--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

‘ทองแท้’ ย่อมไม่แพ้ไฟ!!!

มี “สมอง” และมี “ความคิด” อลังการสร้างสรรค์แบบบุกเบิก อยู่ที่ไหน เขาก็อยู่ซำบาย???เริ่มเป็นห่วงกับ ศัตรู “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี จะมี ๑ สมอง และ ๒ มือ หาเงิน “ยังชีพ” ได้หรือเปล่า หากต้อง “ลี้ภัย” ไปหลบตัวเมืองนอกเป็นห่วงเสียจริง กับ “ชายแก่วัย ๙๐ ฤดูฝน” ที่มีเอกลักษณ์ “หัวหงอก”จะหลอกใช้อำนาจ เหมือนตัวเอง ยังอยู่ในความยิ่งใหญ่ ในถ้ำ “บ้านเสาน้อย” คงไม่สวีวี่วีเป็นแน่...เพราะต่างประเทศนั้น เขาไม่นิยม “อำนาจ” สั่งการ “แบบอีแอบ” ทำตัวแสบๆ เช่นนี้ เขาไม่ยอมรับ????ฉะนั้น,รีบหาอาชีพใหม่ให้เร็วสุด .....หากต้องวิ่ง “หางจุกตูด?....จะได้ไม่หงุดหงิด ทีหลังไงล่ะครับ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
พวก ‘ปากบัดซบ’!!!!
แล้ว “ข้อเท็จจริง” ก็เปิดมาอ้าซ่า แดงโร่ กันทุกอย่างครบ???“คลังแสง” ของกองพันทหารช่างสนาม ๔๐๑ ค่ายอภัยบริรักษ์จ.พัทลุง ที่หายเข้ากลีบเมฆ ไม่ได้เกิดเหตุการณ์หยกๆ ยืนยัน ถ่างขายัน มาจาก “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. มีการยักยอกหายไปเนิ่นนาน....ใครที่บอกว่าถูก “โจรกรรม” ไปหมาดๆ ใหม่ๆ ล้วนเป็น “ไอ้มนุษย์ปากโกหก”ฉะนั้น, อยากให้ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” กระตุกปลอกคอหมาคนใกล้ชิด ที่เที่ยวระราน ว่าเป็นฝีมือ “คนเสื้อแดง” ที่ว่า เอามา “ก่อวินาศกรรม”!!!!เรียกพวกนี้มาอบรม “อย่าให้โม้”......หยุดได้แล้วสำหรับความโง่?...และเลิกโชว์ความริยำ???

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ปิดประตูตีแมว’!!!!
จะมาทำกับ “คนเสื้อแดง” เป็น “ผักเป็นปลา” เหมือนเมื่อครั้ง “สงกรานต์เลือด” คงไม่ได้อีกแล้ว?????ความพร้อมสำหรับ “กองทัพประชาชนคนเสื้อแดง” ที่มาร่วมกันนั้น... “วีระ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”ถือว่า พร้อมสุดขีดการรักษาความปลอดภัย คุ้มครอง ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ให้ปลอดภัย ทุกชีวิต“นักรบประชาธิปไตย” ผู้มาทวง “เสรีภาพ” และ “อิสระแห่งความคิด” จะปลอดภัยไร้กังวล!!!!ทหารที่แตกกลุ่มกับ “บูรพาพยัคฆ์”......เขาพร้อมปกปัก....รักษาชีพของประชาชน?????

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ดาบนั้นคืนสนอง!!!!
แยกตัว แตกขั้ว ออกไปจาก “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” ไป..บัดนี้ “กรรม” ก็ออนไลน์ เข้าอย่างจั๋งหนับ แล้วล่ะพี่น้องสำหรับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “ห้อยบุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ เดี๋ยวนี้แลไปข้างหลัง ส.ส.ในพรรคหายไป บานเบอะกลุ่ม “สรอรรถ กลิ่นประทุม” ตีตัวจาก หายไปเยอะ“ห้อยเนวิน” เคยก่อวีรเวรเอาไว้ กับ “ท่านทักษิณ” ...ตอนนี้ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ตัวเองกำกับบทการแสดง เริ่มแตกร้าว ปริแยกกันเป็นกลุ่มๆ !!!!!!ไหนจะโดน “นายกฯ อภิสิทธิ์” เตะตัดขา.....ส่งทีมตามเชือดตามฆ่า?....ยังมาเจอเรื่องนี้เอาอีก “เนวิน” ถึงกับกลุ้ม????????

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รังแก ‘น้อง’ เขา จนหมดอนาคต!!!
ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล นามสกุล “วงษ์สุวรรณ” ไม่เหลือหรอ กระทั่ง ภาพพจน์????ฉะนั้น, “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ผู้ทำคลอดหลอดแก้ว “รัฐบาลเทพประทาน” ยกเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี” ให้กับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังหงุดหงิดอย่างแรงเพราะถือว่า การปลด “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผดีต ผบ.ตร. ดูยังไง๊..ยังไง ก็เป็นการกลั่นแกล้งเมื่อ “เสื้อแดง” มาเปิดยุทธการ “ชิงเมือง” ชิงความชอบธรรม เอา “ประชาธิปไตยเต็มใบ” กลับคืนมา “บิ๊กป้อม” จึงอยากวางตัว อยู่เฉยๆ !!!!!ตั้ง “รัฐบาลเทพประทาน”มากับมือ......เสร็จแล้วก็ทำตัวดื้อ?.....เชือดชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเขาเสียหายเลย???????


ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.การบูร
****************************************************

แผ่นดินทรุด


เป็นเรื่องของจิตวิทยา..ตอนนี้ทั้ง วอร์รูม ของ “ฝ่ายรัฐบาล” และ วอร์รูม ของ “คนเสื้อแดง” ต่างก็ออกอาวุธใส่กันอย่างเต็มเหยียด!!“รัฐบาล”ได้เปรียบ เพราะมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ โดยเฉพาะ “สื่อ” ที่สามารถ “กดปุ่ม” ก็พรึบพรั่บทั่วประเทศแล้วเพราะ..โอกาสเยี่ยงนี้เลย “ล่อ” ซะ!!ล่อด้วยการ อนุมัติงบฉุกเฉิน อีก “51

ล้านบาท” ให้กับ สำนักนายกฯ เพื่อส่งเสริมการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ของประเทศเข้าตีน “ไอ้เตี้ย รำเต้ย” ไปเต็มๆเพราะ “คอนเซ็ปต์” ไล่ทุบ “คนเสื้อแดง” เล่นไม่ยากส์อยู่แล้ว..แค่โยนข้อหา “ล้มเจ้า” ตามลูกถนัดของประชาธิปัตย์แค่นั้นจบคนเสื้อแดง หมดแผ่นดินไปเมื่อใด ภาพลักษณ์ของประเทศก็สวยหรูเมื่อนั้น!!โปรเจ็กต์สั้น..งานง่าย..เงินด่วน ช่อง “หอยม่วง” เลยรับอานิสงส์ “แบงก์ม่วง” ที่เทลงมายังกะห่าฝนอย่างเนียนๆศึกสำคัญครั้งนี้ มันอยู่ที่ว่า ใคร

คือ “ของจริง” กำชัยชนะไปหากเป็น “ของปลอม” ก็ หอบเสื่อ-หอบหมอน กลับบ้านเก่าไม่ต้องคิดมากรัฐบาลบอกว่า “เสื้อแดง”ที่มากันครั้งนี้ เป็น “แดงจัดตั้ง” แดงที่แบมือคอยรับเงินเป็นรายวันถ้าเป็น “หมื่นคน” ก็น่าจะเป็นไปได้กับข้อกล่าวหาที่ว่านี้หากเป็น “แสนคน” ก็ไม่น่าจะใช่แล้ว แต๋วจ๋า!!หรือทะยานขึ้นไปถึง “ครึ่งล้าน” หรือ “แดงล้านคน” ตรงนี้คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าเขามา “เพื่อเงิน” หรือ มาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ที่พวกเขาโหยหาและก็คงจะ

หา “ช่องรับเงิน”ไม่ถูกว่ามันอยู่ตรงไหน??แต่..ที่รู้ๆ ตอนนี้ เศรษฐกิจหงิกแดก..นักท่องเที่ยวไม่มา คนค้า-คนขาย ตายสนิท ชาวรากหญ้า แทบจะ “รากเลือด”อยู่รอมร่อ..รัฐบาลก็บอกว่า สาเหตุนี้ เพราะ “คนเสื้อแดง” เป็นผู้กระทำให้เกิดหาได้หันมองดูตัวเอง ว่า การบริหารราชการแผ่นดินแบบ กู้ โกง กิน นั้น แผ่นดินมันทรุดต่ำยิ่งกว่าลำน้ำโขงแล้ว!!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
****************************************

ตาลีตาเหลือก !!!!???

14 มีนาคม 53 แดงทั้งแผ่นดินนัดหมาย “รวมตัว” เพื่อเป้าหมายไกลเกินตัว “ทักษิณ ชินวัตร” นั่นคือประชาธิปไตยที่ “สมบูรณ์” มากกว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แดงอนุรักษ์นิยม...แดงเสรีนิยม...รวมถึงกลุ่มแดง “ฮาร์ดคอร์” พวกเขาจะรวมตัวเพื่อให้เกิดพลังต่อต้านกับ “ผู้กุมอำนาจ” ประเทศนี้หากประมาณการณ์คร่าวๆ จะมีประชาชนเข้าร่วมอย่างต่ำ “หลักแสนคน”ดังนั้น ความเคลื่อนไหวของ “รัฐบาล” เพื่อรับมือกลุ่มผู้ชุมนุมจำเป็นต้องมีนโยบายที่ “สอดคล้อง” ตรงกัน หาก

คนเสื้อแดงมาเพียงน้อยนิด “หยิบมือ” ผมเชื่อว่า...รัฐบาลคงไม่ “ตาลีตาเหลือก” ตั้งรับกันอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูตำรวจ–ทหาร “ชุดเฉพาะกิจ” เตรียมเข้าประจำการ 50,000 นาย...แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ด้านธุรการเช่น “ส่งเอกสาร”งานนี้ “นายสั่ง” จำเป็นต้องมา...เพื่อให้หันซ้ายหันขวาไปทางเดียวกัน!อย่าไปเชื่อพวก “ปากหอยปากปู” ต้องดูให้เห็นกับตาว่ายิ่งใกล้วันดีเดย์...รัฐบาลยิ่ง “ลนลาน” เพราะกลัวการรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้อีกต่อไป “บุญยอด สุขถิ่นไทย” ส.ส.

กทม. ประชาธิปัตย์ ออกมาพูดพร่ำ 7 เหตุผลไม่ควรเข้าร่วมการชุมนุม“ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน...ไม่วายกลัว “ตกขบวน” ออกมาโบ้ยคนต่างด้าว...หากมาชุมนุม “จับติดคุก” ทันที“ส.ส.หญิง” ประชาธิปัตย์ บางคน...ลุกขึ้น “มีปากมีเสียง” ปลุกระดม “คนกรุง” ให้ลุกขึ้นโวยวาย “ไม่เห็นด้วย” โดยฉพาะ “ผู้นำประเทศ” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...จำเป็นต้องหยุดพัก “งานใหญ่” งดเดินทางไปต่างประเทศ...เพื่อมาดูแลงานที่ “ใหญ่กว่า” คือ การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง

มันหยุดไม่อยู่และยากต่อการควบคุม!หาก “คลื่นมหาชน” หลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศเข้า “เมืองกรุง” ด้วยความกระสันต้องการ “ล้มล้าง” อำนาจเถื่อนให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทยงานนี้จะไม่มีคำว่า “อารมณ์ค้าง” ไม่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องโดนแรงเสียดทานถาโถมจนพ่ายล้า...เตรียมพบกับ “ไม้ตายคนเสื้อแดง” เพื่อปิดบัญชี!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************

รบครั้งนี้อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว


รบครั้งนี้ อย่างน้อยทำให้คนๆ หนึ่งช้ำใจ จะได้รู้ว่า "บารมีคุณ" ไม่เท่าที่คิดแล้ว

ตอนสงกรานต์เลือด บางคนคิดว่าเสื้อแดงแพ้ แต่ในทางการเมือง "ผมถือว่าคนเสื้่อแดงได้มากกว่าเสีย" แต่ฝ่ายอำมาตย์นั้นในทางการเมืองถือว่าเสียไปมาก

นี่เป็นสงครามยืดเยื้อ จะประเมินผลได้ผลเสียเฉพาะหน้าไม่ได้
วันสงกรานต์เลือด คนเสื้อแดงแค่ยังไม่ชนะอำมาตย์ แต่ไม่ได้แตกทัพ

ผลได้ของสงกรานต์เลือด ทำให้คนตาสว่างขึ้นมาก มากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เสื้อแดงก่อนหน้านั้น ยังไม่มีกลุ่มก้อนที่หนาแน่น ยังไม่มีการจัดตั้ง แกนนำยังไม่ได้เรียนรู้

ศึกเดือนมีนาคมนี้ คนเสื้อแดง พร้อมกว่าครั้งที่แล้ว การจัดตั้ง เครือข่ายทุกอย่าง เทียบกับปีที่แล้วนี้ เทียบกันไม่ได้เลย

หากเรายังไม่อาจเผด็จศึกได้ในครั้งนี้ ก็ไม่มีผลเสียอะไรมากนัก อย่างมากก็กลับบ้านกันไปเตรียม "รบรอบใหม่" อีกครั้ง

ผลได้ในศึกครั้งนี้คือ ทำให้คนเสื้อแดงที่ตาสว่างยังไม่สนิทดี

ตาสว่างจ้า รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง สามารถดึง Mastermind ตัวจริงเสียงจริง ออกมาให้เห็นรำไรได้ (แต่เห็นรำไรก็ทำให้ตาสว่างจ้าแล้ว)

นี่คือ ผลได้อย่างมโหฬาร

บวกกับแนวรบด้านอื่นๆ เช่น ชูพงษ์ เปลี่ยนระบอบ
งานนี้มีแต่ได้กับได้

ศึกเดือนมีนา เราถอยได้ เลิกทัพกลับได้ สู้ใหม่ได้
อำมาตย์แม้จะยังไม่แพ้ แต่จะ "อ่อนกำลังไปมาก"
หากฟลุ๊ก เราก็ชนะเลย

งานนี้ รบก็ต้องรบ สงครามครั้งนี้ปิดประตูแพ้
ศึกครั้งนี้จะทำให้เขา "ช้ำใจหนักยิ่งกว่าเดิม" หากถึงขั้นนองเลือด เขาก็จะได้รู้ว่า ประชาชนไม่เอาแล้ว

ศึกครั้งต่อไป เขาแทบจะไม่มีอะไรเหลือที่จะสู้แล้ว

โดย.ลูกชาวนาไทย
***************************************************

แค้นเก่า? ‘บี้’สุขุมพันธุ์...


อนิจจา กทม.ยุคคุณชายสุขุมพันธ์ ถูกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นเป็นเพียงเบี้ยบนกระดาน ใช้เดินเกมเพื่อรักษาเก้าอี้นายกฯ และอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย จนคน กทม.อึดอัดกันหมดแล้วไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว “สุขุมพันธ์” ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้งานเข้าเต็มๆ สำหรับกรุงเทพมหานคร ยุคที่มี ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลทั้งๆ ที่ตามปกติ หากรัฐบาลเป็นพรรคเดียวกับผู้ว่าฯ กทม. ทุกอย่างก็น่าที่จะฉลุยแต่ใครจะคิดว่า ในยุคของ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ กลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน

ระยะหลังๆ ดูเหมือน กทม.จะตกอยู่ในสถานะ “เบี้ย” ทางการเมือง อย่างไรพิกลแถมเป็นเบี้ยที่ต้องถูกด่า ถูกวิพาก์วิจารร์จากสังคม โดยเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นระยะๆตลอดเวลาอย่างเช่นการถูกให้เดินเกมปิดสนามหลวงเป็นระยะเวลา 300 วัน ทั้งๆ ที่ใครๆ ก็รู้ว่า สนามหลวงเป็นพื้นที่หลักพื้นที่หนึ่งในการทวงคืนประชาธิปไตยของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อ กทม.มาสั่งปิดยาว 300 วันเสียงสะท้อนในเชิงลบย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่พ้นว่า... จงใจ เจตนา หรือไม่???เช่นเดียว

กับการปิดสะพานลอยสามเหลี่ยมดินแดง เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา จนกระทั่งทำให้รถติดวินาศสันตะโร ชยันโต กทม.กันลั่นๆ ทั้งเมือง ทำให้สุดท้าย ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องออกมาขอโทษประชาชนซึ่งแน่นอนว่าครั้งนี้ก็เช่นกัน ความสงสัยประดังขึ้นมาทันที เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศว่าจะมีการชุมนุมทวงคืนประชาธิปไตยในวันที่ 12 มีนาคม ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดง และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อมีการ

ชิงจังหวะปิดสะพานลอย ทำให้การจราจรมีปัญหา ก่อนหน้าการชุมนุมเพียงแค่ 4 วันเท่านั้น... ใครเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงก็อดสงสัยไม่ได้ทั้งนั้น ว่านี่มันน่าจะเป็นเจตนามากกว่าบังเอิญที่สำคัญที่สุด ที่ทำให้มีการปักใจเชื่อว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กำลังจงใจใช้ กทม. เป็นเบี้ยในการเดินเกมการเมือง เพียงเพื่อรักษาเก้าอี้นายกรัฐมนตรี และกลุ่มอำมาตยาธิปไตย ก็เพราะว่าในวันที่ 8 มีนาคม วันเดียวกับการประเดิมสั่งปิดสะพานลอยสาม

เหลี่ยมให้เดือดร้อนกันทั้งเมืองนั้นเอง ปรากฏว่านายอภิสิทธิ์ ได้มีการเรียก นายพงศ์ศักติฐ์ เสมสันต์ ปลัด กทม. พร้อมทั้งหัวหน้าเขตใน กทม. ทั้ง 50 เขต มาประชุมอ้างสถานการณ์บ้านเมือง แล้วขอให้บรรดาหัวหน้าเขตไปปลุกระดมชาวบ้าน กับพวกพ่อค้าให้ออกมาต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ด้วยการให้มีการร่วมมือกันติด Banner ต่อต้าน เรียกร้องความสงบสุข แน่นอนว่างานนี้ แม้แต่ส.ก. ส.ส. ของพรรคประชาธิปปัตย์ ก็ถูกขอให้มาร่วมดำเนินงานในครั้งนี้ด้วย

เช่นกันเล่นเอาบรรดาหัวหน้าเขตทั้งหมดนั่งอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้เป็นเรื่องของการช่วงชิงและยึดครองอำนาจทางการเมืองของนักการเมือง ที่มีกลุ่มอำมาตยาธิปไตยหนุนหลังแล้วข้าราชการ กทม. ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ ทำไมจึงต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยที่สำคัญบรรดาหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ล้วนอยู่ในพื้นที่และต่างรู้ดีว่า ในพื้นที่นั้นมีสีแดง และมีสีเหลือง รวมทั้งมีสีขาวอยู่ด้วยทั้งนั้น การที่จะสะเหร่อแป๊ะไปขอ

ความร่วมมือแบบที่นายอภิสิทธิ์สั่งการ ก็มีแต่ซวยกับซวยนั่นแหละ ยิ่งหากมีการพลิกผันเปลี่ยนขั้วทางการเมืองขึ้นมาจริงๆ อันตรายแน่ๆ อะไรไม่ร้ายเท่ากับว่า ไม่ใช่ให้ กทม. เป็นเบี้ยแค่ไปขอให้คนขึ้นป้ายผ้าต่อต้านคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่ยังจะให้ กทม.ออกมาตรการห้ามรถที่ติดทะเบียนต่างจังหวัด โดยเฉพาะรถทะเบียน 6 จังหวัดรอบกรุงเทพฯ จะไม่ให้เข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ ในช่วงที่คนเสื้อแดงชุมนุมงานนี้ป่วนหนักแน่ เพราะรถทะเบียนปริมณฑลรอบกรุงเทพฯ ก็

ล้วนแล้วแต่เป็นรถเชิงพาณิชย์ รถที่ทำมาหากิน ขนพวกอาหาร ผักผลไม้ เนื้อ และเนื้อหมู เข้ามาส่งในกรุงเทพฯ เข้ามาส่งในตลาดขืน กทม. ประกาศออกมาจริง ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจะพลอยลุกฮือขึ้นมาด้วย ทีนี้ล่ะได้กลายเป็นจราจลเลยแหละ เพราะเรื่องปากท้องการทำมาหากินของชาวบ้าน เอามาเป็นเกมการเมืองได้อย่างไรยังคลั่งไม่พอ... เพราะในการประชุมยังมีการเสนอมาตรการให้ปิดปั้มน้ำมันรอบกรุงเทพฯด้วย หวังบีบให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมชุมนุม เข้า

กรุงเทพฯ ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำมันเติม หรือหากเข้ามาได้ ก็จะไม่มีน้ำมันเติมกลับบ้านรวมทั้งยังคิดจะให้ กทม. สั่งห้ามรถอีแต๋น เข้ากรุงเทพฯ อีกด้วยนี่คืออาการคลั่งอำนาจ และการพยายามรักษาความมั่นคงของตนเอง โดยไม่มีการคำนึงถึงอะไรอีกแล้วดังนั้นเมื่อ ทางกทม. ได้มีการชี้แจงด้วยความลำบากใจว่า ตามบัญญัติอำนาจหน้าที่ของ กทม.นั้น มีหน้าที่ทำความสะอาด หาห้องน้ำ รักษาพยาบาล จัดการจราจร ดูแลทุกข์สุข ให้ประชาชนในกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นสีไหน

ก็ตามเล่นเอาบิ๊กประชาธิปัตย์นอกจากตกอยู่ในสภาวะหน้าหงายแล้ว ยังถึงกับทะลุขีดคลั่ง เพราะเหมือนกับเป็นการตอบเป็นนัยๆ ว่าไม่มีหน้าที่รับใช้พรรคการเมืองไม่มีหน้าที่เป็นเบี้ยบนกระดานการเมืองให้ใครซึ่งจะว่าไปก็โทษว่าทาง กทม. ที่ต้องตั้งการ์ดสูงระวังตัวไว้ก่อนไม่ได้ เพราะที่ผ่านมา การเมืองรอบนี้ก็ใช้ กทม. ใช้ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ให้เปลืองตัวจริงๆไม่รู้ว่าการที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ต้องตกอยู่ในสถานะ “หนังหน้าไฟ” เช่นนี้ เป็นเพราะเมื่อปลายเดือนกันยายน ปีที่แล้ว

ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ ได้มีการวิพากษ์ตรงไปตรงมาแบบวิชาการ ว่าการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจสไตล์ประชาธิปัตย์นั้นไม่ได้เรื่อง ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ 2 เด็กดื้อ ปชป. แค้นฝังหุ่น และจ้องเล่นงาน ม.ร.ว.สุขุมพันธ์มาตลอดก็เป็นได้จึงทำให้ครั้งนี้ถึงได้ หวังใช้ กทม.ให้ทำงานที่เสี่ยงต่อการ “กระทำเกินหน้าที่” ซึ่งเป็นอันตรายต่อหน่วยงานและข้าราชการ กทม.ทั้งหมดเป็นอย่างมากเป็นเกมอำมหิตและคบยากจริงๆ ของประชาธิปัตย์สไตล์คบยากของประชา

ธิปัตย์แบบนี้แหละที่ทำให้ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ที่วิทยาลัยตลาดทุน (วตท.) นายพินิจ จารุสมบัติ ในฐานะประธานรุ่น 9 ได้ขึ้นบนเวทีกล่าวต้อนรับ นักศึกษารุ่นที่ 10 ซึ่งมีนายบรรหาร ศิลปอาชา กับพวกรุ่นใหญ่ๆ ของประเทศอีกหลายคนอยู่ในรุ่นนี้ด้วย ทำให้มีคนแทบทุกพรรคการเมือง เป็นนักเรียนรุ่นที่ 10 ซึ่งวันนั้นท่ามกลาง วตท. ทั้งรุ่น 9 และรุ่น 10 ประมาณ 200 กล่าวคน นายพินิจ ได้มีการกล่าวว่า “ขอให้พี่บรรหารเพียงทำ ส.ส.ในสังกัดเปลี่ยนขั้ว ประเทศไทยจะ

เจริญก้าวหน้าสงบสุขทันที”เรียกเสียงเฮฮาได้ดังลั่น แต่เมื่อหลายๆ คนเหลือบไปเห็นหน้า นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี ซึ่งเป็น วตท.รุ่น 9 นั่งอยู่ด้วย ทุกคนก็ขำไม่ออกเพราะตามข่าวบอกว่าหน้าตาของนายไตรรงค์ไม่ค่อยจะมีความสุขเอาเสียเลยแต่จะโทษใครได้ ทุกอย่างล้วนเกิดจาก ปชป.ยุคเด็กดื้อที่มีอำมาตย์อุ้มทั้งสิ้น... บ้านเมืองถึงวุ่นวายเช่นนี้

ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง


"ทักษิณ"จวกรบ.ใช้วิชามารสกัดแดง ปลุกต้องสู้อย่าหวั่นไหว เหน็บรบ.ประกาศใช้พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.45 น. วันที่ 10 มีนาคม พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้วิดีโอลิงค์เป็นภาษาเหนือไปยังเวที “เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน” ของกลุ่มคนเสื้อแดง 4 จุด ประกอบด้วยอ. สูงเม่น จ. แพร่, อ. เชียงแสน จ. เชียงราย, อ. สันกำแพง จ. เชียงใหม่ และอ. อาจสามารถ จ. ร้อยเอ็ด โดยมีใจความตอนหนึ่งว่าในวันที่ 14 มีนาคมที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีชุมนุมกัน มีข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งตนมาว่ามีความพยายามจะสกัดไม่ให้พวกเราเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยมีการวางระบบเพื่อทำลายภาพลักษณ์กลุ่มเสื้อแดงเหมือนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งถือเป็นวิชามารของรัฐบาล โดยกล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ความรุนแรง ทั้งที่ไม่เป็นความจริง ดังนั้นขอให้ชาวเสื้อแดงเตรียมกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ กล้องโทรศัพท์มือถือติดตัวไป หากเกิดเหตุการณ์อะไรให้ถ่ายรูปไว้เพื่อเอาไปฟ้องชาวโลก วันนี้เราต้องสู้ต่อ อย่าหวั่นไหว ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อม

พ.ต.ท. ทักษิณกล่าวต่อว่า นอกจากนี้อยากฝากบอกไปยังผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เคยออกทีวีเรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง ถ้าเป็นตนปลดแม่งไปแล้ว แต่วันนี้กลับมาปล่อยข่าวปฏิวัติ แทนที่จะไปออกทีวีปลดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง เพราะเป็นนายกฯ ที่ไม่มีความสง่างาม อย่างวันนี้ก็มีลุงจากจ. นครพนมกำขี้วัวจากบ้านเกิดไปปาบ้าน แสดงให้เห็นว่าคนมันบัดซบ ไม่มีความสง่างาม เพราะปล้นอำนาจประชาชน โดยมีศาล อำมาตย์ และทหารช่วยเหลือ

“ขอบอกว่าคนเสื้อแดงไม่ได้เป็นภัยต่อบ้านเมือง แต้ต้องการเห็นบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ไม่ได้จะเข้ามาก่อความวุ่นวาย เราเป็นคนไทย รักแผ่นดินไทย ดังนั้นในวันที่ 14 มีนาคมนี้ใครมาได้ต้องมา ถ้าคนมามากขนาดนี้ แล้วมันเอาลวดหนามมาขวาง ก็ยกให้คว่ำไปเลย” พ.ต.ท. ทักษิณกล่าว

พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้พูด"คำเมือง" กับชาวเสื้อแดงว่า รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.บ่อยกว่ากระดาษชำระที่บ้านอีก ตอนช่วงสมัยที่รัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ประกาศ พ.ร.ก.ทหารซื่อบื้อไม่ทำอะไรสักอย่าง สมัย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกพ.ร.ก.เพราะมีการยึดสนามบินแต่ทหารไม่ทำอะไรสักอย่าง เพราะกินภาษีประชาชนแต่ฟังอำมาตย์ เชื่อคำสั่งผู้มีบารมีนอกระบบ


ที่มา..มติชนออนไลน์
**************************************

พังเพราะอคติและความกลัว!

คอลัมน์ .เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน

“แม้การปฏิวัติรัฐประหารจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้”

คำพูดของ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตซีไอเอไทย เจ้าของฉายา “ปิศาจคาบไปป์” ไม่ใช่จะผ่านเลยไปเฉยๆ แม้จะรู้กันดีว่า น.ต.ประสงค์มีความคิดสีเหลืองทั้งสมอง แต่เรื่องการมองปัญหาบ้านเมืองถือว่าเป็นคนที่มองปัญหาได้เฉียบคมและชัดเจนคนหนึ่ง

โดยเฉพาะการติติงรัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่ง น.ต.ประสงค์เชื่อเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต แต่ไม่เชื่อในรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล จึงได้พยายามให้นายอภิสิทธิ์มีความกล้าที่จะสั่งการหรือปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีที่มีปัญหาหรือส่อว่าจะมีปัญหา ไม่ใช่พะวงแต่ผลประโยชน์ของพรรคมากจนเกินไป

น.ต.ประสงค์จึงเชื่อว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์วันนี้กำลังนับถอยหลังและใกล้ถึง “จุดเปลี่ยน” เพราะเชื่อว่าขณะนี้กระแสของความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไปมีปัญหากับระดับสูงขึ้นมาอีก

แต่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงจนบ้านเมืองหายนะนั้น ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองและคนในกองทัพคงไม่ยอม

เพราะฉะนั้นเงื่อนไขของการทำปฏิวัติรัฐประหารจึงไม่ใช่อยู่ดีๆทหารจะออกมา แต่เพราะมีเงื่อนไขให้ทหารต้องออกมารักษาสถานการณ์ให้เกิดความมั่นคงและเป็นปรกติสุข

จะเป็นการขู่คนเสื้อแดง รัฐบาล หรือส่งสัญญาณเพื่อใครก็ตาม แต่ก็เหมือน “จิ้งจกทัก” ซึ่งประเทศไทยจิ้งจกเยอะจนยั้วเยี้ยอยู่แล้ว แถมยังมี “ตุ๊กแก” ตัวโตๆอีก

เรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงจึงอาจทำให้เห็นปรากฏการณ์หลากหลายและมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ให้เห็นก็ได้

ความเงียบกับการทำสงครามข่าวสารนั้นต้องจับทิศทางและดูต้นตอให้ดี เพราะสถานการณ์ที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้มีการสอดแทรกและสร้างเงื่อนไขที่สามารถทำให้เกิดสถานการณ์พลิกขั้ว พลิกอำนาจได้ง่ายๆ

ไม่ใช่ “น้ำผึ้งหยดเดียว” แต่เป็น “ดินพอกหางหมู” ของรัฐบาลที่มองแต่คนอื่นจนลืมมองดูตัวเองว่าขาและหางนั้นจมอยู่ในบ่อดินบ่อโคลนจนก้าวไปออก

ข้อมูลและข่าวสารที่ได้รับรายงานจากฝ่ายความมั่นคง ถ้าไม่กรองให้ดีหรือคนกรองมีอคติก็จะนำไปซึ่งการวางแผนที่ผิดพลาดได้ง่ายๆ

เพราะการให้ได้ชัยชนะนั้นไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรง โดยเฉพาะกับประชาชน

อย่างที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย ออกมาเตือนรัฐบาลที่ออกมาพูดแต่ความรุนแรงและการใช้มาตรการต่างๆเพื่อหยุดคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นท่าทีที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย

คือมองคนเสื้อแดงเป็น “ศัตรู” ของแผ่นดิน ทั้งที่คนเป็นล้านๆออกมาก็เพราะเห็นว่าบ้านเมืองไม่มีความยุติธรรมจึงต้องการให้นำประชาธิปไตยกลับคืนมา

ดังนั้น ความเห็น พล.อ.ชวลิตจึงยังเชื่อมั่นว่าวันนี้ทุกฝ่ายก็ยังสามารถแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรงได้ เพราะเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดคือต้องพูดจากัน นั่งคุย ปรึกษาหารือกันหน่อย

“เขาก็ลูกหลาน พี่น้อง เพื่อนฝูงเราทั้งนั้น ก็แค่นั้นเอง ทำไมไม่มีหัวใจให้กันบ้าง สิ่งนี้สำคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา แต่ถ้าไปสร้างเรื่องต่างๆให้มันเกิดขึ้นก็ยุ่ง ผมพยายามอธิบายให้แล้วว่าพบปะ พูดคุย เปิดให้โล่งหน่อยนะ ให้เขาได้แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะบ้าง ทุกอย่างก็จะง่ายลง เราทำกันมาให้เห็นตั้งเยอะแยะแล้วในอดีต”

แต่พรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์และพ่อบ้านที่มาดนักเลงกลับไม่เคยที่จะคิดอย่างนี้

เรื่องง่ายๆก็เลยกลายเป็นยุ่งยาก เพราะความอคติที่ฝังแน่นพอๆกับกลัวจะสูญเสียอำนาจ

สุดท้ายมันก็มีแต่ตกต่ำเป็นสาละวันเตี้ยลงๆ...แล้วยังทำให้บ้านเมืองพังพินาศไปด้วย

**********************************************************************

อำนาจรัฐกับการชุมนุมสาธารณะ


บทเรียนจากเหตุการณ์เดือนตุลาคมปี 2516 ปี 2519 และพฤษภาคม 2535 สอนให้สังคมไทยรู้ว่า การที่รัฐใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการชุมนุมของประชาชนเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ และจะนำไปสู่การสูญเสียความชอบธรรมของผู้ใช้อำนาจปกครองบ้านเมือง

แต่ความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา กลายเป็นแบบทดสอบทางความคิดที่ไม่ง่ายต่อสังคมไทยนัก เมื่อมีความคิดเห็นทางอุดมการณ์การเมืองที่หลากหลาย มีการชุมนุมประท้วงจากหลากหลายฝ่าย ที่ทั้งเพิ่มความถี่ และเพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้น

หลายคนในสังคมมองเห็นว่า สังคมในปัจจุบันกำลังอยู่ในความแตกแยก เพราะเพียงแค่เลือกพรรคการเมืองที่แตกต่างกัน หรือมีรสนิยมทางการเมืองที่แตกต่างกัน ถูกนิยามกลายเป็นเรื่องดี ชั่ว และผลกระทบก็คือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกละเลย การออกมาชุมนุมแต่ละครั้งมีทั้งความชอบธรรมและความเกลียดชัง

คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งที่เคยเชื่อในเรื่องเสรีภาพการแสดงออก เคยมีจุดยืนที่แน่วแน่ว่าการที่รัฐใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามการชุมนุมเป็นการกระทำที่ยอมรับไม่ได้ มาวันนี้ความหนักแน่นในแนวคิดเหล่านั้นกลับอ่อนกำลังลง และเริ่มรู้สึกยินดีที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังเข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมบ้าง เพื่อให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

หรือความขัดแย้งในการเมืองไทย สร้างมาตรฐานใหม่ให้การชุมนุมในที่สาธารณะไปเสียแล้ว ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีแค่มาตรฐานเดียว

ที่ผ่านมาพบว่า การชุมนุมของประชาชนหลายครั้งต้องเผชิญกับปลายทาง ด้วยการใช้ความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความรุนแรงที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของคนทั่วไป ที่ให้ไฟเขียวต่อการปราบปรามการชุมนุม ดังเช่น

เหตุการณ์วันที่ 22 กรกฎาคม 2550 เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมบริเวณหน้าบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

เหตุการณ์วันที่ 7 ตุลาคม 2551 เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้แก๊สน้ำตายิงเข้าใส่ผู้ชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อเปิดทางเข้าออกบริเวณหน้ารัฐสภา

เหตุการณ์วันที่ 13 เมษายน 2552 เจ้าหน้าที่ทหารใช้กำลังเข้าปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิและบริเวณใกล้เคียงหลายจุด มีการใช้อาวุธปืนเอ็ม16ยิงขู่ และใช้กระสุนกระดาษยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อสลายการชุมนุม

และระยะหลังนี้ ไม่ต้องรอให้เกิดสถานการณ์การชุมนุม แต่ก็มีกรณีที่รัฐบาลชิงประกาศล่วงหน้าว่า เตรียมใช้เครื่อง LRAD หรือเครื่องขยายเสียงระยะไกล ในช่วงก่อนการนัดชุมนุมใหญ่ครบรอบ 3 ปีการรัฐประหาร ที่แย่ไปกว่านั้น ก่อนจะถึงวันชุมนุมดังกล่าว ในวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา เครื่อง LRAD นี้ก็ได้แสดงพลังของมัน โดยตำรวจนำมาใช้ในการชุมนุมของกลุ่มสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ที่ถูกเลิกจ้าง บริเวณหน้ารัฐสภา เพื่อสลายการชุมนุม

ประสบการณ์เหล่านี้แสดงให้สังคมรู้สึกว่า แนวโน้มการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ดูจะเน้นที่การนำอาวุธมาใช้จัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม มากกว่าการประสานเจรจา การใช้ความอดทนและเข้าใจบนฐานของการเคารพสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก

ประเด็นที่สาธารณะชนให้ความสนใจมากขึ้น จึงมีทั้งเรื่องอาวุธที่อยู่ในมือรัฐ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจรัฐและวิธีการที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติ และประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ วิธีการแบบใดที่สามารถกระทำได้


เครื่องมือหรืออาวุธของเจ้าหน้าที่ที่นำมาใช้กับกลุ่มผู้ชุมนุม

แก๊สน้ำตา เป็นอาวุธที่พบเห็นบ่อยในการใช้สลายการชุมนุม แก๊สน้ำตามีหลายประเภท ผู้ที่ถูกแก๊สน้ำตาจะมีอาการน้ำตาไหล น้ำมูกไหล มองไม่ชัด ระคายเคือง อาเจียน ถ้าสัมผัสปริมาณมาก อาจถึงขั้นตาบอดได้ คนทั่วไปไม่สามารถทนอยู่ในบริเวณที่มีแก๊สน้ำตาได้ โดยทั่วไป เมื่อออกมาจากบริเวณที่มีแก๊สน้ำตา ประมาณ 1 ชั่วโมง อาการก็จะหายไปเอง จึงมองได้ว่าเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพแต่ไม่ส่งผลกระทบร้ายแรง เป็นเครื่องมือสลายการชุมนุมที่ใช้ทั่วไปในต่างประเทศ ในปัจจุบันมีทั้งแบบยิง และแบบขว้าง ซึ่งในประเทศไทยก็นำมาใช้ทั้งสองแบบ

สเปรย์พริกไทย นอกจากจะเป็นอุปกรณ์ป้องกันตัวแล้ว สเปรย์พริกไทยยังถูกนำมาใช้ในการควบคุมการชุมนุมด้วย แท้จริงแล้ว สเปรย์พริกไทยเป็นสารสกัดจากพริก ไม่ใช่พริกไทย ผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ทำให้ตาปิดและมองไม่เห็นเป็นเวลา 30-45 นาที แสบตา ทำให้หายใจยาก พูดยาก ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต หลังจากถูกสเปรย์พริกไทยประมาณ 45 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมงอาการจะหายไปเช่นกัน


กระสุนยาง เป็นอาวุธควบคุมการชุมนุมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยมานาน แต่ไม่ค่อยเป็นข่าวมากนัก กระสุนยางใช้ยิงผ่านปืนบางชนิด ถ้ายิงโดนบริเวณท้องหรือลำตัวจะทำให้จุก ถ้าโดนบริเวณกระดูกอาจถึงขั้นกระดูกหัก และถ้าโดนกะโหลกศีรษะอาจทำให้กะโหลกศีรษะร้าวและอันตรายถึงชีวิตได้ เป็นอาวุธอีกชนิดหนึ่งที่หลายประเทศใช้ในการปราบจราจล


เครื่อง LRAD เครื่องขยายเสียงระยะไกล เป็นอาวุธสงครามที่สหรัฐอเมริกาผลิตขึ้น ใช้ป้องกันเรือรบจากการโจมตีของเรือเล็ก ต่อมานำมาใช้เพื่อป้องกันการโจมตีของโจรสลัด และสหรัฐเคยนำมาใช้กับการควบคุมฝูงชนในอิรักด้วย LRAD มีลักษณะเป็นเครื่องขยายเสียง ใช้ในการประกาศ สื่อสารกับผู้ชุมนุม สามารถกำหนดทิศทางของเสียงได้ และสามารถส่งเสียงดังได้ถึง 151 เดซิเบล ซึ่งเป็นความดังที่ประสาทหูของคนทั่วไปจะรับไม่ได้ ผู้ที่อยู่ในระยะของเสียงจะเกิดอาการปวดแก้วหู คลื่นไส้ อาเจียน ทนไม่ไหว ต้องหลบให้พ้นจากแนวเสียง หากทนอยู่นานๆ อาจสูญเสียประสาทการได้ยินเป็นการชั่วคราวหรือถาวรได้

นอกจากที่กล่าวมา ในต่างประเทศยังมีอาวุธและอุปกรณ์อีกหลายชนิดที่คิดค้นขึ้นมาสำหรับการควบคุมการชุมนุม เช่น ปืนไฟฟ้า ปืนถุงถั่ว ระเบิดกลิ่นเหม็น (Stink bomb) ระเบิดเสียง ปืนตาข่าย (Net gun) โฟมกาว (Gooey foam) สุนัขตำรวจ บางชนิดก็ได้รับการยอมรับให้ใช้ในการสลายการชุมนุมได้ บางชนิดก็ยังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ถึงผลกระทบว่าอาจจะรุนแรงเกินไป ซึ่งหากสถานการณ์การชุมนุมของไทยยังคงเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ เราอาจจะได้เห็นเครื่องมือชนิดใหม่ๆ ในประเทศไทยอีกก็เป็นได้


กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ “การเข้าสลาย” การชุมนุม
ที่ผ่านมา มีการพูดถึงการจัดการการชุมนุม โดยหลายฝ่ายเคยอยากเสนอให้มีการออกเป็นพระราชบัญญัติการชุมนุมในที่สาธารณะ อย่างไรก็ดี ด้วยกฎหมายที่มีอยู่ทุกวันนี้ มีกลไกกฎหมายที่ให้อำนาจรัฐจัดการต่อการชุมนุมได้อยู่แล้ว ได้แก่


ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 215 ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ บรรดาผู้ที่กระทำความผิด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการกระทำความผิดนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 216 เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทำความผิดตามมาตรา 215ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ


ในประมวลกฎหมายอาญา ได้ระบุความผิดฐานมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และความผิดฐานมั่วสุมกันแล้วเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกรัฐบาลมักระบุว่าผู้ชุมนุมมีความผิดตามกฎหมายมาตรานี้ จึงต้องใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ซึ่งใช้ได้กับการชุมนุมแทบทุกรูปแบบ

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2551
มาตรา 108 ห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินเป็นขบวนแห่ หรือเดินเป็นขบวนใดๆ ในลักษณะที่เป็นการกีดขวางการจราจร เว้นแต่
(๑) เป็นแถวทหารหรือตำรวจ ที่มีผู้ควบคุมตามระเบียบแบบแผน
(๒) แถวหรือขบวนแห่หรือขบวนใดๆ ที่เจ้าพนักงานจราจรได้อนุญาตและปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าพนักงานจราจรกำหนด
มาตรา 109 ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ บนทางเท้าหรือทางใดๆ ซึ่งจัดไว้สำหรับคนเดินเท้าในลักษณะที่เป็นการกีดขวางผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร


พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 กำหนดห้ามมิให้ผู้ใดเดินแถว เดินขบวนกีดขวางการจราจร และห้ามผู้ใดทำด้วยประการใดๆ ที่เป็นการกีดขวางทางเท้า แต่จะเห็นว่า การชุมนุมตามท้องถนนแทบทุกกรณีก็เข้าข่ายการกีดขวางการจราจร หรืออย่างน้อยก็เป็นการกีดขวางทางเท้า เรียกได้ว่าเป็นกฎหมายที่มีโทษเบาแต่เจ้าหน้าที่อาจใช้อ้างได้เสมอเพื่อการเข้าสลายการชุมนุม

พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551
มาตรา ๑๘ เพื่อประโยชน์ในการป้องกัน ปราบปราม ระงับ ยับยั้ง และแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ภายในพื้นที่ ตามมาตรา ๑๕ ให้ผู้อำนวยการโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
(๒) ห้ามเข้าหรือให้ออกจากบริเวณพื้นที่ อาคาร หรือสถานที่ที่กำหนดในห้วงเวลาที่ปฏิบัติการ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ หรือเป็นบุคคลซึ่งได้รับการยกเว้น
(๓) ห้ามออกนอกเคหสถานในเวลาที่กำหนด



เป็นกฎหมายที่รัฐบาลชุดนี้นำมาประกาศใช้ก่อนมีการชุมนุมครั้งใหญ่ หรือมีเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อการเกิดการชุมนุม เมื่อรัฐบาลประกาศใช้ในท้องที่ใดมีผลให้อำนาจในการตัดสินใจ การควบคุมดูแลการชุมนุมของทุกองค์กรโอนมาเป็นของผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (ผอ.รมน.) ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี โดยมีหน่วยงานของทหารอยู่ในอำนาจการบริหารงาน และมีอำนาจออกข้อกำหนดต่างๆ เพื่อควบคุมการชุมนุม

พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกข้อกำหนด ดังต่อไปนี้
(๒) ห้ามมิให้มีการชุมนุมหรือมั่วสุมกัน ณ ที่ใด ๆ หรือกระทำการใดอันเป็นการยุยงให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย
นายกรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศใช้กฎหมายนี้ในท้องที่ที่มีเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงหรือความสงบเรียบร้อย ปัจจุบันประกาศใช้อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้อำนาจการแก้ไขสถานการณ์เป็นของนายกรัฐมนตรีผู้เดียวและนายกรัฐมนตรีมีอำนาจหลายประการที่เพิ่มขึ้นจากกฎหมายในยามปกติ และอาจออกข้อกำหนดมาควบคุมการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนข้อกำหนดอื่นๆ ที่อาจเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพได้

หากว่าการชุมนุมครั้งใดเข้าข่ายผิดกฎหมายบทอื่นอีก เช่น มีการบุกรุกสถานที่ราชการ ทำลายทรัพย์สิน ส่งเสียงดังรบกวน หมิ่นประมาทบุคคล หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะมีเหตุผลมากขึ้นในการเข้าสลายการชุมนุม แม้แต่ข้อหากบฎ ก็ยังเคยนำมาใช้


หลักสากลในการสลายการชุมนุม
กฎหมายต่างๆ ที่ยกมานี้ ทำให้ต้องตั้งคำถามต่อไปว่า ทุกครั้งที่มีความพยายามออกกฎหมายการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมักบอกว่า เจ้าหน้าที่รัฐจำเป็นต้องออกกฎหมายใหม่ เพื่อให้มี “เครื่องมือ” ในการบริหารจัดการผู้ชุมนุม นั้น มีความจำเป็นจริงหรือ กฎหมายเท่าที่มีอยู่นี้ยังไม่เพียงพอจะเป็น “เครื่องมือ” ให้เจ้าหน้าที่ได้หรือ

แทนที่จะมองการออกกฎหมายการชุมนุมในที่สาธารณะ ที่เป็นการมองจากฟากของรัฐว่าจะจัดการประชาชนอย่างไร ในทางตรงกันข้าม ฟากประชาชนต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหาเครื่องมือในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการชุมนุม และตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจรัฐที่จะมาควบคุมการชุมนุมให้มีมาตรฐาน

ในทางสากล แม้เรื่องนี้จะไม่ได้มีหลักสากลระหว่างประเทศที่ไทยมีพันธะร่วม แต่ก็พอจะมีมาตรฐานของวิธีการที่นานาประเทศนำมาใช้และเป็นที่ยอมรับกัน


กล่าวโดยสรุป เจ้าหน้าที่จะดำเนินการสลายการชุมนุมได้ ขั้นแรกต้องเริ่มจากการเจรจาหาทางออกก่อน หากไม่สำเร็จเจ้าหน้าที่ต้องประกาศให้ผู้ชุมนุมปฏิบัติตามคำสั่ง หรือเตือนก่อนว่าจะสลายการชุมนุม จากนั้นต้องแสดงพลังเพื่อส่งสัญญาณ เช่น การกระแทกกระบองกับโล่ให้เกิดเสียง ถ้าผู้ชุมนุมไม่ยอมสลายตัวต้องประกาศเตือนอีกครั้งแล้วจึงสามารถเข้าสลายการชุมนุมได้ โดยต้องเริ่มจากมาตรการเบาก่อนแล้วค่อยๆ หนักขึ้น คือ ใช้รถฉีดน้ำก่อน ถ้าไม่สำเร็จผลค่อยใช้แก๊สน้ำตา ไม่มีข้อกำหนดให้ใช้อาวุธหนัก หรืออาวุธสงครามได้และหลังจากการสลายการชุมนุมเจ้าหน้าที่ต้องเข้าเคลียร์พื้นที่ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และเยียวยาความเสียหายด้วย

การชุมนุมสาธารณะ เป็นวิธีการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ และแทบจะเป็นเครื่องมือชิ้นเดียวที่ผู้มีอำนาจน้อยกว่าสามารถหยิบมาใช้ได้อย่างเสมอภาคกัน ขณะเดียวกันการแสดงออกผ่านการชุมนุมก็จำเป็นที่จะต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของบุคคลอื่น และไม่ละเมิดต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองด้วย

การสลายการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่รัฐใช้วิธีการ อาวุธ เหตุผล และอาศัยกฎหมายที่ให้อำนาจแตกต่างกันไป ในแง่หนึ่งก็เป็นการกระทบสิทธิของผู้ชุมนุมเพราะไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องพบกับการสลายการชุมนุมเมื่อไร อย่างไร และเพราะอะไร ซึ่งบรรยากาศความไม่มั่นคงเช่นนี้ บั่นทอนการแสดงความคิดเห็นในสังคมประชาธิปไตยอย่างรุนแรง

เพราะฉะนั้นแล้ว การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ ควรมีกรอบแนวทางหรือไม่และอย่างไร เพื่อคุ้มครองกลุ่มผู้ชุมนุมเองและคุ้มครองความสงบสุขของสังคม เงื่อนไขเช่นไรที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมได้ อาวุธอะไรที่จะนำมาใช้ได้ในแต่ละสถานการณ์ จะมีมาตรการใดที่ทำให้ผู้ที่เสียเปรียบอยู่แล้วไม่กลายเป็นผู้ถูกกระทำซ้ำอีก

ที่มา:ilaw bata
***************************************************

กฎการใช้กำลังของกองทัพไทยในการปราบปรามจลาจล


เป็นแนวทางที่ กห. กำหนดขึ้นภายใต้ความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี เพื่อควบคุมการใช้กำลังให้อยู่ภายใต้กฎหมาย และ เป็นแนวทางการใช้อาวุธต่อสถานการณ์ที่มีการจลาจลเกิดขึ้น เพื่อให้กำลังของกองทัพไทยสามารถใช้กำลังเพื่อบรรลุภารกิจ โดย กฎการใช้กำลัง นี้จะไม่เป็นข้อจำกัดที่ทำให้กำลังพลสูญเสียสิทธิในการป้องกันตนเอง

การใช้กำลัง
๑. ใช้กำลังตามความจำเป็นของสถานการณ์
๒. ก่อนการใช้กำลังให้มีการแจ้งเตือนก่อน เว้นแต่ในกรณีที่ฝ่ายเราถูกโจมตีก่อน
๓. การใช้กำลังเพื่อบังคับผู้ชุมนุมปฏิบัติตามคำสั่งหรือกรณีที่มีการฝ่าฝืนคำสั่ง
๓.๑ เตือนด้วยวาจาให้หยุดการกระทำหากไม่หยุดให้แสดงท่าพร้อมใช้กำลัง
๓.๒ หากฝ่าฝืนให้ใช้กำลังเพื่อกักตัวหรือทำการจับกุม โดยใช้กำลังที่เหมาะสม
๓.๓ การปฏิบัติต่อ สตรี เด็กและคนชราจะต้อเพิ่มความระมัดระวัง เหมาะสมกับสถานภาพ
๔. การใช้กำลังเข้าสลายฝูงชน ให้อยู่ในอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารในพื้นที่ ที่ได้รับคำสั่งให้รับผิดชอบในการปราบปรามจลาจล
๕. การใช้กำลังป้องกันตนเองหรือทรัพย์สินของทางราชการ ป้องกันการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือปกป้องชีวิตผู้อื่นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง สามารถกระทำได้ตามความจำเป็น แต่ต้องพอสมควรแก่เหตุ

การใช้อาวุธ
๑. ใช้เฉพาะในสถานการณ์วิกฤติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
๒. หากสามารถกระทำได้ให้เตือนก่อนว่า จะใช้กำลังเข้าสลายฝูงชน
๓. การใช้กระบอง ให้ใช้ในกรณีผลักดันกลุ่มคนออกจากพื้นที่
๓.๑ ต้องเตือนก่อน เว้นแต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย
๓.๒ หากจำเป็นต้องทำการตี ต้องไม่ตีที่บริเวณอวัยวะสำคัญ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรือทำให้พิการ
๔. การยิงกระสุนยาง ให้ใช้ต่อเป้าหมายที่กระทำการหรือมีท่าทีคุกคามต่อชีวิตเรา โดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน จะต้องเล็งยิงให้กระสุนยางกระทบส่วนล่างของร่างกายของผู้ที่เป็นเป้าหมาย จะต้องไม่ยิงในระยะใกล้กว่า ๒๐ เมตร เว้นแต่มีภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อชีวิตซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
๕. การใช้น้ำฉีด ให้ใช้ในกรณีการสลายฝูงชน โดยใช้แรงดันเท่าที่จำเป็น และอย่าฉีดน้ำไปยังบริเวณอวัยวะที่บอบบาง เช่น ดวงตา
๖. การใช้สารควบคุมการจลาจลในการสลายฝูงชนอยู่ในอำนาจของ ผู้บังคับบัญชาทหารที่ไดรับคำสั่งให้รับผิดชอบในการปราบปรามการจลาจล หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย
๗. การใช้ ลูกระเบิดแก๊สน้ำตา
๗.๑ระยะยิง/ขว้าง ต้องไม่ต่ำกว่า ๒๕ เมตร
๗.๒ มุมการยิง/ขว้าง ต้องไม่ถูกยิงหรือขว้างไปโดนตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
๗.๓ ระมัดระวังไม่ให้เกิดอันตรายแก่กลุ่มบุคคลใกล้เคียงที่ไม่เกี่ยวข้อง
๘.การใช้อาวุธประจำกาย สามารถทำได้ตามความจำเป็นเพื่อป้องกันตนเองหรือชีวิตผู้อื่น แต่จะต้องพอสมควรแก่เหตุ และให้ยุติการใช้ เมื่อภัยคุกคามนั้นสิ้นสุดลง
๙. ห้ามใช้อาวุธที่มีอำนาจการทำลายสูงกว่าอาวุธประจำกาย เช่น เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม.๗๙ ลูกระเบิดสังหาร ระเบิดเพลิง ปืนกลเบา ปืนกลประจำรถถัง ปืนต่อสู้อากาศยาน เครื่องยิงลูกระเบิด ปืนใหญ่ อาวุธที่ติดกับอากาศยานทุกชนิด

หมายเหตุ

- เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ต้องดำเนินการช่วยเหลือทางการแพทย์ : ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดควรได้รับการปฐมพยาบาลโดยเร็วที่สุด

- มาตรการเสริม ให้เป็นอำนาจของผู้บังคับบัญชาทหารที่ได้รับคำสั่ง หรือมอบอำนาจให้รับผิดชอบในการปราบจลาจล
ข้อแนะนำในการปฏิบัติของกำลัง รส.ในการควบคุมและสลายฝูงชน
จะต้องใช้มาตรการจาก เบาไปหาหนักเป็นลำดับ ดังนี้
1.ปจว.กับผู้ชุมนุมโดยรถติดเครื่องขยายของหน่วย
2. ใช้รถดับเพลิงฉีดเพื่อควบคุมฝูงชน
3. ใช้แก๊สน้ำตา
4.ใช้กำลังเข้าตัด ฝูงชน/ ควบคุมแกนนำ / รถ/เครื่องเสียง และ ผลักดัน ฝูงชนที่แตกแยก
5. ควบคุมพื้นที่

วิธีปฏิบัติเมื่อเข้าปะทะ
ถ้าการต้านทานไม่รุนแรง ให้ดันเท่านั้น ไม่ใช้กระบอง
ถ้าการดันไม่ได้ผลทำให้รูปขบวนถอย จำเป็นต้องใช้กระบองตามยุทธวิธี
การใช้แรงผลักดันอย่างเดียวจะไม่สามารถผลักดันให้ถอยหลังได้ จำเป็นต้องให้ฝูงชนผลักดันกันเองเนื่องจากความเจ็บปวดจะทำให้ไม่ต้องการปะทะเจ้าหน้าที่(แรงดันกลับ)

รุนแรงเพิ่มขึ้น เปรมอยู่ในแผ่นดินไทยไม่ได้แล้วแค้นจัดโดนโห่ไล่กลางงานศพ

คืบหน้าล่าสุด

1 เสธแดงได้รับประกันตัวมาแล้วแต่เคทองไม่ได้ประกันตัว แสดงว่าศาลชั้นต้นมีความเป็นกลางอยู่มาก เพราะเราทำนายผลไม่ได้ แต่ถ้าศาลฎีกา คดีไหนคดีนั้น รู้ผลล่วงหน้า แล้วก็มีพวกศาลกันเองหรือพวกอำมาตย์ออกมายกกันเองว่าตัดสินเที่ยงตรง ทั้งที่สถาบันเพิร์ธให้คะแนนกระบวนการยุติธรรมไทยรองโหล่ในเอเซีย พอมีคนมาโต้ประเด็นศาล เลขาศาลยังชี้ข้อกฎหมายผิดๆ ออกมาตลอดเวลา

2 พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นถึงประธานองคมนตรี ทำตัวเดินเหินเลียนแบบเจ้า ชอบให้คนกราบเท้า วันนี้ใจสั่น ขณะที่กำลังเดินไปที่นั่งงานพระราชทานเพลิงศพพ.อ.(พิเศษ) บริบูรณ์ ไทยสมุทร นายทหารติดตามและเป็นนายทหารคนสนิท ( ท.ส. ) ที่วัดสุทธจินดาวรวิหาร อ.เมืองนครราชสีมา โดนคนเสื้อแดงเปิดเครื่องขยายเสียงและโห่ไล่ เปรมถึงกับหันมามองตาเข้มด้วยความแค้นและอาย มานั่งที่นั่งก็หน้าหมองอาย เก็บอารมณ์ไม่อยู่อย่างชัดเจน ขาดความสง่าของรัฐบุรุษ ดีว่ามีตำรวจและทหาร 500 คนป้องกันแดง 50 คนเข้าถึงตัว
นี่ไง รัฐบุรุษไทย ไปไหนไม่ได้แล้ว ไปกินสุกี้ไปโรงแรมไหน คนรู้ไล่ทันที ไปงานศพ คนเขาไม่ได้ลบหลู่คนตาย แต่เขาเห็นว่า คนพรรค์นี้ไม่ควรไปในงานศพ ก็โห่ไล่
ไม่รู้จะหนาไปถึงไหน ลาออกไปสักคน บ้านเมืองก็คลายวิกฤติได้ แต่มันเลือกจะตายคาตำแหน่งลาภยศ อือ คนเป็นรัฐบุรุษเขามีหัวคิดได้แค่นี้

3. เมื่อประธานสภาอุตสาหกรรมประกาศสนับสนุนรัฐบาลใช้ทหารปราบม็อบ วัดศรีบุญเรือง วัดใหญ่ในเชียงใหม่ ก็ประกาศระดมพุทธศาสนิกชนล้มทหารโจร และรัฐบาลโจรขึ้นบ้าง เช่นเดียวกับคณะสงฆ์จำนวนมากประกาศสู้กับทรราช แม้มหาเถระสมาคมจะออกมาห้ามเป็นพิธี แต่วันนี้ ชาววัดเขาก็ไม่ยอมให้นายทุนสมคบโจรปล้นชาติต่อไปแล้ว ตรงข้ามกับพระฝ่ายเหลือง วัดป่าบ้านตาดได้ถอนตัวจากพรรค ปชป ไปแล้วไปเลย เนื่องจากไม่พอใจที่ ปชป เตรียมปล้นทองหลวงตาช่วยชาติ ก็คงเหลืออลัชชีสันติอโศกที่ไม่ใช่วัดใหญ่วัดโต แต่เป็นพวกอลัชชีที่คณะสงฆ์ไทยจับสึกยังสนับสนุนรัฐบาลโจรอยู่ นั่นคือ ที่มั่นสุดท้ายทางศาสนาของรัฐบาล

4. ความแตกแล้ว รัฐบาลเย้ยหยันแดงมีพลเหลือไม่ถึงหมื่นห้า แดงแตกกันเอง แดงเข้ากรุงไม่เกินแสน แต่ดูการเตรียมตัวของรัฐบาลทหารตำรวจห้าหมื่นคน อือ รับม็อบแค่แสนนี่นะ มีการเตรียมโรยเรือใบรอบพระนครให้ยางรถกระบะกลุ่มเสื้อแดงแตก เตรียมรถดับเพลิงฉีดไล่ผู้ชุมนุมสี่สิบคัน ตรงนี้ขอบคุณ เพราะแดงจะได้ยึดเอาไปฉีดไล่ทหารราบ 11 ก่อนเลย และรถส้วมเตรียมไว้สู้กับทหารจากปราจีนบุรี

ทั้งหมด ตอกย้ำแล้วว่า ศึกแดงเดือดหนักหนากว่ารัฐบาลโม้ไว้มาก รัฐบวมกลัวขนาดพยายามส่งฟอร์เวิร์ดเมล์ให้คนอย่าร่วมแดง ก็เจอคนเสื้อแดงฟอร์เวิร์ดเมล์กลับให้คนมาร่วมชุมนุมมากๆ
ดูตามข่าวเหล่านี้ สงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่ทหารจะลากปืนและรถถังมาปราบประชาชนข้าง มากของประเทศเสียแล้ว สถานการณ์การเมือง คนเสื้อแดงจึงไม่ได้เป็นรองตามที่รัฐบาลกำลังหลอกประชาชนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ถ้าแดงไร้นำยา แมงสาปจะมาดิ้นพราดๆ ทำไมทางช่องหอยม่วง และทีวีทุกช่อง นั่นแสดงแล้วว่า พวกเราเข้มแข็งและศัตรูว้าวุ่นและกำลังตระหนกตกใจกลัวอย่างรุนแรง !!!!

ที่มา.Konthaiuk
โดย.NADO
************************************************

ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโลกถึงวันดี-เดย์ในวันที่ 14 มีนาคม!!!!

ข่าวเกี่ยวกับการชุมนุมใหญ่ของเสื้อแดงในวันที 14 มีนาคมได้แพร่สะพัดไปทั่วโลก ข่าวในต่างประเทศหนังพิมพ์ในต่างประเทศต่างวิเคราะห์
ถึงสถานการณ์ อาจเกิดการจราจลครั้งใหญ่ในประเทศไทยเพื่อล้างความสกปรกโสโครก ของระบบสองมาตรฐานที่ได้ปฏิบัติต่อประชาชาชน
คนไทยมาช้านาน ฉะนั้นจึงเป็นจุดสนใจของทั่วโลกว่าประเทศไทยอาจจะเปลี่ยนแปลงในวันที่ 14นี้ก็ได้ และชาติต่างๆได้เตือนนักท่องเที่ยว

ที่จะเดินทางมาไทย ให้เลี่กเลี่ยงที่จะมาประเทศไทยในช่วงอันตรายนี้ ให้เลื่อนไปในอาทิตย์อื่นเมื่อสถานการณ์สงบลง ข่าวยังได้ตีแผ่ว่าคน
ชั้นสูงของรัฐบาลต่างเตรียมเผ่นออกต่างประเทศกันเป็นแถว อ่านข่าวแล้วทำให้งงว่าทำไมจึงต้องเตรียมเผ่นกัน ใหนปากดีนักละออกโพเดี่ยม
พูดให้แตกแยกในประเทศแล้วหนีกันทำไม? บริหารประเทศจนกางเกงในก็ไม่เหลือ ประชาชนเกลียดกันไปทั่ว แดงผุดขึ้นกันเป็นดอกเห็ด หนีทำไม มาแก้ปัญหาก่อนซีจ๊ะ ขี้กองอยู่หน้าบ้านเต็มไปหมด หากจะไปช่วยโกยขี้ของตัวเองเอาไปด้วยนะจ๊ะ


ที่มา.konthaiuk
โดย.NADO
*****************************************************

คดียึดทรัพย์:รัฐประหาร ตุลาการภิวัตน์ กับบรรทัดฐานที่สังคมไทยยังต้องการคำตอบ


โดย จาตุรนต์ ฉายแสง

กรณีการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนี้ ได้มีการร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว ทั้งในสาระของกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าทั้งหมดทุกประเด็นชอบด้วยกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นที่สุด และย่อมมีผลผูกพันศาลและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญด้วย

การที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนำเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้วขึ้นมาพิจารณาอีก และวินิจฉัยไปในทางตรงข้าม จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ…


ก่อนการตัดสินคดียึดทรัพย์ ผมได้คาดการณ์ว่าทรัพย์สินทั้ง 76,000 ล้านคงถูกยึดทั้งหมด โดยผมได้บอกไว้ด้วยว่าที่ผ่านมาผมมักทายการเมืองแม่น แต่ครั้งนี้ผมอยากให้ทายผิด และถ้าทายผิดผมก็จะดีใจ

ผลการตัดสินออกมา ปรากฏว่าผมทายผิด แต่ผมกลับไม่ได้ดีใจ ซ้ำร้ายยังรู้สึกสลดใจอย่างยิ่งด้วย

ที่ว่าทายผิดนั้นฟังเผินๆก็อาจจะเข้าใจไปได้ว่าเพราะมีการยึดทรัพย์ไม่หมดทั้ง76,000 ล้าน

แต่ในความเห็นของผมนั้น ที่ทายผิดคือ จากผลของคำพิพากษา ในที่สุดจะมีการยึดทรัพย์มากกว่า 76,000 ล้านอีกมาก นอกจากนั้นยังจะมีคดีร้ายแรงตามมาอีกหลายคดีดังที่ปรากฏเป็นข่าวไปบ้างแล้วด้วย

ก่อนการตัดสินคดีนี้ ผมได้เสนอความเห็นต่อคดีนี้และเรื่องที่เกี่ยวกับคดีนี้ไปบ้างแล้ว หลังการตัดสินคดี ผมเห็นว่าผลการตัดสินคดีนี้ได้เสนอปัญหาสำคัญๆเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและระบบยุติธรรมของประเทศ ในฐานะที่ผมสนใจที่จะผลักดันให้มีการแก้รัฐธรรมนูญและปฏิรูประบบยุติธรรม ผมจึงเห็นว่าควรเสนอความคิดเห็นเพื่อให้สังคมไทยได้ร่วมกันพิจารณาต่อไป

ผมคงไม่อยู่ในวิสัยที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในรายละเอียด และคิดว่าถ้าให้ทำหน้าที่อย่างนั้นคงไม่เป็นประโยชน์เท่าใดนัก ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้สันทัดกรณีจะดีกว่า

สิ่งที่ผมคิดว่าจะทำประโยชน์ได้มากกว่าก็คือ การหยิบประเด็นใหญ่ๆที่เห็นว่ามีประเด็นที่สังคมไทยควรจะได้นำมาศึกษาทำความเข้าใจกันอย่างจริงจังต่อไป โดยเฉพาะคำถามในเชิงหลักการและเชิงระบบของสังคมไทยอยู่หลายประการ ที่หากไม่ทำความเข้าใจและหาหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องให้ได้แล้ว ก็อาจเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยต่อไปอีกยาวนาน ประเด็นที่สำคัญมีดังต่อไปนี้

๑.การรัฐประหารและกลไกที่คณะรัฐประหารตั้งขึ้นเป็นทางออกสำหรับการแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่

หากไม่มีการรัฐประหาร ไม่มีประกาศ คปค.ฉบับที่ ๓๐ และไม่มีการตั้งคตส.ที่มีอำนาจอย่างนี้ ย่อมไม่อาจมีการพิจารณาคดีอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้วได้

ดูจากคำพิพากษาในตอนท้ายก็จะเห็นว่า คำวินิจฉัยให้ยึดทรัพย์นั้นไม่ได้อาศัยพรบ.ปปช.อย่างเดียว แต่อาศัยประกาศ คปค.ฉบับที่๓๐ด้วย

คดียึดทรัพย์จึงเป็นผลต่อเนื่องจากการรัฐประหารและการออกคำสั่งของคณะรัฐประหาร

ผู้ที่ยืนยันความจริงในข้อนี้ได้อย่างดีก็คือรัฐมนตรีวาการกระทรวงการคลังคนปัจจุบันนั่นเอง ที่ออกมารำพึงว่า
“วันนี้สิ่งที่ผมคิดคือ ถ้าไม่มีการปฏิวัติในปี ๔๙ และไม่มี คตส. เราจะเห็นความยุติธรรมปรากฏในคดีนี้หรือไม่”


เพียงแต่ว่าท่านถึงกับเห็นการรัฐประหารและการตั้ง คตส.เป็นเรื่องดีงาม เหมือนกับการ “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” ไป

คตส.ตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบความผิดของบุคคลคณะเดียวเป็นการเฉพาะ คือคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลก่อนการยึดอำนาจเท่านั้น และยังประกอบด้วยบุคคลหลายคนที่วางตัวเป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหาอย่างโจ่งแจ้ง เป็นการขัดต่อหลักนิติธรรมอย่างยิ่ง คตส.ทำหน้าที่เป็นทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการได้พร้อมๆกัน ซึ่งไม่เป็นไปตามระบบกฎหมายปรกติของประเทศ และยังสามารถดำเนินการโดยไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความตามปรกติ

คตส.กระทำการโดยไม่ต้องเกรงกลัวต่อการกระทำผิดกฎหมายก็เพราะได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๐๙ ซึ่งบัญญัติว่าการกระทำใดๆขององค์กรอย่างคตส.เป็นการกระทำที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น

เมี่อคตส.มีที่มาที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมและยังดำเนินการในลักษณะที่ไม่ชอบธรรมด้วย แม้คดีนี้จะตัดสินโดยศาลที่ไม่ได้มาจากคณะรัฐประหาร แต่เมื่อคดีเกิดขึ้นได้ก็เนื่องจากมีการรัฐประหาร และคณะรัฐประหารก็ยังได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมด้วยการออกคำสั่งที่ไม่ชอบธรรมด้วยแล้ว ความชอบธรรมในการพิจารณาตัดสินคดีนี้จึงได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วย

การแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่อาศัยการรัฐประหารเป็นจุดเริ่มต้น จึงไม่อาจเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ได้

๒. ปัญหาหลักการเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจและการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ

เรื่องที่คตส.กล่าวหาว่าดร.ทักษิณเอื้อประโยชน์และทำให้รัฐเสียหายนั้นมีอยู่ ๕ เรื่องด้วยกัน มีอยู่ ๒ เรื่องที่คตส.เห็นว่าเป็นเรื่องที่ทำไปโดยครม.ที่มีดร.ทักษิณเป็นหัวหน้า คือเรื่องการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตและการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ประเทศพม่า ส่วนอีก ๓ เรื่องเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำโดยครม. แต่คตส.เห็นว่าดร.ทักษิณในฐานะหัวหน้ารัฐบาลย่อมมีอำนาจมากพอที่จะไปสั่งการให้เกิดการกระทำเหล่านั้นขึ้นได้

เรื่องทั้ง ๕ เรื่องมีลักษณะคล้ายกันอยู่บางประการคือ ทุกเรื่องเป็นการกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์หรือทำให้รัฐเสียหาย ทั้งๆที่ไม่มีการทำผิดกฎหมาย

การออกมาตรการต่างๆตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นการดำเนินงานของคณะรัฐมนตรีบ้าง คณะกรรมการของทางราชการบ้าง หรือคณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจบ้าง การดำเนินการต่างๆนั้นเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่ที่มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้

การออกมาตรการต่างๆของรัฐที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของรัฐ เอกชนและประชาชนนั้น จะทำอย่างไรจึงจะดีย่อมมีความเห็นแตกต่างกันได้เสมอ เมื่อผู้รับผิดชอบดำเนินการไปโดยเห็นว่าดี อาจมีคนส่วนหนึ่งเห็นว่าไม่ดีก็ได้

ปัญหามีว่าเมื่อมีคนเห็นว่าไม่ดีแล้ว อย่างไรจึงถึงขั้นที่จะลงโทษผู้รับผิดชอบได้ หากเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เช่นออกมาตรการไปทั้งๆที่กฎหมายไม่อนุญาตให้ทำได้ ฝ่าฝืนกฎหมายหรือละเว้นที่จะปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเหล่านั้นย่อมต้องถูกดำเนินคดีและถูกลงโทษ

ผู้ที่ควรทำหน้าที่ในการตัดสินลงโทษคือศาลยุติธรรม

แต่ถ้าการดำเนินการนั้นไม่ผิดกฎหมาย การพิจารณาว่าการดำเนินการอย่างไรดีหรือดี จะใช้มาตรการหนึ่งๆให้เป็นประโยชน์ต่อรัฐหรือเอกชนหรือประชาชนอย่างไรจึงจะดี ย่อมเป็นปัญหานโยบาย ที่ฝ่ายบริหารจะต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาและประชาชน

คำถามในเชิงระบบก็คือ ฝ่ายตุลาการพึงเข้ามาเป็นผู้ตัดสินในทางนโยบายมากน้อยเพียงใด นี่ก็คือปัญหาหลักการเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจ ระหว่างอธิปไตย ๓ ฝ่าย

ในบรรดาเรื่องทั้ง ๕ เรื่องนั้น เรื่องที่ควรกล่าวถึงเป็นพิเศษคือเรื่องการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต

เรื่องนี้เป็นข้อกล่าวหาที่สำคัญที่สุดในบรรดาข้อกล่าวหาทั้ง ๕ ข้อ และเป็นเรื่องที่มีปัญหาในเชิงหลักการและเชิงระบบที่ใหญ่ที่สุดด้วย

ผมจะไม่ลงในรายละเอียด แต่ในฐานะที่อยู่ในครม.ที่ออกกฎหมายนั้นด้วย ก็พอทราบถึงเหตุผลและความเป็นมาพอเล่าสู่กันฟังได้บ้าง

ความจริงแล้วการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตไม่ได้เป็นความริเริ่มของครม.ทักษิณหรือตัวดร.ทักษิณเลย เรื่องนี้มีความเป็นมามาตั้งแต่ปี๒๕๓๙ ที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลกหรือ WTO ทำให้ประเทศไทยต้องเปิดเสรีโทรคมนาคม ในปี ๒๕๔๐ สมัยรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จึงได้มีแผนแม่บทพัฒนากิจการโทรคมนาคมขึ้น โดยได้รับอนุมัติจากครม. ตามแผนดังกล่าวนี้มีหลักอยู่ ๓ ประการคือ

๑). ต้องยกเลิกการผูกขาดขององค์การโทรศัพท์และการสื่อสารแห่งประเทศไทย

๒). จัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อกำกับดูแลกิจการโทรคมนามคม

๓). ต้องแปรรูป กสท.และทศท.เป็นบริษัทมหาชน เพื่อที่จะนำเข้าตลาดหลักทรัพย์ โดยรัฐบาลจะถือหุ้นเพียง๓๐ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือถือโดยประชาชน

แผนนี้ได้มีการดำเนินการต่อเนื่องโดยรัฐบาลต่อๆมา และจากหลักการ ๓ประการข้างต้นนี้เอง จึงเป็นที่มาของการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต

รัฐวิสาหกิจจำนวนมากได้รับผลประโยชน์จากสัมปทานซึ่งเกิดขึ้นได้จากความเป็นองค์กรของรัฐและใช้อำนาจตามกฎหมาย เมื่อจะเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชน ซึ่งมีเอกชนและประชาชนเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของ จึงมีปัญหาต้องพิจารณาว่าผลประโยชน์จากสัมปทานนั้นควรยกให้ประชาชนผู้ถือหุ้นเข้ามาร่วมเป็นเจ้าของทั้งหมดและตลอดไปหรือไม่ ข้อสรุปที่ดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ผลประโยชน์ที่เกิดจากการอาศัยความเป็นรัฐไม่ควรติดตามองค์กรไปด้วยทั้งหมด จนเป็นประโยชน์แก่เฉพาะผู้ร่วมเป็นเจ้าของบริษัทมหาชนเท่านั้น

ในกรณีการแปรรูป ทศท. ภาษีสรรพสามิตจึงเป็นทางออก ทางออกที่เห็นร่วมกันของหน่วยงานต่างๆจำนวนมากที่ประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทางด้านการคลัง การโทรคมนาคม และด้านอื่นๆ

ไม่ว่าใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ย่อมต้องใช้วิธีเดียวกัน

เมื่อมีการออกกฎหมายภาษีสรรพสามิตแล้ว ก็ได้มีการออกมติครม.เพื่อให้ผู้ประกอบการทุกเจ้าสามารถนำเอาภาษีสรรพสามิตไปหักออกจากค่าสัมปทานได้ เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือให้รัฐมีรายได้ในรูปของภาษีสรรพสามิต โดยผู้ประกอบการจ่ายเท่าเดิม

วิธีนี้ความจริงแล้วทำให้รัฐมีรายได้มากกว่าการคงรายได้ในรูปสัมปทานไว้ทั้งหมดด้วยซ้ำ เพราะในแต่ละปี ทศท.ส่งเงินรายได้เข้าคลังแต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้น ในขณะที่ทุกบาททุกสตางค์จากภาษีสรรพสามิตเป็นรายได้เข้าคลังทั้งหมด


ข้อกล่าวหามีว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการออกกฎหมายสรรพสามิต แล้วให้นำภาษีสรรพสามิตไปหักออกจากค่าสัมปทานตามข้อตกลงในสัญญาสัมปทานนั้นเป็นการใช้อำนาจในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่สุจริต แทรกแซงองค์กรอิสระ กีดกันผู้ประกอบการในกิจการโทรคมนาคมรายใหม่ และเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัท เอไอเอส

ข้อกล่าวหาทั้งหมดนี้ ถ้าจะอธิบายในแต่ละประเด็น ก็สามารถทำได้ไม่ยาก แต่คงไม่มีประโยชน์มากนัก ที่ควรกล่าวถึงมากกว่าและสำคัญอย่างยิ่งก็คือ ประเด็นข้อกล่าวหาเหล่านี้ไม่ใช่ประเด็นใหม่ แต่เป็นประเด็นที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาคัดค้านการออกกฎหมายสรรพสามิต และการออกมาตรการยอมให้นำภาษีสรรพสามิตไปหักจากส่วนแบ่งรายได้มาก่อนแล้ว

หลังจากการออกกฎหมายและมาตรการดังกล่าว สส.ฝ่ายค้านและสมาชิกวุฒิสภาจำนวนหนึ่งได้ยื่นเรื่องคัดค้านในประเด็นเดียวกันนี้ต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว

ผลปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าการออกกฎหมายและมาตรการดังกล่าวเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย และเป็นไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐและประชาชน หักล้างข้อกล่าวหาเดียวกันนี้มาแล้วในทุกประเด็น

ผมได้นำข้อเปรียบเทียบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กับคำวินิจฉัยศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาไว้ด้วยแล้ว(เอกสารแนบ ๑)

ปัญหาจึงมีต่อไปว่าเมื่อศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยไว้ดังกล่าวแล้ว เหตุใดศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงยังสามารถนำประเด็นเดียวกันมาพิจารณาใหม่ได้ จนนำไปสู่ข้อสรุปว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำการทุจริตตามข้อกล่าวหา เป็นการเอื้อประโยชน์ ทำให้รัฐเสียหาย และทำให้มีทรัพย์สินมากขึ้นผิดปรกติ ร่ำรวยผิดปรกติ และต้องถูกยึดทรัพย์ในที่สุด

นี่เป็นปัญหาเชิงหลักการว่าด้วยการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และเป็นปัญหาเชิงระบบว่าด้วยการแบ่งแยกขอบเขตอำนาจหน้าที่และการถ่วงดุลกันของอำนาจอธิปไตยทั้งสาม

การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ออกเป็นฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการนั้น เป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย คู่กับความเป็นนิติรัฐ ยึดหลักนิติธรรม แตกต่างจากระบอบการปกครองที่ให้รัฐบาลอยู่เหนือกฎหมาย เป็นกฎหมายเสียเอง หรือทำหน้าที่ตัดสินคดีความได้เองด้วย

ในการแบ่งแยกอำนาจนี้ให้ฝายบริหารบริหารบ้านเมืองไปแต่ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย จะลงโทษใครก็ต้องใช้กฎหมายที่เขียนขึ้นโดยชอบ คือโดยความเห็นชอบของประชาชนส่วนใหญ่ นั่นคือต้องมีฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากประชาชนมาทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย โดยทั่วไปแล้วก็มักกำหนดให้ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเสนอกฎหมายได้ แต่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติที่จะเห็นชอบให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้

การจะให้ทุกคนทุกฝ่ายปฏิบัติตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เป็นหน้าที่ของศาล

หากฝ่ายบริหารก็ดี หรือฝ่ายนิติบัญญัติก็ดีทำผิดกฎหมาย ศาลย่อมมีหน้าที่ลงโทษได้

ตราบใดที่กฎหมายที่ออกไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายใหม่ย่อมสามารถแก้กฎหมายที่มีอยู่แล้วเสียอย่างไรก็ได้ การออกกฎหมายให้มีเนื้อหาสาระอย่างหนึ่งอย่างใดจึงไม่อาจเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายไปได้

หากมีผู้เห็นว่ากฎหมายที่ออกนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญก็สามารถร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยก็คือศาลรัฐธรรมนูญ

แต่ศาลอื่นจะพิจารณาว่าการเสนอกฎหมายของฝ่ายบริหารและการเห็นชอบให้ออกกฎหมายของรัฐสภาเป็นการกระทำผิดกฎหมายหรือไม่ จึงไม่อาจกระทำได้

ยิ่งจะพิจารณาว่าการออกกฎหมายนั้นดีหรือไม่ เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือไม่ยิ่งไม่ได้ เพราะนั่นเป็นปัญหานโยบายที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบต่อสภาและประชาชน

กรณีการแปลงสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตนี้ ได้มีการร้องคัดค้านต่อศาลรัฐธรรมนูญมาแล้ว ทั้งในสาระของกฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวข้อง และศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่าทั้งหมดทุกประเด็นชอบด้วยกฎหมาย และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน

รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ว่าการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นที่สุด และย่อมมีผลผูกพันศาลและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญด้วย

การที่ศาลฎีกาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนำเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไปแล้วขึ้นมาพิจารณาอีก และวินิจฉัยไปในทางตรงข้าม จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

๓.ปัญหาการคุ้มครองกรรมสิทธิ์เอกชนจากการยึดเป็นของรัฐ

ทรัพย์สินที่ถูกยึดในครั้งนี้เป็นเงินในบัญชีในธนาคารอย่างถูกต้องตามกฎหมายในชื่อของลูกๆและน้องของดร.ทักษิณ บุคคลเหล่านี้ไม่ได้เป็นข้าราชการการเมือง ไม่มีกฎหมายให้ยึดทรัพย์บุคคลเหล่านี้ได้ จะยึดได้ก็ต่อเมื่อเงินเหล่านี้เป็นของดร.ทักษิณเอง

คตส.กล่าวหาว่าเงินนี้มาจากการขายหุ้น หุ้นที่คตส.เห็นว่าเป็นของดร.ทักษิณ

หุ้นเหล่านี้เดิมเป็นของดร.ทักษิณและภรรยาจริง

แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดว่ารัฐมนตรีจะถือหุ้นของบริษัทเกินกว่าจำนวนที่กำหนดไม่ได้ หรือจะถือหุ้นของบริษัทที่มีสัมปทานกับรัฐก็ไม่ได้ รัฐมนตรีคนใดมีหุ้นดังกล่าวอยู่ก่อนเข้ารับตำแหน่งจึงต้องขายหรือโอนให้ผู้อื่นไปเสีย ดร.ทักษิณจึงได้โอนหุ้นที่มีอยู่ให้ลูกและน้องไปก่อนที่จะเข้ารับตำแหน่ง

ข้อกล่าวหาเรื่องโอนหุ้นแบบอำพราง ถือหุ้นแทนกัน ซุกหุ้น ปกปิดทรัพย์สิน จึงเข้ามาตรงนี้

เมื่อถือว่าดร.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง ก็สามารถโยงไปยังเรื่องเอื้อประโยชน์ ทำให้รัฐเสียหาย มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปรกติ ร่ำรวยผิดปรกติ และดังนั้นจึงยึดทรัพย์ได้

หุ้นเป็นของใครและเงินในธนาคารเป็นของใครจึงเป็นประเด็นสำคัญเป็นอันดับแรก

คตส.กล่าวหาว่าการโอนหุ้นเป็นการโอนแบบอำพรางไม่ได้โอนจริง เหตุผลสำคัญคือ การที่ดร.ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกนั้นซื้อขายกันในราคาถูกกว่าปรกติ เมื่อลูกรับหุ้นมาแล้วก็ไม่แสดงความเป็นเจ้าของ นานๆจะเข้าประชุมผู้ถือหุ้นครั้งหนึ่ง เวลาขายหุ้นให้เทมาเส็ค เทมาเส็คก็ไม่ได้ติดต่อกับลูกผู้มีชื่อเป็นเจ้าของหุ้น แต่กลับไปติดต่อกับลุงคือนายบรรณพจน์แทนเป็นต้น

ข้อกล่าวหาเหล่านี้มีน้ำหนักพอที่จะถือว่าหุ้นเหล่านี้ยังคงเป็นของดร.ทักษิณอยู่หรือไม่

ดร.ทักษิณโอนหุ้นให้ลูกที่บรรลุนิติภาวะแล้วและน้อง ซึ่งรัฐธรรมนูญไม่ได้ห้ามไว้

เมื่อกฎหมายอนุญาตให้โอนให้ลูกได้ การจะดูว่าซื้อขายกันในราคาเท่าไร ถูกหรือแพงผิดปรกติหรือไม่ ย่อมไม่สามารถใช้บรรทัดฐานอย่างปรกติได้ เพราะพ่ออาจจะให้ลูกเปล่าๆก็ยังได้

ส่วนการที่มีหุ้นแล้ว นานๆจะเข้าประชุมครั้งหนึ่งก็เป็นเรื่องวิธีการดูแลธุรกิจของแต่ละคนที่อาจเลือกใช้วิธีอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติ

ยิ่งเวลาขาย เทมาเส็คไม่ได้ติดต่อกับเจ้าของหุ้นเอง แต่กลับไปติดต่อกับลุง ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องผิดปรกติที่ลูกคนหนึ่งจะไว้ใจผู้ที่เป็นพี่ชายของแม่ตนเองให้ช่วยคิดและตัดสินใจแทนตนได้

ข้อกล่าวหาดังกล่าวจึงไม่อาจทำให้หุ้นที่โอนให้ลูกไปแล้วอย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามกฎหมายกลับมาเป็นของพ่อไปได้

ตลอดระยะเวลาก่อนการขายหุ้น หุ้นนี้ไม่ใช่ทรัพย์สินของดร.ทักษิณ แต่เป็นของน้องและลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เมื่อขายแล้วได้เงินมา ก็ไม่ได้อยู่ในบัญชีธนาคารในชื่อของดร.ทักษิณ แต่อยู่ในบัญชีของน้องและลูก

ทรัพย์สินทั้งหมดจึงเป็นกรรมสิทธิ์โดยชอบด้วยกฎหมายของน้องและลูกของดร.ทักษิณ

การที่ศาลตัดสินตามข้อกล่าวหาของคตส.ว่าทรัพย์สินยังเป็นของดร.ทักษิณ เพราะฉะนั้นจึงให้ยึดทรัพย์สินนั้นได้ มีคำถามใหญ่ๆตามมาอีกมากเช่น

ประเทศไทยเป็นประเทศเสรี รัฐธรรมนูญทุกฉบับรับรองกรรมสิทธิ์เอกชน ไม่อนุญาตให้รัฐยึดทรัพย์สินของเอกชนมาเป็นของรัฐได้ หากจะเวนคืนก็ต้องชดใช้ จะริบก็ต้องเกิดจากการกระทำผิดกฎหมายของเจ้าของกรรมสิทธิ์นั้น

แต่ถ้ามองจากของลูกและน้องของดร.ทักษิณซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินตามกฎหมายอยู่ ก็จะเกิดคำถามว่าทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ของคนๆหนึ่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายอาจตกเป็นของผู้อื่นไปได้ด้วยเหตุใดบ้าง และทรัพย์สินเอกชนจะถูกยึดเป็นของรัฐได้ด้วยเหตุใดบ้าง

จากกรณีที่เกิดขึ้น มีคำถามว่าการที่คนๆหนึ่งได้ทรัพย์สินเป็นหุ้นมาด้วยการซื้ออย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้องเปิดเผยในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อขายให้ผู้อื่นก็ทำสัญญาด้วยตนเองเป็นนิติกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย และต่อมาก็ได้ฝากเงินไว้กับธนาคารพาณิชย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย สัญญานิติกรรมที่ถูกต้องในระบบของตลาดหลักทรัพย์ของประเทศไทยและในระบบธนาคารพาณิชย์ของประเทศไทย ไม่อาจปกป้องทรัพย์สินของผู้ที่ไม่ได้ทำผิดกฎหมายใดๆไม่ให้ทรัพย์สินเหล่านั้นต้องตกเป็นของรัฐเนื่องจากการกระทำผิดของผู้อื่นได้เลยหรือ

ในกรณีเดียวกันนี้ เมื่อมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์แล้ว ยังมีปัญหาเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่น่าสนใจตามมาอีกคือ ทรัพย์สินที่เหลือจากการยึดทรัพย์เป็นของใคร

ในเมื่อศาลเห็นว่าทรัพย์สินเป็นของดร.ทักษิณจึงสั่งให้ยึดได้ ทรัพย์สินที่เหลือจากการยึดก็ต้องเป็นของดร.ทักษิณ แต่ทำไมกระทรวงการคลังสั่งให้ยึดทรัพย์สินที่เหลือไว้เพื่อให้ลูกของดร.ทักษิณใช้ชำระภาษีจากการขายหุ้น

แสดงว่ากระทรวงการคลังยังถือว่าทรัพย์สินที่เหลือไม่ใช่ของดร.ทักษิณ แต่เป็นของลูก โดยดูว่าเงินอยู่ในบัญชีใครก็เป็นของคนนั้น

เท่ากับว่ารัฐกำลังตีความแต่ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐ โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่เกิดกับเอกชนและความยุติธรรมเลย

ความไม่ชัดเจนในเรื่องกรรมสิทธิ์เช่นนี้อาจมีผลให้เจ้าของเงินไม่ได้เงินคืนไปได้ง่ายๆ ต้องรอไปเรื่อยๆจนกระทั่งถูกอายัด หรือยึดทรัพย์จากกรณีอื่นๆอีกก็เป็นได้

๔.จะคำนวณจำนวนทรัพย์สินที่เพิ่มมากขึ้นผิดปรกติอย่างไร

ผมได้วิจารณ์ทฤษฎีวัวกินหญ้าไว้แล้วว่าเป็นความคิดที่เลอะเทอะที่สุด ทฤษฎีนี้ดูจะไม่เป็นที่ยอมรับ และในที่สุดทรัพย์สินก็ถูกยึดไปบางส่วน ไม่ใช่ทั้งหมด

เนื่องจากกรณีที่ถูกกล่าวหาเกิดขึ้นในระหว่างที่ทรัพย์สินอยู่ในรูปของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อจะคำนวณว่าควรยึดเท่าไรและควรคืนให้เท่าไรจึงใช้ราคาหลักทรัพย์เป็นเกณฑ์ในการคำนวณ โดยใช้วันที่ผู้ถูกกล่าวหาเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเส้นแบ่ง

นี่เท่ากับถือว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดนับแต่วันที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่มีการซื้อขายหุ้นเป็นการเพิ่มขึ้นโดยผิดปรกติทั้งหมด

แต่มูลค่าหุ้นขึ้นมาก จากสาเหตุอะไรแน่และจะคำนวณกันอย่างไร

หุ้นของบริษัทต่างๆส่วนใหญ่ก็ขึ้นลงตามดัชนีของตลาดหลักทรัพย์ จากวันที่ผู้ถูกกล่าวหาเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนถึงวันที่ขายหุ้น ก็ปรากฏว่ามูลค่าหุ้นของบริษัทใหญ่ๆในตลาดหลักทรัพย์ก็ขึ้นตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์กันทั้งนั้น

การจะคิดว่ามูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะมีการออกมาตรการต่างๆเท่านั้นจึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง

เหตุใดจึงไม่มีการคำนวณว่ามาตรการหนึ่งๆทำให้มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเท่าใด

นอกจากนี้ยังมีคำถามต่อไปได้อีกว่า เหตุใดจึงไม่ใช้วันที่เริ่มออกมาตรการเป็นเส้นแบ่งแทนที่จะใช้วันเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจตีความได้ว่าเป็นการถือว่าการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของผู้ถูกกล่าวหาตั้งแต่ต้นจนวันที่ขายหุ้น ล้วนเป็นเหตุให้ทรัพย์สินมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นทั้งสิ้น

ลำพังการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเท่านั้นย่อมไม่สามารถถือเป็นเหตุของการมีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นผิดปรกติได้

เมื่อดูข้อเท็จจริงเกี่ยวกับราคาหุ้นในวันที่ออกมาตรการต่างๆแล้ว ก็จะยิ่งเห็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างมาก คือในวันที่ออกมาตรการ ๒ - ๓ มาตรการแรกๆนั้น ปรากฏว่าราคาหุ้นของบริษัทชินคอร์ปฯ กลับต่ำกว่าวันที่ผู้ถูกกล่าวหาเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี มิได้สูงขึ้นอย่างที่อาจมีความเข้าใจกัน

นี่อาจเป็นสาเหตุที่ไม่อาจใช้วันที่ออกมาตรการเป็นเส้นแบ่ง เพราะถ้าใช้วันเหล่านั้น มูลค่าหุ้นที่กลับลดลงก็จะขัดแย้งกับข้อสรุปที่ว่ามาตรการต่างๆนั้นเป็นสาเหตุให้มีทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น

เรื่องนี้จึงจะเป็นปัญหาต่อไปว่าในกรณีที่มีการกล่าวหาว่าทรัพย์สินที่อยู่ในรูปของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มมากขึ้นผิดปรกตินั้น จะคำนวณกันอย่างไรจึงจะเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย

คดียึดทรัพย์นี้เป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะมีผู้คนจำนวนมากศึกษาและวิพากษ์วิจารณ์กันไปอีกนาน ผมหวังว่าความเห็นดังที่ได้เสนอมานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจคดีนี้ โดยเฉพาะผู้ที่สนใจปัญหาจากการรัฐประหาร ปัญหาจากกระบวนการตุลาการภิวัตน์ และผู้ที่ต้องการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และปฏิรูประบบยุติธรรมให้มีความยุติธรรมอย่างแท้จริง

คงจะนำไปใช้ประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางสร้างสรรค์ต่อไปได้บ้างตามสมควร