--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553

ฟ้า.กับ วิบากแห่งสังคมบ้า!!!?

วิบากแห่งสังคมบ้า
บนอัตตาท้าทายทำลายสิ้น
ความดื้อรั้นจึ่งเดิมพันเอาแผ่นดิน
ตวัดลิ้นพ่นลมแห่งความลวง

สำเร็จแล้วฤาความใคร่ได้เสพสม
บนความทุกข์ระทมที่ใหญ่หลวง
แห่งมหาประชาชนคนทั้งปวง
ที่ติดบ่วงใต้หลุมดำ ช้ำ ลำเค็ญ

แม้นปีนป่ายตะเกียกตะกายกันสุดฤทธิ์
บ่วงโซ่รัดแน่นสนิทนับร้อยเส้น
ผูกอาญาบ้าระห่ำเกินจำเป็น
ได้รู้เห็น ก็ใจหาย แทบวายวาง

แหงนมองฟ้าแสงเจิดจ้าตาแสบร้อน
จะอ้อนวอนเวทนาจากฟ้าบ้าง
ฟ้าก็หม่นมืดมิดปิดหนทาง
ประกายแสงสุกสว่างจางหายไป

แม้นกริ่งเกรงก็มิอาจจะก้มหน้า
แหงนมองฟ้าบางคราฟ้าสดใส
ดูเหมือนว่าฟ้าจะปลอบประโลมใจ
เกิดความหวังครั้งใหม่ไม่สงกา

แหงนมองฟ้าเวลาสางฟ้าอ่อนแสง
สีส้มแดงดุจสวรรค์เหนือชั้นฟ้า
ภาพที่เห็นเช่นลำแสงเมตตา
เปี่ยมล้นกรุณาเกินกว่าใคร

จึ่งวางจิตวางใจให้กับฟ้า
เมฆใหญ่น้อยลอยมาเหมือนอยู่ใกล้
ครั้นเอื้อมมือไขว่คว้า...รู้ว่าไกล
ฟ้าอยู่ในภาพสวรรค์อันเรืองรอง

แหงนมองฟ้าหม่นมัวก็ตัวสั่น
ฟ้าพิโรธเลื่อนลั่นสนั่นก้อง
เมฆทะมึนมืดดำสร้างทำนอง
สายฟ้าฟาดตวาดร้องเริงระบำ


ที่มา. Konthaiuk
โดย.ฟ้าคลุมดิน
.......................................................................

หลุดพ้น..

“ประชาธิปัตย์” ต้องการเป็นตัวของตัวเอง...และไม่อยากตกเป็น “ขี้ปาก” ของใครอีกต่อไป?

นโยบาย “ประชานิยม” กับการตอบคำถามผู้สื่อข่าวของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ในรายการ “เชื่อมั่นประเทศไทยฯ” เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ผู้นำประเทศ ให้คำตอบแก่คนไทย...

เรากำลังจะ “หลุดพ้น” จากการบริหารประเทศแบบ ประชานิยม และเข้าสู่การบริหารแบบ รัฐสวัสดิการสิทธินายกรัฐมนตรีให้ความหมายว่า...
รัฐสวัสดิการสิทธิ หมายถึง การดูแลสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน

ขณะที่ ประชานิยม คือการหยิบนโยบาย ให้ใจคน ด้วยสิ่งแอบแฝงเพื่อหวังผลทางการเมืองพร้อมยืนยัน “เสียงแข็ง” ต่อผู้สื่อข่าว...ทุกคนต้องเข้าใจใน “คำพูดของผม” เพราะทั้งสองนโยบายเป็นหลักการบริหารที่ “แตกต่างกัน”

สิ่งหนึ่งที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” สื่อสารไปถึงประชาชน คือ รัฐบาลนี้ต้องการ “ความเปลี่ยนแปลง”

รัฐบาลประชาธิปัตย์ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าไป “ลอกเลียนแบบ” นโยบายของใคร...หรือถูกมองว่าสร้างคะแนนนิยมด้วยวิธี “คล้ายคลึงกัน”

ที่ผ่านมา ประชาธิปัตย์ทำได้...แต่ทำได้ไม่ดีเท่า...ถึงขั้น “ต่ำกว่ามาตรฐาน” จนเกิดการเปรียบเทียบ...อุปมาอุปมัยเหมือน
“เด็กประถมลอกการบ้าน” ขนาดไปลอกเขา...ตัวเองยังลอกมาแบบผิดๆ แล้วแบบนี้จะให้ประชาชนฝากชีวิต...และฝากปากท้อง
ไว้กับ “รัฐบาล” ได้อย่างนั้นหรือ?

ต้นตำรับ “ประชาธิปัตย์” คือ “ประชานิยม” แต่ทำไมประชาชนกลับนึกถึงประชานิยมโดยมีสัญลักษณ์เป็นใบหน้า “ทักษิณ ชินวัตร”

มันมิใช่เพราะเหตุผลอื่นใด...นั่นเป็นเพราะประชาธิปัตย์ “ทำลายล้าง” ตัวท่านเองประชาธิปัตย์ “พูด” แต่ “ไม่เคยทำ”

หรือเป็นเพราะ “ทำไม่ได้” ใช้เวลาหมดไปกับการเชือดเฉือนศัตรูทางการเมืองด้วยคมปาก

โดยเฉพาะหลักการบริหารประเทศ...มันไม่ได้อยู่ที่ “คำเรียกหา” ว่าบุคคลใดเป็นผู้เรียกขานคนแรก หากแต่อยู่ที่ “การจดจำ”
ของประชาชนว่า ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยได้รับ...เคยได้สัมผัส

“ทักษิณ ชินวัตร” ทำสำเร็จเพราะลงมือทำ...ประชาธิปัตย์ล้มเหลวเพราะมัวแต่ยกหางกันเอง

ไม่เชื่อลองดมดู...มือใครเหม็น...นั่นแปลว่า “ยกหาง” ไม่ดูตาม้าตาเรือ!

ที่มา:konthaiuk
โดย.ภูผาหิน
******************************************************************************

แผ่นดินไม่กลบหน้า ผมจะไม่เลิกสู้!!

เมืองไทยกำลังกลายเป็นประเทศ “คนกินคน” ริษยา อาฆาต เหี้ยมเกรียม!! เพราะ “รัฐบาลร่างทรงอำมาตย์”


- วาทะที่น่าสมเพช ชวนทุเรศที่สุดในรอบ 200 ปี ที่มีประเทศไทยมา คือ การประกาศจะเอา ทรัพย์สิน 46.000 ล้าน
ที่ยึดมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาใช้หนี้ 800,000 ล้านที่กู้มาโกงกัน!!.....

- สองกุมารจอมสร้างหนี้จากอ๊อกซฟอร์ด อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ กรณ์ จาติกวณิช คิดเหมือนคนที่ไม่ใช่ ผู้นำประเทศ และ
รัฐมนตรีคลัง ข่าวอย่างนี้ถึงหูชาวโลก จะมีใครคิดค้าขายกับ THAILAND อีก?? เพราะพฤติกรรมมันเหมือนโจร หรือนักปล้น!!......

- เจ็บปวดน่ะของแน่!! แต่ ทักษิณ ชินวัตร สวมวิญญาณ “นักสู้” ไม่ยอมแพ้อำมาตย์เด็ดขาด?? ประกาศเตือนข้ามประเทศ
“รังแกผมมากไป!! อำมาตย์จะแกล้งผมต่อ ขอให้คิดกันให้ดีๆ แผ่นดินไม่กลบหน้า ผมจะไม่เลิกสู้!!” ใครคือหัวแถว “อำมาตย์”
จะประมาทก็ตามใจ!!.....

- เฉลิม อยู่บำรุง คิดอะไรในใจ “กุหลาบพิษ” ไม่อาจยืนยันแทน แต่ สุรจิตร ยนต์ตระกูล ส.ส.มหาสารคาม ยังยืนยัน! ส.ส.อีสาน
ส่วนใหญ่ เห็นตรงกัน “ขุนศึกฝั่งธน” ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีความเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำการอภิปรายมากที่สุด....

- แปลไทยเป็นไทยว่า ส.ส.อีสาน ยังหนุนสุดตัวให้เสนอชื่อ “เฉลิม อยู่บำรุง” เป็นนายกรัฐมนตรีสำรอง ในญัตติ “ไม่วางวางใจ”
รัฐบาลมาร์ค ร่างทรงอำมาตย์!!......

- เพิ่งเห็น “นักวิชาการ” พูดจาเข้าท่าไม่เป็นขี้ข้าใคร!! ดร.เจษฎ์ โทณวณิก คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม วิจารณ์
เทศกาลปาระเบิดแบงก์กรุงเทพ ได้ตรงเป้า!! “หน่วยข่าวกรองของไทยไม่ได้เรื่องเลย ไม่สามารถตามวางสายข่าว ให้รู้ว่า
ข้อมูลที่ฝ่ายก่อการร้ายส่งต่อกันอย่างไ?” ....

- ตลกกว่า “ตลกคาเฟ่”?? รายชื่อ แบล็กลิสต์ ที่น่าจะเรียกว่า “แบล็คเมล์” 201 ชื่อที่ฮือฮากันนักหนา “กุหลาบพิษ” เห็นแล้ว
ได้แต่ปลง!! เกือบทุกคนคัดชื่อมาจาก คนเสื้อแดง-พรรคเพื่อไทย และเพื่อนทักษิณ เออ!ถ้ามี “เทพเทือก-เทพไท-ปณิธาน”
ปะปนเข้าไปมั่งถึงจะถือเป็น “ของแปลก!!......

- ใช้ยุทธวิธี “ป่าล้อมเมือง” ?? คนเสื้อแดง ทยอยกันชุมนุมหลายจังหวัดทุกภาค ก่อนทะลักยกพลเข้ากรุงจำนวนล้าน ตามสโลแกน
“แดงทั้งแผ่นดิน” ในวันที่ 14 มีนา!! ถ้า สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ มาร์คจอมดื้อรั้น จะยึดมั่นกับ “ความประมาท” อาจไม่มีแผ่นดินอยู่??.....

ที่มา:konthaiuk
โดย.กุหลาบพิษ
**************************************************************************

วิกฤติระลอกใหม่

เหตุระเบิดบริเวณธนาคารกรุงเทพ สำนักงานใหญ่สีลม และอีก 3-4 จุดใน กทม.และปริมณฑล แค่เริ่มต้นของวิกฤติบ้านเมืองระลอกใหม่ รูปแบบใหม่ และวิธีการต่อสู้แนวใหม่ จะเป็นสงครามกลางเมือง นำประเทศไปสู่กับดักวงจรอุบาทว์ รัฐบาลเตรียมรับกับสถานการณ์รุนแรง พร้อมที่จะตัดเชือด

พร้อมที่จะแตกหัก

แนวรบครั้งสำคัญ ทั้งในสภานอกสภา ทั้งเครื่องมือกลไกของรัฐคาดว่าจะสะเด็ดน้ำได้ในเดือน เม.ย.นี้ จับตาการโยกย้ายข้าราชการ ทหาร ตำรวจ บรรดาขุนศึกนายกองที่จะต้องใช้เป็นตัวแทนในการสู้รบ รวมทั้งสื่อมวลชนที่จะถูกดึงเข้าสู่มรสุมการเมือง ครั้งสำคัญ

การเมืองนับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปห้ามกะพริบตา

เป็นที่รู้กันอยู่ว่าประเทศที่ถูกจับตา และคาดว่าจะเป็น ประเทศชั้นนำทางด้านเศรษฐกิจ มีอยู่ 5 ประเทศด้วยกัน ที่เรียกกันว่า BRIIC คือ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย รัสเซีย และบราซิล

ดังนั้น ไม่ว่าอุตสาหกรรม การผลิต การลงทุน เทคโนโลยีหรือแม้แต่เม็ดเงินลงทุน การเงินการธนาคาร จะมุ่งไปประเทศเหล่านี้เป็นหลัก การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าการลงทุนใหม่ และการพัฒนาทางด้านธุรกิจในรูปแบบใหม่จึงเป็นที่ถูกจับตามากที่สุด

ในยุโรปมีปัญหาเรื่องของต้นทุนการผลิตและวัตถุดิบในการผลิต ที่สู้ ประเทศคลื่นลูกใหม่ ไม่ได้ โดยเฉพาะจีนที่เป็นยักษ์ใหญ่ของอุตสาหกรรมทุกประเภท สหภาพยุโรปมองหาฐานการลงทุนใหม่

ในประเทศเหล่านี้ มี ประเทศที่เป็นโลกมุสลิม อยู่อย่างน้อยก็ 2 ประเทศ ในประเทศจีนมีชาวมุสลิมอยู่จำนวนไม่น้อย ตลาดการค้า ใหม่กำลังมองไปที่ ตลาดตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกหรือการท่องเที่ยว

ลำพังจีน อินโดนีเซีย หรืออินเดียคงไม่สามารถรองรับการโถมทะลักของการเคลื่อนย้ายการลงทุนแบบทันทีทันใดได้ โอกาสนี้ประเทศไทยจึงเป็นประตูสำคัญที่จะรองรับการเคลื่อนย้ายทุนครั้งสำคัญ

อยากจะแนะให้ไปร่วมงาน World Halal Congress ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 19-24 มี.ค.นี้ ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ ที่จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จะได้เห็นของจริง

สาระสำคัญของงานนี้ ไม่ใช่อยู่ที่ว่าจะรวบรวมเอาธุรกิจอาหารฮาลาลทั่วโลกมาประชุมร่วมกันที่นี่ ซึ่งน่าจะมีเกือบ 200 บริษัท แต่เป็นสิ่งที่ผู้บริหาร ห้างขายปลีกขายส่งยักษ์ใหญ่ของโลก อาทิ วอร์มาร์ท เทสโก้ โลตัส หรือเนสท์เล่ จะมาแถลงจุดยืนว่าธุรกิจ การค้าขายในโลกอนาคตอันใกล้นี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

อยากจะบอกว่าประเทศไทยใกล้ตกขบวนและเสียโอกาสครั้งสำคัญ ถ้ารัฐบาลชุดนี้ยัง กระเหี้ยนกระหือรือไม่เลิก ยังมองไม่เห็นโลกอนาคต ยังยึดติดกับในอดีตและอำนาจที่ไม่ชอบธรรม.

ที่มา:ไทยรัฐ
คอลัมน์คาบลูกคาบดอก
โดย.หมัดเหล็ก
**********************************************************

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

'ตุลาการภิวัฒน์' วันนี้ 'แทรกแซง??'


ศาลเองก็ยังมี 'ปุจฉา'

คดีใหญ่โตมโหฬารทางการเมืองในไทยคดีหนึ่งเพิ่งจะมีคำพิพากษาออกมา โดยที่ดูเหมือนว่าองค์กรต่าง ๆ ตามกระบวนการยุติธรรมจะมีการดำเนินกลไกในทางที่สอดประสานกันอย่างราบรื่น แต่ในอีกบางแง่บางมุม ตอนนี้สังคมไทย อาจจะต้องจับจ้องมองไปยังองค์กรสำคัญอย่างน้อย 2 ส่วน เพราะมี “กรณีเห็นต่าง” ...

ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่ผู้พิพากษาท่านหนึ่ง อนุมัติออกหมายจับบุคคลท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของหน่วยงานด้านการยุติธรรมหน่วยงานหนึ่ง ในคดีถูกบุคคลทางการเมืองฟ้องหมิ่นประมาท แล้วต่อมามีนักวิชาการสายกฎหมายมหาวิทยาลัยรัฐบางท่าน ได้สนับสนุนการใช้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในการไต่สวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาท่านดังกล่าวนี้

จากกรณีนี้ นายพรเทพ อัมพรกลิ่นแก้ว อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุว่า... ป.ป.ช. เป็นองค์กรอิสระ มีอำนาจตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งใน (3) ของมาตรา 19 บัญญัติไว้ว่า... (3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

อย่างไรก็ตาม ตามที่มีนักวิชาการบางท่านหยิบยกมาตรา 19 (3) ขึ้นมาสนับสนุนการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ในการไต่สวนการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษา ในกรณีที่ได้อ้างถึงข้างต้นนั้น... “มิได้แยกแยะให้ชัดเจนว่า การใช้ดุลพินิจในลักษณะใดเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และกรณีใดเป็นการใช้ดุลพินิจลักษณะที่เป็นการใช้อำนาจตุลาการโดยแท้ ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือองค์กรอื่นใด ก็ไม่อาจแทรกแซงได้”

อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุต่อไปว่า... ตามมาตรา 19 (3) ที่ว่า “ทุจริตต่อหน้าที่” นั้น มีคำจำกัดความไว้ชัดเจนในมาตรา 4 ของ พ.ร.บ.เดียวกัน ว่าหมายถึง “ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่ง หรือหน้าที่ ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น” แต่ถ้อยคำที่ว่า “ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม” มิได้จำกัดความไว้ทั้งใน พ.ร.บ.นี้ และกฎหมายอื่นใด ซึ่งในแง่ของกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็นคำธรรมดาสามัญทั่วไปที่กฎหมายมิได้ให้ความหมายไว้เฉพาะ

ดังนั้น การใช้ “ดุลพินิจ” ของผู้พิพากษาในกรณีที่ได้อ้างถึงแต่ต้น ภายในกรอบที่กฎหมายกำหนด ย่อมเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี และเป็นอำนาจหน้าที่ ซึ่งไม่ว่าฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ หรือหน่วยงานใด ก็มิอาจแทรกแซงได้ แม้ว่าการใช้ดุลพินิจนั้นจะไม่เป็นที่พอใจหรือสมประโยชน์ของผู้ได้รับผลกระทบ บุคคลที่ไม่พอใจการใช้ดุลพินิจย่อมสามารถอุทธรณ์ ฎีกาได้ เมื่อศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคำสั่งเป็นอย่างอื่น จะหมายความว่าการใช้ “ดุลพินิจ” ของผู้พิพากษาเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือไม่ ?

หากเป็นเช่นนั้น คงไม่มีผู้พิพากษาท่านใดกล้าใช้ดุลพินิจในการประสิทธิ์ประสาทความยุติธรรมเป็นแน่แท้ และอาจถูกมองได้ว่า การใช้อำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลได้ถูกแทรกแซง ซึ่งขัดกับหลักการทำหน้าที่ของผู้พิพากษาที่ต้อง “เป็นอิสระและไม่ลำเอียง” ทำนองเดียวกันกับการปฏิบัติหน้าที่ของตุลาการศาลปกครองและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือแม้กระทั่งอนุญาโตตุลาการ

อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ระบุอีกว่า... ศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) มีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาให้เป็นไปโดยสุจริต โปร่งใส ชอบด้วยกฎหมาย และปราศจากอคติ ศาลยุติธรรมไม่เคยปกป้องผู้พิพากษาที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบหรือแม้กระทั่งประพฤติตนไม่เหมาะสม และในกรณีการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาดังที่อ้างถึงข้างต้น ก.ต.ก็ได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้วทราบว่า เป็นการใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และปราศจากอคติ ซึ่งการออกหมายจับเป็นเพียงมาตรการหนึ่งของกระบวนการยุติธรรมในชั้นสอบสวนเท่านั้น ส่วนผิดหรือไม่ผิดนั้น ต้องว่ากันในชั้นพิจารณา

“สำหรับการใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ย่อมต้อง อยู่ภายในขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้ ซึ่งไม่รวมถึงการตรวจสอบการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม เพราะจะเป็นการก้าวล่วง หรือแทรกแซงการใช้ดุลพินิจของศาล หากก้าวล่วง หรือแทรกแซงได้ แล้วใครล่ะจะตรวจสอบการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. ?” ...อธิบดีผู้พิพากษาภาค 3 ทิ้งท้ายในเชิงปุจฉา-ตั้งคำถาม

ทั้งนี้ ณ ที่นี้เองก็ยืนยันว่า เชื่อมั่นว่าศาล ป.ป.ช. ตลอดจนองค์กร-บุคลากรด้านการยุติธรรมอื่น ๆ ต่างก็มีเป้าหมายสูงสุดคืออำนวยความยุติธรรมให้บังเกิด ซึ่งจากที่ว่ามาทั้งหมดก็เป็นแต่เพียงสะท้อนกรณีเห็นต่าง...

ในยุคสังคมไทยมีกรณีใหญ่ ๆ ทางกฎหมายที่ถูกตั้ง “ปุจฉา”

ในยุคที่ “ตุลาการภิวัฒน์” กำลังเป็นคำที่คนไทยสนใจ ??.

ที่มา.เดลินิวส์
**********************************************************

ผมยังจำวันแรกที่รู้จักคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้


ผมยังจำวันแรกที่รู้จักคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ได้ วันที่ ดาวเทียมไทคม 1 ถูกยิงออกจากฐานส่ง เฟรนกายอาน่า

ตอนนั้นยังเด็กๆอยู่เลยครับ รู้แต่ว่าเฮ้ย ประเทศเรามีดาวเทียมแล้วว่ะ
รอดูถ่ายทอดสด เปิดทีวีมาเจอ คนชื่อทักษิณ ชินวัตร อ่อคนนี้เจ้าของหรอวะ
ทักษิณกำลังถวายรายงานอยู่ ลุ้นแทบตาย เพราะเห็นแกใช้คำราชาศัพท์ติดๆ ขัดๆ คงตื่นเต้นเหมือนกัน ที่ได้เข้าเฝ้าใกล้ชิดมาก ลุ้นไปซาบซึ้งไป
ซาบซึ้งที่มีบุคคลสำคัญของประเทศ ให้ความสนใจสิ่งที่เรียกว่าดาวเทียม (จำไม่ได้ว่าน้ำตาไหลหรือเปล่า)

ตอนนั้นบรรยากาศชื่นมื่นมากครับ ใครเคยดูมั่ง
นึกถึงวันนั้นแล้วนึกถึงวันนี้ Posted Image ไม่อยากจะเชื่อเลย
ถ้าตอนนั้นมีไทม์แมชชีน ต่อให้ทักกี้เองก็คงไม่เชื่อว่าจะมีวันนี้

ที่มา.konthaiuk
*****************************************************************

** คุณูปการยึดทรัพย์ !!!! **

พูดกระแหนะกระแหนเรื่อยว่า คอยดูเถอะหากศาลตัดสินไม่ยึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท เมื่อไหร่ก็จะมีคน (พวกเสื้อแดง) บอกว่า
ศาลยุติธรรม แต่หากศาลสั่งยึดทรัพย์ ก็จะมีคน (เสื้อแดง) กล่าวหาว่า ศาลไม่ยุติธรรม

ก็ไม่รู้คนพูดใช้อะไรคิด ทีพวกตัวเองปล่อยข่าว มีการติดสินบนผู้พิพากษา 5,000 ล้านบาท เพื่อหวังอะไร ไม่ใช่ต้องการดิสเครดิตศาล
หรือ เรื่อง เอาดีใส่ตัว โยนชั่วคนอื่น เก่งนัก

ที่จริงไม่ต้องรัก “ทักษิณ” เลย แต่ยอมรับหรือไม่ว่า หลัง 19 ก.ย. 49 อุตส่าห์ ลากรถถังออกมาล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ปู้ยี่ปู้ยำประเทศ
ฉีก รธน.ทิ้ง ทำลายหลักนิติ ธรรมสูงสุด แล้วประเทศได้อะไร

นอกจากมีการใช้กฎหมาย 2 มาตรฐาน เพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ไม่ต้องจบกฎหมายจากฝรั่งเศสก็สัมผัสได้ ทำไมใช้กฎหมายย้อนหลัง
ยุบพรรคไทยรักไทย แต่ รธน.ปิศาจกลับบัญญัติ ม.309 ให้มีการนิรโทษกรรมคนทำปฏิวัติโดยไม่ต้องรับผิดทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต

“อัปยศ” ไหม

ทำไม ทำกับข้าว ถูกถอดจากนายกรัฐมนตรี แถมใช้พจนานุกรมอ้างอิงอีก แต่ตุลาการบางคนสอนพิเศษในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
รับค่าสอนชั่วโมงละหลายพัน กลับอ้างเป็นวิทยาทาน ไม่ใช่ ลูกจ้าง

ยังมีเรื่องสำคัญ แอบเปลี่ยนองค์คณะในบางคดี เพื่อให้ผลตัดสินเป็นตามธงที่ตั้งไว้ ก็ภาวนาให้สักวันมีผู้กล้าออกมา เปิดเผยข้อเท็จจริง
ให้โลกรู้ทีเถอะ แทนที่จะรู้ในวงจำกัด นี่ล่ะทำให้ ตุลาการภิวัตน์ ถูกตั้งคำถามมากมาย

ไม่แปลกหรอกที่ คนเสื้อแดง รู้สึกว่า พวกกูทำอะไรผิดหมด พวกมึงทำอะไร ถูกหมด เพราะเสื้อแดงยึดอนุสาวรีย์ฯ ถูกฟ้องศาลใน 3 วัน
อีกสียึดทำเนียบฯ (ถอนฟ้องดื้อ ๆ) ยึดสนามบินฯ ยังลอยนวลจนป่านนี้ เหมือนอำมาตย์รุกป่ายอดเขาไม่ผิด ชาวบ้านรุกป่าเชิงเขาติดคุก

ยังมีอีก คดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของ ปชป. ที่จะนำไปสู่การยุบพรรค ก่อนหน้านี้การยุบพรรคง่ายกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
แค่เชื่อได้ว่าก็ถูกเชือดแล้ว แต่คดีนี้ กกต. ยืนยันต้องมี หลักฐานพิสูจน์ ชัดจึงจะเข้าข่าย

นี่ล่ะ 2 มาตรฐาน

แต่เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสกับผู้พิพากษา ณ รพ.ศิริราช ตอนหนึ่งว่า ขอให้ผู้พิพากษายึดถือความยุติธรรม
ความเป็นกลาง ทรงเน้นเป็นกลางแท้ ๆ จนกว่าชีวิตจะหาไม่

ก็เหมือนฟ้ามาโปรด นี่ล่ะคือสิ่งที่ ผู้รักความเป็นธรรมถวิลหาและเรียกร้องตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่การเลือกปฏิบัติ ยึดหลักกู
อย่างที่พวกชอบเอาดีใส่ตัว โยนชั่วให้คนอื่น กล่าวหาเลย

แล้วเมื่อคดียึดทรัพย์ ศาลฎีกาฯแผนกนักการเมือง พิพากษาให้ยึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะผิดทุกข้อหาที่ตั้งไว้
แต่ยังเมตตา ไม่ยึดเงินก่อนมาเล่นการเมือง (ปี 43) 3 หมื่นล้านบาท คืนให้ (ถ้าไม่ถูกเรียกเก็บภาษีจนหมดตัว)

ย่อมถือว่าเรื่องนี้จบแล้ว ศาลได้ทำหน้าที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณ หรือคนเสื้อแดง จะพอใจหรือไม่ก็แล้วแต่ จะสงสารว่าคนที่รักถูกรังแกก็คิดได้ แต่ยังไง ก็เปลี่ยนคำพิพากษาไม่ได้แล้ว
เหนืออื่นใดน่าจะถือเป็น คุณูปการใหญ่หลวง ต่อการชุมนุมใหญ่ 14 มี.ค. ด้วยซ้ำ การเรียกร้องประชาธิปไตยเที่ยวนี้จะได้เลิกถูกกล่าวหาว่า
สู้เพื่อ (เงิน) ทักษิณเสียที

คุณูปการอีกเรื่องคือ ทำให้ย้อนไปถึงบรรยากาศวันยุบพรรค คำชี้ขาดวันนั้น คือ “เชื่อได้ว่า” แต่วันยึดทรัพย์คือ “ได้มา... โดยไม่สมควร”.

โดย.ดาวประกายพรึก
Dailynews 2-3-2010

**********************************************************************************

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

นี่หรือประชาธิปไตย

ดังที่ทราบกันดีว่าการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น
จะต้องมีการแบ่งแยกอำนาจออกเป็นส่วนๆ คือ 1.อำนาจบริหาร 2.อำนาจนิติบัญญัติ 3.อำนาจตุลาการ แต่ทั้งนี้ประเทศไทย
ยังมี องค์กรณ์อิสระ เช่น กกต. ปปช. ที่คอยถ่วงดุลอำนาจดังกล่าว ไม่ให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตที่ กฏหมายรัฐธรรมนูญกำหนด
องค์กรณ์เหล่านี้ จะทำหน้าที่ ตราบเท่าที่กฏหมายกำหนดให้ทำ

ท่านที่เคารพ น่าเศร้า ที่อำนาจตุลาการที่คิดว่าน่าจะถ่วงดุลทางการเมือง หรืออำนาจอื่นๆ จะไม่สามารถเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่
นักการเมืองหรือประชาชนหวังว่าจะเป็นกลางทางการเมือง ปกป้องผลประโยชน์ของชาติอย่างแท้จริง
ดังที่ท่านทราบกันดี มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นใด ก็ล้วนแล้วแต่หนีไม่พ้นกิเลศ ที่ครอบงำตนเอง
1.อำนาจ
2.ความมั่งคั่ง

คำถาม อำนาจ ตุลาการและ บริหาร ถูกครอบงำโดยใครหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะมี ตุลาการไว้ทำไม่
เราทุกคนในประเทศนี้ ต้องการความยุติธรรม ในเมื่อตุลาการให้ความยุติธรรมแก่เราไม่ได้ ต่อไปประเทศไทยจะเป็นอย่างไร
และจะพัฒนาต่อไปได้อย่างไร เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐนี้ จะได้รับการคุ้มจากกฏหมายเท่าเทียมกันหรือ
รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจเป็นฉบับไหนๆ ก็รองรับ สิทธิ รองรับความเสมอภาค ในตัวบองบุคคล
แล้วทำไมยังคงมีการแบ่งแยกชนชัน การกีดกันทางสังคม ประเทศไทยที่กำลังพัฒนา กลายเป็นด้อยพัฒนา
แล้วเราจะเอาอะไรไปต่อรองกับนานาประเทศ ทั้งเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางการเมือง

ทั้งนี่ ผมไม่ได้ต้องการที่จะวิจารณ์ หรือทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีแก่ประเทศ
ผมเพียงต้องการให้ ตุลาการ และหน่วยงานที่เกียวข้อง ทำหน้าที่ของตนให้ดีหน่อย
อย่าให้ใครเขาด่าเราได้ ว่าไม่เป็นธรรม ไม่ยุติธรรม หรือท่านเห็นว่าตนมีกฏหมายอยู่ในมือแล้วจะทำอะไรก็ได้
คนจนไม่ได้เรียนกฏหมาย เขาไม่รู้ ท่านก็บอกว่าเขาโง่ นี่หรือผู้ใช้กฏหมาย
บางทีคดีที่ท่านตัดสินไป ชาวบ้านที่ไม่ได้เรียนกฏหมายอย่างพวกท่าน เขาก็อาจตัดสินได้ดีกว่าพวกท่านด้วยซ้ำ
จำขอวอนไปยังทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ท่านอย่าใช้แต่สติปัญญาอย่างเดียว
ท่านต้องใช้จิตใต้สำนึกขั้นพื้นฐาน เรามาพิจารณาด้วย และให้มองถึงความเสมอภาคที่ทุกคนพึงได้รับตามกฏหมาย


...จริงหรือที่กฏหมายทำเพื่อประชาชนทุกหมู่เหล่า...
...กำลังของชาติ...


ที่มา.konthaiuk
************************************************************

หน้าสิ่ว หน้าขวาน พิสูจน์ อภิวันท์ วิริยะชัย ภายใน พรรคเพื่อไทย


นอกจากบทบาทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะประธานพรรคเพื่อไทยแล้ว ขอให้จับตาบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อย่างเป็นพิเศษ

เป็นบทบาทในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานทางการเมือง

เป็นบทบาทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง ที่เรียกร้องความเป็นเอกภาพ เรียกร้องความกล้าหาญ

ณ วันนี้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็น ส.ส.นนทบุรี

คงจำกันได้ว่า ก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะผันตัวเองไปเป็น "เขยนครพนม" ก็เคยเป็นส.ส.นนทบุรี

และคนที่หาเสียงเคียงกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย

ณ วันนี้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นอกจากเป็นส.ส.นนทบุรี แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร

จำเป็นต้องจับตาบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อย่างชนิดเกาะติด

ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานยิ่ง อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง

เพราะว่าพรรคเพื่อไทยคือความต่อเนื่องจาก พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

การยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ทำให้กรรมการบริหารพรรค 111 คนถูกแขวน และกระจัดพลัดพรายไป

การยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ทำให้กรรม การบริหารพรรค 109 คนถูกแขวน และบางส่วนก็กระจัดพลัดพรายไป

ที่เหลืออยู่ในพรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นน้ำ 3 อันเหลือจากไทยรักไทย พลังประชาชน

อย่าแปลกใจหากว่าบทบาทของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในเวทีแห่งรัฐสภาไม่คึกคักเท่าที่ควร แม้กระทั่งจะหาชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการระบุว่าเป็นนายกรัฐมนตรีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจก็ยากเย็นอย่างยิ่ง

กระนั้น ก็อย่ามองข้ามบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นอันขาด

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และได้ดุษฎีบัณฑิตในทางวิศวกรรมศาสตร์จากต่างประเทศ

เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

ฝึกปรือวิทยายุทธ์ทางการเมืองจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จากพรรคความหวังใหม่ และที่สุดมาแจ้งเกิดในพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องจนถึงพรรคพลังประชาชน

บทบาทเด่นเป็นอย่างมากคือบทบาทหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย คือแกนนำที่สำคัญคนหนึ่งของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่ยังเป็นหวอดเล็กชุมนุมอยู่ท้องสนามหลวงและยกขบวนไปยังบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์

อย่าได้แปลกใจหากเมื่อผ่านสถานการณ์ 26 กุมภาพันธ์ 2553 มา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย คือผู้ที่นั่งผนึกพลังร่วมกับเพื่อนส.ส. และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

ออก "แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย" ในวันที่ 27 กุมภา พันธ์ 2553

แท้จริงแล้วภายในพรรคเพื่อไทยมิได้แล้งไร้ผู้นำ เพียงแต่มิได้สำแดงตัวออกมาอย่างโฉ่งฉ่าง

เพียงแต่รอจังหวะเวลาอันเหมาะสม เพียงแต่รอผ่านการกลั่นกรองจากการต่อสู้ที่เป็นจริงในยามหน้าสิ่วหน้าขวานและในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองเท่านั้น

เพราะว่า "ในยามยากย่อมพิสูจน์มิตรแท้และคนจริง" ให้เป็นที่ประจักษ์

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนระดมพล"แดง"ชุมนุมใหญ่


รายงานพิเศษ
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค. โดยจะเคลื่อนพลเสื้อแดงจากทั่วประเทศในวันที่ 12 มี.ค.

ภายใต้สโลแกนว่า "12 มี.ค. เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน"

ภายใต้ธงรบ "โค่นล้มระบอบอำมาตย์และเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน"

ประกาศระดมพลเสื้อแดงนับล้านคน ใช้พื้นที่สนามหลวง ยาวไปถึงถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า

แนวทางการระดมพลและการวางยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อการชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนการรับมือรัฐบาลที่อาจนำกฎหมายพิเศษมาควบคุม แกนนำนปช.ได้เตรียมแผนรับมือไว้อย่างไร

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. แกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ น.พ.เหวง โตจิราการ รวมทั้ง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เปิดเผยถึงแนวทางดังนี้

ก่อนจะมีเคลื่อนขบวนมาที่กรุงเทพฯ ทางกลุ่มนปช.จะมีการตั้งเวทีปราศรัยตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อเป็นการโหมโรง เพื่อเชิญชวนพี่น้องกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย มาร่วมทัพคนเสื้อแดง

วันที่ 5 มี.ค. จะมีการปราศรัยที่จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 7 มี.ค. ที่จังหวัดระยอง วันที่ 8 มี.ค. ที่จังหวัดอ่างทอง และวันที่ 9 มี.ค. ที่จังหวัดแพร่

จากนั้นแกนนำจะมาประจำการตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อล้มรัฐบาลต่อไป

ส่วนการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลของคนเสื้อแดงจะมีตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เวลา 12.00 น. โดยจะเรียกระดมพลในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ มารวมตัวกันในสถานที่ที่สะดวก เช่น หน้าศาลากลางจังหวัด ลานอเนกประสงค์ หอนาฬิกา

เมื่อรวมกลุ่มจนครบแล้ว จะทยอยขึ้นรถกระบะและรถส่วนตัว ตั้งขบวนแห่ไปตามถนนสายหลักของแต่ละจังหวัดรอบเมือง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ และเป็นพลังหนุนมาร่วมชุมนุมให้มากขึ้นด้วย

จากนั้นเวลา 24.00 น. ของวันที่ 12 มี.ค. ถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 13 มี.ค. กลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนแบบคาราวานคนจน พร้อมทั้งริ้วขบวนธงรบสีแดง มีทั้งรถปิกอัพ รถเก๋ง รถอีแต๋นและการเดินเท้าไหลรวมเป็นแม่น้ำสีแดงสายย่อย มารวมตัวกันที่ตัวแทนจังหวัดแต่ละภาค เป็นพลังเพื่อเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มี.ค.

แยกออกเป็นทัพบกและทัพเรือ

ภาคเหนือ จะไหลมารวมที่จังหวัดนครสวรรค์ ตรงนั้นจะมี พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นแกนนำ

ภาคอีสาน จะไหลรวมกันที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร และนายสุทิน คลังแสง

ภาคกลางและภาคตะวันตก จะไหลรวมกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ นายพายัพ ปั้นเกตุ

ภาคตะวันออก จะไหลรวมกันที่พัทยา จังหวัดชลบุรี นำโดย นายสำเริง ประจำเรือ สมาชิกอบจ.จันทบุรี แกนนำคนเสื้อแดงภาคตะวันออก

ภาคใต้จะไหลรวมกันที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำโดย นายจรัล ดิษฐาภิชัย และ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย

ส่วนกทม. นำโดย น.พ.เหวง โตจิราการ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และขบวนคนรักแท็กซี่ แบ่งออกเป็น 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดมีคนเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน

คือ 1.บริเวณพระบรมรูปพระเจ้าตากสินมหาราช 2.สี่แยกหลักสี่ 3.บริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี

4.สน.ทุ่งสองห้อง 5.สี่แยกบางนา 6.สนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง 7.หน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี 8.บริเวณคลอง 4 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 9.บริเวณคลอง 4 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 10.ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ

ในแต่ละจุดจะเคลื่อนมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สนามหลวงและลานพระบรมรูปทรงม้า

ทัพเรือจะมีหัวขบวนอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมริ้วธงรบประจำภาคประดับอยู่ในขบวนเรือ เป็นธงรบสีแดง และขบวนเรือ ซึ่งมีเรือขนาดเล็กและใหญ่กว่า 1,000 ลำ จะเคลื่อนขบวนมาสิ้นสุดเพื่อขึ้นฝั่งที่ท่าพระจันทร์ กทม.

และแยกกลุ่มผู้ชุมนุมไป 3 จุดใหญ่ คือ 1.สนามหลวง 2.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ 3.ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยในแต่ละจุด ตั้งเต็นท์พักอาศัยและโรงครัว พร้อมทั้งมีแกนนำสลับเดินสายไปตามเวทีต่างๆ

การรักษาความปลอดภัยจะดำเนินการอย่างไร

นายสุภรณ์ - แกนนำแต่ละภาคได้จัดเตรียมหน่วยไว้เฉพาะ ซึ่งเราจะไม่มีการ์ดของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาร่วมด้วย แต่เสธ.แดง รับปากว่า หากกลุ่มคนเสื้อแดงโนรังแกเมื่อใด กลุ่มเสธ.แดงจะมาช่วยทันที

เบื้องต้นจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกองกำลังรักษาความปลอดภัยของเสธ.แดง

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมยืดเส้นยืดสายคือการดาวกระจายไปตามหน่วยงานต่างๆ คือกองทัพบก และกองพลทหารราบที่ 11 รอ. ที่เราจำเป็นต้องไปปิดหน้าประตู เพื่อไม่ให้ทหารเหล่านี้เดินทางเข้าออก เพราะเกรงว่าทหารในนั้นจะออกมาทำร้ายประชาชนอีกครั้ง เหมือนเหตุการณ์สงกรานต์เลือด

จะชุมนุมยืดเยื้อกี่วัน

นายสุภรณ์ - เบื้องต้นเราได้กำชับผู้ชุมนุมได้เตรียมอาหารแห้ง เสื้อผ้าไว้อย่างน้อย 7 วัน ถ้าใน 7 วัน นายอภิสิทธิ์ ไม่ลาออกหรือยุบสภา เราจะกดดันโดยชุมนุมต่อ มีกองทัพชุด 2 ชุด 3 สลับหมุนเวียนไปเรื่อยๆ

มั่นใจว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะอยู่ไม่เกินช่วงเดือนเม.ย.หรือเทศกาลสงกรานต์แน่นอน ถ้ายังคงอยู่ในขณะที่มีประชาชนนับล้านคอยขับไล่ นายอภิสิทธิ์คงไม่ใช่คนแล้ว

หากรัฐบาลคิดจะประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือพ.ร.บ.ความมั่นคง แกนนำยังยืนยันจะชุมนุมต่อ เพราะเราไม่มีอะไรจะเสีย ชนิดไม่ชนะไม่กลับบ้าน ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย รัฐบาลอย่าประกาศใช้แบบฟุ่มเฟือย

อย่างเหตุระเบิดในช่วงนี้ เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อออกกฎหมาย โดยเฉพาะพ.ร.บ.ความมั่นคงหรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสกัดเสื้อแดง ยืนยันเราชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ฉะนั้นจะมาอ้างว่าไม่สงบเพื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้กับเราไม่ได้เพราะไม่มีเหตุเหมือน 3 จังหวัดใต้

ดังนั้น คนไทยทั้งประเทศจะได้เห็นการรวมตัวของประชาชนที่ทรงพลังมากที่สุด ในวันที่ 14 มี.ค. ที่ถนนราชดำเนิน ส่วนที่รัฐบาลบอกว่ากลุ่มนปช.อ่อนแรงอ่อนล้าแตกแยกหรือไม่ได้การตอบรับจากสังคม วันนั้นรัฐบาลจะได้เห็นความจริง

และหากไม่เป็นตามจริงดังคำพูดของรัฐบาล ขอท้าให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภา


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
***************************************************************

พท.ไม่ห่วงเหตุป่วนโยนปะทัดยักษ์ฝั่งตรงข้ามพรรค

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ถึงกรณีที่มีเหตุเสียงดังคล้ายระเบิดหรือปะทัดยักษ์ บริเวณฝั่งตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ถนนพระราม 4 ช่วงกลางดึกวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด คิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ซึ่งภายในพรรคไม่ได้มีเอกสารอะไรที่สำคัญ และยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราอยู่ตลอด ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษ ที่บริเวณนอกพรรคคาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงปฏิบัติหน้าที่อยู่


นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ส่วนที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมทั้งโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ปชป.ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลที่ก่อเหตุอาจมีความเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ต้องย้อนถามกลับว่าให้คิดตามข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลอะไรที่กลุ่มคนเสื้อแดงต้องไปสร้างเรื่องหรือก่อเหตุวุ่นวาย เพราะเขาคงไม่ต้องการให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ หรือให้ใครมาขัดขวางการชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.นี้ จึงไม่อยากให้ใครไปกล่าวหาทั้งที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง


ที่มา.มติชนออนไลน์

การปฏิวัติของประชาชนในประเทศไทย


บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พร้อมแล้วที่จะแตกหักกับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพวกเขาหมดเวลารอคอยและหมดทางเลือกที่จะเดิน การปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึงจะนำไปสู่ “การปฏิวัติของประชาชน” ที่มวลชนผู้รักสันติไม่ได้ต้องการ แต่ฝ่ายเผด็จการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ก่อขึ้น ผลลัพธ์จะไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตัวของผู้ใด แต่จะกำหนดโดยพลวัตของประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากจะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

1. รัฐประหาร 19 กันยายน ที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ในตลอดกว่าสามปีมานี้ ความผิดพลาดสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคือ การก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 อันนำมาซึ่งผลที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ถึงปัจจุบัน

นับแต่รัฐประหารปี 2500 เป็นต้นมา พวกเขาได้สถาปนาระบอบเผด็จการจารีตนิยมขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยมีเปลือกนอกที่สลับกันระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผยกับระบอบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิด พวกเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่เป็นเผด็จการและก่อรัฐประหารแต่ละครั้งเมื่อพวกเขาต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกันเองในกลุ่มปกครอง หรือเพื่อปราบปรามประชาชน (เช่น รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519) หรือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่บังเอิญมีนายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ (รัฐประหาร 2534 และ 2549) หลังจากนั้น พวกเขาก็จะยอมให้มีระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ใช้เป็นหน้ากากปกปิดใบหน้าปีศาจที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อหลอกลวงทั้งประชาชนไทยและชาวโลก โดยเนื้อในอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม

ในอดีต พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดทุกครั้งในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลในระบอบรัฐสภา ภายหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อในเป็นเผด็จการ ให้มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลหุ่นเชิดของตน ในขณะที่อดีตผู้นำรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว ล้วนหมดอำนาจและสถานะทางการเมืองโดยไม่สามารถย้อนกลับมาท้าทายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อีก พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเป็นเหมือนทุกครั้งในอดีต แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้นำรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท อีกทั้งผลสะเทือนของรัฐธรรมนูญ 2540 และผลสำเร็จของรัฐบาลช่วงปี 2544-2548 ทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชั้นล่างจำนวนมาก ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจและดุลกำลังทางชนชั้นของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา พวกเขาจึงประเมินศักยภาพของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยและการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารต่ำเกินไป หลังจากยัดเยียดรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับ 2550 แล้ว ก็ให้มีการเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยการหนุนช่วยอย่างทั่วด้านจากกองทัพ หน่วยราชการ และองค์กรหุ่นตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ตามประสงค์ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคพลังประชาชนภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้

พวกเขาจึงต้องส่งกลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลืองออกมาสร้างสถานการณ์จลาจลบนท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อบั่นทอนรัฐบาล ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์และองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำลายพรรคพลังประชาชนและคณะรัฐบาล แล้วให้กองทัพก่อรัฐประหารเงียบจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้สำเร็จในที่สุด อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐประหาร 19 กันยายน

การเคลื่อนไหวของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยโดยใช้เครือข่าย “สี่ขาหยั่ง” อันได้แก่ กลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรรัฐธรรมนูญ และคณะนายทหาร ประสานร่วมมือกันทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน บรรลุเป็นรัฐประหารเงียบเมื่อเดือนธันวาคม 2551 จึงเป็นการต่อเนื่องของรัฐประหาร 19 กันยายนที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง

2. รัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอและทุจริตคือความจงใจของอำมาตยาธิปไตย
ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภาโดยพวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา

สิ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยต้องการคือประชาชนไทยที่เอาแต่ชูสองมือ เงยหน้าชะเง้อรอคอยความเมตตา “หยาดฝนจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” จากพวกเขาที่เป็นผู้ปกครองอันเปี่ยมไปด้วยความกรุณา คุณธรรม จริยธรรม สุจริตขาวสะอาด และสูงส่งตลอดไปเท่านั้น

เราจึงได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดของเผด็จการ เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถทางบริหาร เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่เป็นเท็จ การกอบโกยผลประโยชน์ และทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ นอกจากจะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภานั้นล้มเหลวดังกล่าวแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ในเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกเขาก็จะใช้ความล้มเหลวในการบริหารและทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเป็นข้ออ้างก่อรัฐประหารได้อีกครั้ง

พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาในประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ล้มเหลวและทุจริต นักการเมืองทรยศขายตัว และความเลวร้ายทั้งปวงที่ผู้คนหลงเข้าใจว่า เกิดจากระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม และในท้ายสุด พวกเขานั่นแหละที่เป็นรากเง่าของรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2500

3. อำมาตยาธิปไตยมาถึงทางตัน
หนึ่งปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวและทุจริตคอรัปชั่น ตลอดจนความอยุติธรรมเลือกข้างของกระบวนการยุติธรรมที่กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ทำให้ประชาชนที่มีธรรมชาติที่รักความยุติธรรมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และกระตุ้นให้การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วประเทศในหมู่ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท กรณี “สงกรานต์นองเลือด” มีผลเพียงทำให้ขบวนประชาธิปไตยชะงักงันไปช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมที่รัฐบาล กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมรวมหัวกันภายใต้การบงการของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยทำการกดขี่ประชาชน เปิดเผยเนื้อแท้ของระบอบอำมาตยาธิปไตยว่า พวกชนชั้นปกครองและสมุนของพวกเขานั้นคือผู้บัญญัติและใช้กฎหมายที่แท้จริง กฎหมายสำหรับพวกเขาจึงมิได้มีไว้เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในขณะที่กองทัพก็มิใช่กองทัพของชาติและประชาชน หากแต่เป็นเพียง “กองกำลังอาวุธส่วนตัว” ของกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตื่นตัวรับรู้และสร้างความโกรธแค้นในมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว ประชาชนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมไม่อาจได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนเอง แม้กระทั่งกรณี “การถวายฎีกา” ก็เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนว่า ต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรม

รัฐบาลประชาธิปัตย์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแย่งชิงมวลชนไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทุกวันนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดเป็นที่ดูถูก เยาะเย้ย เกลียดชังอยู่ทั่วไป ในขณะที่ความเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ 2540 และอดีตผู้นำไทยรักไทยให้กลับคืนมากลับดังก้อง จึงเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยว่า จะให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาจะต้องไม่ยุบสภา และหากจำต้องยุบสภา ก็จะต้องไม่ให้มีการเลือกตั้ง

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้มาถึงทางตันแล้ว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยมาจนเกือบหมดสิ้น ทั้งอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง กลไกตำรวจ ราชการ นักการเมืองทรยศขายตัว ในขณะที่การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดคือ มีลักษณะจำกัดขอบเขต เชื่องช้า และไม่แม่นยำ ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถ และขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับอดีตผู้นำไทยรักไทยและขบวนประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการสำคัญคือ พวกเขาตระหนักว่า “เวลาใกล้หมดแล้ว” ขณะที่ “เวลา” เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย หากพวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ประชาธิปไตยคลี่คลายไปดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะขจัดขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป

ที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้มาเป็นลำดับว่า ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมแผนการกันอย่างขมักเขม้นเพื่อปราบปรามประชาชนในขั้นเด็ดขาด พวกเขาให้บรรดานักการเมืองและนักวิชาการขายตัวที่เป็นสมุนรับใช้ของพวกเขา เรียงหน้ากันออกมาป่าวร้องกันอย่างเปิดเผยว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง” ให้สื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่เป็นสมุนเผด็จการปลุกปั่นโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จว่า ขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็น “พวกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ขบวนการสาธารณรัฐ” การรื้อฟื้นกลุ่มอันธพาลเสื้อเหลือง การเคลื่อนไหวนอกสภาของนักการเมืองบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยขององคมนตรีบางคนและคณะนายทหาร เป็นต้น

พวกเขาพลาดโอกาสที่จะขุดรากถอนโคนขบวนการประชาธิปไตยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสงกรานต์ปี 2552 แต่คราวนี้ พวกเขาจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว!

4. “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน”
เบื้องหน้าภัยจากการปราบปรามของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องไม่ประมาท หากแต่ตระเตรียมรับมือกับการรุกของเผด็จการ การทำงานมวลชนขั้นพื้นฐานยังคงเน้นขยายฐานมวลชน จัดตั้งมวลชน เพิ่มจำนวนสมาชิก ก่อรูปคณะแกนนำหลัก และตระเตรียมคณะแกนนำสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ร่วมมือสามัคคี เน้นจุดร่วมที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย สร้างแนวร่วมกับกลุ่มคนที่เห็นต่างที่ไม่ใช่สมุนอำมาตยาธิปไตย บริหารจัดการทรัพยากรคน วัสดุและการเงินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีโครงสร้างการจัดตั้งและแผนงานสำรองสำหรับสถานการณ์สู้รบที่กำลังมาถึง

แต่ในขณะที่ขบวนการประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “สถานการณ์สู้รบ” การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะหน้าให้ชัดเจนคือ โค่นล้มระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ขจัดอำนาจและกลไกรัฐธรรมนูญของอำมาตยาธิปไตยที่เป็นอิทธิพลแฝงเร้นคุกคามรัฐบาลเลือกตั้งและเป็นรากเหง้าของรัฐประหารมาทุกยุคสมัย ในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว การรุกทางการเมืองจะต้องดำเนินไปพร้อมกับการตระเตรียม “รับ” ในสถานการณ์ที่ฝ่ายเผด็จการตัดสินใจใช้ความรุนแรง เพื่อจำกัดและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และเพื่อ “การรุกตีโต้กลับ” เมื่อฝ่ายเผด็จการดำเนินจังหวะก้าวที่ผิดพลาด

คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำโดยประธานวีระ มุสิกพงศ์ ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและเสี่ยงอันตรายแล้วว่า พวกเขาเป็นแกนนำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อดทน ชาญฉลาด ยืดหยุ่นพลิกแพลง ไว้วางใจได้ และเสียสละอย่างสูง สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นจากมวลชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ

ประชาชนไม่ว่าในที่ใดในโลกล้วนต้องการสันติและประนีประนอม เพราะพวกเขามีแต่สองมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกองทัพ กฎหมาย และกลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ประชาชนจึงปฏิเสธความรุนแรงเสมอมา ข้อเท็จจริงชี้ว่า ผลของความรุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งในประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศทั่วโลกคือ การบาดเจ็บสูญเสียของฝ่ายประชาชนล้วน ๆ

แต่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกับพวกเผด็จการในประเทศอื่น ๆ คือ แม้จะเห็นประสบการณ์ซึ่งเผด็จการในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในท้ายสุดล้วนต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย แต่เผด็จการในทุกประเทศก็ล้วนเชื่อเหมือน ๆ กันว่า ประเทศตนเป็นข้อยกเว้นและจะสามารถฝืนกระแสประวัติศาสตร์ไปได้ พวกเขาจึงกระทำผิดพลาดซ้ำ ๆ เหมือนกันด้วยการปฏิเสธความต้องการของประชาชนและเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า หากใช้กำลังเด็ดขาดเข้าปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอีกสักครั้ง ใช้ความโหดเหี้ยมสยดสยองของอำนาจรัฐ ก็จะกำราบให้ประชาชนหวาดกลัวยอมจำนน และยืดอายุอำนาจเผด็จการของพวกตนออกไปได้อีก

เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยจึงเชื่อว่า พวกเขาจะฝ่าวิกฤตคราวนี้ไปได้เช่นเดียวกับที่เขาทำสำเร็จมาแล้วจากการปฏิวัติ 2475 และกระแสประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาคม 2516 พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในเวลานี้ เงื่อนไขของสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วันเวลาและ “สวรรค์” ของพวกเขาใกล้หมดแล้ว การลงมือปราบปรามประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และอาจจะลุกลามออกไปเป็น “การปฏิวัติของประชาชน” ที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้

การปฏิวัติของประชาชนที่จะเกิดขึ้น จะดำเนินไป “จนถึงที่สุด” เพียงใดนั้นมิใช่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้กำหนด หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของฝ่ายเผด็จการเอง หากพวกเขาไม่ยินยอมที่จะถอยออกไปแต่โดยดีและยังใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน การต่อสู้ของประชาชนก็จะดำเนินไปจนถึงที่สุดโดยตัวมันเอง โดยไม่มีแกนนำคนใดหรือแม้แต่อดีตผู้นำไทยรักไทยจะคาดหมายและควบคุมได้

นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองร้อยปีมาแล้วว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตนของปัจเจกชนคนใด” ไม่ว่าผู้นำจะคิดอย่างไร มีเจตจำนงทางอัตวิสัยอย่างไร มีความปรารถนาในทาง “สายกลางและประนีประนอม” สักเพียงใด หากไม่เป็นไปตามทิศทางของประวัติศาสตร์และความต้องการที่แท้จริงของมวลชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ผู้นำเหล่านั้นก็จะตกขบวนในที่สุด

การต่อสู้ของประชาชนเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและถิ่นฐานใด ล้วนแต่ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำบากทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวคืบหน้าไปแล้วก็ถดถอย แล้วก็คืบหน้าอีก สู้แล้วแพ้ ก็กลับมาสู้ใหม่ เป็นกระแสขึ้นและลง การชะงักหรือถดถอยอาจเป็นเพียงชั่วครู่ไม่กี่เดือนกี่ปี ไปจนถึงยาวนานหลายสิบปีในระหว่างนั้น เแม้ประชาชนจะถูกสกัดกั้น ถูกกดขี่ ถูกใช้กำลังรุนแรงปราบปราม บาดเจ็บล้มตาย กระทั่งนองเลือดอย่างสาหัส แต่การต่อสู้ของประชาชนก็ฟื้นกลับมาเป็นกระแสใหญ่ได้อีกทุกครั้งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

การต่อสู้ของประชาชนในสังคมและยุคสมัยที่ต่างกันอาจมีสาเหตุเฉพาะหน้าที่ต่างกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดมีเพียงประการเดียวคือ “ประชาชนต้องการเสรีภาพ”

โดย.รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์