--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

เงื่อนไขและเวลาตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น


แล้ววลี “กงล้อแห่งประวัติศาสตร์” ก็มีน้ำหนักขึ้นในทันทีที่ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย ประกาศคำว่า “รัฐบาลพลัดถิ่น” ออกมาอย่างเต็มภาคภูมิ ระหว่างการปราศรัยผ่านดาวเทียมกับมวลมหาประชาชนที่กำลังชุมนุมทวงแผ่นดินคืนจากอำมาตย์ ณ เขาสอยดาว จันทบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๓

ผมทราบว่าหลายท่านน้ำตาไหล และหลายท่านหายใจอย่างโล่งอกว่า นี่แหละเกียรติภูมิที่ควรเป็นของขบวนการประชาธิปไตย

ตัวผมนั่งอยู่อีกมุมโลกหนึ่ง รู้สึกประหนึ่งว่าเราชนะแล้วด้วยซ้ำไป

รัฐบาลพลัดถิ่นคืออะไร ทำไมสำคัญถึงขนาดนี้ เราจะจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้จริงหรือ ทั่วโลกเขาจะเอากับเราหรือ?

ผมได้ยินคำถามดังออกมาจากหัวใจของพวกเราที่ร่วมต่อสู้และปรารถนาจะเห็นชัยชนะอย่างไม่มีเงื่อนไขของฝ่ายประชาชน วันนี้ต้องตอบคำถามเหล่านั้นให้ชัดเจนหรืออย่างน้อยต้องลดความสงสัยลงบ้าง

รัฐบาลพลัดถิ่น หรือ government-in-exile เป็นวิถีทางต่อสู้อย่างหนึ่งของขบวนการการเมืองในแต่ละประเทศ เมื่อการต่อสู้ในประเทศตนไม่อาจเป็นไปได้แล้ว โลกหรือประชาคมระหว่างประเทศ โดยองค์การสหประชาชาติคือผู้ประกันสิทธิตามธรรมชาติในข้อนี้ของขบวนการการเมืองใดๆ ที่ได้รับการสนับสนุนอย่างบริสุทธิ์ใจจากมวลชนจำนวนมากในประเทศนั้นๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นกลไกการต่อสู้ที่โลกยอมรับ และถือเป็นการรณรงค์ทางการเมืองโดยสันติวิธีอย่างหนึ่ง

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงไม่ใช่รัฐบาลเถื่อน

มิหนำซ้ำ หากรัฐบาลนั้นๆ ตั้งขึ้นบนความยอมรับนับถือของประชาคมระหว่างประเทศและได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอในประเทศของตนแล้ว ยังเกิดผลอีกอย่างหนึ่งคือทำให้รัฐบาลที่มีอยู่เดิม ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามในขณะนั้น หมดสิ้นความชอบธรรมลงไปทันที มหาประชาชนจะฉุดกระชากลากลงมาจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเสียเมื่อไหร่ก็ได้

ครับ ถ้า ดร.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นมาได้สำเร็จ รัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รัฐบาลปีย์ รัฐบาลเปรม และรัฐบาลเขายายเที่ยงบวกกับตาเที่ยง หรือรัฐบาลเวรกรรมใดๆ ที่มาจากการปล้นอำนาจรัฐจากประชาชนด้วยกำลังกองทัพ ตุลาการวิบัติ หรือองค์กรอิสระ (แต่เป็นทาสอำมาตย์) จะกลายสภาพเป็นรัฐบาลเถื่อนในทันที

การจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นคำประกาศว่าใครคือรัฐบาลตัวจริง

รัฐบาลตัวจริงหมายถึงรัฐบาลที่มีความชอบธรรมอย่างแท้จริง และรัฐบาลมีฐานประชาชนหนุนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่รัฐบาลที่มีคนเรียกฝ่ายตุลาการออกมาวางแผนปล้นให้ ไม่ใช่รัฐบาลที่คอยแก้ไขปัญหาปากคอกอย่างเพลี้ยสีน้ำตาล หรือทะเลกัดเซาะชายฝั่งที่ปักษ์ใต้ โดยไม่ได้แก้ไขปัญหาจากเหตุปัจจัยหลัก เพราะทำเพียงเพื่อจะหาทางผันงบประมาณออกมาใช้กันให้อ้วนท้วนไปตามๆ กันเท่านั้น

ที่มาของรัฐบาลก็ต้องชอบธรรม การทำงานในขณะเป็นรัฐบาลหรือขณะที่ถืออำนาจรัฐอยู่ก็ต้องชอบธรรม เรียกว่าชอบธรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าและยาวนานตลอดวาระการดำรงตำแหน่ง

รัฐบาลเฮียดึงหรือเจ๊ดันอย่างรัฐบาลของพลเอกสุรยุทธ์ และนายอภิสิทธิ์จึงขาดชอบธรรมอย่างเด็ดขาด จะดูที่มาของรัฐบาลหรือวิธีการใช้อำนาจรัฐ ก็ขาดด้วนหมด

ไม่ต่างอะไรจากคนเป็นสมีปาราชิก แต่ไปหลอกสาธุชนว่าเป็นพระ ให้ศีลให้พรคนจนยุ่งไปหมด เผลอๆ ยังหน้าด้านไปทำหน้าที่อุปัชฌาย์หรือเป็นพระพี่เลี้ยงนวกะสร้างพระใหม่อีกต่างหาก

แล้วจะตั้งได้หรือ รัฐบาลพลัดถิ่นที่ว่านี้?

เจ้าของประเทศไทยคือประชาชนส่วนมากอาจจะยังไม่ทราบว่า วันที่เราถูกปล้นอำนาจรัฐในวันอังคารที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราเกือบจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นกันแล้ว ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีของเราก็อยู่ที่องค์การสหประชาชาติ พร้อมกับผู้นำทั่วโลกอีกมากมาย ต่างฝ่ายต่างมาร่วมประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติประจำปีกันในโอกาสนั้นทั้งสิ้น

เลขาธิการสหประชาชาติในเวลานั้นคือนายโคฟี่ อันนัน ก็ย้ำคำเชิญให้นายกรัฐมนตรีทักษิณขึ้นกล่าวปราศรัยตามกำหนดการเดิม โดยไม่คำนึงถึงการรัฐประหาร เป็นการประกาศด้วยเสียงดังฟังชัดว่า องค์การสหประชาชาติยอมรับรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ไม่รับรัฐบาลที่ซากเดนศักดินาร่วมกันตั้งขึ้นในเมืองไทย

เราสามารถตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้อย่างง่ายดายราวดีดนิ้ว

เหตุที่ไม่ได้ตั้ง เพราะเจตนาในขณะนั้นคือความสมานฉันท์ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ในขณะที่ “สติ” ยังตามไม่ทัน “จิต” ไม่รู้ว่าเขาพูดคำว่าสมานฉันท์แบบย้ำๆ ยานๆ เพื่อให้มีเวลาบรรจุกระสุนปืน หรือไม่ก็มีเวลาผสมยาพิษให้เต็มแก้ว

เรียนปริญญาตรีก็ใช้เวลาในราว ๔ ปี ปีแรกอาจไร้เดียงสา ทำตัวเหมือนอยู่ชั้นมัธยม ปีสองและปีสามแก่กล้าขึ้นบ้าง ทั้งในทางปัญญาและอารมณ์ จนถึงปีสี่ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนจบ ถึงขั้นจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นได้ก็ถือว่าประเสริฐ ไม่มีอะไรสูญเปล่า

สามปีที่ผ่านมาคือช่วงเวลาบ่มเพาะ ทั้งความพร้อมเพรียง และความมั่นใจในตัวเองของขบวนการประชาธิปไตย เรารักกัน เราทะเลาะกัน เราเห็นด้วย เราเห็นแย้ง เราขาดความเชื่อมั่น เราเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา ในที่สุดเราก็เดินมาถึงยุทธศาสตร์เดียวกัน

ถึงวันนี้ใครที่ถือยุทธศาสตร์คนละเล่มก็ถือว่าอยู่กันคนละสนามแล้ว ถ้าสามปียังคิดไม่ได้ ก็คงไม่ต้องคิด เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่จะเป็นไพร่และเป็นทาสต่อไปเหมือนนกติดยาในกรงเหล็กที่เขาขังไว้ขายคนชอบปล่อยนก

แต่เราจะไม่ยอมให้คนเหล่านั้นเข้ามาทำลายยุทธศาสตร์หลักของเราเป็นอันขาด

รัฐบาลพลัดถิ่นเป็นสิ่งที่ทำได้ และต้องทำเมื่อเกิดเงื่อนไขที่เหมาะสมในทางการเมือง

การยึดอำนาจรัฐประหารเป็นเพียงเหตุผลหนึ่งเท่านั้น

ตุลาการภิวัฒน์ ซึ่งแปลว่าสังคมขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง มนุษย์ทุกคนมิได้เสมอภาคกันตามกฎหมายอย่างที่เขาโฆษณาชวนเชื่อ ก็เป็นเหตุได้

การใช้ความรุนแรงกับมวลมหาประชาชนที่ใช้สิทธิ์ในการประท้วงอย่างสงบ สันติ และปราศจากอาวุธ ก็เป็นเหตุได้

การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง อย่างคำกล่าวของผู้บริหารองค์การตรวจสอบสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Human Rights Watch ที่ว่า “...ถึงบางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของนายอภิสิทธิ์กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชนและนิติธรรมในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง...” หรือ “...ประชาธิปไตยในประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวได้ปกคลุมสังคมอินเตอร์เน็ต เนื่องจากการที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เพิ่มระดับการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น...”

สภาพความพิการล่าสุดของเมืองไทยภายใต้อำมาตย์อย่างนี้ ก็เป็นเหตุได้

รัฐบาลพลัดถิ่นจึงเป็นสมบัติสาธารณะ และเป็นกลไกของเราในฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ต้องไปฟังความเห็นของเหล่าขี้ข้าอำมาตย์ในรัฐบาลหรอกครับ เพราะเราไม่ได้ต้องพึ่งอะไรเขาในการจัดตั้ง

ถึงเวลาอันเหมาะสม เราตั้งได้แน่ครับ.

โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา: คอลัมน์ผมเป็นข้าราษฎร นสพ.วิวาทะ ไทยเรดนิวส์ ฉบับที่ 35

ธงที่ตั้งไว้! ของการ ‘ปฏิวัติ’


กลิ่นการปฏิวัติโชยมาเป็นระยะๆทำเอา “บิ๊กทหาร” ออกมาปฏิเสธภาคเสธ เป็นแถวเป็นแนวแต่การที่ทำให้ประชาชนได้เห็นรถหุ้มเกราะออกมาวิ่งเพ่นพ่านมันก็เป็นอะไรที่น่าจับตาดูมิใช่น้อยคล้ายๆ กับทหารกำลังตีกลองเรียงแถวอย่างไรชอบกลโพลล์สำรวจออกมา...ประชาชนไม่ปรารถนาที่จะให้ประเทศไทยมีการ

ปฏิวัติในช่วงนี้แต่ประการใดเพราะนั่นย่อมไม่ใช่ทางออกที่ดีอย่างแน่นอน...ประเทศจะเสียหายเสียโอกาส เพราะอย่าลืมว่า...การปฏิวัติในแต่ละครั้งนั้นจะต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างเป็นรูปแบบและปัจจัยแต่ก็ไม่แน่เพราะการปฏิวัติ เมื่อ 19 ก.ย. 49 ยังมีองค์ประกอบที่เปลี่ยนไปได้สมัยก่อนปฏิวัติครั้งหนึ่งเขาจะมีเหตุผลซึ่งเหมือนเป็นธรรมเนียมบางอย่างในการกล่าวอ้างเพื่อความชอบธรรมในการปฏิวัติ และมีการปฏิบัติที่ชัดเจนนั้นก็คืออ้างว่า...การบริหารงานของรัฐบาล

ทุจริตคอร์รัปชั่นมากยกเลิกกฎหมายเก่า จัดทำกฎหมายใหม่ ที่เราเรียกว่ารัฐธรรมนูญยุบพรรคการเมืองทุกพรรคพร้อมยึดทรัพย์สินของพรรคการเมืองเป็นของแผ่นดินและห้ามนั่งคุยเรื่องการเมืองโดยเกิน 5 คนขึ้นไป สิ่งนี้คือธรรมเนียมของนักปฏิวัติที่เขาทำกันมาตั้งแต่หลัง พ.ศ.2475 แต่เมื่อมีการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย. 49 ที่ผ่านมานั้น...มีแค่เพียงสองข้อที่ได้กระทำและในที่สุดก็มีการ ยุบพรรคไทยรักไทยโดยใช้กฎหมายที่เพิ่งเขียนขึ้นมาดำเนินการนั่นคือ ธงที่ตั้งไว้เมื่อคราว

ก่อนกลิ่นโชยถึงการปฏิวัติวันนี้...อาจจะมีธงที่แปลกใหม่ที่ตั้งเอาไว้ และก็ไม่รู้ว่าจะมีการเปลี่ยนธรรมเนียมข้อแรกของการปฏิวัติหรือไม่?เพราะรัฐบาลพันธุ์ผสมชุด นี้ได้ปฏิสนธิในค่ายทหาร คงจะไม่มีการกล่าวหารัฐบาลในข้อกล่าวหาว่าคอร์รัปชั่นก็อาจเป็นไปได้ทั้ง ๆ ที่มี ใหเห็นอยู่ทั่วไป แต่มีอีกมุมหนึ่งที่ตั้งข้อสงสัยกันว่า ขงเบ้งเมืองไทย อย่าง“บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เงียบหายไปไหน ดูสงบเงียบผิดสังเกตซึ่งโบราณเขาก็สอนเอาไว้ว่า...ทะเลเงียบจากคลื่นลมเมื่อไหร่ประเดี๋ยวคลื่นใหญ่จะมา

หรือว่า “บิ๊กจิ๋ว” กำลังใช้วิชากำลังภายในแบบขงเบ้งจริงๆเปิดเมืองนั่งตีขิมล่อศัตรู ให้เข้ามาติดกับดักวิชาค่ายกลอะไรบางอย่างมาถึงวันนี้ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน ประกาศชัดว่า...รัฐประหารเมื่อไหร่ได้เจอกัน... ใครที่คิดห้าวจะทำการปฏิวัติในวันนี้จะร้อนๆหนาวๆ ในทรวงพอสมควรมิเช่นนั้นคงจะทำไปนานแล้ว...เพราะถ้าหากได้เห็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชนแท้ๆ ที่ไม่ฝักฝ่ายใดออกมาเดินบนถนน แล้วต่อต้านแทนการเอาดอกไม้

มาให้ คงจะต้องคิดหนักพอสมควรเพราะหากมีการปฏิวัติจริงๆ เท่ากับว่า...ทหารถอดหมวกเปิดหน้าเดินเข้าหาประชาชนอย่างแน่นอน และเป็นการเปิดหน้าที่ต้องพบกับการต่อต้านหลายฝ่ายอย่างแน่นอนซึ่งอย่าลืมกันว่า...อะไรก็ตามที่จะทำกันมักจะปฏิเสธก่อนเสมอว่า ไม่มี...ไม่มีการปฏิวัติแน่นอน แต่ท้ายสุดก็ “กลืนนํ้าลายตัวเอง” เป็นอย่างนี้มากี่ครั้งแล้วและมาถึงวินาทีนี้...หากให้อ่านเกมก็ต้องบอกว่าต้องอ่านกันแบบ เสี้ยววินาทีต่อวินาทีแต่ในใจลึกๆ ไม่อยากให้มี

การปฏิวัติแน่นอน...แต่ที่สุดแล้วเชื่อเหลือเกินว่าโอกาสที่น่าจะเป็นไปได้ “มีสูง”แต่จะด้วยวิธีไหนรูปแบบใด เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วใครจะเป็นผู้นำ คงไม่ต้องบอกน่าจะพอๆ เดากันได้ในโลกแห่งความเป็นจริง...ไม่เคยเห็นปฏิวัติของชาติไหนๆในโลกจะสามารถแก้ไขวิถีแห่งการเมืองได้เลย เพราะอย่างที่บิ๊กทหารท่านหนึ่งพูดมานานแล้วนั้นแหละคือสัจธรรมของจริงปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง! 
ที่มา:บางกอกทูเดย์

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

อำนาจศาลปกครองที่มีต่อคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.


"กฎหมาย ป.ป.ช.ระบุไว้ว่ากระบวนการอุทธรณ์ทำได้เฉพาะเรื่องการลงโทษของผู้บังคับบัญชา แต่ไม่สามารถที่จะไปอุทธรณ์มติที่ ป.ป.ช. ผมทราบดีว่าทาง ก.ตร.หรือผู้เกี่ยวข้อง อาจจะมีความไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ ป.ป.ช.ชี้ แต่ข้อเท็จจริงคือว่าระบบที่จะไปคานอำนาจกับ ป.ป.ช.นั้น บุคคลเหล่านี้ไปฟ้องร้องต่อศาลปกครอง ซึ่งในอดีตนั้นก็มีหลายครั้งที่ศาลปกครองนั้นกลับมติของ ป.ป.ช. "

จากคำกล่าวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ข้างต้นที่กล่าวย้ำในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"เมื่อ 17 มกราคมที่ผ่านมาทำให้ผมเห็นว่าคุณอภิสิทธิ์และอีกหลายๆคนน่าจะเข้าใจคลาดเคลื่อนในอำนาจศาลปกครองที่มีต่อคำวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. รวมถึงคณะกรรมการกฤษฎีกาเองก็ยังมีความเห็นเช่นเดียวกันว่าถ้าผู้ถูกลงโทษนั้นเห็นว่าการดำเนินการนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายก็มีสิทธิที่จะนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้ (บันทึกเรื่องเสร็จ ที่ 642-644/2552 ลว. 9 ต.ค.52)

จากบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้กำหนดบทบาทและอำนาจหน้าที่ของศาลปกครองและ ป.ป.ช.ไว้ ดังนี้

มาตรา 223 วรรคสอง “อำนาจศาลปกครองตามวรรคหนึ่งไม่รวมถึงการวินิจฉัยชี้ขาดขององค์กรตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญขององค์กรตามรัฐธรรมนูญนั้น”

มาตรา 250 “คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

...(3) ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงหรือข้าราชการซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ผู้อำนวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไปร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม รวมทั้งดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการในระดับที่ต่ำกว่าที่ร่วมกระทำความผิดกับผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวหรือกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือกระทำความผิดในลักษณะที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเห็นสมควรดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต....”

เมื่อเราพิจารณาจากบทบัญญัติข้างต้นดังกล่าวแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าการใดที่ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไต่สวนและวินิจฉัยโดยใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญแล้วศาลปกครองย่อมไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งก็ได้ยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเช่นเดียวกับกรณีของการวินิจฉัยให้ใบแดงใบเหลืองของ ก.ก.ต.ว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองเช่นกัน

แต่เมื่อไม่นานมานี้ศาลปกครองชั้นต้นได้เปลี่ยนแนวมารับพิจารณาคดีที่มีผู้มายื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองในกรณีที่หน่วยงานต้นสังกัดพิจารณาออกคำสั่งลงโทษทางวินัยร้ายแรงตามคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.โดยได้ตัด ป.ป.ช.ซึ่งเป็นผู้ฟ้องคดีออกไปยังคงเหลือแต่เพียงหน่วยงานต้นสังกัดของข้าราชการผู้นั้นและได้มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยนั้น ดังกรณีของ”โอ๋ สืบ 6” พ.ต.อ.ฤทธิรงค์ เทพจันดา อดีต ผบก.สส.บก.น.6 ที่ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองเชียงใหม่กรณีถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดทางวินัยร้ายแรงที่ปล่อยอันธพาลทำร้ายม็อบพันธมิตรหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์เมื่อปี 2549เป็นผลให้ ก.ตร.ได้มีคำสั่งปลดออกและศาลปกครองเชียงใหม่ได้พิพากษาเพิกถอนคำสั่งของ ก.ตร.นั้นเสีย ซึ่งต่อมา ป.ป.ช.ได้มีคำขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งให้พิจารณาคดีใหม่อีกครั้งหนึ่ง

จากที่กล่าวมานี้ก็หมายความการที่ศาลปกครองชั้นต้นรับพิจารณานั้นเป็นพิจารณาเฉพาะคำสั่งของหน่วยงานต้นสังกัดมิใช่การพิจารณาคดีต่อ ป.ป.ช.ซึ่งใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญถึงแม้ว่าในคำพิพากษาจะกล่าวถึงการสอบสวนที่มิชอบก็ตาม กอปรกับคดีนี้ได้มีการพิจารณาคดีขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งตามมาตรา 75 ของ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 ซึ่งยังไม่มีคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดเป็นบรรทัดฐานว่าศาลปกครองชั้นต้นจะสามารถพิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวเนื่องกับคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.ไว้ได้หรือไม่

อย่างไรก็ตามแม้ว่าคดีนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของศาลชั้นต้นใหม่และมีโอกาสที่จะขึ้นไปสู่ศาลปกครองสูงสุดก็ตาม ป.ป.ช.เองย่อมสามารถที่จะนำข้อขัดแย้งระหว่างอำนาจหน้าที่กับศาลปกครองขึ้นสู่การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 211ของรัฐธรรมนูญได้อีกเช่นกัน ดังเคยมีกรณีตัวอย่างที่ ก.ก.ต.เคยนำคดีที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 40 ที่ศาลปกครองรับไว้พิจารณาให้ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นอำนาจเด็ดขาดของ ก.ก.ต.โดยศาลปกครองไม่อำนาจพิจารณาพิพากษา จนเป็นเหตุให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 50 อย่างชัดเจนในมาตรา 223 วรรคสอง ทีได้ยกมาข้างต้นนั่นเอง

จริงอยู่โดยส่วนตัวผมเองไม่เห็นด้วยที่ให้อำนาจเด็ดขาดแก่องค์กรอิสระโดยไม่ถูกตรวจสอบ แต่เมื่อเป็นบทบัญญัติที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญแล้วตราบใดที่ไม่มีการแก้ไข เราก็ย่อมที่จะต้องปฏิบัติตาม หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ก็ย่อมที่จะร้องต่อองค์กรที่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดซึ่งในที่นี้ก็คือศาลรัฐธรรมนูญนั่นเอง มิใช่เลี่ยงไปว่าการดำเนินการของ ป.ป.ช.เป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542)มิใช่การใช้อำนาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ รัฐธรรมนูญก็บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งว่าการดำเนินการของ ป.ป.ช.ให้เป็นไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฯ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตัวรัฐธรรมนูญเองจะลงลึกไปในรายละเอียดได้ทั้งหมด

ส่วนผู้เสียหายจากคำวินิจฉัยของ ป.ป.ช.หากเห็นว่าเป็นการไต่สวนที่มิชอบหรือเกิดจากการกลั่นแกล้ง กระทำโดยสองมาตรฐานก็ชอบที่จะดำเนินคดีอาญาต่อ ป.ป.ช.เฉกเช่นกับที่ ก.ก.ต.ชุดพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ เคยถูกดำเนินคดีจนต้องติดคุกติดตารางคดียังคาโรงคาศาลมาจวบจนบัดนี้

ส่วน ป.ป.ช.เองก็ต้องแก้ข้อกล่าวหาของการเลือกปฏิบัติให้ได้ว่าเหตุคดีเสื้อสีหนึ่งเร็วเป็นพิเศษ คดีของอีกเสื้อสีหนึ่งยังอืดเป็นเรือเกลือไปไม่ถึงไหนสักที ซึ่งก็ยังไม่รวมถึงที่มาที่ไปของ ป.ป.ช.เองว่ามีความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ได้ปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฯว่าด้วยการถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนปฏิบัติหน้าที่แล้วหรือยัง เพราะแม้แต่พลเอกสนธิ บุณยรัตนกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหารซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง ป.ป.ช.ชุดนี้ยังต้องรับการโปรดเกล้าฯทั้งที่ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดกำหนดให้ต้องปฏิบัติ แต่ ป.ป.ช.แห่งกลับไม่ปฏิบัติทั้งๆที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องปฏิบัติโดยไปอ้างเหตุผลว่าได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ แต่ตัวรัฎฐาธิปัตย์เองกลับยังต้องรับการโปรดเกล้าฯ

อย่าลืมว่าการที่ตนเองจะวินิจฉัยลงโทษผู้อื่น ตนเองก็ต้องไม่มีแผลให้ถูกขุดคุ้ย การเมืองมาแล้วก็ไปโอกาสที่การเมืองจะพลิกผันเปลี่ยนขั้วมีได้ตลอดเวลา หากมัวแต่ให้ทุกข์แก่ท่าน ก็ระวังให้ดีว่าทุกข์นั้นจะถึงตัวเข้าสักวันเช่นกัน

ที่มา:ประชาไท
ชำนาญ จันทร์เรือง

รัฐประหารคือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ล่มสหภาพโซเวียต ศักดินาอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกัน

หากใครติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงปี 1991 ก็จะมีเหตุการณ์สะท้านโลกที่เปลี่ยนแปลงโลกให้เหมือนปัจจุบันนี้ หากไม่มีการ "รัฐประหารสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หัวเก่า" โซเวียตก็อาจยังไม่ล่มสลาย แต่ก็คงอ่อนแอไปมาก แต่โซเวียต วันนั้นก็อ่อนล้าลงมากแล้ว เหมือน "ศักดินาอำมาตย์" ไทยในวันนี้ นายกอบาร์เชฟ พยายามจะปะผุด้วยนโยบายกราสนอต และเปเรสทอยก้าคือการเปิดกว้างรับการเปลี่ยนแปลงทั้งแนวคิดและระบบเศรษฐกิจของโซเวียต


เมื่อมีนโยบายเปิดกว้างของกอร์บาเชฟ ก็เหมือนน้ำในเขื่อนที่ไหลทะลักลงมา การ วิพาร์กวิจารณ์ถึงความล้าหลังของระบอบคอมมิวนิสต์ ความไร้ประสิทธิภาพต่างๆ และประชาชนที่อดอยาก โซเวียตในวันนั้น ก็เหมือนกับ "คนจนนุ่งกางเกงในตูดขาด" ตัวเดียว ผอมโซแต่มือถืออาวุธร้ายแรง


ระบบที่ไปไม่ไหว แม้จะพยายามปรับปรุง แก้ไขตัวเองบ้าง ใช้บารมีบ้าง ก็เอาไม่อยู่


สุดท้ายสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตหัวเก่า ก็กลัวว่าจะสูญเสียอำนาจ ก็เลยเอากำลังทหารที่ตัวเองมีอยู่ไม่มากนัก ออกมาทำรัฐประหาร ยึดจุดสำคัญของพรรค และสมาชิกพรรคคนสำคัญเอาไว้ และต้องการดึงระบบกลับไปสู่ระบบเดิม


เท่านั้นเองมันก็เหมือน "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำให้อูฐหลังหักทันที

ประชาชนที่ทนไม่ไว้ก็ออกมาต่อต้าน นายบอริส เยลต์ซิน ประธานาธิบดีสาธารณรัฐรัสเซีย (หนึ่งในสาธารณรัฐของโซเวียต) ก็ออกมาปลุกระดมคนให้ออกมาต่อต้าน มีการชุมนุมประชาชนจำนวนมากในกรุงมอสโคว์ ประชาชนหลายกลุ่มเริ่มเข้าทำร้ายทหารฝ่ายรัฐประหาร เข้ายึดและทำลายรถถัง ห้อมล้อมรถถัง และยึดรถถังต่างๆ ไปได้ ทหารที่ออกมาร่วมรัฐประหารที่เป็นชั้นผู้น้อยต่างก็วางปืนเข้าร่วมกับประชาชนหมด


สุดท้ายที่ผมเห็นจากภาพในทีวีคือ กลุ่มทหารที่ภักดีต่อแกนนำคณะรัฐประหารหยิบมือสุดท้าย ก็ได้ยึดที่ทำการพรรคในกรุงมอสโคว์ เป็นที่มั่นสุดท้าย เพื่อสู้ตาย ประชาชนที่ลุกขึ้นปฏิวัติต่อต้านรัฐประหาร ร่วมกับกำลังทหารที่หันมาเข้าข้างประชาชน ก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปยังที่มั่นสุดท้ายของฝ่ายรัฐประหารที่กลายเป็นกบฏ และยอมแพ้ในที่สุด ผมยังเห็นภาพควันไฟที่ไหม้ตึกนั้นออก ซีเอ็นเอ็นอยู่เลย

และนั่นก็คือ ฟางเส้นสุดท้ายที่ "ล่มสหภาพโซเวียตอันยิ่งใหญ่" ไปจนได้

หลังจากนั้น จากรัฐประหารเพื่อรักษาสถานภาพเดิมของสหภาพโซเวียตเอาไว้ ก็เกิดการปฏิวัติประชาชนขึ้น มีเยลต์ซินเป็นผู้นำและมีการตั้งรัฐบาลของประชาชนขึ้น รัฐต่างๆ ในสหภาพโซเวียตก็แยกตัวออกไป เยลต์ซิน ที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลชั่วคราว ก็ได้ประกาศยุบพรรคคอมมิวนิสต์

ยึดทรัพย์สินของพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นของรัฐบาลกลางทั้งหมด

ศักดินาอำมาตยาธิปไตยของไทย ยังมีระบบการเมืองที่ล้าหลังมากกว่าคอมมิวนิสต์อีก มีทั้งความสองมาตรฐาน และความอยุติธรรมในสังคม รวมทั้งการสร้างความโง่เขลาบูชาเทพทั้งหลาย

วันนี้กลุ่มอำมาตยาธิปไตย ถูกรุกทางการเมืองกรณีเขายายเที่ยง และการรุกป่าสงวนเขาสอยดาว เปิดโปงให้เห็นธาตุแท้ของพวกที่อ้างคุณธรรม จริยธรรม ความดีงามบริสุทธิ์ผุดผ่อง วันนี้โดนเปิดให้เห็นถึงความน่าขยะแขยงและเลวทรามภายใน พวกเขาไม่มีอาวุธหรือ ข้ออ้างอะไรที่จะคุ้มหัวได้อีกแล้ว

พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจาก คิดแบบ “คอมมิวนิสต์หัวเก่า” ที่หมดทางไปแบบที่ผมว่า คือ “ยึดอำนาจทำรัฐประหาร” ใช้ความรุนแรงและอำนาจสยบการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ วันนี้ พวกเขาเหลือทางแค่นี้จริงๆ

จาการวิเคราะห์และข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้รอบข้าง ผมคิดว่าพวกเขาต้องทำรัฐประหารแน่นอน และเราก็ได้เห็นถึงสองครั้งในสัปดาห์เดียวแล้วว่า พวกเขาได้ลงมือแล้วจริงๆ แต่เกิดการกระด้างกระเดื่องของทหารชั้นผู้น้อย ไม่ยอมรับอำนาจที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเท่านั้น

มันจึงยังคงกลายเป็น รัฐประหารคุดอยู่

แต่พวกเขาก็คงต้องพยายามกันอีก ซึ่งผมก็ไม่สนใจแล้วว่าพวกเขาจะพยายามหรือไม่ อย่างไร เพราะหากจะทำ ผมและคนเสื้อแดงทั้งหลายที่ผมรู้จักต่างก็ท้าทายให้พวกนี้ก้าวเข้าสู่ “หลุมขวาก” เสียโดยไวแบบที่ รัฐประหารของพรรคคอมมิวนิสต์ ที่กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายโค่นล้มสหภาพโซเวียต

วันนี้ประชาชน “เหนื่อยและเหลืออด” เต็มทีแล้ว เหนื่อยที่จะยอมทนต่อไปอีก ไม่ว่าจะหาข้ออ้างเพื่อปกป้องอะไรก็ตาม วันนี้สิ่งเหล่านั้นประชาชนรู้สึก “หนักเกินไปแล้วที่จะต้องรับภาระ” เอาฟางเส้นนี้ขึ้นมาใส่ วันนี้หลังหัก แตกหักแน่นอน

วันนี้ไม่เหมือนปี 2549 ประชาชนได้ผ่านการเคี่ยวกรำ จัดตั้งกันมาอย่างยาวนานกว่าสามปีแล้ว มีการ เตรียมความคิดทางการเมืองกันอย่าง “ดีเยี่ยม” มายาวนานแล้ว

วันนี้หากใครรับรัฐประหารอีก อูฐจะหลังหักทันที

เครื่องมือที่จะต่อต้านรัฐประหาร จุดกระแสปฏิวัติประชาชนมีพร้อมอย่างสมบูรณ์แล้ว

อย่าคิดว่าประชาชนวันนี้ไม่รู้ความจริงว่าใครอยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะทำเนียนอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครอยากอุ้มอยากแบกให้หนักต่อไปอีกแล้ว

หากต้องการทำรัฐประหาร และมั่นใจว่าพวกตนจะคุมได้ จะหลอกประชาชนต่อไปได้ ก็ยินดีด้วยครับ

พวกเราชาวเสื้อแดงยินดีต้อนรับ

ฟ้าสีทอง ผ่องอำไพแน่นอน หากอยากลองดีกับประชาชน


-----------------------------------------------------
ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2553

"จตุพร"ปูดซ้ำ"ประยุทธ"นั่งหัวโต๊ะประชุมผบ.เหล่าทัพ–ตร. เสนอ"อานันท์"นายกฯ


เมื่อเวลา 14.30 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. แถลงว่า ตนได้รับรายงานว่ามีบุคคลกลุ่มหนึ่งเคลื่อนไหว เตรียมพร้อมก่อการปฏิวัติรัฐประหารจริง โดยเมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา ได้มีการประชุมลับของนายทหารระดับผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ พร้อมด้วยฝ่ายตำรวจ รวมถึงนักการเมืองซึ่งเป็นรัฐมนตรีจากพรรคใหญ่ มีบทบาทสูงในรัฐบาลเข้าร่วมด้วย 1 คน ที่กองทัพอากาศ ดอนเมือง โดยมี พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ.นั่งหัวโต๊ะประชุม เพื่อเช็คกำลัง ซึ่งในการประชุมได้สอบถามบรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหมดว่าจะให้ความร่วมมือหรือไม่ แต่ผบ.ทร.และฝ่ายตำรวจปฏิเสธ รวมถึงการมอบหมายให้กรมทหารราบที่ 21 ใช้กำลังจัดการแกนนำเสื้อแดงในเบื้องต้น แต่ก็ได้รับการปฏิเสธเช่นเดียวกัน


นายจตุพร กล่าวว่า ในการวางแผนเตรียมการยึดอำนาจครั้งนี้ได้วางตัวพล.อ.ประยุทธ เป็นผู้นำ เนื่องจากพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ต้องการเกษียณอายุราชการในตำแหน่งผบ.ทบ. ไม่ใช่ทรราชย์ แต่ขณะเดียวกันตัวเองก็สะสมทุกอย่างเพื่อรองรับบั้นปลายชีวิต อีกทั้งยังเป็นที่ชัดเจนว่าพล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้วางตัวพล.อ.ประยุทธ โดยดูได้จากกรณีที่นายทหารตบเท้าเข้าอวยพรครั้งล่าสุด แต่พล.อ.เปรม เลือกที่จะทักทาย พูดคุยกับพล.อ.ประยุทธ คนเดียว สำหรับกรณีที่ปรากฏว่ามีรถหุ้มเกราะถูกนำมาจอดทิ้งไว้ในจุดต่างๆ สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนเมื่อช่วงคืนวันที่ 25 มกราคม โดยกองทัพชี้แจงว่าเนื่องจากรถถังที่จะขนส่งไปปฏิบัติภารกิจเกิดเสียจึงจอดเพื่อรอซ่อมนั้น เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น


“ดังนั้นแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงจึงได้นัดหมายประชุมในวันที่ 27 มกราคมนี้เพื่อกำหนดวันไปชุมนุมหน้ากองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) เพื่อถามพล.อ.ประยุทธ อย่างลูกผู้ชายว่าท่านจะปฏิวัติหรือไม่ ก็คาดหมายว่าพล.อ.ประยุทธ จะตอบคำถามตรงไปตรงมา แต่พวกผมก็อยากท้าทายให้ปฏิวัติเลยด้วยซ้ำเพราะว่าจะได้จัดการในคราวเดียวกันให้จบไปเลย ซึ่งพวกผมพร้อมพลีชีพแลกประชาธิปไตย ทันทีที่มีการยึดอำนาจศาลากลางทุกจังหวัดจะเต็มไปด้วยคนเสื้อแดงและถนนทุกสายจะมุ่งสู่สนามหลวง ” นายจตุพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีปัจจัยอะไรบ่งชี้ให้มั่นใจว่าทหารเตรียมการยึดอำนาจ นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้อำมาตย์จวนตัวกันหมด อย่างเช่นพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรีและอดีตนายกรัฐมนตรี ถึงกับแอบไปทุบบ้านที่เขายายเที่ยงตอนกลางคืนเพื่อทำลายหลักฐาน ซึ่งจะปล่อยให้เสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าจะกุมสภาพได้ จึงต้องปฏิวัติก่อนที่คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ ทั้งนี้ตามรายงานข่าวที่ตนได้รับมาในที่ประชุมวันที่ 23 กราคม.มีคนหนึ่งเสนอกว่าปฏิวัติแล้วให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่เสียงส่วนใหญ่เสนอชื่อนายอานันท์ ปันยารชุน โดยจะแอบอ้างสถาบันเบื้องสูงเพื่อประโยชน์ตัวเอง เหมือนกรณี 19 กันยายน 2549 จึงจะไปถามพล.อ.ประยุทธว่า “มึงจะยึดอำนาจหรือเปล่า” แต่คาดว่าจะไม่มีการชุมนุมข้ามคืนเหมือนที่อื่นๆ

ที่มา:มติชนออนไลน์

ล่มปากอ่าวอีกแล้วนะตัวเอง




คำสั่งให้ทำปฏิวัติมีมาตั้งแต่ บ่ายโมงของวันที่ 25 มกราคม 53 ดีเดย์ ตีหนึ่ง .....แล้ว

จากเหตุการณ์เมื่อคืนนี้มีการเคลื่อนยานพาหนะ รถหุ้มเกราะ V150 จำนวนกว่า20คัน

(จริงๆมีมากกว่านั้นจอดที่ม.พัน4สนามเป้า)

เป็นแผนผสมรอย เพื่อทำการปฏิวัติ โดยอ้างว่าจะส่งซ่อม จริงแล้วนำจากภาคใต้มาแค่8คัน

ขันน็อคไม่กี่ตัวก็เสร็จแล้ว ส่วนอีก 10กว่านั้น จาก ม.พัน3 รอ,ม.พัน4 รอ สนามเป้า แท้จริงแล้วรถหุ้มเกราะ

ทั้งหมดนี้ซ่อนอยู่ที่ สนามเป้าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เพื่อปฏิวัติเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

การไปจอดอยู่ที่ บริเวณวัดเสมียนนารี เพราะใช้เป็นจุดรวมพล รับผิดชอบ บล็อคกรุงเทพฝั่งเหนือ ตามจุดต่างๆ

เพื่อสะกัดกำลังฝ่ายตรงข้ามเช่น บล็อคสะพาน พระราม7,สะพานที่ปากเกร็ดจำชื่อไม่ได้,สะพานปทุมธานี2,

หน้ากองทัพอากาศดอนเมือง,ส่วนรามอินทรา ร.11รับผิดชอบ เพื่อเปิดทางให้ พล.ร2จากปราจีนและสระแก้ว

มาพักกำลังที่ ร.11(ใช้ราบ11รวมพล,ใช้สนามเป้ารวมรถ)

เมื่อรถหุ้มเกราะไปบล็อคตามจุด แล้วจะมีรถบรรทุกทหารราบพร้อมอาวุธประจำกาย นำกำลังไปส่งยัง

จุดนัดต่างๆเหล่านี้

.สาเหตุที่ล่ม..เพราะกำลังทหารระดับ ผบ.ร้อย,จ่า,ไอ้เณร ไม่ยอมไปเบิกอาวุธที่คลัง ซึ่งเขาเปิดคอยอยู่..แปลกไหมท่าน?

คำสั่งให้จ่ายอาวุธ มีมาตั้งแต่เที่ยงวันแล้ว แต่ไม่ยักกะมีทหารไปเบิกเลย ซึ่งอาวุธเหล่านี้ มันขนมารวมกันที่ สนามเป้า!!!!!

....มันจึงล่มปากอ่าวเป็นครั้งที่ 2 ของอำมาตย์ รวมกำลังกันไม่ได้ บารมีของอำมาตย์กำลังจะหมดน้ำยาน้ำกามแล้ว

แล้วมาแถออกข่าว ว่านำไปซ่อม เอี้ยจริงๆๆๆๆ

....คนเสื้อแดงจงดีใจเถิดว่ายังมีมหารชั้นผู้น้อย ยืนอยู่เคียงประชาชนเป็นส่วนใหญ่ มีบางตัวเท่านั้นที่ยังขาดน้ำกาม

ของอำมาตย์ไม่ได้

การปฏิบัติตัวของทหารชั้นผู้น้อยใน 2 ครั้งที่ผ่านมา แม้จะไม่ได้ออกมาชุมนุมหรือแสดงตัว

แต่ก็เป็นการช่วยในทางอ้อมครับ

....................ขอปรบมือดังๆๆๆๆๆๆๆๆให้กับพวกท่าน และเราจะรำลึกนึกถึงเสมอครับ......................

จริงแล้วมีข้อมูลมากกว่านี้อีกมาก วันนี้รีบเขียนไปหน่อยเพื่อให้รู้ว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ 25 มกราคม 53

คราวต่อไป จะนำรายชื่อเหล่าผบ.พันและหน่วยกำลังต่างๆที่ร่วมมือกับอำมาตย์ และแผนการบล๊อค

จุดใดเพื่อสะกัดใครมาตีแผ่ให้ประชาชนรับทราบ

งานนี้ยังไม่จบครับมองไว้อย่ากระพริบเชียวนา และโปรดเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมรับสถานะการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้

และ เมื่อมันเดินถึงทางตันแล้ว เหล่าแกนนำคนเสื้อแดงรักษาตัวอย่างยิ่งยวดด้วย

........ด้วยรักและห่วงใยทุกท่านครับ...

ที่มา:ไทยฟรีนิวส์

การปฏิวัติของประชาชน ในประเทศไทย


โดย รศ.ดร.พิชิต ลิขิตกิจสมบูรณ์

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้ส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่า พร้อมแล้วที่จะแตกหักกับฝ่ายประชาธิปไตย

เพราะพวกเขาหมดเวลารอคอย และหมดทางเลือกที่จะเดิน การปราบปรามผู้รักประชาธิปไตยที่กำลังจะมาถึง จะนำไปสู่ “การปฏิวัติของประชาชน” ที่มวลชนผู้รักสันติไม่ได้ต้องการ แต่ฝ่ายเผด็จการนั่นแหละที่จะเป็นผู้ก่อขึ้น

ผลลัพธ์จะไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตัวของผู้ใด แต่จะกำหนดโดยพลวัตของประวัติศาสตร์ที่การเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากจะต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว

1. รัฐประหาร 19 กันยายน ที่ยังไม่เสร็จสิ้น

ในตลอดกว่าสามปีมานี้ ความผิดพลาดสำคัญที่สุดของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยคือ การก่อรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 อันนำมาซึ่งผลที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ถึงปัจจุบัน

นับแต่รัฐประหารปี 2500 เป็นต้นมา พวกเขาได้สถาปนาระบอบเผด็จการจารีตนิยมขึ้นมาอย่างมั่นคง โดยมีเปลือกนอกที่สลับกันระหว่างเผด็จการทหารที่เปิดเผย กับระบอบรัฐสภาที่มีรัฐบาลเลือกตั้งเป็นหุ่นเชิด

พวกเขาเผยโฉมหน้าที่แท้จริงที่เป็นเผด็จการ และก่อรัฐประหารแต่ละครั้ง เมื่อพวกเขาต้องใช้กำลังรุนแรงเพื่อแก้ไขความขัดแย้งกันเองในกลุ่มปกครอง หรือเพื่อปราบปรามประชาชน (เช่น รัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519)

หรือเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่บังเอิญมีนายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่พึงประสงค์ (รัฐประหาร 2534 และ 2549) หลังจากนั้น พวกเขาก็จะยอมให้มีระบอบรัฐธรรมนูญและรัฐสภา ใช้เป็นหน้ากากปกปิดใบหน้าปีศาจที่แท้จริงของพวกเขา เพื่อหลอกลวงทั้งประชาชนไทยและชาวโลก โดยเนื้อในอำนาจรัฐก็ยังคงเป็นการใช้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยอยู่เหมือนเดิม

ในอดีต พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างเด็ดขาดทุกครั้งในการรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลในระบอบรัฐสภา ภายหลังรัฐประหารแต่ละครั้ง พวกเขาก็ร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อในเป็นเผด็จการ ให้มีการเลือกตั้งและได้รัฐบาลหุ่นเชิดของตน ในขณะที่อดีตผู้นำรัฐบาลที่ถูกโค่นล้มไปแล้ว ล้วนหมดอำนาจและสถานะทางการเมือง โดยไม่สามารถย้อนกลับมาท้าทายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อีก พวกเขาจึงเชื่อมั่นว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จะเป็นเหมือนทุกครั้งในอดีต

แต่การณ์กลับไม่เป็นไปตามคาด เนื่องจากผู้นำรัฐบาลพรรคไทยรักไทยยังคงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากประชาชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท อีกทั้งผลสะเทือนของรัฐธรรมนูญ 2540 และผลสำเร็จของรัฐบาลช่วงปี 2544-2548 ทำให้เกิดการตื่นตัวทางประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนชั้นล่างจำนวนมาก ก่อตัวเป็นการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารขึ้นมาอย่างช้า ๆ

ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยไม่เข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจและดุลกำลังทางชนชั้นของไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภาคม 2535 เป็นต้นมา

พวกเขาจึงประเมินศักยภาพของอดีตผู้นำพรรคไทยรักไทยและการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐประหารต่ำเกินไป หลังจากยัดเยียดรัฐธรรมนูญเผด็จการฉบับ 2550 แล้ว ก็ให้มีการเลือกตั้ง โดยเชื่อมั่นว่า ด้วยการหนุนช่วยอย่างทั่วด้านจากกองทัพ หน่วยราชการ และองค์กรหุ่นตามรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์อันเป็นตัวแทนเผด็จการจารีตนิยมจะชนะเลือกตั้งเข้ามาจัดตั้งรัฐบาลได้ตามประสงค์ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคพลังประชาชนภายใต้การสนับสนุนของฝ่ายประชาธิปไตยชนะเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาได้

พวกเขาจึงต้องส่งกลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลืองออกมาสร้างสถานการณ์จลาจลบนท้องถนน ยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบิน สร้างสถานการณ์วุ่นวายเพื่อบั่นทอนรัฐบาล ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญทำลายพรรคพลังประชาชนและคณะรัฐบาล แล้วให้กองทัพก่อรัฐประหารเงียบ จัดตั้งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้สำเร็จในที่สุด อันเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของรัฐประหาร 19 กันยายน

การเคลื่อนไหวของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยโดยใช้เครือข่าย “สี่ขาหยั่ง” อันได้แก่ กลุ่มอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง พรรคประชาธิปัตย์ องค์กรรัฐธรรมนูญ และคณะนายทหาร ประสานร่วมมือกันทำลายรัฐบาลพรรคพลังประชาชน บรรลุเป็นรัฐประหารเงียบเมื่อเดือนธันวาคม 2551 จึงเป็นการต่อเนื่องของรัฐประหาร 19 กันยายนที่ยังไม่เสร็จสิ้นนั่นเอง


2. รัฐบาลเลือกตั้งที่อ่อนแอและทุจริตคือความจงใจของอำมาตยาธิปไตย

ระบอบรัฐธรรมนูญ 2550 และรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เป็นกรณีตัวอย่างรวบยอดที่แสดงถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงในการใช้ประโยชน์จากระบอบรัฐสภา โดยพวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตย

สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ รัฐสภาที่ประกอบด้วยพรรคการเมืองขนาดเล็กที่อ่อนแอ ให้มีรัฐบาลหุ่นเชิดไร้อำนาจที่แท้จริงในการบริหารแผ่นดิน แต่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจแฝงเร้นของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถและไม่อาจแก้ปัญหาของประชาชนได้ เต็มไปด้วยการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้งนั้นเป็นสิ่งชั่วร้าย นักการเมืองคือต้นเหตุแห่งปัญหาและความเลวร้ายทั้งปวง ประชาชนไม่อาจหวังพึ่งตนเองด้วยการใช้สิทธิทางประชาธิปไตยไปเลือกนักการเมืองที่มีความสามารถเข้ามาแก้ปัญหาของพวกเขา

สิ่งที่เผด็จการอำมาตยาธิปไตยต้องการคือประชาชนไทยที่เอาแต่ชูสองมือ เงยหน้าชะเง้อรอคอยความเมตตา “หยาดฝนจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน” จากพวกเขาที่เป็นผู้ปกครองอันเปี่ยมไปด้วยความกรุณา คุณธรรม จริยธรรม สุจริตขาวสะอาด และสูงส่งตลอดไปเท่านั้น

เราจึงได้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดของเผด็จการ เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถทางบริหาร เต็มไปด้วยวาทศิลป์ที่เป็นเท็จ การกอบโกยผลประโยชน์ และทุจริตคอรัปชั่น

ทั้งหมดนี้ นอกจากจะแสดงให้ประชาชนเห็นถึงความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภานั้นล้มเหลวดังกล่าวแล้ว จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของพวกเขาก็คือ ในเงื่อนไขที่เหมาะสม พวกเขาก็จะใช้ความล้มเหลวในการบริหารและทุจริตคอรัปชั่นของรัฐบาลเป็นข้ออ้างก่อรัฐประหารได้อีกครั้ง

พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยนั่นแหละที่เป็นต้นเหตุที่แท้จริงของความล้มเหลวของประชาธิปไตยและระบอบรัฐสภาในประเทศไทย เป็นที่มาของรัฐบาลเลือกตั้งที่ล้มเหลวและทุจริต นักการเมืองทรยศขายตัว และความเลวร้ายทั้งปวงที่ผู้คนหลงเข้าใจว่า เกิดจากระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม และในท้ายสุด พวกเขานั่นแหละที่เป็นรากเหง้าของรัฐประหารทุกครั้งที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2500

3. อำมาตยาธิปไตยมาถึงทางตัน

หนึ่งปีของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เต็มไปด้วยความล้มเหลวและทุจริตคอรัปชั่น ตลอดจนความอยุติธรรมเลือกข้างของกระบวนการยุติธรรมที่กระทำกันอย่างโจ่งแจ้งไร้ยางอาย ทำให้ประชาชนที่มีธรรมชาติที่รักความยุติธรรมไม่อาจทนนิ่งเฉยอยู่ได้ และกระตุ้นให้การเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมแผ่ขยายออกไปทั่วประเทศในหมู่ชนชั้นล่างทั้งในเมืองและชนบท

กรณี “สงกรานต์นองเลือด” มีผลเพียงทำให้ขบวนประชาธิปไตยชะงักงันไปช่วงสั้น ๆ แต่ก็สามารถฟื้นกลับมาได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำความอยุติธรรมที่รัฐบาล กองทัพ และกระบวนการยุติธรรมรวมหัวกันภายใต้การบงการของเผด็จการอำมาตยาธิปไตยทำการกดขี่ประชาชน เปิดเผยเนื้อแท้ของระบอบอำมาตยาธิปไตยว่า พวกชนชั้นปกครองและสมุนของพวกเขานั้นคือผู้บัญญัติและใช้กฎหมายที่แท้จริง

กฎหมายสำหรับพวกเขาจึงมิได้มีไว้เพื่อทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ในขณะที่กองทัพก็มิใช่กองทัพของชาติและประชาชน หากแต่เป็นเพียง “กองกำลังอาวุธส่วนตัว” ของกลุ่มเผด็จการอำมาตยาธิปไตย


ทั้งหมดนี้ได้ยกระดับความตื่นตัวรับรู้และสร้างความโกรธแค้นในมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง ขบวนการประชาธิปไตยยิ่งขยายตัว ประชาชนได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญว่า ประชาธิปไตยและความเป็นธรรมไม่อาจได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอ แต่ต้องได้มาด้วยการต่อสู้ของประชาชนเอง

แม้กระทั่งกรณี “การถวายฎีกา” ก็เป็นการแสดงเจตจำนงของประชาชนว่า ต้องการประชาธิปไตยและความเป็นธรรม


รัฐบาลประชาธิปัตย์ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการแย่งชิงมวลชนไปจากฝ่ายประชาธิปไตย ทุกวันนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์และนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดเป็นที่ดูถูก เยาะเย้ย เกลียดชังอยู่ทั่วไป ในขณะที่ความเรียกร้องต้องการรัฐธรรมนูญ 2540 และอดีตผู้นำไทยรักไทยให้กลับคืนมากลับดังก้อง

จึงเป็นที่แน่ชัดแก่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยว่า จะให้มีการเลือกตั้งในขณะนี้ไม่ได้เป็นอันขาด พวกเขาจะต้องไม่ยุบสภา และหากจำต้องยุบสภา ก็จะต้องไม่ให้มีการเลือกตั้ง

บัดนี้ ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยได้มาถึงทางตันแล้ว พวกเขาได้ใช้เครื่องมือในการปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยมาจนเกือบหมดสิ้น

ทั้งอันธพาลการเมืองเสื้อเหลือง กลไกตำรวจ ราชการ นักการเมืองทรยศขายตัว ในขณะที่การใช้กลไกกระบวนการยุติธรรมที่ผ่านมาก็มีข้อจำกัดคือ มีลักษณะจำกัดขอบเขต เชื่องช้า และไม่แม่นยำ

ในขณะที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ที่เป็นหุ่นเชิดก็อ่อนแอ ไร้ความสามารถ และขาดเอกภาพที่จะต่อกรกับอดีตผู้นำไทยรักไทยและขบวนประชาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประการสำคัญคือ พวกเขาตระหนักว่า “เวลาใกล้หมดแล้ว” ขณะที่ “เวลา” เป็นของฝ่ายประชาธิปไตย หากพวกเขาปล่อยให้สถานการณ์ประชาธิปไตยคลี่คลายไปดังเช่นหนึ่งปีที่ผ่านมา พวกเขาก็จะมีโอกาสน้อยลงเรื่อย ๆ ที่จะขจัดขบวนการประชาธิปไตยให้หมดไป

ที่ผ่านมา ได้มีสัญญาณบ่งชี้มาเป็นลำดับว่า ฝ่ายเผด็จการอำมาตยาธิปไตยกำลังเตรียมแผนการกันอย่างขมักเขม้นเพื่อปราบปรามประชาชนในขั้นเด็ดขาด พวกเขาให้บรรดานักการเมืองและนักวิชาการขายตัวที่เป็นสมุนรับใช้ของพวกเขา เรียงหน้ากันออกมาป่าวร้องกันอย่างเปิดเผยว่า “ประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง”

ให้สื่อสารมวลชนกระแสหลักทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ที่เป็นสมุนเผด็จการปลุกปั่นโฆษณาชวนเชื่อ ใส่ร้ายป้ายสีอันเป็นเท็จว่า ขบวนการประชาธิปไตยเสื้อแดงเป็น “พวกโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์” และ “ขบวนการสาธารณรัฐ”

การรื้อฟื้นกลุ่มอันธพาลเสื้อเหลือง การเคลื่อนไหวนอกสภาของนักการเมืองบางคนในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งการเคลื่อนไหวอย่างเปิดเผยขององคมนตรีบางคนและคณะนายทหาร เป็นต้น

พวกเขาพลาดโอกาสที่จะขุดรากถอนโคนขบวนการประชาธิปไตยไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสงกรานต์ปี 2552 แต่คราวนี้ พวกเขาจะไม่พลาดโอกาสนั้นอีกแล้ว!

4. “การต่อสู้เพื่อเสรีภาพของประชาชน”

เบื้องหน้าภัยจากการปราบปรามของเผด็จการอำมาตยาธิปไตย ฝ่ายประชาธิปไตยจะต้องไม่ประมาท หากแต่ตระเตรียมรับมือกับการรุกของเผด็จการ

การทำงานมวลชนขั้นพื้นฐานยังคงเน้นขยายฐานมวลชน จัดตั้งมวลชน เพิ่มจำนวนสมาชิก ก่อรูปคณะแกนนำหลัก และตระเตรียมคณะแกนนำสำรองในสถานการณ์ฉุกเฉิน เชื่อมต่อและสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ร่วมมือสามัคคี เน้นจุดร่วมที่มุ่งสร้างประชาธิปไตย สร้างแนวร่วมกับกลุ่มคนที่เห็นต่างที่ไม่ใช่สมุนอำมาตยาธิปไตย บริหารจัดการทรัพยากรคน วัสดุและการเงินที่มีอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ให้มีโครงสร้างการจัดตั้งและแผนงานสำรองสำหรับสถานการณ์สู้รบที่กำลังมาถึง

แต่ในขณะที่ขบวนการประชาธิปไตยกำลังเคลื่อนเข้าสู่ “สถานการณ์สู้รบ” การเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตยต้องยึดเป้าหมายทางการเมืองเฉพาะหน้าให้ชัดเจนคือ โค่นล้มระบอบเผด็จการอำมาตยาธิปไตย นำเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับคืนมา ขจัดอำนาจและกลไกรัฐธรรมนูญของอำมาตยาธิปไตย ที่เป็นอิทธิพลแฝงเร้นคุกคามรัฐบาลเลือกตั้ง และเป็นรากเหง้าของรัฐประหารมาทุกยุคสมัย

ในด้านยุทธวิธีการเคลื่อนไหว การรุกทางการเมืองจะต้องดำเนินไปพร้อมกับการตระเตรียม “รับ” ในสถานการณ์ที่ฝ่ายเผด็จการตัดสินใจใช้ความรุนแรง เพื่อจำกัดและลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด และเพื่อ “การรุกตีโต้กลับ” เมื่อฝ่ายเผด็จการดำเนินจังหวะก้าวที่ผิดพลาด

คณะแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) “แดงทั้งแผ่นดิน” ที่นำโดยประธานวีระ มุสิกพงศ์ ได้พิสูจน์ตนเองท่ามกลางการต่อสู้ที่ยืดเยื้อและเสี่ยงอันตรายแล้วว่า พวกเขาเป็นแกนนำที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อดทน ชาญฉลาด ยืดหยุ่นพลิกแพลง ไว้วางใจได้ และเสียสละอย่างสูง สมควรอย่างยิ่งที่ได้รับความรักและเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นจากมวลชนประชาธิปไตยทั่วประเทศ

ประชาชนไม่ว่าในที่ใดในโลกล้วนต้องการสันติและประนีประนอม เพราะพวกเขามีแต่สองมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ไม่มีกองทัพ กฎหมาย และกลไกยุติธรรมเป็นเครื่องมือ ประชาชนจึงปฏิเสธความรุนแรงเสมอมา ข้อเท็จจริงชี้ว่า ผลของความรุนแรงใด ๆ ที่เกิดขึ้นทุกครั้งในประวัติศาสตร์ในแต่ละประเทศทั่วโลกคือ การบาดเจ็บสูญเสียของฝ่ายประชาชนล้วน ๆ

แต่พวกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยของไทยก็เหมือนกับพวกเผด็จการในประเทศอื่น ๆ คือ แม้จะเห็นประสบการณ์ซึ่งเผด็จการในที่ต่าง ๆ ทั่วโลกในท้ายสุดล้วนต้องพ่ายแพ้ต่อประชาธิปไตย แต่เผด็จการในทุกประเทศก็ล้วนเชื่อเหมือน ๆ กันว่า ประเทศตนเป็นข้อยกเว้นและจะสามารถฝืนกระแสประวัติศาสตร์ไปได้ พวกเขาจึงกระทำผิดพลาดซ้ำ ๆ เหมือนกันด้วยการปฏิเสธความต้องการของประชาชนและเชื่ออย่างผิด ๆ ว่า หากใช้กำลังเด็ดขาดเข้าปราบปรามฝ่ายประชาธิปไตยอีกสักครั้ง ใช้ความโหดเหี้ยมสยดสยองของอำนาจรัฐ ก็จะกำราบให้ประชาชนหวาดกลัวยอมจำนน และยืดอายุอำนาจเผด็จการของพวกตนออกไปได้อีก

เผด็จการอำมาตยาธิปไตยไทยจึงเชื่อว่า พวกเขาจะฝ่าวิกฤตคราวนี้ไปได้เช่นเดียวกับที่เขาทำสำเร็จมาแล้วจากการปฏิวัติ 2475 และกระแสประชาธิปไตยหลัง 14 ตุลาคม 2516 พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่า ในเวลานี้ เงื่อนไขของสังคมไทยและสังคมโลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง วันเวลาและ “สวรรค์” ของพวกเขาใกล้หมดแล้ว การลงมือปราบปรามประชาชนที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเป็นความผิดพลาดของพวกเขา และอาจจะลุกลามออกไปเป็น “การปฏิวัติของประชาชน” ที่พวกเขาไม่อาจเอาชนะได้

การปฏิวัติของประชาชนที่จะเกิดขึ้น จะดำเนินไป “จนถึงที่สุด” เพียงใดนั้นมิใช่ฝ่ายประชาชนเป็นผู้กำหนด หากแต่ขึ้นอยู่กับการกระทำของฝ่ายเผด็จการเอง หากพวกเขาไม่ยินยอมที่จะถอยออกไปแต่โดยดีและยังใช้กำลังรุนแรงต่อประชาชน การต่อสู้ของประชาชนก็จะดำเนินไปจนถึงที่สุดโดยตัวมันเอง โดยไม่มีแกนนำคนใด หรือแม้แต่อดีตผู้นำไทยรักไทยจะคาดหมายและควบคุมได้


นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวไว้เมื่อสองร้อยปีมาแล้วว่า “ประวัติศาสตร์ไม่ขึ้นอยู่กับเจตจำนงส่วนตนของปัจเจกชนคนใด” ไม่ว่าผู้นำจะคิดอย่างไร มีเจตจำนงทางอัตวิสัยอย่างไร มีความปรารถนาในทาง “สายกลางและประนีประนอม” สักเพียงใด หากไม่เป็นไปตามทิศทางของประวัติศาสตร์และความต้องการที่แท้จริงของมวลชนที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก ผู้นำเหล่านั้นก็จะตกขบวนในที่สุด


การต่อสู้ของประชาชนเพื่อไปบรรลุประชาธิปไตยนั้น ไม่ว่าในยุคใดสมัยใดและถิ่นฐานใด ล้วนแต่ยืดเยื้อยาวนาน ยากลำบากทั้งสิ้น การเคลื่อนไหวคืบหน้าไปแล้วก็ถดถอย แล้วก็คืบหน้าอีก สู้แล้วแพ้ ก็กลับมาสู้ใหม่ เป็นกระแสขึ้นและลง การชะงักหรือถดถอยอาจเป็นเพียงชั่วครู่ไม่กี่เดือนกี่ปี ไปจนถึงยาวนานหลายสิบปีในระหว่างนั้น เแม้ประชาชนจะถูกสกัดกั้น ถูกกดขี่ ถูกใช้กำลังรุนแรงปราบปราม บาดเจ็บล้มตาย กระทั่งนองเลือดอย่างสาหัส แต่การต่อสู้ของประชาชนก็ฟื้นกลับมาเป็นกระแสใหญ่ได้อีกทุกครั้งจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย

การต่อสู้ของประชาชนในสังคมและยุคสมัยที่ต่างกันอาจมีสาเหตุเฉพาะหน้าที่ต่างกัน แต่เหตุผลสำคัญที่สุดมีเพียงประการเดียวคือ “ประชาชนต้องการเสรีภาพ”

เรื่องที่ยังไม่เกิด

อดีตก็คืออนาคตของปัจจุบันทันทีที่...แกนนำเสื้อแดงประกาศว่า...จะทำสงครามแตกหักกับอีกฟากของความขัดแย้ง...มุมนํ้าเงินก็วางนํ้าหนักทันที...ด้วยสัจธรรมที่ว่า...ที่ใดมีการต่อสู้ ที่นั่นย่อมมีแพ้มีชนะในบางมุมของผู้พยากรณ์...นำเอาเรื่องราวของการเมืองวันนี้...ไปเทียบเคียงกับ “วันมหาวิปโยค”แล้วด่วนสรุปว่า...เสื้อแดงจะเป็นผู้ชนะสำหรับ ณัฐวุฒิ กับ จตุพร นั้น...ด้วยความที่เกิดไม่ทันกับเหตุการณ์ดังกล่าว...จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ในเรื่องราวของ วันมหาวิปโยค...ในรูปแบบของพงศาวดารหรือไตรภูมิพระร่วงแต่สำหรับ วีระ มุสิกพงศ์ แล้ว...น่าจะรู้จัก วันมหาวิปโยค...ในภาคของ...ความเป็นจริง...ไม่ใช่ ความจริงวันนี้

แต่เป็นความจริงเมื่อวานนี้ต้องให้ จาตุรนต์ ฉายแสง...ถามไถ่ไปยัง อนันต์ฉายแสง...ผู้บิดา...ที่เป็นผู้ใกล้ชิดกับ พลตำรวจเอกประเสริฐ รุจิรวงศ์ แล้ว...ถึงจะรู้ว่า...กำเนิดของวันมหาวิปโยค นั้น...มันถูกประพันธ์ขึ้นก่อนจะเป็นเรื่องจริงมองผิวเผินแล้ว...สงครามระหว่างประชาชนกับกองทัพ หากจะเกิดขึ้นมาใหม่...กับที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว...อาจจะดีเหมือนกันแต่หากรู้จริงถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ...ของวันมหาวิปโยคแล้วมันแตกต่างกันแบบฝ่ามือกับหลังเท้าครั้งก่อน...

อำมาตย์ กับ พลังนักศึกษา และประชาชนร่วมกันกับคนในแกนแห่งเผด็จการ...ร่วมกันกระทำการล้มล้าง...จอมพล ถนอม กิตติขจร-จอมพล ประภาสจารุเสถียร และครอบครัว...พลเอก กฤษณ์ สีวะรา พลตำรวจเอก ประเสริฐรุจิรวงศ์ พลอากาศเอก ทวี จุลละทรัพย์...เป็นตัวหลักในการเกิดขึ้นของวันมหาวิปโยค...และ พลเอก กฤษณ์ สีวะรา...ในวันพิชิตชัย...เขาดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก...ขบวนการนักศึกษาและปัญญาชน...ระดับผู้นำจำนวนหนึ่ง...ถูกสร้างขึ้นมาโดย

พลตำรวจเอก ประเสริฐ รุจิรวงศ์...และวันมหาวิปโยคจะไม่มีวันเกิดขึ้นหากว่า...ผู้บัญชาการทหารบก...ยังเป็น จอมพล ประภาสจารุเสถียร...พลเอก กฤษณ์ สีวะรา...บอกกับฝ่ายของเขาในสวนรื่นฤดีว่า...เดี๋ยวพอพวกมันขึ้นฮอไป พวกเด็กๆ ก็เลิกวันมหาวิปโยคในเนื้อหาแกนใน...ไม่ใช่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ทั้งหมด...จึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้กับ...เรื่องในปัจจุบัน...มันต่างกันที่...เหตุการณ์และตัวละครทันทีที่มันเริ่มขึ้น...จะไม่มีใครรู้คำตอบ.

โดยพญาไม้ทูเดย์

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ยงยุทธ ติยะไพรัช...กับบทบาทเชิงลึก‏


มีคนเล่าให้ฟังว่า พอเห็นภาพอดีตประธานสภา ยงยุทธ ติยะไพรัช นั่งข้างนายกทักษิณอย่างสง่าผ่าเผยที่ดูไบในวันอวยพรปีใหม่พรรคเพื่อไทย หลายคนรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันทีทันควัน เพราะคนส่วนมากไม่รู้ว่าท่าน ส.ส.จากเชียงฮาย (อ.แม่จัน) มีบทบาทขนาดไหนในการต่อสู้ของท่านทักษิณ

ก็คงต้องสาธยายให้ฟังกันมั่ง เดี๋ยวจะเชยกันไปใหญ่โตมโหระทึก

ถึงวันนี้แล้ว ใครร่วมขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและไม่รู้บทบาทของเสี่ยยงยุทธ เปรียบได้กับกินน้ำพริกที่ไม่เผ็ด ไม่มีทางแซ่บอีหลี เลียพื้นซีเมนต์เล่นยังอร่อยกว่าเลยคุณ

คนชื่อยงยุทธวันนี้ สำคัญและมีความหมายหลาย ๆ เอาว่ามากกว่างูเห่าปากห้อยสมัยก่อนหลายเท่าตัว


สมัยก่อนก็เหมือนกัน คนไม่ค่อยรู้ว่านายเนรคุณน่ะเขามาสาย “นายหญิง” ไม่ใช่สาย “นายใหญ่” แต่อยู่ไปอยู่มาก็เริ่มเบียดคนที่ “นายใหญ่” เขาใช้ใกล้ชิดชนิดแนบแน่นคือ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” คนนี้ก็รักนายมาก พอทำท่าจะเป็นศึกสายเลือดขึ้นมาแกก็ไม่แข่งด้วย ยกความดีให้นายปากห้อยแกไปหมด จนผู้คนนึกว่านายห้อยนี่เป็นตัวกุมยุทธศาสตร์หลัก

เอาแต่ตัวอย่างเดียวก็พอมั้ง เวทีต่อต้านพวกพันธมิตรที่สวนจตุจักรน่ะ ใคร ๆ ก็นึกว่าเนรวินเป็นคนทำ
ความจริงคนทำชื่อ ยงยุทธ

ยาวมาจนถึงช่วงปี 2549 ที่ฝีเกือบจะแตกแล้ว คนชื่อยงยุทธคือรัฐมนตรีเดียวที่เตรียมการต่อสู้อย่างเป็นน้ำเป็นเนื้อ (ขนาดเตรียมกองกำลัง) ในขณะที่คนอื่นๆ พากันเสวยสุขหรือขอเกาะขากางเกงนายลูกเดียว แต่ก็โดน “เตะตัดขา” จากนายพลฝ่ายเราเอง นัยว่ากลัวจะมาแย่งบทบาทเด่นดังไป ก็ไอ้นายพลประเภทดาวหนักบ่า หาผลงานอะไรเป็นสับปะรดขลุ่ยไม่ได้นี่แหละ พอเขายึดอำนาจก็เดี้ยง ใบ้รับประทานไปตาม ๆ กัน ถ้าปล่อยให้ท่านยงยุทธเดินได้ตามที่วางหมากไว้ คงไม่ต้องมานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่ากันเดี๋ยวนี้หรอ

คนวงในรู้ดีเหลือเกินว่า นายกทักษิณท่านมีของท่านหลายวง แต่วงที่ใกล้ตัวที่สุดและเป็นวงในที่สุดของที่สุด ต้องมียงยุทธ
ติยะไพรัชอยู่ด้วยทุกครั้ง เหตุผลก็เพราะเขาผู้นี้สร้างผลงานจนนายใหญ่ยอมรับและไว้ใจอย่างไม่มีเงื่อนไข

ไม่ต้องแปลกใจที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์แท้ ๆ (สำคัญขนาดเทพเทือกมากล่อมให้กลับรังเดิมตั้งหลายหน) แต่นายกทักษิณไว้ใจให้เป็นโฆษกรัฐบาล เลขาธิการนายก รัฐมนตรีทรัพยากร และที่สุดให้ขึ้นแท่นในฐานะประมุขสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติคือประธานรัฐสภา

ตอนไทยรักไทยถูกยุบแล้วมาตั้งพรรคพลังประชาชน ก็ให้มานั่งแป้นรองหัวหน้าพรรคอันดับหนึ่ง โดย “ลุงหมัก” (ผู้ล่วงลับ) ประกาศในฐานะหัวหน้าพรรคว่าจะไม่บริหารงานใด ๆ ในพรรคเลย ก็แปลว่ารองยงยุทธในวันนั้นก็คือหัวหน้าพรรคพลังประชาชนตัวจริงนั่นแล การขึ้นแป้นเป็นประธานรัฐสภาบอกเป็นสัญญาณทางการเมืองอยู่แล้วว่าเขามีความสำคัญใน
ทางการเมืองขนาดไหน

ไอ้พวกลูกอีดอกทั้งหลายในฝ่ายอำมาตย์มันก็รู้อย่างนี้แหละ มันถึงได้วางแผน “ซิว” จนต้องออกจากตำแหน่งประธานสภา แถมยังเอาเรื่องตอหลดตอแหลมากล่าวหาจนยุบพรรคพลังประชาชนได้อีกต่อหนึ่ง

สมุนอำมาตย์ชาติ “วรนุช” พวกนี้มันรู้ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช อยู่ในฐานะแม่ทัพของขบวนการใหญ่ ก็ต้องเชือดเสียก่อนจะได้สำแดงฤทธิ์

ทวนความหลังกันเบาะๆ ไม่ถึงกับเตียงๆ กันอย่างนี้ เพื่อให้รู้ว่าวันนี้คนชื่อยงยุทธกลับมากุมงานหลักของแม่ทัพทักษิณ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์อันใดดอก แล้วถ้าจะมีบทบาทต่อไปชนิดที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ ก็ไม่ต้องวี้ดว้าดกระตู้วู้กันหรอกท่านสาธุชนและพุทธบริษัททั้งหลายเอ๋ย

อำมาตย์มันไม่รู้หรอกว่า เอาคนชื่อยงยุทธออกจากตำแหน่ง และกดดันให้อยู่ห่างพรรคเพื่อไทยอย่างนี้
ก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า มันส์พ่ะย่ะค่ะเลยทีเดียวเจียว

น่าแปลกใจก็อีตรงที่ว่า ยงยุทธ ติยะไพรัช เป็นผลผลิตของระบบพรรคการเมืองแท้ ๆ ต่อสู้มาจนลูกชาวบ้านแม่จันได้เป็นผู้แทนราษฎรใหญ่โต แต่วันนี้เขาไม่ยี่หระเลยกับตำแหน่งและบทบาทสำคัญๆ ในพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะถูกตัดสิทธิ์การเมืองห้าปี มันมีทางเล็ดรอดได้อยู่แล้วถ้าจะเอาจริงๆ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเกิดประกายสว่างบางอย่างขึ้นในหัวว่า ของพรรค์นี้มันไม่สำคัญอะไรหรอก มาต่อสู้กันให้ถึงพริกถึงขิงกันดีกว่า ระหว่างประชาชนกับอำมาตย์

ไม่น่าแปลกใจที่พี่น้องจากนรกสองคน คือพลเอกสมเจตน์และพลตำรวจโทสมคิด โคตรเดียวกันคือบุญถนอม มันถึงได้ไล่ล่าอดีตประธานสภาคนนี้ชนิดพลิกแผ่นดิน เพราะ “แม่” มันรู้ว่าคนๆ นี้สำคัญและ “แม่” มันก็สั่งให้เอาตัวมาให้ได้

นายกทักษิณท่านก็รู้ว่าใผเป็นใผ ตอนแรกทำท่าจะไปไม่ถูก พอเนรวินมันหักหลังหักหน้าไป แต่พอนึกขึ้นได้ว่าไอ้ปากห้อยมันก็เด็กสร้างของคนชื่อยงยุทธ ก็เลยหยุดกลุ้มใจ ใช้คนชั้นนายพลอย่างยงยุทธไปเป็นแม่ทัพอย่างเหมาะสม ให้พลทหารเลว ๆ มันไปภูมิใจแมวไกล ๆ ที่อื่น

เมื่อชัดเจนแจ่มแจ๋วอย่างนั้น งานก็เดิน เดินปรู๊ดปร๊าดจนขบวนการประชาธิปไตยกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่จนเดี๋ยวนี้ผู้คนมีกำลังใจขึ้นเยอะ

บอกแล้วไงว่า ขบวนประชาธิปไตยมันเหมือนรถไฟขบวนใหม่ แล่น ๆ มันก็ติดขัดมั่งอะไรมั่ง ต้องเปลี่ยนเอาโบกี้นี้ออกหรือเอาอันโน้นเข้ามั่ง ถือว่าธรรมดา แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของมือที่เอื้อมมาช่วยสลับสับเปลี่ยนจนทุกอย่างลงเนื้อลงตัว จนเห็นมานั่งเอี้ยมเฟี้ยมอยู่ข้างนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณที่ดูไบวันนั้นถึงได้รู้

ฝ่ายเรามันก็มีคนหน้าด้าน คนสอพลอ คนนาโต้ (ไม่ทำ พูดอย่างเดียว) คนสองหน้าขาถ่างอะไรเทือกนี้เหมือนฝ่ายอื่น ๆ เขา แต่เมื่อตัวจริงเสียงจริงผุดขึ้นมาแล้ว ได้แต่อนุโมทนาว่า สุดท้ายปัญญาก็เกิด (จนได้)

เมื่อตัวจริงเข้ามา ตัวปลอมทั้งหลายก็ค่อย ๆ จางหายไปเป็นธรรมดา

คอลัมน์ คมความคิด
โดย.จิตร พลจันทร์

** หลายชาติยินดี รับรอง'รัฐบาลพลัดถิ่น' 'จักรภพ'โผล่แนะเสื้อแดง! **


"ทักษิณ" บอก มีหลายประเทศพร้อมรองรับ “รัฐบาลพลัดถิ่น” แต่เป็นประเทศที่ไม่เจริญทั้งสิ้น
ทั้ง “เขมร-นิการากัว-สวาซีแลนด์-บาฮามาส-มอนเตเนโกร” ลั่นถ้ามีปฏิวัติอีก ประเทศลุกเป็นไฟแน่
ขณะที่ “จักรภพ” โผล่แนะ “เสื้อแดง” ไปชุมนุมที่เขมร เพื่อ “นายใหญ่” จะได้มานำทัพด้วยตัวเอง

วันที่ 25 ม.ค. 2553 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านล็อกอิน thaksinvoice
ผ่านโปรแกรมทวิตเตอร์ ว่า "พี่น้องไม่ต้องกังวลเรื่องรัฐบาลพลัดถิ่นของผม เพราะมีหลายประเทศพร้อมให้การรับรอง เช่น
กัมพูชา นิการากัว สวาซีแลนด์ บาฮามาส มอนเตเนโกร ฯลฯ"

พร้อมกันนี้ยังได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับกระแสข่าวการปฏิวัติรัฐประหารว่า "ผมขอประณามการรัฐประหาร มันเป็นการทำลาย
ประชาธิปไตยที่ชั่วช้าที่สุด หากมีใครคิดปฏิวัติอีกครั้ง ประเทศลุกเป็นไฟแน่เพราะประชาชนจะไม่ยอมอีกต่อไป"

ขณะที่นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็โพสต์ข้อความผ่าน jakrapobpengay ระบุว่า
“เราอาจจะขออนุญาตฮุนเซน ให้คนเสื้อแดงเข้าไปชุมนุมในเขมร ซึ่งท่านนายกทักษิณของเราจะได้มานำทัพคนเสื้อแดงสู้อำมาตย์
ด้วยตัวเอง”

สำหรับประเทศต่างๆ เหล่านี้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศว่า พร้อมที่จะรับรองรัฐบาลพลัดถิ่นนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นจาก
"วิกิพีเดีย" พบว่า

กัมพูชา หรือชื่อทางการคือ "ราชอาณาจักรกัมพูชา" เป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพรมแดนทางทิศใต้จรดกับอ่าวไทย
ทางทิศตะวันตกติดกับประเทศไทย ทางทิศเหนือติดกับประเทศไทยและลาว ทางทิศตะวันออกติดกับเวียดนาม กัมพูชาเป็นอดีตประเทศ
อาณานิคมของฝรั่งเศส ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียงแค่ประเทศเดียวเท่านั้น ที่มีการปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตยภายใต้
รัฐธรรมนูญ

นิการากัว (Nicaragua) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐนิการากัว (Republic of Niguaragua) (สเปน: República de Nicaragua)
เป็นประเทศที่มีพื้นที่มากที่สุดในอเมริกากลาง แต่มีความหนาแน่นของประชากรน้อยที่สุด มีอาณาเขตทางเหนือจรดประเทศฮอนดูรัส
ทางใต้จรดประเทศคอสตาริกา ชายฝั่งตะวันตกจรดมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนชายฝั่งตะวันออกจรดทะเลแคริบเบียน ชื่อของประเทศมาจาก
การสนธิระหว่างคำว่า นีการาโอ (Nicarao) เป็นชื่อชนเผ่าพื้นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดขณะที่ชาวสเปนมาถึง

สวาซีแลนด์ เป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีอาณาเขตติดกับประเทศเพื่อนบ้านขนาดใหญ่
คือ แอฟริกาใต้ และ โมซัมบิก โดยในปี 2520 สมเด็จพระราชาธิบดีโซบูซาที่ 2 (Sobhuza II) ทรงเปลี่ยนการปกครองเป็น
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตราบถึงทุกวันนี้ (Queen Mother มีหน้าที่ในการสำเร็จราชการแทนองค์กษัตริย์)

บาฮามาส (The Bahamas) หรือ เครือรัฐบาฮามาส (Commonwealth of The Bahamas) เป็นประเทศตั้งอยู่ใน
มหาสมุทรแอตแลนติก ทางตะวันออกของรัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา อยู่ทางตอนเหนือของประเทศคิวบาและทะเลแคริบเบียน
ชื่อของประเทศมาจากภาษาสเปน คำว่า baja mar มีความหมายว่า "ทะเลน้ำตื้น" เศรษฐกิจของประเทศมากกว่าร้อยละ 60 ของจีดีพี
มาจากธุรกิจการท่องเที่ยว ส่วนที่เหลือมาจากอุตสาหกรรมการเกษตร

มอนเตเนโกร (อังกฤษ: Montenegro) (เซอร์เบีย: Црна Гора; Crna Gora) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐมอนเตเนโกร
(Republic of Montenegro) เป็นประเทศเอกราชประเทศใหม่ล่าสุดของโลก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป
มีอาณาเขตจรดทะเลเอเดรียติกและโครเอเชียทางทิศตะวันตก จรดบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาทางทิศเหนือ จรดเซอร์เบีย
ทางทิศตะวันออก และจรดแอลเบเนียทางทิศใต้
ในอดีต มอนเตเนโกร มีสถานะเป็นสาธารณรัฐในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย และต่อมาได้เป็นส่วนหนึ่งในสหภาพ
การเมืองของเซอร์เบีย-มอนเตเนโกร หลังจากมีการลงประชามติเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 มอนเตเนโกรก็ได้ประกาศเอกราช
ในวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2549 ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มอนเตเนโกรได้รับการกำหนดให้เป็น
"รัฐประชาธิปไตย สวัสดิการ และสิ่งแวดล้อม"

ที่มา:konthaiuk.com
*************************************************************

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553

พท.เตรียมยื่น ป.ป.ช.ชี้มูลคดีใกล้หมดอายุความ


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการวินิจฉัยคดีของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 5 เรื่อง ประกอบด้วย คดีองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.)

ที่มี นายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหา, คดีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เรื่องทุจริตยางพารา, คดีที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์,
คดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่ง SMS มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และคดีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) ว่า ป.ป.ช.ออกมาแถลงว่าคดีทุจริตยางพาราของนายจุรินทร์มีข้อมูลพร้อมแล้ว จะชี้มูลได้ภายในเดือนมกราคมนี้ ซึ่งเวลานี้ใกล้ครบกำหนดหาก ป.ป.ช.ไม่เร่งดำเนินการคดีแล้วเกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติอย่างมาก เพราะหลายคดีใกล้จะขาดอายุความ

ดังนั้นในวันพุธที่ 27 มกราคมนี้ เวลา 10.00 น. ตนเองจะยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้า ป.ป.ช. ทั้ง 5 กรณีดังกล่าวว่าจะพิจารณาชี้มูลเสร็จสิ้นทันเดือนมกราคมหรือไม่ ซึ่งการวินิจฉัยสำนวนคดีของ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา อย่าสร้างมาตรฐานใหม่ ตัวอย่างการวินิจฉัยสำนวนคดีการสลายชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ด้วยว่า ที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ ( ก.ตร.) มีมติว่า ข้าราชการตำรวจ 3 นาย ประกอบด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. และพล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ไม่มีความผิดวินัยร้ายแรงฐานทุจริตต่อหน้าที่ตามที่ ป.ป.ช.ชี้มูลนั้น

แสดงให้เห็นว่ากระบวนการและเหตุผลการวินิจฉัยของ ป.ป.ช.อาจมีข้อบกพร่อง ขอเรียกร้องให้ ป.ป.ช.ยึดหลักกฎหมาย และความเที่ยงธรรมในการพิจารณาคดี อย่าสร้างมาตรฐานใหม่ที่ไม่เคยมีในระบอบกฎหมายของไทยมาใช้ในการไต่สวนและชี้มูลความผิด และอย่ายื้อเวลาพิจารณาสำนวนสำคัญที่จะเอื้อประโยชน์ให้ใคร

เหลิม ฉะ กกต. ท้าอภิชาติ ยกคำร้องยุบปชป.


เฉลิมปูด ปชป.เอาเงิน กกต. ไปหาเสียงเลือกตั้ง ผู้ว่ากทม. เผยเตรียมอภิปรายไม่ไว้วางใจอภิสิทธิ์-กษิต ท้ามาร์คยุบสภา ถ้าสนธิ ลิ้มทองกุลได้เสียงข้างมากก็เป็นนายกฯ ไป

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อมาให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการในกรณีถูกร้องเรียนว่าปราศรัยหาเสียงระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า สมัยที่ตนไปหาเสียงให้พรรคเพื่อไทย ที่ จ.สกลนคร ตนได้ปราศรัยแบบประชดประชันเพราะพรรคเพื่อไทยถูกดูหมิ่น ดูแคลนจากฝ่ายการเมืองหลายพรรคว่าเป็นพรรคหัวขาด เป็นพรรคไม่มีหัวหน้าพรรค เป็นพรรคที่เดินหน้าต่อไปไม่ได้ ตนจึงได้พูดประชดไปว่าไม่ต้องมาถามหาหัวหน้าพรรคหรอกเพราะหัวหน้าพรรคอยู่ที่นครดูไบ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะข้อแรก พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกศาลสั่งจำคุก 2 ปี ข้อที่สองท่านพำนักอยู่ต่างประเทศ และสามท่านถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปี

“สิ่งที่ผมได้ปราศรัย มันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นไปไม่ได้ เหมือนกรณีที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาว่า จำเลยกล่าวหาโจทก์ว่าโง่เหมือนควาย ศาลก็บอกว่าไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะคนจะเป็นควายไม่ได้ ซึ่งนี่ก็เช่นเดียวกัน จะไปพูดยังไงก็ไม่มีใครเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยตัวจริง เพราะโดยทางนิตินัย ท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ท่านเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอยู่ และที่สำคัญ ผมก็เห็นหลายคนที่ถูกเว้นวรรคทางการเมือง ก็ไปกอดกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตั้งรัฐบาลชุดนี้”

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ก็ได้เข้าไปพบผู้ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นนาย บรรหาร ศิลปอาชา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ และได้กอดกลมดิกกับนายเนวิน ชิดชอบ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร แต่พอตนปราศรัยเกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมีคนมาร้องเรียน ซึ่ง กกต. ก็ต้องทำตามหน้าที่จึงได้เรียกมาสอบสวน เช่นเดียวกับ กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอิน วีดีโอลิงค์เข้ามาที่พรรคเพื่อไทย โอ้โหจะเป็นจะตายจะยุบพรรคเพื่อไทย แล้วทีผู้ถูกตัดสิทธิ์ฯ ที่อยู่ในพรรคร่วมประชุมกันเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ กลับไม่มีคนมาร้องเรียนทั้งที่ชัดเจนมากกว่ากรณีพรรคเพื่อไทย

ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โทรมาปรับทุกข์ผูกมิตรให้กำลังใจสมาชิกพรรคและ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า พรรคพลังประชาชนเคยโหวตโนแสดงความไม่เห็นด้วยกับ รธน. 50 ไปแล้วเท่านี้กลับมีคนจะเป็นจะตายจะยุบพรรคเพื่อไทย ก็แบบนี้สังคมจะอยู่ไม่ได้เพราะ อีกฝ่ายทำอะไรได้หมด ไปประชุมกันที่บ้านพิษณุโลก โดยอภิสิทธิ์เป็นประธาน เปิดโรงแรมสามรอบสิบรอบ กินข้าวกันกลับทำได้ไม่เป็นอะไร ทีพรรคเพื่อไทยทำไม่ได ก็จะได้รู้กันว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ว่าไป

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า กรณีเงิน 258 ล้าน ที่พรรคประชาธิปัตย์ รับจากบริษัท ทีพีไอ จำกัดมหาชน ผ่านนอมินี บริษัทเมซไซอะ และเงิน 29 ล้านจาก กกต. แท้ๆ ซึ่งนายประจวบ สังข์ขาว ก็บอกแล้วว่า เงินที่จ่ายมาไม่ได้ทำป้ายหาเสียง แต่พรรคประชาธิปัตย์ขอร้องให้นายประจวบ ออกบิลให้ กกต. กลับไม่ดำเนินการโดยเร็ว

“ผมขอฝากไปยังนายอภิชาต ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้อ่านสำนวนที่ดีเอสไอส่งมาโดยละเอียด เพราะผมไม่ใช่คนร้องเรียนเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์ แต่ดีเอสไอได้สอบสวนพบ ว่ามีการกระทำผิดพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ จึงได้ดำเนินคดีไปส่วนหนึ่ง และเมื่อพบว่าพรรคประชาธิปัตย์รับเงินบริจาคแล้วไม่แจ้งและพบว่าพรรคประชาธิปัตย์เอาเงิน กกต.ไปใช้ผิดประเภท จึงได้แจ้งมายัง กกต. ถ้าอย่างนี้ประธาน กกต.ยังอ่านกฎหมายไม่รู้ดูกฎหมายไม่เป็น บ้านเมืองมีปัญหาแน่ ผมบอกเลยว่าผมไม่เคยเล่นการเมืองนอกสภา แต่ถ้า กกต. ละเลยเรื่องอย่างนี้ แล้วมาเข้มงวดกวดขันกับพวกผม อะไรเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย อะไรเกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ละไม่ได้ ไอ้อย่างนี้มันไม่ยุติธรรม ผมขอถามว่าทำไมนายอภิชาต ไม่เรียก ดีเอสไอ มาสอบว่าเพราะอะไรจึงมากล่าวโทษให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ทำไมไม่เรียกกรมสรรพากร มาตรวจสอบว่านายประจวบได้ออกบิลเท็จออกใบกำกับภาษีปลอมจริงไหม เพราะนายประจวบได้รับสารภาพแล้ว”

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ประธานกกต. อ่านกฎหมายไม่รู้เรื่องหรือ ทั้งที่เงิน 29 ล้าน เป็นเงิน กกต.แท้ๆและนายประจวบก็บอกว่าไม่ได้มีการเอาเงินไปทำป้ายหาเสียงอะไร

“ที่สำคัญที่สุด ดีเอสไอเขาสอบชัดว่าเงินจากทีพีไอ เอามาทำป้ายหาเสียงเลือกตั้ง สก.สข. เอามาทำป้ายรณรงค์เลือกตั้งผู้ว่ากทม. นี่มันเป็นการประเมินทรัพย์สินอันสามารถประเมินได้ ว่าประชาธิปัตย์ได้ประโยชน์ ทีอย่างนี้โอ้เอ้วิหารลาย สักวันหนึ่งเขาจะมาด่าหน้า กกต.อีก ขอให้ตัดสินใจไปเลย เพราะนานแบบนี้คนเขาก็ติฉินนินทา เกิดความเสื่อม” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าว

ร.ต.อ. เฉลิม กล่าวต่อไปว่า ที่สำคัญที่สุด ตนคิดว่านายอภิชาต ก็ความจำเสื่อม เพราะในอดีตเคยมีผู้พิพากษาผู้ใหญ่คนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว เคยมาบอกตนว่านายอภิชาต เป็นคนดี และเสนอให้เป็นอธิบดีศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่ จ.เชียงใหม่ ตนในฐานะรมว.ยุติธรรมในขณะนั้น ก็นำเสนอให้เข้าคณะกรรมการตุลา การ หรือ กต. เมื่อ กต.อนุมัติเห็นชอบ ตนก็เห็นชอบตาม ไม่ได้วีโต้ แต่นายอภิชาต กลับบอกว่า รมว.ยุติธรรม สมัยตนมีหน้าที่แค่นำรายชื่อกราบบังคมทูลเท่านั้น ทั้งที่สมัยนายอนันต์ มีเรื่องทะเลาะเกือบจะมีฆ่ากันตายเพราะรมว.ยุติธรรมไม่เห็นด้วยกับ กต.

“นายอภิชาต แหมม ให้สัมภาษณ์ลอยหน้าลอยตาบอกว่า บอกว่า โอ้ย ไม่เคยมาวิ่งเต้น คุณไม่เคยมาวิ่งเต้นกับผมหรอก แต่มีคนมาบอกผมว่าคุณเป็นคนดี และผมไม่ได้มีหน้าที่แค่นำความกราบบังคมทูล ไอ้ตรงนี้ไงความจำเสื่อม เลยทำให้ยุ่งไง ” ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวและว่า ตนฝากบอกนายอภิชาตว่าอย่าพูดแต่เรื่องเงิน 258 ล้าน แต่ขอให้ตรวจสอบเงิน 29 ล้านบาทที่ประชาธิปัตย์เอามาจาก กกต. โดยขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ ก็เป็น กรรมการบริหารพรรคตอนขอเงินด้วย ซึ่งตนจะนำเรื่องนี้มาอภิปรายไม่ไว้วางใจอีกรอบ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า ตนขออวยพรให้นายอภิชาต หายจากโรคความดันและอย่ามีโรคใหม่คือโรคดันทุรัง ตนเคยชื่นชมชื่นชอบนายอภิชาต และไม่คาดคิดคนเป็นอดีตผู้พิพากษาจะบอกว่ารมว.ยุติธรรมสมัยนั้น ไม่มีหน้าที่อื่นนอกจากนำความกราบบังคมทูล พูดออกมาได้ยังไง ถ้าอยู่ใกล้ๆ จะเอาไม้เรียวเฆี่ยนก้นสัก 3 ที พูดมาได้ยังไงสะเปะสะปะ

เมื่อถามว่า กรณีประธานกกต.ระบุว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะยุบพรรคประชาธิปัตย์ จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยนำข้อมูลมาให้เพิ่มเติม ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า อย่ามาเอาข้อมูลจากตนเพราะตนให้ไปหมดแล้ว และคนที่ร้องเรื่องนี้คือดีเอสไอ ตนถือว่าที่นายอภิชาตพูดแบบนี้แสดงว่าไม่มีความรับผิดชอบ แสดงว่าอ่านสำนวนไม่สะเด็ดน้ำ เพราะคนกล่าวโทษเรื่องนี้คือดีเอสไอ กกต.ทำไมไม่เรียกคนที่เกี่ยวข้องมาสอบ ไม่ต้องรอสามวันเจ็ดเพราะแค่ชั่วโมงเดียวก็ก็จบแล้ว ไม่ต้องรอเรียกตน

ผู้สื่อข่าวถามว่าถ้าหากประธาน กกต.ไม่ได้ข้อมูลเพิ่มเติมและยืนตามมติเดิมคือให้ยกคำร้อง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ก็เป็นเรื่องของท่านไม่ใช่เรื่องของตน

“ถ้าท่านทำผิด ท่านก็เตรียมเข้าคุก ถ้าทำถูกก็ปลอดภัย ซึ่งปกติเมื่อท่านเป็นนายทะเบียน ท่านสวมหมวก 2 ใบนะ ถ้านายทะเบียนรับคำร้องแล้วเห็นว่า ไม่มีมูล ก็ยกคำร้องไปเลย จะเอาไปเข้าที่ประชุมกกต.ทำไม เพราะเมื่อเอาเข้าที่ประชุม กกต.รับรู้แล้วก็ตั้งอนุฯ ซึ่งอนุฯ บอกไม่ผิด ที่ประชุมกกต.ก็ต้องตัดสิน ไม่ใช่ให้เอากลับมาที่ท่านใหม่อีกรอบ ทำงานยังไงกันเขาถึงด่ากันทั้งบ้านทั้งเมือง”

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวด้วยว่า กรณีการร้องเรียนให้ยุบพรรคการเมือง ไม่มีครั้งไหนที่พยานแวดล้อมชัดเจนเท่าครั้งนี้ที่ร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะพยานเอกสาร พยานบุคคล

“เอาเถอะน่า ถ้ากกต.แน่จริง ก็ยกคำร้องสิ กล้าๆหน่อย อย่ามาเก็บเอาไว้เฉยๆ สุด ท้ายก็เสื่อม ไม่มีคนเชื่อถือ วันนี้ไปไหนเนี่ยต้องหลบๆ ซ่อนๆ แล้ว เพราะอะไรก็รู้อยู่เต็มอก ผมถามว่าคุณเชื่อดีเอสไอไหม ถ้าเชื่อก็เรียกเขามาถามว่าบ้าหรือเปล่าทำไมร้องประชาธิปัตย์ เรียกสรรพกรมาถามว่านายประจวบทำบิลปลอมจริงไหม ก็จบแล้วเขาเป็นหน่วยราชการ แน่จริงยกสิ แล้วผมจะทำอะไรให้เห็นบ้าง งานนี้ไม่มียอม ไม่ใช่ข่มขู่นะแต่ มีเอกสารหลักฐานทั้งหมด ถ้ายกคำร้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอให้ยุบดีเอสไอไปด้วย”

เมื่อถามว่ามีการวิ่งขอไม่ให้ยุบประชาธิปัตย์หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าตนไม่ทราบว่าวิ่งร้อยเมตรหรือพันเมตร

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ทางพรรคเพื่อไทยเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ส่วนกระทรวงที่ทุจริตมากที่สุด ถ้าจะตรวจสอบว่าใครทุจริตมากกว่ากันต้องวัดเป็นความดันโลหิต ระหว่างกระทรวงพานิชย์และกระทรวงคมนาคม สูสีจริงๆ ส่วนจะเอาใครเดี๋ยวจะบอกส่วนจะอภิปรายใครเพิ่มหรือไม่ ยื่นตอนไหนทางพรรคจะมีการหารืออีกครั้ง

เมื่อถามว่าหากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเกิดขึ้น ได้เตรียมชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตรงนี้ยังไม่พิจารณากัน คราวที่แล้วใส่ชื่อตนก็ไม่เห็นแผ่น ดินจะทรุด ส่วนพรรคจะใส่ชื่อใครก็แล้วแต่ แต่ต้องไม่ใช่คนนอกพรรค ซึ่งถ้าเห็นว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ หรือ การุณ โหสกุล เหมาะก็ใส่ชื่อไปใครก็ได้แต่ต้องเป็นพรรคเพื่อไทย

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนขอเสนอแนวทางที่จะทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข ว่านายอภิสิทธิ์ ต้องเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องทุกพรรคการเมือง กลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อแดง พรรคการเมืองใหม่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ มาหารือจากนั้นให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งถ้าผลการเลือกตั้งออกมาใครได้เสียงข้างมาก ก็ให้เป็นรัฐบาลและทุกฝ่ายต้องยุติไม่ต้องมาประท้วงกัน ถ้านายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เสียงข้างมากก็ให้เป็นนายกฯไป ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมากก็ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะผมหานายกฯได้