ประภาส ปิ่นตบแต่ง
“บรรดาควายทั้งหลาย อย่าหลงเศษหญ้า เศษฟางที่เขาโปรยหว่านให้”
(กวีศรีรัตนโกสินทร์, มติชนสุดสัปดาห์)
“เป็นโอกาสแรกที่พวกเขาจะได้มาเห็นกรุงเทพฯ โดยมีรถฟรีและเงินใส่กระเป๋ามาให้อีกด้วย”
(พิธีกรสถานีโทรทัศน์เสื้อเหลืองช่องหนึ่ง)
“คนพวกนี้มันเลวยิ่งกว่าหมาข้างถนนเสียอีก”
(องค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ท่านหนึ่งบนเวทีพันธมิตรฯ)
ฯลฯ
คำกล่าวประณามดูถูก เหยียดหยาม พี่น้องเสื้อแดงของบรรดาองค์ศาสดานักรบหน้าไมค์ คนชั้นกลางในเมือง ฯลฯ ซึ่งได้ลดทอนความเป็นคน การสร้างความเป็นคนอื่นในแก่ผู้คนในชนบทเป็นสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดระยะเวลาในช่วงสงครามสี 3-4 ปีที่ผ่านมานี้ และคงเป็นเหตุผลสำคัญที่จะทำให้เราต้องมาช่วยกันทำความเข้าใจคนเสื้อแดง
ประเด็นที่จะพูดทั้งหมดคือ อย่าเข้าใจคนในชนบทด้วย “ทฤษฎีจูงวัวควาย”
การเคลื่อนไหวของชาวบ้านในชนบท คนจน คนรากหญ้า ฯลฯ ถูกครอบงำมายาวนานด้วยกรอบการอธิบายที่ขอเรียกว่า “ทฤษฎีจูงวัวควาย” ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากงานของ Riggs เรื่องรัฐราชการ (Bureaucratic Polity) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1966 บางท่านเรียก ทฤษฎีอำมาตยาธิปไตย เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ว่า อำนาจอธิปไตยหรืออำนาจทางการเมืองไทยอยู่ที่อำมาตย์หรือข้าราชการตลอดมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์ 24 มิถุนายน 2475
อีกชิ้นหนึ่งคือ งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “สองนคราประชาธิปไตย” ที่มองว่าคนชนบทซึ่งมีจำนวนมากเป็นพวกไพร่ มีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ขัดขวางการพัฒนาประชาธิปไตย คนพวกนี้จึงเป็นฐานเสียงผู้ตั้งรัฐบาลอัปรีย์ชน ส่วนคนในเมืองจำนวนน้อยแต่ฉลาด หลักแหลม ฯลฯ เป็นผู้ตรวจสอบ กำกับและล้มรัฐบาล
Riggs พบว่า สังคมไทยไม่องค์กรนอกภาครัฐ (Extra-Bureaucratic Polity) ประชาชนโดยทั่วไปมีลักษณะเฉื่อยชาทางการเมือง แต่งานของ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เรื่อง “มองการเมืองไทยผ่านองค์กรธุรกิจ” พบว่า ในช่วงตั้งแต่รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์เป็นต้นมา ภาคธุรกิจได้เติบโตและเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองกับพวกอำมาตย์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง อาจารย์เอนก พบว่า สังคมไทยเกิดองค์กรนอกภาครัฐขึ้นมาแล้ว แต่มีเพียงภาคธุรกิจเท่านั้นที่สามารถเข้ามาแบ่งอำนาจทางการเมืองและการตัดสินตกลงใจในกระบวนนโยบายสาธารณะมาจากรัฐราชการ
ส่วนชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบท แม้จะมีการรวมกลุ่มก้อน หรือสังกัดเครือข่ายองค์กร แต่ก็มีลักษณะเป็นองค์กรจัดตั้งและกำกับโดยรัฐ หรืออยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์-ลูกน้อง ไม่ได้มีลักษณะเป็น “เสรีชน” ผู้ซึ่งหลุดพ้นจากวัฒนธรรมประเพณีที่ล้าหลัง เหมือนคนชั้นกลางในเมือง
งานเหล่านี้เป็นฐานทางวิชาการให้กับนักวิเคราะห์ทางการเมืองที่ใช้มองการเมืองของผู้คนในชนบทมายาวนาน และยังมีอิทธิพล ครอบงำ มาสู่การวิเคราะห์การเมืองของมวลชนที่กำลังขับเคี่ยวกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้
กรอบดังกล่าวนี้มองว่า ชาวบ้านในชนบทที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็เพราะถูกลากพา หรือจูงจมูกเหมือนวันเหมือนควาย ไม่ว่าอธิบายแง่ไหน มุมไหน ยังไงคนพวกนี้ก็ยังถูกเข้าใจว่าเป็นไพร่วันยันค่ำ
ในมิติการเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง แม้ผู้คนเหล่านี้จะมาลงคะแนนเสียงด้วยสัดส่วนร้อยละที่สูงมาก แต่พวกเขามาลงคะแนนเลือกตั้งก็เพราะถูก “ลากพา” มาด้วยยุทธวิธีการขนคนของหัวคะแนน และแรงจูงใจด้านการซื้อสิทธิ-ขายเสียง
การเข้ามาร่วมเคลื่อนไหว ชุมนุม ก็เพราะมีพวกมือที่สามไปจ้างวานให้มาร่วมชุมนุม การเข้าร่วมการเคลื่อนไหวกับคนสีเสื้อไหนก็แล้วแต่ ก็เป็นเพราะถูกลากจูงมาด้วยผลประโยชน์เฉพาะหน้า ไม่ได้มาด้วยความคิดอุดมการณ์ หรือความเข้าใจในระดับนามธรรมที่สูงไปกว่าผลประโยชน์ที่มองเห็นได้ตรงหน้าเล็กๆ น้อยๆ
เหตุการณ์และปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหวหรือแสดงบทบาททางการเมืองของผู้คนในชนบท ควรนำมาสู่การตั้งถามต่อกรอบการวิเคราะห์แบบทฤษฎีจูงวัวควายเสียที
ประการแรก ควรทำความเข้าใจสภาพความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางที่เกิดขึ้นในชนบทว่า ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงภาพของสังคมเกษตรกรรม กล่าวคือ ชีวิตต้องพึ่งพึงภายนอกทั้งด้านตลาด นโยบายการแก้ไขปัญหาหรือการช่วยเหลือสนับสนุนจากรัฐและองค์กรภายนอก รวมทั้งการดิ้นรนเข้าไปอยู่ในโรงงานหรือการพึ่งรายได้นอกภาพเกษตรกรรม ฯลฯ
สภาพเช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องเข้าไปสัมพันธ์การเข้าสังกัดกลุ่ม องค์กร รวมทั้งเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองหรือนโยบายสาธารณะทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพราะได้กลายเป็นเงื่อนไข/ปัจจัยที่จะทำให้ชีวิตอยู่รอด
ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในชนบทก็คือ ผู้คนได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างใกล้ชิดแล้ว ดังจะเห็นได้ว่า ชาวบ้านเข้าสังกัดกลุ่มองค์กร และเครือข่ายการเคลื่อนไหวที่หลากหลาย เช่น เครือข่ายหนี้สินชาวนา สมัชชาเกษตรรายย่อย สมัชชาคนจน ฯลฯ
รวมทั้งเข้าเข้าไปสังกัดกลุ่มองค์กรที่รัฐเข้าไปสนับสนุน ที่สำคัญคือ มีลักษณะที่แตกต่างไปจากการสังกัดกลุ่มองค์กรในอดีต กล่าวคือ ไม่ได้มีลักษณะเป็นแบบกลุ่มที่จัดตั้งและควบคุมโดยรัฐ (state corporatism) ภาพของกลุ่มองค์กรที่มีบทบาทเพียงจัดแถวเตรียมต้อนรับหรือส่งข้าราชการชั้นสูงเริ่มหายหมดไปแล้ว
ประการที่สอง นโยบายสาธารณะ โครงการพัฒนาของรัฐ การจัดหรืออะไรก็แล้วแต่ กลายเป็นทรัพยากรสำคัญเกี่ยวกับการผลิต และสภาพสวัสดิการ ฯลฯไม่ว่าจะเรียกประชานิยมชีวิตความเป็นอยู่หรือการทำมาหากินของผู้คน มีนัยสำคัญต่อสภาพดำรงชีพของผู้คน
แต่ผู้คนจะเข้าถึงได้ต้องเคลื่อนไหวทางการเมืองในระดับชุมชนด้วย เช่น เข้าสังกัดกลุ่มองค์กร เข้าไปสัมพันธ์กับหัวคะแนน ผู้ใหญ่บ้านกำนัน นายกอบต. ฯลฯ หรือมีความจำเป็นต้องเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว
สิ่งเหล่านี้ จึงควรนำมาสู่ข้อสรุปใหม่เสียทีหรือไม่ว่า คนในชนบทเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ และความรับรู้ทางการเมือง ตลอดจนท่าทีหรือความโน้มเอียงทางการเมือง และการเข้าไปมีส่วนในปฏิบัติการทางการเมือง ทั้งในระดับการเมืองท้องถิ่นและระดับชาติ
การเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองจึงไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นวัวเป็นควาย แต่เพราะเงื่อนไขด้านสภาพชีวิตและวิถีการทำมาหากินทำให้ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งมีมาก่อนหน้าที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 4-5 ปีนี้แล้ว
การทำความเข้าใจเช่นนี้จึงนำไปสู่การแบ่งพวกเขา พวกเรา ด้วยการสร้างอารมณ์ของความเป็นอันหนึ่งเดียวของแต่ละฝ่ายได้ง่าย และจะนำไปสู่ความขัดแย้งในระยะยาวที่จะยิ่งฝังลึกจนกลายเป็นสิ่งที่ยากจะแก้ไข
ดังผลพวงของการมองคนชนบทเป็นคนอื่น การลดทอนความเป็นมนุษย์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่นำมาสู่การแรงเคลื่อนในการชุมนุมครั้งนี้อย่างชัดเจน ผู้คนเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นว่า เขามีตัวตน มีที่มีทางในสังคม โดยได้บุกเข้ามาเหยียบเมืองหลวงอย่างมีศักดิ์ มีศรี ให้คนในเมือง คนชั้นกลางได้เห็นหัวพวกกูบ้าง ดังที่เราเห็นได้จากชุมนุมตั้งแต่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา
ที่มา.konthaiuk
*************************************************
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
กรรมการสิทธิฯ ชมทุกฝ่ายร่วมกันทำให้การชุมนุมสงบ

ศาสตราจารย์อมรา พงศาพิชญ์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นัดพิเศษ ในวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม 2553 ว่า กสม. ได้ปรึกษาหารือ โดยทำการประเมินสถานการณ์การชุมนุมสาธารณะ พิจารณาเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการชุมนุมซึ่งร้องมายัง กสม. ตลอดจนทิศทางของ กสม. ในฐานะที่ทำหน้าที่เชื่อมกลไกต่าง ๆ ในสังคมมาหาทางออกจากวิกฤตร่วมกัน ที่ประชุมได้เห็นพ้องต้องกันว่า
๑) ขอแสดงความชื่นชมผู้ชุมนุม และรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่ช่วยกันเฝ้าระวังติดตาม กำกับให้การชุมนุมเป็นไปด้วยดี โดยไม่เกิดความรุนแรง
๒) กสม. จะทำการรวบรวม วิเคราะห์ และศึกษา ข้อเรียกร้องที่กระทบต่อสิทธิ และเสรีภาพของผู้ชุมนุม ที่มีต่อรัฐบาลอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาความเดือดร้อนของผู้ชุมนุมและประชาชน เพื่อหาทางออกของสังคมร่วมกันต่อไป
๓) เรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวเนื่องจากการชุมนุม ที่แต่ละฝ่ายร้องมาที่ กสม. นั้น กสม.จะตั้งคณะกรรมการชุดพิเศษ โดยมีประธาน กสม. เป็นประธาน และกำลังทาบทามบุคคลซึ่งเป็นที่ยอมรับจากสังคม เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
๔) เนื่องจากสถานการณ์การชุมนุมครั้งนี้มีความซับซ้อน อ่อนไหว และเปราะบาง ดังนั้น ทิศทางการดำเนินการของ กสม. ต่อไป จะต้องเป็นมติของคณะกรรมการทั้งชุดเท่านั้น
*************************************************
วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553
ทักษิณปูดรัฐบาลเตรียมจับตัวแกนนำ นปช.
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิ้งค์มายังกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง ว่า จากการสืบทราบ และจากการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ เห็นสัญญาณชัดว่าพูดไม่รู้เรื่อง ไม่ฟัง แต่แนวโน้มจะเล่นงานพวกเรามากกว่า ตอนที่ออกมาเป็นอย่างนี้ ตอนนี้ต้องถามว่าพี่น้องจะอยู่ปกป้องและสู้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า ตนได้ข่าวมาว่าสองสามวันนี้จะมีการจับตัวแกนนำ พี่น้องจะปล่อยให้จับแกนนำหรือเปล่า นอกจากนี้สิ่งที่ประหลาด คือ นายกฯไปอยู่ในค่ายทหาร และทหารไปอยู่ในทำเนียบรัฐบาลแทน ดังนั้งสิ่งที่ตนต้องถามนายอภิสิทธิ์ว่าจะไปเป็นคอมแมน หรือจะไปถูกจองจำโดยทหาร สิ่งที่ตนรู้รู้ตอนนี้ คือ นายอภิสิทธิ์ไปติดนิสัยเผด็จการมาจากทหารมาเยอะ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************
อาจารย์ มธ.ร้องสอบ"สุเทพ"รับข้อมูลCIAดักฟังโทรศัพท์ทักษิณ
นายวรพล พรหมิกบุตร อาจารยย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ได้ยื่นหนังสือ 2 ฉบับผ่านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ถึงนายยงยุทธ์ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และนายสมชาย เพศประเสริฐ ประธานกรรมาธิการทหาร สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ดำเนินการทางรัฐสภาตรวจสอบ กรณีที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายมั่นคง อ้างว่าได้รับข้อมูลข่าวกรองจาก CIA สหรัฐอเมริกา ซึ่งดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ก่อวินาศกรรมในประเทศไทยระหว่างการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)
นายวรพล กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาและการตรวจค้นข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน CIA ซึ่งไม่เป็นความลับ พบว่า 1.ความเป็นไปได้ที่ CIA จะดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นศูนย์ เพราะการดักฟังโทรศัพท์ของประเทศสหรัฐฯ มีกฎหมายรองรับ ต้องขออนุมัติจากผู้อำนวยการ CIA และประธานาธิบดี ขณะที่การดักฟังโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายเกี่ยวข้องความั่นคง เช่น การดักฟังโทรศัพท์เครือข่ายบิน ลาเดน ดังนั้นการดักฟังถ้ากระทำโดยผิดกฎหมายจะส่งให้ประธานาธิบดี ถูกถอดถอนได้เหมือนกรณีคดีวอเตอร์เกท
การกล่าวของนายสุเทพจึงไม่มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้มีการดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากจะมีการดักฟังจริงถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ประเทศไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และ 2. ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริงและอ้างว่าหน่วยข่าวกรองส่งข่าวให้นายสุเทพทราบ อยากทราบว่านายสุเทพ มีอำนาจตามกฎหมาย หรือระเบียบใดของไทยที่จะดำเนินการดังกล่าว และมีข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฯ ใดที่ให้อำนาจนักการเมืองขอความร่วมมือเชิงจารกรรมกับ CIA ซึ่งเรื่องนี้ล่อแหลมในการดำเนินการ จึงต้องการให้นายสุเทพ ออกมาชี้แจงด้วยโดยไม่ได้ขอให้เปิดเผยที่ได้มาจาก CIA ถ้าจะอ้างว่าข้อมูลเป็นความลับ แต่ต้องการให้นายสุเทพ ชี้แจงว่ามีอำนาจตามกฎหมายและระเบียบใดของไทย รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฉบับไหนที่ให้อำนาจ
ด้านนายพร้อมพงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 23 มีนาคมนี้ ตนเองในฐานะที่ปรึกษา ประธานกรรมาธิการทหาร สภา ฯ จะนำหนังสือของนายวรพล ส่งให้นายสมชาย ประธานกรรมาธิการทหาร ดำเนินตรวจสอบเรียกนายสุเทพ สอบถามและชี้แจงต่อไป พร้อมกันนี้จะส่งหนังสือถึงประธานกรรมาธิการทหาร ประเทศสหรัฐด้วย
ที่มา.เนชั่นออนไลน์
*************************************************
นายวรพล กล่าวว่า จากที่ได้ศึกษาและการตรวจค้นข้อมูลเกี่ยวกับหน่วยงาน CIA ซึ่งไม่เป็นความลับ พบว่า 1.ความเป็นไปได้ที่ CIA จะดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นเป็นศูนย์ เพราะการดักฟังโทรศัพท์ของประเทศสหรัฐฯ มีกฎหมายรองรับ ต้องขออนุมัติจากผู้อำนวยการ CIA และประธานาธิบดี ขณะที่การดักฟังโทรศัพท์ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเครือข่ายเกี่ยวข้องความั่นคง เช่น การดักฟังโทรศัพท์เครือข่ายบิน ลาเดน ดังนั้นการดักฟังถ้ากระทำโดยผิดกฎหมายจะส่งให้ประธานาธิบดี ถูกถอดถอนได้เหมือนกรณีคดีวอเตอร์เกท
การกล่าวของนายสุเทพจึงไม่มีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้มีการดักฟังโทรศัพท์ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ หากจะมีการดักฟังจริงถือเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ประเทศไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และ 2. ถ้ามีการดักฟังโทรศัพท์จริงและอ้างว่าหน่วยข่าวกรองส่งข่าวให้นายสุเทพทราบ อยากทราบว่านายสุเทพ มีอำนาจตามกฎหมาย หรือระเบียบใดของไทยที่จะดำเนินการดังกล่าว และมีข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฯ ใดที่ให้อำนาจนักการเมืองขอความร่วมมือเชิงจารกรรมกับ CIA ซึ่งเรื่องนี้ล่อแหลมในการดำเนินการ จึงต้องการให้นายสุเทพ ออกมาชี้แจงด้วยโดยไม่ได้ขอให้เปิดเผยที่ได้มาจาก CIA ถ้าจะอ้างว่าข้อมูลเป็นความลับ แต่ต้องการให้นายสุเทพ ชี้แจงว่ามีอำนาจตามกฎหมายและระเบียบใดของไทย รวมทั้งข้อตกลงระหว่างประเทศไทย - สหรัฐ ฉบับไหนที่ให้อำนาจ
ด้านนายพร้อมพงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันอังคารที่ 23 มีนาคมนี้ ตนเองในฐานะที่ปรึกษา ประธานกรรมาธิการทหาร สภา ฯ จะนำหนังสือของนายวรพล ส่งให้นายสมชาย ประธานกรรมาธิการทหาร ดำเนินตรวจสอบเรียกนายสุเทพ สอบถามและชี้แจงต่อไป พร้อมกันนี้จะส่งหนังสือถึงประธานกรรมาธิการทหาร ประเทศสหรัฐด้วย
ที่มา.เนชั่นออนไลน์
*************************************************
ความเป็นอิสระของตุลาการกับหลักนิติรัฐ
.jpg)
ความเป็นอิสระของตุลาการถือเป็นส่วนหนึ่งของหลักนิติรัฐและเป็นหลักค้ำจุนที่สำคัญของความเป็นประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนด้วย หลักความเป็นอิสระของตุลาการนั้นหมายความว่า ตุลาการต้องเป็นอิสระทั้งจากภายนอก คือจากฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารรวมทั้งอิสระจากฝ่ายตุลาการด้วยกันเอง กล่าวคือ การพิจารณาคดีของผู้พิพากษาจะไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตุลาการที่อาวุโสกว่าหรือผู้บังคับบัญชา ความเป็นอิสระของตุลาการนั้นสำคัญมาก และเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้พิพากษาจะต้องวางตนให้เป็นที่ยอมรับหรือไว้วางใจของคนทั้งสังคม
หากวิญญูชนตั้งข้อสงสัยหรือเคลือบแคลงในตัวผู้พิพากษาท่านใดท่านหนึ่งหรือสงสัยต่อสถาบันแล้วก็อาจเป็นผลเสียแก่องค์กรตุลาการเองได้ ความไว้วางใจต่อองค์กรตุลาการว่าเป็นองค์กรที่จะอำนวยความยุติธรรมนั้นสำคัญมากและเป็นสิ่งที่จะต้องแสดงต่อสังคมให้ปรากฏชัดดังคำกล่าวของผู้พิพากษาอังกฤษนามว่า Lord Hewart ได้กล่าวไว้ในคดี R v Suusex Justice ex p McCharty [1924] คดีนี้มีข้อเท็จจริงย่อว่า นายแมคคาร์ธี คนขับมอร์เตอร็ไซด์ได้ขับรถโดยประมาท ซึ่งได้ถูกดำเนินคดี ปรากฎว่าจ่าศาลท่านหนึ่งซึ่งมีส่วนร่วมในการพิจาณาคดีของนายแมคคาร์ธีได้เป็นสมาชิกของสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายแห่งหนึ่งโดยที่นายแมคคาร์ธีไม่ทราบ ปรากฏว่าศาลชั้นต้นตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิด แต่นายแมคคาร์ธีอุทธรณ์โดยต่อสู้ว่า คำพิพากษาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ในระหว่างการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ ผู้พิพากษาที่ตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิดได้เบิกความว่า การที่ตนตัดสินให้นายแมคคาร์ธีมีความผิดนั้น ตนเองไม่เคยปรึกษาต่อจ่าศาลเลยเกี่ยวกับรูปคดี
อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษา Herwart ได้กล่าวว่า "ผู้พิพากษามิเพียงแต่ต้องแสดงให้ปรากฏชัดต่อคู่ความว่าตนดำรงความยุติธรรมเท่านั้น แต่ต้องแสดงให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกด้วยว่าตนเองได้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมด้วย" (...justice should not only be done, but should manifestly and undoubtedly be seen to be done.) จากคำกล่าวของ Lord Hewart จึงมีวลีติดปากในหมู่ผู้พิพากษาอังกฤษว่า "Not only must justice be done; it must also be seen to be done"
ประเด็นที่ควรมีการอภิปรายก็คือ การที่มีอดีตตุลาการ 1 ท่านและอีก2 ตุลาการไปนั่งที่บ้านแห่งหนึ่งนั้นมีผลกระทบต่อความไว้วางใจของสาธารณชนเพียงใด ขัดกับหลักความเป็นอิสระของตุลาการหรือจริยธรรมของตุลาการหรือไม่อย่างไร1
-----
1 ในประมวลจริยธรรมของตุลาการข้อ ๑ กล่าวว่า "หน้าที่สำคัญของผู้พิพากษาคือ การประสาทความยุติธรรมเก่ผู้มีอรรถคดี…..ทั้งจักต้องแสดงให้เป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณชนด้วยว่าตนปฏิบัติเช่นนี้อย่างเคร่งครัดครบถ้วน"
ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ฟันธง ยังไม่มีแพ้-ชนะขณะนี้ เพราะเกมนี้ยาวไม่จบง่าย ๆ

ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์แห่งสำนักท่าพระจันทร์ วิเคราะห์การเมือง หลัง มวลไพร่ เสื้อแดง บุกกรุง ยื่นข้อเสนอให้ รัฐบาล อภิสิทธิ์ ยุบสภา แต่ดูเหมือน ทั้งสองฝ่าย จะถือไพ่คนละใบ
การราดเลือดถูกบันทึกติดอันดับการประท้วงที่พิสดารที่สุดในโลก วันเสาร์ที่ผ่านมา ม็อบแดงเลื้อยไปทั่วกรุงเทพ บิ๊กจิ๋ว ลั่น นี่คือ ม็อบที่ยาวที่สุดในโลก พรุ่งนี้ ม็อบแดง จะทำลายสถิติอะไร อีก
ขณะที่ การเจรจาระหว่าง นายกฯ อภิสิทธิ์ และกลุ่มคนเสื้อแดง ยังเป็นแค่ การเล่นชั้นเชิง
"ดร.ชาญวิทย์" ให้สัมภาษณ์ ประชาชาติธุรกิจ ดังนี้
- วิเคราะห์ทางออกสถานการณ์การเมือง ที่แกนนำเสื้อแดงยื่นข้อเสนอต้องยุบสภาเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน
ถ้ามองในแง่ดี คือคงจะมีการยุบสภาเพราะปริมาณและคุณภาพของฝ่ายเสื้อแดงน่าจะทำให้รัฐบาลหาทางออกให้กับสังคมด้วยการยุบสภาและเริ่มต้นไปสู่การเลือกตั้งใหม่ จากนั้นคงมีการปฏิรูปการเมืองหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไป
แต่ถ้ามองในแง่ร้าย อาจจะมีการนองเลือดหรือมีเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่า "สงกรานต์เลือด" ในปีที่แล้ว เนื่องจากในปีนี้คงไม่มี "การเจ๊ากันไป" แค่นั้น และอาจมีการปราบปรามกำจัดบุคคลชั้นนำของฝ่ายเสื้อแดง
ในแง่นี้ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้สีแดงจะถูกปราบปรามไปชั่วขณะหนึ่ง แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่จบ เช่นเดียวกับเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยา 2549 ที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่ได้ทำให้เรื่องจบ กระทั่งปีนี้ผ่านมาถึงปีที่ 4 แล้ว เรื่องยิ่งปานปลาย ฉะนั้นหากมีการปราบปรามกำจัดผู้นำบางคนก็จะยิ่งทำให้ทักษิณ (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) ได้กำลังเพิ่มเติมยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะยุบสภาหรือมีการนองเลือดก็ไม่ได้ทำให้เรื่องจบในตอนนี้
- การเคลื่อนไหวทางการเมืองของ นปช.-เสื้อแดง แตกต่างจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มอื่นในประวัติศาสตร์อย่างไร
ประเด็นที่เหมือนกันคือ เมื่อมีการยึดอำนาจในวันที่ 19 กันยาได้แล้ว ทักษิณไปอยู่ต่างประเทศเหมือนกับนายปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป. พิบูลสงคราม, พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ แต่มีความแตกต่างตรงที่ยุคของทักษิณมีเทคโนโลยีที่ใช้ในการสื่อสารกลับเข้ามาในประเทศและมีเงิน แต่คนรุ่นโน้นในปี 2475 เมื่อพระยาทรงสุรเดช หรือกระทั่งรัชกาลที่ 7 เมื่อทรงลี้ภัย สละราชสมบัติ ก็ไม่สามารถกลับมาได้ รวมทั้งนายปรีดี จอมพล ป. พล.ต.อ.เผ่า ก็กลับเมืองไทยไม่ได้
แต่ผมคิดว่าทักษิณและพรรคพวกเป็น สิ่งใหม่ในการเมืองไทย คือหลุดจากอำนาจไปแต่เรื่องก็ไม่จบ เพราะมี 1) เทคโนโลยี 2) เงิน และ 3) มีมวลชนจำนวนหนึ่งให้ความจงรักภักดีสนับสนุน ในแง่นี้การเมืองของเราไม่เหมือนที่เป็นมา เราจะได้เห็นอะไรต่อมิอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน
- มีการประเมินว่าปริมาณมวลชนที่มา รวมตัวกันเป็นจำนวนมากนั้น เพราะมีการจัดตั้งด้วยเงิน อาจารย์ประเมินอย่างไร
การเมืองก็ต้องมีการจัดตั้ง ซึ่งการจัดตั้งหรือการมีเงินเข้ามา ไม่ได้หมายความว่ามวลชนไม่มีพลัง ส่วนปรากฏการณ์พลังบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของมวลชนนั้น ในอดีตมีครั้งเดียวคือ เหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 เพราะถูกหลอกและถูกล้อมปราบเมื่อ 6 ตุลา 2519 นั่นเป็นครั้งเดียวที่มวลชนมาอย่างไร้เดียงสา
- ครั้งนี้มวลชนไม่ไร้เดียงสา ไม่ถูกหลอก
ส่วนปรากฏการณ์เดือนมีนาคม 2553 นี้ สำคัญมากในแง่ที่เรากำลังเดินมาถึงตรงกลางของกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีการจัดตั้งที่เป็นระบบมาก ๆ ในการเข้ามาใช้เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครในการต่อรองอำนาจ ขณะเดียวกันก็มีคนเข้ามาร่วมมากอย่างที่หลายคนคิดไม่ถึง และคนในส่วนบนของสังคมก็คาดไม่ถึงว่าจะมามากขนาดนี้
การเมืองที่เรารู้จักกัน หากไม่มีเงินก็ทำไม่ได้ การเมืองก็คือการเมือง เหตุการณ์ 14 ตุลา ผู้ใหญ่ไม่กล้าออกมาเล่น ทำให้เด็ก ๆ นักศึกษาหนุ่มสาวออกมาเล่น แต่ตอนนี้เด็ก ๆ บอกว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่...ก็ว่ากันไป
- มวลชนที่เข้าชุมนุมสมัยมีนาคม 2553 มีเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยก่อนอย่างไร
ผมคิดว่าการเมืองไทยได้ยกระดับมาก ๆ ในแง่ความรู้ ผมไม่เชื่ออย่างที่นักวิชาการเคยเชื่อกันว่า คนบ้านนอกคนชนบทชาวไร่ชาวนา โง่ แต่เราควรเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ว่า เขาไม่ยอมให้ถูกหลอกอีกต่อไปแล้วมากกว่า เพราะชาวบ้านเขารู้ทัน เขามี โทรศัพท์มือถือกันทุกบ้าน มีข้อมูลข่าวสาร เขาไม่ได้มีสภาพเป็นแบบที่เราเคยเชื่อกัน
เนื่องจากคนระดับล่างกำลังตื่นตัวและทวงสิทธิ สิ่งที่น่าสนใจในตอนนี้คือ ลักษณะการต่อสู้ที่มีการชูคำ 2 คำ คือ คำว่า "ไพร่" และ "อำมาตย์" ถ้ามองแบบมาร์กซิสต์/ อาจบอกว่าเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น โดยการต่อสู้ครั้งนี้อาจไม่ใช่มาร์กซิสต์สกุลเหมาหรือเลนิน แต่ถูกแปลงให้เป็นไทย
เดิมทีคำว่า "ไพร่" มักจะถูกกวี นักเขียน นำมาใช้ แต่ไม่มีใครนำมาใช้ในความพยายามเข้าใจสังคมไทยว่าไพร่ คือสามัญชนคนทั่วไปที่กำลังเรียกสิทธิจากผู้ดี ชนชั้นสูง อภิสิทธิ์ชน ปรากฏการณ์ครั้งนี้เป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจมาก จากเดิมที่ไพร่ถูกใช้ในแวดวงคนมีการศึกษา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกนำมาใช้ในวงกว้าง
- การต่อสู้ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องระหว่างคนชนบทกับคนในเมือง แต่เป็นเรื่องระหว่างไพร่กับคนชั้นสูง
เป็นการแบ่ง 2 ขั้วความจริงแล้วมีคนในเมืองจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเป็นคนชนบท และมีคนชนบทจำนวนมากที่รู้สึกว่าตัวเองมีฐานะเป็นคนในเมือง ฉะนั้น คำอธิบายเรื่องคนชนบทกับคนเมืองอาจ ไม่พอ แต่ต้องอธิบายฐานะทางสังคม มากกว่าฐานะตามภูมิศาสตร์ว่าอยู่ตรงไหน
- รูปแบบการแพ้-ชนะของคนเสื้อแดงจะเป็นอย่างไร
ยังไม่มีแพ้-ชนะขณะนี้ เพราะเกมนี้ยาวไม่จบง่าย ๆ ถึงแม้หากมีการยุบสภาแล้วก็ ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจะจบ หรือหากมีการปราบปราม มีการนองเลือด มีคนดัง ๆ ตัวโต ๆ ถูกทำลายชีวิตแล้วเรื่องก็ยังไม่จบอยู่ดี
- ประเมินว่าระดับการชุมนุมครั้งนี้จัดว่า ยิ่งใหญ่ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจได้หรือไม่
เหตุการณ์เดือนมีนาคม 2553 เป็น จุดหนึ่งของการขับเคลื่อนใน transition (ช่วงเปลี่ยนผ่าน) โดยที่ transition อาจเป็น 100 ปีก็ได้ เพราะมีความพยายามของกระบวนการประชาธิปไตย มีความพยายามยึดอำนาจมาตั้งแต่ ร.ศ. 130 ต่อมามีเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นความเปลี่ยนแปลงที่มีมาเรื่อย ๆ หากพูดถึง 14 ตุลา 2516, พฤษภา 2535 การเกิดเหตุการณ์มีนา 2553 ก็อยู่ในกระบวนการทั้งหมดอันยาวนาน เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่บางครั้งใช้เวลาถึง 100 ปี
แต่เรามักหลอกตัวเองหรือมักถูกหลอกเสมอว่า ในอดีตเรามีความสมานฉันท์ ปรองดองสามัคคี โดยมองข้ามเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ มองข้ามความขัดแย้งที่มีอยู่ในอดีต เช่น วังหลวงกับวังหน้า เมื่อเรามองข้ามเหตุการณ์เหล่านี้ เราจึงคิดว่าภาพในอดีตมีความปรองดอง
- ดังนั้น ความไม่เป็นเอกภาพของแกนนำเสื้อแดงกับพรรคเพื่อไทย ถือว่าเป็นปัญหาหรือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี
ความเปลี่ยนแปลงย่อมเกิดจากความคิดที่แตกต่าง ซึ่งไหลไปรวมกันที่จุดเดียวกัน หากมองย้อนกลับไปในเหตุการณ์ 14 ตุลา คนก็คิดว่าเป็น unity (ความสามัคคี) แต่ความจริงไม่ใช่ และเหตุการณ์เคลื่อนไหวทางประวัติศาสตร์หลายครั้งทั้งในและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็มีความคิดที่แตกต่างกันในคนฝ่ายเดียวกัน
- ผู้ชุมนุมบางส่วนมีเป้าหมายสู้ให้ทักษิณกลับประเทศ บางส่วนต้องการจะโค่นอำมาตย์ เมื่อเป้าหมายแตกต่างขนาดนี้จะไหลไปรวมกันสู่จุดใด
ในประวัติศาสตร์ นักปฏิวัติมักจะมาทะเลาะกันเองหลังการต่อสู้จบแล้ว... สิ่งที่เราอยากเห็นคือ ควรสู้ไปให้ถึงที่สุด ขออย่างเดียว อย่าใช้อาวุธฆ่ากัน
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
****************************************************
"ดร.วรเจตน์ " ลั่น สังคม"นิติรัฐ" ต้องไม่ใช้ความเชื่อ ตัดสินลงโทษคน

ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ไม่ใช่ นายแบบโฆษณาแอร์หน้าร้อน แต่เป็นนักวิชาการที่จุดไฟ กลางพายุ เพื่อบอกกับสังคมว่า การทำลายทักษิณ เพียงคนเดียว โดยการทุบทำลายหลักกฎหมายทั้งหมด อาจได้ไม่คุ้มเสีย แล้วต่อไปจะเอาอะไรไปสอนหนังสือนักศึกษา เพราะสิ่งที่อยู่ในตำรา กับ การใช้กฎหมาย วันนี้ เป็นคนละเรื่อง !!!
คำพิพากษาศาลฎีกา คดียึดทรัพย์ ทักษิณ ศาลเขียนคำวินิจฉัยกลาง 187 หน้า ใช้เวลาอ่าน เมื่อวันที่ 26 ก.พ. นานกว่า 7 ชั่วโมง
ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ และเพื่อนนักวิชาการ เสียงข้างน้อย เขียนบทวิเคราะห์(วิจารณ์) คำพิพากษาศาลฎีกา 32 หน้า ใช้เวลาเขียนนานกว่า 7 วัน
ประชาชาติธุรกิจ อ่าน คำพิพากษาศาลฎีกา 187 หน้า แล้วอ่าน บทวิเคราะห์ของ ดร. วรเจตน์ อีก 32 หน้า
ก่อนไปสัมภาษณ์ ดร. วรเจตน์ บนชั้น 4 คณะนิติศาสตร์ สนทนากันตั้งแต่ 10 โมงเช้า ไปจนถึง 13.30 น.
ชั่วโมงนี้ อาจารย์ทั้ง 5 ถูกเหน็บแนมว่า องครักษ์พิทักษ์ จอมปลวก หรือว่าที่จริงแล้ว พวกเขาเป็น นักวิชาการผู้กล้าหาญ... ผู้กล้าจุดไฟกลางพายุ
ล่าสุด สิ้นเดือนนี้ ทนายทักษิณ ต้องยื่นอุทธรณ์ คดียึดทรัพย์ อันเป็นการต่อสู้ เฮือกสุดท้ายของอดีตนายกฯ อะไรคือ อุทธรณ์ อะไรคือ ข้อมูลใหม่ และอะไร คือ ความบกพร่องทางวิชาการของสังคมไทย ....ต้องอ่านบทสัมภาษณ์ต่อไปนี้
@@@ อาจารย์จะภูมิใจหรือเสียใจ ถ้าบทวิเคราะห์ 32 หน้าของอาจารย์ไปปรากฏในคำอุทธรณ์ของคุณทักษิณ เกือบหมดเลย
ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่เป็นปัญหาของผมเลย นี่ผมบอกเลยนะครับ มีคนมาเล่าให้ผมฟังว่า มีการโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ต ถามว่าทำไมไม่มาจ้างอาจารย์กลุ่มนี้ ...ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมไม่ได้ยุ่งกับคดีนี้ตั้งแต่แรก ไม่เคยเกี่ยวข้อง เรื่องนี้ก็เหมือนกับเรื่องอื่นๆ ที่ผมทำให้กับสังคม
ความมุ่งหมายของผมมีอย่างเดียวคือ ผมต้องการให้สังคมเห็นอีกมุมหนึ่งซึ่งไม่มีการพูดกัน เอาความรู้มาเถียงกัน ผมไม่อยากให้สังคมถูกพัดพาไปโดยกระแสในด้านเดียว เท่านั้นเอง และผมคิดว่าความจริงคือความจริง ความรู้คือความรู้ ไม่อยากให้ใช้ความเชื่อ ไม่อยากให้ใช้อคติ พูดก็พูดเถอะ ธรรมชาติประทานสติปัญญาให้เรา ประทานสมองให้เรา เราต้องคิด ต้องใช้มันให้มาก อคติไม่ต้องใช้มากเพราะสังคมไทยใช้มาเยอะแล้ว ซึ่งที่ผมพูดมา หรือที่กลุ่มห้าอาจารย์พูด เราพูดในเชิงกฎหมาย เฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับคำพิพากษานี้ ไม่ได้สนับสนุนความชอบธรรมอะไรในทางการเมืองให้กับคุณทักษิณ เพราะคำพิพากษานี้เป็นเรื่องการขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ก็ต้องว่ากันตามเกณฑ์ทางกฎหมาย
เพราะเรื่องทางการเมือง ต้องประเมินอีกอย่างหนึ่ง มีเกณฑ์อีกแบบหนึ่งเป็นคนละเกณฑ์กัน แต่นี่เรากำลังจะเอา 2 เกณฑ์มาเป็นเรื่องเดียวกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ผมภูมิใจหรือไม่ภูมิใจ และมีคนถามว่านี่ผมช่วยคุณทักษิณหรือ? แล้วผมเกี่ยวอะไรกับคุณทักษิณ ผมขอบอกว่า ถ้าจะดูช่วยไปดูที่เนื้อหา สังเกตไหมว่าแถลงการณ์เที่ยวนี้ เราพูดเรื่องรัฐประหารน้อยนะ ทั้งที่เป็นประเด็นใหญ่สุดเพราะเป็นต้นสายของทุกอย่างที่ตามมา หมายความว่ากระบวนการที่เกิดขึ้นสืบทอดมาจากรัฐประหาร มันควรจะใช้ไม่ได้ แต่ที่พูดตรงนี้น้อย เพราะเราต้องการให้ดูเรื่องเนื้อหา เพราะมีการพูดกันว่าอย่าไปเถียงเรื่องรัฐประหารและเอาเป็นว่าถ้าเข้าสู่ระบบปกติมันผิดไหมอย่างไร
ผมก็เลยบอกว่าคุณลืมเรื่องรัฐประหารไปเลยก็ได้ คุณเริ่มต้นอ่านจากเนื้อหาในบทวิเคราะห์ของกลุ่มห้าอาจารย์เลย ต่อให้ไม่คิดถึงเรื่องรัฐประหารด้วย ผมไม่อยากให้ทุกคนว่าประเด็นพวกนี้เป็นเรื่องเทคนิค พอเป็นเรื่องเทคนิคแล้วคิดว่ายุ่งยากซับซ้อนแล้วเชื่อๆ ตามๆ กันไป ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
@@@ในตอนที่ทักษิณ มีอำนาจก็อาจสั่งการโดยไม่ปรากฏหลักฐาน เป็นสิ่งที่อธิบายไม่ได้เพราะทุกอย่างถูกควบคุมโดยทักษิณ ที่วางคนของตัวเองเอาไว้หมด แล้วอาจารย์อาจจะมองไม่เห็นสิ่งที่ทักษิณ สั่งรัฐมนตรี ให้ทำโครงการที่เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป
ผมคิดว่าความคิดแบบนี้อันตราย ถ้าเราใช้ "ความเชื่อ" ลงโทษคน จะเกิดอะไรขึ้น เช่น เชื่อว่าคนขี้ยาฆ่าข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง แต่ความจริงเขาอาจจะไม่ได้ทำ แต่คนเชื่อว่ามันฆ่าข่มขืนก็ให้ประหารชีวิตมันไป
ผมเชื่อในหลักการ และอยากจะบอกแบบนี้ว่า ภายใต้การต่อสู้ทางการเมืองที่มีกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองจำนวนมากเข้าร่วมวงต่อสู้ กลุ่มผลประโยชน์ทุกกลุ่มต่างต้องการช่วงชิงชัยชนะให้กับตัวเอง การต่อสู้ก็มีวิธีการหลายวิธี เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ การให้ข้อมูลด้านเดียว การให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ต่างๆ เหล่านี้ทำกันมา คนคนหนึ่งอาจจะทำ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลของการโฆษณาชวนเชื่ออาจจะทำให้คนเชื่อว่าไอ้หมอนี่ทำ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ความเชื่อนั้นใช้ไม่ได้ในทางกฎหมาย ถ้าคุณจะเชื่ออย่างไรนั้นก็ว่ากันทางการเมือง
ถ้าคุณอยากจะยึดทรัพย์คุณทักษิณ คุณรัฐประหารล้มเขาแล้ว คุณออกประกาศยึดไปเลย ส่วนในอนาคตถ้าเขาจะกลับมาจะนิรโทษกรรมอะไร ก็เป็นเรื่องในอนาคตข้างหน้า แต่ถ้าจะใช้กระบวนการทางกฎหมาย ก็ต้องมีเหตุผล
ผมกำลังจะบอกว่า เรากำลังเอา 2 เรื่อง มาปนกัน เพราะการรัฐประหาร มันเป็นเรื่องอำนาจ เป็นเรื่องปืน รถถัง มันเถื่อนเพราะมันไม่จำเป็นต้องให้เหตุผล แต่กระบวนการยุติธรรม กระบวนการตามกฎหมาย มันใช้เหตุผล มันมีหลัก ใช้ความเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่อย่างงั้น ก็ไม่ต้องเรียนวิชานิติศาสตร์ ไม่อย่างงั้นผมก็ไปเรียนวิชายิงปืนสิ ผมจะมาเรียนกฎหมายทำไม และถ้าผมเชื่อว่าใครทำผิดผมก็ยิงมันเลย ถ้ามันชั่วนัก
ผมจะบอกว่าทั้ง 2 อย่างนี้ มันเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไปด้วยกันไม่ได้ และถ้าเอามาผสมกันมันจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวระบบ ที่เราสร้างขึ้น
เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะทำอะไร คุณก็ทำไปสิ ตั้งแต่ตอนที่คุณมีปืน ที่คุณคิดว่าทำด้วยความหวังดี ทั้งๆที่การรัฐประหารมันเป็นความเถื่อน แต่คุณคิดว่าต้องทำเพราะว่าไอ้ระบบธรรมดามันใช้ไม่ได้ คุณก็ให้เหตุผลไป ผมจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นเรื่องของผม แต่เมื่อเข้าสู่กลไกทางกฎหมาย เกิดระบบรัฐธรรมนูญ คุณต้องทำตามหลัก จะเอาความเชื่อมาใช้ไม่ได้ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าที่เราเชื่อนั้นเป็นความเชื่อที่ถูก นี่เราอยู่ในยุคของการพิสูจน์ยุคของเหตุผลนะครับ หรือว่าผมเข้าใจผิด ที่จริงแล้ว เราไม่ได้อยู่ในยุคของเหตุผล
@@@ ประเด็นการอุทธรณ์คดียึดทรัพย์คุณทักษิณ มีแง่มุมมองทางวิชาการ หรือไม่
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่เข้าใจและเป็นปัญหากลไกซ่อนรูปในรัฐธรรมนูญและนักกฎหมายหลายคนก็มองไม่เห็น เราพูดเรื่องอุทธรณ์ ว่าพอศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินแล้ว มีสิทธิ์อุทธรณ์ภายใน 30 วัน ไปยังที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา หลายคนที่ร่างรัฐธรรมนูญ บางคนก็บอกว่านี่ไงมีการประกันสิทธิเสรีภาพ เรื่องการอุทธรณ์ กระบวนการนี้เป็นธรรมเพราะเปิดให้มีการอุทธรณ์ไปยังที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้
แต่เรื่องนี้คนรู้น้อยมากว่าจริงๆแล้วมันใช่การอุทธรณ์หรือไม่ ไปถามในทางสากลจากนักกฎหมายในโลกนี้ทั้งโลก จะรู้ว่าที่อยู่ในรัฐธรรมนูญ 2550 นี่มันไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ แม้จะเขียนว่า"อุทธรณ์" ก็จริง แต่เนื้อหามันไม่ใช่ อันนี้มันซ่อนปมอีกอันหนึ่ง
เพราะสิ่งที่อยู่ในรัฐธรรมนูญนั้น เป็นลูกผสม ระหว่างการอุทธรณ์กับการขอให้พิจารณาใหม่ หรือการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ในทางกฎหมายแล้ว เรื่องทั้งสองเรื่องนี้มีหลักคิดที่ต่างกัน ยกตัวอย่างคดีอาญา มีบุคคลคนหนึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ต่อมาพนักงานสอบสวนก็สอบสวนมีการส่งเรื่องไปที่อัยการและอัยการฟ้องไปที่ศาล เมื่อมีการตัดสินคดีแล้วมีการอุทธรณ์ ฎีกา เมื่อศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกายืน คดีถึงที่สุดที่ศาลฎีกา
ต่อมาเมื่อเขาอยู่ในคุก พบพยานหลักฐานว่าเขาไม่ใช่คนกระทำความผิด ระบบกฎหมายจะเปิดช่องให้เขา ขอให้พิจารณาใหม่ หรือว่ารื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้ ซึ่งการอุทธรณ์กับการขอให้พิจารณาใหม่มีความแตกต่างกัน เพราะการอุทธรณ์ คือการที่คู่ความในคดี ซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลในระดับล่าง โต้แย้งคำพิพากษาของศาลขึ้นไปยังศาลระดับสูง ซึ่งแน่นอนว่า สามารถอุทธรณ์ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมาย หรืออาจให้อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายอันนี้แล้วแต่ระบบกฎหมายจะวางกลไกไว้
แต่ที่สำคัญที่ต้องเน้นก็คือการอุทธรณ์เป็นการเปิดโอกาสให้คู่ความได้โต้แย้งตัวคำพิพากษาของศาล โดยไม่จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานใหม่ คือพยานหลักฐานอาจเป็นของเดิมทั้งหมดเลยก็ได้ แต่อุทธรณ์หรือโต้แย้งว่าศาลล่างตีความกฎหมายไม่ถูก หรือถ้าเป็นการยอมให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ก็โต้แย้งว่าการรับฟังข้อเท็จจริงมีความผิดพลาด นี่คือการโต้แย้งในประเด็นต่างๆที่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้ว หรือโต้แย้งประเด็นข้อกฎหมายขึ้นไปให้ศาลในระดับสูงกว่าตรวจสอบคำพิพากษาของศาลล่างว่าถูกต้องหรือไม่ นี่เรียกว่าการอุทธรณ์
เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่สามารถอุทธรณ์ได้อีกแล้ว คดีอาจถึงที่สุดในศาลฎีกา หรือศาลอุทธรณ์หรือศาลชั้นต้น หากไม่มีการอุทธรณ์ ฎีกาขึ้นศาลสูงแล้วแต่กรณี เมื่อคดีมันจบ หลักก็คือ คำพิพากษาก็เสร็จเด็ดขาด ผูกพันคู่ความในคดี ทีนี้เป็นไปได้ว่าคำพิพากษาอาจผิดพลาด ซึ่งระบบกฎหมายที่ยอมรับหลักความยุติธรรม ต้องยอมรับว่ามันเกิดความผิดพลาดได้เวลาที่ศาลมีคำพิพากษา เพราะฉะนั้น ระบบกฎหมายอย่างนี้ แม้ด้านหนึ่งจะต้องรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงแน่นอนของคำพิพากษาของศาลซึ่งถึงที่สุดแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งระบบกฎหมายก็ต้องรักษาความยุติธรรมด้วย
ที่นี้จะรักษาความยุติธรรมยังไงให้ได้ดุลกับความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ คำตอบก็คือเขาก็จะเปิดช่องเอาไว้ว่าหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว มีการพบพยานหลักฐานใหม่ ว่าที่ศาลตัดสินไปนั้นไม่ถูก เขาก็จะเปิดโอกาสให้คนซึ่งต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น ยื่นคำร้องรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ซึ่งการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่นี้ หลักในทางสากลคือ คดีอาจจบไปแล้ว กี่ปีก็ได้ แต่อาจจะจำกัดเวลาขั้นสูงไว้ว่าถึงอย่างไรก็ไม่เกิน 3o ปี หรือไม่เกินระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร เพียงแต่ว่าถ้าคุณมีพยานหลักฐานใหม่ คุณต้องยื่นเสียอาจจะภายใน 30 วัน เช่น คดีจบ ไปแล้ว 5 ปี แล้วคุณพบพยานหลักฐานอันนี้ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าคุณไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด คุณก็นำไปยื่น เพื่อรื้อฟื้นคดีที่จบไปแล้วนั้นให้ศาลมาพิจารณาใหม่ ตรรกะจะเป็นแบบนี้ จะเห็นได้ว่าหลักการอุทธรณ์คำพิพากษา กับหลักการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ตั้งอยู่บนฐานคิดที่แตกต่างกัน มีเหตุผลรองรับไม่เหมือนกัน
แต่รัฐธรรมนูญไทย 50 ได้สร้างระบบประหลาดขึ้นมาซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อน ซึ่งอาจจะนับว่าเป็นการสรรสร้างของคนร่างรัฐธรรมนูญก็ได้ เขาบอกว่า คนที่ต้องคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไปที่ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน แต่ต้องปรากฏพยานหลักฐานใหม่ เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่การอุทธรณ์ในความหมายแท้ๆ ที่ใช้ในทางกฎหมายและก็ไม่ใช่การขอให้พิจารณาใหม่ด้วย
ที่ผมบอกว่าไม่ใช่การอุทธรณ์ เพราะว่าคุณไปบีบเขาว่าเขาต้องมีพยานหลักฐานใหม่ภายใน 30 วันนี้ และคุณต้องมีพยานหลักฐานใหม่ มันก็เลยไม่ใช่เรื่องการอุทธรณ์ เพราะการอุทธรณ์ในทางระบบที่รับกันทั่วไปในสากลไม่ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ ขณะเดียวกันมันก็ไม่ใช่การรื้อฟื้นพิจารณาคดีใหม่ด้วยเพราะคุณไปจำกัดเขาว่าเขาต้องทำภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา ไม่ใช่ 30 วันนับแต่วันที่พบพยานหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจจะผ่านไป 5 ปี 10 ปี ก็ได้
@@@ หลักการอุทธรณ์ จึงมั่วๆ กันอยู่ระหว่าง 2 หลัก?
ถูกต้อง มันมั่วสุดๆเลยเลยไม่ใช่มั่วๆ กันอยู่แต่ มันไม่มีหลักอะไรเลยตรงนี้ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องประหลาดมากในทางระบบ อันนี้ต้องอธิบายให้สาธารณชนเข้าใจ เพราะที่พูดๆกันอยู่นี่ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง นี่พูดจริงๆ หลายคนทำให้ผมรู้สึกว่ามีปัญหามากในทางความรู้ เพราะไม่เข้าใจประเด็นเหล่านี้แล้วพูดไป ไม่อธิบายให้สุด อธิบายทำให้รัฐธรรมนูญ ๕๐ นี่ดูดีเท่านั้น ทำให้สังคมเข้าใจผิด หลักก็เสียหมด
ประเด็นคือ ถ้าเอาตามตัวบทลายลักษณ์อักษรนี่ ทนายความของคุณทักษิณ ต้องเจอหลักฐานใหม่ จึงจะสามารถอุทธรณ์ได้ เพราะฉะนั้นมันไม่เป็นธรรมกับคนที่ถูกลงโทษ ดังนั้นถ้าหากจะประกาศต่อโลกว่าระบบกฎหมายไทยยอมให้อุทธรณ์ได้ก็ต้องไม่กำหนดเงื่อนไขเรื่องพยานหลักฐานใหม่ เพราะจะเป็นไปได้ยังไงที่บังคับให้เขาต้องหาพยานหลักฐานใหม่ภายใน 30 วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา ไม่ยังงั้นอย่าเที่ยวไปพูดกับใครๆว่ารัฐธรรมนูญ ๕๐ นี้เป็นธรรมแล้วเพราะยอมให้มีการอุทธรณ์ได้ ทั้งๆที่เอาเข้าจริงไม่ใช่เรื่องอุทธรณ์ แต่ทีนี้ครั้นจะสนับสนุนให้เขาอุทธรณ์เต็มที่ หรือแม้แต่อุทธรณ์เฉพาะในประเด็นข้อกฎหมาย คุณก็เกรงอีก เพราะศาลที่ตัดสินเป็นศาลฎีกาแล้ว ก็เลยเอาเป็นระบบมั่วๆ อย่างนี้มาในรัฐธรรมนูญมันเลยเป็นปัญหา อธิบายให้เป็นเหตุเป็นผลไม่ได้
@@@ เป็นประเด็นขอให้พิจารณาในเนื้อหา?
เรื่องแรกที่ต้องฝ่าด่านคือว่า อีกไม่กี่วันข้างหน้าหากไปถึงที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ถ้ามีการอุทธรณ์ ศาลต้องดูว่ามีพยานหลักฐานใหม่หรือไม่ ตามถ้อยคำตามของตัวบท ซึ่งการเขียนรัฐธรรมนูญอย่างนี้ก็น่าเห็นใจคนที่เป็นผู้พิพากษาตุลาการในการตีความอยู่เหมือนกัน อันนี้จะไปโทษเขาไม่ได้ อันนี้เป็นปัญหาที่ต้นทางของรัฐธรรมนูญ ที่ออกแบบมาแบบนี้ คือออกแบบมาประหลาดแบบนี้ แต่ว่าเมื่อตัวบทเป็นอย่างนี้ ก็อยู่ที่ผู้พิพากษาแล้วว่าจะใช้ศิลปะการตีความยังไงให้รับกับหลักการและความเป็นธรรม อันนี้อยู่ที่การตีความคำว่าพยานหลักฐานใหม่แล้ว ว่าจะเข้าใจยังไง จะเข้าใจไปถึงพยานหลักฐานที่อ้างมาในชั้นต้นด้วย แต่ไม่ได้นำเข้าสู่การชั่งน้ำหนักในคำพิพากษาหรืออย่างน้อยไม่ปรากฏในคำพิพากษาด้วยหรือไม่ อันนี้น่าสนใจ
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
เสื้อแดงเปิดเกมรุกต่อประกาศไล่กดดัน"มาร์ค"ทุกที่ เตรียมลุยชาติไทยพัฒนาถก"เติ้ง"ถอนตัวร่วมรบ.
เสื้อแดงเปิดเกมรุกต่อตามกดดันมาร์คทุกที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 18.30 น. วันที่ 20 มีนาคม แกนนำ นปช.เปิดแถลงข่าวถึงผลการเคลื่อนขบวนกลุ่มคนเสื้อแดงชักชวนให้คน กทม.มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเคลื่อนขบวนครั้งนี้ที่เป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่เกิดเหตุรุนแรง ชี้ให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯก็ไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน จึงอยากฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากอยากรักษาชีวิตทางการเมืองและไม่ต้องการเป็นนายกฯที่มีคนออกมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอให้ประกาศยุบสภาโดยเร็ว ส่วนที่มีกระแสข่าวการปาขวดน้ำ และเกิดการกระทบกระทั่งที่รุนแรงในระหว่างเคลื่อนขบวนไปจุดต่างๆ ใน กทม.ก็ไม่จริง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า แกนนำจะประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้น หลังจากนี้อาจมีการใช้มาตรการแบ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไปทุกที่ที่นายอภิสิทธิ์ไป ในจำนวนหลักหมื่นคน หากนายอภิสิทธิ์เคลื่อนไหวใน กทม.ก็จะแบ่งกลุ่มจากผู้ชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศคอยตามนายอภิสิทธิ์ทุกที่ แต่หากไปต่างจังหวัดก็จะระดมคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดกดดันนายอภิสิทธิ์
แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนการเดินทางไปพรรคชาติไทยพัฒนาวันที่ 21 มีนาคม เพื่อขอหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ในการเรียกร้องให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่มีข้อสรุป
"วีระ"โวคนกรุงหนุนคนเสื้อแดงลั่นรัฐบาลยุบสภาได้แล้ว
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวบนเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง วันที่ 20 มีนาคมถึงภาพรวมในการเคลื่อนไหวทั่วกทม.ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าภาพรวมการเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะมีคนมาร่วมมาก ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนขบวนไปทั้งหมดในคราวเดียวได้ และต้องแยกขบวนออกเป็น 2 ส่วนตลอดเส้นทางก็ได้รับการต้อนรับจากคนกทม.เป็นอย่างดี 90-99 % ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลควรตัดสินใจเรื่องยุบสภาได้แล้ว
นายวีระ กล่าวว่า ในวันที่ 21 มีนาคม มีความคิดว่า ถ้าคนเสื้อแดงหายเหนื่อยแล้วอยากขอกำลังประชาชนประมาณ 2,000 คน เดินทางไปยังพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อไปถามนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือตัวแทนของพรรค ว่า จะยินดีทำเพื่อประชาชนหรือไม่ และถามว่าทำไมตอนนี้ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีเกียรติ ยังจะรักษาเกียรติของคนที่เคยทำประชาธิปไตยมาหรือไม่ โดยจะมีการประชุมแกนนำอีกครั้งเพื่อแถลงให้ประชาชนทราบต่อไป
ขณะที่ขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ค้างอยู่ตามถนนสายต่างๆก็ได้ทยอยเดินทางกลับมารวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
เสื้อแดงกลับถึงสะพานผ่านฟ้าแล้วเตรียมประกาศชัยชนะ6โมงเย็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 20 มีนาคม ขบวนดาวฤกษ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนได้เดินทางกลับถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.จะแถลงข่าวประกาศชัยชนะขอการเคลื่อนพลต่อไป
หัวขบวนเสื้อแดงถึงสะพานกรุงเทพฯท้ายอยู่ที่แยกคลองตัน
เวลา 15.10 น.ขบวนแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายจตุพร พรมหพันธุ์ แกนนำเป็นหัวขบวนได้เคลื่อนไปถึงสะพานกรุงเทพฯเพื่อข้ามฝั่งไปธนบุรีเข้าสู่วงเวียนใหญ่ ส่วนท้ายขบวนนำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อยู่ที่แยกคลองตัน มุ่งหน้าเข้าสุขุมวิท 71
ทั้งนี้มีเฮลิคอปเตอร์บินวนสำรวจขบวนคนเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด
"จตุพร"ขอบคุณคนกรุงฯให้ความร่วมมือดี จี้"มาร์ค"ยุบสภาได้แล้ว
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 20 มี.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ทางช่องพีเพิลชาแนล ขณะผ่านบริเวณคลองเตยว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองที่ต้องการให้เปลี่ยนผ่าน ต้องการให้ยุบสภาคืนอำนาจแก่ประชาชน ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี
"ผมขอคารวะหัวใจของพี่น้องชาวกทม.ทุกคน เราต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เพราะเราถูกปกครองอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยมา 3 ปีติดต่อกัน" นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า
เมื่อเวลา 14.00 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนถึงหน้าตลาดคลองเตย ถ.พระราม4 มุ่งหน้าเข้าถ.สีลม โดยการจราจรเคลื่อนตัวได้เล็กน้อย ขณะที่รถบรรทุกของแกนนำเพิ่งผ่านหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3
เวลา 11.51 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดง ได้เคลื่อนมาถึงห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ แล้ว โดยมีประชาชนมารอให้กำลังใจอย่างคับคั่ง ทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวเริ่มติดขัด
เวลา 11.30 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเลี้ยวขวาเข้าถ.ลาดพร้าวแล้ว ขณะที่สองข้างทางมีผู้สนับสนุนออกมาโบกมือให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
เวลา 11.10 น. ขบวนของผู้ชุมนุมเดินทางถึงถ.รัชดาภิเษก ผ่านหน้าอาคารฟอร์จูน และบริษัทไทยประกันชีวิต มุ่งหน้าถ.ลาดพร้าว ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตชั่วคราว
เวลา 10.40 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเดินทางถึงแยกเพชรบุรี-อโศกแล้ว โดยได้บีบแตรเสียงดังสนั่นถนน
เวลา 10.30 น. คนเสื้อแดงเดินทางถึงประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี
เวลา 10.15 น. ขบวนคนเสื้อแดงได้เดินทางผ่านแยกยมราช เข้าถ.เพชรบุรีแล้ว ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้ช่องทางทั้งขาเข้าและขาออกบางส่วน ทำให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดขัดเป็นอย่างมาก
แดงเริ่มเคลื่อนขบวนรอบกทม.แล้ว "เหวง"ย้ำอหิงสาไม่ตอบโต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า กลุ่มเสื้อแดงได้รวมตัวกันขบวนใหญ่บริเวณสะพานผ่านฟ้า โดยมีรถจักรยานยนต์นำหน้าขบวน จากนั้นเป็นกลุ่มรถยนต์และรถบรรทุกของแกนนำ ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงได้อัญเชิญรูปหล่อพระนเรศวรมหาราชขึ้นบริเวณรถด้วย โดยเรียกตัวเองว่า "ขุนศึกองค์ดำ" ก่อนออกเดินทางไปตามถนนต่างๆ รอบกรุงเทพฯ ในเวลา 10.00 น. อย่างไรก็ตาม ตลอดทางที่เสื้อแดงจะผ่านได้มีกลุ่มเสื้อแดงตั้งขบวนรอสมทบอีกด้วย
ขณะที่นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวบนเวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้า ว่า วันนี้ที่เราเดินขบวนเราจะทำ 3ไม่ คือ ไม่โกรธ ไม่รุนแรงและไม่ตอบโต้ รวมทั้ง 3 ส่ง คือ ส่งยิ้ม ส่งความรักและส่งความสุขให้ชาวกรุงเทพฯ
จากนั้นเวลา 09.50 น. นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงได้ขึ้นรถบรรทุกหัวขบวนนำขบวนคนเสื้อแดงออกเดินทางรอบกรุงเทพฯ แล้ว
แดงงดผ่านจรัญฯ-รพ.ศิริราช แกนนำหวั่นสร้างสถานการณ์ป้ายสี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ได้งดเคลื่อนขบวนผ่านเส้นทาง ถ.จรัญสนิทวงศ์-สะพานพระปิ่นเกล้าแล้ว เนื่องจากใกล้โรงพยาบาลศิริราช โดยแกนนำระบุว่าไม่ต้องการให้เกิดการสร้างสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมาประกาศต่อเนื่องว่าจะไม่มีการชุมนุมรอบโรงพยาบาลศิริาช
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ในระหว่างกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนรอบกรุงฯ ซึ่งแกนนำจะพยายามหาทางป้องกัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 18.30 น. วันที่ 20 มีนาคม แกนนำ นปช.เปิดแถลงข่าวถึงผลการเคลื่อนขบวนกลุ่มคนเสื้อแดงชักชวนให้คน กทม.มาร่วมชุมนุมในครั้งนี้
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า การเคลื่อนขบวนครั้งนี้ที่เป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่เกิดเหตุรุนแรง ชี้ให้เห็นว่าคนกรุงเทพฯก็ไม่พอใจรัฐบาลชุดนี้เช่นกัน จึงอยากฝากถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หากอยากรักษาชีวิตทางการเมืองและไม่ต้องการเป็นนายกฯที่มีคนออกมาขับไล่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก็ขอให้ประกาศยุบสภาโดยเร็ว ส่วนที่มีกระแสข่าวการปาขวดน้ำ และเกิดการกระทบกระทั่งที่รุนแรงในระหว่างเคลื่อนขบวนไปจุดต่างๆ ใน กทม.ก็ไม่จริง
นายณัฐวุฒิกล่าวว่า แกนนำจะประชุมเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์การชุมนุมให้เข้มข้นมากขึ้น หลังจากนี้อาจมีการใช้มาตรการแบ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไปทุกที่ที่นายอภิสิทธิ์ไป ในจำนวนหลักหมื่นคน หากนายอภิสิทธิ์เคลื่อนไหวใน กทม.ก็จะแบ่งกลุ่มจากผู้ชุมนุมจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศคอยตามนายอภิสิทธิ์ทุกที่ แต่หากไปต่างจังหวัดก็จะระดมคนเสื้อแดงในต่างจังหวัดกดดันนายอภิสิทธิ์
แต่ยืนยันว่าจะไม่ใช้ความรุนแรง ส่วนการเดินทางไปพรรคชาติไทยพัฒนาวันที่ 21 มีนาคม เพื่อขอหารือกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ในการเรียกร้องให้พรรคถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลนั้น ยังไม่มีข้อสรุป
"วีระ"โวคนกรุงหนุนคนเสื้อแดงลั่นรัฐบาลยุบสภาได้แล้ว
นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวบนเวทีปราศรัยคนเสื้อแดง วันที่ 20 มีนาคมถึงภาพรวมในการเคลื่อนไหวทั่วกทม.ของกลุ่มคนเสื้อแดงว่าภาพรวมการเคลื่อนไหวเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย แม้ว่าจะมีคนมาร่วมมาก ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนขบวนไปทั้งหมดในคราวเดียวได้ และต้องแยกขบวนออกเป็น 2 ส่วนตลอดเส้นทางก็ได้รับการต้อนรับจากคนกทม.เป็นอย่างดี 90-99 % ประสบความสำเร็จ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลควรตัดสินใจเรื่องยุบสภาได้แล้ว
นายวีระ กล่าวว่า ในวันที่ 21 มีนาคม มีความคิดว่า ถ้าคนเสื้อแดงหายเหนื่อยแล้วอยากขอกำลังประชาชนประมาณ 2,000 คน เดินทางไปยังพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อไปถามนายบรรหาร ศิลปอาชา หรือตัวแทนของพรรค ว่า จะยินดีทำเพื่อประชาชนหรือไม่ และถามว่าทำไมตอนนี้ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีเกียรติ ยังจะรักษาเกียรติของคนที่เคยทำประชาธิปไตยมาหรือไม่ โดยจะมีการประชุมแกนนำอีกครั้งเพื่อแถลงให้ประชาชนทราบต่อไป
ขณะที่ขบวนของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ค้างอยู่ตามถนนสายต่างๆก็ได้ทยอยเดินทางกลับมารวมตัวที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ
เสื้อแดงกลับถึงสะพานผ่านฟ้าแล้วเตรียมประกาศชัยชนะ6โมงเย็น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 20 มีนาคม ขบวนดาวฤกษ์ของกลุ่มคนเสื้อแดงบางส่วนได้เดินทางกลับถึงสะพานผ่านฟ้าลีลาศเรียบร้อยแล้ว คาดว่าในช่วงเวลาประมาณ 18.00 น.จะแถลงข่าวประกาศชัยชนะขอการเคลื่อนพลต่อไป
หัวขบวนเสื้อแดงถึงสะพานกรุงเทพฯท้ายอยู่ที่แยกคลองตัน
เวลา 15.10 น.ขบวนแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดยนายจตุพร พรมหพันธุ์ แกนนำเป็นหัวขบวนได้เคลื่อนไปถึงสะพานกรุงเทพฯเพื่อข้ามฝั่งไปธนบุรีเข้าสู่วงเวียนใหญ่ ส่วนท้ายขบวนนำโดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อยู่ที่แยกคลองตัน มุ่งหน้าเข้าสุขุมวิท 71
ทั้งนี้มีเฮลิคอปเตอร์บินวนสำรวจขบวนคนเสื้อแดงอย่างใกล้ชิด
"จตุพร"ขอบคุณคนกรุงฯให้ความร่วมมือดี จี้"มาร์ค"ยุบสภาได้แล้ว
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 20 มี.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์ทางช่องพีเพิลชาแนล ขณะผ่านบริเวณคลองเตยว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์ทางการเมืองที่ต้องการให้เปลี่ยนผ่าน ต้องการให้ยุบสภาคืนอำนาจแก่ประชาชน ทั้งนี้ ขอขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมืออย่างดี
"ผมขอคารวะหัวใจของพี่น้องชาวกทม.ทุกคน เราต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ เพราะเราถูกปกครองอย่างไม่เป็นประชาธิปไตยมา 3 ปีติดต่อกัน" นายจตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานสถานการณ์กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า
เมื่อเวลา 14.00 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดงได้เคลื่อนขบวนถึงหน้าตลาดคลองเตย ถ.พระราม4 มุ่งหน้าเข้าถ.สีลม โดยการจราจรเคลื่อนตัวได้เล็กน้อย ขณะที่รถบรรทุกของแกนนำเพิ่งผ่านหน้าสถานีโทรทัศน์ช่อง 3
เวลา 11.51 น. หัวขบวนรถของกลุ่มเสื้อแดง ได้เคลื่อนมาถึงห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ แล้ว โดยมีประชาชนมารอให้กำลังใจอย่างคับคั่ง ทำให้การจราจรในบริเวณดังกล่าวเริ่มติดขัด
เวลา 11.30 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเลี้ยวขวาเข้าถ.ลาดพร้าวแล้ว ขณะที่สองข้างทางมีผู้สนับสนุนออกมาโบกมือให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก
เวลา 11.10 น. ขบวนของผู้ชุมนุมเดินทางถึงถ.รัชดาภิเษก ผ่านหน้าอาคารฟอร์จูน และบริษัทไทยประกันชีวิต มุ่งหน้าถ.ลาดพร้าว ส่งผลให้การจราจรเป็นอัมพาตชั่วคราว
เวลา 10.40 น. หัวขบวนของกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงเดินทางถึงแยกเพชรบุรี-อโศกแล้ว โดยได้บีบแตรเสียงดังสนั่นถนน
เวลา 10.30 น. คนเสื้อแดงเดินทางถึงประตูน้ำ ถ.เพชรบุรี
เวลา 10.15 น. ขบวนคนเสื้อแดงได้เดินทางผ่านแยกยมราช เข้าถ.เพชรบุรีแล้ว ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้ใช้ช่องทางทั้งขาเข้าและขาออกบางส่วน ทำให้การจราจรบริเวณดังกล่าวติดขัดเป็นอย่างมาก
แดงเริ่มเคลื่อนขบวนรอบกทม.แล้ว "เหวง"ย้ำอหิงสาไม่ตอบโต้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.30 น. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ว่า กลุ่มเสื้อแดงได้รวมตัวกันขบวนใหญ่บริเวณสะพานผ่านฟ้า โดยมีรถจักรยานยนต์นำหน้าขบวน จากนั้นเป็นกลุ่มรถยนต์และรถบรรทุกของแกนนำ ซึ่งนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.เพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงได้อัญเชิญรูปหล่อพระนเรศวรมหาราชขึ้นบริเวณรถด้วย โดยเรียกตัวเองว่า "ขุนศึกองค์ดำ" ก่อนออกเดินทางไปตามถนนต่างๆ รอบกรุงเทพฯ ในเวลา 10.00 น. อย่างไรก็ตาม ตลอดทางที่เสื้อแดงจะผ่านได้มีกลุ่มเสื้อแดงตั้งขบวนรอสมทบอีกด้วย
ขณะที่นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กล่าวบนเวทีปราศรัยสะพานผ่านฟ้า ว่า วันนี้ที่เราเดินขบวนเราจะทำ 3ไม่ คือ ไม่โกรธ ไม่รุนแรงและไม่ตอบโต้ รวมทั้ง 3 ส่ง คือ ส่งยิ้ม ส่งความรักและส่งความสุขให้ชาวกรุงเทพฯ
จากนั้นเวลา 09.50 น. นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ และนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดงได้ขึ้นรถบรรทุกหัวขบวนนำขบวนคนเสื้อแดงออกเดินทางรอบกรุงเทพฯ แล้ว
แดงงดผ่านจรัญฯ-รพ.ศิริราช แกนนำหวั่นสร้างสถานการณ์ป้ายสี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 20 มี.ค. กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงดาวกระจายไปรอบกรุงเทพฯ ได้งดเคลื่อนขบวนผ่านเส้นทาง ถ.จรัญสนิทวงศ์-สะพานพระปิ่นเกล้าแล้ว เนื่องจากใกล้โรงพยาบาลศิริราช โดยแกนนำระบุว่าไม่ต้องการให้เกิดการสร้างสถานการณ์ เพราะที่ผ่านมาประกาศต่อเนื่องว่าจะไม่มีการชุมนุมรอบโรงพยาบาลศิริาช
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าอาจมีผู้ไม่หวังดีสร้างสถานการณ์ในระหว่างกลุ่มเสื้อแดงเคลื่อนรอบกรุงฯ ซึ่งแกนนำจะพยายามหาทางป้องกัน
ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************
ตรวจเรือเหาะทบ. ส่อเค้าของ‘มือสอง’

ยังคงมีการตั้งคำถามเกี่ยวกับความเหมาะสมของโครงการจัดซื้อ "เรือเหาะตรวจการณ์" เพื่อใช้ในภารกิจแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้
หลังจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งกระทู้ถามรัฐบาลถึงราคาเรือเหาะที่แพงเกินจริง เพราะบริษัท กันตนา กรุ๊ป ซื้อมาถ่ายทำภาพยนตร์ในราคาเพียง 30 ล้านบาท
แต่ของกองทัพบกซื้อในราคาถึง 350 ล้านบาท จากข้อมูลพบว่า...กองทัพบกโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ในฐานะที่
ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ใช้งบประมาณจัดซื้อด้วยวิธีพิเศษ ทำสัญญาซื้อ “ระบบเรือเหาะตรวจการณ์” จาก บริษัทเอเรียล อินเตอร์เนชันแนล คูเปอเรชันโดยเรือเหาะลำนี้ผลิตโดยบริษัท Worldwide Aeros Corp. ประเทศสหรัฐอเมริกา รุ่น Aeros 40D S/N 21 หรือ สกาย ดรากอน (SKY DRAGON)ขณะเดียวกัน มีข้อสังเกตจากบุคคลในแวดวงธุรกิจเรือเหาะว่า ราคาเรือเหาะที่กองทัพจัดซื้อน่าจะแพงเกินไป เพราะเรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย ที่นำเข้าและจด
ทะเบียนก่อนที่กองทัพจะจัดซื้อ และมีขนาดใกล้เคียงกับเรือเหาะ “สกาย ดรากอน” นั้น มีราคาเพียง 30-35 ล้านบาทเท่านั้นเอง"เรือเหาะที่มีขนาดใกล้เคียงกับที่กองทัพจัดซื้อมากที่สุด คือเรือเหาะลำที่บริษัทแอร์ชิป เอเซีย นำเข้ามา โดยมีวัตถุประสงค์เชิงพาณิชย์ ราคาราว 30-35 ล้านบาทเท่านั้น"แหล่งข่าวซึ่งอยู่ในวงการธุรกิจเรือเหาะ อธิบายต่อว่า เรือเหาะของบริษัทแอร์ชิป เอเซีย มีขนาดยาว 34 เมตร ขณะที่ของกองทัพ ตามสเปคที่นำเสนอสู่สาธารณะก่อนหน้านี้ มี
ขนาดยาว 47.35 เมตร ซึ่งก็ถือว่าไม่ใหญ่กว่ากันมากนัก แต่ราคาเฉพาะตัวบอลลูนกลับสูงถึง 230-260 ล้านบาทเรือเหาะ 1 ลำมีองค์ประกอบ 2 ส่วนหลักๆ คือตัวบอลลูน กับส่วนที่เป็นห้องนักบินติดเครื่องยนต์ ซึ่งเรือเหาะทุกลำจะมีเหมือนกันหมด ส่วนกล้องตรวจการณ์จะเป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหาก จากเอกสารที่กองทัพเคยเปิดเผยออกมาระบุว่าเฉพาะตัวเรือบอลลูนมีราคา 260 ล้านบาท แต่เท่าที่ทราบในวงการที่พูดกันคือ 230 ล้านบาท ก็เท่ากับแพงกว่าเรือเหาะของแอร์
ชิป เอเซีย ถึง 200 ล้าน จึงมีเสียงวิจารณ์กันในหมู่คนที่รู้เรื่องเรือเหาะว่า ทำไมถึงเอากำไรกันมากมายขนาดนี้ทั้งนี้ แม้จากข้อมูลจะค่อนข้างชัดเจนว่า เรือเหาะของกองทัพไม่ได้ซื้อต่อจากบริษัทในประเทศ แต่ในวงการธุรกิจเรือเหาะก็ยังตั้งข้อสงสัยว่า เป็นเรือเหาะที่ผลิตขึ้นใหม่จริงหรือไม่การผลิตเรือเหาะแต่ละลำจะต้องมีการขึ้นทะเบียนว่าผลิตปีไหน อย่างไร เรือเหาะที่กองทัพบกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่จริงต้องมีหลักฐานการขึ้นทะเบียน ถ้าไม่ใช่ของใหม่ก็ตรวจสอบได้ที่หลาย
ฝ่ายตั้งข้อสงสัยก็เพราะการสั่งซื้อเรือเหาะแต่ละลำต้องใช้ระยะเวลาในการผลิต สั่งแต่ละครั้งเกือบ 1 ปี แต่กองทัพบกมีเวลาเพียงพอแค่ไหนที่จะผลิตของใหม่ หรือใหม่เฉพาะเครื่องยนต์" แหล่งข่าว ตั้งข้อสังเกตหากไม่ได้จัดซื้อของใหม่ หรือไปซื้อลำที่บริษัทผู้ผลิตใช้ในการสาธิต จะส่งผลถึงอายุการใช้งาน เพราะเรือเหาะใหม่แต่ละลำมีอายุการใช้งาน 5-7 ปี ส่วนห้องนักบินมีอายุมากกว่า ฉะนั้นหากไปซื้อต่อมือสองมา ราคาที่จัดซื้อก็จะยิ่งแพง เนื่องจากอายุใช้งานจะสั้นกว่า
ที่ควรจะเป็นพ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) กล่าวว่า...ขณะนี้เรือเหาะยังไม่พร้อมใช้งาน แต่เมื่อพร้อมใช้งานจริงจะมีระบบเชื่อมสัญญาณระหว่างตัวเรือเหาะกับภาคพื้นทั้งหมด 30 จุด ทั้งหน่วยเฉพาะกิจต่างๆ ในพื้นที่ และกองบัญชาการกองทัพบก แต่ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งยังไม่เรียบร้อย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
มือมือป่วนกรุง ยิงถล่มกลาโหม เจ็บ 1
เวลา 22.30 น.พ.ต.ท.ชำนาญ คงเมือง พนักงานสอบสวน สบ.2 สน.สำราญราษฎร์รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดร้านชุบบุญนำ ซอยแพ่งภูธร ถนนอัษฎาง แขวงศาลเจ้าพ่อเสือ เขตพระนคร กทม.รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต่อมา พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น.,พล.ต.ท.ตรีทศ รณฤทธิชัย ผบช.ส.เดินทางมาร่วมตรวจสอบด้วย ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณหน้าร้านดังกล่าวพบรอยสีขาวเป็นทางยาวประมาณ 15 ซม.นอกจากนี้ยังพบสายไฟบริเวณปากซอยห่างจากจุดเกิดประมาณ 5 เมตรได้รับความเสียหายขาดกระจุยกระจาย นอกจากนี้ ยังกระจกกระทรวงกลาโหมแตก ฝ้าได้รับความเสียหาย ขณะเดียวกันก็มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย เป็นเจ้าหน้าที่เก็บขยะกทม.
ต่อมา พ.ต.ท.ชำนาญได้รับแจ้งว่าพบรถกระบะแคปต้องสงสัย ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ตศ 9818 กทม.จอดอยู่ข้างโรงแรมสิริมิตรห่างจากจุดเกิดประมาณ 500 เมตร จึงได้เข้าทำการตรวจสอบพบกระจกด้านคนขับแตกเป็นรู โดยสามารถใช้มือล้วงเข้าไปเปิดประตูได้ และเมื่อเปิดประตูก็ยังพบคราบเลือดที่เบาะคนขับ นอกจากนี้ พบอาวุธปืนอาร์พีจี 1 กระบอก เครื่องยิงเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอกวางอยู่ภายในรถ โดยเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ บช.น.รายหนึ่งกล่าวว่า จากการตรวจสอบชิ้นส่วนของระเบิดพบเป็นลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงใส่กระทรวงกลาโหม แต่เกิดผิดพลาด ลูกระเบิดไปชนสายไฟจึงเกิดระเบิดขึ้น และอีก1 ลูกคาดว่าน่าจะถูกมือคนร้ายก่อน
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า จากการตรวจสอบรถต้องสงสัยพบเครื่องยิงกระสุนอาร์พีจี ระเบิดชนิดขว้างเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก อาวุธปืนทอมสันพร้อมกระสุนจำนวน 20 นัด เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงผ่านกระจกรถเนื่องจากกระจกด้านหลังคนขับหลุดทั้งบาน อย่างไรก็ตาม ส่วนผู้ต้องสงสัยคาดว่าน่าจะได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาที่ รพ.วชิระ แต่เมื่อแพทย์สอบถามก็ได้หลบหนีไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จาการสอบพยานผู้เห็นเหตุการณ์ คนร้ายมี 2 คนใช้รถคันดังกล่าวไปจอดที่เกิดเหตุ จากนั้นหนึ่งในคนร้ายรูปร่างสูง ใส่เสื้อสีดำ สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าลงมายืนข้างรถ จากนั้นคนร้ายที่อยู่ในรถได้ยิงออกมาจากรถแล้วไปโดนสายไฟ จากนั้นคนร้ายก็ขับหลบหนีออกมาจอดข้างโรงแรมดังกล่าวแล้วทั้่งสองคนก็เดินไปทางถนนราชดำเนิน
ช่วงเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่บนทางเท้าหน้าสรรพากรภาค 3 ถนนเจ้าฟ้าห่างจากหอศิลป์ประมาณ 50 เมตร รีบรุดไปตรวจสอบพบวัตถุดังกล่าวเป็นลักษณะแท่งระเบิดไดนาไมด์จำนวน 4 แท่งมัดรวมกัน มีเทปพันรอบ มีสายไฟโผล่ออกมา เจ้าหน้าที่จึงกันประชาชนออกและนำยางรถยนต์มาล้อมเอาไว้ก่อนให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดมาทำลาย โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
ต่อมา พ.ต.ท.ชำนาญได้รับแจ้งว่าพบรถกระบะแคปต้องสงสัย ยี่ห้อโตโยต้ารุ่นวีโก้ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ตศ 9818 กทม.จอดอยู่ข้างโรงแรมสิริมิตรห่างจากจุดเกิดประมาณ 500 เมตร จึงได้เข้าทำการตรวจสอบพบกระจกด้านคนขับแตกเป็นรู โดยสามารถใช้มือล้วงเข้าไปเปิดประตูได้ และเมื่อเปิดประตูก็ยังพบคราบเลือดที่เบาะคนขับ นอกจากนี้ พบอาวุธปืนอาร์พีจี 1 กระบอก เครื่องยิงเอ็ม 79 จำนวน 1 กระบอกวางอยู่ภายในรถ โดยเจ้าหน้าที่สรรพาวุธ บช.น.รายหนึ่งกล่าวว่า จากการตรวจสอบชิ้นส่วนของระเบิดพบเป็นลูกระเบิดชนิดเอ็ม 79 เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงใส่กระทรวงกลาโหม แต่เกิดผิดพลาด ลูกระเบิดไปชนสายไฟจึงเกิดระเบิดขึ้น และอีก1 ลูกคาดว่าน่าจะถูกมือคนร้ายก่อน
พล.ต.ท.สัณฐานกล่าวว่า จากการตรวจสอบรถต้องสงสัยพบเครื่องยิงกระสุนอาร์พีจี ระเบิดชนิดขว้างเอ็ม 67 จำนวน 3 ลูก อาวุธปืนทอมสันพร้อมกระสุนจำนวน 20 นัด เบื้องต้นคาดว่าคนร้ายน่าจะยิงผ่านกระจกรถเนื่องจากกระจกด้านหลังคนขับหลุดทั้งบาน อย่างไรก็ตาม ส่วนผู้ต้องสงสัยคาดว่าน่าจะได้รับบาดเจ็บเข้ารักษาที่ รพ.วชิระ แต่เมื่อแพทย์สอบถามก็ได้หลบหนีไป
รายงานข่าวแจ้งว่า จาการสอบพยานผู้เห็นเหตุการณ์ คนร้ายมี 2 คนใช้รถคันดังกล่าวไปจอดที่เกิดเหตุ จากนั้นหนึ่งในคนร้ายรูปร่างสูง ใส่เสื้อสีดำ สวมหมวกแก๊ปปิดบังใบหน้าลงมายืนข้างรถ จากนั้นคนร้ายที่อยู่ในรถได้ยิงออกมาจากรถแล้วไปโดนสายไฟ จากนั้นคนร้ายก็ขับหลบหนีออกมาจอดข้างโรงแรมดังกล่าวแล้วทั้่งสองคนก็เดินไปทางถนนราชดำเนิน
ช่วงเวลาเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งพบวัตถุต้องสงสัยวางอยู่บนทางเท้าหน้าสรรพากรภาค 3 ถนนเจ้าฟ้าห่างจากหอศิลป์ประมาณ 50 เมตร รีบรุดไปตรวจสอบพบวัตถุดังกล่าวเป็นลักษณะแท่งระเบิดไดนาไมด์จำนวน 4 แท่งมัดรวมกัน มีเทปพันรอบ มีสายไฟโผล่ออกมา เจ้าหน้าที่จึงกันประชาชนออกและนำยางรถยนต์มาล้อมเอาไว้ก่อนให้เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิดมาทำลาย โดยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
ที่มา.เนชั่นทันข่าว
****************************************************
วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553
ส.ส.เพื่อไทยประกาศยุติบทบาททางสภา ลั่นมาร์คต้องยุบสภา บริหารไม่ได้แล้ว
เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 20 มี.ค.ที่พรรคเพื่อไทย ได้มี ส.ส.และแกนนำของพรรค ประมาณ 20 คน อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย นายสงวน พรหมณี ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ได้ทยอยเข้าพรรค เพื่อหารือถึงสถานการณ์การเมือง ที่มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนขบวนไปทั่วกทม.ตามเส้นทางที่กำหนด ซึ่งได้ติดตามรายงานสดทางสถานีโทรทัศน์พีเพิลแชแนลเป็นระยะ
โดยนายปลอดประสพ กล่าวภายหลังการหารือว่า วันนี้มี ส.ส.กว่า 20 คนมาอยู่ที่พรรค เพื่อหารือกันและได้โทรศัพท์หารือกับส.ส.ที่ไม่ได้มาด้วย โดยเห็นว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้อยู่ในภาววิกฤติ จึงเห็นว่า 1.ปริมาณคนที่ออกมาเคลื่อนไหววันนี้มามากมายทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาโดยทันที 2.หากไม่ยุบสภาและไม่ยอมให้ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลที่เขาศรัทธา ความสงบสุข ความปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้น ต่อไปสังคมจะปริแยกกว่าเดิม
นายปลอดประสพ กล่าวว่า 3.ขณะนี้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะเกิดบรรยากาศสุญญากาศทางการบริหาร ต้องยุบสภาทันที เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเชื่อถือ 4.ขอให้นายกฯหยุดใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ทันที และ 5.พรรคเพื่อไทยถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลบริการประเทศ ไม่ว่าใครก็ตามไม่ยอมให้เกิดสุญญากาศขึ้นในประเทศ ดังนั้นขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์ ตัดสนใจโดยทันที
ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า เป็นปรากฎการณ์ครั้งใหม่ของประเทศไทยในทางการเมืองที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เมื่อเจ้าของอำนาจทางตรงจากทั่วประเทศทั้งในกทม.และต่างจังหวัดออกมา เรียกร้องอำนาจประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องดำเนินการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ขอให้รัฐบาลหยุดยื้อเวลาทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่นๆ เพราะเราถือว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ตอนนี้ถือว่ารัฐบาล และส.ส.ในสภาสิ้นสุดลงแล้วนอกจากนี้ขอให้ผู้มีอำนาจนอกระบบหยุดแทรกแซงการ บริหารของรัฐบาล หยุดสร้างความปั่นป่วนให้แก่ประเทศ ขอให้ทหารกลับเข้ากรมกองได้แล้ว ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดง และได้ติดตามการรายงานข่าวของสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆนั้น พบว่ารัฐบาลคุมสื่อ มีการใช้สื่อสร้างสถานการณ์ ทำลายความน่าเชื่อถือของคนมาชุมนุม อาจก่อนให้เกิดความรุนแรงได้ ขอให้รัฐบาลหยุดแทรกแซงสื่อ และสื่อต้องทำหน้าที่ให้เป็นกลาง
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมงานในสภาอีกต่อไป นายวรวัจน์ ตอบว่า เราจะหยุดบทบาทให้ความร่วมือการทำงานในสภาทุกด้าน จะไม่ใช่กลไกของสภาอีกต่อไป เพราะเราถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ต้องคืนอำนาจให้ปวงชน เราจะไม่ไปร่วมมือใดๆในสภา
เมื่อถามว่า เป็นมติพรรคเพื่อไทยที่จะไม่ทำงานในสภา นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราได้พูดกันแล้วในส่วนของส.ส.และแกนนำของพรรคแล้วเห็นว่า สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ยอมใช้กลไกของสภาในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นควรคืนอำนาจให้ประชาชนเมื่อถามว่าหากรัฐบาลยังเฉยเมยต่อข้อเรียกร้อง ไม่ยุบสภา นายวรวัจน์ตอบว่า วันนี้ไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีสามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ ไม่มีใครฟังคำสั่งของรัฐบาลอีกต่อไป ปัญหานี้รัฐบาลต้องคิด นายกฯต้องสำนึกว่านักการเมืองย่อมเหนือกว่ากำลังอื่นใด ต้องตระหนักตรงนี้ถึงประชาชนและคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามจะประสานงานไปยังนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้านให้ทราบเรื่องนี้ว่าไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการ ทำงานในสภา แม้ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปสภาก็ไม่ให้ความร่วามมือ อย่างไรก็ตามวันนี้ศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยของประชาชน(ศชปป.)ของพรรค เพื่อไทย ได้รับร้องร้องเรียนระหว่างที่มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนตามเส้นทางต่างๆว่า จนถึงขณะนี้ไม่มีปัญหาใด ไม่ได้ทำให้รถในกทม.ติด เพราะชาวกทม.ให้ความร่วมมือคงหันไปใช้เส้นทางอื่น แต่เกิดปัญหาระหว่างที่ผ่านย่านถนนรัชดา อาคารฟอร์จูน ที่มีเสื้อแดงทำร้ายพนักงานเคเอฟซี เบื้องต้นคาดว่าป็นการสร้างสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อส.ส.และแกนนำ ของพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเสร็จ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสด์ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายปลอดประสพ สุรัสวีดี นายไพจิต ศรีวขาน ส.ส.นครพนม ได้เดินออกไปบริเวณริมฟุตบาทหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ติดถนนพระราม 4 ซอยจินดาถวิล สมทบกับคนเสื้อแดงจำนวนมากอยู่ริมฟุตบาท เกาะกลางถนน และบนสะพานลอย ที่มารอต้อนรับขบวนเสื้อแดงที่วิ่งผ่านเส้นทางนี้มุ่งหน้าไปทางหัวลำโพง โดยได้เตรียมน้ำดื่ม ส้มโชกุล ชมพู่ ไว้ค่อยบริการ พอขบวนเสื้อแดงเคลื่อนผ่านมาบริเวณหน้าพรรค ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการเปิดเพลงปลุกใจ ชูหัวใจและเท้าตบ โบกธงแดงปลิวไสวให้เข้าจังหวะเพลง โดยนายสมชาย ได้ขึ้นบนหลังคารถสองแถวที่จอดอยู่ข้างทาง ส่วนนางเยาวภา ขึ้นไปอยู่บนสะพานลอย โบกไม้โบกมือทักทาย
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
*******************************
โดยนายปลอดประสพ กล่าวภายหลังการหารือว่า วันนี้มี ส.ส.กว่า 20 คนมาอยู่ที่พรรค เพื่อหารือกันและได้โทรศัพท์หารือกับส.ส.ที่ไม่ได้มาด้วย โดยเห็นว่าสถานการณ์การเมืองขณะนี้อยู่ในภาววิกฤติ จึงเห็นว่า 1.ปริมาณคนที่ออกมาเคลื่อนไหววันนี้มามากมายทั้งในกทม.และต่างจังหวัด รัฐบาลต้องตัดสินใจยุบสภาโดยทันที 2.หากไม่ยุบสภาและไม่ยอมให้ประชาชนเลือกตั้งรัฐบาลที่เขาศรัทธา ความสงบสุข ความปรองดองจะไม่มีวันเกิดขึ้น ต่อไปสังคมจะปริแยกกว่าเดิม
นายปลอดประสพ กล่าวว่า 3.ขณะนี้รัฐบาลบริหารประเทศต่อไปไม่ได้แม้แต่วันเดียว เพราะเกิดบรรยากาศสุญญากาศทางการบริหาร ต้องยุบสภาทันที เพื่อให้ได้รัฐบาลใหม่ที่ประชาชนเชื่อถือ 4.ขอให้นายกฯหยุดใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ทันที และ 5.พรรคเพื่อไทยถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีรัฐบาลบริการประเทศ ไม่ว่าใครก็ตามไม่ยอมให้เกิดสุญญากาศขึ้นในประเทศ ดังนั้นขอให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และรัฐบาลเข้าใจสถานการณ์ ตัดสนใจโดยทันที
ด้านนายวรวัจน์ เอื้ออภิญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย กล่าวเสริมว่า เป็นปรากฎการณ์ครั้งใหม่ของประเทศไทยในทางการเมืองที่มีประชาชนออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลคืนอำนาจให้แก่ประชาชน เมื่อเจ้าของอำนาจทางตรงจากทั่วประเทศทั้งในกทม.และต่างจังหวัดออกมา เรียกร้องอำนาจประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องดำเนินการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน ขอให้รัฐบาลหยุดยื้อเวลาทั้งเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องอื่นๆ เพราะเราถือว่ารัฐบาลไม่มีความชอบธรรม ตอนนี้ถือว่ารัฐบาล และส.ส.ในสภาสิ้นสุดลงแล้วนอกจากนี้ขอให้ผู้มีอำนาจนอกระบบหยุดแทรกแซงการ บริหารของรัฐบาล หยุดสร้างความปั่นป่วนให้แก่ประเทศ ขอให้ทหารกลับเข้ากรมกองได้แล้ว ส่วนกรณีที่มีการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดง และได้ติดตามการรายงานข่าวของสื่อโทรทัศน์ช่องต่างๆนั้น พบว่ารัฐบาลคุมสื่อ มีการใช้สื่อสร้างสถานการณ์ ทำลายความน่าเชื่อถือของคนมาชุมนุม อาจก่อนให้เกิดความรุนแรงได้ ขอให้รัฐบาลหยุดแทรกแซงสื่อ และสื่อต้องทำหน้าที่ให้เป็นกลาง
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสดงว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย จะไม่ร่วมงานในสภาอีกต่อไป นายวรวัจน์ ตอบว่า เราจะหยุดบทบาทให้ความร่วมือการทำงานในสภาทุกด้าน จะไม่ใช่กลไกของสภาอีกต่อไป เพราะเราถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ต้องคืนอำนาจให้ปวงชน เราจะไม่ไปร่วมมือใดๆในสภา
เมื่อถามว่า เป็นมติพรรคเพื่อไทยที่จะไม่ทำงานในสภา นายวรวัจน์ กล่าวว่า เราได้พูดกันแล้วในส่วนของส.ส.และแกนนำของพรรคแล้วเห็นว่า สัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ยอมใช้กลไกของสภาในการแก้ไขปัญหา ดังนั้นควรคืนอำนาจให้ประชาชนเมื่อถามว่าหากรัฐบาลยังเฉยเมยต่อข้อเรียกร้อง ไม่ยุบสภา นายวรวัจน์ตอบว่า วันนี้ไม่มีทางเลือก เพราะไม่มีสามารถบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ ไม่มีใครฟังคำสั่งของรัฐบาลอีกต่อไป ปัญหานี้รัฐบาลต้องคิด นายกฯต้องสำนึกว่านักการเมืองย่อมเหนือกว่ากำลังอื่นใด ต้องตระหนักตรงนี้ถึงประชาชนและคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามจะประสานงานไปยังนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้านให้ทราบเรื่องนี้ว่าไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการ ทำงานในสภา แม้ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปสภาก็ไม่ให้ความร่วามมือ อย่างไรก็ตามวันนี้ศูนย์ช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยของประชาชน(ศชปป.)ของพรรค เพื่อไทย ได้รับร้องร้องเรียนระหว่างที่มวลชนเสื้อแดงเคลื่อนตามเส้นทางต่างๆว่า จนถึงขณะนี้ไม่มีปัญหาใด ไม่ได้ทำให้รถในกทม.ติด เพราะชาวกทม.ให้ความร่วมมือคงหันไปใช้เส้นทางอื่น แต่เกิดปัญหาระหว่างที่ผ่านย่านถนนรัชดา อาคารฟอร์จูน ที่มีเสื้อแดงทำร้ายพนักงานเคเอฟซี เบื้องต้นคาดว่าป็นการสร้างสถานการณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อส.ส.และแกนนำ ของพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวเสร็จ อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสด์ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายปลอดประสพ สุรัสวีดี นายไพจิต ศรีวขาน ส.ส.นครพนม ได้เดินออกไปบริเวณริมฟุตบาทหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ติดถนนพระราม 4 ซอยจินดาถวิล สมทบกับคนเสื้อแดงจำนวนมากอยู่ริมฟุตบาท เกาะกลางถนน และบนสะพานลอย ที่มารอต้อนรับขบวนเสื้อแดงที่วิ่งผ่านเส้นทางนี้มุ่งหน้าไปทางหัวลำโพง โดยได้เตรียมน้ำดื่ม ส้มโชกุล ชมพู่ ไว้ค่อยบริการ พอขบวนเสื้อแดงเคลื่อนผ่านมาบริเวณหน้าพรรค ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีการเปิดเพลงปลุกใจ ชูหัวใจและเท้าตบ โบกธงแดงปลิวไสวให้เข้าจังหวะเพลง โดยนายสมชาย ได้ขึ้นบนหลังคารถสองแถวที่จอดอยู่ข้างทาง ส่วนนางเยาวภา ขึ้นไปอยู่บนสะพานลอย โบกไม้โบกมือทักทาย
ที่มา: เว็บไซต์ไทยรัฐ
*******************************
กวีการเมือง

สอสอฉันเลือกแล้ว มีดี
ชนชั้วกลับโจมตี ข่มได้
รถถังไล่ราวี ตามล่า
นายกเราเลือกไว้ ท่านต้องหนีภัย
การเมืองไทยทั่วผู้ ครองสิทธิ์
เลือกท่านมาทำกิจ ใหญ่กว้าง
ปวงชนป่วยกายจิต ในที่ ใดนา
ดูทั่วทุกทิศสร้าง ส่งให้เทียมกัน
รัฐประหารย่อมได้ ทุษชน
เอาแต่พวกของตน แต่งตั้ง
ขุนตุลย์ท่านสากล กลับชั่ว
ตกอยู่อคติพลั้ง เสื่อมสิ้นยุติธรรม
รัฐธรรมนูญที่ใช้ ทุรกรรม
ตกแต่งสำแดงคำ แบ่งชั้น
สอวอครึ่งไยทำ เสกแต่ง ตั้งนา
อีกกึ่งหันเหกั้น แบ่งให้เลือกเอง
ทีมา.openthaidemocracy
*************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)