คอลัมน์ เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
วันนี้คนไทยทุกคนต่างอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเป็นวันแรกที่คนเสื้อแดงประกาศชุมนุมครั้งใหญ่ที่สุด
ถ้าไม่มีการโหมประโคมข่าวและให้ข่าวในลักษณะปลุกระดมของรัฐบาลเพื่อจะใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ในพื้นที่กรุงเทพฯและ 7 จังหวัด และยังมีกฎหมายอีก 18 ฉบับ เพื่อให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐแบบครอบจักรวาล
การชุมนุมของคนเสื้อแดงก็จะเป็นไปตามวิถีทางประชาธิปไตยที่จะชุมนุมกันอย่างสงบและสันติ ไม่ใช่ถูกปลุกระดมและสร้างภาพจากสื่อต่างๆของรัฐจนเหมือนพวกอันธพาล
การประกาศใช้กฎหมายของรัฐไม่เพียงส่งผลให้คนทำมาหากินหรืองานที่กำหนดไว้มากมายต้องประกาศเลื่อนออกไปเท่านั้น
แม้แต่นักเรียนมัธยมฯปีที่ 1 และ 4 ที่กำลังอยู่ในช่วงรับสมัคร กระทรวงศึกษาธิการก็ประกาศเลื่อนออกไปอีก
กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงก่อกวน ป่วนเมือง และสร้างความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองและคนกรุงเทพฯไปโดยปริยาย
แต่ไม่มีใครมองเลยว่าผลทั้งหมดเกิดจากรัฐบาลที่จงใจทำตามที่วางแผนไว้
รัฐบาลต้องการปิดเมือง ไม่ใช่คนเสื้อแดง
รัฐบาลมีอำนาจ กำลังคน และอาวุธ
แต่คนเสื้อแดงมีแค่ “ใจ” ที่เป็น “อาวุธ” มาเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชนกลับคืนมาเท่านั้น
อย่างที่คุณศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระ ให้สัมภาษณ์ในเว็บไซต์ประชาไทตอนหนึ่งว่า
“การที่คนกรุงเทพฯกลุ่มหนึ่งคิดว่ารักสันติจนถือดีมาบอกว่าคนเสื้อแดงคนอื่นๆที่มาชุมนุมไม่ใช่คนไทย นี่มันคือการดูถูกความเป็นมนุษย์ของเขาอย่างถึงที่สุด ความเป็นคนไทยมันอยู่ที่ตัวตนของคนเรา มันไม่ได้อยู่ที่การที่เขามีความคิดทางการเมืองที่แตกต่างกับคนกรุงเทพฯ”
หรือคุณชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี ที่แสดงทรรศนะผ่านช่องหอยม่วงว่า กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายที่อาจจะต้องการความรุนแรงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะพยายามทำก็คือไม่ทำอะไรที่เป็นการทำให้คนกลุ่มน้อยกลายมาเป็นผู้แทนของคนกลุ่มใหญ่
“ถึงยังไงเขาเป็นคนไทย ไม่ว่าเสื้อสีอะไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน จะไปบอกว่าคนเสื้อแดงต้องการพังบ้านพังเมืองยิ่งอันตราย เท่ากับยิ่งผลักดันคนเสื้อแดงให้ออกห่าง และยิ่งจะทำให้คนส่วนน้อยที่ต้องการใช้ความรุนแรงคุมพื้นที่ได้มากขึ้น”
ขณะที่กลุ่มต่างๆและเครือข่ายต่างๆก็เริ่มเปิดตัวออกเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง ซึ่งคนเกือบทั้งประเทศ รวมทั้งคนเสื้อแดง ก็ไม่ต้องการความรุนแรง
แต่ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีจนถึงลิ่วล้อและสื่อต่างๆของรัฐบาลยิ่งกระพือข่าวว่าจะเกิดความรุนแรงต่างๆนานา ตั้งแต่เผ่าบ้านเมืองจนก่อวินาศกรรม
เหมือนคนเสื้อแดงไม่ใช่คนไทย ไม่รักประเทศไทย!
ทั้งที่คนเสื้อแดงประกาศชัดเจนว่าไม่ปิดถนน ไม่ยึดทำเนียบรัฐบาล ไม่ยึดสนามบิน ฯลฯ
แต่จะชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เป็นของประชาชนกลับคืนมา
ประชาชนโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯน่าจะตอบเองว่าใครเป็น “โจร” ที่ปิดเมืองและฉุดลากให้บ้านเมืองพังกันแน่!
**********************************************************************
วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553
"กูรู" สันติวิธี เชื่อเสื้อแดงสันติ เตือนอย่าให้เสียงส่วนน้อยดังกว่าส่วนใหญ่

ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านสันติวิธี แสดงทัศนะผ่านรายการ “ลงเอยอย่างไร” ช่อง 11 เตือนอย่าทำให้คนกลุ่มน้อยมาเป็นผู้แทนคนกลุ่มใหญ่ และรัฐเป็นองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมการใช้ความรุนแรง หากไม่ทำก็หมดความชอบธรรม
รายการลงเอยอย่างไร เมื่อค่ำวันที่ 10 มีค. ที่ผ่านมาทางโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นพิธีกร ได้เชิญผู้เข้าร่วมสองรายคือนายชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักวิชาการจากคณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันในเรื่องแนวทางสันติวีธี กับพล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ รองผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานข่าวกรองแห่งชาติ เนื้อหาหลักในการออกอากาศตั้งคำถามถึงความชอบธรรมในการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กำลังจะมีขึ้นในกรุงเทพฯกับแนวทางในการจัดการกับการชุมนุมของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ
ประเด็นหลักของการสนทนาเป็นเรื่องของคนเสื้อแดงและโอกาสเกิดความรุนแรงในระหว่างการชุมนุมนั้น ในช่วงหนึ่งนายชัยวัฒน์พยายามชี้ว่า กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่คือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายที่อาจจะต้องการความรุนแรงเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรจะพยายามทำก็คือไม่ทำอะไรที่เป็นการทำให้คนกลุ่มน้อยกลายมาเป็นผู้แทนของคนกลุ่มใหญ่
“ถึงยังไงเขาเป็นคนไทย ไม่ว่าเสื้อสีอะไรเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน จะไปบอกว่าคนเสื้อแดงต้องการพังบ้านพังเมืองยิ่งอันตราย” โดยระบุว่าการกระทำเยี่ยงนั้นจะเท่ากับยิ่งผลักดันคนเสื้อแดงให้ออกห่างและยิ่งจะทำให้คนส่วนน้อยที่ต้องการใช้ความรุนแรงคุมพื้นที่ได้มากขึ้น เมื่อพล.ท.นันทเดชแย้งว่า แม้คนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งอาจจะไม่ต้องการความรุนแรงก็จริง แต่ในความเป็นจริงการที่คนเสื้อแดงแตกคอกันเอง คุมกันไม่ได้ทำให้ยากที่จะไม่เกิดความรุนแรง นายชัยวัฒน์สรุปว่า ไม่ว่าที่ใดก็ตาม การที่การชุมนุมจัดตั้งไว้ไม่ได้ ควบคุมกันไม่ได้ย่อมมีโอกาสเกิดความรุนแรงเสมอ แล้วย้ำว่า สังคมไทยจะต้องไม่ผลิตความรู้สึกว่า คนเสื้อแดงเป็นศัตรูและเป็นภัยคุกคามประเทศเพราะคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ต้องการความรุนแรง เนื่องจากการผลิตความรู้สึกต่อต้านเสื้อแดงและเห็นว่าเสื้อแดงเป็นภัยจะเท่ากับผลักให้เกิดสภาพสุดโต่งปรากฏขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงหนึ่งพิธีกรมีคำถามว่าใครมีโอกาสมากกว่ากันที่จะก่อความรุนแรงหนนี้ ในบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ระหว่าง รัฐ ทหาร ตร.แกนนำคนเสื้อแดง แกนนำอีกหลายกลุ่ม ผู้ชุมนุม คนติดตามการชุมนุม และอื่นๆ นายชัยวัฒน์ระบุว่าทุกกลุ่มมีโอกาสทั้งสิ้น รวมทั้งประชาชนที่หากรู้สึกว่าไม่มั่นคงปลอดภัยและรัฐไม่สามารถให้ความคุ้มครองตนเองได้ก็อาจลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงเพื่อป้องกันตัวเองเช่นเดียวกัน แม้เมื่อพล.ท.นันทเดชยืนยันว่าทหารยึดมั่นอยู่กับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและจะไม่กระทำการรุนแรงแน่นอน รวมทั้งรัฐบาลเองก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำ ย่อมไม่ใช้ความรุนแรง แต่นายชัยวัฒน์ก็ติงว่า ทหารและรัฐบาลไม่แน่ว่าจะเป็นเอกภาพกันเสมอไป โดยเฉพาะในสภาพของสังคมที่มีความขัดแย้งสูงเช่นขณะนี้ ทหารก็อาจไม่มีภูมิต้านทานสูงขนาดนั้น
ผู้ดำเนินรายการเปิดประเด็นต่อไปว่า โอกาสในการเกิดความรุนแรงอาจเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมาจากชาวบ้านด้วยกันเองที่จะทนคนเสื้อแดงไม่ได้และเล่นงานคนชุมนุม ซึ่งพล.ท.นนทเดช ผู้ร่วมรายการแสดงความเห็นว่า เรื่องแบบนี้อนุมานเอาได้ว่าหากมีคนมาชุมนุมราวห้าหมื่นหรืออย่างมากที่สุดหนึ่งแสนคนจะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก
“สิ่งที่ชาวบ้านมองคือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน ข้ออ้างของพวกเขาก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชาวบ้าน ที่อ้างว่าต้องการปชต.ที่แท้จริง ชาวบ้านก็บอกว่าตอนนี้ก็มีปชต.อยู่แล้ว ปชต.ที่แท้จริงเป็นยังไง ข้ออ้างอื่นๆก็ไม่มีน้ำหนัก อันเดียวที่ชาวบ้านมองเห็นก็ว่ามีน้ำหักก็คือการทำเพื่อทักษิณ คนส่วนใหญ่จึงมองว่าการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเป็นการเคลื่อนไหวของทักษิณ ชาวบ้านอาจไม่ชอบและอาจมาทำอะไร มันจะพัฒนาไปสู่ความรุนแรงเอง อีกอย่างคนมาห้าหมื่นจะมานั่งฟังทั้งวันไม่ได้ ต้องคว.ไม่งั้นเขาจะกลับบ้าน ก็ต้องคว.เอาไปนั่นไปนี่ โอกาสกระทบกระทั่งมีแน่ เช่นไปสีลมอีกครั้งโดนขว้างแน่ ชุมนุมสักสี่ห้าวัน คนลดเหลือหมื่นหรือห้าพัน คนที่ออกไปข้างนอกอาจจะโดนเล่นงาน ก็จะคิดแก้แค้น” พล.ท.นันทเดชวาดภาพ
อย่างไรก็ตาม นายชัยวัฒน์ได้ท้วงติงคำพูดของพล.ท.นันทเดชโดยตั้งคำถามว่า เมื่อบอกว่าวิธีการต่อสู้หรือข้อเรียกร้องของเสื้อแดงเป็นสิ่งที่ชาวบ้านไม่เห็นด้วยนั้น คำถามก็คือใครที่ไม่เห็นด้วย เพราะคนในเมืองอาจมีที่ไม่เห็นด้วย แต่คนกลุ่มอื่นอาจเห็น พร้อมทั้งชี้ว่า ในการชุมนุม ผู้เรียกชุมนุมต้องกระทำให้ปัญหาเป็นนามธรรม เช่นความไม่เป็นธรรม ชัยวัฒน์ระบุว่าการตัดสินของศาลในคดียึดทรัพย์นั้นเขาเห็นว่าเป็นปัญหากฏหมายน้อยยิ่งกว่าเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ไขในเรื่องความรู้สึก นอกจากนี้ยังบอกว่าการที่ปัญหาความขัดแย้งยืดเยื้อนั้น สำหรับสังคมไทย ลักษณะเช่นนี้ได้นำพาสถาบันต่างๆที่เคยเป็นสถาบันที่ค้ำจุนสังคมให้อ่อนแอตามกันไปและไม่มีใครต้องการจะฟังใคร นอกจากนั้นยังเสนอว่าในการชุมนุมของกล่มคนเสื้อแดงนั้น สังคมไทยควรจะช่วยให้คนเหล่านั้นชุมนุมได้โดยไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง แต่ทว่าพิธีกรคือเจิมศักดิ์กลับตั้งคำถามว่า หน้าที่ในการทำให้การชุมนุมไม่รุนแรงควรจะเป็นหน้าที่ใครระหว่างสังคมกับแกนนำคนเสื้อแดง
และเมื่อนายชัยวัฒน์ระบุว่าตนเชื่อว่าแกนนำเสื้อแดงเองก็คงไม่ต้องการความรุนแรง ฝ่ายนายเจิมศักดิ์ยืนยันว่า ตนมีหลักฐานว่าแกนนำคนเสื้อแดงนั่นเองที่เรียกร้องหาความรุนแรงในช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากนั้นก็ได้นำภาพจากการตัดต่อวิดีโอที่อัดเสียงการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงจากหลายที่หลายเวลามาต่อกันและล้วนแล้วแต่เป็นคำพูดที่ผู้พูดแสดงอาการแข็งกร้าว เรียกร้องหาความรุนแรงในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่โดยที่ผู้นำเสนอภาพไม่ได้ให้บริบทใดๆ เช่นเริ่มต้นด้วยการที่พตท.ทักษิณ ชินวัตรกล่าวว่า “ผมแพ้ไม่ได้” ต่อด้วยแกนนำเสื้อแดงคนแล้วคนเล่าที่พูดไว้ในที่ต่างๆ เช่นเรียกร้องให้ผู้ชุมนุมเอา “ขวดพลาสติก” ขนาดบรรจุ 75 ซีซีเข้ามาด้วย แล้วกรุงเทพฯจะเป็น “ทะเลเพลิง” หรือในช่วงที่เรียกร้องให้ตามไล่ล่านายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือเจ้าหน้าที่เพื่อนำมา “ผูกคอ” เป็นต้น นายเจิมศักดิ์ตั้งคำถามกับนักวิชาการนักสันติวิธีว่า นี่หรือคือคนที่ไม่ต้องการความรุนแรง อย่างไรก็ตามนายชัยวัฒน์ยืนยันว่า คนเราในเวลาต่อสู้กันมักจะเกิดความเกลียดชัง และเมื่อเกลียดชังกันแล้วก็จะไม่คิด หน้าที่ของคนในสังคมคืออย่าให้เสื้อแดงกลายเป็นสัญญลักษณ์ของการถูกเกลียดชัง เพราะคนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ไม่ใช่เช่นนั้น และสังคมควรจะช่วยเหลือจัดการปัญหาที่เป็นความไม่พอใจจริงๆของพวกเขา และยังเสนอว่าควรจะหามาตรการไม่ให้การชุมนุมต่อไปผู้ไปชุมนุมมีอาวุธในครอบครอง ให้เป็นการชุมนุมที่ปลอดอาวุธ และให้จนท.เป็นคนกลุ่มเดียวที่มีอาวุธ ทั้งนี้เพื่อจะให้เป็นมาตรการที่จะช่วยให้การชุมนุมเป็นไปโดยสันติ
ด้านพล.ท.นันทเดชกล่าวย้ำหลายครั้งถึงโอกาสการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงจะมีเหตุรุนแรงแน่พร้อมกับระบุว่าคนเสื้อแดงจะแก้ตัวด้วยการโยนความผิดให้กันและกันโดยอาศัยภาพความไม่เป็นเอกภาพบังหน้า นอกจากนั้นพล.ท.นนทเดชแสดงความเชื่อมั่นว่า ความรุนแรงจะไม่เกิดขึ้นในที่ชุมนุมใหญ่ แต่จะเกิดรอบนอก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ที่เข้าไปดูแลรักษาความปลอดภัยก็จะต้องมีห่วงหลายประการ รวมไปถึงการที่จะต้องพ่วงทัพสื่อมวลชนที่ลงไปทำข่าวเข้าไปด้วยเพื่อเป็นพยานยืนยันว่าหากมีการสลายการชุมนุมขึ้นมา เจ้าหน้าที่ไม่ได้กระทำการเกินเหตุ
พล.ท.นนทเดชยังกล่าวด้วยว่าหากมีการทำอะไรที่นอกกรอบ สันติวิธีอาจจะใช้ไม่ได้ ทำให้พิธีกรคือนายเจิมศักดิ์ตั้งคำถามกับนายชัยวัฒน์ว่าการจับกุมคุมขังคนทำผิดถือว่าไม่ใช่สันติวิธีใช่หรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า รัฐเป็นองค์กรที่ต้องทำหน้าที่ควบคุมการใช้ความรุนแรง หากไม่ทำก็หมดความชอบธรรม แต่จะต้องทำภายใต้กรอบของกฏหมายและต้องไม่เที่ยวไปไล่ล่าจับกุม กับคำถามต่อมาของพิธีกรที่ว่า แล้วอะไรคือเส้นแบ่งที่จะทำให้จับกุมได้ นายชัยวัฒน์กล่าวว่า เมื่อมีการเรียกร้องให้ใช้ความรุนแรง
ที่มา.ประชาไท
************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2553
แถลงการณ์แดงสยาม ฉบับที่ ๑

เรื่อง จุดยืนต่อการชุมนุมของฝ่ายประชาธิปไตย ๑๒-๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓
กลุ่มแดงสยามขอแสดงความสนับสนุนมวลชนผู้มีเจตนารมณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ที่เดินทางมาชุมนุม ณ กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันศุกร์ที่ ๑๒ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓ และขอแสดงความชื่นชมในความกล้าหาญทางการเมืองของมวลมหาประชาชนผู้แสวงหา ประชาธิปไตยอันแท้จริง ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์และประชาธิปไตยที่เป็นสากล มิใช่เพียงระบบการเมืองจอมปลอมในระบอบการปกครองที่เป็นปฏิปักษ์ต่อแนวทาง ประชาธิปไตย เราเชื่อมั่นว่าบัดนี้พี่น้องประชาชนมีความก้าวหน้าและมีความพร้อมที่ปกครอง บริหารตัวเองโดยผ่านระบบตัวแทน โดยไม่ต้องอาศัยระบบอุปถัมป์แบบเผด็จการใดๆ มารองรับ
อย่างไรก็ตาม กลุ่มแดงสยามขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนยึดเอาประชาธิปไตยอันแท้จริงเป็น จุดมุ่งหมาย และให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรก็ดี การเลือกตั้งทั่วไปก็ดี หรือการตั้งรัฐบาลจากผลการเลือกตั้งก็ดี เป็นเพียงวิธีการหนึ่งในการบรรลุจุดมุ่งหมายนั้น การยุบสภา การเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล หากเกิดขึ้นและดำรงอยู่ในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย หรือเผด็จการโบราณ เราจักไม่ถือเป็นชัยชนะของขบวนการประชาธิปไตยและมวลมหาประชาชน และจะต่อสู้ต่อไปจนกว่าจะบรรลุจุดมุ่งหมายตามแนวทางประชาธิปไตยที่ได้ตั้ง ไว้
การบรรลุเป้าหมายคือระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงนั้น เราจะใช้การปฏิวัติอย่างสันติเป็นกระบวนการขับเคลื่อน รูปธรรมคือระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย โดยจะไม่ยอมรับระบอบประชาธิปไตยเชิงสัญลักษณ์ เชิงรูปแบบหรือระบอบประชาธิปไตยน้ำใต้ศอกใดๆ อีกต่อไป
หากผู้ถืออำนาจรัฐในระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตยใช้อำนาจป่าเถื่อนหรือเล่ห์ กลใดๆ ก็ตาม เช่น การปราบปรามประชาชนด้วยกำลัง การแบ่งฝ่ายประชาธิปไตยออกเป็นส่วนๆ ด้วยเหตุผลที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ การใช้ความรุนแรงต่อบุคคลที่สนับสนุนขบวนการประชาธิปไตย เป็นต้น กลุ่มแดงสยามจะถือว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องทุกคนเป็นฝ่ายปฏิกริยาของขบวนการ ปฏิวัติโดยสันติ และสงวนสิทธิ์ที่จะให้มวลมหาประชาชนตัดสินความผิดดังกล่าวนั้นโดยพลัน
แถลงไว้ ณ วันพฤหัสบดีที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๓
-----------------------------
กองทัพแตงโม
คอลัมน์ เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
เมื่อแรกที่ได้ยินคุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง พูดถึงเรื่อง “กองทัพแตงโม” ตอนแรกก็นึกว่าเป็นเรื่องเปรียบเปรยให้ขำตามสไตล์การพูดของคุณณัฐวุฒิ แต่เมื่อตั้งใจฟังเนื้อหาที่แกนนำเสื้อแดงผู้นี้ต้องการสื่อกับประชาชนก็ทำให้ฉุกคิด
“กองทัพแตงโม” ในความหมายของแกนนำเสื้อแดงคือทหารหลักในกองทัพที่แต่งชุดสีเขียวแต่หัวใจเป็นสีแดง เปรียบเหมือนลูกแตงโมที่เปลือกนอกเป็นสีเขียวแต่ผ่าข้างในออกมาเป็นสีแดง
แกนนำเสื้อแดงต้องการสื่อว่ากองทัพตอนนี้เต็มไปด้วยทหารแตงโม ทำให้คนเสื้อแดงล่วงรู้การเคลื่อนไหวของกองทัพได้ตลอด แม้หลายเรื่องจะประทับตราว่าเป็นเอกสารลับ แต่เอกสารลับที่ว่านั้นก็หลุดรอดมาอยู่ในมือของคนเสื้อแดงได้
เท่าที่จำได้เอกสารลับของกองทัพเริ่มรั่วไหลออกมาสู่คนเสื้อแดงตั้งแต่หลังการยึดอำนาจวันที่ 19 ก.ย. 2549 ตอนนั้นมีการวางแผนการกันทำอะไร เบิกงบลับมาใช้กันเท่าไร คนเสื้อแดงรู้หมด และนำมารายงานให้ประชาชนทราบเป็นระยะๆ
ความจริงเรื่องเอกสารลับทางราชการที่หลุดรอดมาถึงมือคนเสื้อแดงไม่ได้มีเฉพาะเอกสารจากกองทัพเท่านั้น
เรื่องที่ฮือฮาก่อนหน้านี้ก็เป็นเอกสารลับจากกระทรวงการต่างประเทศที่เสนอแผนดำเนินการขุดรากถอนโคน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าเป็นภัยความมั่นคงของประเทศ
นี่ก็เท่ากับว่า “ทหารแตงโม” ไม่ได้มีเฉพาะแค่ในกองทัพเท่านั้น แต่มีอยู่ทุกหน่วยงานราชการไทย ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ามีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ไม่ว่าเครื่องแบบภายนอกจะเป็นสีอะไรก็ตาม แต่หัวใจของเขาเป็นสีแดง
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเตือนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าสั่งข้าราชการได้เฉพาะกาย แต่หัวใจสั่งการพวกเขาไม่ได้
จำนวนข้าราชการและอาสาสมัครมากมายจากหลายหน่วยงานกว่า 50,000 คน ที่ถูกเกณฑ์มาทำหน้าที่ควบคุมการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ถึงมากด้วยปริมาณ แต่การทำหน้าที่อาจไม่ดุดันอย่างที่รัฐบาลต้องการให้เป็น
ที่เป็นห่วงกันว่าจะเกิดการเผชิญหน้าจนเกิดความรุนแรงนั้นก็น่าจะเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง เพราะว่าคนที่หัวใจสีแดงเหมือนกันย่อมไม่คิดที่จะทำร้ายกันอย่างแน่นอน
บางทีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์อาจจะแพ้ภัยตัวเองหากกระเหี้ยนกระหือรือใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชน ดังที่ประกาศตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วติดอาวุธเอาไว้ลุยปราบคนเสื้อแดง
บางทีชัยชนะของคนเสื้อแดงอาจจะได้มาเพราะข้าราชการไทย วันนี้ไม่ว่าภายนอกเขาจะสวมเครื่องแบบสีอะไร แต่ภายในของเขาเป็นสีแดงที่พร้อมจะแปรสภาพมาเป็นแนวร่วมได้ทุกเมื่อ ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วที่อาคารซอฟต์แวร์ปาร์ค อันเป็นที่ตั้งของกระทรวงยุติธรรม ที่สองสามวันมานี้ทราบมาว่าไฟฟ้าติดๆดับๆอยู่บ่อยๆ ทั้งที่อาคารอื่นข้างเคียงเขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องกระแสไฟ
บางทีนายมาร์คอาจไว้ใจใครไม่ได้เลยแม้แต่คนที่นั่งอยู่ข้างๆ
**********************************************************************
ครึ่งคนครึ่งสัตว์!

คอลัมน์ . ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี
เป็นการเปิดศึกหรือประกาศสงครามอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อ “หล่อหลักลอย” ไฟเขียวประกาศใช้กฎหมายควบคุม “เด็กไม่มีเส้น” ระหว่างวันที่ 11-23 มีนาคม พร้อมงัดกฎหมายอีก 18 ฉบับที่ครอบคลุมทุกด้านมาบังคับใช้
นับตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคมเป็นต้นไป ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กเด็กแดง คนแก่คนเฒ่า มนุษย์เงินเดือนที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ต้องทำใจและเห็นใจ “หมาต๋า” ที่จะตรวจเข้มยิ่งกว่าจับ “โจร”
ต้องดูว่า “หมาต๋า” จะใช้อะไรมาวินิจฉัยเพื่อใช้อำนาจในการกักตัว กักพาหนะ หรือจับกุมประชาชน!
และมี “หมาต๋า” อีกมากน้อยแค่ไหนที่ใส่ “เกียร์ว่าง”!
เหมือนเรื่องคลังอาวุธที่ล่องหนหายไป ซึ่ง “บิ๊กป๊อก” แอ่นอกยอมรับความบกพร่อง แต่ไม่ยอมรับเรื่องการทุจริต ถ้ามีจริงก็พร้อมจะ “ไขก๊อก” ทันที
อย่าลืมว่า “คำพูดเป็นนาย” จะได้ไม่ถูกประณามอย่าง “หล่อหลักลอย” ว่า “เขียนด้วยมือ ลบด้วยเท้า”
โดยเฉพาะการชุมนุมใหญ่ของ “เด็กไม่มีเส้น” ครั้งนี้ “บิ๊กป๊อก” ก็หนีไม่พ้นที่จะต้องแบกรับความเสี่ยง (ซวย) เพื่อค้ำประกันอำนาจ “หล่อหลักลอย” ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม
เพราะเรื่องความมั่นคงแยกไม่ออกจากอำนาจของ “สัตว์การเมือง”
แต่ความมั่นคงสามารถแยกความถูกต้องชอบธรรมได้!
ไม่ใช่รับใช้อำนาจอย่างหลงงมงาย หรือฆ่าได้แม้แต่ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ
เพราะ “สัตว์การเมือง” พันธุ์ “ไทยแท้” นั้นเหมือน “ลูกอ๊อด” ที่ยังมีวิวัฒนาการแค่มีขากับมีหาง
กว่าจะเป็นกบ เขียด คางคก หรืออึ่งอ่างได้เต็มตัว ถ้าไม่ “เดี้ยงตาย” ก็มักจะกลายพันธุ์เป็นพวก “ครึ่งคนครึ่งสัตว์”
เรื่องของ “อำนาจ” จึงเป็น “ของหวงของรัก” ที่ “สัตว์การเมือง” ยอมทำได้ทุกอย่างเพื่อจะได้มา
ยิ่ง “การรักษาอำนาจ” ยิ่งทำได้แม้แต่การขาย “จิตวิญญาณ” ตัวเอง!
การงัดกฎหมายครอบจักรวาลเพื่อคุม “เด็กไม่มีเส้น” จึงจะถูกบันทึกไว้ให้ลูกหลาน “สัตว์การเมือง” ได้รับรู้ถึงความเป็นพวก “ครึ่งคนครึ่งสัตว์” ที่ยังหลงงมงายและขายวิญญาณให้ “อีแอบ” ที่ยังนอนคว่ำนอนหงายอยู่กับการเกลียดและเคียดแค้น “โดเรแม้ว”
ทั้งที่สงครามครั้งนี้ “เด็กไม่มีเส้น” ก้าวข้ามความเป็นตัวตนของ “โดเรแม้ว” ไปไกลสุดกู่แล้ว
ไม่ว่า “แพ้” หรือ “ชนะ” ก็จะเป็น “สงครามครั้งสุดท้าย” ของ “อีแอบ” และ “โจรกบฏ” ที่ต้องยอมรับ “อำนาจของประชาชน”
**********************************************************************
‘มาร์ค’ ไม่แมน แขวะกระทั่ง ‘โอ๊ค-เอม’

เกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาธิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยคนเช่นไร ก็ย่อมชอบที่จะคบคนลักษณะเช่นนั้น!!!
เป็นสิ่งที่สังคมไทยรุ่นปู่ย่าตาทวด สอนลูกหลานให้หัดสังเกตพฤติกรรมของคนมาโดยตลอดดังนั้นการที่บรรดาคนรอบข้างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เต็มไปด้วยคนประเภทนายกองร้องด่าท้าทาย คนประเภทตีหัวหมาด่าแม่คนอื่น รวมทั้งประเภทปากไม่สร้างสรรค์ซึ่งสังคมมีการตั้งคำถามมาตลอด แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ไม่เคยที่จะห้ามปราม แถมบางคนยังมีตำแหน่งที่ใกล้ชิดติดตัวนายอภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ
จึงไม่สามารถที่จะปฏิเสธเป็นอย่างอื่นได้ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีสไตล์ ชื่นชอบการใช้ปากแบบไม่สร้างสรรค์สังคม???เพียงแต่ว่านายอภิสิทธิ์ เป็นคนที่มีต้นทุนสูง มีชาติตระกูลเป็นที่รู้จักในสังคม มีการศึกษาดี จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก แถมมีหน้าตาดี รวมทั้งมีอาจารย์ใหญ่ทางการเมืองที่ดี คือนายชวน หลีกภัยซึ่งนายชวนนั้น เป็นคนที่มีวาจาเชือดเฉือนก็จริง แต่สุขุมนุ่มลึก และรู้จังหวะจะโคนในการพูด ที่สำคัญไม่พร่ำเพรื่อ
จึงทำให้ได้รับการยกย่องฉายาให้เป็น “มีดโกนอาบน้ำผึ้ง”ไม่รู้ว่านายอภิสิทธิ์ต้องการที่จะเลียนแบบสไตล์เชือดเฉือนของอาจารย์ใหญ่ชวน แต่บังเอิญพื้นนิสัยเดิมไปไม่ถึง แทนที่จะเป็นการเชือดเฉือน เลยเป็นได้แค่การเหน็บแนมเสียดสีเยาะเย้ยคนอื่นเป็นวิสัยของลูกผู้ชายไทยแท้หรือไม่? เป็นบุคลิกแมนหรือไม่?... น่าคิดแต่ที่แน่ๆ แทนที่จะเป็นภาพบวกก็เลยกลายเป็นภาพลบยิ่งปล่อยให้บรรดาคนรอบข้าง คนใกล้ชิดตัวนายอภิสิทธิ์ ปากคอเราะร้ายคนอื่นไปเรื่อยๆ
ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนายอภิสิทธิ์ ยิ่งติดลบไปเรื่อยๆแถมยังพลอยทำให้บรรดาคนอยากดังในพรรคประชาธิปัตย์ รุ่นใหม่ ยิ่งพลอยเลียนแบบตัวอย่างทำตามพฤติกรรมนี้ไปด้วย เพราะหวังให้เข้าตานายอภิสิทธิ์ จะได้เป็นทางลัดทางการเมืองภายในพรรคได้บ้างแล้วผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร บ้านเมืองปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหนักหน่วงมากที่สุด เพราะการใช้ปากของรัฐบาล ทำให้วันนี้สถานการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่
กลายเป็นถูกประโคมจากปากคนของรัฐบาล จากสื่อโทรทัศน์ที่รัฐบาลควบคุม จนกลายเป็นภาวะตึงเครียดเลวร้ายไปหมดแล้ว ... ทำให้สังคมไทยวิตกจริตว่าจะเป็นช่วงอันตรายอย่างที่รัฐบาลประโคมข่าวจริงๆคำถามจากความตื่นตระหนกว่อนไปทั่วสังคม ก็เพราะฝีปากของรัฐบาล ที่ต้องการเพียงแค่ให้สังคมคิดว่า กลุ่มคนเสื้อแดงเป็นผู้นิยมความรุนแรง เป็นตัวอันตรายแต่วันนี้สังคมเมื่อเริ่มเห็นชัดเจนขึ้นว่า กลไกของรัฐเว่อร์จนเกินเหตุ
โดยเฉพาะกลไกที่ผ่านการกำกับจัดฉากที่โยงใยกับนายเนวิน ชิดชอบ บุคคลที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี แต่กลับสามารถทำงานการเมืองได้ทุกรูปแบบ โดยรัฐบาลหรือองค์กรต่างๆ ไม่ทำอะไรเลยบุญคุณของการอุ้มนายอภิสิทธิ์ให้ได้เป็นนายกฯ และการกอดกันอย่างชื่นมื่นที่ปรากฏไปทั่วประเทศทั่วโลก มันดีอย่างนี้นี่เองอย่างไรก็ตามคำถามได้สะท้อนกลับใส่รัฐบาลอย่างรุนแรงเช่นกัน จนกระทั่งนายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาปฏิเสธว่ารัฐบาลไม่ได้สร้างสถานการณ์ใส่ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมแต่
ขณะเดียวกัน ก็ยัง ใช้เรื่องการเดินทางไปต่างประเทศของนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มาจีบปากจีบคอพูดโยงกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าเป็นเหมือนการเตรียมหนีไปเสวยสุขต่างประเทศแล้วสะท้อนชัดถึงความไม่เป็นผู้ใหญ่ ระรานแม้แต่กระทั่งเด็ก ทำให้เห็นได้ชัดว่าไม่มีความเป็นผู้นำที่สง่างาม ไม่ได้มีความเป็นลูกผู้ชายเลยแบบนี้แหละที่ทำให้มีการขานรับกันเป็นลูกระนาดใน ปชป. โดยนายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรค
ก็ออกมาให้ข่าวเน้นเรื่องลูกๆ ของพ.ต.ท.ทักษิณ เตรียมไปประเทศเยอรมนีเกมการเมืองสไตล์ที่พยายามแขวะว่าในการชุมนุมทุกครั้งญาติๆ และลูก ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เคยอยู่ร่วมด้วย และในการลงชื่อถวายฎีกา ญาติๆ ก็ไม่เคยร่วมลงชื่อด้วยทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า ลึกๆ ในทางการเมือง ประชาชิปัตย์ ต้องการอย่างมากที่จะให้ครอบครัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ร่วมในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง และร่วมลงชื่อในการถวายฎีกาจะได้กล่าวหาได้เต็มปากเต็มคำว่า
เห็นมั้ยการชุมนุมของคนเสื้อแดงทำเพื่อคนๆ เดียวคือ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะลูกและเครือญาติก็อยู่ในขบวนการด้วยครั้นพอเขารู้ทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อเกมสกปรกทางการเมือง ก็หันมาเล่นในแง่ที่ว่าทอดทิ้งหรือหลอกใช้คนเสื้อแดงเรียกว่าโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง... พฤติกรรมหมาป่าในนิทานอีสปจริงๆ ยังไงก็กล่าวหาว่าทำน้ำให้ขุ่นได้อยู่ดี ไม่ว่าจะทำจริงหรือไม่จริงแต่สิ่งที่สำคัญก็คือ นายอภิสิทธิ์เองก็มีลูก นายอภิสิทธิ์เองก็เป็นพ่อคน
ต้องถามว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่ เป็นพฤติกรรมลูกผู้ชายหรือไม่ เป็นพฤติกรรมของนักการเมืองที่ดีที่พึงกระทำหรือไม่ กับการลากเรื่องลูกเข้ามาเป็นเหยื่อเกมการเมืองเช่นนี้รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ซึ่งต้องถือว่าอยู่ในยุคของคนใจนักเลง เป็นอดีตกำนันคนดังแห่งเมืองสุราษฎร์ ซึ่งภาพลักษณ์เป็นลูกผู้ชายเต็มตัวก็ยังกลับขานรับคำพูดของนายอภิสิทธิ์ว่าการที่ครอบครัวภรรยาและลูกเดินทางออกนอกประเทศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ
ยิ่งทำให้พวกตนต้องระมัดระวังมากขึ้น มันเป็นสัญญาณที่ทำให้รัฐบาลต้องระมัดระวังการพูดทั้งของนายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างที่สอดรับกันอย่งากลมกลืนต่อเนื่องเช่นนี้ จะให้เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่านี่คือเกมการเมืองแต่สิ่งที่ทำให้สังคมต้องหันมาฉุกใจคิดอย่างหนักก็คือ เป็นเกมการเมืองที่เหมาะสมและมีจริยธรรมเพียงใดการทำลายล้างกันทางการเมือง แล้วไปลากเอาลูกเอาคนในครอบครัวของเขามาทำลายด้วย วัฒนธรรมการเมืองเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ???
คงต้องถามบรรดาผู้อาวุโสของพรรคประชาธิปัตย์ อย่างนายชวน หรืออย่างนายบัญญัติ บรรทัดฐาน ว่า พรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศ ควรใช้วิธีการในลักษณะนี้หรือไม่และสุดท้ายคงเห็นแล้วว่า การใช้กระบอกเสียงและปาก เพื่อทำลายการชุมนุมได้ส่งผลร้ายต่อบรรยากาศของประเทศเพียงใดรวมทั้งบรรดาคนปากกล้าทั้งหลาย เอาเข้าจริงๆ ก็เพิ่มการอารักขากันอุตลุด อย่างบริเวณบ้านพักนายอภิสิทธิ์ ที่ ซ.สุขุมวิท 31 ก็มีการอารักขาอย่างเข้มงวด เอารถดับเพลิงมาจอดตลอด 24 ชั่วโมง
แถมเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร รอบบ้านพักถึงขนาดเจ้าหน้าที่ มีการกันประชาชนที่ผ่านไปมาบริเวณหน้าบ้านนายอภิสิทธิ์ โดยขอให้ไปเดินฝั่งตรงข้ามแทน ห้ามเดินใกล้รั้วบ้าน และหากเจ้าหน้าที่เห็นว่าบุคคลใดมีท่าทีต้องสงสัย ก็จะตรวจค้นในขณะที่ นายสุเทพ ได้ เตรียมเซฟเฮาส์ให้คณะรัฐมนตรีแล้ว หากมีการร้องขอทั้งหมดก็ล้วนเกิดจากปากเป็นพิษทั้งสิ้นนั่นเอง
วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553
‘ทองแท้’ ย่อมไม่แพ้ไฟ!!!
มี “สมอง” และมี “ความคิด” อลังการสร้างสรรค์แบบบุกเบิก อยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ซำบาย???เริ่มเป็นห่วงกับ ศัตรู “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะมี ๑ สมอง และ ๒ มือ หาเงิน “ยังชีพ” ได้หรือเปล่า หากต้อง “ลี้ภัย” ไปหลบตัวเมืองนอกเป็นห่วงเสียจริง กับ “ชายแก่วัย ๙๐ ฤดูฝน” ที่มีเอกลักษณ์ “หัวหงอก”จะหลอกใช้อำนาจ เหมือนตัวเอง ยังอยู่ในความยิ่งใหญ่ ในถ้ำ “บ้านเสาน้อย” คงไม่สวีวี่วีเป็นแน่...เพราะต่างประเทศนั้น เขาไม่นิยม “อำนาจ” สั่งการ “แบบอีแอบ” ทำตัวแสบๆ เช่นนี้ เขาไม่ยอมรับ????ฉะนั้น,รีบหาอาชีพใหม่ให้เร็วสุด .....หากต้องวิ่ง “หางจุกตูด?....จะได้ไม่หงุดหงิด ทีหลังไงล่ะครับ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวก ‘ปากบัดซบ’!!!!
แล้ว “ข้อเท็จจริง” ก็เปิดมาอ้าซ่า แดงโร่ กันทุกอย่างครบ???“คลังแสง” ของกองพันทหารช่างสนาม ๔๐๑ ค่ายอภัยบริรักษ์จ.พัทลุง ที่หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์หยกๆ ยืนยัน ถ่างขายัน มาจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มีการยักยอกหายไปเนิ่นนาน....ใครที่บอกว่าถูก “โจรกรรม” ไปหมาดๆ ใหม่ๆ ล้วนเป็น “ไอ้มนุษย์ปากโกหก”ฉะนั้น, อยากให้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กระตุกปลอกคอหมาคนใกล้ชิด ที่เที่ยวระราน ว่าเป็นฝีมือ “คนเสื้อแดง” ที่ว่า เอามา “ก่อวินาศกรรม”!!!!เรียกพวกนี้มาอบรม “อย่าให้โม้”......หยุดได้แล้วสำหรับความโง่?...และเลิกโชว์ความริยำ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ปิดประตูตีแมว’!!!!
จะมาทำกับ “คนเสื้อแดง” เป็น “ผักเป็นปลา” เหมือนเมื่อครั้ง “สงกรานต์เลือด” คงไม่ได้อีกแล้ว?????ความพร้อมสำหรับ “กองทัพประชาชนคนเสื้อแดง” ที่มาร่วมกันนั้น... “วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ถือว่า พร้อมสุดขีดการรักษาความปลอดภัย คุ้มครอง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ให้ปลอดภัย ทุกชีวิต“นักรบประชาธิปไตย” ผู้มาทวง “เสรีภาพ” และ “อิสระแห่งความคิด” จะปลอดภัยไร้กังวล!!!!ทหารที่แตกกลุ่มกับ “บูรพาพยัคฆ์”......เขาพร้อมปกปัก....รักษาชีพของประชาชน?????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาบนั้นคืนสนอง!!!!
แยกตัว แตกขั้ว ออกไปจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไป..บัดนี้ “กรรม” ก็ออนไลน์ เข้าอย่างจั๋งหนับ แล้วล่ะพี่น้องสำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ห้อยบุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ เดี๋ยวนี้แลไปข้างหลัง ส.ส.ในพรรคหายไป บานเบอะกลุ่ม “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ตีตัวจาก หายไปเยอะ“ห้อยเนวิน” เคยก่อวีรเวรเอาไว้ กับ “ท่านทักษิณ” ...ตอนนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ตัวเองกำกับบทการแสดง เริ่มแตกร้าว ปริแยกกันเป็นกลุ่มๆ !!!!!!ไหนจะโดน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เตะตัดขา.....ส่งทีมตามเชือดตามฆ่า?....ยังมาเจอเรื่องนี้เอาอีก “เนวิน” ถึงกับกลุ้ม????????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รังแก ‘น้อง’ เขา จนหมดอนาคต!!!
ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล นามสกุล “วงษ์สุวรรณ” ไม่เหลือหรอ กระทั่ง ภาพพจน์????ฉะนั้น, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ผู้ทำคลอดหลอดแก้ว “รัฐบาลเทพประทาน” ยกเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังหงุดหงิดอย่างแรงเพราะถือว่า การปลด “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผดีต ผบ.ตร. ดูยังไง๊..ยังไง ก็เป็นการกลั่นแกล้งเมื่อ “เสื้อแดง” มาเปิดยุทธการ “ชิงเมือง” ชิงความชอบธรรม เอา “ประชาธิปไตยเต็มใบ” กลับคืนมา “บิ๊กป้อม” จึงอยากวางตัว อยู่เฉยๆ !!!!!ตั้ง “รัฐบาลเทพประทาน”มากับมือ......เสร็จแล้วก็ทำตัวดื้อ?.....เชือดชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเขาเสียหายเลย???????
ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.การบูร
****************************************************
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวก ‘ปากบัดซบ’!!!!
แล้ว “ข้อเท็จจริง” ก็เปิดมาอ้าซ่า แดงโร่ กันทุกอย่างครบ???“คลังแสง” ของกองพันทหารช่างสนาม ๔๐๑ ค่ายอภัยบริรักษ์จ.พัทลุง ที่หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์หยกๆ ยืนยัน ถ่างขายัน มาจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มีการยักยอกหายไปเนิ่นนาน....ใครที่บอกว่าถูก “โจรกรรม” ไปหมาดๆ ใหม่ๆ ล้วนเป็น “ไอ้มนุษย์ปากโกหก”ฉะนั้น, อยากให้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กระตุกปลอกคอหมาคนใกล้ชิด ที่เที่ยวระราน ว่าเป็นฝีมือ “คนเสื้อแดง” ที่ว่า เอามา “ก่อวินาศกรรม”!!!!เรียกพวกนี้มาอบรม “อย่าให้โม้”......หยุดได้แล้วสำหรับความโง่?...และเลิกโชว์ความริยำ???
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ปิดประตูตีแมว’!!!!
จะมาทำกับ “คนเสื้อแดง” เป็น “ผักเป็นปลา” เหมือนเมื่อครั้ง “สงกรานต์เลือด” คงไม่ได้อีกแล้ว?????ความพร้อมสำหรับ “กองทัพประชาชนคนเสื้อแดง” ที่มาร่วมกันนั้น... “วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ถือว่า พร้อมสุดขีดการรักษาความปลอดภัย คุ้มครอง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ให้ปลอดภัย ทุกชีวิต“นักรบประชาธิปไตย” ผู้มาทวง “เสรีภาพ” และ “อิสระแห่งความคิด” จะปลอดภัยไร้กังวล!!!!ทหารที่แตกกลุ่มกับ “บูรพาพยัคฆ์”......เขาพร้อมปกปัก....รักษาชีพของประชาชน?????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาบนั้นคืนสนอง!!!!
แยกตัว แตกขั้ว ออกไปจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไป..บัดนี้ “กรรม” ก็ออนไลน์ เข้าอย่างจั๋งหนับ แล้วล่ะพี่น้องสำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ห้อยบุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ เดี๋ยวนี้แลไปข้างหลัง ส.ส.ในพรรคหายไป บานเบอะกลุ่ม “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ตีตัวจาก หายไปเยอะ“ห้อยเนวิน” เคยก่อวีรเวรเอาไว้ กับ “ท่านทักษิณ” ...ตอนนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ตัวเองกำกับบทการแสดง เริ่มแตกร้าว ปริแยกกันเป็นกลุ่มๆ !!!!!!ไหนจะโดน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เตะตัดขา.....ส่งทีมตามเชือดตามฆ่า?....ยังมาเจอเรื่องนี้เอาอีก “เนวิน” ถึงกับกลุ้ม????????
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รังแก ‘น้อง’ เขา จนหมดอนาคต!!!
ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล นามสกุล “วงษ์สุวรรณ” ไม่เหลือหรอ กระทั่ง ภาพพจน์????ฉะนั้น, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ผู้ทำคลอดหลอดแก้ว “รัฐบาลเทพประทาน” ยกเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังหงุดหงิดอย่างแรงเพราะถือว่า การปลด “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผดีต ผบ.ตร. ดูยังไง๊..ยังไง ก็เป็นการกลั่นแกล้งเมื่อ “เสื้อแดง” มาเปิดยุทธการ “ชิงเมือง” ชิงความชอบธรรม เอา “ประชาธิปไตยเต็มใบ” กลับคืนมา “บิ๊กป้อม” จึงอยากวางตัว อยู่เฉยๆ !!!!!ตั้ง “รัฐบาลเทพประทาน”มากับมือ......เสร็จแล้วก็ทำตัวดื้อ?.....เชือดชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเขาเสียหายเลย???????
ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.การบูร
****************************************************
แผ่นดินทรุด

เป็นเรื่องของจิตวิทยา..ตอนนี้ทั้ง วอร์รูม ของ “ฝ่ายรัฐบาล” และ วอร์รูม ของ “คนเสื้อแดง” ต่างก็ออกอาวุธใส่กันอย่างเต็มเหยียด!!“รัฐบาล”ได้เปรียบ เพราะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ โดยเฉพาะ “สื่อ” ที่สามารถ “กดปุ่ม” ก็พรึบพรั่บทั่วประเทศแล้วเพราะ..โอกาสเยี่ยงนี้เลย “ล่อ” ซะ!!ล่อด้วยการ อนุมัติงบฉุกเฉิน อีก “51
ล้านบาท” ให้กับ สำนักนายกฯ เพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศเข้าตีน “ไอ้เตี้ย รำเต้ย” ไปเต็มๆเพราะ “คอนเซ็ปต์” ไล่ทุบ “คนเสื้อแดง” เล่นไม่ยากส์อยู่แล้ว..แค่โยนข้อหา “ล้มเจ้า” ตามลูกถนัดของประชาธิปัตย์แค่นั้นจบคนเสื้อแดง หมดแผ่นดินไปเมื่อใด ภาพลักษณ์ของประเทศก็สวยหรูเมื่อนั้น!!โปรเจ็กต์สั้น..งานง่าย..เงินด่วน ช่อง “หอยม่วง” เลยรับอานิสงส์ “แบงก์ม่วง” ที่เทลงมายังกะห่าฝนอย่างเนียนๆศึกสำคัญครั้งนี้ มันอยู่ที่ว่า ใคร
คือ “ของจริง” กำชัยชนะไปหากเป็น “ของปลอม” ก็ หอบเสื่อ-หอบหมอน กลับบ้านเก่าไม่ต้องคิดมากรัฐบาลบอกว่า “เสื้อแดง”ที่มากันครั้งนี้ เป็น “แดงจัดตั้ง” แดงที่แบมือคอยรับเงินเป็นรายวันถ้าเป็น “หมื่นคน” ก็น่าจะเป็นไปได้กับข้อกล่าวหาที่ว่านี้หากเป็น “แสนคน” ก็ไม่น่าจะใช่แล้ว แต๋วจ๋า!!หรือทะยานขึ้นไปถึง “ครึ่งล้าน” หรือ “แดงล้านคน” ตรงนี้คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าเขามา “เพื่อเงิน” หรือ มาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ที่พวกเขาโหยหาและก็คงจะ
หา “ช่องรับเงิน”ไม่ถูกว่ามันอยู่ตรงไหน??แต่..ที่รู้ๆ ตอนนี้ เศรษฐกิจหงิกแดก..นักท่องเที่ยวไม่มา คนค้า-คนขาย ตายสนิท ชาวรากหญ้า แทบจะ “รากเลือด”อยู่รอมร่อ..รัฐบาลก็บอกว่า สาเหตุนี้ เพราะ “คนเสื้อแดง” เป็นผู้กระทำให้เกิดหาได้หันมองดูตัวเอง ว่า การบริหารราชการแผ่นดินแบบ กู้ โกง กิน นั้น แผ่นดินมันทรุดต่ำยิ่งกว่าลำน้ำโขงแล้ว!!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
****************************************
ตาลีตาเหลือก !!!!???
14 มีนาคม 53 แดงทั้งแผ่นดินนัดหมาย “รวมตัว” เพื่อเป้าหมายไกลเกินตัว “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือประชาธิปไตยที่ “สมบูรณ์” มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แดงอนุรักษ์นิยม...แดงเสรีนิยม...รวมถึงกลุ่มแดง “ฮาร์ดคอร์” พวกเขาจะรวมตัวเพื่อให้เกิดพลังต่อต้านกับ “ผู้กุมอำนาจ” ประเทศนี้หากประมาณการณ์คร่าวๆ จะมีประชาชนเข้าร่วมอย่างต่ำ “หลักแสนคน”ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของ “รัฐบาล” เพื่อรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมจำเป็นต้องมีนโยบายที่ “สอดคล้อง” ตรงกัน หาก
คนเสื้อแดงมาเพียงน้อยนิด “หยิบมือ” ผมเชื่อว่า...รัฐบาลคงไม่ “ตาลีตาเหลือก” ตั้งรับกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูตำรวจ–ทหาร “ชุดเฉพาะกิจ” เตรียมเข้าประจำการ 50,000 นาย...แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ด้านธุรการเช่น “ส่งเอกสาร”งานนี้ “นายสั่ง” จำเป็นต้องมา...เพื่อให้หันซ้ายหันขวาไปทางเดียวกัน!อย่าไปเชื่อพวก “ปากหอยปากปู” ต้องดูให้เห็นกับตาว่ายิ่งใกล้วันดีเดย์...รัฐบาลยิ่ง “ลนลาน” เพราะกลัวการรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้อีกต่อไป “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ส.ส.
กทม. ประชาธิปัตย์ ออกมาพูดพร่ำ 7 เหตุผลไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุม“ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน...ไม่วายกลัว “ตกขบวน” ออกมาโบ้ยคนต่างด้าว...หากมาชุมนุม “จับติดคุก” ทันที“ส.ส.หญิง” ประชาธิปัตย์ บางคน...ลุกขึ้น “มีปากมีเสียง” ปลุกระดม “คนกรุง” ให้ลุกขึ้นโวยวาย “ไม่เห็นด้วย” โดยฉพาะ “ผู้นำประเทศ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...จำเป็นต้องหยุดพัก “งานใหญ่” งดเดินทางไปต่างประเทศ...เพื่อมาดูแลงานที่ “ใหญ่กว่า” คือ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
มันหยุดไม่อยู่และยากต่อการควบคุม!หาก “คลื่นมหาชน” หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้า “เมืองกรุง” ด้วยความกระสันต้องการ “ล้มล้าง” อำนาจเถื่อนให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยงานนี้จะไม่มีคำว่า “อารมณ์ค้าง” ไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องโดนแรงเสียดทานถาโถมจนพ่ายล้า...เตรียมพบกับ “ไม้ตายคนเสื้อแดง” เพื่อปิดบัญชี!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************
คนเสื้อแดงมาเพียงน้อยนิด “หยิบมือ” ผมเชื่อว่า...รัฐบาลคงไม่ “ตาลีตาเหลือก” ตั้งรับกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูตำรวจ–ทหาร “ชุดเฉพาะกิจ” เตรียมเข้าประจำการ 50,000 นาย...แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ด้านธุรการเช่น “ส่งเอกสาร”งานนี้ “นายสั่ง” จำเป็นต้องมา...เพื่อให้หันซ้ายหันขวาไปทางเดียวกัน!อย่าไปเชื่อพวก “ปากหอยปากปู” ต้องดูให้เห็นกับตาว่ายิ่งใกล้วันดีเดย์...รัฐบาลยิ่ง “ลนลาน” เพราะกลัวการรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้อีกต่อไป “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ส.ส.
กทม. ประชาธิปัตย์ ออกมาพูดพร่ำ 7 เหตุผลไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุม“ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน...ไม่วายกลัว “ตกขบวน” ออกมาโบ้ยคนต่างด้าว...หากมาชุมนุม “จับติดคุก” ทันที“ส.ส.หญิง” ประชาธิปัตย์ บางคน...ลุกขึ้น “มีปากมีเสียง” ปลุกระดม “คนกรุง” ให้ลุกขึ้นโวยวาย “ไม่เห็นด้วย” โดยฉพาะ “ผู้นำประเทศ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...จำเป็นต้องหยุดพัก “งานใหญ่” งดเดินทางไปต่างประเทศ...เพื่อมาดูแลงานที่ “ใหญ่กว่า” คือ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
มันหยุดไม่อยู่และยากต่อการควบคุม!หาก “คลื่นมหาชน” หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้า “เมืองกรุง” ด้วยความกระสันต้องการ “ล้มล้าง” อำนาจเถื่อนให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยงานนี้จะไม่มีคำว่า “อารมณ์ค้าง” ไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องโดนแรงเสียดทานถาโถมจนพ่ายล้า...เตรียมพบกับ “ไม้ตายคนเสื้อแดง” เพื่อปิดบัญชี!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************
รบครั้งนี้อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว

รบครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว
ตอนสงกรานต์เลือด บางคนคิดว่าเสื้อแดงแพ้ แต่ในทางการเมือง "ผมถือว่าคนเสื้่อแดงได้มากกว่าเสีย" แต่ฝ่ายอำมาตย์นั้นในทางการเมืองถือว่าเสียไปมาก
นี่เป็นสงครามยืดเยื้อ จะประเมินผลได้ผลเสียเฉพาะหน้าไม่ได้
วันสงกรานต์เลือด คนเสื้อแดงแค่ยังไม่ชนะอำมาตย์ แต่ไม่ได้แตกทัพ
ผลได้ของสงกรานต์เลือด ทำให้คนตาสว่างขึ้นมาก มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เสื้อแดงก่อนหน้านั้น ยังไม่มีกลุ่มก้อนที่หนาแน่น ยังไม่มีการจัดตั้ง แกนนำยังไม่ได้เรียนรู้
ศึกเดือนมีนาคมนี้ คนเสื้อแดง พร้อมกว่าครั้งที่แล้ว การจัดตั้ง เครือข่ายทุกอย่าง เทียบกับปีที่แล้วนี้ เทียบกันไม่ได้เลย
หากเรายังไม่อาจเผด็จศึกได้ในครั้งนี้ ก็ไม่มีผลเสียอะไรมากนัก อย่างมากก็กลับบ้านกันไปเตรียม "รบรอบใหม่" อีกครั้ง
ผลได้ในศึกครั้งนี้คือ ทำให้คนเสื้อแดงที่ตาสว่างยังไม่สนิทดี
ตาสว่างจ้า รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง สามารถดึง Mastermind ตัวจริงเสียงจริง ออกมาให้เห็นรำไรได้ (แต่เห็นรำไรก็ทำให้ตาสว่างจ้าแล้ว)
นี่คือ ผลได้อย่างมโหฬาร
บวกกับแนวรบด้านอื่นๆ เช่น ชูพงษ์ เปลี่ยนระบอบ
งานนี้มีแต่ได้กับได้
ศึกเดือนมีนา เราถอยได้ เลิกทัพกลับได้ สู้ใหม่ได้
อำมาตย์แม้จะยังไม่แพ้ แต่จะ "อ่อนกำลังไปมาก"
หากฟลุ๊ก เราก็ชนะเลย
งานนี้ รบก็ต้องรบ สงครามครั้งนี้ปิดประตูแพ้
ศึกครั้งนี้จะทำให้เขา "ช้ำใจหนักยิ่งกว่าเดิม" หากถึงขั้นนองเลือด เขาก็จะได้รู้ว่า ประชาชนไม่เอาแล้ว
ศึกครั้งต่อไป เขาแทบจะไม่มีอะไรเหลือที่จะสู้แล้ว
โดย.ลูกชาวนาไทย
***************************************************
แค้นเก่า? ‘บี้’สุขุมพันธุ์...

อนิจจา กทม.ยุคคุณชายสุขุมพันธ์ ถูกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นเป็นเพียงเบี้ยบนกระดาน ใช้เดินเกมเพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ และอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จนคน กทม.อึดอัดกันหมดแล้วไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว “สุขุมพันธ์” ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้งานเข้าเต็มๆ สำหรับกรุงเทพมหานคร ยุคที่มี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ตามปกติ หากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวกับผู้ว่าฯ กทม. ทุกอย่างก็น่าที่จะฉลุยแต่ใครจะคิดว่า ในยุคของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
ระยะหลังๆ ดูเหมือน กทม.จะตกอยู่ในสถานะ “เบี้ย” ทางการเมือง อย่างไรพิกลแถมเป็นเบี้ยที่ต้องถูกด่า ถูกวิพาก์วิจารร์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นระยะๆตลอดเวลาอย่างเช่นการถูกให้เดินเกมปิดสนามหลวงเป็นระยะเวลา 300 วัน ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่า สนามหลวงเป็นพื้นที่หลักพื้นที่หนึ่งในการทวงคืนประชาธิปไตยของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อ กทม.มาสั่งปิดยาว 300 วันเสียงสะท้อนในเชิงลบย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า... จงใจ เจตนา หรือไม่???เช่นเดียว
กับการปิดสะพานลอยสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งทำให้รถติดวินาศสันตะโร ชยันโต กทม.กันลั่นๆ ทั้งเมือง ทำให้สุดท้าย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องออกมาขอโทษประชาชนซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ความสงสัยประดังขึ้นมาทันที เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศว่าจะมีการชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตยในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อมีการ
ชิงจังหวะปิดสะพานลอย ทำให้การจราจรมีปัญหา ก่อนหน้าการชุมนุมเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น... ใครเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้น ว่านี่มันน่าจะเป็นเจตนามากกว่าบังเอิญที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มีการปักใจเชื่อว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังจงใจใช้ กทม. เป็นเบี้ยในการเดินเกมการเมือง เพียงเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ก็เพราะว่าในวันที่ 8 มีนาคม วันเดียวกับการประเดิมสั่งปิดสะพานลอยสาม
เหลี่ยมให้เดือดร้อนกันทั้งเมืองนั้นเอง ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ ได้มีการเรียก นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัด กทม. พร้อมทั้งหัวหน้าเขตใน กทม. ทั้ง 50 เขต มาประชุมอ้างสถานการณ์บ้านเมือง แล้วขอให้บรรดาหัวหน้าเขตไปปลุกระดมชาวบ้าน กับพวกพ่อค้าให้ออกมาต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการให้มีการร่วมมือกันติด Banner ต่อต้าน เรียกร้องความสงบสุข แน่นอนว่างานนี้ แม้แต่ส.ก. ส.ส. ของพรรคประชาธิปปัตย์ ก็ถูกขอให้มาร่วมดำเนินงานในครั้งนี้ด้วย
เช่นกันเล่นเอาบรรดาหัวหน้าเขตทั้งหมดนั่งอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้เป็นเรื่องของการช่วงชิงและยึดครองอำนาจทางการเมืองของนักการเมือง ที่มีกลุ่มอำมาตยาธิปไตยหนุนหลังแล้วข้าราชการ กทม. ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ทำไมจึงต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยที่สำคัญบรรดาหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ล้วนอยู่ในพื้นที่และต่างรู้ดีว่า ในพื้นที่นั้นมีสีแดง และมีสีเหลือง รวมทั้งมีสีขาวอยู่ด้วยทั้งนั้น การที่จะสะเหร่อแป๊ะไปขอ
ความร่วมมือแบบที่นายอภิสิทธิ์สั่งการ ก็มีแต่ซวยกับซวยนั่นแหละ ยิ่งหากมีการพลิกผันเปลี่ยนขั้วทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ อันตรายแน่ๆ อะไรไม่ร้ายเท่ากับว่า ไม่ใช่ให้ กทม. เป็นเบี้ยแค่ไปขอให้คนขึ้นป้ายผ้าต่อต้านคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังจะให้ กทม.ออกมาตรการห้ามรถที่ติดทะเบียนต่างจังหวัด โดยเฉพาะรถทะเบียน 6 จังหวัดรอบกรุงเทพฯ จะไม่ให้เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงที่คนเสื้อแดงชุมนุมงานนี้ป่วนหนักแน่ เพราะรถทะเบียนปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ก็
ล้วนแล้วแต่เป็นรถเชิงพาณิชย์ รถที่ทำมาหากิน ขนพวกอาหาร ผักผลไม้ เนื้อ และเนื้อหมู เข้ามาส่งในกรุงเทพฯ เข้ามาส่งในตลาดขืน กทม. ประกาศออกมาจริง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจะพลอยลุกฮือขึ้นมาด้วย ทีนี้ล่ะได้กลายเป็นจราจลเลยแหละ เพราะเรื่องปากท้องการทำมาหากินของชาวบ้าน เอามาเป็นเกมการเมืองได้อย่างไรยังคลั่งไม่พอ... เพราะในการประชุมยังมีการเสนอมาตรการให้ปิดปั้มน้ำมันรอบกรุงเทพฯด้วย หวังบีบให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม เข้า
กรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำมันเติม หรือหากเข้ามาได้ ก็จะไม่มีน้ำมันเติมกลับบ้านรวมทั้งยังคิดจะให้ กทม. สั่งห้ามรถอีแต๋น เข้ากรุงเทพฯ อีกด้วยนี่คืออาการคลั่งอำนาจ และการพยายามรักษาความมั่นคงของตนเอง โดยไม่มีการคำนึงถึงอะไรอีกแล้วดังนั้นเมื่อ ทางกทม. ได้มีการชี้แจงด้วยความลำบากใจว่า ตามบัญญัติอำนาจหน้าที่ของ กทม.นั้น มีหน้าที่ทำความสะอาด หาห้องน้ำ รักษาพยาบาล จัดการจราจร ดูแลทุกข์สุข ให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสีไหน
ก็ตามเล่นเอาบิ๊กประชาธิปัตย์นอกจากตกอยู่ในสภาวะหน้าหงายแล้ว ยังถึงกับทะลุขีดคลั่ง เพราะเหมือนกับเป็นการตอบเป็นนัยๆ ว่าไม่มีหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองไม่มีหน้าที่เป็นเบี้ยบนกระดานการเมืองให้ใครซึ่งจะว่าไปก็โทษว่าทาง กทม. ที่ต้องตั้งการ์ดสูงระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา การเมืองรอบนี้ก็ใช้ กทม. ใช้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ให้เปลืองตัวจริงๆไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว
ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้จึงทำให้ครั้งนี้ถึงได้ หวังใช้ กทม.ให้ทำงานที่เสี่ยงต่อการ “กระทำเกินหน้าที่” ซึ่งเป็นอันตรายต่อหน่วยงานและข้าราชการ กทม.ทั้งหมดเป็นอย่างมากเป็นเกมอำมหิตและคบยากจริงๆ ของประชาธิปัตย์สไตล์คบยากของประชา
ธิปัตย์แบบนี้แหละที่ทำให้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) นายพินิจ จารุสมบัติ ในฐานะประธานรุ่น 9 ได้ขึ้นบนเวทีกล่าวต้อนรับ นักศึกษารุ่นที่ 10 ซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา กับพวกรุ่นใหญ่ๆ ของประเทศอีกหลายคนอยู่ในรุ่นนี้ด้วย ทำให้มีคนแทบทุกพรรคการเมือง เป็นนักเรียนรุ่นที่ 10 ซึ่งวันนั้นท่ามกลาง วตท. ทั้งรุ่น 9 และรุ่น 10 ประมาณ 200 กล่าวคน นายพินิจ ได้มีการกล่าวว่า “ขอให้พี่บรรหารเพียงทำ ส.ส.ในสังกัดเปลี่ยนขั้ว ประเทศไทยจะ
เจริญก้าวหน้าสงบสุขทันที”เรียกเสียงเฮฮาได้ดังลั่น แต่เมื่อหลายๆ คนเหลือบไปเห็นหน้า นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็น วตท.รุ่น 9 นั่งอยู่ด้วย ทุกคนก็ขำไม่ออกเพราะตามข่าวบอกว่าหน้าตาของนายไตรรงค์ไม่ค่อยจะมีความสุขเอาเสียเลยแต่จะโทษใครได้ ทุกอย่างล้วนเกิดจาก ปชป.ยุคเด็กดื้อที่มีอำมาตย์อุ้มทั้งสิ้น... บ้านเมืองถึงวุ่นวายเช่นนี้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553
"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง

"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง ปลุกต้องสู้อย่าหวั่นไหว เหน็บรบ.ประกาศใช้พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.45 น. วันที่ 10 มีนาคม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์เป็นภาษาเหนือไปยังเวที “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน” ของกลุ่มคนเสื้อแดง 4 จุด ประกอบด้วยอ. สูงเม่น จ. แพร่, อ. เชียงแสน จ. เชียงราย, อ. สันกำแพง จ. เชียงใหม่ และอ. อาจสามารถ จ. ร้อยเอ็ด โดยมีใจความตอนหนึ่งว่าในวันที่ 14 มีนาคมที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีชุมนุมกัน มีข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งตนมาว่ามีความพยายามจะสกัดไม่ให้พวกเราเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยมีการวางระบบเพื่อทำลายภาพลักษณ์กลุ่มเสื้อแดงเหมือนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถือเป็นวิชามารของรัฐบาล โดยกล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้นขอให้ชาวเสื้อแดงเตรียมกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ กล้องโทรศัพท์มือถือติดตัวไป หากเกิดเหตุการณ์อะไรให้ถ่ายรูปไว้เพื่อเอาไปฟ้องชาวโลก วันนี้เราต้องสู้ต่อ อย่าหวั่นไหว ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อม
พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวต่อว่า นอกจากนี้อยากฝากบอกไปยังผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เคยออกทีวีเรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ถ้าเป็นตนปลดแม่งไปแล้ว แต่วันนี้กลับมาปล่อยข่าวปฏิวัติ แทนที่จะไปออกทีวีปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นนายกฯ ที่ไม่มีความสง่างาม อย่างวันนี้ก็มีลุงจากจ. นครพนมกำขี้วัวจากบ้านเกิดไปปาบ้าน แสดงให้เห็นว่าคนมันบัดซบ ไม่มีความสง่างาม เพราะปล้นอำนาจประชาชน โดยมีศาล อำมาตย์ และทหารช่วยเหลือ
“ขอบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นภัยต่อบ้านเมือง แต้ต้องการเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้จะเข้ามาก่อความวุ่นวาย เราเป็นคนไทย รักแผ่นดินไทย ดังนั้นในวันที่ 14 มีนาคมนี้ใครมาได้ต้องมา ถ้าคนมามากขนาดนี้ แล้วมันเอาลวดหนามมาขวาง ก็ยกให้คว่ำไปเลย” พ.ต.ท. ทักษิณกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูด"คำเมือง" กับชาวเสื้อแดงว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระที่บ้านอีก ตอนช่วงสมัยที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศ พ.ร.ก.ทหารซื่อบื้อไม่ทำอะไรสักอย่าง สมัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกพ.ร.ก.เพราะมีการยึดสนามบินแต่ทหารไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะกินภาษีประชาชนแต่ฟังอำมาตย์ เชื่อคำสั่งผู้มีบารมีนอกระบบ
ที่มา..มติชนออนไลน์
**************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)