--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

หน้าสิ่ว หน้าขวาน พิสูจน์ อภิวันท์ วิริยะชัย ภายใน พรรคเพื่อไทย


นอกจากบทบาทของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ในฐานะประธานพรรคเพื่อไทยแล้ว ขอให้จับตาบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อย่างเป็นพิเศษ

เป็นบทบาทในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานทางการเมือง

เป็นบทบาทในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมือง ที่เรียกร้องความเป็นเอกภาพ เรียกร้องความกล้าหาญ

ณ วันนี้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็น ส.ส.นนทบุรี

คงจำกันได้ว่า ก่อน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะผันตัวเองไปเป็น "เขยนครพนม" ก็เคยเป็นส.ส.นนทบุรี

และคนที่หาเสียงเคียงกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ก็คือ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย

ณ วันนี้ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย นอกจากเป็นส.ส.นนทบุรี แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร

จำเป็นต้องจับตาบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย อย่างชนิดเกาะติด

ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทยอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานยิ่ง อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ของการเปลี่ยนผ่านอย่างมีนัยสำคัญทางการเมือง

เพราะว่าพรรคเพื่อไทยคือความต่อเนื่องจาก พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน

การยุบพรรคไทยรักไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2550 ทำให้กรรมการบริหารพรรค 111 คนถูกแขวน และกระจัดพลัดพรายไป

การยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อเดือนธันวาคม 2551 ทำให้กรรม การบริหารพรรค 109 คนถูกแขวน และบางส่วนก็กระจัดพลัดพรายไป

ที่เหลืออยู่ในพรรคเพื่อไทยถือว่าเป็นน้ำ 3 อันเหลือจากไทยรักไทย พลังประชาชน

อย่าแปลกใจหากว่าบทบาทของ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในเวทีแห่งรัฐสภาไม่คึกคักเท่าที่ควร แม้กระทั่งจะหาชื่อบุคคลที่เหมาะสมในการระบุว่าเป็นนายกรัฐมนตรีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจก็ยากเย็นอย่างยิ่ง

กระนั้น ก็อย่ามองข้ามบทบาท พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย เป็นอันขาด

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย สำเร็จจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า และได้ดุษฎีบัณฑิตในทางวิศวกรรมศาสตร์จากต่างประเทศ

เป็นอาจารย์สอนในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า

ฝึกปรือวิทยายุทธ์ทางการเมืองจาก พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จากพรรคความหวังใหม่ และที่สุดมาแจ้งเกิดในพรรคไทยรักไทย ต่อเนื่องจนถึงพรรคพลังประชาชน

บทบาทเด่นเป็นอย่างมากคือบทบาทหลังรัฐประหารเดือนกันยายน 2549

พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย คือแกนนำที่สำคัญคนหนึ่งของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่ยังเป็นหวอดเล็กชุมนุมอยู่ท้องสนามหลวงและยกขบวนไปยังบริเวณหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์

อย่าได้แปลกใจหากเมื่อผ่านสถานการณ์ 26 กุมภาพันธ์ 2553 มา พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย คือผู้ที่นั่งผนึกพลังร่วมกับเพื่อนส.ส. และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ

ออก "แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย" ในวันที่ 27 กุมภา พันธ์ 2553

แท้จริงแล้วภายในพรรคเพื่อไทยมิได้แล้งไร้ผู้นำ เพียงแต่มิได้สำแดงตัวออกมาอย่างโฉ่งฉ่าง

เพียงแต่รอจังหวะเวลาอันเหมาะสม เพียงแต่รอผ่านการกลั่นกรองจากการต่อสู้ที่เป็นจริงในยามหน้าสิ่วหน้าขวานและในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางการเมืองเท่านั้น

เพราะว่า "ในยามยากย่อมพิสูจน์มิตรแท้และคนจริง" ให้เป็นที่ประจักษ์

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แผนระดมพล"แดง"ชุมนุมใหญ่


รายงานพิเศษ
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน ได้ประกาศนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 14 มี.ค. โดยจะเคลื่อนพลเสื้อแดงจากทั่วประเทศในวันที่ 12 มี.ค.

ภายใต้สโลแกนว่า "12 มี.ค. เคลื่อนพลทั้งแผ่นดิน"

ภายใต้ธงรบ "โค่นล้มระบอบอำมาตย์และเรียกร้องให้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน"

ประกาศระดมพลเสื้อแดงนับล้านคน ใช้พื้นที่สนามหลวง ยาวไปถึงถนนราชดำเนิน ลานพระบรมรูปทรงม้า

แนวทางการระดมพลและการวางยุทธศาสตร์ของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อการชุมนุมใหญ่ที่จะเกิดขึ้น ตลอดจนการรับมือรัฐบาลที่อาจนำกฎหมายพิเศษมาควบคุม แกนนำนปช.ได้เตรียมแผนรับมือไว้อย่างไร

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. แกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ น.พ.เหวง โตจิราการ รวมทั้ง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เปิดเผยถึงแนวทางดังนี้

ก่อนจะมีเคลื่อนขบวนมาที่กรุงเทพฯ ทางกลุ่มนปช.จะมีการตั้งเวทีปราศรัยตามภูมิภาคต่างๆ เพื่อเป็นการโหมโรง เพื่อเชิญชวนพี่น้องกลุ่มผู้ชุมนุมที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตย มาร่วมทัพคนเสื้อแดง

วันที่ 5 มี.ค. จะมีการปราศรัยที่จังหวัดนครราชสีมา วันที่ 7 มี.ค. ที่จังหวัดระยอง วันที่ 8 มี.ค. ที่จังหวัดอ่างทอง และวันที่ 9 มี.ค. ที่จังหวัดแพร่

จากนั้นแกนนำจะมาประจำการตามพื้นที่ต่างๆ เพื่อกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อล้มรัฐบาลต่อไป

ส่วนการชุมนุมใหญ่เพื่อขับไล่รัฐบาลของคนเสื้อแดงจะมีตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เวลา 12.00 น. โดยจะเรียกระดมพลในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ มารวมตัวกันในสถานที่ที่สะดวก เช่น หน้าศาลากลางจังหวัด ลานอเนกประสงค์ หอนาฬิกา

เมื่อรวมกลุ่มจนครบแล้ว จะทยอยขึ้นรถกระบะและรถส่วนตัว ตั้งขบวนแห่ไปตามถนนสายหลักของแต่ละจังหวัดรอบเมือง เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบ และเป็นพลังหนุนมาร่วมชุมนุมให้มากขึ้นด้วย

จากนั้นเวลา 24.00 น. ของวันที่ 12 มี.ค. ถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 13 มี.ค. กลุ่มคนเสื้อแดงจะเคลื่อนขบวนแบบคาราวานคนจน พร้อมทั้งริ้วขบวนธงรบสีแดง มีทั้งรถปิกอัพ รถเก๋ง รถอีแต๋นและการเดินเท้าไหลรวมเป็นแม่น้ำสีแดงสายย่อย มารวมตัวกันที่ตัวแทนจังหวัดแต่ละภาค เป็นพลังเพื่อเคลื่อนเข้าสู่กรุงเทพฯ ในช่วงเช้าของวันที่ 14 มี.ค.

แยกออกเป็นทัพบกและทัพเรือ

ภาคเหนือ จะไหลมารวมที่จังหวัดนครสวรรค์ ตรงนั้นจะมี พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย และกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เป็นแกนนำ

ภาคอีสาน จะไหลรวมกันที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นำโดย นายขวัญชัย ไพรพนา นายนิสิต สินธุไพร และนายสุทิน คลังแสง

ภาคกลางและภาคตะวันตก จะไหลรวมกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และ นายพายัพ ปั้นเกตุ

ภาคตะวันออก จะไหลรวมกันที่พัทยา จังหวัดชลบุรี นำโดย นายสำเริง ประจำเรือ สมาชิกอบจ.จันทบุรี แกนนำคนเสื้อแดงภาคตะวันออก

ภาคใต้จะไหลรวมกันที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำโดย นายจรัล ดิษฐาภิชัย และ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย

ส่วนกทม. นำโดย น.พ.เหวง โตจิราการ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด และขบวนคนรักแท็กซี่ แบ่งออกเป็น 10 จุด ซึ่งแต่ละจุดมีคนเข้าร่วมไม่น้อยกว่า 1 หมื่นคน

คือ 1.บริเวณพระบรมรูปพระเจ้าตากสินมหาราช 2.สี่แยกหลักสี่ 3.บริเวณลานพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 สวนลุมพินี

4.สน.ทุ่งสองห้อง 5.สี่แยกบางนา 6.สนามไทยญี่ปุ่น-ดินแดง 7.หน้าศาลากลางจังหวัดนนทบุรี 8.บริเวณคลอง 4 อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี 9.บริเวณคลอง 4 อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 10.ที่หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ

ในแต่ละจุดจะเคลื่อนมาที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย สนามหลวงและลานพระบรมรูปทรงม้า

ทัพเรือจะมีหัวขบวนอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมริ้วธงรบประจำภาคประดับอยู่ในขบวนเรือ เป็นธงรบสีแดง และขบวนเรือ ซึ่งมีเรือขนาดเล็กและใหญ่กว่า 1,000 ลำ จะเคลื่อนขบวนมาสิ้นสุดเพื่อขึ้นฝั่งที่ท่าพระจันทร์ กทม.

และแยกกลุ่มผู้ชุมนุมไป 3 จุดใหญ่ คือ 1.สนามหลวง 2.อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และ 3.ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยมีการตั้งเวทีปราศรัยในแต่ละจุด ตั้งเต็นท์พักอาศัยและโรงครัว พร้อมทั้งมีแกนนำสลับเดินสายไปตามเวทีต่างๆ

การรักษาความปลอดภัยจะดำเนินการอย่างไร

นายสุภรณ์ - แกนนำแต่ละภาคได้จัดเตรียมหน่วยไว้เฉพาะ ซึ่งเราจะไม่มีการ์ดของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาร่วมด้วย แต่เสธ.แดง รับปากว่า หากกลุ่มคนเสื้อแดงโนรังแกเมื่อใด กลุ่มเสธ.แดงจะมาช่วยทันที

เบื้องต้นจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับกองกำลังรักษาความปลอดภัยของเสธ.แดง

นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมยืดเส้นยืดสายคือการดาวกระจายไปตามหน่วยงานต่างๆ คือกองทัพบก และกองพลทหารราบที่ 11 รอ. ที่เราจำเป็นต้องไปปิดหน้าประตู เพื่อไม่ให้ทหารเหล่านี้เดินทางเข้าออก เพราะเกรงว่าทหารในนั้นจะออกมาทำร้ายประชาชนอีกครั้ง เหมือนเหตุการณ์สงกรานต์เลือด

จะชุมนุมยืดเยื้อกี่วัน

นายสุภรณ์ - เบื้องต้นเราได้กำชับผู้ชุมนุมได้เตรียมอาหารแห้ง เสื้อผ้าไว้อย่างน้อย 7 วัน ถ้าใน 7 วัน นายอภิสิทธิ์ ไม่ลาออกหรือยุบสภา เราจะกดดันโดยชุมนุมต่อ มีกองทัพชุด 2 ชุด 3 สลับหมุนเวียนไปเรื่อยๆ

มั่นใจว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จะอยู่ไม่เกินช่วงเดือนเม.ย.หรือเทศกาลสงกรานต์แน่นอน ถ้ายังคงอยู่ในขณะที่มีประชาชนนับล้านคอยขับไล่ นายอภิสิทธิ์คงไม่ใช่คนแล้ว

หากรัฐบาลคิดจะประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือพ.ร.บ.ความมั่นคง แกนนำยังยืนยันจะชุมนุมต่อ เพราะเราไม่มีอะไรจะเสีย ชนิดไม่ชนะไม่กลับบ้าน ให้รู้ดำรู้แดงไปเลย รัฐบาลอย่าประกาศใช้แบบฟุ่มเฟือย

อย่างเหตุระเบิดในช่วงนี้ เด็กอนุบาลยังดูออกเลยว่ารัฐบาลสร้างสถานการณ์เพื่อออกกฎหมาย โดยเฉพาะพ.ร.บ.ความมั่นคงหรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อสกัดเสื้อแดง ยืนยันเราชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญทุกอย่าง ฉะนั้นจะมาอ้างว่าไม่สงบเพื่อนำกฎหมายมาบังคับใช้กับเราไม่ได้เพราะไม่มีเหตุเหมือน 3 จังหวัดใต้

ดังนั้น คนไทยทั้งประเทศจะได้เห็นการรวมตัวของประชาชนที่ทรงพลังมากที่สุด ในวันที่ 14 มี.ค. ที่ถนนราชดำเนิน ส่วนที่รัฐบาลบอกว่ากลุ่มนปช.อ่อนแรงอ่อนล้าแตกแยกหรือไม่ได้การตอบรับจากสังคม วันนั้นรัฐบาลจะได้เห็นความจริง

และหากไม่เป็นตามจริงดังคำพูดของรัฐบาล ขอท้าให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยุบสภา


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
***************************************************************

พท.ไม่ห่วงเหตุป่วนโยนปะทัดยักษ์ฝั่งตรงข้ามพรรค

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะผู้อำนวยการพรรคเพื่อไทย กล่าวเมื่อวันที่ 1 มี.ค.ถึงกรณีที่มีเหตุเสียงดังคล้ายระเบิดหรือปะทัดยักษ์ บริเวณฝั่งตรงข้ามพรรคเพื่อไทย ถนนพระราม 4 ช่วงกลางดึกวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ว่า ยังไม่ทราบรายละเอียด คิดว่าไม่มีอะไรที่ต้องกังวล ซึ่งภายในพรรคไม่ได้มีเอกสารอะไรที่สำคัญ และยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราอยู่ตลอด ไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังอะไรเป็นพิเศษ ที่บริเวณนอกพรรคคาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจคงปฏิบัติหน้าที่อยู่


นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ส่วนที่โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) รวมทั้งโฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรค ปชป.ออกมาตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลที่ก่อเหตุอาจมีความเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทยหรือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น ต้องย้อนถามกลับว่าให้คิดตามข้อเท็จจริงว่ามีเหตุผลอะไรที่กลุ่มคนเสื้อแดงต้องไปสร้างเรื่องหรือก่อเหตุวุ่นวาย เพราะเขาคงไม่ต้องการให้รัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.มั่นคงฯ หรือให้ใครมาขัดขวางการชุมนุมในวันที่ 14 มี.ค.นี้ จึงไม่อยากให้ใครไปกล่าวหาทั้งที่ยังไม่ทราบข้อเท็จจริง


ที่มา.มติชนออนไลน์

การปฏิวัติของประชาชนในประเทศไทย


บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พร้อมแล้วที่จะแตกหักกับฝ่ายประชาธิปไตย เพราะพวกเขาหมดเวลารอคอยและหมดทางเลือกที่จะเดิน การปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึงจะนำไปสู่ “การปฏิวัติของประชาชน” ที่มวลชนผู้รักสันติไม่ได้ต้องการ แต่ฝ่ายเผด็จการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ก่อขึ้น ผลลัพธ์จะไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตัวของผู้ใด แต่จะกำหนดโดยพลวัตของประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากจะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

1. รัฐประหาร 19 กันยายน ที่ยังไม่เสร็จสิ้น
ในตลอดกว่าสามปีมานี้ ความผิดพลาดสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคือ การก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 อันนำมาซึ่งผลที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ถึงปัจจุบัน

นับแต่รัฐประหารปี 2500 เป็นต้นมา พวกเขาได้สถาปนาระบอบเผด็จการจารีตนิยมขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยมีเปลือกนอกที่สลับกันระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผยกับระบอบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิด พวกเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่เป็นเผด็จการและก่อรัฐประหารแต่ละครั้งเมื่อพวกเขาต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกันเองในกลุ่มปกครอง หรือเพื่อปราบปรามประชาชน (เช่น รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519) หรือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่บังเอิญมีนายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ (รัฐประหาร 2534 และ 2549) หลังจากนั้น พวกเขาก็จะยอมให้มีระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ใช้เป็นหน้ากากปกปิดใบหน้าปีศาจที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อหลอกลวงทั้งประชาชนไทยและชาวโลก โดยเนื้อในอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม

ในอดีต พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดทุกครั้งในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลในระบอบรัฐสภา ภายหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อในเป็นเผด็จการ ให้มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลหุ่นเชิดของตน ในขณะที่อดีตผู้นำรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว ล้วนหมดอำนาจและสถานะทางการเมืองโดยไม่สามารถย้อนกลับมาท้าทายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อีก พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเป็นเหมือนทุกครั้งในอดีต แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้นำรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท อีกทั้งผลสะเทือนของรัฐธรรมนูญ 2540 และผลสำเร็จของรัฐบาลช่วงปี 2544-2548 ทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชั้นล่างจำนวนมาก ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจและดุลกำลังทางชนชั้นของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา พวกเขาจึงประเมินศักยภาพของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยและการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารต่ำเกินไป หลังจากยัดเยียดรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับ 2550 แล้ว ก็ให้มีการเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยการหนุนช่วยอย่างทั่วด้านจากกองทัพ หน่วยราชการ และองค์กรหุ่นตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ตามประสงค์ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคพลังประชาชนภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้

พวกเขาจึงต้องส่งกลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลืองออกมาสร้างสถานการณ์จลาจลบนท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อบั่นทอนรัฐบาล ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์และองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำลายพรรคพลังประชาชนและคณะรัฐบาล แล้วให้กองทัพก่อรัฐประหารเงียบจัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้สำเร็จในที่สุด อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐประหาร 19 กันยายน

การเคลื่อนไหวของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยโดยใช้เครือข่าย “สี่ขาหยั่ง” อันได้แก่ กลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรรัฐธรรมนูญ และคณะนายทหาร ประสานร่วมมือกันทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน บรรลุเป็นรัฐประหารเงียบเมื่อเดือนธันวาคม 2551 จึงเป็นการต่อเนื่องของรัฐประหาร 19 กันยายนที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง

2. รัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอและทุจริตคือความจงใจของอำมาตยาธิปไตย
ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภาโดยพวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา

สิ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยต้องการคือประชาชนไทยที่เอาแต่ชูสองมือ เงยหน้าชะเง้อรอคอยความเมตตา “หยาดฝนจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” จากพวกเขาที่เป็นผู้ปกครองอันเปี่ยมไปด้วยความกรุณา คุณธรรม จริยธรรม สุจริตขาวสะอาด และสูงส่งตลอดไปเท่านั้น

เราจึงได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดของเผด็จการ เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถทางบริหาร เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่เป็นเท็จ การกอบโกยผลประโยชน์ และทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ นอกจากจะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภานั้นล้มเหลวดังกล่าวแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ในเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกเขาก็จะใช้ความล้มเหลวในการบริหารและทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเป็นข้ออ้างก่อรัฐประหารได้อีกครั้ง

พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาในประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ล้มเหลวและทุจริต นักการเมืองทรยศขายตัว และความเลวร้ายทั้งปวงที่ผู้คนหลงเข้าใจว่า เกิดจากระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม และในท้ายสุด พวกเขานั่นแหละที่เป็นรากเง่าของรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2500

3. อำมาตยาธิปไตยมาถึงทางตัน
หนึ่งปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวและทุจริตคอรัปชั่น ตลอดจนความอยุติธรรมเลือกข้างของกระบวนการยุติธรรมที่กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ทำให้ประชาชนที่มีธรรมชาติที่รักความยุติธรรมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และกระตุ้นให้การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วประเทศในหมู่ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท กรณี “สงกรานต์นองเลือด” มีผลเพียงทำให้ขบวนประชาธิปไตยชะงักงันไปช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมที่รัฐบาล กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมรวมหัวกันภายใต้การบงการของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยทำการกดขี่ประชาชน เปิดเผยเนื้อแท้ของระบอบอำมาตยาธิปไตยว่า พวกชนชั้นปกครองและสมุนของพวกเขานั้นคือผู้บัญญัติและใช้กฎหมายที่แท้จริง กฎหมายสำหรับพวกเขาจึงมิได้มีไว้เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในขณะที่กองทัพก็มิใช่กองทัพของชาติและประชาชน หากแต่เป็นเพียง “กองกำลังอาวุธส่วนตัว” ของกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตื่นตัวรับรู้และสร้างความโกรธแค้นในมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว ประชาชนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมไม่อาจได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนเอง แม้กระทั่งกรณี “การถวายฎีกา” ก็เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนว่า ต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรม

รัฐบาลประชาธิปัตย์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแย่งชิงมวลชนไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทุกวันนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดเป็นที่ดูถูก เยาะเย้ย เกลียดชังอยู่ทั่วไป ในขณะที่ความเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ 2540 และอดีตผู้นำไทยรักไทยให้กลับคืนมากลับดังก้อง จึงเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยว่า จะให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาจะต้องไม่ยุบสภา และหากจำต้องยุบสภา ก็จะต้องไม่ให้มีการเลือกตั้ง

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้มาถึงทางตันแล้ว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยมาจนเกือบหมดสิ้น ทั้งอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง กลไกตำรวจ ราชการ นักการเมืองทรยศขายตัว ในขณะที่การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดคือ มีลักษณะจำกัดขอบเขต เชื่องช้า และไม่แม่นยำ ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถ และขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับอดีตผู้นำไทยรักไทยและขบวนประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประการสำคัญคือ พวกเขาตระหนักว่า “เวลาใกล้หมดแล้ว” ขณะที่ “เวลา” เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย หากพวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ประชาธิปไตยคลี่คลายไปดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะขจัดขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป

ที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้มาเป็นลำดับว่า ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมแผนการกันอย่างขมักเขม้นเพื่อปราบปรามประชาชนในขั้นเด็ดขาด พวกเขาให้บรรดานักการเมืองและนักวิชาการขายตัวที่เป็นสมุนรับใช้ของพวกเขา เรียงหน้ากันออกมาป่าวร้องกันอย่างเปิดเผยว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง” ให้สื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่เป็นสมุนเผด็จการปลุกปั่นโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จว่า ขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็น “พวกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ขบวนการสาธารณรัฐ” การรื้อฟื้นกลุ่มอันธพาลเสื้อเหลือง การเคลื่อนไหวนอกสภาของนักการเมืองบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยขององคมนตรีบางคนและคณะนายทหาร เป็นต้น

พวกเขาพลาดโอกาสที่จะขุดรากถอนโคนขบวนการประชาธิปไตยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสงกรานต์ปี 2552 แต่คราวนี้ พวกเขาจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว!

4. “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน”
เบื้องหน้าภัยจากการปราบปรามของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องไม่ประมาท หากแต่ตระเตรียมรับมือกับการรุกของเผด็จการ การทำงานมวลชนขั้นพื้นฐานยังคงเน้นขยายฐานมวลชน จัดตั้งมวลชน เพิ่มจำนวนสมาชิก ก่อรูปคณะแกนนำหลัก และตระเตรียมคณะแกนนำสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ร่วมมือสามัคคี เน้นจุดร่วมที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย สร้างแนวร่วมกับกลุ่มคนที่เห็นต่างที่ไม่ใช่สมุนอำมาตยาธิปไตย บริหารจัดการทรัพยากรคน วัสดุและการเงินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีโครงสร้างการจัดตั้งและแผนงานสำรองสำหรับสถานการณ์สู้รบที่กำลังมาถึง

แต่ในขณะที่ขบวนการประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “สถานการณ์สู้รบ” การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะหน้าให้ชัดเจนคือ โค่นล้มระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ขจัดอำนาจและกลไกรัฐธรรมนูญของอำมาตยาธิปไตยที่เป็นอิทธิพลแฝงเร้นคุกคามรัฐบาลเลือกตั้งและเป็นรากเหง้าของรัฐประหารมาทุกยุคสมัย ในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว การรุกทางการเมืองจะต้องดำเนินไปพร้อมกับการตระเตรียม “รับ” ในสถานการณ์ที่ฝ่ายเผด็จการตัดสินใจใช้ความรุนแรง เพื่อจำกัดและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และเพื่อ “การรุกตีโต้กลับ” เมื่อฝ่ายเผด็จการดำเนินจังหวะก้าวที่ผิดพลาด

คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำโดยประธานวีระ มุสิกพงศ์ ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและเสี่ยงอันตรายแล้วว่า พวกเขาเป็นแกนนำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อดทน ชาญฉลาด ยืดหยุ่นพลิกแพลง ไว้วางใจได้ และเสียสละอย่างสูง สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นจากมวลชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ

ประชาชนไม่ว่าในที่ใดในโลกล้วนต้องการสันติและประนีประนอม เพราะพวกเขามีแต่สองมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกองทัพ กฎหมาย และกลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ประชาชนจึงปฏิเสธความรุนแรงเสมอมา ข้อเท็จจริงชี้ว่า ผลของความรุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งในประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศทั่วโลกคือ การบาดเจ็บสูญเสียของฝ่ายประชาชนล้วน ๆ

แต่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกับพวกเผด็จการในประเทศอื่น ๆ คือ แม้จะเห็นประสบการณ์ซึ่งเผด็จการในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในท้ายสุดล้วนต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย แต่เผด็จการในทุกประเทศก็ล้วนเชื่อเหมือน ๆ กันว่า ประเทศตนเป็นข้อยกเว้นและจะสามารถฝืนกระแสประวัติศาสตร์ไปได้ พวกเขาจึงกระทำผิดพลาดซ้ำ ๆ เหมือนกันด้วยการปฏิเสธความต้องการของประชาชนและเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า หากใช้กำลังเด็ดขาดเข้าปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอีกสักครั้ง ใช้ความโหดเหี้ยมสยดสยองของอำนาจรัฐ ก็จะกำราบให้ประชาชนหวาดกลัวยอมจำนน และยืดอายุอำนาจเผด็จการของพวกตนออกไปได้อีก

เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยจึงเชื่อว่า พวกเขาจะฝ่าวิกฤตคราวนี้ไปได้เช่นเดียวกับที่เขาทำสำเร็จมาแล้วจากการปฏิวัติ 2475 และกระแสประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาคม 2516 พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในเวลานี้ เงื่อนไขของสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วันเวลาและ “สวรรค์” ของพวกเขาใกล้หมดแล้ว การลงมือปราบปรามประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และอาจจะลุกลามออกไปเป็น “การปฏิวัติของประชาชน” ที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้

การปฏิวัติของประชาชนที่จะเกิดขึ้น จะดำเนินไป “จนถึงที่สุด” เพียงใดนั้นมิใช่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้กำหนด หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของฝ่ายเผด็จการเอง หากพวกเขาไม่ยินยอมที่จะถอยออกไปแต่โดยดีและยังใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน การต่อสู้ของประชาชนก็จะดำเนินไปจนถึงที่สุดโดยตัวมันเอง โดยไม่มีแกนนำคนใดหรือแม้แต่อดีตผู้นำไทยรักไทยจะคาดหมายและควบคุมได้

นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองร้อยปีมาแล้วว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตนของปัจเจกชนคนใด” ไม่ว่าผู้นำจะคิดอย่างไร มีเจตจำนงทางอัตวิสัยอย่างไร มีความปรารถนาในทาง “สายกลางและประนีประนอม” สักเพียงใด หากไม่เป็นไปตามทิศทางของประวัติศาสตร์และความต้องการที่แท้จริงของมวลชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ผู้นำเหล่านั้นก็จะตกขบวนในที่สุด

การต่อสู้ของประชาชนเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและถิ่นฐานใด ล้วนแต่ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำบากทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวคืบหน้าไปแล้วก็ถดถอย แล้วก็คืบหน้าอีก สู้แล้วแพ้ ก็กลับมาสู้ใหม่ เป็นกระแสขึ้นและลง การชะงักหรือถดถอยอาจเป็นเพียงชั่วครู่ไม่กี่เดือนกี่ปี ไปจนถึงยาวนานหลายสิบปีในระหว่างนั้น เแม้ประชาชนจะถูกสกัดกั้น ถูกกดขี่ ถูกใช้กำลังรุนแรงปราบปราม บาดเจ็บล้มตาย กระทั่งนองเลือดอย่างสาหัส แต่การต่อสู้ของประชาชนก็ฟื้นกลับมาเป็นกระแสใหญ่ได้อีกทุกครั้งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

การต่อสู้ของประชาชนในสังคมและยุคสมัยที่ต่างกันอาจมีสาเหตุเฉพาะหน้าที่ต่างกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดมีเพียงประการเดียวคือ “ประชาชนต้องการเสรีภาพ”

โดย.รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่แดงทุกกลุ่มจะร่วมมือร่วมใจกันรบขั้นแตกหัก

ขอเรียกร้องให้แดงทุกกลุ่มที่มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ เปลี่ยนแปลงประเทศให้มีนิติรัฐ นิติธรรมที่แท้จริง มาเริ่มต้นกันสร้างประเทศไทยสู่ยุดที่ไม่มีการกดขี่ทางสังคม ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง อย่าให้ผู้มีอำนาจ มีบารมี มามีอำนาจเหนือประชาชน

วันที่จะมาถึงในเร็วๆ วันนี้ กลุ่มใดมีแนวทางใดก็ทำในแนวทางของตัวเอง ต้องไม่ขัดแย้งกันเอง หรืองอมืองอเท้าอยู่ สงครามครั้งนี้ไม่มีแดงกลุ่ใดทั้งสิ้น มีแต่แดงที่อยากเห็นประเทศไทยมีความสุข มีแต่ความเจริญ โดยไม่แบ่งสี ไม่แบ่งชนชั้น ใครรวยก็อยู่อย่างคนรวยที่พร้อมจะเจือจานแก้ผู้ด้อยโอกาสในสังคม ใครจนก็อยู่อย่างอดทน ขยันทำมาหากิน ไม่ช้าสิ่งต่างๆ คงจะดีขึ้น

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่แดงกลุ่มทุกกลุ่มต้องเดินไปพร้อมกัน ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งสิ้น เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีร่วมกัน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ไม่มีอะไรที่จะสูญเสียไปมากกว่านี้อีกแล้ว ชีวิตคนเรามีช่วงเดียว ไม่ทำตอนนี้จะรอไปถึงชาติไหน ชาติหน้าจะมีหรือไม่มี ไม่มีใครตรัสรู้ได้ แล้วเจอกัน.....ผมพร้อมมานานแล้วพี่น้อง.....

ที่มา.konthaiuk
**********************************************************

เพื่อไทยโวยบัญชีดำ212คนใกล้ชิด"แม้ว" ละเมิดสิทธิมนุษยชน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงเมื่อวันที่ 28 ก.พ.กรณีที่ปรากฏข่าวว่ารัฐบาลได้ขึ้นบัญชีดำบุคคล 212 คน ซึ่งมีทั้งคนในตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์และคนใกล้ชิด รวมถึงพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กรรมการบริหารและแกนนำพรรคเพื่อไทย รวมถึงคนเสื้อแดงและพระสงฆ์อีก 6 รูป โดยข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าหลังขึ้นบัญชีดำแล้วมีกลุ่มชายฉกรรจ์คอยติดตามผู้ถูกขึ้นบัญชีด้วยนั้น ต้องถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เป็นการกระทำที่สมควรประณามอย่างยิ่ง ดังนั้นตนจะไปยื่นหนังสือถึงนายอภิสิทธิ์ ให้ตรวจสอบและจะสอบถามถึงเหตุผลในการขึ้นบัญชีดำดังกล่าวในวันที่ 2 มี.ค.นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล จากนั้นจะไปยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในวันที่ 4 มี.ค.เพื่อตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ที่มา.มติชนออนไลน์
**************************************************************

เปิดคดีคตส.ชงไล่เช็คบิล"แม้ว"ยาวเป็นหางว่าวจาก 5กรณียึดทรัพย์-แจงบัญชีเท็จอาจติดคุกหัวโตถึง26 ปี

หลังคำตัดสินศาลสั่งให้ยึดทรัพย์"ทักษิณ" ผลคดียังอาจส่งผลต่อการตัดสินคดีอาญาใน 5 กรณีเอื้อประโยชน์ และคดีแจ้งบัญชีเท็จหลังศาลฎีกามีมติเป็นเอกฉันท์ว่าซุกหุ้น ระบุ"แม้ว" นับอัตราโทษมีสิทธิเจอคุก 26 ปี เผย"ซีทีเอ็กซ์"ต่อคิวขึ้นศาล

"ทักษิณ"ส่อโดนคดีอีกเพียบ

รายงานข่าวจาก คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่แก่รัฐ หรือ คตส.เปิดเผย"มติชน" ว่า แม้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินยึดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไป 46,373 ล้านบาท จาก 76,621 ล้านบาท แต่ผลคดีดังกล่าวยังอาจส่งผลต่อการตัดสินคดีอาญาของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างน้อย 2 คดี เนื่องจากศาลฎีกาฯมีมติด้วยเสียงข้างมากว่าการออกกฎหมายแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต และการอนุมัติให้ประเทศพม่ากู้เงินจากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (เอ็กซิมแบงก์) เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทในเครือชินคอร์ป ที่อัยการยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.ท.ทักษิณด้วย เนื่องจากคำตัดสินของศาลฎีกาฯมีผลผูกพันกับทุกศาล โดยขณะนี้ทั้ง 2 คดีอยู่ระหว่างจำหน่ายคดีชั่วคราว เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณหลบหนี

นอกจากนี้ยังอาจทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เล่นงาน กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ เพราะศาลฎีกามีมติเป็นเอกฉันท์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณอำพรางหรือซุกหุ้นไว้ในชื่อลูก เครือญาติ และบริษัทเอกชน ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกฯ 2 สมัย โดยก่อนหน้านี้นายภักดี โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุว่าหลังศาลฎีกาฯตัดสินคดียึดทรัพย์เสร็จ จะขอเอกสารหลักฐานจากศาล โดยเฉพาะหนังสือรับรองจากธนาคารยูบีเอส เอจี ประเทศสิงคโปร์ ที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้มีอำนาจซื้อขายหุ้นชินคอร์ปของบริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนต์ ระหว่างปี 2544-2548 แต่เพียงผู้เดียว

ปปช.จ่อเอาผิดซุกหุ้นภาค2

นายภักดีกล่าวว่า คณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. จะนัดประชุมวันที่ 4 มีนาคม เพื่อเตรียมขอคำพิพากษาที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงจำนวน 1,419 ล้านหุ้น แต่อยู่ในชื่อของบุคคลอื่นมาขยายผลประกอบการพิจารณาคดีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินเท็จฯในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเป็นข้อมูลใหม่ที่ ป.ป.ช.ยังไม่เคยมีมาก่อน ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีมาก คาดว่าคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.คงใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จะส่งเรื่องให้ที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่ลงมติชี้มูลความผิดได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลของคำพิพากษาที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีการซุกหุ้น โดยให้คนในครอบครัวถือหุ้นแทน จะถือเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณาของ ป.ป.ช.ด้วยหรือไม่ นายภักดีตอบว่า คงต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ แต่เชื่อว่าทุกคนคงคาดเดาได้

ระบุ"แม้ว"มีสิทธิเจอคุก26ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีเอ็กซิมแบงก์ พ.ต.ท.ทักษิณถูกฟ้องร้องในข้อหาละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ถึง 10 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2,000 ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนคดีภาษีสรรพสามิตนอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกฟ้องในมาตรา 157 ยังถูกฟ้องเรื่องการขัดกันของผลประโยชน์ตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนการแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดย พ.ต.ท.ทักษิณถูกตรวจสอบว่าอาจแจ้งบัญชีเท็จ จำนวน 4-6 ครั้ง กล่าวโดยสรุป พ.ต.ท.ทักษิณมีโอกาสติดคุกเพิ่มเติมสูงสุด เป็นเวลา 26 ปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตาม คดีทั้งสามยังไม่สามารถเดินหน้าได้ ตราบใดที่ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เดินทางมาขึ้นศาล เนื่องจากเป็นคดีที่มีมูลความผิดทางอาญา ซึ่งศาลฎีกาฯไม่สามารถไต่สวนหรือพิจารณาลับหลังจำเลยหรือผู้ถูกกล่าวหาได้ โดยขณะนี้ได้มีการออกหมายจับในคดีเอ็กซิมแบงก์และคดีภาษีสรรพสามิตไว้แล้ว

เผย"ซีทีเอ็กซ์"ต่อคิวขึ้นศาล

นายใจเด็ด พรไชยา กรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะประธานคณะทำงานร่วม ป.ป.ช.และอัยการคดีทุจริตโครงการปรับปรุงระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าและเครื่องตรวจสอบวัตถุระเบิด ซีทีเอ็กซ์ 9000 เปิดเผยว่า ต้นมีนาคมนี้จะมีการนัดประชุมคณะทำงานร่วมเพื่อสรุปสำนวนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนดำเนินการส่งฟ้องร้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป เบื้องต้นยังไม่ได้กำหนดวันว่าจะส่งฟ้องเมื่อใด ต้องรอหารือในที่ประชุมคณะทำงานร่วมวันดังกล่าวก่อน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสำนวนคดีที่ คตส.ส่งฟ้องให้กับอัยการ มีผู้ถูกฟ้อง 3 กลุ่ม ประกอบด้วยกลุ่มนักการเมือง อาทิ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กลุ่มพนักงานบริษัท การท่าอากาศยานแห่งใหม่ (บทม.) กับคณะกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) และกลุ่มนิติบุคคลรวมถึงบุคคลธรรมดา รวม 25 คน

ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************************

วันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เมื่อรบกับโจร ต้องใช้วิธีเดียวกับโจร เส้นทางเข้าสู่ Dark Side

หลายคนไม่อาจทนยั่วยวนด้วยความโกรธแค้น หรือความชิงชังเช่นนี้ได้ เมื่อคิดว่าต้องจัดการกับ

คนเลวที่มีอำนาจ จะใช้วิธีการเลวๆ อย่างไรก็ได้ เพื่อกำจัดคนเลว

ผมเคยพูดหลายครั้งในกลุ่มย่อยหลายกลุ่มว่า

Means Justify Ends วิธีการจะนำไปสู่ข้อสรุป

วิธีการเลวๆ ไม่อาจนำไปสู่สิ่งที่ดีได้ เมื่อคิดว่าคนที่ตัวเองคิดว่าเลว ควรจะใช้วิธีการเลวๆ เพื่อกำจัดคนเลวได้ สุดท้ายเราเองก็จะกลายเป็นคนเลว

ปัญหาเรื่องความดี ความเลว ไม่ได้เป็นอะไรที่เป็น Absolute มันเป็นสิ่งสัมพัทธ์ คนที่เราคิดว่าเลว ชั่วร้าย อาจเป็นคนดี เป็นวีรบุรุษ เป็น "ศูนย์รวมทางจิตใจและจิตวิญญาณของผู้อื่นหรือคนจำนวนมากก็ได้"เขาเลว เพราะเราคิดว่าเลว เราก็เลยใช้วิธีการชั่วช้าอย่างไรก็ได้ เพื่อหาทางทำลาย กำจัดเขา

เขาเลวหรือไม่ นั่นยังเป็นปัญหา

แต่เรานั้นเลวแน่ เพราะเราใช้วิธีการเลวๆ อย่างน้อยเราเองก็ยอมรับว่ามันเป็นวิธีการที่เลว ชั่วร้าย ดังนั้นเราจึงกลายเป็นเลว ไปในที่สุด แม้ว่าเราคิดว่าเราตั้งใจดีก็ตาม

คนบางคนคิดว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนเลว โกงชาติ เป็นทุนสามานย์ เมื่อปลุกปั่นกันจนถึงที่สุด ก็เลยคิดว่า เมื่อมันเป็นคนเลว ขอใช้วิธีการเลวๆ ทำลายมันไปเพื่อผลประโยชน์ของชาติ

บางคนทำดีมาชั่วชีวิต หลงผิดชั่ววูบ คิดว่า "ขอทำเลยสักครั้งเพื่อทำลายทักษิณ" แล้วก็จะทำดีต่อไป วันนี้ ขอใช้วิธีการชั่วร้ายสักครั้ง

ก็เลยเกิดรัฐประหารเพื่อกำจัดทักษิณขึ้น คิดว่าหลังรัฐประหารกำจัดทักษิณได้แล้ว บ้านเมืองก็จะราบคาบ สงบ เหมือนที่เคยเป็นมา

แต่เมื่อรัฐประหารแล้วทักษิณ ยังไม่ตาย ยังเป็นที่นิยมของคนจำนวนมากอยู่ ก็เลยต้อง "ทำเลว" อีกสักครั้ง เพื่อกำจัดให้สิ้นซาก ทำลายล้างระบอบทักษิณให้สิ้นซาก ก็เลยทำเลว ยึดทรัพย์ ยุบพรรคมันอีก

ก็กำจัดไม่ได้อีก จนถึงวันนี้ พวกเขา "ทำเลวร้ายชั่วช้า" บิดเบือน "ศีลธรรมของบ้านเมืองจนเหลวแหลกไปหมดแล้ว" ก็ยังไม่อาจกำจัดทักษิณได้

ก็เดินเข้าสู่เส้นทางที่เรียกว่า Darkside ด้านมืดของพลังเข้าไปเรือยๆ

สุดท้ายก็ถูกด้านมืดของพลังเข้าครอบงำ กลายเป็นกลุ่มคนที่ชั่วร้ายไป ลองได้เดินเข้าสู่ด้านมืดแล้ว ยากที่จะกลับออกมาได้ โทสะ โมหะ ความโกรธแค้น อคติจะเข้าครอบงำจิตใจไปเรื่อยๆ สุดท้าย จากที่เราคิดว่าเราเป็นคนดี มีเมตตา ดุจเทวดา ก็กลายเป็นมารร้าย เป็นปีศาจไป ยากที่จะกลับออกมาสู่ด้านสว่างได้อีก

ส่วนท่านนายกฯ ทักษิณก็ยังเป็นขวัญใจ คนที่คนจำนวนมากเคารพบูชาอยู่ กลายเป็นศูนย์รวมจิตใจและจิตวิญญาณของหมู่คนรากหญ้า หมู่คนที่รักประชาธิปไตยมากขึ้น หมู่คนที่ไม่อาจทนดูความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นซึ่งหน้า และมันกัดกร่อน จิตสำนึกฝายดีแห่งความเป็นมนุษย์ ที่อย่างน้อยประชาชนที่ไม่ได้มีผลประโยชน์โดยตรง ก็คงหลงมัวเมาไปได้ชั่วขณะเท่านั้น แต่เห็นความอยุติธรรมที่ไม่อาจบรรยาย หรือตอบมโนธรรมของเขาได้ ตอบคนรอบข้างไม่ได้ ไม่อาจยืนหยัดว่าเป็นฝ่ายคุณธรรมได้ พวกเขาก็ต้องเปลี่ยนใจ

กลุ่มคนที่คิดว่าพวกเขายิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องสนใจ ธรรมะใดๆ ในโลกนี้ อำนาจคือธรรม นั้น ในที่สุดพวกเขาก็จะไปไม่รอด เพราะในวันนี้ พวกเขาเป็นสิ่งที่เลวร้ายในแผ่นดินไปเสียแล้ว ประชาชนที่เคยรัก เคยสนับสนุนคนกลุ่มนี้มาก่อนจะคิดอย่างไร จะยืดอกสนับสนุนอยู่ได้หรือ นอกจากคนตาบอดและแกล้งโง่ ใบ้ เป็นบ้าเท่านั้น แต่คงแกล้งได้ไม่นาน

เมื่อเดินเข้าสู่ Dark Side แล้ว อย่าหวังว่าจะได้ออกมาอย่างสว่างอีกเลย

และผมขอเตือนสติคนเสื้อแดงจำนวนมากที่เลือกร้อนนะครับ

อย่าคิดว่าเรากำลังสู้กับโจร หากไม่ใช่วิธีการแบบโจรแล้วเราจะเอาชนะโจรได้อย่างไร

อย่าเดินเข้าสู่ ด้านมืดโดยเด็ดขาด ตัวอย่างฝ่ายอำมาตย์ก็มีให้เห็นตำตาแล้ว

การทำเลวๆ ไม่มีทางที่จะนำไปสู่สิ่งดีๆ ได้ ไม่มีใคร “คาดการณ์” ผลลัพท์ของการกระทำเลวๆ ได้ เพราะมันมีเงื่อนไขที่ควบคุมไม่ได้มากมาย

สุดท้ายด้านมืดจะเข้าครอบงำ

อำมาตย์ในวันนี้พวกเขา ดำมืดแล้ว พวกเขาคงต้องหาวิธีที่ “เลวร้าย ชั่วช้ากว่าเดิมมาอีก” เพราะพวกเขาคิดว่า “กำจัดทักษิณไม่ได้” ขอทำเลวๆ ใหญ่ๆ อีกสักครั้งก็คงกำจัดได้

ปลายทางของคนเลว ไม่เคยบรรลุสิ่งดีๆ ได้

พระพุทธองค์ สอนว่า “คนไม่เกรงกลัวต่อบาป เพราะบาปนั่นยังมาไม่ถึง ก็เลยคิดว่า บาปนั้นไม่มีจริง กรรมนั้นไม่มี จึงไม่ละอายและเกรงกลัวต่อบาป แต่เมื่อบาปหรือกรรมส่งผล ก็จะดิ้นทุรนทุรายเป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก


***************
ธรณี..นี่นี้ เป็นพยาน
เราก็ศิษย์มีอาจารย์ หนึ่งบ้าง
เราผิดท่านประหาร เราชอบ
เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนั้นคือสนอง "
**
ทักษิณ ชินวัตร
26 ก.พ. 2552

ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
********************************************

ยึดทรัพย์-รับของโจร

ยึดเอ๋ย ยึดทรัพย์
คำตัดสินสับปลับจากพวกปล้น
แม้นจะส่งคืนทรัพย์ก็อับจน
ผิดตั้งแต่คราวปล้นที่ต้นทาง

เจ็ดหมื่นหกพันล้านย่อมหวานหมู
ก็ประเทศของกูกูจะกร่าง
อวดเศรษฐีแข่งขันจะกั้นทาง
กูจึงวางเครือข่ายทำลายลง

กูไม่ได้อนุญาตให้มึงรวย
แอบรวยเองก็สวยจะสาปส่ง
แผ่นดินนี้มีแต่กูผู้ดำรง
กูจะทรงแม้จะทรุดสวนพุทธธรรม

น่าอนาถอำมาตย์ใหญ่ช่างใจแคบ
คิดว่าคนเขากินแกลบยังอยู่ถ้ำ
อ้างกฎหมายขนาดไหนก็ใจดำ
แผ่อำนาจครอบงำอำพรางไทย

กลัวประชาธิปไตยจะไล่ที่
กลัวจะหนีไม่พ้นต้องปนไพร่
กลัวคนรู้ความจริงประจักษ์ใจ
กลัวมารยาสาไถยจะไม่ทน

อันธพาลหลายชนิดประชิดรบ
พอตั้งครบสี่เสาก็เข้าปล้น
เริ่มจาก “ศาล” ถึง “ทหาร” สู่ “พาลชน”
สุดท้ายปล้นเสียด้วย “สื่อ” ถือหลักการ

อนิจจา...เมืองไทยดั่งไร้ญาติ
เสมือนคนดวงขาดน่าสงสาร
เงินทองใช่น้ำหนักแต่หลักการ
เหมือนประหารคุณธรรมเคยนำไทย

แต่เคราะห์ดีที่อำมาตย์วาดภาพชัด
ผ่านเหล่าสื่อมวลสัตว์เลิกสงสัย
ทั้งยึดทรัพย์-รัฐประหารผลงานใคร
อำนาจใหญ่จริงเท่านั้นบัญชาการ

พวกนายทุนน้อยใหญ่รับใช้เขา
ไม่นานจักซึมเศร้าเขาล้างผลาญ
ต่างค่าต๋งในแผ่นดินต้องกินนาน
ใครสำราญเริงใจให้ระวัง

รัฐประหารยังไม่จบต้องตบทรัพย์
จนชาติเข้ามุมอับกลับหลังหัน
ป่าวประกาศอำนาจกูกูยืนยัน
อย่านึกฝันว่าจะได้ไทยเสรี

มัวเสียดายเงินทองที่กองอยู่
จนหยุดสู้เพื่อไทยนั้นใช่ที่
จงยึดเอาเหตุการณ์ในวันนี้
เป็นไฟชี้ฉายส่องมองเส้นทาง

สู้กับโจรต้องเข้าใจใจโจรคิด
ถึงเนื้อในเราบัณฑิตต้องคิดต่าง
ถึงเลือกตั้งชนะใสไม่มีทาง
เพราะเขาวางกติกาไว้ฆ่าเรา

ต้องจัดตั้งมวลชนยกพลรบ
ทุกสาขามีครบไว้รบเขา
ถึงเราไม่รุนแรงถ้าแกล้งเรา
ก็เชิญธงขึ้นเสาเข้าโรมรัน

เมื่อยึดทรัพย์เขาก็รับกับชาวโลก
เอาธงโบกว่านี่ฝีมือท่าน
ความประเสริฐเลิศหล้าคงจาบัลย์
หลักฐานชี้มั่นไทยใต้โจรเอย.



คอลัมน์ “ร้อยรักอักษราเป็นอาวุธ”
หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 39
โดย. จักรภพ เพ็ญแข
xxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxxx

ประเทศหลัง 26 ก.พ. (นรกรออยู่)

"ยืนยันว่าหลังวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ประเทศยังเป็นเหมือนเดิม"

นายกฯ อภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ก่อนวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ทักษิณไม่ถึง 48 ชั่วโมง

เป็นคำยืนยันที่พูดอีกก็ถูกอีก พูดร้อยครั้งก็ถูกร้อยครั้ง

ทว่าน้ำหนักมันออกไปทางพรรณนาโวหาร

เหมือนสิ่งมีชีวิตต้องหายใจ หิวต้องกินข้าว อะไรประมาณนั้น

เพราะไม่ว่าศาลฎีกาฯ จะตัดสินออกมาอย่างไร ไทยก็ยังเป็นประเทศอยู่ยั้งยืนยงต่อไปแน่นอน

แต่ประเทศยังเหมือนเดิมหรือไม่ ไม่แน่ใจ?

ขนาดยังไม่ถึง 26 ก.พ. ประเทศยังเปลี่ยนแปลงไปตั้งเยอะ

รวมเลือดเนื้อชาติไทยกันมาร้อยสองร้อยปี อยู่ดีไม่ว่าดีดันแบ่งสีห้ำหั่นให้ประเทศวิกฤต

แล้วหลัง 26 ก.พ. จะเหมือนเดิมได้หรือ?

คดียึดทรัพย์จบ ทักษิณยอมจบด้วยหรือ??

ในเมื่อทักษิณมี "สีแดง" เป็นพลัง

ร้อนแรงเข้มข้นถึงขั้นรัฐบาลขึ้นบัญชีดำไว้ถึง 38 จังหวัด

เถือกครึ่งค่อนประเทศ!

มีพลังมวลชนเหนียวแน่นมากมายขนาดนี้ ย่อมหวังผลได้ทุกเรื่องทั้งการเมือง หรือส่วนตัว

ทวงคืนสมบัติเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญก็จริง การกลับประเทศไทยแบบไร้มลทินสำคัญกว่า

ขอให้ได้กลับมาเท่านั้น เรื่องสมบัติเป็นแค่น้ำจิ้ม

แกนนำนปช.นัดรวมพลคนเสื้อแดง 12 มี.ค. ดีเดย์เคลื่อนทัพเข้าถึงกรุงเทพฯ 14 มี.ค.

ระดมล้านแดงขับไล่รัฐบาลอำมาตย์

ดูรูปการณ์ม็อบแดงงวดนี้ น่ากลัวกว่าวันตัดสินยึดทรัพย์

เพราะแพ้อีกไม่ได้แล้ว!

ดังนั้นยังไงๆ หลัง 26 ก.พ. ประเทศยังวิกฤตยุ่งเหยิง

เพียงแต่เปลี่ยนเรื่องจากทวงคืนสมบัติมาเป็นทวงคืนอำนาจที่มีอยู่เดิม

เมื่อทักษิณยังไม่จบ ฝ่ายอำนาจปัจจุบันก็จบไม่ได้

รัฐบาล และบรรดาสารพัดสี ผู้สนับสนุนทั้งหลาย ยังจำเป็นต้องดูแลรักษาอำนาจอย่างขันแข็งกันต่อ

เพราะพลาดไม่ได้เช่นกัน!!

ทักษิณแพ้ไม่ได้ ฝ่ายอำนาจปัจจุบันก็พลาดไม่ได้

มองโลกในแง่ดีอย่างไรก็ยังเห็นนรกอยู่ร่ำไร

และไม่ต้องรอลุ้นรอนาน

หลัง 26 ก.พ.ไปครึ่งเดือน!?


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

** เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! **

เมื่อเช้าวันที่ 23 ก.พ.2553 ก่อนเข้าข่าว 7 โมงเช้า ฟังรายการวิทยุ Fm. 96.5 ของ อ.ส.ม.ท.
เขาเปิดเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” เพลงที่ประพันธ์โดยจิตร ภูมิศักดิ์ ในช่วงปี พ.ศ. 2503-2505 ขณะถูกขังอยู่ในคุก
เมื่อได้รับการปลดปล่อยแล้ว เขาก็เข้าร่วมกับกองกำลัง ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และเสียชีวิตในการสู้รบกับฝ่ายปราบปราม

การที่สถานีของรัฐ เปิดเพลงที่เป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายที่เคยเป็นปรปักษ์กับรัฐบาลนั้น จะเป็นการส่งสัญญาณ ที่มีนัยยะแอบแฝงหรือไม่ว่า...

แท้ที่จริงแล้ว ความคิดของคนใน อ.ส.ม.ท. นั้น ยังมีความเชื่อ และมี “แสงดาวแห่งศรัทธา” ที่เป็นของตนเอง แตกต่างไปจาก
สิ่งที่พวกเขาต้องถูกบังคับ ให้แสดงออกต่อสาธารณะ คือจะต้องสนับสนุนรัฐบาลเท่านั้น หากพนักงานคนใดแสดงท่าทีแข็งขืนหรือ
เห็นต่างจากรัฐบาล ก็จะต้องมีอันเป็นไป!

ดังนั้น เราจึงได้เห็นผู้ดำเนินรายการต่างๆ ของอ.ส.ม.ท. เกือบทั้งหมดดำเนินรายการลักษณะ “รุมกระทืบ” ทักษิณและพรรคพวก
อย่างต่อเนื่อง (แต่เวลาพนักงาน อ.ส.ม.ท. อย่างคุณอรวรรณ กริ่มวิรัตน์กุล ถูกกระทำปู้ยี่ปู้ยำจากพันธมาร ลามไปถึงครอบครัว
จนเธอน้ำตาทะลักทะลาย แต่เพื่อนๆปากดีในองค์กร ต่างหัวหดตดแตก หุบปากเงียบกริบ ไม่กล้าออกมาปกป้อง...ทุเรศ!)

เท่านั้นยังไม่พอ...

เมื่อเห็นว่าพวก อ.ส.ม.ท. มีแต่พวกไร้ฝีมือ จึงต้องลงทุนไปจ้าง ‘ไอ้หนก’ กับ ‘ยัยจอมขวาน’ จากช่องเนซั่ว มาช่วยกันสับ
ในรายการข่าวที่เป็นไพรมไทม์ทางโทรทัศน์ ให้สะใจโก๋ไปอีกระดับหนึ่ง

แต่...ใน อ.ส.ม.ท. นั้น คงมีพวกที่ไม่เห็นด้วย กับจุดยืนขององค์กรที่ตนมีส่วนร่วม ไร้ซึ่งความเป็นอิสระ เพราะต้องหันมารับใช้รัฐบาล
ก้มหน้าเลียตูดนักการเมืองอย่างน่าสมเพช ขาดทั้งศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ ที่ก้มทั้งหัวลดทั้งตัว
มาปฏิบัติตามนโยบายกดขี่ข่าวสาร อันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลพรรคดักดาน เลยทำให้ อ.ส.ม.ท. จำต้องรับภาระหนัก
เพราะต้องเป็นตัวการ ก้มหน้าก้มตาตอกลิ่มความแตกแยกให้กับผู้คนในสังคมบ้านเราต่อไป

อนาถนัก!

บุคลากรที่อยู่ในองค์กร และยังยึดมั่นในจรรยาตามวิชาชีพบางส่วนทนไม่ได้ เลยเอาเพลง “แสงดาวแห่งศรัทธา” ซึ่งเป็นเพลงเอก
ของบรรดาสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเปิด เหมือนดังกับเขาอยากจะระบายความในใจ และเป็นการเยาะเย้ยถากถาง
รัฐบาลนายอภิแสบฯ ว่า

“พวกกู ‘ไม่เห็นด้วย’ กันพวกมึงนะโว้ย!!!”

ผมคิดอย่างนี้ ถูกหรือผิดก็ไม่รู้ เพราะเป็นความคิดส่วนตัวเท่านั้น แต่ถ้าใครเดือดร้อน อยากออกมาโต้กันให้สนุกสนาน
คนเขียนก็ไม่ขัด ในการเข้าร่วมวงแบบ ‘หงส์ทองคะนองปาก’ ด้วย ก็เชิญ!

ไม่นานมานี้อีกเหมือนกัน ผมได้ยินคุณบุญระดม จิตรดอน ได้คุยกับเพื่อนร่วมรายการ คุณอนัญญา ตั้งใจตรง ในรายการ ‘ซุบซิบการเมือง’
ทางคลื่น Fm.101 ว่า

แทบจะไม่ได้ฟังนายมาร์ค มุกควาย พูดคุยในรายการวันอาทิตย์ของเขา ซึ่งคุณอนัญญาฯก็เห็นด้วย เพราะนอกจากผู้ดำเนินรายการ
ของสองคุณป้าแล้ว สื่อมวลชนอื่นๆ ก็มีความเห็นคล้ายๆกัน

ผมเคยเล่าว่า ในรายการ 101 ตอนเช้าๆ ที่คุณบุญระดม จิตรดอน ยังได้ร่วมกันจัดกับ รัชชพล เหล่าวนิชย์ สามีของสาวดั้งตั้ง ‘สโรชา’
แห่ง ASTV และ มหาวันชัย สอนศิริ ที่สึกหาลาเพศมาเป็นทนายความ

ทั้งๆที่สามคนนี้ เคยเชียร์นายอภิแสบ ภักดีโพเดียม และพรรคประชาธิปัตย์มาโดยตลอด และไล่กระทืบนายกทักษิณ ชินวัตร และ
พลพรรคอย่างเมามันมิได้ขาด

แต่วันนั้นเกิดกินยาผิดหรืออะไรไม่ทราบได้ ดันไปวิพากษ์วิจารณ์คนที่เคยเชียร์อย่าง นายอภิแสบฯ เข้าอย่างจัง ในทำนองว่า
เรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ อย่างการสัมมนาของ ‘นักขายตรง’ คนระดับนายก จะเป็นนกไปเกาะโพเดียม พูดจาทำไมกัน
เพราะตัวนายอภิแสบฯเกิดมาไม่เคยค้าขาย ไม่เคยประสบการณ์ทางการขายตรง มีแต่โดนกล่าวหาว่า “ขายชาติ”

เหตุเพราะฝ่ายที่กล่าวหาเขาบอกว่า นายมาร์ค มุกควาย ได้ปล่อยให้คนเขมร เข้าครอบครองพื้นที่ทับซ้อนบน ‘เปรี๊ยะวิเหียะ’
สุขสำราญบานใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้เพราะนโยบายแบบไม่มีนโยบายของ ‘รัฐบาลโลซก’ ที่นายอภิแสบฯเป็นหัวหน้านั่นเอง

ดังนั้น ไอ้เรื่องที่ควรทำกลับไม่ทำ แล้วเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอย่างออกไปพูดจาอบรมนักขายตรงอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นประโยชน์โภคผล
แต่อย่างใด มหาวันชัยถึงกับวิจารณ์แรงๆว่า

“ว่างมากหรือไง (วะ)!?”

แสดงว่า คุณมหาฯแกคงสังเวช ที่เห็นนายอภิแสบฯไปยืนเกาะโพเดียม พูดจาไม่เป็นประโยชน์กับกิจการงานแผ่นดิน ผู้คนไม่ได้สนใจ
ที่นายมาร์คพูดเลย เพราะเขารู้ดีว่าไม่ได้มาจากสติปัญญาตัวเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่เขาตระเตรียมข้อมูลให้ ถึงเวลาก็กะโดดเกาะคอน
โพเดียมแบบนก แล้วเจื้อยแจ้วไป ไม่เข้าหูผู้ฟัง จนชาวบ้านเขาบอกว่า ไอ้นี่มันไม่ใช่นายกแล้ว แต่กลายเป็น
P.M. คือ Podium Man ไปซะนี่!!

ดูๆ แล้วก็น่าแปลก เพราะคุณบุญระดมเองถึงกับพูดว่า หากเป็นรายการของคุณสมัคร สุนทรเวช หรือคุณทักษิณนั้น ทั้งประชาชนและสื่อ
ไม่ยอมพลาดกันเลย พอเช้าวันอาทิตย์มาถึง ชาวบ้านต้องนั่งตัวตรงแหนวหน้าจอทีวี คอยฟังว่านายกทั้งสอง จะพูดจากับพวกเขา
เรื่องอะไรบ้าง?

การที่ชาวบ้านร้านตลาดและสื่อมวลชนเอง ตั้งใจฟังนายกฯสมัครและทักษิณ พูดคุยในรายการวันอาทิตย์นั้น เพราะพวกเขาฟังแล้วรู้เรื่อง
และได้รับประโยชน์จากการฟังจริงๆ

ดังนั้น ฝายจัดรายการให้นายอภิแสบ ได้เห็นถึงความไม่มีเสน่ห์ในการพูดจาปราศรัยของมิสเตอร์มุกควาย ผู้เป็นเจ้านายตน
ก็พยายามพลิกแพลงรูปแบบของการจัดรายการ แต่ถึงกระนั้น ผู้คนในบ้านในเมืองยังไม่ให้ความสนใจอยู่ดี จึงจำเป็นต้องระดมสื่อ
ช่วยกันกระทอกคำพูดของเขา ซ้ำเข้าไปในสื่อต่างๆ อีกทีหนึ่ง โดยสื่อเหล่านั้นก็จะได้รับการลงโฆษณา เป็นการตอบแทน แบบหมูไปไก่มา
แต่ก็ด้วยเงิน ‘งบประมาณ’ ของชาติทั้งนั้น!

เมื่อต้นเดือนกุมภาฯนี้เอง ได้มีการระดมผู้สื่อข่าวถึง 35 คน ไปนั่งสัมภาษณ์นายอภิแสบฯที่ทำเนียบ เพียงเพื่อทำให้ตัวมิสเตอร์โลซก
ดูเด่นในหมู่ผู้สื่อข่าว จน “แจ๋ว ริมจอ” นักข่าว เก่าแก่ของไทยรัฐถึงกับหัวเสีย อดรนทนทนไม่ได้ ถึงกับออกมาเขียนคอลัมน์
(15 กุมภาพันธ์ 2553 ) ด่าเช็ดเม็ดว่า เป็น “ไอเดียพิการ”

แจ๋ว ริมจอ โพล่งออกมาตรงๆอย่างนั้นเพราะว่า การกระทำของรัฐบาลเป็นการบังคับ และแทรกแซงสื่ออย่างชัดเจน ทำให้เกียรติภูมิข
องสื่อมวลชน และศักดิ์ศรีของผู้สื่อข่าว ตกต่ำลงอย่างน่าเศร้า เพราะกลายเป็นเครื่องมือของ...นักการเมือง ‘ไอเดียวิปริต’ ไป!

การที่ทั้งนักข่าวและประชาชนคนไทย ทั้งในและต่างประเทศ ต่างคอยรายการคุยกันวันอาทิตย์ ของทั้งนายกทักษิณฯและนายกฯสมัคร
อย่างไม่ต้องมีการ ‘จัดฉาก’

ไม่ต้องบังคับสื่อให้แห่กันมาช่วยสร้างภาพ ก็เพราะผู้นำทั้งสองคนนั้น ต่างเข้าใจชีวิตคนไทย รู้จักนิสัยใจคอคนพื้นบ้าน และทั้งสอง
ต่างก็เป็นพวกประเภท ‘ตีนติดดิน’ ด้วยกัน

เมื่อก่อนนี้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ เราเห็นสมัครและทักษิณก็เข้าตลาด ซื้อเข้าซื้อของคุยกับพ่อค้าแม่ขาย แล้วนำกลับมาเล่าให้ผู้คนฟัง
พร้อมแนวทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ทั้งถูกใจ และได้ใจชาวบ้าน

ส่วนนายอภิแสบฯนั้น พอโผล่หน้าออกมาวันอาทิตย์ ชาวบ้านก็กดรีโมทไปดูช่องอื่น หากบ้านไหนไม่มีรีโมทและขี้เกียจลุก
ก็เอาตีนแหย่ปุ่ม เปลี่ยนช่อง ทันทีทันใดเหมือนกัน

มีคำถามว่า...ทำไมคนไม่สนใจโครงการของรัฐบาลดักดาน?

ตรงนี้ตอบได้ว่า

เหตุที่คนในบ้านนี้เมืองนี้เขาไม่สนใจ ก็เพราะโครงการของประชาธิปัตย์และรัฐบาลนี้ ชาวบ้านเขารู้ดีว่า ลอกทักษิณมาทั้งนั้น
หรือไม่ก็เอามาตรการของคุณสมัครมาทำต่อ เช่นเรื่อง 6 มาตรการ เป็นต้น หรืออย่างเก่งก็แต่งเติมเสริมต่อนิดๆหน่อยๆ
แล้วเอายี่ห้อดักดานของพรรคตัวเอง ปะเข้าไป ก็เท่านั้นเอง แต่ชาวบ้านเขาก็รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วมันก็คือ
โครงการทักษิณ หรือสมัครสร้างเอาไว้ทั้งนั้น!

ไอ้เรื่องขาดสติปัญญา ในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง แล้วลอกเขามา นั่นยังไม่น่าเกลียดน่าชังเท่าใดนัก แต่หากเป็นเรื่องทุจริตนั้น
ผู้คนเขายอมไม่ได้ และตั้งข้อรังเกียจเอามากๆ

เรื่องทุจริตของประชาธิปัตย์นั้น โฉ่งฉ่างเปิดผางออกมาแทบจะในทันทีทันใด ที่พรรคดักดานวิ่งราวอำนาจ เข้าบริหารบ้านเมืองได้

ผมได้เขียนไว้ในบทความ เป็นหลักเป็นฐาน ถึงความไม่ซื่อสัตย์ของคนในพรรคนี้ ซึ่งท่านผู้อ่านเปิดย้อนดูได้ เฉพาะชื่อคอลัมน์
ก็สำแดงฤทธิ์แดก ของพรรคดักดานได้เป็นอย่างดี เช่น

- “พรรคประชา (แดก) ปลาเน่า” ...เน่าทั้งข้อง-ทั้ง’ป๋อง!!!?
- DNA ในสันดานประชาธิปัตย์ ยังไม่เปลี่ยนแปลง!!!
- ยุคประชาธิปัตย์...ฤา “ห่า”มันลงแดกเมือง!!!?
- “อภิสิทธิ์กับ ‘รัฐบาล-โลซก’ ยื่น ‘นรก’ ให้คนไทย!!!”
- ไอ้รัฐบาล...สุดโสโครก!
- ประชาธิปัตย์...“ผวกหมึ้งไม้หรู่จั้กอับ จั้กอายกันเล่ย!!!
- รัฐบาล... “จังไรไม่พอเพียง!”
- เศรษฐกิจ “เชิงทุจริต” ของประชาธิปัตย์!!!
- ถูกทั้งหวย ‘ชุมชนพอเพียง’- หวย ‘ไทยเข้มแข็ง’ แล้วนี่!!!
- ความประหยัดของในหลวง-ความสุรุ่ยสุร่ายของรัฐบาลโลซก!

พอประชาธิปัตย์บริหารมาครบ 12 เดือน ผมก็เขียนบทความขึ้นมารวบรวมพฤติโกงชื่อ
ครบ 1 ปี รัฐบาลโลซก...ต้องยก ‘หรีด’ มาให้!!!

เห็นเฉพาะแค่ชื่อคอลัมน์เท่านั้น ยังไม่ต้องลงไปอ่านรายละเอียด ผู้คนก็คงจะทราบได้ทันทีว่า ผมต้องพูดถึงเรื่องการทุจริต ไม่โปร่งใส
ในการบริหารราชการงานแผ่นดินของพรรคดักดานเป็นแน่แท้ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่า
เป็น ‘กรรม’ ของประเทศไทยเราจริงๆ!

ผมจะรวมรวมคอลัมน์ที่บอกข้างต้น เป็นภาคต่อของ “นินทาประชาธิปัตย์” (ฝ่ายค้านดักดาน) แจกแจงสันดานของพรรคดักดาน
ออกมาอีกเล่ม เพื่อขยายความรู้ของท่านผู้อ่าน

อาจให้ชื่อหนังสือว่า ประชาธิปัตย์- “ดักดาน-แดกดุ!!!”

คอยติดตาม อ่านกันให้สนุกนะครับ!!

นั่นเป็นเรื่องของประชาธิปัตย์ แต่พรรคร่วมรัฐบาลก็ใช่ย่อย เพราะอย่างกระทรวงมหาดไถนั้น เรื่องความเละเทะเฟะฟอน ร่ายร่อนออกมา
สู่สายตาประชาชนอย่างล้นหลาม ทั้งข่าวไถและรีดเงินข้าราชการ จนต้องตั้งชมรมต่อต้านกันขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โกงข้อสอบ
เก็บหัวคิวฯลฯ

ซึ่งคนในกระทรวงทั้งข้าราชการเก่าและปัจจุบัน พูดกันว่า “เกิดมาไม่เคยพบเห็นการคดโกง และบีบคั้น รีดไถข้าราชการ...ถึงเพียงนี้!”

ซึ่งผมจะต้องแยกแยะชำแหละ รายละเอียดพฤติกรรมทรามเหล่านี้นี้ ออกไปอีกเป็นคอลัมน์ต่างหาก แต่อยากบอก กับท่านผู้อ่าน
ในตอนนี้ว่า ไอ้นักการเมืองชุดนี้นั้น ตอนมันจัดโชว์ออฟ ไถนา-ทำนาเพื่อเรียกคะแนนเสียงตอนเลือกตั้งซ่อม แล้วไอ้เฒ่าหัวหน้าพรรค
อุปโลกน์ ลงไปก้มๆเงยๆอยู่ในนา ถึงกับบ่นว่าปวดบั้นเด้าบั้นเอา ผู้คนเขาหัวเราะกันกลิ้ง ถึงกับอุทานออกมาว่า

“ไอ้พวกนี้ ไม่เคยทำนาจริงๆ...มันเคยแต่ทำนาบนหลังคน!”

แถมไอ้หัวหน้าตัวจริง มันแสดงความจงรักภักดีใหญ่โต แต่ตำรวจพวกเสรี เขาบอกว่า...
“จงรักภักดีจริงๆ เวลาหาเสียงมันถึงต้องแจกแบ๊งค์ร้อย แบ๊งค์ยี่สิบ ที่มีในหลวง...ให้ชาวบ้านเอาไปบูชากัน!”...555

เขายังกระทุ้งต่อ ให้ชวนคิดกันอีกว่า
“เชื่อหรือว่า...คนที่เอาแต่ได้อย่างมันน่ะหรือ...จะจงรักภักดี”

...ฟังแล้วก็หัวร่อครื้นเครง สนุกสนานกันไป!!!

ใช่แต่เรื่องการทุจริตของรัฐบาลและนักการเมืองเท่านั้น แต่ฝ่ายทหารก็โดนเข้าเต็มๆ เรื่อง “ไม้ล้างป่าช้า” ซึ่งอื้อฉาวไปทั้งประเทศ
เรื่องการทุจริตของทหารนั้น ผมเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายครั้ง โดยเฉพาะกรณีการทุจริตเกี่ยวกับเรื่องวิทยุและโทรทัศน์
ของทหาร ที่อดีตเจ้ากรมสื่อสารยศ พล.อ.ถึง 3 นาย ถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ว่า กระทำความผิดฐานคอรัปชั่น ตายไปแล้ว 1 นาย
เหลืออีก 2 หน่อ ที่ต้องเผชิญกรรมกันต่อไป

กรณี GT 200 ไม้ล้างป่าช้าที่อื้อฉาวนั้น ฝ่ายทหารเกิดร้อนตัวอย่างไรไม่ทราบ นายพลอนุพงศ์ ผบ.ทบ.ต้องออกมานั่งแถลง
แบบยกพวกมาเต็มจอ ทำให้ในห้องส่งดูบรรยากาศ คล้ายวันแถลงข่าวปฏิวัติไม่มีผิด

ไม่ได้มาแถลงการณ์อะไรหรอกครับ เพียงแต่ออกมาแก้ตัวว่าไอ้ไม้ล้างป่าช้า “มันใช้การได้” ก็เท่านั้นเอง!

นักข่าวเขาบอกว่า ไม่ใช่อะไรหรอก นายเถิกแกกลัวจะต้องถลอก เพราะต้องโดนสอบสวนในข้อหาทุจริต หลังจากที่เกษียณอายุราชการ
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าแล้วต่างหาก

ส่วนนายมุกควายได้ท่า..ถีบหัวเถิกส่งทันทีเหมือนกัน!!!

วาสนา นาน่วม “เหยี่ยวข่าว” สายทหาร เจ้าของผลงาน ลับ-ลวง-พลาง ออกรายการชื่อเดียวกับหนังสือ ทาง Fm 96.5
เมื่อเสาร์ที่ 20 ก.พ.นี้เองว่า

การแสดงออกของนายพลหัวถลอกครั้งนี้ ดูช่างไม่สมกับเป็นผู้บังคับบัญชาทหาร ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ต้องเอาลูกน้องมาเป็นโล่
ปกป้องตัวเอง เพียงเพื่อจะเอาตัวรอดเท่านั้น!

“เหยี่ยวข่าว” อย่างวาสนา ถึงกับโพล่งออกมาโต้งๆว่า
“ดูแล้วไม่ smart หรือไม่สง่างาม...ไม่ได้ ‘ใจ’ ทหารเลย!”

เครื่อง GT 200 นั้นโกงกันบรรลัยวายวอด เขาว่ายุคทักษิณเคยซื้อมาสองเครื่อง เครื่องละ 2 หมื่นบาทเท่านั้น แต่เห็นว่าใช้ไม่ได้
ก็ไม่สั่งซื้อเพิ่มอีก

แต่เครื่องอัปรีย์นี่ กลายเป็นราคาเหยียบล้าน และล้านกว่าซื้อมากที่สุดในยุคอนุพงศ์เป็น ผบ.ทบ. และประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล
เพราะนักการเมืองสายประชาธิปัตย์ มีชื่อเป็นผู้บริหารบริษัทผู้แทนเจ้าของเครื่อง แถมยังมีไอ้นายพลทหารอากาศ ที่ผมขนานนาม
ให้ว่า เป็น “กากตด ร.ส.ช.” เข้ามาพัวพันอีกแน่ะ!

ดูๆบ้านเมืองของเราแล้ว มันโกงกันทุกเม็ดทุกดอก แต่ที่น่ากลัวก็คือ การโกงโดยทหารเป็นผู้กระทำ ด้วยการใช้เครื่องมือไม้ล้างป่าช้า
เพราะนอกจากต้องโดนข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชน และยังอาจมีความผิดอาญาติดตูดมาอีกนั้น ถ้าหากพูดกันเปิดอก แบบผู้ชายลูกทุ่ง
คงพูดได้ว่า

“มึงไม่ได้ทุจริตอย่างเดียว แต่เสือกเอาชีวิตของทหารผู้น้อยเป็นเดิมพันด้วย...เลวอะไรอย่างนั้นวะ!”

นี่แหละครับ... ที่ผู้คนเขาพูดกันถึงอย่างนี้แล้ว และเขาพูดใส่หูผมด้วย จึงนำมาถ่ายทอดให้ท่านผู้อ่านได้ฟังกัน และขอบอกตรงๆ
กับทหารตัวนายว่า

...สังวรกันไว้บ้างนะ!

เห็นการทุจริต คอรัปชั่น ที่แผ่ขยายไพศาลไปในบ้านเมืองที่เคยดีๆของเรา จนแทบจะกลายเป็น ‘เมืองกาลี’ เพราะไอ้พันธ์กาลี
มันลงมาสิงสถิตกัน...ถึงขั้นล้นเมืองแล้ว!

ผมจึงมีความรู้สึก อยากจะเขียนหนังสือขึ้นมาสักเล่ม โดยนำเอาข้อมูลอัปรีย์เหล่านี้ มาผูกเป็นนิยายประเภท... ‘ตลกร้าย’

จะให้ชื่อหนังสือว่า เมืองกาลี...กาลีเต็มเมือง!!! ใครอยากอ่าน...คงต้องติดตามกันไปนะครับ!!!


โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
****************************************************************************

** มิคสัญญี-กลียุค **

สถานการณ์บ้านเมืองวันนี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้เมื่อยตุ้ม ทิฐิในอำนาจแท้ๆ เลยทำให้ประเทศใกล้ล่มจมเข้าไปทุกที
ความเป็นประชาธิปไตยไม่ได้อยู่ที่ปลายกระบอกปืน หรืออำนาจเร้นลับใดๆทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ประชาชนเสียงส่วนใหญ่
ของประเทศที่จะตัดสินใจต่างหาก

อำนาจถูกบิดเบือนบ้านเมืองก็ไม่สงบ

รัฐบาลปากกล้าขาสั่น ผู้นำรัฐบาล ต้องหอบผ้าหอบผ่อนเข้าไปนอนในค่ายทหาร บุคคลสำคัญของประเทศต่างพากันเผ่นไปหลบอยู่
ต่างประเทศกันหมด เนื่องจากสงครามการเมืองเที่ยวนี้เดิมพันกันสุดตัว

ช่วงสำคัญที่จะเกิดวิกฤติบ้านเมือง อยู่ประมาณต้น มี.ค. ไปจนถึงปลายๆเดือน เม.ย. จะถึงขนาดเลือดนองแผ่นดินหรือบ้านเมืองลุกเป็นไฟ
ยังบอกอะไรไม่ได้ทั้งนั้น

การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมืองถ้าเป็นไปตามวิถีของประชาธิปไตยจะเป็นสองช่วงเหตุการณ์ ประชาชนมาชุมนุมกันจำนวนมาก
รัฐบาลรับมือไม่ไหวหรือเกิดความรุนแรงขึ้นจนเกิดการเปลี่ยนแปลงในรัฐบาล

จนกระทั่งยุบสภา

แต่กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ใช่ว่าจะราบรื่น อุบัติเหตุทางการเมือง เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การที่มีคนมาชุมนุมจำนวนมากมายจะควบคุมกันได้หรือไม่
และจะป้องกันมือที่สามเข้ามาฉวยโอกาสสร้างสถานการณ์ได้อย่างไร ยามบ้านเมืองอ่อนแอเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย

ระวังจะเข้าทางเผด็จการซ่อนรูป

ตั้งข้อสังเกตรัฐบาล ไม่มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน เหมือนการชุมนุมของคนเสื้อแดงทุกครั้งที่ผ่านมา ทั้งๆที่การชุมนุมครั้งนี้
จะถือว่าเป็นสงครามครั้งสุดท้ายก็ว่าได้

นอกจากจะขุดกับดักเอาไว้

การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเที่ยวนี้ มีสัญญาณการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้น ประเด็นอภิปรายรัฐบาล มีถึง 40-50 ประเด็น
ล้วนแต่เป็นข้อผิดพลาดของรัฐบาลชุดนี้ตลอดการทำงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา

จี้จุดอ่อนไปที่ภาวะผู้นำ

กรณีการทุจริตคอรัปชัน แม้ฝ่ายค้านไม่นำเข้าสู่การอภิปรายในสภา ชาวบ้านก็รู้กันอยู่เต็มอกกับพฤติกรรม กู้มาโกง ของรัฐบาลชุดนี้

ประกอบกับความเดือดร้อนชั้นรากหญ้า เกษตรกรชาวไร่ ชาวนา ประกอบกับเศรษฐกิจจะตกต่ำอีกระลอกอันเป็นผลพวงมาจากวิกฤติการเมือง
ประกอบกับรัฐบาลหมดเวลาฮันนีมูนพอดี ทุกอย่างลงตัว

บ้านเมืองถึงเวลาเปลี่ยนแปลงพลิกขั้ว.

ที่มา.ไทยรัฐ
***************************************************************