--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

** พรุ่งนี้ !!! **

พรุ่งนี้ (26 กพ.)...ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท
ของครอบครัว “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร”

ทรัพย์สินที่คนทั้งโลกรู้จาก “นิตยสารฟอร์บส์” ว่าเขามีมาก่อนเล่นการเมือง รวยจากธุรกิจโทรคมนาคม ที่ใครเป็นเจ้าของธุรกิจนี้ก็รวย
กันทั้งนั้น

นิตยสารฉบับนี้ ยังบันทึกความร่ำรวยติดอันดับโลกของคนไทยคนอื่นอีกหลายคน และคนทั้งโลกก็รู้อีกเหมือนกันว่าใครรวย รวยจากอะไร?

การตัดสินวันพรุ่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่า หัว หรือ ก้อย นอกจากประเมินจากการตัดสินหลายคดีการเมืองที่ผ่านมา หลังเกิดการยึดอำนาจ
19 กันยายน 49 เช่น

คดียุบพรรคไทยรักไทย ที่ใช้กฎหมายย้อนหลัง

คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลอ้างว่า...ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจกำกับกองทุนฯ ทั้งที่พยานที่เป็นอดีตนายกฯ 2 คน คือ
นายบรรหาร ศิลปอาชา และ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ รวมไปถึงอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ต่างยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจกำกับกองทุนฯ

คดีชิมไปบ่นไป ที่ตัดสิน นายสมัคร สุนทรเวช โดยใช้พจนานุกรม ทั้งที่ในประมวลกฎหมายรัษฎากรก็มีระบุความหมายของ
คำว่า “ลูกจ้าง”

การตัดสินคดีกล้ายาง ที่จำเลย คือ นายเนวิน ชิดชอบ หลังเปลี่ยนข้างทางการเมือง

ถ้าประเมินจากคดีเหล่านี้ พรุ่งนี้ยึดหมด 7.6 หมื่นล้าน “ชัวร์”

พรุ่งนี้จึงเป็นวันที่คนทั้งโลกเฝ้ารอ! คนไทยรอเห็นความยุติธรรมว่า จะเหมือนหลายๆ คดีหรือไม่?

รวมทั้งรอดูคดี 7 ตุลา สงกรานต์เลือด พันธมิตรฯ ยึดทำเนียบ สนามบิน สถานีโทรทัศน์ NBT คดีสินบนพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท

นักลงทุนรอมองทิศทางการลงทุนว่า...จะอยู่ลงทุนในไทย หรือ จะหอบเงินหนีไปเวียดนาม

นักท่องเที่ยวรอดูว่า...จะมาเที่ยวเมืองไทยแล้วปลอดภัยหรือไม่ เพราะหลายประเทศเตือนไม่ให้มา

พรุ่งนี้...จึงเป็นวันสำคัญไม่ใช่วันธรรมดาเหมือนที่ใครบางคนพูด เพราะพรุ่งนี้นอกจากเป็นวันตัดสินคดียึดทรัพย์แล้วยังเป็นวันตัดสินใจว่า
จะเดินบนเส้นทางใดของใครต่อใครอีกมาก

เขียนถึงตรงนี้แล้วนึกถึงเพลง พรุ่งนี้ฉันจะรักเธอจนตายจัง
“ได้แต่สัญญา ให้วันเวลาช่วยฉันตัดสินใจ พรุ่งนี้ พรุ่งนี้ได้ไหม ฉันจะรักเธอ รักไปจนตาย”


โดย.คนเมือง
***************************************************************************

** ลงทุนที่คุ้มค่า !! **

หมดเวลา..โปรโมชั่น..ใครที่บอกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เก่งเรื่อง “ค้าขาย” และ “การลงทุน”..คนๆ นั้นต้องกลับไปศึกษาดู
แล้วจึงค่อยกลับมาพูดกันใหม่ เอาเป็นว่า “หลงจู๊” ยังเรียกพี่..ไอ้ตี๋ เรียก “อากู๋”.. น้องหนูเรียก “อาเฮีย”!!

“ประชาธิปัตย์” คบหา หรือ “ค้าขาย” กับใคร ไม่เคย “ขาดทุน”..ขอบอก ตัวอย่างด้วยการ ทุ่มทุนมโหฬาร ในการจะจัดตั้ง “รัฐบาล”
เพื่อให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี..

หว่าน “โปรโมชั่น” สุดๆ.. ใครเห็น ต้องตาลุกวาวเป็นสิงโต!! เอาเป็นว่าแค่..30 กว่าเสียงของ “ภูมิใจไทย” มีเท่าเนี้ย..เอาไปเลย
“เก้าอี้ 3 ว่าการ” ทั้ง มหาดไทย..คมนาคม และ พาณิชย์!!

หรือแค่ 5 เสียงของ “กิจสังคม” ยังได้คุมกระทรวง ทรัพยากรฯ เบ้อเริ่มเทิ่ม??

20 เสียงจาก “มังกรลากเกี๊ยะ” บรรหาร ศิลปอาชา เทให้หมดสต็อก ยกกันให้หมดใจทั้ง เกษตรฯ และ การท่องเที่ยว..

พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ชื่อยาว แต่ ส.ส.น้อย แค่ 9 เสียง ยังล่อกระทรวงพลังงาน ทูนตำแหน่ง รมช.คลัง ให้อีกเป็น “อั่งเปา”
ติดกระเป๋าของแถม

เพื่อแผ่นดิน ได้ทั้ง อุตสาหกรรม และ ไอซีที!! ลด แลก แจก แถม ยิ่งกว่า “แหนมป้าย่น” อย่างนี้..มีหรือใครจะไม่เอา

งานนี้เป็นน้ำเป็นเนื้อจาก “ยาจกซู” เปลี่ยนมาเป็น “มู๋ตู้ตั้งโต๊ะ” ในทันที!!

ใครที่คิดว่า “พรรคร่วม” จะ “งอแง” เป็น “ซือแป๋สั่งขี้มูก” เลิกคิดได้ “ขออ้วนเป็นหมูในวันนี้ ดีกว่าไปเป็นผีในวันหน้า”
นี่คือ สุภาษิตประจำพรรค

ดังนั้น “กับดัก” ที่ ประชาธิปัตย์ วางเบ็ดราวที่ไว้จึงปรากฏผล!! แค่ “เศษเนื้อข้างเขียง” ที่เหวี่ยงโครมไป.. มัน “สะกดจิต”
ได้ยิ่งกว่าคาถา “กำกับผี” ซะอีก

ประชาธิปัตย์ อ่านทะลุขาดว่า พรรคร่วม “ไม่มีทางกระดิกหนี”!! เรื่อง แก้รัฐธรรมนูญ ตอกตะปูปิดฝาโลงได้..ยังไงโอกาส “สูญพันธุ์”
มีสูง เป็นการทุ่ม “ลงทุน” แค่ระยะแรกเริ่ม..เพื่อล่อ “ยี่ปั๊ว” ให้ตายใจสนิท!!

และต่อไปนี้คือช่วงเวลา “ไล่เบี้ย” เรียกทุนคืนพร้อมหยิบกำไรใส่เก๊ะ..เป็นการลงทุนที่น่าติดตามดูอย่างยิ่ง!!

โดย.หนุ่ม ชิงชัย
***************************************************************************

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เฉลิม'เริงร่า'นายกฯเงา'ซักฟอก'มาร์ค-กษิต'ลั่น2ปี 'พาทักษิณกลับบ้าน'อย่างสง่างาม


“เฉลิม” ย้ำชัดยื่นซักฟอก “มาร์ค-กษิต” ไม่พลาด-พ่วงเชือด “ชวรัตน์”
ปูดเหลืออีก 1 รมต.รอแจงพรรคก่อน ขอบคุณโพลล์หนุนนั่ง “นายกฯเงา” และให้นำทีมซักฟอก
ชู “ทักษิณ” ติดป้ายหาเสียงคนกรุงฯ มั่นใจไม่เกิน 2 ปี พากลับบ้านอย่างสง่างาม

วันที่ 24 ก.พ. 2553 เวลา 13.15 น.ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย
แถลงถึง ความคืบหน้าการยื่นญัตติเพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า

ต้องขอขอบคุณประชาชนที่สะท้อนความเห็นผ่านสวนดุสิตโพล โดยกลุ่มตัวอย่างกว่า 3,000 คน
ต้องการให้ตนเป็น “นายกรัฐมนตรีเงา” ร้อยละ 46.71 และ ต้องการให้ตนเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ร้อยละ 63.51
ซึ่งถือเป็นกำลังใจ ให้ทำหน้าที่ในสองตำแหน่งต่อไป

อย่างไรก็ตามขอยืนยันว่า พรรคจะเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีเป็นคนในพรรค ไม่มีปัญหา ถ้าเสนอชื่อเป็นคนนอก ตนจะไม่ร่วมอภิปราย

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ส่วนกระแสข่าวที่ระบุว่า ตนมีความสนิทสนมกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย รวมทั้ง
นายอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรคภูมิใจไทย แล้วอาจจะไม่อภิปรายนายชวรัตน์นั้น ขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะนายชวรัตน์
จะต้องมีชื่อถูกอภิปรายแน่นอน ถ้าวันนี้ใครเป็นพรรคฝ่ายค้านแล้วไม่ยื่นอภิปรายรมว.มหาดไทย ก็จะถูกข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
และประชาชชน กล่าวหาว่ามีอะไรกันหรือไม่ ในทางการเมืองนั้น ทำไม่ได้ เพราะเป็นกระทรวงที่มีเรื่องมากที่สุด

ส่วนตัวรู้สึกสงสาร 21 ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ออกมาร่วมกันแถลงข่าว นำโดยผู้ว่าฯบุรีรัมย์ที่ออกมาสาบาน เชื่อว่าจะพบจุดจบในเร็ววันนี้
ดังนั้น รองผู้ว่าฯทั้งหลายเตรียมตัวได้เลย

“เบื้องต้นรายชื่อรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปรายยังเหมือนเดิมคือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ
และนายชวรัตน์ ส่วนในใจยังมีรัฐมนตรีคนที่ 4 แล้ว แต่ยังไม่ขอบอก เพราะต้องรอเสนอแจ้งให้ที่ประชุมพรรครับทราบก่อน”
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวและว่า

ขณะนี้ไม่มีปัญหาภายในพรรคแล้ว มีเพียงไม่กี่คนทำให้พรรคปั่นป่วน เพราะร้อยละ 99 ส.ส.ในพรรคไม่มีใครเอา

เมื่อถามถึง ที่มีกระแสข่าวออกมาว่าร.ต.อ.เฉลิม จะย้ายเข้าซบพรรคภูมิใจไทยนั้น

ร.ต.อ.เฉลิม ตอบว่าไม่มีทางเด็ดขาด แค่ข่าวปล่อย ถ้าพ้นจากพรรคเพื่อไทยไปแล้วก็เป็นพักที่บ้านเท่านั้น

ชู “ทักษิณ” ติดป้ายหาเสียงคนกรุง มั่นใจไม่เกิน 2 ปีพากลับบ้านอย่างสง่างาม

ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนจะเสนอยุทธศาสตร์การหาเสียงของพรรคเพื่อไทยใน กทม.ให้ขึ้นตรงกับพรรค
ด้วยการรณรงค์ เอา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน เหมือนโมเดลเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร ศรีสะเกษ
และมหาสารคาม โดยระบุชัดเจนว่า “ถ้าต้องการให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ให้เลือกพรรคเพื่อไทย"

โดยใช้รูปแบบการนำป้ายไปติดตั้งทั่วกทม. และทุกจังหวัดใหญ่ๆ มั่นใจว่ากระแสของพรรคยังดี ทำให้ในกทม.ได้ ส.ส.เกินครึ่ง
เป็นการพิสูจน์ให้เห็นไปเลยว่าคน กทม.ต้องการเอา พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่

“เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นสินค้าดี ผมจะอาสาเป็นเซลล์แมนขาย พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี ต้องรอหน่อย
ถึงอย่างไร อีกไม่เกิน2 ปี ผมจะรับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านอย่างสง่างาม พวกที่บอกว่าจะเปลี่ยนขั้ว ต้องรอไปอีก 10 ชาติ
พรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่มีทางเปลี่ยนขั้ว เลิกฝันได้แล้ว” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวย้ำ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ออกมาประกาศว่า
การเลือกตั้งสมัยหน้า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ส.ส. 240 ที่นั่งนั้น

ตนคิดว่ารอชาติหน้าบ่ายๆ แค่รักษา 165 ที่นั่งไว้ได้ ก็เก่งแล้ว เพราะสมัยหน้าเชื่อว่า แพ้พรรคเพื่อไทยแน่ และแพ้แบบขี้เหร่ด้วย
เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อเป็นรัฐบาลแล้ว ก็ไปเลย กลับมายาก วันนี้ให้รัฐบาลอยู่ไปก่อน ขออย่ายุบสภา อยู่ให้ตายคามุม


ทีมา.konthaiuk
*****************************************************************************

** ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว?? **

ปฏิบัติการหมูไม่กลัวน้ำร้อน !!!

ของพลพรรคคนเสื้อแดงเริ่มได้ผล ดึงคนที่ชอบอยู่ที่สูง “บิ๊กแอ๊ด” พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีจากเขายายเที่ยง ลงมาสู่
พื้นราบเรียบร้อย นี่กำลังเอา “ป๋า” ไปเสียบประจานที่เขาสอยดาวอีกคน นับว่าได้ผล เพราะวันนี้ประชาชนมวลเหล่าดอกไม้หลากสี
ก็เริ่มเห็นด้วยเห็นดีกันท่วมท้น แถมยังช่วยกันขุดด้วยปาก ช่วยกันถากด้วยตา อีกต่างหาก

ก็อย่างว่า ดีชั่วล้วนอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำล้วนอยู่ที่ทำตัว?? อยากดีอยากชั่วอยากสูงอยากต่ำก็ทำกันเอา
ป.ล. ขอหารือ เคยมีป้ายชะเลียร์ “ฟ้าเป็นของนก นายกเป็นของป๋า” วันนี้มาทำป้าย “ฟ้าเป็นของนก นรกเป็นของผู้ทรยศประชาชน”
จะอินเทรนด์ดีไหม??


...


เต่าใหญ่ ใข่กลบ??

รูปธรรม นามธรรมก็ว่ากันไป เลือกเกิดให้สวยให้หล่อไม่ได้ แต่เลือกก็ที่จะทำอะไรดีๆ ได้เสมอ
ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของ จีที 200 อภิมหานวัตกรรมหรูเลิศ แถมแพงระยับ ที่คนซื้อไม่ได้ใช้เงินของตัวเองซื้อ
แต่เงินที่ซื้อล้วนมาจากหยาดเหงื่อของประชาชนทั้งนั้น

ทดสอบยี่สิบครั้ง ถูกแค่สี่ครั้ง หรือก็ 1:5 ขนาดเล่นบาคาร่า BANKER – PLAYER โอกาสได้เสียแค่ 1:1 ก็หมดดูดรูดมหาราช
กันบานตะไทมามากแล้ว ตรวจระเบิดมีโอกาสถูกแค่ 1:5 สุ่มเสี่ยงโยนติ้วแทน น่าจะดีกว่าเป็นไหนๆ??

คิดไม่ออกบอกไม่ถูกเหมือนกันว่า ที่ คุณหญิงพรทิพย์ โรจน์สุนันท์ ออกมาแอ่นอกการันตี จีที 200 ว่า ยอดเยี่ยมกระเทียมดองนั้น
ไม่รู้ใช้หลักอะไรคิด?? คงไม่ใช่หลัก “เต่าใหญ่ ใข่กลบ” นะจ๊ะคุณหมอจ๋า??


...


ระวัง ทหารแตงโม??

“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ สร.2 ผู้ปั้นดินให้เป็นดาว เมื่อดาวลอยล่องขึ้นฟ้าก็ขี้เยี่ยวรดหัวให้ล้างให้เช็ด แถมเจ็บปวดใจบ้าง
ไปตามเรื่อง

เสาร์ที่ผ่านมา ไปเป็นประธานปิดมหกรรมการฝึกการควบคุมฝูงชนขนาดใหญ่ ที่บูรณาการกำลังจากทั้งตำรวจ ทหาร และกรุงเทพฯ
มาเพื่อต่อตีม็อบเสื้อแดงโดยเฉพาะ งานนี้ได้ลูกชาย “นายพลเสื้อคับ” พ.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้การกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
เอื้อเฟื้อสถานที่ แถมให้ทหารเป็นเสื้อแดงสมมุติอีกต่างหาก

จะเป็นยุทธการเขียนเสือให้วัวกลัว หรือจะเป็นพิธีตัดไม้ข่มนาม ก็แล้วแต่จะคิด?? ที่แน่ๆ นั้น วันนี้วัวไม่กลัวเสือ แถมที่ถือโล่ถือกระบอง
ไม่เว้นแม้กระทั่งถือปืน ระวังจะกลายเป็นแตงโมก็แล้วกัน ภายนอกอาจจะดูเขียวน่ากลัว ผ่าเข้าไปอาจกลายเป็นแดงแจ๊ดแจ๋ก็ได้นะ??


...


ระวังอย่าทำหินแตก อย่าแยกแผ่นดิน??

ใช้หลักนิติรัฐ โดยปราศจากหลักนิติธรรม คงจะไม่ได้ผล ดีเดย์ วันตัดสินคดียึดทรัพย์ “แม้วพลัดถิ่น” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
จะใช้ทฤษฎีวัวกินหญ้ารัฐ หรือ ทฤษฎีต้นไม้เป็นพิษก็เลือกเอา

ที่แน่ๆ ความยุติธรรมต้องดำรงอยู่ “ต้องให้เขาในสิ่งที่เขาควรที่จะได้ด้วยธรรม” ของๆ ใครของใครก็ห่วง ของๆ ใครของใครก็หวง
การดิ้นรนต่อสู้เพื่อของห่วงของหวงจึงไม่ใช่เรื่องผิด??

อย่าให้ใครว่าได้ว่า ที่ผิดเพราะเหตุเกิดในประเทศไทย?? ถ้ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ถูกนั้นเป็นอย่างไร แต่รู้แน่ว่าสิ่งที่จะทำนั้นผิดแน่นอน
ต้องไม่ทำ หรือทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม น่าจะเป็นหนทางที่ถูกต้องที่สุดจะได้ไม่เข้าข่าย ทำหินแตก แยกแผ่นดิน โดยประมาท ??


...


ก.ก.ต.ผู้ไร้เดียงสา??

ประชาธิปัตย์คงมีฮา เพราะคำร้องคดียุบพรรค ทำท่าว่าจะถูกยกซะแล้วก็ ม.ล.ประทีป จรูญโรจน์ ที่ปรึกษาใหญ่ประธาน ก.ก.ต.
“เสี่ยอู” อภิชาต สุขัคคานนท์ ผู้มาดมั่น ออกมาแถลงเจื้อยแจ้ว ดีเอสไอไม่ได้ชี้มาว่าเงินที่ว่านั้นเป็นเงินที่ถูกยักยอกมา

โถถังกาละมังแตก เรื่องนี้อยากรู้อยากเห็นก็ไต่สวนเองได้ตามใจโก๋อยู่แล้ว อำนาจไต่สวนหรือก็อยู่ในมือ ก.ก.ต. เต็มๆ
ระบบแสวงหาข้อเท็จจริงของ ก.ก.ต. เขาใช้ระบบไต่สวน นี่คงยุทธการโยนหินถามทาง ก่อนที่ “เสี่ยอู” จะออกมาแถลงแจ้งข่าว
ยกคำร้องแล้วจ้า เพราะที่ปรึกษาและอนุไต่สวนเขาบอกมาเช่นนั้น?? ก็จำเริญๆ กันเถอะนะ พ่อคุณพ่อทูนหัว
ก็บ้านนี้เมืองนี้มันของพวกคุณเท่านั้นแหละ!!


โดย.ใต้ฟ้า
**************************************************************************

ก้าวล่วง

ยิ่งใกล้วันตัดสินคดียึดทรัพย์จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

บรรยากาศการเมืองก็ยิ่งตึงเครียด

รัฐบาลหวาดผวา ถึงกับระดมกำลังตำรวจทหารกว่า 4 พันนาย ออกมาฝึกซ้อมเตรียมพร้อมไว้ปราบปรามม็อบเสื้อแดง

เพราะเชื่อว่าจะออกมาก่อความวุ่นวาย ทำเพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ

สื่อวิทยุและโทรทัศน์ในซีกรัฐบาลโหมประโคมอย่างหนัก เสนอข้อมูลความรุนแรงของเสื้อแดงเป็นด้านหลัก

โดยเฉพาะในช่วงวันสงกรานต์ ปี 2552 และเหตุ การณ์ทุบรถเบนซ์ที่กระทรวงมหาดไทย

แต่ไม่ยักเสนอภาพข่าวทหารพร้อมอาวุธสงครามครบมือ ลุยปราบม็อบราวกับการทำสงคราม

ล่าสุด ถึงลามปามไปถึงศาลยุติธรรมเข้าแล้ว

นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ หนึ่งในแกนนำพันธมิตร ใช้วิธีแบบการเมือง ออกมาแถลงเป็นตุเป็นตะ

นายสำราญอ้างว่า

"มีความพยายามที่จะใช้เงินถึงหลักพันล้านบาท เพื่อใช้ในการพลิกคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน เนื่องจากองค์คณะผู้พิพากษา มี 9 ท่าน กระแสข่าวพยายามเข้ามาแทรกแซงให้ได้เพียง 5 ท่าน ท่านละ 1 พันล้านบาท เพื่อแลกกับเงิน 7.6 หมื่นล้าน"

ทันควัน นายสิทธิศักดิ์ วนะชกิจ โฆษกศาลยุติธรรม ออกมาปฏิเสธว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีมูลความจริง การ พิจารณาพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกคดีที่ผ่านมา ไม่เคยมีเรื่องการเสนอสินบนใดๆ

โฆษกศาลยุติธรรมกล่าวด้วยว่า การระบุเช่นนี้เหมือนปล่อยข่าวหวังผล ทำให้เกิดความระแวงสงสัยในการพิพากษาคดีที่กำลังใกล้จะตัดสิน

หากอ้างว่ามีการเสนอสินบน การตรวจสอบย่อมทำได้ โดยตรวจดูจากเส้นทางการเงิน ที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้พิพากษาคนใดที่เป็นองค์คณะแจ้งเรื่องการเสนอสินบนดังกล่าวเลย

แม้โฆษกศาลยุติธรรมออกมาปฏิเสธ แต่นายสำราญก็ยังออกมายืนยันซ้ำ โดยอ้างว่าข่าวเรื่องความพยายามวิ่งเต้นให้สินบนผู้พิพากษาในคดียึดทรัพย์คนละกว่าพันล้านบาท เป็นความจริง แต่รายละเอียดบอกไม่ได้

"รู้เพียงว่าก่อนหน้านี้เคยวิ่งเต้นเสนอ 200 กว่าล้านบาท แต่ไม่ได้ผล จึงต้องเพิ่มเงินสินบนเป็นพันล้านบาท

"ยอมรับว่ายังไม่ได้เช็กข้อเท็จจริงกับศาล เพราะไม่อยากก้าวล่วง ที่สำคัญข่าวดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องที่ลือกันในหมู่นักวิชาการ นักกฎหมาย และทนายความเท่านั้น

"นอกจากนี้ยังลือกันว่า ขณะนี้เขาได้ไป 4 เสียงแล้ว ขาดอีกเสียงเดียวคดีก็จะพลิกทันที"นายสำราญอ้าง

แต่เมื่อถูกซักหนักๆ เข้า นายสำราญก็เฉไฉ อ้างว่าเป็นเพียงการได้ยินการพูดต่อๆ กันมาเท่านั้น

ออกลีลาแบบ "ลูกพี่" ไม่มีผิด

คอลัมน์. เหล็กใน
*******************************************************************

** อารักขาขั้นเทพ **


การเมืองยังไม่มีอะไรใหม่ เลยแหวกแนวการเมืองฮาร์ดคอร์..มาเป็นเรื่องของนักการเมืองแต่ไม่ประเทืองปัญญา...แก้เซ็ง
บะละฮึ่ม บึ้ม เบิ้ม กับการเปลี่ยนรถยนต์และแผนพิทักษ์รักษาความปลอดภัย “นายกรัฐมนตรี” ไม่บอกชื่อก็คงรู้กัน แต่บอกสักหน่อย
ตามหลักงานเขียน

“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ภายหลังโดนความพยายามเบียดติด ประชิดรถประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี.โดยใครก็ไม่รู้? สาเหตุอะไรก็ไม่รู้?
แต่หลายฝ่ายข้าง “นายกฯ” กังวลว่าจะเป็นการ “ลอบทำร้าย” เลยมีการปรับกันขนานใหญ่..เริ่มตั้งแต่รถยนต์ถึงโครงสร้างขบวนอารักขา
การประชิดแทรกขบวนอาจเกิดจากความเสน่หา อยากจ๊ะจ๋ากับนายกฯ หน้าหล่อ หรืออาจจะหมั่นไส้ขบวนรถคนใหญ่คนโต..

จะว่าไปแล้วคนธรรมดาใช้รถเหมือนกั นแต่ไม่กันกระสุนมักจะโดนรถคนใหญ่คับฟ้าเบียดเสียดบ่อยครั้ง..
1. รถขบวนจะขับเร็ว-เร็วมาก
2. ไม่มีการเหยียบเบรก ไฟแดงๆไม่มี ไฟเขียวตลอดทาง
3. ขบวนยาวมาก และ
4. ใครขวางหน้ากูชนดะ (คนธรรมดาเลยยอมหลบซ้าย ชิดขวา)

ส่วนโครงสร้างขบวนอารักขา..แม่เจ้าโว้ย!! หากจะ “ลองของ” ขอเตือน ว่า อันตราย!..

โครงสร้างเดิมนั้น ทีมรักษาความปลอดภัย (รปภ.) นายกฯ มี 2 หน่วยหลักรับผิดชอบคือ
ตำรวจสันติบาล 3 และ กอง 8 ศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย

ปัจจุบันนายกฯ อภิสิทธิ์ เลือกใช้ทหารจาก ศรภ. เป็นบอร์ดี้การ์ดหลัก ขณะที่ตำรวจก็เลือกใช้ตำรวจกองปราบปราม ไม่ได้เลือกใช้
ตำรวจสันติบาล 3 เหมือนสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่มเติมด้วยกำลังกองพันทหารสารวัตรที่ 11 มณฑลทหารบกที่ 11
รวมถึงชุดปฏิบัติการพิเศษคอมมานโดหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ชุดปฏิบัติการกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์
(ทหารเสือราชินี) มาประจำการเพิ่มทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล และบ้านพัก สร.1 และเพิ่มเจ้าหน้าที่ ศรภ.อีก 1 ชุดสำหรับการวางตัว
ทีม รปภ.ประจำ ตัวนายกฯ

ตามมาตรฐานแล้ว ทีมต้องไม่ตํ่ากว่า 5 คน โดยมีหัวหน้าชุดยืนประกบด้านข้างและยังมีลูกทีมอีก 4 คนเฝ้าระวังรอบตัวใน 4 ทิศทาง
แต่หากนายกฯ ต้องเดินทางฝ่าฝูงชนหนาแน่น ต้องมีการปรับรูปแบบมาใช้ทีม รปภ.ประจำตัว 6 คน

กฎเหล็กคือ หัวหน้าชุดต้องเอื้อมมือถึงตัวนายกฯ ทันทีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องเฝ้าระวัง 360 องศารอบตัว สร.1

หัวใจสำคัญก็คือ เจ้าหน้าที่ ศรภ. ที่เป็นทหาร “มือดี” จาก 3 เหล่าทัพ แยกเป็นทีมประมาณ 8 คน แบ่งเป็น 2 ผลัด
ใช้รถโฟร์วิลล์ปิดขบวนของนายกฯ ภายในรถจะติดฟิล์มดำ มีอุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ตัดสัญญาณโทรศัพท์ป้องกันการจุดชนวนระเบิด
อาวุธปืนหนักเบา ทั้ง 2 ทีมของตำรวจและทหาร จะทำงานประสานกันทางวิทยุสื่อสาร มีการประชุมวางแผนอารักขาการเดินทางทุกวัน

หากนายกฯ อยู่ในสถานที่เสี่ยงมาก ชุดปฏิบัติการที่ 5 ที่ต้องเพิ่มเข้ามา คือ เจ้าหน้าที่ชุดอาวุธพิเศษที่ไม่ได้มีแค่ปืนพก “กล็อก”
หรือ เสื้อเกราะอ่อน แต่เป็นปืนกลยิงเร็วระดับ เอ็มพี-5 หรือรู้จักกันดีในนามปืนกล “อูซี” เอาไว้ต่อกรกับอาวุธของผู้ประสงค์ร้าย
ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ อารักขากันครบสูตร!

หากมี “เหตุไม่คาดฝัน” มาเขย่าขวัญรัฐบาลอีก..คงต้องปรบมือให้ “ไอ้มือมืด”

และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องบอกว่า “โชคชะตาฟ้ากำหนด” แล้วล่ะ “ท่านนายกฯ”


ที่มา.konthaiuk
*************************************************************

ฎีกา ‘วัวกินอ้อย’ !!


ว่ากันว่า...มีทฤษฎีหนึ่งที่ยกมากล่าวหากัน เรื่องนักการเมืองรํ่ารวยผิดปกติ กรณี “ทุจริตเชิงนโยบาย” ทำให้ขายหุ้นของครอบครัว
ในตลาดหลักทรัพย์ฯได้เงินมาประมาณ 76,000 ล้านบาท

ทฤษฎีที่พูดถึง คือ “ทฤษฎีวัวกินหญ้า”

ฟังมาได้ความในทำนองว่า...ถ้าวัวของผู้ใหญ่บ้านไปกินหญ้าที่ปลูกโดยงบหลวงในที่สาธารณะ แล้ววัวของผู้ใหญ่บ้านอ้วนขึ้น
ก็ต้องจับวัวนั้นมาฆ่าทั้งตัว เพราะไม่สามารถถอนหญ้าออกมาจากตัววัวได้!

ดังนั้น...ไม่ต้องคำนึงว่า หญ้าที่วัวกินไปนั้นมีมูลค่าเท่าใด และเดิมวัวนั้นโตมาอย่างไร มีนํ้าหนักตัวเท่าไหร่
เมื่อพบว่า...วัวเข้าไปกินหญ้าแล้วก็ต้องจับวัวมาทั้งตัว

ฟังแล้วก็งงครับ? กับทฤษฎีวัวกินหญ้า...แล้วต้องจับวัวทั้งตัว เพราะในทางแพ่งหรือทางละเมิดนั้น ก็ควรจะฟ้องร้องกล่าวหากัน
ที่ “มูลละเมิด” หรือในทางอาญาก็ควรจะต้องหา “ข้อเท็จจริง” ในความผิดตามกฎหมายมากล่าวหากัน

จะไปยกทฤษฎีวัวกินหญ้ามาจากไหน...ก็คงปรับใช้ในการลงโทษตามกฎหมายไม่ได้ เว้นแต่ว่า “ทฤษฎีวัวกินหญ้า” นั้น...
จะเป็นบทบัญญัติในกฎหมายใดกฎหมายหนึ่งเท่านั้น เมื่อไปค้นหาว่า ทฤษฎีวัวกินหญ้า ได้มีบัญญัติไว้ในกฎหมายใดหรือไม่...
ก็ไม่พบว่ามีอยู่ในกฎหมายไทย หรือจะเอามาจากต่างประเทศ หรือจากต่างดาว ก็มิทราบ

อย่างไรก็ตาม ก็เคยมีการฟ้องร้องเกี่ยวกับเรื่องของวัวจริงๆ เหมือนกัน และเป็นข้อเท็จจริง ไม่ใช่ทฤษฎีเป็นเรื่องวัวกินอ้อย...
ไม่ใช่วัวกินหญ้า ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเอามาเขียนให้ได้อ่านกัน ดังนี้

ป.พ.พ. มาตรา 420, 432, 438ป.วิ.พ. มาตรา 142, 172 วรรคสอง, 179, 180, 248 วรรคหนึ่ง
คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท...ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา248 วรรคหนึ่ง
ที่จำเลยทั้งแปดฎีกาว่า...จำเลยทั้งแปดไม่เคยนำวัวไปเลี้ยงในไร่อ้อยของโจทก์ จึงไม่ได้ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์

เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1ซึ่งฟังว่า...
จำเลยทั้งแปดซึ่งเป็นคู่สามีภรรยากันต่างคู่ต่างปล่อยวัวของตนเข้าไปกินอ้อยของโจทก์อันเป็นละเมิดเป็นฎีกาใน “ข้อเท็จจริง”
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยแม้โจทก์ฟ้องว่า...จำเลยทั้งแปดร่วมกันไล่ต้อนวัวเข้าไปกินอ้อยในไร่ของโจทก์

แต่ทางศาลพิจารณาได้ความว่า...จำเลยทั้งแปดต่างคู่สามีภรรยาต่างปล่อยวัวของตนเข้าไปกินอ้อยของโจทก์ ก็เป็นข้อแตกต่าง
ในรายละเอียดซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อย...ไม่ถึงกับเป็นเรื่องนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง...จำเลยทั้งแปดก็สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่แล้ว
ไม่มีเหตุที่จะยกฟ้องโจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 กำหนดให้จำเลยแต่ละคู่แยกกันรับผิดในความเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และ
ความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 จึงชอบแล้วการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง...

ย่อมทำให้คำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง ตลอดทั้งแผนที่สังเขปที่แนบมาท้ายคำร้องเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยศาลอุทธรณ์ภาค 1
จึงชอบที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยว่า...ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ได้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องพอเข้าใจได้ว่า...

จำเลยทั้งแปดปล่อยปละละเลยไม่ดูแลเลี้ยงดูฝูงวัวของตนเป็นเหตุให้ฝูงวัวของจำเลยทั้งแปดเข้าไปกินต้นอ้อยใบอ้อยและเหยียบยํ่า
ต้นอ้อยของโจทก์เสียหายประมาณ 60 ไร่เศษ

ส่วนคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก็ระบุอาณาเขตความกว้างยาวของที่ดินในการปลูกอ้อยด้านทิศเหนือ ทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกว่า...
จดที่ดินของผู้ใดตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้อง จึงเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา172 วรรคสองแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา (จรัญ หัตถกรรม- นาม ยิ้มแย้ม - สุรินทร์ นาควิเชียร) ตามคำพิพากษาฎีกาข้างต้นศาลพิพากษา
ให้จำเลยแต่ละคู่แยกกันรับผิดในความเสียหายตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438

ในองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งมีอยู่ 3 คนนั้น...มีท่านหนึ่งที่ระบุชื่อไว้ว่า “นาม ยิ้มแย้ม” ซึ่งต่อมาได้เป็นบุคคลหนึ่ง
ในคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส.

เห็นอย่างนี้แล้ว...พี่น้องผู้อ่านจะคิดอย่างไรระหว่าง “ทฤษฎี วัวกินหญ้า” กับ “ฎีกา วัวกินอ้อย” ก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน
แล้วหละครับ!


โดย สว.เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ
*****************************************************************************

** 2 จอมพล !! **


ในประวัติศาสตร์โลก...ไม่มีใครไม่รู้จัก...พลเอกฮิเดกิ โตโจ...รัฐมนตรีกระทรวงทหารบกและอดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของญี่ปุ่น
ใหญ่เป็นที่ 2 รองจากองค์จักรพรรดิ์..ฮิโรฮิโต..

เขาคือ นักรบซามูไรขนานแท้..นี่คือ ทหารที่รักชาติยิ่งชีพ..ชีวิตที่รุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่...เขามีสมบัติเพียงบ้านเล็กๆ หลังเดียว..
เมื่อเขาตาย

นี่คือ ผู้ประกาศสงคราม...มหาเอเชียบูรพา..ที่พาชีวิตคนมากกว่า 20 ล้าน..ทั้งที่เป็นทหารและพลเรือนไปสู่ความตาย..

เขาทำให้ระเบิดปรมาณู 2 ลูก..ระเบิดเหนือเมือง ฮิโรชิมา และนางาซากิ..เมื่ออเมริกันเห็นว่าเป็นหนทางเดียวที่จะสงวนชีวิต
ทหารอเมริกัน..หากจะยกพลขึ้นบก เพื่อจบสงครามกับญี่ปุ่น ฮิเดกิ โตโจ..เป็นแม่ทัพต่างชาติคนแรกและคนเดียว...ที่นำเครื่องจักร
สงคราม..ถล่มฐานทัพอเมริกัน..

และนั่นนำเขามาสู่หลักประหาร..เมื่อคำว่า อาชญากรสงคราม เดินทางมาถึงแม่ทัพผู้พ่ายแพ้..พยายามที่จะปลิดชีวิตตนเอง..
แต่อเมริกันยื้อชีวิตของเขาไว้..เพื่อจะเอามาแขวนคอในสงครามเดียวกัน..

จอมพล ป.พิบูลสงคราม..ประกาศให้ไทยเป็นมหามิตร..ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่..ทหารใหญ่ที่เชี่ยวชาญ แต่การหันปากกระบอกปืน
ข่มขู่คนไทย..ปฏิเสธการรบเพื่อปกป้องแผ่นดิน..แล้วยกแผ่นดินให้ทัพญี่ปุ่น..ท่ามกลางความอึดอัดของทหารแท้ทั้งหลาย..

ประเทศไทยกลายเป็นชาติผู้แพ้สงคราม และร่ำๆ จะถูกแบ่งออกเป็นไทยตะวันตกของอังกฤษและไทยตะวันออกของฝรั่งเศส..
ดีแต่ว่าสหรัฐอเมริกา..เหยียบเบรกไว้..เพราะเห็นใจขบวนการเสรีไทย..ที่พลเรือนไทยตั้งขึ้นมา และประกาศตนเป็นศัตรูกับผู้รุกราน
ชาวญี่ปุ่น

เขียนขึ้นมาเพื่อที่จะบอกว่า..หายนะในฐานะชาติแพ้สงคราม..แผ่นดินไทยที่เคยใหญ่แล้วถูกเฉือนฉีกออกไปมากมายนั้น..
เพราะคนที่ควรจะเป็นผู้ต่อสู้ กลับกลัวการต่อสู้..

เราแพ้สงครามโดยยังไม่ได้สู้รบ..ชาติรอดปลอดภัยมาได้ ไม่ถูกเฉือนฉีกแบบเยอรมัน..ไม่เป็นตะวันออกตะวันตก...ก็เพราะนักรบบ่าขาว
เหล่าพลเรือนที่ถือปืนเป็นนักรบโดยไม่เคยผ่านวิชาทหารขบวนการเสรีไทย

จอมพล ป.พิบูลสงคราม..อาชญากรสงคราม..ที่จะต้องถูกแขนคอพร้อมๆ กับ ฮิเดกิ โตโจ..กับเหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย..
ไม่ถูกมหาอำนาจผู้ชนะเอาไปแขวนคอ..เพราะนักรบเสรีไทย..

หลังพ้นความตาย..จอมพล ป.พิบูลสงคราม กลับมาใหม่..เสรีไทยหลายราย..โดนไล่ไปตายต่างแดน..จนวาระสุดท้าย..
เมื่อจอมพลมือขวา..ส่งกองทัพออกมาขับไล่ จอมพลมือซ้าย..ป.พิบูลสงคราม..หนีภัยไปตายเมืองญี่ปุ่น

ประโยชน์จากประวัติยืนยันว่า..กองทัพสร้างความย่อยยับมากกว่ารุ่งเรือง



โดย. พญาไม้
****************************************************************************

** “การหลอกระดับโลก” **


- จะยืนจะนั่งยังไม่ถูกที่ถูกทาง เป็นนายกรัฐมนตรีมาปีกว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานประการเดียว ยืนปาฐกถาหน้าโพเดียมกับ
ส่ายตาหาแหล่งกู้เงิน!! แล้วประเทศไทยจะไปรอดหรือ??....

- โธ่ โถ!! ถึงเวลาจะต้องพูดเอาตัวรอด “มาร์คตาใส” ก็พูดได้เรื่อยเฉื่อย?? เรื่อง GT 200 ที่เหมือนของเด็กเล่นนั้น
ถ้าเมืองไทย-กองทัพไทย จะถูกหลอก ก็ถือเป็น “การหลอกระดับโลก” เพราะซื้อกันทั้งโลก ไปกันน้ำขุ่นๆ??.....

- จะแค่อำ รัฐบาลมาร์ค หรือมันเรื่องจริงต้องถามเจ้าตัว?? อดิศร เพียงเกษ ขึ้นเวที “คนเสื้อแดง” ที่อำเภอสิชล นครศรีธรรมราช
กล่าวหา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปนอกทีไร มีกระดาษไป 2 แผ่น!! แผ่นแรก เอกสารขอกู้เงิน? แผ่นที่สอง “หมายจับทักษิณ”?? .....

- ซ้อมรบ-ซ้อมปราบปราม “คนเสื้อแดง” เหมือนกำลังจะเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” สื่อนอกรายงานข่าวไป หัวเราะขบขันกันไป
จนขากรรไกรค้าง อยากถาม มีรัฐบาลไหนในโลกที่ “ประกาศสงคราม” กับประชาชน??.....

- เพราะคุมสื่อหลัก ทั้งทีวี-วิทยุ และสื่อสิ่งพิมพ์หลายสำนักไว้ในมือได้หมด รัฐบาลมาร์ค จึงเหิมเกริมย่ามใจ เดินหน้าทำ
“สงครามข่าวสาร” สู้กับ คนเสื้อแดง ที่มี “ทีวีดาวเทียม” อยู่เพียงช่องเดียว!!......

- สงครามข่าวคืออะไร มีความสำคัญอย่างไร?? ประธานคณะเสนาธิการร่วมสหรัฐฯ ค.ศ.1996 ให้คำจำกัดความ สงครามข่าวสาร
(Information Warfare) ไว้ว่า คือ การดำเนินการเพื่อให้เป็นฝ่ายได้เปรียบด้านข่าวสาร โดยการบ่อนทำลาย ข่าวสาร
การดำเนินกรรมวิธีต่อข่าวสาร ระบบข่าวสาร และเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของข้าศึก....

- งานนี้ ปณิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลที่กำลังสวมบท “ไอ้เสือยิ้มยาก” โดดเข้าบัญชาการเอง เพราะฉะนั้น “เตี้ย หนองเตย”
ต้องทำใจกับ “ความยิ่งใหญ่” ของ “โฆษกรัฐบาล” ที่ชื่อ ปณิธาน ณ เบตง?? คิดเสียว่า อารมณ์ที่แปรปรวนได้ง่ายของ “มาร์คเด็กดื้อ”
มีหลายมาตรฐาน!!......

- สิ่งที่ ปณิธาน วัฒนายากร กำลังทำ คือ การสร้าง “สงครามข่าวสาร” กับ “สงครามจิตวิทยา” ออกข่าวใส่ร้าย? ทำให้สับสน ทำลาย
เครือข่ายด้านสื่อสารมวลชน “คนเสื้อแดง” ให้หมด!! เพราะศักยภาพในการตอบโต้ของฝ่ายเสื้อแดงสูงมาก!!......

- เป็นโหรจริงหรือเปล่า? ไม่มีใครกล้ายืนยัน! ยกเว้น “ศิษย์เอก” ที่ชื่อ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สองวันก่อน วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ
โหรชื่อดังจากหมู่บ้านสุขิโต เชียงใหม่ เกิดอาการ ร้อนวิชา ต้องออกมา ทำนายทายทัก “ดวงบ้านดวงเมือง”.....

- วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ จะวิเคราะห์เอาเอง หรือเปิดตำราโหราศาตร์เล่มไหนก็สุดเดา!! วันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ จะไม่มีเหตุการณ์รุนแรง
และไม่มีการปฏิวัติ!! ไม่มีทหารนำรถถังออกมาเคลื่อนไหว!!.....

- หลัง 26 กุมภาพันธ์ ตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสร็จ จะยังมีปัญหากระทบกระทั่งกันอยู่!! จากนั้นจะมี อัศวินขี่ม้าขาว
มาช่วยดูแลประเทศ โดยเป็นบุคคลที่มียศตำแหน่ง อักษรย่อ ป. ก็ลองเดากันดู จะเป็น “อัศวินม้าขาว” หรือ “อัศวินผมขาว”??......๐


โดย.กุหลาบพิษ
***************************************************************************

** ไอ้ติ๊งต๊อง !! **


สุดท้ายเป็นเพียงข่าวลือ...ได้ยินพูดต่อๆ กันมา! “สำราญ รอดเพชร” กับหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองใหม่...ถึงการออกมาแพร่งพราย
ข้อมูลสำคัญอัน “เป็นความลับ” เกี่ยวกับคดียึดทรัพย์ “ทักษิณ ชินวัตร”

น่าเสียดายกับคำพูดเพียงไม่กี่คำของคนๆ หนึ่ง...ซึ่งขาดความ “แหลมคม” ทางการเมือง...และอ่อนด้อยด้วย “ไหวพริบ” ปฏิภาณ

จากบุคคลระดับ “แกนนำ” ที่มวลชนคนเสื้อเหลืองให้การยอมรับ...มาวันนี้เขาเป็นเพียง “เสือสิ้นลาย” เพราะการ “กวัดแกว่งลมปาก”
โดยขาดเนื้อหาและสาระข้อเท็จจริง ทำให้ “สำราญ” กลายเป็นคนหมดสิ้น...ในด้านความน่าเชื่อถือทั้งหมดทั้งมวล

โดยเฉพาะตำแหน่งหน้าที่...ซึ่งจำเป็นต้อง “ยึดโยง” เกาะกลุ่มมวลชน.

ในโอกาสต่อไปตัวท่านจะทำอย่างไร? หากพูดอะไรแล้ว...ไม่มีคนเชื่อ...ไม่มีคนฟัง เมื่อเป็นเช่นนั้น...มันจะแตกต่างอะไรกับ
การนั่งพูดนั่งฟังเพียงคนเดียว...ซึ่งภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า “คนไม่ปรกติ” แต่ยังไม่เข้าขั้นถึง “คนบ้า” เพราะนิยามของคนบ้า คือ
ผู้ที่มีอาการทางจิตทำให้ประสาทฟั่นเฟือน

แต่สำหรับ “สำราญ” แล้ว ท่าน “ไม่ใช่” กิริยาและความรู้สึกของท่าน ยังสามารถ “รับรู้” เพียงอาจมี “อาการหลุด” บ้าง
เป็นบางครั้งบางคราว อย่างเช่น...อยู่ดีๆ ก็หยิบ เอาตะหลิวกับกระทะมาตีเป้งๆ ให้เสียงดัง เพื่อทำให้คนสนใจ...

ทั้งที่ไม่รู้เหตุผลว่า...ทำไปทำไม? แบบนี้ไม่เรียกว่า “บ้า” แต่เรียกว่า “ติ๊งต๊อง” “สำราญ” ควรทำตัวให้อยู่กับร่องกับรอย...
และอย่าไปยึดติดว่า “หน้าที่โฆษก” ต้องออกมา “ตีกระทะ” ให้คนเงี่ยหูฟังเพียงอย่างเดียว

หากจะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม...ต้องรู้จักตอบโต้อย่าง “มีกึ๋น” สมองกับปาก...ต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
แต่มิใช่ต้นแบบเช่น “เทพไท เสนพงศ์” สุดยอดโฆษกแห่งยุคนี้...ซึ่งสามารถใช้ปากกับสมอง “คล้องจอง” ประสานกันอย่างน่าเชื่อ
คิดเร็ว...พูดเร็ว...ตอบโต้เร็ว...ถึงขนาดบางที “ต่อมน้ำลาย” ยังผลิตไม่ทัน ยิ่งฟังมันพูด..กูยิ่งบ้า!


โดย.ภูผาหิน
********************************************************************************

** ทีใคร-ทีมัน !! **

ไปไหนก็โดน..การ “โห่ไล่นายกฯ” ในทุกๆ แห่งที่เกิดในขณะนี้จาก “คนเสื้อแดง”!!

แท้จริงแล้ว..มันคือ วัฒนธรรม ต่อเนื่องมาจาก “คนเสื้อเหลือง” นั่นเอง!!

เอาเป็นว่า ตั้งแต่ “สมัคร สุนทรเวช” นำ “พลังประชาชน” เข้าสภา เพราะเป็นพรรคใหญ่จนได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ “นายกรัฐมนตรี”
แต่ก็โดน “สนธิ ลิ้มทองกุล” ที่นำ “คนเสื้อเหลือง” บุกทำเนียบรัฐบาล..โดยได้รับการฉีด วัคซีน “ภูมิคุ้มกัน” มาเป็นอย่างดี
สามารถที่จะยืนหยัดสู้รบสักกี่ร้อยวันก็ย่อมได้!!

“สนธิ” มี นักรบศรีวิชัย คอยคุ้มกันให้..ในขณะที่ “สมัคร” มี ไก่ย่างบ้านวิเชียร เป็นอาวุธในการสู้รบ??
มันแพ้กันตั้งแต่ “ย่างไก่” ยังไม่ทันสุก!!

จากนั้นก็มาถึง นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่ากันว่าเป็นนายกรัฐมนตรี คนเดียวที่ ตีนไม่ติดพื้น?? เพราะเท้า “แตะพื้นดิน” เมื่อใด
ก็ต้องโดน “คนเสื้อเหลือง” โห่ไล่เมื่อนั้น

ช่วงนั้น “นายกฯ สมชาย” ทำตัวเป็น “แม่มดขี่ไม้กวาด” คือ เหาะไปเรื่อยๆ เสื้อเหลือง ก็ตามจี้ไปติดๆ..

ในที่สุดก็ไป “ติดกับดัก” อยู่ที่ “สุวรรณภูมิ” เพราะตามไล่ล่าเพลินโดยที่เชื่อว่า นายกฯ สมชาย จะต้องบินไปลงที่นั่น

เหตุการณ์ตาละปัด..เมื่อไม่เจอ “สมชาย” แต่ เจอ แผ่นดินใหม่ จึงเกิดกิเลส!! เพราะเป็น “นิวแลนด์” สุดยอดชัยภูมิที่ดีกว่า “ทำเนียบ”
อีกทั้งมี อาหารดี และ ดนตรี ไพเราะ เปิดแอร์เย็นฉ่ำได้ทั้งวัน โดยที่หารู้ไม่ว่า..ณ. ตรงนั้นมันเป็นเรื่องของระดับ “อินเตอร์”..

ถึงจะฉีด “วัคซีน” ไปเต็มกระบอกเข็มฉีด ก็ไม่สามารถป้องกันในการ “ยึดสนามบิน” ได้

ในที่สุด..ต้อง “รีบล่ำลา” กันแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย..แม้ “ผ้าขาวม้า” ของ “จำลอง” ที่ตากเอาไว้ข้างรั้วสนามบินยังเก็บหนีมาแทบไม่ทัน

ตั้งแต่นั้น “เกี๊ยวซ่า” ก็กลายเป็น “ปลาหงอย” ลอยคอได้แค่ในตู้โชว์เท่านั้น!!

และ..เมื่อ “อภิสิทธิ์” ขึ้นมาเป็นนายกฯบ้าง..จึง “โดนโห่ โดนไล่” อย่างที่เห็น

เรื่องมันเป็นอย่างนี้แหละครับ “เจ๊เล้ง” จึงเรียนมาให้ทราบ!!


โดย.ใหนุ่ม ชิงชัย
*******************************************************************************

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถึงเวลา! ตรวจทรัพย์สินทั่วหน้า!!


เพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นกรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก แม้ว่าจะเหลือเวลาจากวันนี้ ไปอีกเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น ก็จะถึงวันอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก

รัฐมนตรี และครอบครัว แล้วขั้วอำนาจกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และนายทหารใหญ่สาย คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองปัจจุบัน ยังคงออกอาการให้เกิดภาพที่น่าหวั่นวิตกไม่หยุดหย่อนถึงขนาดมีการฝึกซ้อมปราบปรามเป็นเหมือนการตัดไม้ข่มนามกันล่วงหน้าเลยทีเดียวแต่ที่ออกอาการมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นบุคคลในกลุ่มม็อบพันธมิตรฯ หลายๆ คน ที่ทั้งคาดการณ์ ทั้งพยายามดักทางเพื่อหวังผล ใช้แม้แต่กระทั่งข่าวลือต่างๆ ก็ยังเอามาพูดหน้าตาเฉยไม่น่าเชื่อว่าวุฒิภาวะของหลายๆ

คนจะไม่รู้จักแยกแยะ เพราะอีกหน่อยหากอ้าง “ข่าวลือ”แล้วเอามาประโคมไว้ก่อน เอามาขยายความไว้ก่อน... สุดท้ายก็แค่ขี้ปากข่าวลือ บ้านเมืองจะวุ่นวายกันขนาดไหนพอถึงเวลา คนพูดก็แค่บอกว่า ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆ เพราะบอกแล้วว่า เป็นข่าวลือที่บังเอิญได้ยินมา เลยเอามาลือต่อเป็นความผิดของนักข่าว ความผิดของสื่อมวลชนเอง ที่ดันไปทนนั่งฟังคนแถลงเรื่องข่าวลือเอง... ช่วยไม่ได้ก็เพราะแบบนี้แหละ ทั้งๆ ที่บรรดาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จะยืนยันว่า เป็น

การต่อสู้เพื่อทวงความเป็นธรรมและระบบยุติธรรมที่แท้จริงตามระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะเป็นการชุมนุมโดยสงบเท่านั้น หรือแม้แต่การโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยืนยันเช่นกันแปลว่าทางฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดงยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องของการชุมนุมโดยสงบแต่ฝ่ายอำนาจปัจจุบัน ก็ยืนยันเขย่าขวัญสร้างภาพให้น่าสะพรึงกลัวไม่หยุดหย่อนจนวันนี้ต้องยอมรับว่า คำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นในวันที่ 26 กุมภาพันธ์???” ดังไปทั่วประเทศ และทั่วโลกแล้วอาการสนุกปาก

โดยไม่ได้คำนึงถึงภาพลักษณ์ของประเทศชาติเหล่านี้ ไม่รู้ว่ากลุ่มอำมาตยาธิปไตย และ คมช. รวมทั้งขั้วการเมืองต่างๆ จะรู้สำนึกกันบ้างหรือไม่ ว่ากำลังทำร้ายประเทศปากก็อ้างว่ารักชาติรักสถาบัน แต่ปากเดียวกันก็พูดเขย่าสถานการณ์ ยั่วยุไม่เลิกราอย่างที่เห็นแม้แต่สถาบันศาล แม้แต่องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ยังไม่พ้นมรสุมลมปากยังโชคดี ที่ศาลให้ความเมตตาและใจกว้างเป็นอย่างมากไม่เพียงไม่ถือสาในเรื่อง

การเอาข่าวลือมาแถลงครึกโครม เพียงแค่ให้โฆษกออกมาชี้แจงว่าเป็นเรื่องไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใดแต่ยังเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์กันได้ตามสมควรด้วยปัญหาก็คือ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ไม่น่าจะเป็นวันอันตราย อีกทั้งคณะศาลก็ยืนยันแล้วว่าไม่ใช่คู่กรณี จึงไม่มีอะไรน่าวิตก คำถามจึงต้องวกกลับมาว่าแล้วกลุ่มขั้วอำนาจการเมืองและอำมาตยาธิปไตย กลัวอะไรหนักหนาจึงแสดงอาการเหมือนประหวั่นว่า จะเกิดการตรวจสอบย้อนเกล็ดกลับมาบ้างเพราะหลาย

เรื่องที่ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่อง 2 มาตรฐาน วันนี้ยังไม่สามารถชี้แจงหรือแก้ต่างได้เลย มีแต่การอมพะนำนิ่งเงียบ ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อยๆ ดึงเกมซื้อเวลาหมกข้อเท็จจริงไปเรื่อยๆขืนปล่อยให้มีการตรวจสอบก็คงพังเท่านั้นเพราะอย่างกรณีคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งทาง คตส. กล่าวหาว่าเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงขั้นตั้งทฤษฎีวัวทฤษฎีควายขึ้นมา เพื่อหวังโน้มน้าวให้เห็นว่า สมควรยึดคำถามจึงเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนว่า

เข้าข่ายกฎหมายหรือไม่ และทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองจริงๆ หรือ???ที่สำคัญ คตส. ยืนยันให้อัยการยื่นฟ้องว่าเป็นคดีของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้วคนอื่นๆ ที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองล่ะ ไม่ว่าจะเป็นนายพานทองแท้ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ซึ่งตามกฎหมายถือว่าบรรลุนิติภาวะแล้ว และไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ทั้งสิ้นเช่นเดียวกับนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ก็ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และไม่เคย

ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เลย... ทำไม คตส. จึงกวาดดะรวบไปหมดแม้แต่กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ เองก็เช่นกัน หากบอกว่า 76,000 ล้านบาทเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการดำรงตำแหน่งทางการเมือง แน่นอนว่าคงเถียงกันไม่จบ และก็เป็นเหตุให้เกิดการต่อสู้ยืดยาวมานานกว่า 3 ปี หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วมีการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญตั้ง คตส. ขึ้นมาเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิง พจมาน ก็ยืนยันว่ารวยมา

ก่อนทำงานการเมืองแล้ว ไม่ใช่ว่ามาทำงานการเมืองแล้วรวยเหมือนกับใครบางคนที่เห็นๆ กันอยู่!!!บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ นั้นตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2526 แล้ว และตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2537 ก็ได้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินเอาไว้ว่า มีมูลค่ารวมของทรัพย์สินส่วนที่เป็นหุ้นในขณะนั้นคือ 51,481 ล้านบาท 50,000 กว่าล้านบาทก่อนเล่นการเมือง และก่อนที่บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์จะเป็นชื่อมาเป็นชินคอร์

ปอเรชั่นหรือที่เรียกกันว่าชินคอร์ปด้วยซ้ำ ดัชนีหุ้นไทยในวันที่ 7 กันยายน 2537 อยู่ที่ 1,532 จุด หุ้นชินคอร์ปมีราคาหุ้นละ 79.60 บาท จำนวนหุ้นชินคอร์ปที่พ.ต.ท.ทักษิณมีอยู่ 148,774,012 หุ้น จึงเท่ากับมีมูลค่า 118,424 ล้านบาท แต่เมื่อวิกฤติปี 40 ดัชนีหุ้นไทยก็ไหลรูดลงอย่างหนักและยาวนาน จนในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2544 ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีวันแรก ดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 324 จุด ราคาหุ้นชินคอร์ปลงมาอยู่ที่ 21 บาท ทำให้มูลค่าเหลือแค่ 31,242

ล้านบาท นั่นคือภาวะปกติของตลาดหุ้นที่มีขึ้นมีลงเมื่อตลาดหุ้นไทยวิกฤติ หุ้นทั่วทั้งตลาดก็ตกลงมาทั้งสิ้นรวมทั้งหุ้นชินคอร์ปด้วยเมื่อพ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และได้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจจนเกิดความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นไทยกระเตื้องขึ้นโงหัวขึ้นมาได้ โดยในวันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งเป็นวันที่มีการขายหุ้นชินของครอบครัวชินวัตรให้กับเทมาเสก เพื่อจะได้เป็นอิสระในการทำงานทางการเมืองนั้นดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 750 จุด ทำให้มูลค่าหุ้นชินคอร์

ปของครอบครัวชินวัตรขยับขึ้นมาเป็น 73,271 ล้านบาท ดัชนีจาก 324 จุดขึ้นมาเป็น 750 จุด เท่ากับเพิ่มขึ้นกว่า 130% ที่มูลค่าหุ้นชินคอร์ปเพิ่มขึ้นมา 71,000 ล้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะหุ้นบูลชิพในตลาดหุ้นจำนวนมาก ราคาเพิ่มขึ้นไปเกือบ 200% ก็มี ฉะนั้นความร่ำรวยจากมูลค่าหุ้นของครอบครัวชินวัตรในสายตาของคนที่เป็นนักลงทุนในตลาดหุ้น ในสายตาของต่างประเทศ จึงถือเป็นเรื่องปกติตามการขยายตัวของตลาดหลักทรัพย์ แต่ คตส.กลับ

เห็นเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หรือกลับเห็นเป็นสิ่งผิดปกติ ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะมีความไม่รู้เรื่องของตลาดหุ้น หรือเกิดขึ้นเพราะมีธงจาก คมช. ซึ่งตั้งกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเพราะหากใช้ทฤษฏีตรวจสอบสไตล์ คตส.แล้ว คงต้องตรวจสอบนักการเมืองทั้งหมดกันให้ถ้วนทั่วทุกตัวคน ไม่เว้นแม้แต่กระทั่งบุคคลในกลุ่มอมาตยาธิปไตยที่กุมกลไกอำนาจของการเมืองอยู่ลับๆ แม้แต่กระทั่งกรณีที่ถูกสังคมตั้งคำถามขึ้นมากับบุคคลผู้ดำรงตำแหน่งองคมนตรี แล้วมีทรัพย์สิน ไม่ว่าจะเป็น

กรณีการบุกรุกป่าเขายายเที่ยง กรณีสนามกอล์ฟเขาสอยดาว หรือแม้กระทั่งกรณีการรับเงินเดือน รับค่าที่ปรึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่ง ณ วันนี้สังคมเกิดคำถามคาใจขึ้นมาอย่างมาก เพราะแม้ว่าจะไม่มีกฎหมายหรือข้อห้ามใดๆ ว่า บุคคลที่เป็นองคมนตรีจะคบหา หรือสนิทสนมกับนักธุรกิจหรือพ่อค้าวานิชต่างๆ รวมทั้งไม่ได้มีการห้ามไม่ให้เป็นที่ปรึกษากับบริษัทธุรกิจหรือสถาบันการเงินแต่อย่างใดทั้งสิ้น แปลง่ายๆ ว่าถึงแม้จะเป็นองคมนตรีหากไม่คิดอะไร ก็สามารถที่

จะรับเป็นที่ปรึกษาให้กับภาคธุรกิจได้ รวมทั้งรับค่าที่ปรึกษาในรูปแบบต่างๆ ได้ แต่ก็เช่นเดียวกันบรรดารายได้ต่างๆ นั้น ในทางกฎหมายกรมสรรพากรต้องถือว่าเป็นรายได้บุคคลธรรมดา ซึ่งคนไทยทุกคนหากมีรายได้จะต้องเสียภาษีไม่เว้นแม้แต่องคมนตรี เพราะไม่มีกฎหมายสรรพากร หรือกฎหมายข้อใดที่ยกเว้นว่าองคมนตรีไม่ต้องจ่ายภาษี ประเด็นเหล่านี้แหละที่ก่อให้เกิดข้อครหาตามมามากมายว่า เงินรายได้ปีละหลายสิบล้านบาทที่เป็นค่าที่ปรึกษา ซึ่งมีคนบางคนใน

กลุ่มอมาตยาธิปไตยหรือมีองคมนตรีบางคนที่น่าจะได้รับค่าที่ปรึกษา...ได้มีการเสียภาษีรายได้กันบ้างหรือไม่???ซึ่งแน่นอนว่าองคมนตรีส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับและยกย่องจากสังคมมิได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันกับเงินรายได้และค่าที่ปรึกษาใดๆ เลย รวมทั้งไม่ได้มีการยุ่งเกี่ยวกับการบุกรุกพื้นที่ป่า กับการมีทรัพย์สินอันไม่เป็นที่เปิดเผย ย่อมไม่กระทบกระเทือนใดๆคำถามจึงมีอยู่ว่าสมควรที่จะต้องมีระบบการตรวจสอบทรัพย์สินอย่างทั่วถึง โดยไม่มีข้อยก

เว้นในสังคมไทยได้แล้วหรือยังโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนที่สังคมรับรู้ว่าไม่เคยมีอาชีพอื่นใดเลย ไม่เคยทำธุรกิจใดๆ เลยนอกจากรับราชการมาชั่วชีวิต แต่กับแจ้งว่ามีทรัพย์สินกว่า 100 ล้านบาท ถ้าต้องการให้สังคมยอมรับว่าไม่มี 2 มาตรฐาน ไม่มีการอยู่เหนือกฎหมาย บรรดาองค์กรอิสระและกลไกต่างๆ ในสังคมจะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินของบรรดาผู้มีอำนาจทั้งหลายอย่างแท้จริงกันเสียที

ที่มา:บางกอกทูเดย์
******************************************************************