ที่นายอภิสิทธิ์ ไม่ยอมยุบสภาเพราะมีคำบัญชาพิเศษ ว่า
ถ้ายุบสภาแล้วมันจะต้องพบกับความวิบัติทั้งพรรคและครอบครัว
ได้รับโบนัสพิเศษดังนี้
1.คดีค้างเก่าตัวบุคคลของพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งแต่นายชวน หลีกภัย ลงมา
2.คดีค้างเก่าของพรรคประชาธิปัตย์ที่อยู่ในระหว่างการดองเค็ม ที่ยังไม่หมดอายุความ
3.คดีใหม่ที่อยู่ในระหว่างการสอบสวนหรือการพิจารณา ของหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ
4.การทุจริต คอรัปชั่น ในโครงการต่างๆ ตามที่เป็นข่าวในหน้าสื่อต่างๆจะกลายเป็นคดีความขึ้นมาทันที
ดังมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วเช่น พรรคไทยรักไทย,พลังประชาชน,ชาติไทย ฯ
ทั้งหมดนี้จะถาโถมเข้าใส่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาล แบบมหาพายุไซโคลเชียวละ
โดยมีธงไว้แล้วนี่คือสาเหตุหลักๆที่มันไม่ยุบสภา แต่ก็ยังเหตุผลอื่นๆประกอบรองอีกมาก
เช่น ชำระความแค้นส่วนตัวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรหรือพรรคเพื่อไทยหรือ3เกลอ
ทั้งที่..ชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ขณะนี้แทบจะกล่าวได้ว่า เสื่อมถอยและหมดศรัทธาอย่างมากๆ
แต่คนปากกล้าขาสั่น มันก็ยังไม่ทิ้งลาย โดยยื่นเงื่อนไขว่า
อำมาตย์ต้องสั่งกองทัพและข้าราชการ ให้ปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาล
แต่กองทัพนั้นก็นกรู้ไม่ยอมเป็นแพะถ้าหากมันเกิดเหตุไม่คาดฝันแล้วมีคนตาย
จึงให้นายสุเทพ หรือนายอภิสิด สั่งโดยใช้คำสั่งในฐานะ ผอ.รส ทุกคำสั่ง เป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด
โดยผบ.เหล่าทัพไม่ต้องรับผิดชอบในฐานะปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา
แล้วคิดหรือว่าผบ.เหล่าทัพนั้นจะรอดไปได้เพราะผบ.เหล่าทัพถือโอกาสรีดไถเงินจาก
รัฐบาลเป็นค่าคุ้มครอง ทั้งเข้าหน่วยงานและเข้ากระเป๋า
และความมักใหญ่ไฝ่สูงทะเยอทะยานของนายทหารบางนาย...ได้รับคำประกาศิตจากอำมาตย์
ให้ทำการกวาดล้างคนเสื้อแดงไปด้วยโดยใช้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลเป็นหุ่นเชิดดิ้นได้
ถ้าชนะก็แฮปปี้แล้วคิดหรือว่าจะชนะคนเสื้อแดงได้ดังฝันของอำมาตย์.......
.............คนเสื้อแดงนี่ละ จะดับฝันอำมาตย์.............................
โดย.หัตถา.
***********************************************
วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553
ผ่าทางตันวิกฤติประเทศไทย เจรจาอย่างสันติ ถอยคนละก้าว
ใกล้ถึง วันดีเดย์เคลื่อนไหวใหญ่ของกลุ่มคนเสื้อแดงอีกครั้งในวันเสาร์ที่ 27 มี.ค. หลังจากปักหลักชุมนุมนานกว่า10 วัน แกนนำได้งัดสารพัดยุทธศาสตร์เคลื่อนไหวเรียกเสียงฮือฮาไปทั่วโลก โดยเฉพาะยุทธศาสตร์สาดเลือด และ ครั้งนี้เตรียมใช่้ไม้เด็ดเชิญ "กินเนสส์บุ๊ก" บันทึกประวัติศาสตร์ หวังกดดันรัฐบาล ชูประเด็นเป็นนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับไล่มากครั้งที่สุดในโลก จนทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องยุบสภาในที่สุด ก่อนที่จะเดินหน้าขยับเป้าหมายสู่จุดสูงสุด คือ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างสังคมไทย ขณะที่รัฐบาลเองก็ยังเดินเกมตอบโต้อย่างเงียบๆ แต่ได้ผล ชนิดที่เรียกว่า "วินาทีต่อวินาที ใครพลาดก็น็อก "
ไม่แปลกที่หลายคนอึดอัดกับ บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมือง ประเทศอึมครึม ไม่ราบรื่นสงบสุข หลายคนออกมาแสดงความเห็นเรียกร้องอยากให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ดูเหมือน "ยังมืดมน" เพราะทั้งสองฝ่ายยังตั้งแง่ เล่นหลบขบเหลี่ยม วางเงื่อนไข ตั้งการ์ดสูงกันทั้งสองฝ่าย และ มีแต่จะเพิ่มดีกรีความร้าวรานขึ้น หากปัญหายังคาราคาซังและทวีความรุนแรงขึ้น เห็นทีประเทศชาติจะถึงคราดิ่งลงเหวอีกครั้ง
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และ อธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์กับ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงแนวทางการผ่านวิกฤติครั้งนี้ ว่า ทุกฝ่ายจะต้องฟังเหตุผลกันก่อนว่าทำไมจึงอ้างว่าขอให้ยุบสภา และ อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างว่าไม่ยุบทันทีทันใดตามที่เรียกร้อง แต่จะยุบเมื่อไหร่นั้นบอกไม่ได้ ต้องมาพิจารณาดูว่าเหตุผลที่เรียกร้องดีพอหรือไม่ ต้องฟังเหตุผลกัน วันนี้แกนนำ นปช.บอกว่าจะคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวและจะคุยก็ต่อเมื่อยุบสภาแล้วเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ไม่มีทางที่จะไปกันได้
ข้อเรียกร้องวันนี้ไม่สมเหตุ สมผล การเรียกร้องต้องมีเหตุผล ยกเหตุผลออกมาประจักษ์ว่า 1.สภาวุ่นวายอย่างไร 2.ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทุจริตอย่างไร พร้อมนำหลักฐานมาเปิดโปง ตรวจสอบเป็นฉากๆ รัฐมนตรีกระทรวงไหนทำผิด โกงกินบ้านเมือง ประชาชาชนไม่พอใจในสิ่งเหล่านี้ และ นายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลยไม่มีแก้ไข จึงออกมาเรียกร้อง เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และจะขอให้รัฐบาลลาออกในที่สุด
"อยู่ๆก็มาบอกว่ายุบสภา มันแรงไป เหมือนคนข้างบ้านทะเลาะกันเพราะกิ่งไม้ แต่ต้องการตัดต้นไม้ทิ้งทั้งต้น มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ซึ่งถ้ายับยั้งชั่งใจไม่ได้ ทหารคงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองเละเทะ เกิดปฎวัติรัฐประหารแน่นอน รัฐบาลเองก็ต้องบริหารระดมความคิดกันทั้ง ครม. ทหาร 3 เหล่าทัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ มวลชนองค์กรต่างๆ ต้องร่วมกันหาทางออก และ กลุ่มผู้ชุมนุมเองต้องลดเงื่อนไข ถอยกันคนละก้าว รัฐบาลก็ระดมให้ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนคนที่ชุมนุมนั้นก็ต้องปล่อย หากเป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ"
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงประชาชนว่าไม่สามารถทำตามข้อเรียกข้องของกลุ่มคนเสื้อ แดงได้เพราะอะไร การยุบสภานั้นยังไม่มีเหตุเพียงพอ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันต้องเร่งประสานเชิกรุุกทำความตกลงกับแกนนำผู้ชุมนุม จุดอ่อนของรัฐบาลตั้งแต่เริ่มต้นไม่สมควรปล่อยให้มีการเดินทางเข้ามาชุมนุม ในพื้นที่่ส่วนกลางมากนัก มีอำนาจสั่งการกำกับดูแลในรอบต่างจังหวัดควรสกัดไว้ก่อน เพราะการมาชุมนุมกันและมีวิธีการแสดงออกมากมายในลักษณะทำลายความน่าเชื่อ ถือ ทำให้ทุกคนผวา หวาดหวั่น เคร่งเครียด หวาดกลัว ว่าจะรบกันเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตามความเสียหายครั้งนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งสังคม
"ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่มายื่นคำขาดฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ แกนนำ นปช.คงต้องลดลงมาหน่อย รัฐบาลเองก็ต้องดูกรอบกฎหมาย ตามความชอบธรรม คำนึงถึงเสถียรภาพและการบริหารที่ดีที่จะนำพาประเทศให้อยู่อย่างปกติสุข ผมเชื่อว่ารัฐบาลมีหลักการที่จะดำเนินการไปในทิศทางที่ดีได้" พล.ต.อ.ประทิน กล่าวในที่สุด
ด้านนายณัชพล เกิดเกษม ประธานสภาชุมชนลาดกระบัง แกนนำเครือข่ายพลเมืองชุมชนคนกรุงเทพฯ กล่าวว่า สถานการณ์เริ่มส่อเค้าว่าจะเกิดความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนที่อยู่ ในชุมชนกรุงเทพมหานครและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง จึงขอเรียกร้อง 1.ให้ทุกฝ่ายร่วมกันยุติปัญหา และไม่ใช้ความรุนแรง โดยใช้การเจรจา 2.ให้ทุกฝ่ายเคารพในสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนและชุมชน และชุมชนขอยืนยันสิทธิของตนเองให้ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และครรลองของกฎหมาย 3.ให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าร่วมกับชุมชนในการจัดระบบความปลอดภัยใน ชีวิต และทรัพย์สินของชุมชน และ 4.ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พิจารณาออกมาตรการป้องกัน คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชน และสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะของผู้ชุมนุมอย่างเหมาะสม
นายณัชพล กล่าวต่อไปว่า ในนามของเครือข่ายฯ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 1,283 องค์กร อยากเห็นการเจรจากันอย่างสันติวิธี ที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าชุมชนได้รับความเดือดร้อน เพราะชุมชนอยู่ใกล้เหตุการณ์ และบางชุมชนเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว เช่น ชุมชนแพร่งภูธร เขตพระนครที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่วนชุมชนนางเลิ้ง และชุมชนเพชรบุรี ซอย 7 ก็เคยเกิดเหตุการณ์จนมีผู้เสียชีวิต ส่วนชุมชนอื่นๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง เราจะใช้พลังเครือข่ายชุมชนในการจัดทำแผนป้องกันตนเอง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชุมชน ตลอดจนเชื่อมประสานทั้ง2ฝ่ายให้หาทางออกร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยจะประสานงานไปยังแกนนำ นปช. และรัฐบาล
http://www.thairath.co.th/content/pol/72918
***************************************************
ไม่แปลกที่หลายคนอึดอัดกับ บรรยากาศการต่อสู้ทางการเมือง ประเทศอึมครึม ไม่ราบรื่นสงบสุข หลายคนออกมาแสดงความเห็นเรียกร้องอยากให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ดูเหมือน "ยังมืดมน" เพราะทั้งสองฝ่ายยังตั้งแง่ เล่นหลบขบเหลี่ยม วางเงื่อนไข ตั้งการ์ดสูงกันทั้งสองฝ่าย และ มีแต่จะเพิ่มดีกรีความร้าวรานขึ้น หากปัญหายังคาราคาซังและทวีความรุนแรงขึ้น เห็นทีประเทศชาติจะถึงคราดิ่งลงเหวอีกครั้ง
พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และ อธิบดีกรมตำรวจ ให้สัมภาษณ์กับ ไทยรัฐออนไลน์ ถึงแนวทางการผ่านวิกฤติครั้งนี้ ว่า ทุกฝ่ายจะต้องฟังเหตุผลกันก่อนว่าทำไมจึงอ้างว่าขอให้ยุบสภา และ อีกฝ่ายหนึ่งก็อ้างว่าไม่ยุบทันทีทันใดตามที่เรียกร้อง แต่จะยุบเมื่อไหร่นั้นบอกไม่ได้ ต้องมาพิจารณาดูว่าเหตุผลที่เรียกร้องดีพอหรือไม่ ต้องฟังเหตุผลกัน วันนี้แกนนำ นปช.บอกว่าจะคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เพียงคนเดียวและจะคุยก็ต่อเมื่อยุบสภาแล้วเท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ไม่มีทางที่จะไปกันได้
ข้อเรียกร้องวันนี้ไม่สมเหตุ สมผล การเรียกร้องต้องมีเหตุผล ยกเหตุผลออกมาประจักษ์ว่า 1.สภาวุ่นวายอย่างไร 2.ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมารัฐบาลทุจริตอย่างไร พร้อมนำหลักฐานมาเปิดโปง ตรวจสอบเป็นฉากๆ รัฐมนตรีกระทรวงไหนทำผิด โกงกินบ้านเมือง ประชาชาชนไม่พอใจในสิ่งเหล่านี้ และ นายกรัฐมนตรีปล่อยปละละเลยไม่มีแก้ไข จึงออกมาเรียกร้อง เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย และจะขอให้รัฐบาลลาออกในที่สุด
"อยู่ๆก็มาบอกว่ายุบสภา มันแรงไป เหมือนคนข้างบ้านทะเลาะกันเพราะกิ่งไม้ แต่ต้องการตัดต้นไม้ทิ้งทั้งต้น มันต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ซึ่งถ้ายับยั้งชั่งใจไม่ได้ ทหารคงไม่ปล่อยให้บ้านเมืองเละเทะ เกิดปฎวัติรัฐประหารแน่นอน รัฐบาลเองก็ต้องบริหารระดมความคิดกันทั้ง ครม. ทหาร 3 เหล่าทัพ เจ้าหน้าที่ตำรวจ มวลชนองค์กรต่างๆ ต้องร่วมกันหาทางออก และ กลุ่มผู้ชุมนุมเองต้องลดเงื่อนไข ถอยกันคนละก้าว รัฐบาลก็ระดมให้ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนในสิ่งที่ถูกต้อง ส่วนคนที่ชุมนุมนั้นก็ต้องปล่อย หากเป็นการชุมนุมโดยสงบสันติ"
พล.ต.อ.ประทิน กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงประชาชนว่าไม่สามารถทำตามข้อเรียกข้องของกลุ่มคนเสื้อ แดงได้เพราะอะไร การยุบสภานั้นยังไม่มีเหตุเพียงพอ ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขณะเดียวกันต้องเร่งประสานเชิกรุุกทำความตกลงกับแกนนำผู้ชุมนุม จุดอ่อนของรัฐบาลตั้งแต่เริ่มต้นไม่สมควรปล่อยให้มีการเดินทางเข้ามาชุมนุม ในพื้นที่่ส่วนกลางมากนัก มีอำนาจสั่งการกำกับดูแลในรอบต่างจังหวัดควรสกัดไว้ก่อน เพราะการมาชุมนุมกันและมีวิธีการแสดงออกมากมายในลักษณะทำลายความน่าเชื่อ ถือ ทำให้ทุกคนผวา หวาดหวั่น เคร่งเครียด หวาดกลัว ว่าจะรบกันเมื่อไหร่ อย่างไรก็ตามความเสียหายครั้งนี้ต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งสังคม
"ต้องใช้เหตุผล ไม่ใช่มายื่นคำขาดฝ่ายเดียวมันไม่ใช่ แกนนำ นปช.คงต้องลดลงมาหน่อย รัฐบาลเองก็ต้องดูกรอบกฎหมาย ตามความชอบธรรม คำนึงถึงเสถียรภาพและการบริหารที่ดีที่จะนำพาประเทศให้อยู่อย่างปกติสุข ผมเชื่อว่ารัฐบาลมีหลักการที่จะดำเนินการไปในทิศทางที่ดีได้" พล.ต.อ.ประทิน กล่าวในที่สุด
ด้านนายณัชพล เกิดเกษม ประธานสภาชุมชนลาดกระบัง แกนนำเครือข่ายพลเมืองชุมชนคนกรุงเทพฯ กล่าวว่า สถานการณ์เริ่มส่อเค้าว่าจะเกิดความรุนแรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของคนที่อยู่ ในชุมชนกรุงเทพมหานครและพื้นที่จังหวัดใกล้เคียง จึงขอเรียกร้อง 1.ให้ทุกฝ่ายร่วมกันยุติปัญหา และไม่ใช้ความรุนแรง โดยใช้การเจรจา 2.ให้ทุกฝ่ายเคารพในสิทธิและความปลอดภัยของประชาชนและชุมชน และชุมชนขอยืนยันสิทธิของตนเองให้ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ และครรลองของกฎหมาย 3.ให้รัฐบาลและกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าร่วมกับชุมชนในการจัดระบบความปลอดภัยใน ชีวิต และทรัพย์สินของชุมชน และ 4.ให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พิจารณาออกมาตรการป้องกัน คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของชุมชน และสิทธิในการใช้พื้นที่สาธารณะของผู้ชุมนุมอย่างเหมาะสม
นายณัชพล กล่าวต่อไปว่า ในนามของเครือข่ายฯ ซึ่งมีสมาชิกกว่า 1,283 องค์กร อยากเห็นการเจรจากันอย่างสันติวิธี ที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าชุมชนได้รับความเดือดร้อน เพราะชุมชนอยู่ใกล้เหตุการณ์ และบางชุมชนเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว เช่น ชุมชนแพร่งภูธร เขตพระนครที่เกิดเหตุระเบิดขึ้น ส่วนชุมชนนางเลิ้ง และชุมชนเพชรบุรี ซอย 7 ก็เคยเกิดเหตุการณ์จนมีผู้เสียชีวิต ส่วนชุมชนอื่นๆ ก็ไม่ทราบว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้นกับตนเองบ้าง เราจะใช้พลังเครือข่ายชุมชนในการจัดทำแผนป้องกันตนเอง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของชุมชน ตลอดจนเชื่อมประสานทั้ง2ฝ่ายให้หาทางออกร่วมกันโดยเร็วที่สุด โดยจะประสานงานไปยังแกนนำ นปช. และรัฐบาล
http://www.thairath.co.th/content/pol/72918
***************************************************
ประชุมลุ่มน้ำโขง งานกร่อย ฮุนเซ็นไม่คุยมาร์ค
นายกฯฮุน เซ็น แห่งกัมพูชา
สื่อท้องถิ่นกัมพูชาเผยชื่อผู้นำระดับสูงที่จะตบเท้าเข้าไทย ในการประชุมสุดยอดผู้นำ และประชุมลุ่มแม่น้ำโขงต้นเดือนเม.ย.นี้ รวมถึงระบุว่านายกฯฮุน เซ็น ไม่มีกำหนดคุยทวิภาคีกับผู้นำไทย...
เว็บไซต์วอเตอร์เวิลด์รายงานอ้างจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ว่า การประชุมสุดยอดผู้นำ และการประชุมลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะมีขึ้นในประเทศไทยต้นเดือนเม.ย. นี้ สมเด็จฮุน เซ็น นากยกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไม่มีกำหนดการพบปะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยแต่งอย่างใด
ทั้งนี้ นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยังไม่ได้รับคำยืนยันหรือข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ผู้นำฮุน เซ็น ว่าจะมีการพบปะพูดคุยแบบทวิภาคีกับนายอภิสิทธิ์ นอกเหนือจากการประชุมเจรจาหลายฝ่ายหรือไม่
แต่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เผยรายชื่อตัวแทนระดับสูง ที่จะเดินทางมาประชุมสุดยอดในไทย พร้อมกับนายกฯฮุน เซ็น ว่า มีนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโส และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมุค มะเร็ธ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม นายจัน สะรุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรน้ำและพลังงานลม และคณะผู้นำระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชาอีกจำนวนหนึ่ง
http://www.thairath.co.th/content/oversea/72966
*****************************************************
สื่อท้องถิ่นกัมพูชาเผยชื่อผู้นำระดับสูงที่จะตบเท้าเข้าไทย ในการประชุมสุดยอดผู้นำ และประชุมลุ่มแม่น้ำโขงต้นเดือนเม.ย.นี้ รวมถึงระบุว่านายกฯฮุน เซ็น ไม่มีกำหนดคุยทวิภาคีกับผู้นำไทย...
เว็บไซต์วอเตอร์เวิลด์รายงานอ้างจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นกัมพูชา เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ว่า การประชุมสุดยอดผู้นำ และการประชุมลุ่มแม่น้ำโขง ที่จะมีขึ้นในประเทศไทยต้นเดือนเม.ย. นี้ สมเด็จฮุน เซ็น นากยกรัฐมนตรีของกัมพูชา ไม่มีกำหนดการพบปะกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของไทยแต่งอย่างใด
ทั้งนี้ นายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา ยังไม่ได้รับคำยืนยันหรือข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ผู้นำฮุน เซ็น ว่าจะมีการพบปะพูดคุยแบบทวิภาคีกับนายอภิสิทธิ์ นอกเหนือจากการประชุมเจรจาหลายฝ่ายหรือไม่
แต่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เผยรายชื่อตัวแทนระดับสูง ที่จะเดินทางมาประชุมสุดยอดในไทย พร้อมกับนายกฯฮุน เซ็น ว่า มีนายฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีต่างประเทศ นายจอม ประสิทธิ์ รัฐมนตรีอาวุโส และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายมุค มะเร็ธ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม นายจัน สะรุน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการเกษตร ป่าไม้ และการประมง รวมถึงรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรน้ำและพลังงานลม และคณะผู้นำระดับสูงของรัฐบาลกัมพูชาอีกจำนวนหนึ่ง
http://www.thairath.co.th/content/oversea/72966
*****************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553
แม้วปลุกคนไทยแสดงพลัง เสาร์นี้ ก่อนทำอารยะขัดขืน
เมื่อเวลาประมาณ 20.00 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ได้วิดีโอลิงก์มาที่เวทีนปช. หลังจากหายหน้าไปสามวันเต็ม โดยเริ่มต้นด้วยการทักทายและออกตัวว่ายังเจ็บคออยู่ ขอไม่ใช้เสียงดัง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวต่อว่า ตนยังไม่เห็นเสื้อแดงคนไหนบอกจะล้มสถาบัน แต่รัฐบาลพยายามดึงสถาบันต่างๆมาค้ำเพื่อให้ตัวเองอยู่ได้ ไม่มีไพร่ที่ไหนล้มเจ้าได้ มีแต่อำมาตย์ที่จะล้มเจ้า
โดยในช่วงท้าย พ .ต.ท.ทักษิณได้กล่าวว่า “พี่น้องครับ วันที่ 27 นี้เป็นวันสำคัญที่เราต้องแสดงพลังกันอีกครั้ง อยากจะขอเรียกร้องเพื่อนขรก. เพื่อนรสก. พี่น้องทุกคน คนไทยทุกคน ที่คิดว่าอนาคตที่ดีที่สุดที่จะฝากกับลูกหลานคือสังคมที่ดี ต้องออกมาช่วยกัน ไม่ใช่เพื่อแสดงอะไรไม่ดี แต่เพื่อกดดันให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก เพียงแค่ยุบสภา คืนอำนาจให้ปชช. เคารพการตัดสินใจของปชช. บ้านเมืองจะได้เดินได้ เมื่อปชช.เลือกรัฐบาลของเขา เขาก็จะได้แก้ไขรธน. แก้ไขระบบถ่วงดุล นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้คิดมาล้มเจ้าเหมือนที่พยายามกล่าวหา กล่าวหาเพื่อให้เจ้านายเกิดความหวาดระแวง แล้วคนรอบข้างนายก็ถือโอกาสตรงนี้ ทุจริตคอรัปชั่น
ผมอยากวิงวอนให้ออกมาให้เต็มที่ สู้อย่างสันติ ถ้าสู้อย่างสันติแล้วยังไม่เชื่อ เราจะรวมกันทำอารยะขัดขืน มหาตมะ คานธีมาแล้ว ทำให้อินเดียหลุดพ้นจากอังกฤษได้ เราต้องการจะหลุดพ้นจากอำมาตย์ที่ครอบงำสิทธิของปชช. ถ้าจำเป็นเราก็ต้องอารยะขัดขืนกันแล้ว พี่น้องครับ เสียสละเถอะ วันนี้อย่ากลัว ยิ่งกลัวยิ่งเสื่อม ถ้าไม่กลัว แต่ไม่ได้เกเรใคร ก็ไม่ต้องห่วง ขอให้ออกมา เราจะสู้ด้วยกัน เพื่ออนาคตลูกหลานเรา ขอขอบคุณ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณในความอดทน แล้วพบกันใหม่ครับ”
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
โดยในช่วงท้าย พ .ต.ท.ทักษิณได้กล่าวว่า “พี่น้องครับ วันที่ 27 นี้เป็นวันสำคัญที่เราต้องแสดงพลังกันอีกครั้ง อยากจะขอเรียกร้องเพื่อนขรก. เพื่อนรสก. พี่น้องทุกคน คนไทยทุกคน ที่คิดว่าอนาคตที่ดีที่สุดที่จะฝากกับลูกหลานคือสังคมที่ดี ต้องออกมาช่วยกัน ไม่ใช่เพื่อแสดงอะไรไม่ดี แต่เพื่อกดดันให้ทุกฝ่ายรู้ว่าเราไม่ได้เรียกร้องอะไรมาก เพียงแค่ยุบสภา คืนอำนาจให้ปชช. เคารพการตัดสินใจของปชช. บ้านเมืองจะได้เดินได้ เมื่อปชช.เลือกรัฐบาลของเขา เขาก็จะได้แก้ไขรธน. แก้ไขระบบถ่วงดุล นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ได้คิดมาล้มเจ้าเหมือนที่พยายามกล่าวหา กล่าวหาเพื่อให้เจ้านายเกิดความหวาดระแวง แล้วคนรอบข้างนายก็ถือโอกาสตรงนี้ ทุจริตคอรัปชั่น
ผมอยากวิงวอนให้ออกมาให้เต็มที่ สู้อย่างสันติ ถ้าสู้อย่างสันติแล้วยังไม่เชื่อ เราจะรวมกันทำอารยะขัดขืน มหาตมะ คานธีมาแล้ว ทำให้อินเดียหลุดพ้นจากอังกฤษได้ เราต้องการจะหลุดพ้นจากอำมาตย์ที่ครอบงำสิทธิของปชช. ถ้าจำเป็นเราก็ต้องอารยะขัดขืนกันแล้ว พี่น้องครับ เสียสละเถอะ วันนี้อย่ากลัว ยิ่งกลัวยิ่งเสื่อม ถ้าไม่กลัว แต่ไม่ได้เกเรใคร ก็ไม่ต้องห่วง ขอให้ออกมา เราจะสู้ด้วยกัน เพื่ออนาคตลูกหลานเรา ขอขอบคุณ แล้วพบกันใหม่ ขอบคุณในความอดทน แล้วพบกันใหม่ครับ”
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*************************************************
ผบช.ภ.9 ไม่ยอมรับ คกก.ชุด เอก อังสนานนท์
รายงานข่าวแจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการตรวจสอบความบกพร่องในการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา อดีตผู้กำกับการ สภ. บันนังสตา จ.ยะลา วันนี้ได้เชิญ พล.ต.ต.วิสุทธิ์ วานิชบุตร พล.ต.ต.ชินทัต มีสุข พล.ต.ต.สุดใจ ณานรัตน์ รองผบช.9 ซึ่งร่วมเป็นคณะกรรมการคัดเลือกในการแต่งตั้ง รองผบก.-สว.ประจำปี 2552 ของบช.ภ.9 มาให้ข้อมูล ซึ่งทั้ง 3 คน ให้ข้อมูลตรงกันว่า ในที่ประชุมพิจารณาบัญชีแต่งตั้งนั้น มีชื่อ พ.ต.อ.สมเพียร เป็น ผกก.จ. ตรัง แต่เมื่อคำสั่งออกมากลับไม่มี แต่ก็ไม่มีใครทวงถามอะไรเพราะแต่ละท่านล้วนเป็น รองผบช.ที่ย้ายมาใหม่ ขณะที่พล.ต.ต.ประเสริฐ จันทร์สว่าง ผบก.จ.ตรัง นั้น ก็บอกว่า ไม่รู้ไม่เห็นเรื่องการแต่งตั้งเพราะเป็นเรื่องของ บช.ภ.9 และเรื่องที่ พ.ต.อ.สมเพียร จะย้ายมา บก.ภ.จว.ตรัง และได้เสนอชื่อคนอื่นไปเป็น ผกก.สภ.เมืองตรัง และสภ.กันตัง จ.ตรังด้วยซ้ำ
ขณะที่มีรายงานด้วยว่า หลังจากคณะกรรมการชุด นี้ ได้เชิญ พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 มาให้ข้อมูลในวันที่ 26 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุด พล.ต.ท.วีรยุทธ ได้ทำหนังสือมาถึง รรท.ผบ.ตร. ขอคัดค้านคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้ โดยพล.ต.ท.วีระยุทธ ให้เหตุผลว่าคณะกรรมการชุดนี้ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปมปัญหาการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรโดยตรง เพราะกรรมการชุดนี้เป็นชุดเดียวกับที่พิจารณากรณียกเว้นหลักเกณฑ์ แต่งตั้งไม่ครบ 2 ปี ที่ไม่อนุมัติให้ บช.ภ.9 โยกย้าย ระดับ ผกก.สภ.ศรีนรินทร์ และสภ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ออกนอกหน่วยจึงทำให้ ผบช.ภ.9 รับ พ.ต.อ.สมเพียร จาก ศชต.เข้ามาไม่ได้ ตามที่ พล.ต.ท.วีระยุทธ เคยทำหนังสือชี้แจงเหตุผลการแต่งตั้งไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นกรรมการชุดนี้จึงถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นการจะมาเป็นกรรมการตรวจสอบหาข้อบกพร่องเรื่องนี้จึงไม่เหมาะสม ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ได้ส่งหนังสือคัดค้านนี้ให้ ฝ่ายกฎหมายตีความแล้ว ซึ่ง พล.ต.ท.วีระยุทธ ก็จะไม่มาให้ถ้อยคำตามนัด ด้านพล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผบช.ศชต. นั้นยืนยันจะมาให้ถ้อยคำด้วยตนเองในวันที่ 26 มีนาคม
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
ขณะที่มีรายงานด้วยว่า หลังจากคณะกรรมการชุด นี้ ได้เชิญ พล.ต.ท.วีระยุทธ สิทธิมาลิก ผบช.ภ.9 มาให้ข้อมูลในวันที่ 26 มีนาคม เวลา 09.00 น. นั้น ล่าสุด พล.ต.ท.วีรยุทธ ได้ทำหนังสือมาถึง รรท.ผบ.ตร. ขอคัดค้านคณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้ โดยพล.ต.ท.วีระยุทธ ให้เหตุผลว่าคณะกรรมการชุดนี้ ถือว่าเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปมปัญหาการแต่งตั้ง พ.ต.อ.สมเพียรโดยตรง เพราะกรรมการชุดนี้เป็นชุดเดียวกับที่พิจารณากรณียกเว้นหลักเกณฑ์ แต่งตั้งไม่ครบ 2 ปี ที่ไม่อนุมัติให้ บช.ภ.9 โยกย้าย ระดับ ผกก.สภ.ศรีนรินทร์ และสภ.เขาชัยสน จ.พัทลุง ออกนอกหน่วยจึงทำให้ ผบช.ภ.9 รับ พ.ต.อ.สมเพียร จาก ศชต.เข้ามาไม่ได้ ตามที่ พล.ต.ท.วีระยุทธ เคยทำหนังสือชี้แจงเหตุผลการแต่งตั้งไปแล้วก่อนหน้านี้ ดังนั้นกรรมการชุดนี้จึงถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง ดังนั้นการจะมาเป็นกรรมการตรวจสอบหาข้อบกพร่องเรื่องนี้จึงไม่เหมาะสม ทั้งนี้ พล.ต.อ.ปทีป ได้ส่งหนังสือคัดค้านนี้ให้ ฝ่ายกฎหมายตีความแล้ว ซึ่ง พล.ต.ท.วีระยุทธ ก็จะไม่มาให้ถ้อยคำตามนัด ด้านพล.ต.ท.พีระ พุ่มพิเชฏฐ์ ผบช.ศชต. นั้นยืนยันจะมาให้ถ้อยคำด้วยตนเองในวันที่ 26 มีนาคม
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
************************************************
เบื้องหลังเช็คใบเดียว ความกลมเกลียวของอานันท์ และ เกษม จาติกวณิช
"อิสรภาพราคา 8.7 พันล้านบาทของไทยออยล์"
ดีลการซื้อโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ของไทยออยล์จากกระทรวงอุตสาหกรรมสำเร็จลุล่วงไปแล้วในวินาทีสุดท้ายของรัฐบาลอานันท์ 2 โดยเป็นการซื้อขายตามราคาประเมินต่ำสุดของคณะกรรมการประเมินมูลค่าโรงกลั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมคือ 8,764,245,647.86 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่บริษัทผู้ประเมินฯ ทำการประเมินไว้ถึงเท่าตัว
แต่เกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ และกรรมการอำนวยการไทยออยส์ก็ยินดีที่จะเขียนเช็คธนาคารกรุงไทยมูลค่าสูงที่สุดจำนวนนี้มอบให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม
"มันเป็นการซื้ออิสรภาพให้ไทยออยส์" เกษมกล่าวดด้วยสีหน้าชื่นบานในงานเซ็นสัญญาที่จัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการซื้อขายซึ่งได้เจรจายืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี
โรงกลั่นทั้งสองหน่วยนี้ไทยออยล์เป็นผู้จัดการสร้าง และยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐตามเงื่อนไขการประมูล เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันรัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์เช่าดำเนินการเป็นระยะเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ปี 2524
การซื้อหน่วยโรงกลั่นทั้งสองแห่งนอกจากจะทำให้ไทยออยล์มีความคล่องตัวในการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้ไทยออยล์มีสินทรัพย์ถาวรเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ไทยออยล์ระดมทุนและกระจายหุ้นแก่มหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่เมื่อปี 2531 ครั้นไทยออยล์ยื่นเรื่องขอเข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องไม่มีทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการดำเนินการและสัญญาเช่าสินทรัพย์สินถาวรควรมีอายุอย่างต่ำ 30 ปี ตลาดฯ ขอให้ไทยออยล์แก้ปัญหานี้
คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเห็นว่าสัญญาเช่าโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 จะหมดอายุลงในปี 2544 บริษัทฯ ควรจะไปเจรจาต่ออายุสัญญาเช่าหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรัพย์สินเป็นของบริษัทฯ โดยสมบูรณ์ จึงจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ได้
ไทยออยล์พยายามเจรจาทั้งในเรื่องของการต่ออายุสัญญาและการซื้อโรงกลั่น ซึ่งมีอุปสรรคต่าง ๆ นา เกษมเคยกล่าวว่า "กฎระเบียบที่เป็นข้อแม้ต่าง ๆ นั้นสามารถแก้ไขได้โดยรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าหรือการกระจายหุ้น หากรัฐไม่ต้องการให้กระจายหุ้นก็ไม่จำเป็นต้องต่ออายุสัญญา กำไรต่อหุ้นของไทยออยล์ดีมาก ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการให้นำหุ้นเข้าตลาดฯ อยู่แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือหากจะมีการขยายโรงกลั่น หรือจะเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นก็อาจจะไม่มีเงินลงทุนได้ง่ายและจะทำให้กระจายผลกำไรต่อหุ้นแก่บุคคลอื่นด้วย"
รัฐบาลชาติชายอนุมัติให้ขายโรงกลั่น 1 และ 2 แก่ไทยออยล์ไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้ามาสู่คณะรัฐบาลอานันท์ 1 กลับถูกตีกลับให้มีการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นเพียงไรที่จะต้องขายสมบัติให้เอกชนหากไทยออยล์ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหนทางอื่นไหมที่รัฐจะไม่สูญผลประโยชน์จากค่าเช่าโรงกลั่นทั้งสอง
หลังจากทบทวนผ่านไปหลายครั้งและอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีชัย ฤชุพันธุ์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านการขายโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลอานันท์ 2 ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติให้ไทยออยล์ซึ่งโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 ได้ในราคาดังกล่าว
มตินี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่รัฐบาลอานันท์ 2 จะหมดอายุเป็นเหตุให้การจัดงานเซ็นสัญญามีขึ้นอย่างเร่งรีบขนาดที่ว่าธนาคารกรุงไทยจะทำเช็คฉบับพิเศษ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายเงินด้วยเช็คเพื่อให้เกษมเซ็นจ่ายให้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถพิมพ์ได้ทัน
เกษมเปิดเผยว่า "เงินที่นำมาซื้อโรงกลั่นครั้งนี้มาจากส่วนเกินของเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินการบวกกับเงินกู้รายการเดิม ๆ ที่กู้มาแล้วยังไม่ได้จ่ายซึ่งจะต้องมีการกู้ใหม่และตอนนี้ก็หาเงินกู้ได้แล้วโดยกู้ภายในประเทศประมาณ 5,000 ล้านบาทและภายนอกประเทศอีก 3,000 ล้านบาท"
เกษมเลือกที่จะจ่ายรวดเดียวเลยไม่มีการขยักขย่อนแม้จะคุยว่าสามารถเจรจากับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอจ่าย 3 งวดหรือไม่ต้องจ่ายในวันเซ็นสัญญาก็ได้ เขาเห็นว่าจะเป็นการสร้างภาระผูกพันเสียเปล่า ๆ และในเมื่อไทยออยล์มีเครดิตดีจริง สามารถหาเงินได้ ก็น่าที่จะจ่ายเสียให้สิ้นเรื่องไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือจริง
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้กู้เงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีก่อนหน้าที่ ครม. จะอนุมัติการซื้อหน่วยโรงกลั่นแล้ว
แบงกอก เชาว์ขวัญยืนกรรมการผู้จัดการใหญ่เปิดเผยด้วยว่า "การซื้อหน่วยโรงกลั่น 1 และ 2 ครั้งนี้ทำให้ไทยออยล์มีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40,309 ล้านบาทจากเดิมที่มีหนี้สิน 30,178 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเป็น 15.30 :1 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 11.28 : 1
เกษมกล่าวว่า "หนี้สินเหล่านี้ทำให้ไทยออยล์ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละประมาณ 2 ล้านบาทบวกกับของเก่าอีกประมาณ 4 ล้านบาทเป็นวันละ 6 ล้านบาทแม้ไทยออยล์จะมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนสูงขนาดนี้ก็ยังมีคนมารอจะให้กู้อีกเยอะ"
เป้าหมายการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยออยล์ คือการลดภาระหนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลงและแม้ว่าไทยออยล์สามารถระดมเงินจากตลาดอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายเป็นจำนวนมากแต่ไทยออยล์ก็ยังมีความจำเป็นที่จะเข้าตลาดหุ้น
เกษมเปิดเผยว่า "ผู้ให้กู้ทั้งหลายก็อยากที่จะเห็นเราเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นด้วยอย่างการกู้ 10,000 ล้านบาทครั้งหลังนี้ผู้ให้กู้ก็อยากจะมีการระบุข้อความว่าการกู้นี้ก็ด้วยความหวังว่าไทยออยล์จะเข้าตลาดหุ้น และกิจการก็จะดีขึ้น และอีกอย่างหนึ่งเราจะกู้ไปสุดกู่อย่างนี้เรื่อย ๆ คงจะไม่ได้" เกษมให้ความเห็นว่า "ตัวเลขหนี้ต่อทุนที่สูงเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องดูต่อไป ตัวเลขนี้อาจจะทำให้พีอีเรโชสูงไปดังนั้นก่อนเข้าตลาดฯ ก็คงจะมีการแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เกิดความไว้ใจ"
แน่นอนว่าเกษมคงอยากจะเห็นเครดิตไทยออยล์ในหมู่นักลงทุนเหมือนกับที่แบงเกอร์จำนวนมากมองเห็นความน่าเชื่อถือของไทยออยล์
ไทยออยล์มีผลกำไรสุทธิหลังการหักภาษีและเงินส่วนแบ่งผลกำไรหรือค่ารอยัลตี้ที่ต้องให้กับรัฐบาลลดลงจาก 489 ล้านบาทในปี 2533 เป็น 304.19 ล้านบาทในปี 2534 ทั้งที่ในปีนี้มีรายได้ เพิ่มขึ้นเกือบ 8,000 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานในปี 2535 ซึ่งไทยออยล์มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน เกษมคาดหมายว่าจะมีผลกำไรประมาณ 800 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 500 ล้านบาท (ก่อนหักภาษีและส่วนแบ่งผลกำไรฯ) "ในช่วง 3 เดือนหลังที่ผ่านมานี่ เรามีกำไรมากกว่าช่วง 9 เดือนแรกคือกะไว้ว่าโรงกลั่นจะเสร็จก็เร่งการผลิตมากได้เป็นแสนบาเรลทีเดียว"
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจำนวนหนึ่งเพื่อกันออกมา 25% สำหรับจดทะเบียน จุลจิตต์ บุณยเกตุ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการกล่าวว่า "หุ้นจำนวนนี้จะ DILUTE ตาม PORPORTION"
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นไทยออยล์ได้แก่ ปตท. 49% สนง. ทรัพย์สินฯ 2%, เชลล์ 15.05%, คาลเท็กซ์ 4.75% และผู้ถือหุ้นรายบุคคล 29.2%
ที่มา.นิตสารผู้จัดการ
**************************************************
ดีลการซื้อโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 ของไทยออยล์จากกระทรวงอุตสาหกรรมสำเร็จลุล่วงไปแล้วในวินาทีสุดท้ายของรัฐบาลอานันท์ 2 โดยเป็นการซื้อขายตามราคาประเมินต่ำสุดของคณะกรรมการประเมินมูลค่าโรงกลั่นของกระทรวงอุตสาหกรรมคือ 8,764,245,647.86 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าราคาที่บริษัทผู้ประเมินฯ ทำการประเมินไว้ถึงเท่าตัว
แต่เกษม จาติกวณิช ประธานกรรมการ และกรรมการอำนวยการไทยออยส์ก็ยินดีที่จะเขียนเช็คธนาคารกรุงไทยมูลค่าสูงที่สุดจำนวนนี้มอบให้แก่กระทรวงอุตสาหกรรม
"มันเป็นการซื้ออิสรภาพให้ไทยออยส์" เกษมกล่าวดด้วยสีหน้าชื่นบานในงานเซ็นสัญญาที่จัดขึ้นในวันรุ่งขึ้นหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการซื้อขายซึ่งได้เจรจายืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปี
โรงกลั่นทั้งสองหน่วยนี้ไทยออยล์เป็นผู้จัดการสร้าง และยกให้เป็นทรัพย์สินของรัฐตามเงื่อนไขการประมูล เพื่อดำเนินกิจการโรงกลั่นน้ำมันรัฐบาลอนุมัติให้ไทยออยล์เช่าดำเนินการเป็นระยะเวลา 20 ปีนับตั้งแต่ปี 2524
การซื้อหน่วยโรงกลั่นทั้งสองแห่งนอกจากจะทำให้ไทยออยล์มีความคล่องตัวในการดำเนินงานแล้ว ยังเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้ไทยออยล์มีสินทรัพย์ถาวรเพื่อที่จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้คณะรัฐมนตรีมีมติให้ไทยออยล์ระดมทุนและกระจายหุ้นแก่มหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ตั้งแต่เมื่อปี 2531 ครั้นไทยออยล์ยื่นเรื่องขอเข้าจดทะเบียนต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็ปรากฏว่ามีปัญหาเรื่องไม่มีทรัพย์สินถาวรที่ใช้ในการดำเนินการและสัญญาเช่าสินทรัพย์สินถาวรควรมีอายุอย่างต่ำ 30 ปี ตลาดฯ ขอให้ไทยออยล์แก้ปัญหานี้
คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความเห็นว่าสัญญาเช่าโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 จะหมดอายุลงในปี 2544 บริษัทฯ ควรจะไปเจรจาต่ออายุสัญญาเช่าหรือดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ทรัพย์สินเป็นของบริษัทฯ โดยสมบูรณ์ จึงจะสามารถนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ ได้
ไทยออยล์พยายามเจรจาทั้งในเรื่องของการต่ออายุสัญญาและการซื้อโรงกลั่น ซึ่งมีอุปสรรคต่าง ๆ นา เกษมเคยกล่าวว่า "กฎระเบียบที่เป็นข้อแม้ต่าง ๆ นั้นสามารถแก้ไขได้โดยรัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่ออายุสัญญาเช่าหรือการกระจายหุ้น หากรัฐไม่ต้องการให้กระจายหุ้นก็ไม่จำเป็นต้องต่ออายุสัญญา กำไรต่อหุ้นของไทยออยล์ดีมาก ผู้ถือหุ้นไม่ต้องการให้นำหุ้นเข้าตลาดฯ อยู่แล้ว แต่ที่เป็นห่วงคือหากจะมีการขยายโรงกลั่น หรือจะเข้าไปลงทุนในกิจการอื่นก็อาจจะไม่มีเงินลงทุนได้ง่ายและจะทำให้กระจายผลกำไรต่อหุ้นแก่บุคคลอื่นด้วย"
รัฐบาลชาติชายอนุมัติให้ขายโรงกลั่น 1 และ 2 แก่ไทยออยล์ไปแล้ว แต่เมื่อเรื่องเข้ามาสู่คณะรัฐบาลอานันท์ 1 กลับถูกตีกลับให้มีการทบทวนใหม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่ารัฐบาลมีความจำเป็นเพียงไรที่จะต้องขายสมบัติให้เอกชนหากไทยออยล์ต้องการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มีหนทางอื่นไหมที่รัฐจะไม่สูญผลประโยชน์จากค่าเช่าโรงกลั่นทั้งสอง
หลังจากทบทวนผ่านไปหลายครั้งและอดีตรองนายกรัฐมนตรีมีชัย ฤชุพันธุ์ซึ่งเป็นผู้คัดค้านการขายโรงกลั่นไทยออยล์ไม่ได้เข้าร่วมในรัฐบาลอานันท์ 2 ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติให้ไทยออยล์ซึ่งโรงกลั่นหน่วยที่ 1 และ 2 ได้ในราคาดังกล่าว
มตินี้เกิดขึ้นก่อนหน้าที่รัฐบาลอานันท์ 2 จะหมดอายุเป็นเหตุให้การจัดงานเซ็นสัญญามีขึ้นอย่างเร่งรีบขนาดที่ว่าธนาคารกรุงไทยจะทำเช็คฉบับพิเศษ ซึ่งมีมูลค่าสูงสุดเท่าที่มีการซื้อขายจ่ายเงินด้วยเช็คเพื่อให้เกษมเซ็นจ่ายให้กระทรวงอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถพิมพ์ได้ทัน
เกษมเปิดเผยว่า "เงินที่นำมาซื้อโรงกลั่นครั้งนี้มาจากส่วนเกินของเงินทุนหมุนเวียนที่ใช้ในการดำเนินการบวกกับเงินกู้รายการเดิม ๆ ที่กู้มาแล้วยังไม่ได้จ่ายซึ่งจะต้องมีการกู้ใหม่และตอนนี้ก็หาเงินกู้ได้แล้วโดยกู้ภายในประเทศประมาณ 5,000 ล้านบาทและภายนอกประเทศอีก 3,000 ล้านบาท"
เกษมเลือกที่จะจ่ายรวดเดียวเลยไม่มีการขยักขย่อนแม้จะคุยว่าสามารถเจรจากับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อขอจ่าย 3 งวดหรือไม่ต้องจ่ายในวันเซ็นสัญญาก็ได้ เขาเห็นว่าจะเป็นการสร้างภาระผูกพันเสียเปล่า ๆ และในเมื่อไทยออยล์มีเครดิตดีจริง สามารถหาเงินได้ ก็น่าที่จะจ่ายเสียให้สิ้นเรื่องไปเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีความน่าเชื่อถือจริง
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้กู้เงินจำนวนดังกล่าวตั้งแต่เมื่อวันพฤหัสบดีก่อนหน้าที่ ครม. จะอนุมัติการซื้อหน่วยโรงกลั่นแล้ว
แบงกอก เชาว์ขวัญยืนกรรมการผู้จัดการใหญ่เปิดเผยด้วยว่า "การซื้อหน่วยโรงกลั่น 1 และ 2 ครั้งนี้ทำให้ไทยออยล์มีหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 40,309 ล้านบาทจากเดิมที่มีหนี้สิน 30,178 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนเป็น 15.30 :1 จากเดิมที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 11.28 : 1
เกษมกล่าวว่า "หนี้สินเหล่านี้ทำให้ไทยออยล์ต้องจ่ายดอกเบี้ยวันละประมาณ 2 ล้านบาทบวกกับของเก่าอีกประมาณ 4 ล้านบาทเป็นวันละ 6 ล้านบาทแม้ไทยออยล์จะมีสัดส่วนหนี้ต่อทุนสูงขนาดนี้ก็ยังมีคนมารอจะให้กู้อีกเยอะ"
เป้าหมายการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของไทยออยล์ คือการลดภาระหนี้ที่มีอยู่เป็นจำนวนมากลงและแม้ว่าไทยออยล์สามารถระดมเงินจากตลาดอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดายเป็นจำนวนมากแต่ไทยออยล์ก็ยังมีความจำเป็นที่จะเข้าตลาดหุ้น
เกษมเปิดเผยว่า "ผู้ให้กู้ทั้งหลายก็อยากที่จะเห็นเราเข้าไปอยู่ในตลาดหุ้นด้วยอย่างการกู้ 10,000 ล้านบาทครั้งหลังนี้ผู้ให้กู้ก็อยากจะมีการระบุข้อความว่าการกู้นี้ก็ด้วยความหวังว่าไทยออยล์จะเข้าตลาดหุ้น และกิจการก็จะดีขึ้น และอีกอย่างหนึ่งเราจะกู้ไปสุดกู่อย่างนี้เรื่อย ๆ คงจะไม่ได้" เกษมให้ความเห็นว่า "ตัวเลขหนี้ต่อทุนที่สูงเช่นนี้จะเป็นปัญหาในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่นักลงทุนจะต้องดูต่อไป ตัวเลขนี้อาจจะทำให้พีอีเรโชสูงไปดังนั้นก่อนเข้าตลาดฯ ก็คงจะมีการแก้ไขปัญหานี้เพื่อให้เกิดความไว้ใจ"
แน่นอนว่าเกษมคงอยากจะเห็นเครดิตไทยออยล์ในหมู่นักลงทุนเหมือนกับที่แบงเกอร์จำนวนมากมองเห็นความน่าเชื่อถือของไทยออยล์
ไทยออยล์มีผลกำไรสุทธิหลังการหักภาษีและเงินส่วนแบ่งผลกำไรหรือค่ารอยัลตี้ที่ต้องให้กับรัฐบาลลดลงจาก 489 ล้านบาทในปี 2533 เป็น 304.19 ล้านบาทในปี 2534 ทั้งที่ในปีนี้มีรายได้ เพิ่มขึ้นเกือบ 8,000 ล้านบาทส่วนผลการดำเนินงานในปี 2535 ซึ่งไทยออยล์มีรอบปีบัญชีสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน เกษมคาดหมายว่าจะมีผลกำไรประมาณ 800 ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งเป้าไว้ 500 ล้านบาท (ก่อนหักภาษีและส่วนแบ่งผลกำไรฯ) "ในช่วง 3 เดือนหลังที่ผ่านมานี่ เรามีกำไรมากกว่าช่วง 9 เดือนแรกคือกะไว้ว่าโรงกลั่นจะเสร็จก็เร่งการผลิตมากได้เป็นแสนบาเรลทีเดียว"
การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องมีการลดสัดส่วนการถือหุ้นลงจำนวนหนึ่งเพื่อกันออกมา 25% สำหรับจดทะเบียน จุลจิตต์ บุณยเกตุ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการกล่าวว่า "หุ้นจำนวนนี้จะ DILUTE ตาม PORPORTION"
ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นไทยออยล์ได้แก่ ปตท. 49% สนง. ทรัพย์สินฯ 2%, เชลล์ 15.05%, คาลเท็กซ์ 4.75% และผู้ถือหุ้นรายบุคคล 29.2%
ที่มา.นิตสารผู้จัดการ
**************************************************
"เสธ.แดง"ชี้...งานนี้มีมั่ว ...เชื่อว่าจะมีระเบิดอีก...คอยดู...!!!!!
เสธ.แดง ชี้บึมเมืองนนท์และกรมบังคับคดีเป็นเรื่องส่วนตัว แต่คดียิงอาร์พีจีถล่มกลาโหม-กับยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุขและร.1 พัน 1รอ. ไม่ใช่ฝีมือรัฐบาล แนะทางลง นปช.ล่อทหารปราบ อัดทหารใหญ่สั่งล้อมรัฐสภา ปฏิเสธไปเขมรขนอาวุธและรับเงินป่วน
พล.ต.ขัต ติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิทหารบก เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ถึงเหตุลอบวางระเบิดสถานที่ราชการสำคัญในช่วงนี้ว่า มั่วค่อนข้างเยอะ มีบางคนใช้สถานการณ์ผสมโรง จากการสอบถามและดูลักษณะการวางระเบิดที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี และกรมบังคับคดีนั้น น่าเป็นจะเป็นมือคนทั่วไปและมุ่งเน้นเรื่องความแค้นส่วนตัว ส่วนการยิงอาร์พีจีถล่มกระทรวงกลาโหมและยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุขหลังประชุม ครม.รวมทั้งที่ ร.1พัน 1 รอ. เป็นการยิงเพื่อช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง สังเกตจากการยิงเพื่อทำลายระบบอำมาตย์ เป็นการแย่งซีนกันหว่างคนที่ต้องการช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ใช่เป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เชื่อว่าจะมีระเบิดลักษณะนี้อีกแน่นอน 100%
"ใหม่ๆผมก็โทษฝ่ายรัฐบาลทำ แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ พูดตรงๆ แกนนำก็ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ความจริงเสื้อแดงวันนี้มีคนช่วยถือหางมาก ทั้งสื่อและคนนอก ดังนั้นมันน่าจะจบได้แล้ว แต่วันนี้กลับไม่ใช่ รอเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้นที่จะชนะ แกนนำก็ยังดื้อ ผมเคยพูดว่าคนหายไปแล้ว 30% นายจตุพรก็โกรธไล่ออกนอกเวที มาวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเองเลือกที่จะให้แกนนำคนบ้านเลขที่ 111 ขึ้นนำ เพราะรู้ว่าแกนนำเดิมเอาไม่อยู่ จตุพรก็โกรธอาละวาด สำหรับวิธีการลงที่ดีที่สุดและไม่น่าเกลียดขณะนี้คือให้ทหารล้อมปราบ อย่างไรก็ตามผมจะอยู่เคียงข้าง เป็นทหารคนเดียวที่อยู่ข้างเสื้อแดง จะคอยต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
ส่วนเรื่องการนำกำลังทหารมาปิดล้อมรัฐสภาและสถานที่ราชการอื่นๆนั้น พล.ต.ต.ขัตติยะกล่าวว่า เป็นการสั่งการของทหารใหญ่บางคน เทหมดหน้าตัก ไม่ใช่นักรบ เพราะนักรบเขาให้ตำรวจทำหน้าที่ ทหารอยู่ในที่ตั้งเป็นผู้ช่วยตำรวจ ออกมายามจำเป็นเท่านั้น วันนี้ขนทหารมาหมดทั้งภาคใต้ กองทัพภาคที่ 1,2,3 ต้องอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลคอยคุ้มกัน วันนี้ประชาชนบางส่วนเกลียดทหาร ซึ่งจะทำให้เสียชาติเสียแผ่นดินได้ในอนาคต ดังนั้นขอให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายรีบกู้ภาพลักษณ์เรียกความเชื่อมั่นของทหาร กลับมาให้ได้
พล.ต.ขัตติยะยังกล่าวถึงกรณีถูกโจมตีว่าเดินทางไปชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อ ขน อาวุธและรับเงินมาเคลื่อนไหว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะไปจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี นครราชสีมา เพื่อท่องเที่ยวรำลึกความหลังสมัยเคยต่อสู้กับกัมพูชาช่วงปี 2525-2530 เท่านั้น พวกที่ออกมาระบุเช่นนี้ต้องการทำร้ายตนอย่างน่าละอาย
* โดย ไทยรัฐออนไลน์
พล.ต.ขัต ติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิทหารบก เปิดเผยกับ "ไทยรัฐออนไลน์" เมื่อวันที่ 25 มี.ค. ถึงเหตุลอบวางระเบิดสถานที่ราชการสำคัญในช่วงนี้ว่า มั่วค่อนข้างเยอะ มีบางคนใช้สถานการณ์ผสมโรง จากการสอบถามและดูลักษณะการวางระเบิดที่ศาลากลางจังหวัดนนทบุรี และกรมบังคับคดีนั้น น่าเป็นจะเป็นมือคนทั่วไปและมุ่งเน้นเรื่องความแค้นส่วนตัว ส่วนการยิงอาร์พีจีถล่มกระทรวงกลาโหมและยิงเอ็ม 79 ใส่กระทรวงสาธารณสุขหลังประชุม ครม.รวมทั้งที่ ร.1พัน 1 รอ. เป็นการยิงเพื่อช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง สังเกตจากการยิงเพื่อทำลายระบบอำมาตย์ เป็นการแย่งซีนกันหว่างคนที่ต้องการช่วยกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่ใช่เป็นฝีมือของฝ่ายรัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เชื่อว่าจะมีระเบิดลักษณะนี้อีกแน่นอน 100%
"ใหม่ๆผมก็โทษฝ่ายรัฐบาลทำ แต่ดูไปดูมามันไม่ใช่ พูดตรงๆ แกนนำก็ทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ความจริงเสื้อแดงวันนี้มีคนช่วยถือหางมาก ทั้งสื่อและคนนอก ดังนั้นมันน่าจะจบได้แล้ว แต่วันนี้กลับไม่ใช่ รอเหตุการณ์บางอย่างเท่านั้นที่จะชนะ แกนนำก็ยังดื้อ ผมเคยพูดว่าคนหายไปแล้ว 30% นายจตุพรก็โกรธไล่ออกนอกเวที มาวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณเองเลือกที่จะให้แกนนำคนบ้านเลขที่ 111 ขึ้นนำ เพราะรู้ว่าแกนนำเดิมเอาไม่อยู่ จตุพรก็โกรธอาละวาด สำหรับวิธีการลงที่ดีที่สุดและไม่น่าเกลียดขณะนี้คือให้ทหารล้อมปราบ อย่างไรก็ตามผมจะอยู่เคียงข้าง เป็นทหารคนเดียวที่อยู่ข้างเสื้อแดง จะคอยต่อสู้เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง" พล.ต.ขัตติยะ กล่าว
ส่วนเรื่องการนำกำลังทหารมาปิดล้อมรัฐสภาและสถานที่ราชการอื่นๆนั้น พล.ต.ต.ขัตติยะกล่าวว่า เป็นการสั่งการของทหารใหญ่บางคน เทหมดหน้าตัก ไม่ใช่นักรบ เพราะนักรบเขาให้ตำรวจทำหน้าที่ ทหารอยู่ในที่ตั้งเป็นผู้ช่วยตำรวจ ออกมายามจำเป็นเท่านั้น วันนี้ขนทหารมาหมดทั้งภาคใต้ กองทัพภาคที่ 1,2,3 ต้องอยู่ใต้อำนาจรัฐบาลคอยคุ้มกัน วันนี้ประชาชนบางส่วนเกลียดทหาร ซึ่งจะทำให้เสียชาติเสียแผ่นดินได้ในอนาคต ดังนั้นขอให้แม่ทัพนายกองทั้งหลายรีบกู้ภาพลักษณ์เรียกความเชื่อมั่นของทหาร กลับมาให้ได้
พล.ต.ขัตติยะยังกล่าวถึงกรณีถูกโจมตีว่าเดินทางไปชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อ ขน อาวุธและรับเงินมาเคลื่อนไหว ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะไปจังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี นครราชสีมา เพื่อท่องเที่ยวรำลึกความหลังสมัยเคยต่อสู้กับกัมพูชาช่วงปี 2525-2530 เท่านั้น พวกที่ออกมาระบุเช่นนี้ต้องการทำร้ายตนอย่างน่าละอาย
* โดย ไทยรัฐออนไลน์
"เพื่อไทย"ระบุสื่อนอกตีข่าวรัฐจ้างทหารอยู่เป็นเพื่อน
นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบการนำเสนอข่าวของสื่อต่างประเทศต่อสถานการณ์การเมืองของไทย พบว่ามีสื่อหลายฉบับ นำเสนอข่าวประณามรัฐบาลไทยที่ใช้กำลังทหารให้มาเป็นพวก มาเล่นการเมือง ยกตัวอย่างที่เว็บไซด์ เวิร์ด เพลส ของประเทศอังกฤษ ที่นำเสนอและวิจารณ์การเมือง โดยระบุในหลายประเด็นว่า รัฐบาลใช้เงินซื้อทหารจากหน่วยหลักในกองทัพให้มาอยู่เป็นเพื่อน
นอกจากนี้ยังมีข่าวจากสื่อที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาลไทย พยายามนำเสนอว่า กลุ่มผู้ชุมนุมถูกจ้างให้มาประท้วง ต้องถามว่าแล้วที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลได้เพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้ทหารที่เข้ามาดูแลการชุมนุมในกทม.วันละ 300 บาท และยังทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กลัวทหารจะเหนื่อยจึงเพิ่มให้อีกคนละ1,000 บาท ในขณะที่ทหารในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 180 บาท จริงหรือไม่
“มีทหารที่อยู่ใน ราบ11 เขาโทรศัพท์มาบ่นกับผมว่าวันนี้บ้านเมืองเป็นอะไรไปแล้ว ที่เอาค่ายทหารเป็นที่นอน เวลาจะเข้าจะออกก็ไปเป็นขบวนเหมือนทอดผ้าป่า จนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ว่าจะเอาทหารอยู่เป็นพวกอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ส่วนที่นายสุเทพระบุ มีการให้เงินส.ส.15 ล้านบาท ไประดมคนมาประท้วง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะถ้าส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เงินคนละ 15 ล้านบาทจริง คงไม่เสียเวลาไปจ้างคนมาประท้วง แต่จะจ้างมือปืนไปยิงปากนายสุเทพ” นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
นอกจากนี้ยังมีข่าวจากสื่อที่อยู่ภายใต้กำกับของรัฐบาลไทย พยายามนำเสนอว่า กลุ่มผู้ชุมนุมถูกจ้างให้มาประท้วง ต้องถามว่าแล้วที่มีรายงานข่าวว่ารัฐบาลได้เพิ่มเงินเบี้ยเลี้ยงให้ทหารที่เข้ามาดูแลการชุมนุมในกทม.วันละ 300 บาท และยังทราบว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กลัวทหารจะเหนื่อยจึงเพิ่มให้อีกคนละ1,000 บาท ในขณะที่ทหารในพื้นที่ 3 จ.ชายแดนภาคใต้ได้เบี้ยเลี้ยงวันละ 180 บาท จริงหรือไม่
“มีทหารที่อยู่ใน ราบ11 เขาโทรศัพท์มาบ่นกับผมว่าวันนี้บ้านเมืองเป็นอะไรไปแล้ว ที่เอาค่ายทหารเป็นที่นอน เวลาจะเข้าจะออกก็ไปเป็นขบวนเหมือนทอดผ้าป่า จนชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน ว่าจะเอาทหารอยู่เป็นพวกอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน ส่วนที่นายสุเทพระบุ มีการให้เงินส.ส.15 ล้านบาท ไประดมคนมาประท้วง ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะถ้าส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เงินคนละ 15 ล้านบาทจริง คงไม่เสียเวลาไปจ้างคนมาประท้วง แต่จะจ้างมือปืนไปยิงปากนายสุเทพ” นายสุชาติ กล่าว
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
"พีระพันธุ์" ยอมรับความยุติธรรมยังเข้าไม่ถึงคนทั้ง 60 ล้าน

นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงเหตุคนร้ายปาระเบิดที่กรมบังคับคดีว่า ได้สั่งกำชับทุกหน่วยงานให้เข้มงวดกวดขันมาตรการรักษาความปลอดภัย แต่ยังเกิดเหตุสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วน ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกำลังไม่เพียงพอในการดูแลสถานที่ราชการได้ครบทุกแห่ง ที่สำคัญรัฐบาลไม่สามารถสั่งห้ามการเดินทางผ่านหน้าสถานที่ราชการ ทำได้อย่างเดียวคือเฝ้าระวัง แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าช่วงนี้มีการนำอาวุธสงครามออกมาใช้จำนวนมาก เชื่อว่าเหตุระเบิดที่เกิดขึ้นทุกครั้งมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการเมือง
สำหรับการตรวจสอบกระแสเงินจากต่างประเทศที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในประเทศนั้น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าช่วงที่ผ่านมีความผิดปกติของเงินที่ไหลเข้าประเทศจริง แต่ยังไม่อยากยืนยันว่าเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง เพราะยังไม่มีหลักฐานชัดเจน หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมกำลังเร่งขยายผลการสืบสวน ดังนั้นเพื่อไม่ให้ถูกมองว่ากลไกในกระทรวงยุติธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดในการตรวจสอบซึ่งถือเป็นความลับในสำนวนคดี
ส่วนกรณีคนเสื้อแดงระบุว่ากลุ่มคนชั้นล่างไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวถูกหยิบยกมาเป็นประโยชน์ทางการเมือง เพื่อให้คนมาร่วมชุมนุม แต่ก็ยอมรับว่าความยุติธรรมคงไปไม่ถึงประชาชนทั้ง 60 ล้านคน วันนี้จึงต้องเริ่มวางกรอบและแนวทางปฏิบัติเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเข้าถึงประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะการแก้ไขระเบียบกองทุนยุติธรรม
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่คนยากจนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาตนเองพยายามทำให้ระบบการรับเรื่องร้องเรียนให้มีประสิทธิภาพ ให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้แต่บัตรสนเท่ห์ที่ไม่ลงชื่อ และเชื่อว่าการลงพื้นที่ตรวจสอบความเดือดร้อนจะทำให้ประชาชนรู้สึกดีที่ได้รับความสนใจจากหน่วยราชการ หากทำได้ในแนวทางนี้จะเกิดประโยชน์ในระยะยาว ทั้งนี้หากจะหยิบยกเรื่องความยุติธรรมมาเป็นประเด็นทางการเมือง ตนเองจะไม่ขอตอบโต้ ทุกคนควรหันกลับมาดูตัวเอง ประเทศก็เหมือนบ้าน เชื่อว่าทุกคนคงไม่ยอมให้บ้านของตัวเองมีปัญหา ถ้ามีปัญหาต้องทำให้บ้านมีความสุข อะไรที่ไม่ยุติธรรมขอให้นำมาว่ากันตามระบบ สู้กันด้วยพยานหลักฐาน ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
**************************************************
ส.ส.พท.บอยคอตเมินประชุมสภา

พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ที่อาคารรัฐสภาว่า ตนได้เดินทางมาดูพื้นที่โดยรอบอาคารรัฐสภาอีกครั้งและยังเห็นว่ามีกำลังทหาร อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำให้สภาผู้แทนราษฎรประเทศไทยมีสภาพไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎรอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นค่ายกักกันของทหารไปแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความอับอายไปทั่วโลก ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่านายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรไม่อายบ้างหรือ โดยตนได้ไปพบนายพิทูร พุ่มหิรัญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและทราบว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งของรัฐบาลให้ทหารมารักษาการที่ค่ายกักกันแห่งนี้ ดังนั้นถ้ารัฐบาลยังไม่ดำเนินการเอาสิ่งกีดขวางและนำกองกำลังทหารออกไปจากพื้นที่โดยรอบอาคารรัฐสภา พรรคเพื่อไทยจะไม่ยอมเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรอย่างแน่นอน
“วันนี้ มันไม่ใช่สภาผู้แทนราษฎรแล้ว มันเป็นค่ายกักกันของทหาร เจ้าหน้าที่บอกผมว่าเป็นเรื่องจริงที่มีการขอกำลังทหารให้มารักษาความปลอดภัย แต่ไม่ได้ขอไปจำนวนมากมายขนาดนี้ และการใช้กำลังทหารมากขนาดนี้มันไม่เหมาะสม เพราะการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสภาฯเลย เพราะผู้ชุมนุมประกาศชัดว่าจะไม่มาชุมนุมที่สภาฯ ซึ่งเรื่องนี้พิสูจน์กันได้ แต่รัฐบาลกลัวมากจนเกินไป” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว
พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า นอกจากนี้ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร จะเรียก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.มาชี้แจงถึงการใช้กองกำลังและงบประมาณในการสร้างค่ายกักกันแห่งนี้ รวมไปถึงเรื่องการยิงเอ็ม 79 ไปยังถนนแพร่งภูธร บริเวณกระทรวงกลาโหม และค่าใช้จ่ายที่กรมทหารราบที่ 11 รักษา พระองค์ระหว่างที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีไปพำนัก ว่าใช้งบประมาณจากส่วนใดด้วย
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
อัญมินทร์ เรียบเรียง
"ทักษิณ"อ้างให้หมอฉีดยา บอกเจรจาเป็นเรื่องของสามเกลอ
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทวิตข้อความผ่าน http://www.twitter.com/thaksinlive ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาว่ามีคนใช้ facebook ชื่อของเขา บอกกับคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมให้กลับบ้าน ต้องเรียนว่ามารเยอะจริงๆมาในรูปแบบต่างๆจนตามไม่ทัน ขอบอกว่าไม่จริงและขอให้ร่วมสู้
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ทวิตอีกครั้ง โดยแจ้งว่าต้องให้หมอฉีดยาเพื่อจะได้พูดกับพี่น้องได้เร็วๆ ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ดันมาป่วยในช่วงสำคัญ อย่างไรก็ขอให้เข้มแข็งผนึกกำลังให้แข็งแรงนะ
"มีคนพูดว่าทำไมไม่เจรจา ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล แล้วก็ยังแย่ได้อีกเขาจึงขอให้ยุบสภา เพราะฉะนั้นการเจรจาหรือไม่เจรจาไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของสามเกลอและคนเสื้อแดงเขา ถึงแม้ว่าผมจะถูกรังแกอย่างเจ็บปวดแต่ยังเทียบไม่ได้กับความเสียหายของประเทศ/ประชาชนโดยรวมที่ต้องตกอยู่ในภาวะที่ประเทศเป็นเผด็จการอำมาตย์ รัฐบาลเป็นเพียงหุ่นเชิดกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง 2มาตรฐาน"
***********************************************
นอกจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตด้วยว่า ทหารเตรียมพร้อมปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคที่โลกทั้งโลกเขาพากันไปไกลแล้ว แถมยังมีสื่อสารมวลชนที่เป็นสถานีโปรปากานดามากกว่า
ขณะที่เมื่อช่วงเย็นวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ทวิตอีกครั้ง โดยแจ้งว่าต้องให้หมอฉีดยาเพื่อจะได้พูดกับพี่น้องได้เร็วๆ ต้องขอโทษเป็นอย่างมากที่ดันมาป่วยในช่วงสำคัญ อย่างไรก็ขอให้เข้มแข็งผนึกกำลังให้แข็งแรงนะ
"มีคนพูดว่าทำไมไม่เจรจา ต้องเรียนว่าเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงที่เห็นความไม่ชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาล แล้วก็ยังแย่ได้อีกเขาจึงขอให้ยุบสภา เพราะฉะนั้นการเจรจาหรือไม่เจรจาไม่ใช่เรื่องของผม เป็นเรื่องของสามเกลอและคนเสื้อแดงเขา ถึงแม้ว่าผมจะถูกรังแกอย่างเจ็บปวดแต่ยังเทียบไม่ได้กับความเสียหายของประเทศ/ประชาชนโดยรวมที่ต้องตกอยู่ในภาวะที่ประเทศเป็นเผด็จการอำมาตย์ รัฐบาลเป็นเพียงหุ่นเชิดกระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง 2มาตรฐาน"
***********************************************
นอกจากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณยังทวิตด้วยว่า ทหารเตรียมพร้อมปราบปรามประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในยุคที่โลกทั้งโลกเขาพากันไปไกลแล้ว แถมยังมีสื่อสารมวลชนที่เป็นสถานีโปรปากานดามากกว่า
5 พรรคร่วมทิ้ง "ปชป." ในกองทัพ แตะมือ-รับสัญญาณ "ทักษิณ"
หากรัฐบาลเกิดอุบัติเหตุต้อง "ยุบสภา" เลือกตั้งใหม่ โดยไม่มีโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ต้องตกที่นั่งลำบาก
ทางหนึ่งอาจโดนปิดล้อมจาก พรรคใหญ่ประชาธิปัตย์ ในเขตภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร
ทางหนึ่งโดนปิดประตู-ตีกัน-ผลักดัน จากพรรคที่มีภาพทรงอิทธิพลในอีสาน-เหนือ มี ส.ส.คาสภาผู้แทนราษฎร มากที่สุดถึง 183 คน จากพรรคเพื่อไทย
พรรคที่เป็นพรรคขนาดกลาง อาจ เล็กลง ได้จำนวนส.ส.เข้าสภาน้อยลง
ไม่ต้องนับพรรคขนาดเล็ก ที่ต้องหนีตายจากพรรคใหญ่ และหลบกระแสความนิยม "ทักษิณ" ในพรรคเพื่อไทย ทั่วทุกเขตเลือกตั้ง
การปรับตัวของบรรดา พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก จึงต้อง "รุก" ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่พายุใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง
ความพยายามของ "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ลงทุน-ลงแรง เป็น "หัวหอก" ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางออกหนึ่ง ที่จะก้าวพ้นจาก "กับดัก" เขตเลือกตั้งแบบ "เขตใหญ่เรียงเบอร์"
ในขบวนของ "บรรหาร" จึงมี "เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน แกนนำพรรคขนาดกลาง "ภูมิใจไทย"
ไม่ต้องนับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต้องเกาะขบวนพรรคร่วม เพื่อโหนกระแส "เขตเดียว-เบอร์เดียว" มาตั้งแต่ต้นขบวน
เช่นเดียวกับพรรคขนาดเล็ก-เก่า-แก่ อย่างพรรคกิจสังคม ที่มีส.ส.คาสภา 5 คน อยู่ในโควตาเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 ตำแหน่ง ที่ต้องร่วมวง-ดิ้นหนี จากระบบเลือกตั้งแบบเดิม
ไม่ต้องนับ พรรครวมใจชาติพัฒนา ของ ผู้ยิ่งใหญ่-โคราช "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่เพิ่งจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ภายใต้ร่มเงาหัวหน้าพรรค น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่เป็น "ตัวหลัก" ในการผนึกกำลังกับพรรคขนาดกลาง เพื่อรอดพ้นจากการเข้าโจมตีจากพรรคเพื่อไทย
ประสบการณ์ร่วมทุกข์-ร่วมสุข ของบรรดา 5 พรรคร่วมรัฐบาล ในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงออกดอก-ออกหนาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดนมรสุมโลหิต จากม็อบ "เพื่อไทย-เสื้อแดง" ที่รุกประชิดให้ "ยุบสภา"
ดังนั้น เมื่อพรรคใหญ่-กับพรรคใหญ่ 2 พรรค ทำสงครามครั้งสุดท้าย ผ่านสงครามตัวแทน "เสื้อแดง" บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนจึงหลบฝังตัวอยู่ "ใต้ดิน" บางส่วน "ข้ามฟ้า" ไปหลบร้อนในต่างประเทศ
แม้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเล่นเกม ส่งสัญญาณข้ามฟ้า เข้าถึงตัวแกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล แบบเรียงชื่อ-เรียงตัว ให้ 5 พรรค-พลิกขั้ว-ถอนตัว
ชื่อ สมศักดิ เทพสุทิน-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-ชัย ชิดชอบ จึงถูก "ทักษิณ" เรียกหา เพื่อให้องค์ประกอบของ "รัฐบาล" ทั้งพรรคภูมิใจไทย- ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนาและกิจสังคม โดดเดี่ยว "พรรคประชาธิปัตย์"
บรรดา "แกนนำ-ตัวจริง" ทิ้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ในกองทัพ ปฏิบัติการอยู่ใน ศูนย์บัญชาการ รักษาความสงบ "ศอ.รส." ในพื้นที่ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไม่ไยดี
ทุกพรรคร่วม ไม่มีพรรคใด กล้าปริปาก เรื่อง "เปลี่ยนขั้ว"
ทั้งไม่กล้าทิ้งประชาธิปัตย์ ทั้งไม่อยากปฏิเสธ "ทักษิณ"
จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ "เสื้อแดง"
ในขณะเดียวกัน ก็ยืนระยะ ไม่ใกล้-ไม่ห่าง จากพรรคประชาธิปัตย์
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จึง "เข้าใจได้-แต่ยากที่จะเชื่อ" เมื่อ "เนวิน" เลื่อนเวลาเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ แม้ "เนวิน" จะยืนยันว่าไปชมการแข่งขันฟุตบอล
การที่ "ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการใหญ่-ตัวหลัก ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่เคยปรากฏตัวที่ "ศอ.รส." จึงเป็นเรื่อง ที่แกนนำประชาธิปัตย์ ลอบมองอย่าง คลางแคลงใจ
ทั้งๆ ที่ การกำกับกระทรวงมหาดไทย-ผู้ว่าราชการจังหวัด-องค์การปกครองทั่วประเทศ จะอยู่ในมือ "ภูมิใจไทย" แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเสนอ ในการร่วมคิด-ร่วมแก้ปัญหา "ม็อบแดง" ที่ผุดทั่ว ทุกหัวเมือง
ระหว่างที่ประชาธิปัตย์กำลังชุลมุน กับ "ม็อบแดง" หลังฉากการต่อสู้ กลับมีเสียงเรียกโทรศัพท์ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" ถึงแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดึงตัว "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" ให้พ้นตัว "บรรหาร" พร้อมข้อเสนอกลางหน้าแล้ง-ร้อน ด้วยการเปิดตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" นอกทำเนียบ
เสียงคำ "ทาบทาม" ถูกกระจายเสียง-กึกก้อง ทั่วทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หางเสียงทอดไปถึงพรรคประชาธิปัตย์
จึงมีเสียงสะท้อนกลับ-มีนัยยะ "พรรคชาติไทยพัฒนายังรักษาสัจจะ คือ จับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ยังไม่มีความคิดเปลี่ยนขั้ว...ตอนนี้"
การชิงลงมือของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แตะมือไว้กับพรรคใหญ่ 2 พรรค แสดงความเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ในกระดานการเมือง ยิ่งทำให้ "เสธ.หนั่น-บรรหาร" ปั่นราคา-ค่างวดของพรรค ได้สูงลิ่ว
ทั้งหมดไม่พลาดสายตา ไปจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี- นายพินิจ จารุสมบัติ -นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่ทอด-สอดมอง ข้ามน้ำ-ข้ามแผ่นดิน มาจากประเทศญี่ปุ่น
หลังจากเคยลักลอบ-ลัดเลาะ ไปนัดพบหารือปัญหาการเมืองกับ "สุวัจน์-รวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่ฮ่องกง มาแล้วหลายวาระ
ส่วนพรรคกิจสังคม ของ "สุวิทย์ คุณกิตติ" ก็มีอันต้องติดภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างไม่อาจเลี่ยง ช่วงม็อบแดง-กระจาย จึงไม่มีใครเห็น "สุวิทย์" อยู่ในฐานบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล
ยามวิกฤติของรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเดี่ยว แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางนายพลแห่งกองทัพไทย
ฝ่ายรัฐบาลจึงมีเพียง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" และแน่นหนาไปด้วยเครือข่าย ใน 4 เหล่าทัพ
และยังมีทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น คำยืนยัน ไม่ยุบ-ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไปและจะเปิดโต๊ะเจรจา ของ "อภิสิทธิ์" จึงมี น้ำหนัก-หนาแน่น ไปด้วย มวลของ "ทหาร" แต่มวลแนวร่วมของ 5 พรรคร่วมนั้น แสนจืดจาง-เบาบาง
แม้บางพรรคจะพยายามส่งสัญญาณต่อสาธารณะ ในท่วงทำนองว่า "ยังคงเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ต่อไป" แม้มีทางเลือก อย่างลับๆ กับแกนนำใน "เครือข่ายทักษิณ"
ช่วงจังหวะทางการเมืองที่ร้อน-แล้ง เช่นนี้ การทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไว้กลางกองทัพ จึงเป็นทางเลือก-ทางลง ของ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ปลอดภัยที่สุด
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************
พรรคร่วมรัฐบาล ที่เป็นพรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก ต้องตกที่นั่งลำบาก
ทางหนึ่งอาจโดนปิดล้อมจาก พรรคใหญ่ประชาธิปัตย์ ในเขตภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร
ทางหนึ่งโดนปิดประตู-ตีกัน-ผลักดัน จากพรรคที่มีภาพทรงอิทธิพลในอีสาน-เหนือ มี ส.ส.คาสภาผู้แทนราษฎร มากที่สุดถึง 183 คน จากพรรคเพื่อไทย
พรรคที่เป็นพรรคขนาดกลาง อาจ เล็กลง ได้จำนวนส.ส.เข้าสภาน้อยลง
ไม่ต้องนับพรรคขนาดเล็ก ที่ต้องหนีตายจากพรรคใหญ่ และหลบกระแสความนิยม "ทักษิณ" ในพรรคเพื่อไทย ทั่วทุกเขตเลือกตั้ง
การปรับตัวของบรรดา พรรคขนาดกลาง-ขนาดเล็ก จึงต้อง "รุก" ให้เปิดสภาผู้แทนราษฎร เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนที่พายุใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าจะมาถึง
ความพยายามของ "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ลงทุน-ลงแรง เป็น "หัวหอก" ในการเสนอแก้รัฐธรรมนูญ จึงเป็นทางออกหนึ่ง ที่จะก้าวพ้นจาก "กับดัก" เขตเลือกตั้งแบบ "เขตใหญ่เรียงเบอร์"
ในขบวนของ "บรรหาร" จึงมี "เนวิน ชิดชอบ-สมศักดิ์ เทพสุทิน" หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน แกนนำพรรคขนาดกลาง "ภูมิใจไทย"
ไม่ต้องนับพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่ต้องเกาะขบวนพรรคร่วม เพื่อโหนกระแส "เขตเดียว-เบอร์เดียว" มาตั้งแต่ต้นขบวน
เช่นเดียวกับพรรคขนาดเล็ก-เก่า-แก่ อย่างพรรคกิจสังคม ที่มีส.ส.คาสภา 5 คน อยู่ในโควตาเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 1 ตำแหน่ง ที่ต้องร่วมวง-ดิ้นหนี จากระบบเลือกตั้งแบบเดิม
ไม่ต้องนับ พรรครวมใจชาติพัฒนา ของ ผู้ยิ่งใหญ่-โคราช "สุวัจน์ ลิปตพัลลภ" ที่เพิ่งจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2553 ภายใต้ร่มเงาหัวหน้าพรรค น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ที่เป็น "ตัวหลัก" ในการผนึกกำลังกับพรรคขนาดกลาง เพื่อรอดพ้นจากการเข้าโจมตีจากพรรคเพื่อไทย
ประสบการณ์ร่วมทุกข์-ร่วมสุข ของบรรดา 5 พรรคร่วมรัฐบาล ในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ จึงออกดอก-ออกหนาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ โดนมรสุมโลหิต จากม็อบ "เพื่อไทย-เสื้อแดง" ที่รุกประชิดให้ "ยุบสภา"
ดังนั้น เมื่อพรรคใหญ่-กับพรรคใหญ่ 2 พรรค ทำสงครามครั้งสุดท้าย ผ่านสงครามตัวแทน "เสื้อแดง" บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางส่วนจึงหลบฝังตัวอยู่ "ใต้ดิน" บางส่วน "ข้ามฟ้า" ไปหลบร้อนในต่างประเทศ
แม้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" จะเล่นเกม ส่งสัญญาณข้ามฟ้า เข้าถึงตัวแกนนำ พรรคร่วมรัฐบาล แบบเรียงชื่อ-เรียงตัว ให้ 5 พรรค-พลิกขั้ว-ถอนตัว
ชื่อ สมศักดิ เทพสุทิน-บรรหาร ศิลปอาชา-สุวัจน์ ลิปตพัลลภ-ชัย ชิดชอบ จึงถูก "ทักษิณ" เรียกหา เพื่อให้องค์ประกอบของ "รัฐบาล" ทั้งพรรคภูมิใจไทย- ชาติไทยพัฒนา-เพื่อแผ่นดิน-รวมใจไทยชาติพัฒนาและกิจสังคม โดดเดี่ยว "พรรคประชาธิปัตย์"
บรรดา "แกนนำ-ตัวจริง" ทิ้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์ ไว้ในกองทัพ ปฏิบัติการอยู่ใน ศูนย์บัญชาการ รักษาความสงบ "ศอ.รส." ในพื้นที่ของกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ร.11 รอ.) อย่างไม่ไยดี
ทุกพรรคร่วม ไม่มีพรรคใด กล้าปริปาก เรื่อง "เปลี่ยนขั้ว"
ทั้งไม่กล้าทิ้งประชาธิปัตย์ ทั้งไม่อยากปฏิเสธ "ทักษิณ"
จึงไม่มีนักการเมืองคนไหนใน 5 พรรคร่วมรัฐบาล ประกาศตัวเป็นคู่ขัดแย้งกับ "เสื้อแดง"
ในขณะเดียวกัน ก็ยืนระยะ ไม่ใกล้-ไม่ห่าง จากพรรคประชาธิปัตย์
แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ จึง "เข้าใจได้-แต่ยากที่จะเชื่อ" เมื่อ "เนวิน" เลื่อนเวลาเดินทางกลับจากประเทศอังกฤษ แม้ "เนวิน" จะยืนยันว่าไปชมการแข่งขันฟุตบอล
การที่ "ชวรัตน์ ชาญวีรกูล" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กรรมการใหญ่-ตัวหลัก ในคณะรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไม่เคยปรากฏตัวที่ "ศอ.รส." จึงเป็นเรื่อง ที่แกนนำประชาธิปัตย์ ลอบมองอย่าง คลางแคลงใจ
ทั้งๆ ที่ การกำกับกระทรวงมหาดไทย-ผู้ว่าราชการจังหวัด-องค์การปกครองทั่วประเทศ จะอยู่ในมือ "ภูมิใจไทย" แต่ก็ไม่ปรากฏข้อเสนอ ในการร่วมคิด-ร่วมแก้ปัญหา "ม็อบแดง" ที่ผุดทั่ว ทุกหัวเมือง
ระหว่างที่ประชาธิปัตย์กำลังชุลมุน กับ "ม็อบแดง" หลังฉากการต่อสู้ กลับมีเสียงเรียกโทรศัพท์ "สายตรง" จาก "ทักษิณ" ถึงแกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อดึงตัว "พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์" ให้พ้นตัว "บรรหาร" พร้อมข้อเสนอกลางหน้าแล้ง-ร้อน ด้วยการเปิดตำแหน่ง "นายกรัฐมนตรี" นอกทำเนียบ
เสียงคำ "ทาบทาม" ถูกกระจายเสียง-กึกก้อง ทั่วทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา หางเสียงทอดไปถึงพรรคประชาธิปัตย์
จึงมีเสียงสะท้อนกลับ-มีนัยยะ "พรรคชาติไทยพัฒนายังรักษาสัจจะ คือ จับมือร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ยังไม่มีความคิดเปลี่ยนขั้ว...ตอนนี้"
การชิงลงมือของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่แตะมือไว้กับพรรคใหญ่ 2 พรรค แสดงความเป็น "ตัวแปร" สำคัญ ในกระดานการเมือง ยิ่งทำให้ "เสธ.หนั่น-บรรหาร" ปั่นราคา-ค่างวดของพรรค ได้สูงลิ่ว
ทั้งหมดไม่พลาดสายตา ไปจากพรรคเพื่อแผ่นดิน ที่มีทั้ง ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี- นายพินิจ จารุสมบัติ -นายปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่ทอด-สอดมอง ข้ามน้ำ-ข้ามแผ่นดิน มาจากประเทศญี่ปุ่น
หลังจากเคยลักลอบ-ลัดเลาะ ไปนัดพบหารือปัญหาการเมืองกับ "สุวัจน์-รวมใจไทยชาติพัฒนา" ที่ฮ่องกง มาแล้วหลายวาระ
ส่วนพรรคกิจสังคม ของ "สุวิทย์ คุณกิตติ" ก็มีอันต้องติดภารกิจที่ประเทศฝรั่งเศส อย่างไม่อาจเลี่ยง ช่วงม็อบแดง-กระจาย จึงไม่มีใครเห็น "สุวิทย์" อยู่ในฐานบัญชาการของฝ่ายรัฐบาล
ยามวิกฤติของรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ จึงโดดเดี่ยว แต่อบอุ่นอยู่ท่ามกลางนายพลแห่งกองทัพไทย
ฝ่ายรัฐบาลจึงมีเพียง "อภิสิทธิ์-สุเทพ" และแน่นหนาไปด้วยเครือข่าย ใน 4 เหล่าทัพ
และยังมีทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ธีระวัฒน์ บุณยะประดับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.อ.พิรุณ แผ้วพลสง เสธ.ทบ. พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รอง เสธ.ทบ. พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ดังนั้น คำยืนยัน ไม่ยุบ-ไม่ถอย พร้อมจะเดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไปและจะเปิดโต๊ะเจรจา ของ "อภิสิทธิ์" จึงมี น้ำหนัก-หนาแน่น ไปด้วย มวลของ "ทหาร" แต่มวลแนวร่วมของ 5 พรรคร่วมนั้น แสนจืดจาง-เบาบาง
แม้บางพรรคจะพยายามส่งสัญญาณต่อสาธารณะ ในท่วงทำนองว่า "ยังคงเหนียวแน่นกับประชาธิปัตย์ต่อไป" แม้มีทางเลือก อย่างลับๆ กับแกนนำใน "เครือข่ายทักษิณ"
ช่วงจังหวะทางการเมืองที่ร้อน-แล้ง เช่นนี้ การทิ้ง พรรคประชาธิปัตย์ ไว้กลางกองทัพ จึงเป็นทางเลือก-ทางลง ของ 5 พรรคร่วมรัฐบาล ที่ปลอดภัยที่สุด
ที่มา. ประชาชาติธุรกิจ
***************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)