทางไปเยี่ยม
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 2 เม.ย. ทราบว่ากลุ่มนักวิชาการจุฬาฯจะจัดเสวนา โดยคณาจารย์ที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ถอดเสื้อสีเหลืองออกมาใส่เสื้อสีชมพู รวมทั้งกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยว ที่จะชุมนุมต่อต้านการยุบสภา ที่สวนลุมพีนี แม้ว่าการชุมนุมจะเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อตนทราบที่มาของการชุมนุมครั้งนี้ ว่า การเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นการจัดการของ ศอ.รส. ที่พยายามจัดหากลุ่มมวลชนมาต่อต้านกลุ่มเสื้อแดง โดยใช้งบประมาณของราชการ ดังนั้นในวันที่ 2 เม.ย. เวลา 12.00 น. กลุ่มเสื้อแดงจะเดินทางไปยังจุฬาฯ เพื่อทวงถามอธิการบดีว่าจะจัดงานเสวนาจริงหรือไม่ ถ้าหากมีการใช้จุฬาฯเป็นสถานที่เสวนา กลุ่มคนเสื้อแดงก็จะไปรณรงค์ให้ยุบสภาภายในจุฬาฯเช่นกัน ในเมื่อมีประชาชนกลุ่มหนึ่งใช้ได้ ประชาชนอีกกลุ่มก็ต้องใช้ได้เช่นกัน และหลังจากที่ไปที่จุฬาแล้ว จะแวะไปที่ลานหน้าสวนลุมพินีเพื่อไปสังเกตการณ์ชุมนุมของกลุ่มนักธุรกิจโรงแรมเหล่านี้
ด้านนายจตุพร พรมพันธ์ แกนนำ นปช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า น.พ.กุศล เป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ลงชื่อไม่ยอมรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งเคยเข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ที่บ้านสี่เสาฯก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน จึงถือว่า น.พ.กุศล เป็นเครือข่ายของกลุ่มอำมาตย์ ที่ต่อต้านการเคลื่อนไหวของประชาชน และจากการตรวจสอบ พบว่า น.พ.กุศล ได้เปิดคลีนิกศัลยกรรม อยู่ที่ห้างสรรพสินค้า 2 แห่ง ดังนั้นคนเสื้อแดงที่อยากไปทำศัลยกรรมจมูกกับหมอคนนี้ก็สามารถติดต่อได้ โดยตนได้ประกาศหมายเลขโทรศัพท์ให้ทราบแล้ว อย่างไรก็ตามขณะนี้ทราบว่า ผอ.โรงพยาบาลรามาฯได้แถลงแล้วว่า น.พ.กุศล ไม่ใช่คนของโรงพยาบาลรามาฯ และการตรวจเลือดของบุคคลที่ไม่ยินยอมก็ไม่สามารถดำเนินการ ดังนั้น เป้าหมายที่โรงพยาบาลรามาฯ เราคงไม่จำเป็นต้องไปเยี่ยมอีกแล้ว และหวังว่า ม.มหิดล จะแถลงถึงความชัดเจนว่าการกระทำดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มเพื่อนมหิดล จริงหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคิดว่าเป็นฝีมือในวันโกหกนานาชาติ ที่พยายามสร้างเรื่องมาใส่ร้ายคนเสื้อแดง
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
วิทยุชุมชนคนเสื้อแดง ระบุ รัฐแทรกแซงสื่อ
นายวิโรจน์ มูลสุข ประธานสภาองค์กรวิทยุโทรทัศน์ท้องถิ่นแห่งชาติ(สอทช.) ได้นำกลุ่มนักจัดรายการวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศ กว่า 50 คน โดยเฉพาะคลื่นวิทยุจากภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขึ้นเวทีปราศรัยแสดงจุดยืนโดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า จะเคียงข้างกลุ่มคนเสื้อแดง
และพร้อมจะนำนักจัดรายการวิทยุชุมชนขึ้นมาสลับกันจัดรายการวิทยุโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ดูด้านสื่อสารมวลชนแต่ปฏิบัติตนขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ในการแทรกแซงสื่อ และไม่ยอมเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคม ซึ่งพวกเรายืนยันว่าจะเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านวิทยุชุมชนให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจ ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งนี้จะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเข้ามาชุมนุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประเทศ ไทย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
และพร้อมจะนำนักจัดรายการวิทยุชุมชนขึ้นมาสลับกันจัดรายการวิทยุโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะที่ดูด้านสื่อสารมวลชนแต่ปฏิบัติตนขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 ในการแทรกแซงสื่อ และไม่ยอมเสนอข้อเท็จจริงต่อสังคม ซึ่งพวกเรายืนยันว่าจะเปิดเผยข้อเท็จจริงผ่านวิทยุชุมชนให้คนทั้งประเทศได้เข้าใจ ถึงการชุมนุมของคนเสื้อแดง ทั้งนี้จะเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนเข้ามาชุมนุมใหญ่ เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย กลับคืนสู่ประเทศ ไทย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**********************************************
ยุบสภาเถิดท่านท้าวอภิสิทธิ์***
ประชาธิปไตยนั่นแล้ ปกครอง
ชนทั่วสากลปอง ไขว่คว้า
ราษฎรฝ่าละออง บาทอุ่น ไท้นา
หวังแต่เพียงเสมอหน้า เพื่อนบ้านวิไล
ประชาไทยต่อต้าน เผด็จการ
ทหารชั่วคอยพาลผลาญ ฆ๋าล้าง
ประชาธิปไตยยาน นำสู่ สุขนา
แจกจ่ายความเจริญกว้าง ทั่วด้าวแดนสยาม
ทุกเขตคามต่างร้อง ประกัน
พืชไร่นาผกผัน ค่าน้อย
ทำทุกวี่วันวัน จนยิ่ง
ควรเพิ่มราคาเข้า เพื่อให้พอกิน
สินทรัพย์ไยปล่อยให้ คนรวย
เป็นกลุ่มคอยฉกฉวย ไพร่ไร้
รัฐควรเร่งอำนวย คุมทั่ว ถึงนา
แจกจ่ายกำไรใช้ จ่ายหนี้เติมทุน
หวังอุดหนุนเพื่อได้ นายก
เลือกส่องพรรคถูกอก เพื่อใช้
บริหารแผ่นดินรก ยากยุ่ง
ผันผ่านจำเริญได้ เก่งด้วยปัญญา
ยุบสภาเถิดท่านท้าว อภิสิทธิ์
ชนไพร่ไปทวงสิทธิ์ ป่าวร้อง
อำนาจใช่ศักดิ์สิทธิ์ ตราบชั่ว ชีพนา
คืนเพื่อเลือกอีกพร้อง อย่างต้องธรรมนูญ
by ปติตันขุนทด
****************************************************
ชนทั่วสากลปอง ไขว่คว้า
ราษฎรฝ่าละออง บาทอุ่น ไท้นา
หวังแต่เพียงเสมอหน้า เพื่อนบ้านวิไล
ประชาไทยต่อต้าน เผด็จการ
ทหารชั่วคอยพาลผลาญ ฆ๋าล้าง
ประชาธิปไตยยาน นำสู่ สุขนา
แจกจ่ายความเจริญกว้าง ทั่วด้าวแดนสยาม
ทุกเขตคามต่างร้อง ประกัน
พืชไร่นาผกผัน ค่าน้อย
ทำทุกวี่วันวัน จนยิ่ง
ควรเพิ่มราคาเข้า เพื่อให้พอกิน
สินทรัพย์ไยปล่อยให้ คนรวย
เป็นกลุ่มคอยฉกฉวย ไพร่ไร้
รัฐควรเร่งอำนวย คุมทั่ว ถึงนา
แจกจ่ายกำไรใช้ จ่ายหนี้เติมทุน
หวังอุดหนุนเพื่อได้ นายก
เลือกส่องพรรคถูกอก เพื่อใช้
บริหารแผ่นดินรก ยากยุ่ง
ผันผ่านจำเริญได้ เก่งด้วยปัญญา
ยุบสภาเถิดท่านท้าว อภิสิทธิ์
ชนไพร่ไปทวงสิทธิ์ ป่าวร้อง
อำนาจใช่ศักดิ์สิทธิ์ ตราบชั่ว ชีพนา
คืนเพื่อเลือกอีกพร้อง อย่างต้องธรรมนูญ
by ปติตันขุนทด
****************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)