“บิ๊กบัง” ชี้ยุบสภาต้องดูเงื่อนไข แนะ รบ. ฟังเสียงข้างน้อย ห่วงเหตุยิงเอ็ม 79 โยงจับโรงงานผลิต จี้รัฐหาแหล่งต้นตอกระสุนเอ็ม 79...
พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ตนมองว่ายังอยู่ในกรอบของประชาธิปไตย เนื่องจากไม่ได้ใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกันรัฐบาลที่บริหารประเทศอยู่ในขณะนี้ก็มาอย่างถูกต้องตามกฎหมายและระบอบประชาธิปไตย ซึ่งกำหนดให้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้น ขณะนี้ยังถือว่าทั้งฝ่ายบริหารและกลุ่มเสื้อแดงดำเนินอยู่ในกรอบของประชาธิปไตย แต่รัฐบาลต้องฟังเสียงข้างน้อย ซึ่งการที่กลุ่มคนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา ลาออกนั้น ต้องดูว่ามีเงื่อนไขสมควรแล้วหรือไม่ เพราะอยู่ดี ๆ จะให้รัฐบาลยุบสภาเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง
เมื่อถามว่า สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าเลยขั้นตอนการเจรจาแล้วหรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า การเจรจาเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้ว่าเกิดวิกฤตหรือการนองเลือดแล้วก็ตามก็สามารถเจรจากันได้หากทุกฝ่ายยอมลดเงื่อนไขแล้วมาพูดคุยกัน เมื่อถามถึงกรณีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าไปภายในกรมทหารราบที่ 1 (มหาดเล็ก) รักษาพระองค์ (ร.1 รอ.) พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าติดตามมากกว่าเรื่องอื่นขณะนี้ ต้องตรวจสอบว่าสอดคล้องกับกรณีที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบเครื่องยิงเอ็ม 79 ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และสมุทรปราการหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ต้องเร่งหาข้อเท็จจริงโดยเร็วที่สุดว่า เครื่องยิงดังกล่าวถูกส่งไปขายในต่างประเทศ หรือนำมาใช้ในประเทศ เพราะลูกระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งเป็นอาวุธสงครามส่วนใหญ่จะจัดซื้อมาจากต่างประเทศโดยทางการ
“ตัวปืนผลิตง่าย แต่กระสุนผลิตยาก ถึงจะมีปืน แต่ก็หาลูกยิงไม่ง่าย เพราะลูกระเบิดต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นการผลิตในประเทศจะมีการควบคุม สิ่งที่ผมบอกว่าน่าสนใจคือ เขาผลิตแล้วเอาไปไหน ต้องรีบหาตรงนี้ให้เจอ ถ้าเจอแล้วเอาไปทำอะไร เพราะไม่มีที่ให้ขาย น่าเป็นห่วง และเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งอาวุธดังกล่าวมีแหล่งสนับสนุนจากภายในประเทศนั้นน้อยมาก แต่ถ้าสนับสนุนมาจากภายนอก อาจเกิดเรื่องยุ่งถือว่าอันตราย ต้องรีบหาต้นตอให้ได้ เพราะโลกเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะประเทศรอบบ้านเราไม่มีสงครามแล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและน่าติดตาม”พล.อ.สนธิ กล่าว
เมื่อถามว่า จะเชื่อมโยงกับเอ็ม 79 ที่หายไปจากคลังที่ จ.พัทลุง หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า จะเล็ดลอดมาอย่างไรก็มีไม่มาก แต่ระเบิดเอ็ม 79 ที่มีอยู่ในกองทัพมีจำนวนมาก ซึ่งการนำมาใช้รบในเมืองหรือการก่อการร้ายในเมืองจะได้ผลมาก เพราะเป็นอาวุธเล็ก ยิงไม่ต้องเห็นตัว เสียงเบา ไม่ต้องเล็งตรง แต่เล็งวิถีโค้งได้ ระยะ 400 เมตร ถือว่าไกลสุด ถ้าจะยิงให้ไกลสุดต้องตั้งปืน 45 องศา ทั้งนี้ อาวุธดังกล่าวไม่มีความแม่นยำ เป็นการยิงเพื่อรบกวน บ่อนทำลาย
ที่มา.ไทยรัฐออนไลน์
************************************************
วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553
วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553
รัฐบาลโจร พลาดเอง
การชุมนุมของม็อบเสื้อแดงครั้งใหญ่ในกรุงเทพฯ ต้องยอมรับว่าสร้างความอกสั่นขวัญผวาให้พี่น้องประชา ชนพอสมควร
เพราะช่วงก่อนถึงวันดีเดย์ของนปช.นั้น รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินเกมประโคมข่าวเสียใหญ่โตราวกับว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง
การประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง ควบกฎหมายย่อยอีก 18 ฉบับ
การตระเตรียมกำลังของฝ่ายรัฐเข้าตรึงสถานที่ราชการสำคัญๆ หลายแห่งตั้งแต่ 2-3 วันก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่
การระดมกำลังตำรวจ-ทหารตั้งด่านทั้งในเมืองหลวงและทางหลวงสายสำคัญๆ ที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุง
การตั้งวอร์มรูมรัฐบาลในกองพันทหารราบที่ 11
การจัดแจงทำเนียบสำรองไว้ล่วงหน้า ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วนัยหนึ่งคือการเตรียมพร้อมของรัฐบาลในการรับมือการชุมนุม
แต่ในทางกลับกันการออกข่าวในลักษณะนี้ เท่ากับสร้างความระส่ำระสายขึ้นในสังคม
ยังมีเรื่องนายกฯมาร์คไปประชุมบอร์ดพลังงานแห่งชาติ สั่งห้ามไม่ให้ปั๊มน้ำมันขายน้ำมันปลีกใส่ภาชนะเด็ดขาด การสั่งเฝ้าระวังรถแก๊ส รวมทั้งเรื่องให้ธนาคารหลายสาขาในกรุงเทพฯประกาศปิดทำการ
ตรงนี้ล่อแหลม เป็นดาบ 2 คม
เพราะอาจมองได้ว่าบ้านเมืองถึงขั้นวิกฤต จะเกิดการเผาเมืองขึ้น
มันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปเรียบร้อยแล้ว !!
นานาประเทศไม่มั่นใจในความปลอดภัยในเมืองไทยไปแล้ว !!
การประโคมข่าวต่างๆ ของรัฐบาลให้เหตุผลว่าต้องเตรียมรับมือหากเกิดความรุนแรงขึ้น
แต่การกระทำบางอย่างของรัฐบาลกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
เช่นวันก่อน หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย ม็อบพันธมิตรยึดสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ
นำสำนวนคดีเดินทางไปยื่นศาลอาญารัชดาฯ เพื่อขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา
แต่ไม่ทันได้ยื่น โดน"ผู้ใหญ่"สั่งเบรกเสียก่อน
ความจริงก่อนที่พนักงานสอบสวนจะขนสำนวนไปศาลก็โดนบิ๊กตำรวจใหญ่พยายามยับยั้งแล้วครั้งหนึ่ง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร !?
ตรงนี้แหละที่รัฐบาลพลาด
เตรียมตัวรับมือม็อบเสียใหญ่โตจนดูว่าเกินพอดี
แต่ประเด็นสำคัญที่สร้างความเจ็บช้ำให้ม็อบเสื้อแดงมาโดยตลอดคือเรื่อง 2 มาตรฐาน
รัฐบาลก็ไม่วายตอกย้ำเข้าไปอีก
พนักงานสอบสวนไปขออนุมัติออกหมายจับแกนนำม็อบเหลืองคดียึดสนามบินก็มีจุดประสงค์
ต้องการลดดีกรีความรุนแรงของม็อบแดง ต้องการทำให้เห็นว่าไม่ได้ 2 มาตรฐาน
และต้องการให้รู้ว่าหากม็อบแดงจะยึดสนามบินเลียนแบบม็อบเหลืองก็ต้องโดนหมายจับคดีก่อการร้ายเหมือนกัน
เป็นการปรามไว้ก่อน
พอโดนห้ามโดนระงับแบบนี้
ก็เท่ากับว่ารัฐบาลราดน้ำมันเข้ากองเพลิงเสียเอง
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
โดย.เหล็กใน
***************************************************
เพราะช่วงก่อนถึงวันดีเดย์ของนปช.นั้น รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เดินเกมประโคมข่าวเสียใหญ่โตราวกับว่าจะเกิดสงครามกลางเมือง
การประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคง ควบกฎหมายย่อยอีก 18 ฉบับ
การตระเตรียมกำลังของฝ่ายรัฐเข้าตรึงสถานที่ราชการสำคัญๆ หลายแห่งตั้งแต่ 2-3 วันก่อนถึงวันชุมนุมใหญ่
การระดมกำลังตำรวจ-ทหารตั้งด่านทั้งในเมืองหลวงและทางหลวงสายสำคัญๆ ที่จะมุ่งหน้าเข้ากรุง
การตั้งวอร์มรูมรัฐบาลในกองพันทหารราบที่ 11
การจัดแจงทำเนียบสำรองไว้ล่วงหน้า ฯลฯ
ทั้งหมดนี้ฟังดูแล้วนัยหนึ่งคือการเตรียมพร้อมของรัฐบาลในการรับมือการชุมนุม
แต่ในทางกลับกันการออกข่าวในลักษณะนี้ เท่ากับสร้างความระส่ำระสายขึ้นในสังคม
ยังมีเรื่องนายกฯมาร์คไปประชุมบอร์ดพลังงานแห่งชาติ สั่งห้ามไม่ให้ปั๊มน้ำมันขายน้ำมันปลีกใส่ภาชนะเด็ดขาด การสั่งเฝ้าระวังรถแก๊ส รวมทั้งเรื่องให้ธนาคารหลายสาขาในกรุงเทพฯประกาศปิดทำการ
ตรงนี้ล่อแหลม เป็นดาบ 2 คม
เพราะอาจมองได้ว่าบ้านเมืองถึงขั้นวิกฤต จะเกิดการเผาเมืองขึ้น
มันส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปเรียบร้อยแล้ว !!
นานาประเทศไม่มั่นใจในความปลอดภัยในเมืองไทยไปแล้ว !!
การประโคมข่าวต่างๆ ของรัฐบาลให้เหตุผลว่าต้องเตรียมรับมือหากเกิดความรุนแรงขึ้น
แต่การกระทำบางอย่างของรัฐบาลกลับสวนทางกันโดยสิ้นเชิง
เช่นวันก่อน หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย ม็อบพันธมิตรยึดสนามบินดอนเมือง-สุวรรณภูมิ
นำสำนวนคดีเดินทางไปยื่นศาลอาญารัชดาฯ เพื่อขออนุมัติออกหมายจับผู้ต้องหา
แต่ไม่ทันได้ยื่น โดน"ผู้ใหญ่"สั่งเบรกเสียก่อน
ความจริงก่อนที่พนักงานสอบสวนจะขนสำนวนไปศาลก็โดนบิ๊กตำรวจใหญ่พยายามยับยั้งแล้วครั้งหนึ่ง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร !?
ตรงนี้แหละที่รัฐบาลพลาด
เตรียมตัวรับมือม็อบเสียใหญ่โตจนดูว่าเกินพอดี
แต่ประเด็นสำคัญที่สร้างความเจ็บช้ำให้ม็อบเสื้อแดงมาโดยตลอดคือเรื่อง 2 มาตรฐาน
รัฐบาลก็ไม่วายตอกย้ำเข้าไปอีก
พนักงานสอบสวนไปขออนุมัติออกหมายจับแกนนำม็อบเหลืองคดียึดสนามบินก็มีจุดประสงค์
ต้องการลดดีกรีความรุนแรงของม็อบแดง ต้องการทำให้เห็นว่าไม่ได้ 2 มาตรฐาน
และต้องการให้รู้ว่าหากม็อบแดงจะยึดสนามบินเลียนแบบม็อบเหลืองก็ต้องโดนหมายจับคดีก่อการร้ายเหมือนกัน
เป็นการปรามไว้ก่อน
พอโดนห้ามโดนระงับแบบนี้
ก็เท่ากับว่ารัฐบาลราดน้ำมันเข้ากองเพลิงเสียเอง
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
โดย.เหล็กใน
***************************************************
วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553
ข่าวกรอง : มีการเคลื่อนย้ายกำลังหน่วยอรินทราช /นเรศวร 261 เข้าไปที่ราบ 11
ข่าวกรอง : มีการเคลื่อนย้ายกำลังหน่วยอรินทราช /นเรศวร 261 เข้าไปที่ราบ 11
มีคนเสื้อแดงที่มีข่าววงในพอสมควรแจ้งผมมาว่า มีการเคลื่อนย้ายกำลังของฝ่ายอำมาตย์โดย มีเนื้อหาของข่าวดังนี้
1. มีการเคลื่อนย้ายหน่วยอรินทราชเข้าไปที่ราบ 11
2. มีคำสั่งให้หน่วย นเรศวร 261 พร้อมอาวุธเต็มอัตรา เข้าไปในราบ 11 เช่นกัน
3. มีข่าวมาว่า พล.อ.เปรม ไปอยู่ที่โคราชแล้ว (อันนี้ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์)
4. สายข่าวแจ้งว่ากองกำลังในทำเนียบ ติดอาวุธพร้อม โดยอยู่ที่หลังโล่ห์ ในถุง
จากการข่าวนี้ เขาบอกว่าอาจใช่เพื่อจู่โจมจับแกนนำ
นั่นเป็นเนื้อหาของข่าวนะครับ ส่วนการเคลื่อนไหวของฝ่ายอำมาตย์ เขาจะทำได้จริงอย่างที่คิด หรือตั้งใจหรือไม่ มันคนละเรื่องกับ "ความอยากทำอะไร" การดำเนินการมันต้องขึ้นกับสภาพแวดล้อม เงือนไข โอกาสต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ "ความต้องการของเจ้" อย่างเดียว มันไม่ใช่การทำกับข้าวที่เจ้จะสั่งให้เอาอะไรขึ้นโต๊ะอาหารก็ได้ตามใจเจ้
เมื่อคืน หลังจากที่ไปได้ไปตะเวณดูพื้นที่การชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดง เดินตั้งแต่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถึงหน้าประตูเข้าสวนสัตว์ดุสิต ระยะทางกว่า 3 กม. ปรากฎว่ามีพี่น้องเสื้อแดงเต็มไปหมด พื้นที่บนถนนตั้งแต่เลยผ่านฟ้าไป มีการจอดรถปิ๊กอัพในขบวนที่เดินทางไกลมาเต็มไปหมด ลานพระรูป ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือเลย รถจอดยาวมาถึงหน้าเขาดินเลยทีเดียว
สภาพแบบนี้คือ สิ่งกีดขวางโดยธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะใช้ "ยานเกราะหรือกำลังใดๆ เข้าไปได้อีก ต่อให้มี "กองพลรถถังทั้งกองพล กว่าจะเคลื่อนตัวไปถึงสะพานผ่านฟ้าได้ ก็คงใช้เวลานานมาก เพราะต้องเคลียร์สิ่งกีดขวางไปด้วย หากรถเหล่านี้ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ก็จะขวางถนนได้ทั้งหมด
ตามซอยต่างๆ ที่เข้าไปสู่เส้นทางนี้ก็เต็มไปด้วยรถครับ
รัฐบาลโง่เองที่ไม่ให้เขาเช่ารถทัวร์กันมา ให้เอารถปิคอัพมาเอง สภาพมันจึงเหมือน Car Camp ที่เขามีอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง ๆ
วันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องปราบ เรื่องสลาย ต่อให้รถพร้อมใจกันเคลื่อนออกมา ก็ใช้เวลานาน กว่าจะจัดคนขึ้นรถ กว่าจะตามหากันเจอ
การเคลื่อนหน่วยกำลังของ ฝ่ายอำมาตย์ ที่จริงทั้งหน่วยอรินทราช นเรศวรอะไรนี่ ก็คงมีไม่เกิน 300 คน
มันใช้จู่โจมผู้ก่อการร้ายในตึกได้ แต่จู่โจม แกนนำชุมชนกลางประชาชน 1,000,000 คนไม่ได้
โดย.ลูกชาวนาไทย
******************************************************
มีคนเสื้อแดงที่มีข่าววงในพอสมควรแจ้งผมมาว่า มีการเคลื่อนย้ายกำลังของฝ่ายอำมาตย์โดย มีเนื้อหาของข่าวดังนี้
1. มีการเคลื่อนย้ายหน่วยอรินทราชเข้าไปที่ราบ 11
2. มีคำสั่งให้หน่วย นเรศวร 261 พร้อมอาวุธเต็มอัตรา เข้าไปในราบ 11 เช่นกัน
3. มีข่าวมาว่า พล.อ.เปรม ไปอยู่ที่โคราชแล้ว (อันนี้ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซนต์)
4. สายข่าวแจ้งว่ากองกำลังในทำเนียบ ติดอาวุธพร้อม โดยอยู่ที่หลังโล่ห์ ในถุง
จากการข่าวนี้ เขาบอกว่าอาจใช่เพื่อจู่โจมจับแกนนำ
นั่นเป็นเนื้อหาของข่าวนะครับ ส่วนการเคลื่อนไหวของฝ่ายอำมาตย์ เขาจะทำได้จริงอย่างที่คิด หรือตั้งใจหรือไม่ มันคนละเรื่องกับ "ความอยากทำอะไร" การดำเนินการมันต้องขึ้นกับสภาพแวดล้อม เงือนไข โอกาสต่างๆ ด้วย ไม่ใช่ "ความต้องการของเจ้" อย่างเดียว มันไม่ใช่การทำกับข้าวที่เจ้จะสั่งให้เอาอะไรขึ้นโต๊ะอาหารก็ได้ตามใจเจ้
เมื่อคืน หลังจากที่ไปได้ไปตะเวณดูพื้นที่การชุมนุมของพี่น้องเสื้อแดง เดินตั้งแต่โรงแรมรัตนโกสินทร์ ถึงหน้าประตูเข้าสวนสัตว์ดุสิต ระยะทางกว่า 3 กม. ปรากฎว่ามีพี่น้องเสื้อแดงเต็มไปหมด พื้นที่บนถนนตั้งแต่เลยผ่านฟ้าไป มีการจอดรถปิ๊กอัพในขบวนที่เดินทางไกลมาเต็มไปหมด ลานพระรูป ไม่มีพื้นที่ว่างเหลือเลย รถจอดยาวมาถึงหน้าเขาดินเลยทีเดียว
สภาพแบบนี้คือ สิ่งกีดขวางโดยธรรมชาติ ไม่มีทางที่จะใช้ "ยานเกราะหรือกำลังใดๆ เข้าไปได้อีก ต่อให้มี "กองพลรถถังทั้งกองพล กว่าจะเคลื่อนตัวไปถึงสะพานผ่านฟ้าได้ ก็คงใช้เวลานานมาก เพราะต้องเคลียร์สิ่งกีดขวางไปด้วย หากรถเหล่านี้ขยับตัวเพียงเล็กน้อย ก็จะขวางถนนได้ทั้งหมด
ตามซอยต่างๆ ที่เข้าไปสู่เส้นทางนี้ก็เต็มไปด้วยรถครับ
รัฐบาลโง่เองที่ไม่ให้เขาเช่ารถทัวร์กันมา ให้เอารถปิคอัพมาเอง สภาพมันจึงเหมือน Car Camp ที่เขามีอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง ๆ
วันนี้ไม่ต้องคิดเรื่องปราบ เรื่องสลาย ต่อให้รถพร้อมใจกันเคลื่อนออกมา ก็ใช้เวลานาน กว่าจะจัดคนขึ้นรถ กว่าจะตามหากันเจอ
การเคลื่อนหน่วยกำลังของ ฝ่ายอำมาตย์ ที่จริงทั้งหน่วยอรินทราช นเรศวรอะไรนี่ ก็คงมีไม่เกิน 300 คน
มันใช้จู่โจมผู้ก่อการร้ายในตึกได้ แต่จู่โจม แกนนำชุมชนกลางประชาชน 1,000,000 คนไม่ได้
โดย.ลูกชาวนาไทย
******************************************************
เต็นท์พยาบาลภาคสนาม RSR
เวทีและเต็นท์รายรอบถนนราชดำเนินเต็มสองฝากถนนแล้วครับ
ขอเชิญพี่น้องเสื้อแดง หากไม่สบายหรือ เหน็ดเหนื่อย ร้อนแดด แวะมาได้แล้วครับ
เต็นท์พยาบาลภาคสนามRSR อยู่บนถนนราชดำเนิน บริเวณด้านหน้าพลับพลารับแขกเมือง(ศาลาเฉลิมไทย)
หรือหากหันเข้าหาเวทีใหญ่ จะอยู่ด้าขวามือ ถัดจากสัญญาณไฟจราจรครับ
เพื่อนๆๆประชาไท แวะไปทักทายกันด้วยครับ
ขอเชิญพี่น้องเสื้อแดง หากไม่สบายหรือ เหน็ดเหนื่อย ร้อนแดด แวะมาได้แล้วครับ
เต็นท์พยาบาลภาคสนามRSR อยู่บนถนนราชดำเนิน บริเวณด้านหน้าพลับพลารับแขกเมือง(ศาลาเฉลิมไทย)
หรือหากหันเข้าหาเวทีใหญ่ จะอยู่ด้าขวามือ ถัดจากสัญญาณไฟจราจรครับ
เพื่อนๆๆประชาไท แวะไปทักทายกันด้วยครับ
เวลายิ่งเนิ่นนาน อายุขัยจอมมาร กลับสั้นลง...
ยุทธ์ภพอาภรณ์แดง ชุมนุมกันต่อไป...
เข้าออกว่องไว ไม่ให้บาดเจ็บล้มตาย รอ"สิ้นเสียงนกแสก"...
กุนซือใหญ่ฝ่ายเสื้อแดงใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม
สายตาทอดมองไปข้างหน้า รอเวลา"นกแสกไอ"
สิ้นเสียง"นกแสกไอ"ต่อไปมันจึงหยุดร้อง...!!!
ยอดแผนชิงชัย คือ พิชิตฝ่ายตรงข้ามให้ย่อยยับ
สุดยอดยิ่งกว่าความย่อยยับ ฝ่ายมีชัย"ต้อง"ไม่เสียรี้พล
สุดยอดยิ่งกว่ารักษารี้พล คือ ชัยชนะที่ไม่ต้องรบ
ข้อความทั้งสิ้นที่กล่าวนำ จอมมาร"เตียบ่อหลัน"มันแจ้งสิ้น
แต่ด้วยวัยดุจดังไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อำนวยให้ดำเนินแผนการเช่นนั้นได้
ผู้สามารถ"ใช้เวลาเป็นอาวุธ"ได้ กลับมีเพียงจอมยุทธ์"ชิน"
เวลายิ่งเนิ่นนาน อายุขัยจอมมาร กลับสั้นลง...
แผนการเร่งให้แตกหักถูกกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เป็นผล
ทั้งหยาบช้าสามานย์ ทั้งอำมหิตโหดเหิ่ยม นำมาใช้จนสิ้น แต่ทำอะไรมิได้
บรรดาผู้ทรงคุณธรรม ทั้งหนอนตำรา และเหล่ามหาบัณฑิตที่เคยร่วมช่วย
แต่ด้วยความสามานย์ในแผนการทั้งหลายที่กล่าว
สร้างความอิดหน้าระอาใจ ระคนสำนึกในถูกผิด แต่มิคิดโต้แย้ง
บัดนี้ต่างหันหลังให้กับความชั่วช้า หันหน้ามุ่งสู่ใต้ดิน.......เปลี่ยนเป็น"สีแดง"
เริ่มจากเสียงกระซิบไม่เห็นคล้อย ตามมาด้วยเสียงสาปแช่ง
กลายเป็นสมาชิกเสื้อแดง เสียมากกว่ามาก
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ ในวันรวมพลครั้งใหญ่ที่ 12 ที่ผ่าน
บ้างใส่เกียร์วาง บ้างส่งเสียงคัดค้าน บ้างกระโดดเข้าร่วม
ฝ่ายโจรปล้นชาติอาภรณ์เหลือง เคยนำโดย"ลิ่มซงติง"
บัดนี้เงียบสิ้น ยิ่งกว่า สุนัขเป่าสาก ฝ่ายเหลืองมาน้อย โป้ปดว่ามามาก
เสื้อแดงเคลื่อนทัพยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลาก ไม่ยอมรับว่ามาก กลบเกลื่อนว่ามาน้อย...(ปอดลอยซะแระ)
******************************************************
ช้าก่อนสหายผู้ร่วมทาง การชนะด้วยมิต้องรบ
ไม่หมายรวมถึงการปลดปล่อยคู่ต่อสู้ทุกรายให้ลอยนวล
การทวงคืนความแค้น บุญคุณต้องทดแทน ยังคงอยู่
รายชื่อฝ่ายตรงข้ามที่กระทำสามานย์ได้ถูกบันทึก
ทั้งแพทย์เสียงสั่น ทั้งอานัง และ หนอนตำราเสื้อกั๊ก
โดยเฉพาะ อดีต คมช.ผู้สุมหัวปล้นอำนาจจากมหาประชาชน...
"สิ้นเสียงนกแสกร้อง"วันใด นั้นคือวันวอดวายของรายชื่อที่ว่า
พวกมันทั้งสิ้นต่างหวาดผวาเกรงภัยมาถึง
ต่างกอดกันร้องระงม เรียกร้องให้ระดมกำจัด "จอมยุทธ์ชินฯ"
แม้นเสื้อแดงกลับมาใหญ่ รายชื่อทั้งหลายย่อมไร้ที่ฝัง..!!!
พวกมันซึมทราบ ก่อนภัยร้ายมากำราบ ต้องใช้ทุกหนทางกำจัด
ไม่ว่าความโสมมชั่วร้าย อำมหิตเสียงภัย มารร้ายงัดออกมาใช้จนสิ้น...
"จอมยุทธ์ชิน" ย่อมเป็น "จอมยุทธ์ชิน"
แผนร้ายทั้งสิ้น ไม่ระคายผิวแม้รอยแมวข่วน
ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย ทั้งนอกในใสสะอาด
วันวาน "อ้ายมาก"ส่งศิวลัก ไปทำการ ศิวลึงค์ ยังเสียมราช กระทั่งถูกจับได้
หวังกำหนดวันตาย แต่ต้องมาตายเสียเอง...!!!
เล่นเอามหามนตรี"หลงจู๊ใหญ่" กินมิได้ ต้องถ่ายมากกว่ากิน
...เวนกำแท้แท้นะ"อ้ายตุ๊ดเฒ่า"...!!!
ที่มา..konthaiuk
*****************************************
เข้าออกว่องไว ไม่ให้บาดเจ็บล้มตาย รอ"สิ้นเสียงนกแสก"...
กุนซือใหญ่ฝ่ายเสื้อแดงใบหน้าฉาบด้วยรอยยิ้ม
สายตาทอดมองไปข้างหน้า รอเวลา"นกแสกไอ"
สิ้นเสียง"นกแสกไอ"ต่อไปมันจึงหยุดร้อง...!!!
ยอดแผนชิงชัย คือ พิชิตฝ่ายตรงข้ามให้ย่อยยับ
สุดยอดยิ่งกว่าความย่อยยับ ฝ่ายมีชัย"ต้อง"ไม่เสียรี้พล
สุดยอดยิ่งกว่ารักษารี้พล คือ ชัยชนะที่ไม่ต้องรบ
ข้อความทั้งสิ้นที่กล่าวนำ จอมมาร"เตียบ่อหลัน"มันแจ้งสิ้น
แต่ด้วยวัยดุจดังไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อำนวยให้ดำเนินแผนการเช่นนั้นได้
ผู้สามารถ"ใช้เวลาเป็นอาวุธ"ได้ กลับมีเพียงจอมยุทธ์"ชิน"
เวลายิ่งเนิ่นนาน อายุขัยจอมมาร กลับสั้นลง...
แผนการเร่งให้แตกหักถูกกำหนดครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่เป็นผล
ทั้งหยาบช้าสามานย์ ทั้งอำมหิตโหดเหิ่ยม นำมาใช้จนสิ้น แต่ทำอะไรมิได้
บรรดาผู้ทรงคุณธรรม ทั้งหนอนตำรา และเหล่ามหาบัณฑิตที่เคยร่วมช่วย
แต่ด้วยความสามานย์ในแผนการทั้งหลายที่กล่าว
สร้างความอิดหน้าระอาใจ ระคนสำนึกในถูกผิด แต่มิคิดโต้แย้ง
บัดนี้ต่างหันหลังให้กับความชั่วช้า หันหน้ามุ่งสู่ใต้ดิน.......เปลี่ยนเป็น"สีแดง"
เริ่มจากเสียงกระซิบไม่เห็นคล้อย ตามมาด้วยเสียงสาปแช่ง
กลายเป็นสมาชิกเสื้อแดง เสียมากกว่ามาก
สิ่งเหล่านี้พิสูจน์ได้ ในวันรวมพลครั้งใหญ่ที่ 12 ที่ผ่าน
บ้างใส่เกียร์วาง บ้างส่งเสียงคัดค้าน บ้างกระโดดเข้าร่วม
ฝ่ายโจรปล้นชาติอาภรณ์เหลือง เคยนำโดย"ลิ่มซงติง"
บัดนี้เงียบสิ้น ยิ่งกว่า สุนัขเป่าสาก ฝ่ายเหลืองมาน้อย โป้ปดว่ามามาก
เสื้อแดงเคลื่อนทัพยิ่งกว่าน้ำป่าไหลหลาก ไม่ยอมรับว่ามาก กลบเกลื่อนว่ามาน้อย...(ปอดลอยซะแระ)
******************************************************
ช้าก่อนสหายผู้ร่วมทาง การชนะด้วยมิต้องรบ
ไม่หมายรวมถึงการปลดปล่อยคู่ต่อสู้ทุกรายให้ลอยนวล
การทวงคืนความแค้น บุญคุณต้องทดแทน ยังคงอยู่
รายชื่อฝ่ายตรงข้ามที่กระทำสามานย์ได้ถูกบันทึก
ทั้งแพทย์เสียงสั่น ทั้งอานัง และ หนอนตำราเสื้อกั๊ก
โดยเฉพาะ อดีต คมช.ผู้สุมหัวปล้นอำนาจจากมหาประชาชน...
"สิ้นเสียงนกแสกร้อง"วันใด นั้นคือวันวอดวายของรายชื่อที่ว่า
พวกมันทั้งสิ้นต่างหวาดผวาเกรงภัยมาถึง
ต่างกอดกันร้องระงม เรียกร้องให้ระดมกำจัด "จอมยุทธ์ชินฯ"
แม้นเสื้อแดงกลับมาใหญ่ รายชื่อทั้งหลายย่อมไร้ที่ฝัง..!!!
พวกมันซึมทราบ ก่อนภัยร้ายมากำราบ ต้องใช้ทุกหนทางกำจัด
ไม่ว่าความโสมมชั่วร้าย อำมหิตเสียงภัย มารร้ายงัดออกมาใช้จนสิ้น...
"จอมยุทธ์ชิน" ย่อมเป็น "จอมยุทธ์ชิน"
แผนร้ายทั้งสิ้น ไม่ระคายผิวแม้รอยแมวข่วน
ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นยองใย ทั้งนอกในใสสะอาด
วันวาน "อ้ายมาก"ส่งศิวลัก ไปทำการ ศิวลึงค์ ยังเสียมราช กระทั่งถูกจับได้
หวังกำหนดวันตาย แต่ต้องมาตายเสียเอง...!!!
เล่นเอามหามนตรี"หลงจู๊ใหญ่" กินมิได้ ต้องถ่ายมากกว่ากิน
...เวนกำแท้แท้นะ"อ้ายตุ๊ดเฒ่า"...!!!
ที่มา..konthaiuk
*****************************************
วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553
วาทะแกนนำเสื้อแดง 4 ภาค เด็ดเดี่ยว-ไม่มีถูกจ้าง

นอกจาก 3 เกลอหัวแข็ง วีระ มุสิกพงษ์ จตุพร พรหมพันธุ์ และ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่คุมเวทีส่วนกลาง แต่ยังมีแกนนำเสื้อแดงที่นำกำลังคนจากต่างจังหวัด 4 ภาคมาสมทบด้วย เราไปลองฟังทัศนะ และจุดยืนของพวกเขา
ไสว ณ พัทลุง “ผมสู้เพราะรับไม่ได้กับ 2 มาตรฐาน”
สัมภาษณ์โดย : สมชาย สามารถ
ไสว ณ พัทลุง แกนนำ นปช.สงขลา เคยมีบทบาทในฐานะอดีตนายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดสงขลา อดีตนายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่-สงขลา และญาติร่วมสายสกุลกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ วันนี้เขานำมวลชนในสงขลา เข้ากรุงเทพฯ
ทำไม ถึงมาเป็นแกนนำคนเสื้อแดงสงขลา
- เขาเห็นว่าผมเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เคยเป็นอดีตนายกสมาคมท่องเที่ยวฯ นายกสมาคมโรงแรมฯมาก่อน เป็นอดีตสรรพสามิตจังหวัดสงขลามาก่อน จึงคิดว่าผมน่าจะทำหน้าที่เป็นหลักและทุกคนยอมรับ
กล้าประกาศตัวเป็นเสื้อแดง
-ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า กับพรรคการเมืองทุกพรรค แม้กระทั่งประชาธิปัตย์ก็ดีกัน แต่เรื่องนี้มันเป็นที่ผมเห็นว่าเป็นเรื่องความไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน ยกตัวอย่างเรื่องการปิดสนามบินของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนขณะนี้รัฐบาลไม่ได้มีการดำเนินการอะไรกับกลุ่มคนกลุ่มนี้ ขณะที่คนเสื้อแดงทำอะไรรัฐบาลก็ดำเนินการทันที มันเห็นถึงความแตกต่างกับการปฏิบัติต่อคนเสื้อแดง ผมรับไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผมกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นญาติร่วมสายสกุลเดียวกัน จึงได้สถานที่ของผมเป็นศูนย์ประสานงานของกลุ่มที่รักประชาธิปไตย
ไม่กลัวจะมีผลกระทบตามมา โดยเฉพาะกับธุรกิจ
- ผมไม่สนใจ เพราะทันที่ผมประกาศตัว ก็มีเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ติดตามความเคลื่อนไหวตลอด มีการขึ้นบัญชีดำร่วมกับพี่น้องที่เป็นแกนนำในพื้นที่รวม 17 คน ฉะนั้นผมจึงไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะนี่คือแนวทางการเรียกร้องประชาธิปัตย์ไตยของประชาชน มันไม่ใช่เรื่องส่วนตัว
ยืนยันว่าไปร่วมชุมนุม ไม่มีการว่าจ้างหรือเกณฑ์กันไป
-ยืนยันได้ว่าไม่มีการว่าจ้างแน่นอน เพราะไม่เช่นนั้นผมคงไม่ต้องประชุมสมาชิกและรับบริจาคเงินจากผู้ที่มีแนวคิดตรงกันได้เกือบ 100,000 บาท ซึ่งก็ยังไม่พอกับค่าใช้จ่ายเดินทางสำหรับพี่น้องที่ต้องการเดินทางไปร่วมชุมนุมครั้งนี้ ผมก็ต้องควักเงินส่วนตัวช่วยอีก ผมอยากยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพ กรณีพี่น้องชาวไทยมุสลิมในพื้นที่เขายอมควักเงิน 500 บาทสนับสนุน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมเองก็ไม่คิดว่าเขาจะตั้งใจมากขนาดนี้
ดูแลกันอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องอาวุธ
-ได้ประกาศย้ำตลอดก่อนการเดินทางว่า อะไรที่เจ้าหน้าที่เขาสามารถจะตีความได้ว่าเป็นอาวุธ อย่าได้นำติดตัวไปขอให้นำตัวและหัวใจไม่เท่านั้น และสำคัญเราไปครั้งนี้ไม่ได้ไปรบราฆ่าฟันกับใคร จึงไม่ต้องนำอะไรที่เป็นอาวุธติดตัวไปโดยเด็ดขาด
การชุมนุมจะชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่
-คงตอบไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของความตั้งใจของประชาชน เขาเห็นว่าไม่มีความยุติธรรม แต่ส่วนตัวเชื่อว่าทุกคนพร้อมหากการชุมนุมยืดเยื้อ เราพร้อมที่ยืนอยู่เคียงกัน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการ ผมอยากบอกกับรัฐบาลว่า คำว่าประชาธิปไตย คือ การที่ประชาชนจำนวนมากรวมตัวกันออกเรียกร้องสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยสันติ และเป็นเรื่องที่ไม่ต้องมีใครไปบังคับ
ขวัญชัย ไพรพนา “ขอรบครั้งสุดท้าย ไม่ชนะไม่กลับ”
สัมภาษณ์โดย : สุมาลี สุวรรณกร
ชื่อจริงเขาคือ ขวัญชัย สาราคำ คนเกิดภาคกลางมาเป็นหัวขบวนคนเสื้อแดง “ชมรมคนรักษ์อุดร" ซึ่งเขาประเมินแดงอุดรธานีครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ใช้รถกว่า 900 คัน การเคลื่อนไหวเฉพาะที่อุดรธานี แบ่งการนำออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกเขาดูแล ส่วนที่สอง นายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.เพื่อไทย ดูแล การต่อสู้ครั้งนี้ได้รับเงินบริจาครวมแล้ว 1.1 ล้านบาท
"ตลอดสองข้างทางที่เราเคลื่อนขบวนมา มีประชาชนใส่เสื้อแดงมายืนรออยู่ข้างทางเพื่อให้กำลังใจเป็นจุดๆ หลายคนมาร่วมชุมนุมไม่ได้ก็โบกรถเพื่อให้ขบวนของเรารับเอาสิ่งของที่พวกเขาต้องการช่วยสมทบ บางคนติดลูกสอบ ลูกเรียน รอสอบเสร็จก็จะเดินทางไปร่วมทันที ข้าวของที่เราเตรียมมาทั้งหมดต้องการใช้ให้ได้ 7 วัน และ 7 วันนี้เราต้องชนะ"
ขวัญชัย กล่าวถึงชัยชนะของเขานั้น คือรัฐบาลชุดนี้จะต้องยุบสภา หากไม่ยุบสภา คนเสื้อแดงจะไม่เลิก และจะไม่กลับ เพราะการรบครั้งนี้จะเป็นการรบครั้งสุดท้ายแล้ว จะต้องเอาชัยชนะกลับมาให้ได้ รัฐบาลต้องคืนอำนาจให้ประชาชน แล้วกลับมาเลือกตั้งกันใหม่ เริ่มต้นกันใหม่
"การไปกรุงเทพฯครั้งนี้จะใช้ยุทธวิธีควบคุมดูแลคนของเราเอง ไม่อยากจะไปปล่อยเข้ากับกลุ่มอื่น เพราะเรามีการ์ด มีกลุ่มนักรบดำ ซึ่งเป็นอดีตทหารพรานจากค่ายปักธงชัย 200 นาย ที่มาร่วมกับเราและคอยดูแลเรื่องความปลอดภัยให้ และกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มที่ พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล เสธ.แดง ร่วมฝึกและดูแลอยู่" ขวัญชัย เปิดเผย
เขาบอกอีกว่า รัฐบาลประเมินค่าคนเสื้อแดงต่ำไป รัฐบาลมัวไปมองว่า คนเสื้อแดงถูกจ้างมาหัวละ 30-50 บาท นั่นเป็นการมองต่ำไป เพราะมองแต่ว่าจะมีท่อน้ำเลี้ยง แต่ขอบอกว่าไม่มีท่อน้ำเลี้ยง ทุกคนมาด้วยใจ มาเพราะอยากทวงคืนประชาธิปไตย
"วันจันทร์นี้ถ้าไม่มีคำตอบ จะลุยแน่ เรามีเป้าหมายของเราแล้ว แต่ไม่บอกว่าอยู่ที่ไหน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้ ถ้าคุณยังดื้ออยู่แบบนี้ ทุกคนเสียสละกันทั้งนั้น รัฐบาลกลับไม่เสียสละเลย"
เมื่อถามถึงแรงต่อต้านของคนเมือง เขากลับตอบว่าไม่รู้สึกเกรงกลัวแต่อย่างใด อีกทั้งยังว่า ประชาธิปัตย์ยุให้คนกรุงเทพฯ ต่อต้าน แต่อีกด้านหนึ่งกลับสมานฉันท์ ทำให้คนเสื้อแดงแค้นมากขึ้น คนเสื้อแดงทุกคนเกินขีดความกลัวมาแล้ว รัฐบาลประโคมข่าวมากไป ทำให้คนเสื้อแดงออกมาเยอะและไม่กลัวพร้อมสู้ถึงที่สุด
พายัพ ปั้นเกตุ “ครั้งนี้ เสื้อแดงจะทำให้รัฐบาลได้บทเรียน”
สัมภาษณ์โดย : จีรแมน ขำฉา
พายัพ ปั้นเกตุ อดีตส.ส.สิงห์บุรี พรรคไทยรักไทย แกนนำหลักของกลุ่มเสื้อแดงสิงห์บุรี แสดงความมั่นใจว่าการแสดงพลังของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้ จะเป็นบทสรุปชัดจนที่สุดในการขับไล่รัฐบาล เพราะนี่คือการแสดงพลังที่เป็นไปอย่างพร้อมเพรียงกัน
เขายอมรับว่า ที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงไม่เป็นเอกภาพเท่าครั้งนี้ แต่จากการประเมินความพร้อมในขณะนี้ จะเห็นว่าทุกภาคของประเทศ มวลชนของเสื้อแดงมีความพร้อม ที่สำคัญการเคลื่อนครั้งนี้มีการวางแผนรัดกุม
"เรากำลังจะให้บทเรียนกับรัฐบาล นี่คือพลังของคนเสื้อแดง เมื่อรัฐบาลชุดนี้มาด้วยวิถีทางที่ไม่ถูกต้อง ก็จะมาสกัดกั้นการเคลื่อนไหวของคนกลุ่มหนึ่งที่มีเป้าหมายตรงกันไม่ได้ ที่ผ่านมาเราอดทนกับการต่อสู้ แต่ครั้งนี้คือการทำศึกครั้งสุดท้ายอย่างแท้จริงแล้ว" แกนนำภาคกลาง กล่าว
เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล “ยุทธศาสตร์ที่วางไว้ จะชนะอย่างแน่อน”
สัมภาษณ์โดย : จันจิรา จารุศุภวัฒน์
เขาคือแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่เดินเกมเคลื่อนไหวทางการเมืองในเชียงใหม่ บ้านเกิดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับการยอมรับเป็นกลุ่มที่เข้มแข็ง ผลงานโดยการนำของ เพชรวรรต สร้างชื่อเสียงให้เขาหลายครั้ง เช่น นำคนเสื้อแดงขับไล่รัฐมนตรีที่ลงพื้นที่เชียงใหม่หลายครั้ง
ถือว่าได้รับความไว้วางใจจาก “นายใหญ่” ดูแลหลายพื้นที่ของภาคเหนือ และนำทัพไปสมทบกับที่กรุงเทพฯ วันที่ 14 มีนาคม
นายเพชรวรรต ไม่ยอมเปิดเผยยุทธวิธีของกลุ่มเสื้อแดงภาคเหนือ แต่มั่นใจว่ายุทธศาสตร์ที่วางไว้จะนำชัยชนะมาให้กับกลุ่มเสื้อแดงอย่างแน่นอน เขายังคุยโวด้วยว่า จากการระดมพลครั้งนี้จากเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา ได้มากกว่า 100,000 คน
ส่วนการดูแลและคุมมวลชนไม่ใช่ปัญหา และขอยืนยันว่าการเดินทางไปชุมนุมของคนเสื้อแดงในภาคเหนือจะเป็นไปอย่างสันติวิธี ปราศจากอาวุธ หากจะมีคงมีแต่อาวุธชีวภาพ หรือ อุจจาระเท่านั้น และทุกขั้นตอนวางมาตรการไว้อย่างรัดกุม
"ผมตอบไม่ได้ว่าจะปักหลักชุมนุมอยู่ในกรุงเทพฯ นานแค่ไหน แต่ตั้งใจไว้ถ้าไม่ชนะจะไม่พามวลชนกลับ เราต้องการเรียกร้องและทวงคืนประชาธิปไตย เป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยด้วยวิธีการอย่างสันติ"
เขาออกตัวเมื่อถามถึงการสั่งการจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ว่าไม่มีโทรศัพท์มาสั่งอะไรเป็นพิเศษ เพราะการกำหนดยุทธศาสตร์เขาเป็นกำหนดเอง
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
********************************************************
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
เสื้อแดงอ้างแค่"โหมโรงมินิ"หลังคนกทม.ร่วมน้อย ออมแรงสู้ศึกใหญ่บอก "มาร์ค"ฟันแดงเทียมเล็งปิดสนามบิน
แกนนำเสื้อแดงรับ "กทม."คนร่วมน้อย อ้างแค่ "โหมโรงมินิ"ออมแรงไว้สู้ศึกใหญ่ หวั่น "เหนือ-อีสาน-กลาง"ถูกบล็อค เตรียมจัด"ทัพ กทม."ไปรับถึง "วังน้อย" ปูด"แดงเทียม" 50 รถบัส เตรียมปิดสุวรรณภูมิ ป่วน "ศิริราช-สวนจิตรฯ" โชว์การข่าวเหนือ "มาร์ค" แฉที่นอน "อภิสิทธิ์-สุเทพ-ป๊อก"กลัวม็อบ 7 แสน
"ตู่"รับ "กทม."คนร่วมน้อย อ้างแค่ "โหมโรงมินิ"ออมแรงไว้สู้ศึกใหญ่
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 12 มีนาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิร์ล ลาดพร้าวสรุปผลการทำพิธีประกาศเคลื่อนพลคนเสื้อแดงว่า วันนี้ต้องแบ่งแป็นสองส่วน คือ กทม.และ ต่างจังหวัด โดยในส่วนของต่างจังหวัดนั้นเป็นจุดที่ทยอยรับคนเสื้อแดงที่เดินทางเข้ามาตลอดคืนนี้ ในส่วนของชุมนุมจุดต่างใน กทม.นั้นเหตุที่มีคนมาร่วมน้อยนั้นเป็นเพราะเราต้องการโหมโรงเพื่อประชาสัมพันธ์ จึงเป็นแบบขบวนรณรงค์เล็กๆ ชิวๆ แบบมินิ แล้วก็สลายตัวเพื่อเก็บแรงไว้สู้ศึกใหญ่ในวันที่ 14 มีนาคม เพราะไม่จำเป็นจะต้องไปตากแดดสองวันให้เปลืองแรง สำหรับเหตุการณ์ชกต่อยกันของคนเสื้อแดงกับชาวบ้านที่จ.ปทุมธานีนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องได้เห็นตีนงู งูเห็นนมไห่ คนที่โดนคนเสื้อแดงนั้นก็เป็นคนเสื้อเหลืองมาใส่เสื้อสีชมพู ตนจึงขอให้คนเสื้อแดงอดทนแต่แรงยั่วยุ เพราะเหตุการณ์ชกกันจะไปกลบข่าวการเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินซึ่งไม่เป็นผลดีอะไรเลย และเราก็มีเป้าหมายที่ถนนราชดำเนิน จึงอยากให้พี่น้องอดทนให้มากที่สุด และหลังจากนี้แกนนำคนเสื้อแดงจะประสานไปยังแกนนำแต่ละจังหวัดให้แจ้งกับคนเสื้อแดงให้อดทนมากขึ้น
หวั่น "เหนือ-อีสาน-กลาง"ถูกบล็อค เตรียมจัด"ทัพ กทม."ไปรับถึง "วังน้อย"
นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้แกนนำ นปช.จะมีการหารือเพื่อปรับยุทธวิธีที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากคนเสื้อแดงในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางจะมารวมตัวกันที่จุดนี้ช่วงใกล้สว่างของวันที่ 14 มีนาคม แต่รัฐบาลได้เตรียมกำลังไว้บล็อคถึง 8 กองพัน ซึ่งเสี่ยงต่อการปะทะและใช้ความรุนแรง แกนนำจากส่วนกลางอาจจะประสานไปยังทัพที่จะเดินทางมาให้มาถึงก่อนกำหนดเดิมคือ ให้มาถึงในช่วงเที่ยงวันที่ 13 มีนาคม โดยอาจจะต้องจัดทัพคนเสื้อแดงจากส่วนกลางในกรุงเทพฯไปตีขนาบกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลเพื่อช่วยเปิดทางให้คนเสื้อแดงที่เดินทัพมาได้เคลื่อนพลเข้าสู่กรุงเทพฯ เพราะล่าสุดเราตรวจสอบพบว่ามีการซ่อนอาวุธไว้ในรถของเจ้าหน้าที่ที่ไปรักษาการบริเวณวังน้อย และแม้เจ้าหน้าที่อาจจะใช้กระสุนยาง แต่ถ้าใช้งานจริงในระยะ 10 เมตรซึ่งถือว่าเป็นระยะการปะทะนั้นสังกะสีและไม้อัดยังทะลุได้
ปูด"แดงเทียม" 50 รถบัส เตรียมปิดสุวรรณภูมิ ป่วน "ศิริราช-สวนจิตรฯ"
นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังทราบข่าวว่ามีกลุ่มแดงเทียมได้ขึ้นรถบัส 50 คันไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ โรงพยาบาลศิริราชและพระราชวังสวนจิตรลดา จึงอยากบอกไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดำเนินการกับคนกลุ่มนี้อย่างเด็ดขาด หากไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายสมคบคิดกับคนกลุ่มนี้ เพราะคนเสื้อแดงจริงจะไม่ไปในจุดดังกล่าวแน่นอน และขอเตือนกลุ่มแดงเทียมว่าเราได้เตรียมการ์ด 5 พันนายเพื่อจัดการกับคนเสื้อแดงเทียม และบุคคลเหล่านั้นคงรู้ว่าหากถูกจับได้เราจะไม่รับรองความปลอดภัย
โชว์การข่าวเหนือ "มาร์ค" แฉที่นอน "อภิสิทธิ์-สุเทพ-ป๊อก"กลัวม็อบ 7 แสน
นายจตุพร กล่าวว่า ล่าสุดตนได้รับแจ้งจากข้าราชการระดับสูงที่ร่วมประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาราจักร (กอ.รมน.)กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมกอ.รมน.ไดยอมรับว่าตัวเลขผู้ชุมนุมวันที่ 14 มีนาคมนั้นจะสูงถึง 7 แสนคน ซึ่งตนอยากให้มานับยอดผู้ชุมนุมในเที่ยงตรงวันที่ 14 มีนาคมว่าจะครบ 1 ล้านคนหรือไม่ เพราะขณะนี้ที่จ.บุรีรัมย์ที่ว่าแน่ๆ ยังมีรถบิ๊กอัพ ร่วมขบวนคนเสื้อแดงมาถึง 500 คัน ซึ่งความพร้อมสำหรับการชุมนุมใหญ่นั้นเรากำลังเตรียมการด้านห้องน้ำ และอาหารก็เพียงพอสำหรับการปิดล้อม รวมทั้งน้ำดื่มที่เราเตรียมไว้ถึง 5 ล้านขวด แต่ถ้าใครจะบริจาคก็ขอให้มาซื้อได้เฉพาะยี่ห้อที่จัดเตรียมไว้ เพราะสถานการณ์อย่างนี้หากมีคนท้องเสียจำนวนมากจะรับไม่ไหว โดยเวทีใหญ่จะเริ่มตั้งในเวลา 24.00 น.วันนี้เลย โดยเวทีจะเริ่มมีกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 13 มีนาคม
นายจตุพรกล่าวว่า จากการข่าวทราบมาว่าในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ไปนอนพักนั้นมีคนเสื้อแดงอยู่เต็มไปหมด โดยนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะพักที่บ้านของพล.อ.ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ อดีตผบ.ทบ. ขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ ไปพักที่บ้านพักของพล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี อดีตผบ.ทบ. ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้เรากำหนดเวลาในการต่อสู้ไว้ว่านับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมไปจนครบ 4 วันเราจะสามารถเอาชนะรัฐบาลได้ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เหมือนมวยหนักที่จะชกกัน การที่รัฐบาลเตรียมกำลังไว้ถึง 5 หมื่นนายนั้นทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะกันไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ยืดเยื้อ และใครที่มีความอดทนต่ำก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และไม่น่าจะเกิน 7 วันด้วยซ้ำ เพราะพวกตนไม่ได้คิดช้อยส์การต่อสู้หลังจาก 7 วันไปแล้วเอาไว้ แต่ตอนนี้ตนขอถามไปยังการบินไทยว่ามีการสั่งสำรองเครื่องบินโบอิ้ง 6 ลำไว้เพราะอะไร
ตีปี๊บ"ลูก-เมียแม้ว"ไปนอกเป็นผลดีกับ"เสื้อแดง"
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการเดินทางออกนอกประเทศไทยของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นการเดินทางไปกันเอง ถึงครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เดินทางไป พวกตนก็จะไปขอร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ เกลี่ยกล่อม ครอบครัวให้เดินทางไป เพราะในช่วงการชุมนุมอาจจะมีการส่งคนไปก่อกวนที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือใช้ครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเงื่อนไขทางการเมืองมาต่อรองพ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ดูไบก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้นการเดินทางออกนอกประเทศไทยของครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสิ่งที่ดีกับการชุมนุม ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เกี่ยวกับการจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่เป็นการไปเพื่อความสบายใจ ไม่เหมือนพวกนายเนวิน ชิดชอบ หรือบางคนเดินทางไปเพื่อคิดแผนชั่ว
"ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ที่ดูไบ โดยไม่มีกำหนดการจะเดินทางมาประเทศกัมพูชา แต่หากถูกรบกวนที่ดูไบมากๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะเดินทางมาแถวนี้ แต่ไม่ใช่ประเทศกัมพูชาแน่นอน" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวถึงการเตรียมการเดินขบวนทั่วกรุงเทพฯ ในวันที่ 15 มีนาคมว่า คนเสื้อแดงจะเคลื่อนพลครั้งใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพฯแน่นอน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว แต่จะไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา แน่นอน แต่จะไปที่ไหนนั้นจะแจ้งอีกครั้ง เพราะอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
**********************************************
"ตู่"รับ "กทม."คนร่วมน้อย อ้างแค่ "โหมโรงมินิ"ออมแรงไว้สู้ศึกใหญ่
เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 12 มีนาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิร์ล ลาดพร้าวสรุปผลการทำพิธีประกาศเคลื่อนพลคนเสื้อแดงว่า วันนี้ต้องแบ่งแป็นสองส่วน คือ กทม.และ ต่างจังหวัด โดยในส่วนของต่างจังหวัดนั้นเป็นจุดที่ทยอยรับคนเสื้อแดงที่เดินทางเข้ามาตลอดคืนนี้ ในส่วนของชุมนุมจุดต่างใน กทม.นั้นเหตุที่มีคนมาร่วมน้อยนั้นเป็นเพราะเราต้องการโหมโรงเพื่อประชาสัมพันธ์ จึงเป็นแบบขบวนรณรงค์เล็กๆ ชิวๆ แบบมินิ แล้วก็สลายตัวเพื่อเก็บแรงไว้สู้ศึกใหญ่ในวันที่ 14 มีนาคม เพราะไม่จำเป็นจะต้องไปตากแดดสองวันให้เปลืองแรง สำหรับเหตุการณ์ชกต่อยกันของคนเสื้อแดงกับชาวบ้านที่จ.ปทุมธานีนั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องได้เห็นตีนงู งูเห็นนมไห่ คนที่โดนคนเสื้อแดงนั้นก็เป็นคนเสื้อเหลืองมาใส่เสื้อสีชมพู ตนจึงขอให้คนเสื้อแดงอดทนแต่แรงยั่วยุ เพราะเหตุการณ์ชกกันจะไปกลบข่าวการเคลื่อนพลทั้งแผ่นดินซึ่งไม่เป็นผลดีอะไรเลย และเราก็มีเป้าหมายที่ถนนราชดำเนิน จึงอยากให้พี่น้องอดทนให้มากที่สุด และหลังจากนี้แกนนำคนเสื้อแดงจะประสานไปยังแกนนำแต่ละจังหวัดให้แจ้งกับคนเสื้อแดงให้อดทนมากขึ้น
หวั่น "เหนือ-อีสาน-กลาง"ถูกบล็อค เตรียมจัด"ทัพ กทม."ไปรับถึง "วังน้อย"
นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้แกนนำ นปช.จะมีการหารือเพื่อปรับยุทธวิธีที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากคนเสื้อแดงในภาคเหนือ ภาคอีสานและภาคกลางจะมารวมตัวกันที่จุดนี้ช่วงใกล้สว่างของวันที่ 14 มีนาคม แต่รัฐบาลได้เตรียมกำลังไว้บล็อคถึง 8 กองพัน ซึ่งเสี่ยงต่อการปะทะและใช้ความรุนแรง แกนนำจากส่วนกลางอาจจะประสานไปยังทัพที่จะเดินทางมาให้มาถึงก่อนกำหนดเดิมคือ ให้มาถึงในช่วงเที่ยงวันที่ 13 มีนาคม โดยอาจจะต้องจัดทัพคนเสื้อแดงจากส่วนกลางในกรุงเทพฯไปตีขนาบกองกำลังของฝ่ายรัฐบาลเพื่อช่วยเปิดทางให้คนเสื้อแดงที่เดินทัพมาได้เคลื่อนพลเข้าสู่กรุงเทพฯ เพราะล่าสุดเราตรวจสอบพบว่ามีการซ่อนอาวุธไว้ในรถของเจ้าหน้าที่ที่ไปรักษาการบริเวณวังน้อย และแม้เจ้าหน้าที่อาจจะใช้กระสุนยาง แต่ถ้าใช้งานจริงในระยะ 10 เมตรซึ่งถือว่าเป็นระยะการปะทะนั้นสังกะสีและไม้อัดยังทะลุได้
ปูด"แดงเทียม" 50 รถบัส เตรียมปิดสุวรรณภูมิ ป่วน "ศิริราช-สวนจิตรฯ"
นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังทราบข่าวว่ามีกลุ่มแดงเทียมได้ขึ้นรถบัส 50 คันไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ โรงพยาบาลศิริราชและพระราชวังสวนจิตรลดา จึงอยากบอกไปยังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดำเนินการกับคนกลุ่มนี้อย่างเด็ดขาด หากไม่ดำเนินการจะเข้าข่ายสมคบคิดกับคนกลุ่มนี้ เพราะคนเสื้อแดงจริงจะไม่ไปในจุดดังกล่าวแน่นอน และขอเตือนกลุ่มแดงเทียมว่าเราได้เตรียมการ์ด 5 พันนายเพื่อจัดการกับคนเสื้อแดงเทียม และบุคคลเหล่านั้นคงรู้ว่าหากถูกจับได้เราจะไม่รับรองความปลอดภัย
โชว์การข่าวเหนือ "มาร์ค" แฉที่นอน "อภิสิทธิ์-สุเทพ-ป๊อก"กลัวม็อบ 7 แสน
นายจตุพร กล่าวว่า ล่าสุดตนได้รับแจ้งจากข้าราชการระดับสูงที่ร่วมประชุมกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาราจักร (กอ.รมน.)กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ว่าที่ประชุมกอ.รมน.ไดยอมรับว่าตัวเลขผู้ชุมนุมวันที่ 14 มีนาคมนั้นจะสูงถึง 7 แสนคน ซึ่งตนอยากให้มานับยอดผู้ชุมนุมในเที่ยงตรงวันที่ 14 มีนาคมว่าจะครบ 1 ล้านคนหรือไม่ เพราะขณะนี้ที่จ.บุรีรัมย์ที่ว่าแน่ๆ ยังมีรถบิ๊กอัพ ร่วมขบวนคนเสื้อแดงมาถึง 500 คัน ซึ่งความพร้อมสำหรับการชุมนุมใหญ่นั้นเรากำลังเตรียมการด้านห้องน้ำ และอาหารก็เพียงพอสำหรับการปิดล้อม รวมทั้งน้ำดื่มที่เราเตรียมไว้ถึง 5 ล้านขวด แต่ถ้าใครจะบริจาคก็ขอให้มาซื้อได้เฉพาะยี่ห้อที่จัดเตรียมไว้ เพราะสถานการณ์อย่างนี้หากมีคนท้องเสียจำนวนมากจะรับไม่ไหว โดยเวทีใหญ่จะเริ่มตั้งในเวลา 24.00 น.วันนี้เลย โดยเวทีจะเริ่มมีกิจกรรมตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 13 มีนาคม
นายจตุพรกล่าวว่า จากการข่าวทราบมาว่าในกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ที่นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ.ไปนอนพักนั้นมีคนเสื้อแดงอยู่เต็มไปหมด โดยนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะพักที่บ้านของพล.อ.ประมณฑ์ ผลาสินธุ์ อดีตผบ.ทบ. ขณะที่พล.อ.อนุพงษ์ ไปพักที่บ้านพักของพล.อ.อิสระพงษ์ หนุนภักดี อดีตผบ.ทบ. ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้เรากำหนดเวลาในการต่อสู้ไว้ว่านับตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมไปจนครบ 4 วันเราจะสามารถเอาชนะรัฐบาลได้ เพราะการต่อสู้ครั้งนี้เหมือนมวยหนักที่จะชกกัน การที่รัฐบาลเตรียมกำลังไว้ถึง 5 หมื่นนายนั้นทำให้หลีกเลี่ยงการปะทะกันไม่ได้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่ยืดเยื้อ และใครที่มีความอดทนต่ำก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และไม่น่าจะเกิน 7 วันด้วยซ้ำ เพราะพวกตนไม่ได้คิดช้อยส์การต่อสู้หลังจาก 7 วันไปแล้วเอาไว้ แต่ตอนนี้ตนขอถามไปยังการบินไทยว่ามีการสั่งสำรองเครื่องบินโบอิ้ง 6 ลำไว้เพราะอะไร
ตีปี๊บ"ลูก-เมียแม้ว"ไปนอกเป็นผลดีกับ"เสื้อแดง"
นายจตุพร กล่าวถึงกรณีการเดินทางออกนอกประเทศไทยของครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เป็นการเดินทางไปกันเอง ถึงครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เดินทางไป พวกตนก็จะไปขอร้องให้พ.ต.ท.ทักษิณ เกลี่ยกล่อม ครอบครัวให้เดินทางไป เพราะในช่วงการชุมนุมอาจจะมีการส่งคนไปก่อกวนที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หรือใช้ครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเงื่อนไขทางการเมืองมาต่อรองพ.ต.ท.ทักษิณ ที่อยู่ดูไบก็จะนอนไม่หลับ ดังนั้นการเดินทางออกนอกประเทศไทยของครอบครัวพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสิ่งที่ดีกับการชุมนุม ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ และไม่เกี่ยวกับการจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงแต่เป็นการไปเพื่อความสบายใจ ไม่เหมือนพวกนายเนวิน ชิดชอบ หรือบางคนเดินทางไปเพื่อคิดแผนชั่ว
"ขณะนี้พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ที่ดูไบ โดยไม่มีกำหนดการจะเดินทางมาประเทศกัมพูชา แต่หากถูกรบกวนที่ดูไบมากๆ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็อาจจะเดินทางมาแถวนี้ แต่ไม่ใช่ประเทศกัมพูชาแน่นอน" นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวถึงการเตรียมการเดินขบวนทั่วกรุงเทพฯ ในวันที่ 15 มีนาคมว่า คนเสื้อแดงจะเคลื่อนพลครั้งใหญ่ ในพื้นที่กรุงเทพฯแน่นอน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว แต่จะไม่ใช่ทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภา แน่นอน แต่จะไปที่ไหนนั้นจะแจ้งอีกครั้ง เพราะอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
**********************************************
แดงโคราชตะโกน"ย่าโมออกศึก" กรุงเก่าลั่นกลองรบแห่รอบเมือง

แดงโคราชตะโกน"ย่าโมออกศึก" กรุงเก่าลั่นกลองรบแห่รอบเมือง ม็อบอีสานขนอาหารแห้ง-เครื่องนอนเข้ากรุง
เสื้อแดงทั่วประเทศเริ่มเคลื่อนไหว แม่บ้านตร.ทำอาหารเลี้ยงแดงสุรินทร์ โคราชตุนเสบียงเตรียมหน้ากากอนามัย ตะโกน"ไชโย ย่าโมออกศึก" ส.ส.พะเยานำทีม2พันคน เจอด่านตรวจค้นตัวเจอแดงพกมีด2-3คน อยุธยาลั่นกลองรบหน้าพระเจ้าตาก ตั้งขบวนรถแห่ทั่วเมือง
แดงโคราชชูดาบหน้า"ย่าโม" ตะโกนพร้อมออกศึก
นายสมโภชน์ ประสาทไทย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต จ.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย พร้อมแกนนำ และสมาชิกเครือข่ายคนเสื้อแดง 23 กลุ่ม ในเขต 32 อำเภอ จ.นครราชสีมา จำนวนกว่า 300 คน ได้รวมตัวทำพิธีบวงสรวงสักการะอนุสาวรีย์ย่าโม สิ่งศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมือง เป็นการโหมโรงขอพรเอาฤกษ์เอาชัยให้ได้รับชัยชนะต่อสู้กับอำมาตย์ ในการชุมนุมใหญ่ที่กรุงเทพฯ วันที่ 14 มี.ค.
หลังจากนายสมโภชน์และสมาชิกได้ชูดาบโบราณ พร้อมตะโกนว่า "ไชโย ไชโย ย่าโมออกศึก" และพากันขึ้นยานพาหนะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ส่วนบุคคลที่มีการจัดเตรียมสัมภาระ ข้าวสาร อาหารแห้ง และน้ำดื่ม
แดงอยุธยาลั่นกลองรบหน้าพระเจ้าตาก ตั้งขบวนรถแห่ทั่วเมือง
ที่ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน วัดโพธิ์เผือก ต.บ้านใหม่ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เวลา 11.00 น. วันที่ 12 มีนาคม นายสุรเชษฐ ชัยโกศล ส.ส. เขต 1 พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย พร้อมเสื้อแดงกว่า 500 คน รวมตัวกันเพื่อทำพิธีบวงสรวงถือฤกษ์ชัยเพื่อประกาศนำกองทัพประชาชนขับไล่รัฐบาล จากนั้นมีการลั่นกลองรบเพื่อเป็นสัญญาณแดงทั้งแผ่นดินขัยไล่อำมาตย์ จากนั้นได้ขึ้นรถมีทั้งระเก๋ง ระกระบะ รถจักยายนต์เกือบ 100 คัน ขับแห่เชิญชวนประชาชนร่วมในกิจกรรมของคนเสื้อแดงไปทั่วเขต จ.พระนครศรีอยุธยา ทั้งนี้ผู้รวมขบวนได้เข้าไปกราบไว้พระราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนครศวรมหาราช ทุ่งภูเขาทอง อย่างไรก็ตามพบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความคักคักและฮึกเหิม แต่ก็ปลอดภัยเพราะมีการ์ดของเสื้อแดงดูแลความปลอดภัย ขณะที่ตำรวจ สภ.พระนครศรีอยุธยา เฝ้าตามดูพฤติกรรมอย่างประชิดเช่นกัน
นายสุรเชษฐ ชัยโกศล กล่าวว่า การประกอบพิธีเพื่อเอาฤกษ์ชัยและความเป็นสิริมงคลการเคลื่อนไหวใหญ่และเป็นการแสดงความฮึกเหิม ว่าพวกเราเสื้อแดงไม่กลัวทหารและตำรวจคนของรัฐที่จะมาขวางไม่ให้เราเข้ากรุงเทพ ซึ่งพวกเรากำหนดเข้ากรุงเทพในหลายเส้นทาง ทั้งทางรถยนต์ตามถนนสายหลักต่าง ๆ เส้นทางเรือผ่านแม่น้ำเจ้าพระยา เส้นทางรถไฟ และบอกได้เลยว่าไม่ใช่ว่าเราเตรียมจะเข้า แต่กองหน้าพวกเราเขาไปฝังตัวในกรุงเทพหาดแล้ว รอเวลาสวมเสื้อแดงออกมาร่วมกิจกรรมเท่านั้น ส่วนกำลังกองทัพประชาชนที่รัฐกำลังขวางกั้นนั้นเป็นทัพเสริมที่กำลังจะเดินทางไปสมทบเท่านั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรที่รัฐบาลจะมาขวางกองทัพประชาชนในเส้นทางต่าง ๆ
เสื้อแดงอุบลร่วม 5 พันขนเครื่องนอนมุ่งหน้าเข้า กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจากจังหวัดอุบลราชธานีว่า เมื่อช่วงเวลา 10.00 น.วันที่ 12 มีนาคม 2553 ที่บริเวณแยกบายพาสถนนสายวารินชำราบ – ศรีสะเกษ นายพิเชษฐ ทาบุดดา หรืออาจารย์ต้อย ชักธงรบ แกนนำกลุ่มชักธงรบ(คนเสื้อแดง) จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย กลุ่มคนเสื้อแดงนำรถยนต์กระบะขนนสัมภาระ เสื้อผ้า เครื่องนอน อาหารเพื่อที่จะไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.ที่กรุงเทพฯ กลุ่มคนเสื้อแดงจังหวัดอุบลราชธานีที่เดินทางไปในครั้งนี้ จากอำเภอตระการพืชผล สิริธร โขงเจียม พิบูลมังสาหาร อำเภอวารินชำราบ นาจะหลวย บุญฑริกและอำเภอเมืองอุบลราชธานี มีจำนวนกว่า 5,000 คน ใช้รถในการเดินทางร่วม 100 คัน เป็นรถยนต์กระบะและสิบล้อเป็นพาหะนะในการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ได้เริ่มออกเดินทางจากจุดรวมพลบริเวณสี่แยกบายพาสวารินชำราบ เดินทางไปรวมกับกลุ่มตนเสื้อแดงที่จังหวัดศรีสะเกษในช่วงเที่ยง
แดงศรีสะเกษบริจาค"ข้าวสาร-อาหารแห้ง"อุดหนุนม็อบเคลื่อนพลเข้ากทม.
เมื่อเวลา 09.15 น.วันที่ 12 มี.ค.53 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณปั๊มน้ำมัน ปตท.ถ.อุบล ต.โพธิ์ จ.ศรีสะเกษ มีกลุ่มคนเสื้อแดงชาว จ.ศรีสะเกษ จำนวนมาก พากันมารวมตัว เพื่อเตรียมความพร้อมที่จะออกเดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ โดยทุกคนจะพากันสวมใส่เสื้อสีแดงและมีการจัดเตรียมข้าวสาร อาหารแห้ง รวมทั้งสัมภาระต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อเตรียมที่จะเดินทางไปชุมนุม ขณะเดียวกันได้มีบรรดาประชาชนชาวศรีสะเกษพากันนำเอาข้าวสาร อาหารแห้ง รวมทั้งเงินสดมาสนับสนุนในการเดินทางไปร่วมชุมนุมในครั้งนี้กันอย่างคึกคัก ซึ่งที่จุดนี้จะเป็นการรวมตัวกัน เพื่อรอการมาร่วมชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจาก จ.อุบลราชธานี ยโสธร และอำนาจเจริญ เพื่อเตรียมที่จะเคลื่อนตัวเดินทางไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯพร้อมกัน
เสื้อแดงพะเยาเดินทางเข้ากทม.เจอด่านตรวจ ค้นตัวเจอมีด
เมื่อเวลาประมาณ 10.45 น. วันที่ 12 มี.ค. กลุ่มเสื้อแดงพะเยา ได้รวมตัวกันใกล้บริเวณสี่แยกแม่ต๋ำ อ.เมือง จ.พะเยา เพื่อรอกลุ่มเสื้อแดงจาก จ.เชียงราย ทำให้กลุ่มเสื้อแดงทั้งสองจังหวัดมียอดผู้ร่วมชุมนุมในครั้งนี้ประมาณ 2,000 คน เดินทางด้วยรถยนต์กระบะประมาณ 170 คัน รถเมล์จ้างเหมาอีกกว่า 5 คัน โดยมีทีม ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย(พท.) นำโดยนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ น.ส.อรุณี ชำนาญยา และ นายไพโรจน์ ตันบรรจง นำขบวน
เมื่อมาถึงด่านตรวจยานพาหนะแม่ต๋ำ ต.แม่กา อ.เมือง จ.พะเยา ได้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหาร ร่วมปฏิบัติหน้าที่ตรวจอาวุธและสิ่งของผิดกฎหมาย รวมถึงยาเสพติด ตามระเบียบ ทำให้ต้องใช้เวลาในการตรวจมากกว่าปกติ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจเอกสารในการเดินทางของผู้ร่วมชุมนุม คือ บัตรประจำตัวประชาชน และ หมายเลขทะเบียนรถ อย่างไรก็ตาม ได้ตรวจพบมีเสื้อแดงบางคนพกพาอาวุธมีดมาด้วย จำนวน 2-3 คน จึงขอยึดเก็บไว้
แม่บ้านตำรวจทำอาหารเลี้ยงเสื้อแดงสุรินทร์ก่อนเข้ากรุง
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแม่บ้านตำรวจสุรินทร์ได้ปรุงอาหารข้าวแกง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ปลาย่าง น้ำพริก และน้ำดื่ม ไปตั้งโต๊ะที่บริเวณหน้าสำนักงานของนายแงะ จินันทุยา อดีต ส.จ.เขต.อำเภอปราสาท ถนนโชคชัย – เดชอุดม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ผู้ประสานงานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดงสุรินทร์
นายแงะ กล่าวว่า เมื่อเวลา 11.00 น. กลุ่ม นปช.คนเสื้อแดงสุรินทร์จะเดินทางเข้ามารวมตัวกันที่นี้ เพื่อรับประทานอาหารเช้า ก่อนเดินทางเข้าไปร่วมประกอบพิธีบวงสรวงสักการะ อนุสาวรีย์พระยาสุรินทร์ภักดีศรีณรงค์จางวาง จากนั้นจะตั้งขบวนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยใช้เส้นทางถนนสุรินทร์-ปราสาท-ถนนโชคชัย-เดชอุดม
แดงโคราชเตรียมตัวตุนเสบียงก่อนร่วมสมทบแดงอีสานเข้ากทม.
ผู้สื่อข่าวประจำจ.นครราชสีมา รายงานว่า บรรยากาศที่ศูนย์ประสานงานพรรคเพื่อไทยจ.นครราชสีมา ตำบลหัวทะเล อ.เมืองฯ จ.นครราชสีมา ได้มีบรรดาสมาชิกกลุ่มคนเสื้อแดงนครราชสีมา ทยอยเดินทางมารวมตัวกันเเละจัดเตรียมสัมภาระ นอกจากนี้หลายคนยังเตรียมหน้ากากอนามัยเพื่อไว้ปิดปาก ปิดจมูกป้องกันการสลายการชุมนุมจากเจ้าหน้าที่ด้วยแก๊สน้ำตา
ผู้สือข่าวรายงานว่า ในเวลา 10.30 น.กลุ่มคนเสื้อแดงโคราชจะไปรวมตัวกันที่หน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี(ย่าโม) เเละจะพร้อมใจกันสักการะย่าโมก่อนเดินทางออกเวลา 12.09 น.วันนี้(12 มี.ค.) เพื่อเดินทางไปรวมกับกลุ่มคนเสื้อแดงจาก 19 จากภาคอีสาน ที่ข้างศูนย์การค้าเอาเลท เขาใหญ่ ริมถนนมิตรภาพ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในช่วงเวลา 15.00 น.เพื่อรอให้กลุ่มคนเสื้อแดงภาคอีสาน 19 จังหวัดมาพร้อมกันและนอนพักค้างคืนฟังการปราศรัยที่อ.ปากช่อง จากนั้นในช่วงเช้าวันที่ 13 มี.ค. กลุ่มคนเสื้อแดงภาคอีสานก็จะออกเดินทางไปสมทบกับ นปช.ทั่วประเทศที่ กทม.ต่อไป
บก.จร.แจ้งมีกลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 200 คนที่บริเวณแยกบางนา
กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.) ประกาศแจ้งข่าวเมื่อวันที่ 12 มี.ค.ว่า เวลา 09.20 น.ถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณแยกบางนา ล่าสุดเจ้าหน้าที่ท้องที่แจ้งว่าบริเวณแยกบางนา ขณะนี้มีกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนประมาณ 200 กว่าคน แต่การจราจรยังไม่เป็นปัญหา แจ้งให้ทราบไว้เป็นข้อมูล
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
‘ระวังกรรม’ให้ดี!
ถึงเวลาที่คนไทยกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกขานตัวเองว่า “นปช.” พร้อมเดินหน้าเรียกร้อง “ความยุติธรรม” และหยุดยั้งการกระทำอันเป็น “สองมาตรฐาน” ของผู้มีอำนาจความจริงแล้วปัญหาการเมืองที่ก่อกำเนิดเกิดขึ้น...มีจุดเริ่มมาจากเพียงแค่คนๆ เดียวที่ถูก “หักล้าง” เรื่องผลประโยชน์ของตน นั่นคือ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ประเทศไทยเป็นแดนแห่ง “สุวรรณภูมิ” เป็นดินแดนแห่งธรรมที่มากไปด้วยความเมตตากรุณา และอภัยทานแต่วันนี้ความเป็นธรรมไม่เหลือแล้ว...เพราะ “คนหนึ่งคน” กับ “ผู้มีอำนาจ” ซึ่งมีจิตแห่งไฟราคะเป็นผู้สั่งการให้ทำลายเสียอย่างย่อยยับจนดับสูญ การที่คิดจะสร้างสถานการณ์ขึ้นแล้ว “โยน
บาป” ฝ่ายตรงข้าม...โดยมีเป้านิ่งคือ อดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” หากทำเช่นนั้นจริงๆ ระวัง “กรรม” จะจองเวรจองล้างท่าน เพราะการที่ใครสักคนทำคุณประโยชน์มากมายให้แก่ส่วนรวม...แต่หากเขาไม่มีคุณธรรมตามแนววิถีพุทธอย่างแท้จริง คุณประโยชน์เหล่านั้นก็มิอาจช่วยเขาได้แม้แต่น้อย เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง “คุณประโยชน์” และ “คุณธรรม” ไม่อาจนำเอามาทดแทนได้เทียบเคียงได้“ผู้มีอำนาจ” ในวันนี้ทำตัวเหมือนพระบางรูปที่อวดตนเป็น “พระ
อรหันต์” ช่วยเหลือประโยชน์ส่วนรวมอย่างดีในเรื่องเงินเรื่องทองที่บริจาค แต่แท้จริงเขาเป็นแค่อรหันต์ “ขี้โกรธสันโดษขี้ขอ” เคี้ยวหมากปากแดงจั๊บๆ เทศนาไปด่าคนอื่นไป...อย่างนี้เป็นตัวอย่างอันชัดเจนว่า..ขาดจากความเป็นพระไปแล้วตามพระธรรมวินัยโดยแท้ เพราะพระอรหันต์ย่อมไม่ติดซึ่งสิ่งเสพติดทั้ง บุหรี่ หมากพลู น้ำชา และกาแฟ มนุษย์ที่ประเสริฐ์สุด คือ มนุษย์ที่มีกายเป็นธรรม หรือ พูดสั้นๆ ว่า “ธรรมกาย”ฤทธิ์แห่งธรรมนั้นมีอยู่จริงเสียบ้าง...แต่คนใน
ยุคนี้โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ”จะมีกี่คนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมเท่าไหร่กรรมนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า...มนุษย์ทำสิ่งใดย่อมได้รับการสนองด้วยสิ่งนั้นดังนั้น...เหตุอาเพศตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ 19 กันยา 49...ด้วยความปลุกปั่นยุยงของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จากนั้นผู้มีอำนาจในมุมมืด “รับไม้” สานต่อสร้างความเดือดร้อนให้ประเทศชาติคนเหล่านี้จงระวังกรรมว้ให้ดี...เพราะจะไม่มีคำว่า “เบื้องบน” สวรรค์ชั้นฟ้า...หากแต่มีคำว่า “เบื้องล่าง” นรกอเวจี!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************
บาป” ฝ่ายตรงข้าม...โดยมีเป้านิ่งคือ อดีตนายกรัฐมนตรี “ทักษิณ ชินวัตร” หากทำเช่นนั้นจริงๆ ระวัง “กรรม” จะจองเวรจองล้างท่าน เพราะการที่ใครสักคนทำคุณประโยชน์มากมายให้แก่ส่วนรวม...แต่หากเขาไม่มีคุณธรรมตามแนววิถีพุทธอย่างแท้จริง คุณประโยชน์เหล่านั้นก็มิอาจช่วยเขาได้แม้แต่น้อย เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง “คุณประโยชน์” และ “คุณธรรม” ไม่อาจนำเอามาทดแทนได้เทียบเคียงได้“ผู้มีอำนาจ” ในวันนี้ทำตัวเหมือนพระบางรูปที่อวดตนเป็น “พระ
อรหันต์” ช่วยเหลือประโยชน์ส่วนรวมอย่างดีในเรื่องเงินเรื่องทองที่บริจาค แต่แท้จริงเขาเป็นแค่อรหันต์ “ขี้โกรธสันโดษขี้ขอ” เคี้ยวหมากปากแดงจั๊บๆ เทศนาไปด่าคนอื่นไป...อย่างนี้เป็นตัวอย่างอันชัดเจนว่า..ขาดจากความเป็นพระไปแล้วตามพระธรรมวินัยโดยแท้ เพราะพระอรหันต์ย่อมไม่ติดซึ่งสิ่งเสพติดทั้ง บุหรี่ หมากพลู น้ำชา และกาแฟ มนุษย์ที่ประเสริฐ์สุด คือ มนุษย์ที่มีกายเป็นธรรม หรือ พูดสั้นๆ ว่า “ธรรมกาย”ฤทธิ์แห่งธรรมนั้นมีอยู่จริงเสียบ้าง...แต่คนใน
ยุคนี้โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ”จะมีกี่คนที่เชื่อเรื่องเวรกรรมเท่าไหร่กรรมนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า...มนุษย์ทำสิ่งใดย่อมได้รับการสนองด้วยสิ่งนั้นดังนั้น...เหตุอาเพศตั้งแต่ก่อนปฏิวัติ 19 กันยา 49...ด้วยความปลุกปั่นยุยงของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” จากนั้นผู้มีอำนาจในมุมมืด “รับไม้” สานต่อสร้างความเดือดร้อนให้ประเทศชาติคนเหล่านี้จงระวังกรรมว้ให้ดี...เพราะจะไม่มีคำว่า “เบื้องบน” สวรรค์ชั้นฟ้า...หากแต่มีคำว่า “เบื้องล่าง” นรกอเวจี!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***************************************************
“ใจ”เป็นอาวุธ!
คอลัมน์ เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
วันนี้คนไทยทุกคนต่างอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นวันแรกที่คนเสื้อแดงประกาศชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด
ถ้าไม่มีการโหมประโคมข่าวและให้ข่าวในลักษณะปลุกระดมของรัฐบาลเพื่อจะใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในพื้นที่กรุงเทพฯและ 7 จังหวัด และยังมีกฎหมายอีก 18 ฉบับ เพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐแบบครอบจักรวาล
การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็จะเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยที่จะชุมนุมกันอย่างสงบและสันติ ไม่ใช่ถูกปลุกระดมและสร้างภาพจากสื่อต่างๆของรัฐจนเหมือนพวกอันธพาล
การประกาศใช้กฎหมายของรัฐไม่เพียงส่งผลให้คนทำมาหากินหรืองานที่กำหนดไว้มากมายต้องประกาศเลื่อนออกไปเท่านั้น
แม้แต่นักเรียนมัธยมฯปีที่ 1 และ 4 ที่กำลังอยู่ในช่วงรับสมัคร กระทรวงศึกษาธิการก็ประกาศเลื่อนออกไปอีก
กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงก่อกวน ป่วนเมือง และสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองและคนกรุงเทพฯไปโดยปริยาย
แต่ไม่มีใครมองเลยว่าผลทั้งหมดเกิดจากรัฐบาลที่จงใจทำตามที่วางแผนไว้
รัฐบาลต้องการปิดเมือง ไม่ใช่คนเสื้อแดง
รัฐบาลมีอำนาจ กำลังคน และอาวุธ
แต่คนเสื้อแดงมีแค่ “ใจ” ที่เป็น “อาวุธ” มาเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชนกลับคืนมาเท่านั้น
อย่างที่คุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ประชาไทตอนหนึ่งว่า
“การที่คนกรุงเทพฯกลุ่มหนึ่งคิดว่ารักสันติจนถือดีมาบอกว่าคนเสื้อแดงคนอื่นๆที่มาชุมนุมไม่ใช่คนไทย นี่มันคือการดูถูกความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างถึงที่สุด ความเป็นคนไทยมันอยู่ที่ตัวตนของคนเรา มันไม่ได้อยู่ที่การที่เขามีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกับคนกรุงเทพฯ”
หรือคุณชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี ที่แสดงทรรศนะผ่านช่องหอยม่วงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายที่อาจจะต้องการความรุนแรงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะพยายามทำก็คือไม่ทำอะไรที่เป็นการทำให้คนกลุ่มน้อยกลายมาเป็นผู้แทนของคนกลุ่มใหญ่
“ถึงยังไงเขาเป็นคนไทย ไม่ว่าเสื้อสีอะไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน จะไปบอกว่าคนเสื้อแดงต้องการพังบ้านพังเมืองยิ่งอันตราย เท่ากับยิ่งผลักดันคนเสื้อแดงให้ออกห่าง และยิ่งจะทำให้คนส่วนน้อยที่ต้องการใช้ความรุนแรงคุมพื้นที่ได้มากขึ้น”
ขณะที่กลุ่มต่างๆและเครือข่ายต่างๆก็เริ่มเปิดตัวออกเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งคนเกือบทั้งประเทศ รวมทั้งคนเสื้อแดง ก็ไม่ต้องการความรุนแรง
แต่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีจนถึงลิ่วล้อและสื่อต่างๆของรัฐบาลยิ่งกระพือข่าวว่าจะเกิดความรุนแรงต่างๆนานา ตั้งแต่เผ่าบ้านเมืองจนก่อวินาศกรรม
เหมือนคนเสื้อแดงไม่ใช่คนไทย ไม่รักประเทศไทย!
ทั้งที่คนเสื้อแดงประกาศชัดเจนว่าไม่ปิดถนน ไม่ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ยึดสนามบิน ฯลฯ
แต่จะชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนกลับคืนมา
ประชาชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯน่าจะตอบเองว่าใครเป็น “โจร” ที่ปิดเมืองและฉุดลากให้บ้านเมืองพังกันแน่!
**********************************************************************
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
วันนี้คนไทยทุกคนต่างอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นวันแรกที่คนเสื้อแดงประกาศชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด
ถ้าไม่มีการโหมประโคมข่าวและให้ข่าวในลักษณะปลุกระดมของรัฐบาลเพื่อจะใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในพื้นที่กรุงเทพฯและ 7 จังหวัด และยังมีกฎหมายอีก 18 ฉบับ เพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐแบบครอบจักรวาล
การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็จะเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยที่จะชุมนุมกันอย่างสงบและสันติ ไม่ใช่ถูกปลุกระดมและสร้างภาพจากสื่อต่างๆของรัฐจนเหมือนพวกอันธพาล
การประกาศใช้กฎหมายของรัฐไม่เพียงส่งผลให้คนทำมาหากินหรืองานที่กำหนดไว้มากมายต้องประกาศเลื่อนออกไปเท่านั้น
แม้แต่นักเรียนมัธยมฯปีที่ 1 และ 4 ที่กำลังอยู่ในช่วงรับสมัคร กระทรวงศึกษาธิการก็ประกาศเลื่อนออกไปอีก
กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงก่อกวน ป่วนเมือง และสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองและคนกรุงเทพฯไปโดยปริยาย
แต่ไม่มีใครมองเลยว่าผลทั้งหมดเกิดจากรัฐบาลที่จงใจทำตามที่วางแผนไว้
รัฐบาลต้องการปิดเมือง ไม่ใช่คนเสื้อแดง
รัฐบาลมีอำนาจ กำลังคน และอาวุธ
แต่คนเสื้อแดงมีแค่ “ใจ” ที่เป็น “อาวุธ” มาเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชนกลับคืนมาเท่านั้น
อย่างที่คุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ประชาไทตอนหนึ่งว่า
“การที่คนกรุงเทพฯกลุ่มหนึ่งคิดว่ารักสันติจนถือดีมาบอกว่าคนเสื้อแดงคนอื่นๆที่มาชุมนุมไม่ใช่คนไทย นี่มันคือการดูถูกความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างถึงที่สุด ความเป็นคนไทยมันอยู่ที่ตัวตนของคนเรา มันไม่ได้อยู่ที่การที่เขามีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกับคนกรุงเทพฯ”
หรือคุณชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี ที่แสดงทรรศนะผ่านช่องหอยม่วงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายที่อาจจะต้องการความรุนแรงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะพยายามทำก็คือไม่ทำอะไรที่เป็นการทำให้คนกลุ่มน้อยกลายมาเป็นผู้แทนของคนกลุ่มใหญ่
“ถึงยังไงเขาเป็นคนไทย ไม่ว่าเสื้อสีอะไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน จะไปบอกว่าคนเสื้อแดงต้องการพังบ้านพังเมืองยิ่งอันตราย เท่ากับยิ่งผลักดันคนเสื้อแดงให้ออกห่าง และยิ่งจะทำให้คนส่วนน้อยที่ต้องการใช้ความรุนแรงคุมพื้นที่ได้มากขึ้น”
ขณะที่กลุ่มต่างๆและเครือข่ายต่างๆก็เริ่มเปิดตัวออกเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งคนเกือบทั้งประเทศ รวมทั้งคนเสื้อแดง ก็ไม่ต้องการความรุนแรง
แต่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีจนถึงลิ่วล้อและสื่อต่างๆของรัฐบาลยิ่งกระพือข่าวว่าจะเกิดความรุนแรงต่างๆนานา ตั้งแต่เผ่าบ้านเมืองจนก่อวินาศกรรม
เหมือนคนเสื้อแดงไม่ใช่คนไทย ไม่รักประเทศไทย!
ทั้งที่คนเสื้อแดงประกาศชัดเจนว่าไม่ปิดถนน ไม่ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ยึดสนามบิน ฯลฯ
แต่จะชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนกลับคืนมา
ประชาชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯน่าจะตอบเองว่าใครเป็น “โจร” ที่ปิดเมืองและฉุดลากให้บ้านเมืองพังกันแน่!
**********************************************************************
"กูรู" สันติวิธี เชื่อเสื้อแดงสันติ เตือนอย่าให้เสียงส่วนน้อยดังกว่าส่วนใหญ่

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี แสดงทัศนะผ่านรายการ “ลงเอยอย่างไร” ช่อง 11 เตือนอย่าทำให้คนกลุ่มน้อยมาเป็นผู้แทนคนกลุ่มใหญ่ และรัฐเป็นองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมการใช้ความรุนแรง หากไม่ทำก็หมดความชอบธรรม
รายการลงเอยอย่างไร เมื่อค่ำวันที่ 10 มีค. ที่ผ่านมาทางโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นพิธีกร ได้เชิญผู้เข้าร่วมสองรายคือนายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องแนวทางสันติวีธี กับพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เนื้อหาหลักในการออกอากาศตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กำลังจะมีขึ้นในกรุงเทพฯกับแนวทางในการจัดการกับการชุมนุมของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ
ประเด็นหลักของการสนทนาเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงและโอกาสเกิดความรุนแรงในระหว่างการชุมนุมนั้น ในช่วงหนึ่งนายชัยวัฒน์พยายามชี้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายที่อาจจะต้องการความรุนแรงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะพยายามทำก็คือไม่ทำอะไรที่เป็นการทำให้คนกลุ่มน้อยกลายมาเป็นผู้แทนของคนกลุ่มใหญ่
“ถึงยังไงเขาเป็นคนไทย ไม่ว่าเสื้อสีอะไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน จะไปบอกว่าคนเสื้อแดงต้องการพังบ้านพังเมืองยิ่งอันตราย” โดยระบุว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะเท่ากับยิ่งผลักดันคนเสื้อแดงให้ออกห่างและยิ่งจะทำให้คนส่วนน้อยที่ต้องการใช้ความรุนแรงคุมพื้นที่ได้มากขึ้น เมื่อพล.ท.นันทเดชแย้งว่า แม้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ต้องการความรุนแรงก็จริง แต่ในความเป็นจริงการที่คนเสื้อแดงแตกคอกันเอง คุมกันไม่ได้ทำให้ยากที่จะไม่เกิดความรุนแรง นายชัยวัฒน์สรุปว่า ไม่ว่าที่ใดก็ตาม การที่การชุมนุมจัดตั้งไว้ไม่ได้ ควบคุมกันไม่ได้ย่อมมีโอกาสเกิดความรุนแรงเสมอ แล้วย้ำว่า สังคมไทยจะต้องไม่ผลิตความรู้สึกว่า คนเสื้อแดงเป็นศัตรูและเป็นภัยคุกคามประเทศเพราะคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ต้องการความรุนแรง เนื่องจากการผลิตความรู้สึกต่อต้านเสื้อแดงและเห็นว่าเสื้อแดงเป็นภัยจะเท่ากับผลักให้เกิดสภาพสุดโต่งปรากฏขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงหนึ่งพิธีกรมีคำถามว่าใครมีโอกาสมากกว่ากันที่จะก่อความรุนแรงหนนี้ ในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ระหว่าง รัฐ ทหาร ตร.แกนนำคนเสื้อแดง แกนนำอีกหลายกลุ่ม ผู้ชุมนุม คนติดตามการชุมนุม และอื่นๆ นายชัยวัฒน์ระบุว่าทุกกลุ่มมีโอกาสทั้งสิ้น รวมทั้งประชาชนที่หากรู้สึกว่าไม่มั่นคงปลอดภัยและรัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองตนเองได้ก็อาจลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันตัวเองเช่นเดียวกัน แม้เมื่อพล.ท.นันทเดชยืนยันว่าทหารยึดมั่นอยู่กับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและจะไม่กระทำการรุนแรงแน่นอน รวมทั้งรัฐบาลเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ย่อมไม่ใช้ความรุนแรง แต่นายชัยวัฒน์ก็ติงว่า ทหารและรัฐบาลไม่แน่ว่าจะเป็นเอกภาพกันเสมอไป โดยเฉพาะในสภาพของสังคมที่มีความขัดแย้งสูงเช่นขณะนี้ ทหารก็อาจไม่มีภูมิต้านทานสูงขนาดนั้น
ผู้ดำเนินรายการเปิดประเด็นต่อไปว่า โอกาสในการเกิดความรุนแรงอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมาจากชาวบ้านด้วยกันเองที่จะทนคนเสื้อแดงไม่ได้และเล่นงานคนชุมนุม ซึ่งพล.ท.นนทเดช ผู้ร่วมรายการแสดงความเห็นว่า เรื่องแบบนี้อนุมานเอาได้ว่าหากมีคนมาชุมนุมราวห้าหมื่นหรืออย่างมากที่สุดหนึ่งแสนคนจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก
“สิ่งที่ชาวบ้านมองคือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน ข้ออ้างของพวกเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน ที่อ้างว่าต้องการปชต.ที่แท้จริง ชาวบ้านก็บอกว่าตอนนี้ก็มีปชต.อยู่แล้ว ปชต.ที่แท้จริงเป็นยังไง ข้ออ้างอื่นๆก็ไม่มีน้ำหนัก อันเดียวที่ชาวบ้านมองเห็นก็ว่ามีน้ำหักก็คือการทำเพื่อทักษิณ คนส่วนใหญ่จึงมองว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นการเคลื่อนไหวของทักษิณ ชาวบ้านอาจไม่ชอบและอาจมาทำอะไร มันจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงเอง อีกอย่างคนมาห้าหมื่นจะมานั่งฟังทั้งวันไม่ได้ ต้องคว.ไม่งั้นเขาจะกลับบ้าน ก็ต้องคว.เอาไปนั่นไปนี่ โอกาสกระทบกระทั่งมีแน่ เช่นไปสีลมอีกครั้งโดนขว้างแน่ ชุมนุมสักสี่ห้าวัน คนลดเหลือหมื่นหรือห้าพัน คนที่ออกไปข้างนอกอาจจะโดนเล่นงาน ก็จะคิดแก้แค้น” พล.ท.นันทเดชวาดภาพ
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ได้ท้วงติงคำพูดของพล.ท.นันทเดชโดยตั้งคำถามว่า เมื่อบอกว่าวิธีการต่อสู้หรือข้อเรียกร้องของเสื้อแดงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยนั้น คำถามก็คือใครที่ไม่เห็นด้วย เพราะคนในเมืองอาจมีที่ไม่เห็นด้วย แต่คนกลุ่มอื่นอาจเห็น พร้อมทั้งชี้ว่า ในการชุมนุม ผู้เรียกชุมนุมต้องกระทำให้ปัญหาเป็นนามธรรม เช่นความไม่เป็นธรรม ชัยวัฒน์ระบุว่าการตัดสินของศาลในคดียึดทรัพย์นั้นเขาเห็นว่าเป็นปัญหากฏหมายน้อยยิ่งกว่าเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขในเรื่องความรู้สึก นอกจากนี้ยังบอกว่าการที่ปัญหาความขัดแย้งยืดเยื้อนั้น สำหรับสังคมไทย ลักษณะเช่นนี้ได้นำพาสถาบันต่างๆที่เคยเป็นสถาบันที่ค้ำจุนสังคมให้อ่อนแอตามกันไปและไม่มีใครต้องการจะฟังใคร นอกจากนั้นยังเสนอว่าในการชุมนุมของกล่มคนเสื้อแดงนั้น สังคมไทยควรจะช่วยให้คนเหล่านั้นชุมนุมได้โดยไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง แต่ทว่าพิธีกรคือเจิมศักดิ์กลับตั้งคำถามว่า หน้าที่ในการทำให้การชุมนุมไม่รุนแรงควรจะเป็นหน้าที่ใครระหว่างสังคมกับแกนนำคนเสื้อแดง
และเมื่อนายชัยวัฒน์ระบุว่าตนเชื่อว่าแกนนำเสื้อแดงเองก็คงไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายนายเจิมศักดิ์ยืนยันว่า ตนมีหลักฐานว่าแกนนำคนเสื้อแดงนั่นเองที่เรียกร้องหาความรุนแรงในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ได้นำภาพจากการตัดต่อวิดีโอที่อัดเสียงการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงจากหลายที่หลายเวลามาต่อกันและล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่ผู้พูดแสดงอาการแข็งกร้าว เรียกร้องหาความรุนแรงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่โดยที่ผู้นำเสนอภาพไม่ได้ให้บริบทใดๆ เช่นเริ่มต้นด้วยการที่พตท.ทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า “ผมแพ้ไม่ได้” ต่อด้วยแกนนำเสื้อแดงคนแล้วคนเล่าที่พูดไว้ในที่ต่างๆ เช่นเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเอา “ขวดพลาสติก” ขนาดบรรจุ 75 ซีซีเข้ามาด้วย แล้วกรุงเทพฯจะเป็น “ทะเลเพลิง” หรือในช่วงที่เรียกร้องให้ตามไล่ล่านายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือเจ้าหน้าที่เพื่อนำมา “ผูกคอ” เป็นต้น นายเจิมศักดิ์ตั้งคำถามกับนักวิชาการนักสันติวิธีว่า นี่หรือคือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง อย่างไรก็ตามนายชัยวัฒน์ยืนยันว่า คนเราในเวลาต่อสู้กันมักจะเกิดความเกลียดชัง และเมื่อเกลียดชังกันแล้วก็จะไม่คิด หน้าที่ของคนในสังคมคืออย่าให้เสื้อแดงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของการถูกเกลียดชัง เพราะคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ไม่ใช่เช่นนั้น และสังคมควรจะช่วยเหลือจัดการปัญหาที่เป็นความไม่พอใจจริงๆของพวกเขา และยังเสนอว่าควรจะหามาตรการไม่ให้การชุมนุมต่อไปผู้ไปชุมนุมมีอาวุธในครอบครอง ให้เป็นการชุมนุมที่ปลอดอาวุธ และให้จนท.เป็นคนกลุ่มเดียวที่มีอาวุธ ทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นมาตรการที่จะช่วยให้การชุมนุมเป็นไปโดยสันติ
ด้านพล.ท.นันทเดชกล่าวย้ำหลายครั้งถึงโอกาสการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีเหตุรุนแรงแน่พร้อมกับระบุว่าคนเสื้อแดงจะแก้ตัวด้วยการโยนความผิดให้กันและกันโดยอาศัยภาพความไม่เป็นเอกภาพบังหน้า นอกจากนั้นพล.ท.นนทเดชแสดงความเชื่อมั่นว่า ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้นในที่ชุมนุมใหญ่ แต่จะเกิดรอบนอก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยก็จะต้องมีห่วงหลายประการ รวมไปถึงการที่จะต้องพ่วงทัพสื่อมวลชนที่ลงไปทำข่าวเข้าไปด้วยเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าหากมีการสลายการชุมนุมขึ้นมา เจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำการเกินเหตุ
พล.ท.นนทเดชยังกล่าวด้วยว่าหากมีการทำอะไรที่นอกกรอบ สันติวิธีอาจจะใช้ไม่ได้ ทำให้พิธีกรคือนายเจิมศักดิ์ตั้งคำถามกับนายชัยวัฒน์ว่าการจับกุมคุมขังคนทำผิดถือว่าไม่ใช่สันติวิธีใช่หรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า รัฐเป็นองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมการใช้ความรุนแรง หากไม่ทำก็หมดความชอบธรรม แต่จะต้องทำภายใต้กรอบของกฏหมายและต้องไม่เที่ยวไปไล่ล่าจับกุม กับคำถามต่อมาของพิธีกรที่ว่า แล้วอะไรคือเส้นแบ่งที่จะทำให้จับกุมได้ นายชัยวัฒน์กล่าวว่า เมื่อมีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรง
ที่มา.ประชาไท
************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ ๑

เรื่อง จุดยืนต่อการชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตย ๑๒-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓
กลุ่มแดงสยามขอแสดงความสนับสนุนมวลชนผู้มีเจตนารมณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เดินทางมาชุมนุม ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันศุกร์ที่ ๑๒ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓ และขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญทางการเมืองของมวลมหาประชาชนผู้แสวงหา ประชาธิปไตยอันแท้จริง ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์และประชาธิปไตยที่เป็นสากล มิใช่เพียงระบบการเมืองจอมปลอมในระบอบการปกครองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อแนวทาง ประชาธิปไตย เราเชื่อมั่นว่าบัดนี้พี่น้องประชาชนมีความก้าวหน้าและมีความพร้อมที่ปกครอง บริหารตัวเองโดยผ่านระบบตัวแทน โดยไม่ต้องอาศัยระบบอุปถัมป์แบบเผด็จการใดๆ มารองรับ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มแดงสยามขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนยึดเอาประชาธิปไตยอันแท้จริงเป็น จุดมุ่งหมาย และให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรก็ดี การเลือกตั้งทั่วไปก็ดี หรือการตั้งรัฐบาลจากผลการเลือกตั้งก็ดี เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการบรรลุจุดมุ่งหมายนั้น การยุบสภา การเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล หากเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย หรือเผด็จการโบราณ เราจักไม่ถือเป็นชัยชนะของขบวนการประชาธิปไตยและมวลมหาประชาชน และจะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายตามแนวทางประชาธิปไตยที่ได้ตั้ง ไว้
การบรรลุเป้าหมายคือระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงนั้น เราจะใช้การปฏิวัติอย่างสันติเป็นกระบวนการขับเคลื่อน รูปธรรมคือระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยจะไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยเชิงสัญลักษณ์ เชิงรูปแบบหรือระบอบประชาธิปไตยน้ำใต้ศอกใดๆ อีกต่อไป
หากผู้ถืออำนาจรัฐในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยใช้อำนาจป่าเถื่อนหรือเล่ห์ กลใดๆ ก็ตาม เช่น การปราบปรามประชาชนด้วยกำลัง การแบ่งฝ่ายประชาธิปไตยออกเป็นส่วนๆ ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ การใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย เป็นต้น กลุ่มแดงสยามจะถือว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคนเป็นฝ่ายปฏิกริยาของขบวนการ ปฏิวัติโดยสันติ และสงวนสิทธิ์ที่จะให้มวลมหาประชาชนตัดสินความผิดดังกล่าวนั้นโดยพลัน
แถลงไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-----------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)