--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

‘ป๋า’ กับ ‘ที่ปรึกษา’ บริษัทเอกชน!


เรื่องนี้เมื่อพิจารณาโดยผิวเผินดูเหมือนว่า...จะเป็นการก้าวล่วงไปในเรื่องส่วนตัวของ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” อย่างไม่สมควรแต่หากคำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า พล.อ.เปรม เป็นอดีตผู้บัญชาการทหารบก อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมอดีตนายกรัฐมนตรีที่อยู่ยาวนานถึงแปดปีเป็นผู้ที่ยังมีอิทธิพลในทั้งสามเหล่าทัพ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดอีกอย่างก็คือ “พล.อ.เปรมติณสูลานนท์” เป็นประธานองคมนตรีดังนั้นการที่ พล.อ.เปรม ไปเป็นที่ปรึกษาของ “บริษัทเอกชน”

หลายแห่ง...จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชนอย่างมีนัยสำคัญยิ่งเพราะด้วยสถานภาพที่มีความใหญ่โตอย่างมากทั้งทางการเมืองและสังคมเช่นนี้...การไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัทเอกชนย่อมส่งผลให้หน่วยงานราชการต่างๆที่บริษัทเอกชนต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือต้องถูกตรวจสอบด้วยหน่วยงานราชการต่างๆ เหล่านั้น ต้อง“ครั่นคร้ามกลัวเกรง” อยู่มิใช่น้อยและยิ่งสังคมไทย ระบบอุปถัมภ์...ระบบเส้นสาย ยังหนาแน่นหนักหน่วงแข็งทื่อเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่อาจจะหนีพ้น

ภาวะที่ “ไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง”หรือทำอะไรที่ทำให้เกิดความไม่พอใจแม้เพียงเล็กน้อยให้เกิดขึ้นกับบริษัทเอกชนที่มี พล.อ.เปรมเป็นที่ปรึกษาอย่างช่วยไม่ได้ปัญหานี้จึงค้างคาใจผู้คนจำนวนไม่น้อย...แต่อาจจะไม่มีใครกล้าที่จะหยิบยกนำขึ้นมาเป็นประเด็นอภิปรายถึงความเหมาะสมหรือไม่อย่างไรมาเป็นเวลายาวนานเพราะที่เห็นทำกันอยู่ทั่วไปและนับวันจะขยายตัวมากยิ่งขึ้นก็คือการแอบสนทนากันอยู่ในมุมมืดผมเองเห็นว่า...ในขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ควรจะนำเอาปัญหานี้มา

สนทนาเป็นประเด็นสาธารณะให้เป็นที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางถึงความเหมาะควรหรือไม่ประการใด?ยิ่งเมื่อนำ มาผูกโยงกับปัญหารูปธรรมในขณะนี้...ที่มีเอกชนพวกหนึ่งไปดำ เนินการออกเอกสารสิทธิ์ในพื้นที่ “เขาสอยดาว” อย่างผิดกฎหมายเพราะเป็นทั้งป่าสงวนแห่งชาติ (ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนเขาสอยดาวปี 2508) เป็นป่าสงวนและอนุรักษ์พันธ์สัตว์ป่า(ตามประกาศคณะปฏิวัติที่ 200 เมื่อ 21 สิงหาคม 2515) และเป็นป่าถาวร (ตาม พ.ร.บ. 2484)โดยยึดครองพื้นที่

ถึงกว่า 4,000 ไร่ และที่พิสูจน์ได้ชัดเจนว่าได้ออกเอกสารสิทธิ์อย่างผิดกฎหมายจำนวนไม่น้อยกว่า 482 ไร่ด้วยแล้วยิ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่เหมาะสมที่ “พล.อ.เปรมติณสูลานนท์” จะไปดำรงตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาธนาคารแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะพิจารณาจากแง่มุมไหนก็ตามเพราะเอกชนกลุ่มดังกล่าวได้เข้าไปยึดถือเอาพื้นที่เขาสอยดาวที่เป็นป่าอุดมสมบูรณ์ยิ่งของประเทศไทยที่เหลือน้อยแห่งมากแล้วในขณะนี้มาเป็นของส่วนตัวและได้สร้างความเดือดร้อนให้

แก่ชาวบ้านแถบนั้น...เพราะไปสร้างเขื่อนขวางทางนํ้าที่จะไหลไปหล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านอันเป็นต้นเหตุให้ชาวบ้านนำเรื่องไปร้องเรียนต่อวุฒิสภา(ปี พ.ศ.2544) แล้ววุฒิสภาก็ได้ทำการส่งเรื่องให้ กรมป่าไม้ตรวจสอบ (ปี พ.ศ.2546)ซึ่งก็พบว่า...เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ทั้งสามฉบับดังกล่าว (พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติปี 2507 ประกาศคณะปฏิวัติฉบับ 200 เมื่อ 21 สิงหาคม 2515 และ พ.ร.บ.ป่าถาวรปี พ.ศ.2484)จากนั้นกรมป่าไม้ได้ส่งเรื่องให้ ปปช.ดำเนินการ

ตามกฎหมายต่อมา ปปช.ได้ชี้มูลว่า “มีความผิด” แล้วส่งเรื่องต่อไปยังอัยการจันทบุรีตั้งแต่ปี 2548 แต่จนถึงป่านนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าแม้แต่น้อยทั้งนี้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อาจจะปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนก็เป็นได้แต่เรื่องเช่นนี้คนในสังคมไทยทุกคนก็รู้ดีว่า...ความเป็นจริงเป็นอย่างไร และอาจยิ่งตอกยํ้าอย่างหนักแน่นว่า...เพราะมีการแทรกแซงของ “ผู้มีอำนาจ” ซึ่งมากล้นด้วยอิทธิพลและบารมีไปทุกปริมณฑลของชีวิตสาธารณะของสังคมผมเชื่อมั่นว่า...หาก

ยังมีการแทรกแซงชีวิตสาธารณะของสังคมเฉกเช่นนี้แล้ว ประเทศไทยอาจจะล้าหลังประเทศเมียนม่าร์ (พม่า) ในเวลาไม่ช้าไม่นานนี้แน่นอนทั้งที่ก่อนหน้านี้...ไทยเคยอยู่ในสถานะที่จะไปแข่งกับญี่ปุ่น แต่ตอนนี้ก็ถูกทิ้งไม่เห็นหลัง และที่น่าอัปยศก็คือ...ในขณะนี้ไทยกำลังถูกเวียดนามทิ้งอย่างน่าใจหายแต่สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นก่อน ก็คือ ประชาชนไทยที่ตื่นตัวขึ้นมาแล้วคงไม่ยอมให้ใครเข้ามาแทรกแซงชีวิตสาธารณะทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมทรัพยากร

ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังที่เป็นอยู่เพราะประชาชนจะลุกขึ้นมาโค่นล้ม ระบอบอมาตยาธิปไตยลงไป...เพื่อเปิดทางให้ ประชาธิปไตยเต็มใบ ได้ปรากฏเป็นจริงเสียที...ภายหลังจากที่เป็น “ประชาธิปไตยจอมปลอม” มาเป็นเวลาเกือบแปดสิบปี เพียงแต่ว่าจะเป็นไปอย่างสันติวิธีหรือจะเป็นไปอย่างรุนแรงเท่านั้นพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ครับ...ท่านไปเป็นที่ปรึกษาของบริษัทเอกชนทำไม? 
ที่มา:บางกอกทูเดย์

สุคะโตถูกตัดสินจำคุกเพราะไปทำป่าเสื่อมโทรมให้สมบูรณ์


แม่ชีบงกช อาจารย์ผู้นำและสอนธรรมะ ซึ่งโด่งดังในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม เห็นว่า ป่าที่ไทรโยค กาญจนบรี ได้เสื่อมโทรมมาก จึงตั้งสำนักปฏิบัติธรรม

นำลูกศิษย์ลูกหาปลูกป่า จนกลายเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ ถูกจำคุกสอง ปี เพราะแม้พื้นที่นั้นจะเป็นป่าเสื่อมโทรม แต่ยังไม่ได้แทงบัญชีออกจากป่าสงวนแห่งชาติ

พระประจักษ์ สุคะโต แห่งวัดป่าใหญ่ อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ ทนเห็นนายทหารใหญ่และนายทุนตัดไม้ทำลายป่าในป่าใหญ่อย่างรุนแรงไม่ได้ จึงนำประชาชน

ไปทำพิธีบวชต้นไม้ เอาผ้าเหลืองไปผูกต้นไม้ใหญ่ๆทุกต้น ซึ่งเคยเป็นข่าวดังหน้าหนึ่ง แต่หลังจากนั้น เนื่องจากไปขัดขวางการหากินของเหลือบเขมือบป่า

จึงถูกตัดสินจำคุกห้าปี เพราะอ้างว่าไปบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติทั้งสองท่านหายไปจากหน้าข่าว คนส่วนใหญ่ไม่ทราบชะตากรรมของท่าน เพิ่งจะได้รับรู้วันนี้เอง



สรุปได้ว่า ประเทศนี้ เหล่า” อภิสิทธิ์ชน” จะ อยู่เหนือกฎหมาย ทำอะไรก็ไม่ผิด กฎหมายเอาไว้ใช้ “จัดการ” กับประชาชนที่ไปขัดผลประโยชน์ของชนชั้นอำมาตย์

หรือ ผู้มีเส้น ได้รับความคุ้มครองจากอำมาตย์เท่านั้น

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

เป็นอันว่าสุรยุทธ์ จุลลานนท์ โดนยึดสมบัติก่อนทักษิณ กรรมมักตามทันในชาตินี้

เฮ้อ คิดจะปล้นสมบัติเขากลางแดด ตัวเองเลยโดนประชาชนยึดสมบัติพร้อม "เกียรติยศและศักดิ์ศรี" ไปก่อนจนได้ ตอนนี้เป็นห้วงเวลาแห่วกรรมทุกผู้เลยทีเดียว

ตั้งแต่เปรมหรือ อื่นๆ (ไม่กล้าพูด) ต่างก็โดนกรรมตามสนองอย่างสาสมทั้งสิ้น บารมีเสื่อมสิ้นไปหมด เปรมแต่ก่อนไม่มีใครกล้าด่า วันนี้ด่ากันได้สนุกปาก ใครไม่ด่าก็เชย

สุรยุทธ์ นอกจากสิ้นศักดิ์ศรี ต้องคืนบ้านแล้ว เชื่อว่าในอนาคตคงโดนคุก

อำนาจที่ว่ามั่นคง ก็ "คลอนแคลนกันทุกๆ สถาบัน" จะโปรประกันดาให้มั่นคงเหมือนเดิมคงยาก อย่าคิดว่าจะอยู่เป็นศตวรรษเลย แค่ 5 ปีนี้ก็ผ่านได้แบบหืดขึ้นคอ

กรรมมันเร็วกว่าจรวดมาก

555 นรกทั้งเป็น วันทำรัฐประหารไล่ทักษิณ ต่างสมบูรณ์พร้อมกันด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียง บารมี

วันนี้สามปีผ่านไป ทักษิณก็เสียแค่ "หุ้น" กับต้องไป "ทำปริญญาเอกด้านการเมืองการปกครอง" ต่างประเทศอีกครั้ง หลังไปเรียนสมัยหนุ่ม แต่ครั้งนี้สบายกว่าสมัยหนุ่มตรงที่มีเครื่องบินส่วนตัวบินเที่ยวได้ทั่วโลก ผู้นำชาติต่างๆ เปิดบ้านเลี้ยงต้อนรับ

ส่วน "ศัตรูอยู่ในไทยแบบหดหัวออกไปพบประชาชนก็ไม่ได้ มีแผ่นดินก็เหมือนไม่มี"

555

บ้านพร้อมที่ดินทำเลสวย หาไม่ได้อีกแล้วในชาตินี้ คงไม่มีใครกล้าตอแย หากไม่มีรัฐประหารปี 2549

เมื่อเริ่มเดินเข้าไปในเส้นทาง "มืด" มันจะมีอะไรโผล่"ตามมาอีกเยอะ

อย่าคาดหวังว่าจะอยู่อย่างมีเกียรติในสังคมได้ สุดท้ายก็จะถูกทิ้ง ไปไหนก็จะมีแต่คนก่นดา แม้ไม่ติดคุก ก็ไม่อาจสู้หน้าคนได้อย่างมีศักดิ์ศรี

เกียรติยศ หากล่มสลายแล้วไม่มีทางกู้คืนได้

ที่มา thaifreenews
โดย...ลูกชาวนาไทย

ผอ.ฮิวแมนไรท์วอชท์เอเชียอัดรบ.มาร์ค2มาตรฐาน

นายแบรด อดัมส์ ผู้อำนวยการแผนกเอเชียขององค์การฮิวแมนไรท์วอทช์ กล่าวเมื่อว่า "ถึงแม้บางครั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะกล่าวถึงสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่การกระทำของ นายอภิสิทธิ์ กลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม รัฐบาลชุดนี้ได้บั่นทอนการเคารพสิทธิมนุษยชน และนิติธรรมในประเทศไทย อย่างต่อเนื่อง"

ซึ่งองค์การ ฮิวแมนไรท์วอทช์ ระบุต่อว่า การท้าทายจากกลุ่มคนเสื้อแดงในเครือข่ายของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทำให้ นายอภิสิทธิ์ ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกองทัพมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะรักษาความอยู่รอดทางการเมืองของตน โดยการตอบโต้ต่อการชุมนุมประท้วง ที่มีการใช้ความรุนแรงของกลุ่ม นปช. ที่พัทยา และกรุงเทพฯ นั้น รัฐบาลได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในเขตพื้นที่ดังกล่าว เมื่อวันที่ 11 และ 12 เมษายน ตามลำดับ มีการระดมกำลังทหาร มาสลายการชุมนุมประท้วง โดยใช้แก๊สน้ำตา และกระสุนจริงยิงเข้าใส่กลุ่มผู้ประท้วง

ขณะที่รัฐบาลก็มี "สองมาตรฐาน" ในการบังคับใช้กฎหมายทำให้ความตึงเครียด และการแบ่งขั้วทางการเมืองทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยขณะที่แกนนำ ของกลุ่ม นปช. ถูกจับกุม, คุมขัง และดำเนินคดีภายหลังจากที่มีการสลายการชุมนุมประท้วงนั้น รัฐบาลกลับเพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องในสังคมที่ต้องการให้มีการสอบสวนอย่างเป็นกลางเกี่ยวกับความรุนแรงทางการเมือง และการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดจากการกระทำของพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ในระหว่างการชุมนุมประท้วงเมื่อปี 2551 ที่รวมถึงการยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิด้วย

สรุปข่าวความเคลื่อนไหวในสัปดาห์

### "เสธแดง" จวกค้นบ้านทำไม ? ปัดเอี่ยวบึ้ม ! โวหากทำจริง(พล.อ.อนุพงษ์ )คงตายไปแล้ว..!!
เสธ.แดง กล่าว..
การค้นบ้าน แบบนี้เหมือนเป็นการทำแบบผู้หญิง ค้นบ้านทหารด้วยกันไม่อายบ้างหรือ จับอะไรก็ไม่ได้หาก จะมาจับผมก็ทำได้แค่ออกหมายเรียกเท่านั้น แต่จะมาออกหมายจับไม่ได้ เพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิด

พล.อ.อนุพงษ์ ไม่มีหลักฐานอะไร จะมาจับผม แล้วการทำแบบนี้ถือว่าไม่มีศักดิ์ศรีมาค้นบ้านทหารด้วยกัน เรื่องที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นต้องเป็น เสธ.แดง อาจจะเป็นคนอื่นทำ ถ้า เสธ.แดง ทำจริงเอาชีวิตเลยไม่ดีกว่าหรือ !!!


### แกนนำเสื้อแดงประกาศยกเลิกชุมนุมที่สุวรรณภูมิแล้ว เฉลยเป็นมุขเกาทันฑ์

เหตุต้องการสะท้อนมาตรฐานกฏหมายและรัฐบาล

การยกเลิกการชุมนุมสนามบินสุวรรณภูมิครั้งนี้ณัฐวุฒิระบุว่าเป็น มุขเกาทันฑ์(จาก3ก๊ก)หลอกให้ฝ่ายตรงข้ามออกมาติเตียนเพื่อย้อนดูตัวเองว่าทำอะไรลงไปแล้วทำไมไม่ติพันธมิตรที่ยึดสนามบิน เทพเทือกออกมาบอกให้อย่าทำร้ายจิตใจคนทั้งประเทศ นี่มันน่าจะบอกตัวเขาเองนะครับใช่มั๊ยครับพี่น้องที่รักทั้งหลาย

### ป่าไม้ลงมติแล้ว ยึดคืนเขายายเที่ยง

ชี้‘สุรยุทธ์’ไม่มีสิทธิ ต้องออกใน 30วัน รวมทั้งต้องรื้อถอนทรัพย์สินออกให้หมด อย่างไรก็ตามสามารถอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วัน"สุวิทย์" เชื่อต้องทำตามคำพูด....ข่าวเพิ่มเติม กี้และแรมโบ้ พอใจในระดับหนึ่งตอนนี้จะไม่ถวายรายงานแล้ว!

ไม่มีเจตนากระทำผิดกฎหมาย แต่ในส่วนของการถือครองที่ผิดหลักเกณฑ์ ใครเชื่อก็โง่แล้วครับ ไม่เจตนาแจ้งขอหาเพิ่มได้เลยนะครับ การทุจริตให้การเป็นเท็จกรณีทรัพย์สินที่แจ้งต่อ ปปช.คลิปเสียงที่นายนพดล พิทักษ์วานิช ผู้ที่ซื้อที่ดินบริเวณเขายายเที่ยงต่อจากนายเบ้า สินนอก หรือพระเบ้า ก่อนจะตกเป็นของพล.อ.สุรยุทธ์ ตุลานนท์ มันฟ้องครับ ! น้องมหาอำมาตย์ขันที


### พตท.ดร.ทักษิณ"ยื่นแถลงปิดคดียึดทรัพย์7.6หมื่นล้าน

ท้ายคำแถลงปิดคดี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า..

ช่วง เวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ไม่เคยทุจริต ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย และไม่เคยแม้แต่จะคิดทำการใดเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง ยิ่งไปกว่าประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

การที่ถูกปฏิวัติรัฐประหารและตั้งข้อกล่าวหาในคดีนี้ เป็นเรื่องทางการเมืองทั้งสิ้น เมื่อข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ปรากฏต่อศาลว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้กระทำผิด จึงขอให้ศาลโปรดมีคำพิพากษายกคำร้องของอัยการสูงสุด และมีคำสั่งเพิกถอนการอายัดเงินและทรัพย์สินทั้งหมดที่ คตส. ได้มีคำสั่งอายัดไว้ในคดีนี้ให้ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านอื่นที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงด้วย

#### แดงบุกราชเลขาฯ ถามคืบหน้า ฎีกาอภัยโทษทักษิณ

แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางไปยื่นหนังสือทวงถามความคืบหน้าการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับ อดีตนายกฯ ทักษิณ ที่สำนักราชเลขาธิการ หลังผ่านไปกว่า 5 เดือนแล้วยังไม่มีคำตอบ...
ส่วนมาร์ค ยกเลิกกำหนดการบันทักเทป รายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ จ.ปทุมธานีท่ามกลางกระแสความไม่ปลอดภัยโดยคิดว่าชาวปทุมจะสนับสนุน อย่าหวัง อย่าหวังเถอะกองทัพแดงลุกล้อมกรุงแล้วครับและอีกคนผบ.ทบ. เดินทางเข้าปฏิบัติงานที่ กองบัญชากองทัพบกแล้ว ท่ามกลางการวางมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้ม

ทั้งมาร์ค ทั้งป๊อกกลัวอะไรกัน ทีเวลาออกคำสั่งทำร้ายคนอื่นอย่างเลือดเย็นไม่เห็นจะคิดก่อน อย่าลืมคลิปพิสูจน์ออกมาว่าตัดต่อประโยคไม่ได้ตัดต่อคำพูด ความชั่วยังมีหลักฐานปรากฏ

### ปิดท้ายข่าวด้วยคอลัมน์ เหล็กใน

ประเด็น 2 มาตรฐาน!!

คนเสื้อแดงรู้สึกและเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้เมินเฉยต่อความผิดของม็อบเหลืองในอดีต ดูได้จากคดีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพันธมิตร ทั้งยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน 2 แห่ง

ล่วงเลยมานานเกือบ 2 ปีแล้วแทบไม่มีความคืบหน้าอะไร
พอทวงถามก็อ้ำๆ อึ้งๆ ตอบไม่ชัดเจน อ้างแค่ว่ามีพยานหลายปากยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น

กลับกันคดีม็อบเสื้อแดงก่อหวอดช่วงสงกรานต์ปีที่แล้ว รัฐบาลสั่งการตำรวจจับกุมดำเนินคดีฉับไว ได้ผลทันตา

มาตรฐานที่เหลื่อมล้ำกันแบบนี้ เป็นชนวนสร้างพลังให้ม็อบแดงแข็งกร้าวขึ้น
ยิ่งตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่าเลือกข้างเลือกฝ่าย เลือกที่จะฟังขาใหญ่ม็อบเหลืองจนออกนอกหน้านอกตาเท่ากับราดน้ำมันเข้ากองเพลิงเหมือนไม่อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขโดยไวเลย!!

"ชทพ.-พผ."ย้ำจุดยืนแก้รธน.2ม. "ชาญชัย"หนุนยื่นเร็วที่สุดเอาใจสื่อ ภท.กร้าวปชป.ปล่อยฟรีโหวตอยู่ลำบาก

"ชทพ.- พผ." ผนึกแก้รธน.ลุยแก้ 2 มาตราอเพื่อนาคตชาติ ชูผลโพลหนุนแก้ ถกภายในก่อนหาฤกษ์ยื่นญัตติรอคุยกับพรรคกิจสังคมก่อน "ชาญชัย"ยันร้องเพลงคีย์เดียวกับปชป. ย้ำรัก"ปชป."เสมอ ส.ส.ภท.กร้าวออกโรงดักคอปชป.ปล่อยฟรีโหวตแก้รัฐธรรมนูญ อยู่กันลำบาก เพราะเป็นมารยาททางการเมือง

"ชทพ.- พผ." ผนึกแก้รธน.ลุยแก้ 2 มาตราอนาคตชาติ ชูผลโพลหนุนแก้

เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 21 มกราคม ที่ห้องลอนดอน 2 นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชทพ. พร้อมด้วยแกนนำพรรคชทพ. และนายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง หัวหน้าพรรคพผ. พร้อมแกนนำร่วมกันแถลงถึงผลการหารือของทั้ง 2 พรรคการเมืองที่มีจุดยืนตรงกันในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 มาตรา คือ มาตรา 94 และมาตรา 190

นายชุมพล กล่าวว่า ทั้ง 2 พรรคได้แสดงจุดยืนตรงกันที่จะแก้ไข 2 มาตรา เพื่อแก้วิกฤตประเทศโดยเฉพาะการแก้มาตรา 93 และ 94 ไม่ได้แก้เพื่อตัวเองหรือเพื่อพรรคการเมืองเขตใหญ่ 3 คนก็ทำให้ไม่ใกล้ชิดต่อประชาชนทำให้ไม่เกิดการรับผิดชอบต่อประชาชนหลังได้รับการเลือกตั้งแล้ว ทั้งพรรคชทพ.และพผ.ยืนยันต่อสาธารณะที่จะแก้มาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้เป็นเขตเดียวคนเดียว หากยังเป็นแบบเดิมจะทำให้ประเทศชาติไปได้ไม่ไกล เขตเดียวคนเดียวคืออนาคตไทย

นายชุมพล กล่าวว่า ส่วนมาตรา 190 ยืนยันว่าเราแก้เพื่อประโยชน์ของฝ่ายบริหารโดยตรงไม่เกี่ยวกับส.ส. เพราะช่วงเวลานี้หากไม่แก้การทำงานของฝ่ายบริหารติดขัดหมด อีกทั้งขณะนี้บทบัญญัติมาตรานี้ในขณะนี้ยังทำให้ไทยเสียผลประโยชน์ด้วย รวมทั้งมาตรานี้ยังบัญญัติเพื่อฉวยโอกาสให้ทำร้ายซึ่งกันและกันด้วยการสร้างปัญหาให้ไปร้องศาลโดยไม่จำเป็นทำให้ฝ่ายบริหารต้องชะงัก

"สวนดุสิตโพลออกมาล่าสุดปรากฎว่า 2 มาตราที่เรากำลังจะแก้ไขนี้ พบว่าร้อยละ 54 เห็นด้วยให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนร้อยละ 23 เห็นว่าไม่ควรแก้ไข นี่คือผลโพลที่พิสูจน์ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นที่ยอมรับจากประชาชน" นายชุมพล กล่าว

ถกภายในก่อนหาฤกษ์ยื่นญัตติ

เมื่อถามว่าจะยื่นญัตติเมื่อใด นายชุมพล กล่าวว่า วันนี้เอาจริงขั้นที่ 2 แล้ว ส่วนวันที่ 25 มกราคมนี้จะหารือกับพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และพรรคกิจสังคม ซึ่งเป็นขั้นที่สาม โดยขณะนี้ได้ลงชื่อเกินจำนวนก่วา 1 ใน 5 ของส.ส.แล้ว จากนั้นก็จะมีการหารืออีก 2 ครั้งเป็นการภายใน เพื่อหาฤกษ์ดีๆในการยื่นญัตติ

เมื่อถามว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคปชป.ไม่สนับสนุนให้แก่เขตเลือกตั้ง นายชุมพล กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญขณะนี้ไม่มีพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีส.ว.ดังนั้นทุกฝ่ายในสภาจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน

"ชาญชัย"ยันร้องเพลงคีย์เดียวกับปชป. ย้ำรัก"ปชป."เสมอ

ด้านนายชาญชัย กล่าวว่า เป้าหมายของพผ.มีเป้าหมายหลักอยู่ที่ประชาชน การแก้ไขมาตรา 190 ซึ่งทำให้เราเสียโอกาสทางด้านการแข่งขันทางเศรษฐกิจ หากเราแก้ไขมาตรานี้ได้ตนคิดว่าจะเพิ่มโอกาสให้กับประเทศ ส่วนมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตนคิดว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงต้องมาจากประชาชน ฉะนั้นการเลือกตั้งควรเป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว ยืนยันจะยื่นญัตติโดยเร็วเอาให้ถูกใจสื่อ

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้จะคุยกับพรรคเพื่อไทยให้มาเข้าร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า คุยทุกคนที่เป็นสมาชิกรัฐสภา คิดตรงกันก็สามารถร่วมกันได้ เมื่อถามว่า การยื่นญัตติไม่ต้องรอเสียงของพรรคปชป.แต่เมื่อถึงขั้นตอนของการโหวตถึงค่อยไปเจรจาอีกทีใช่หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า ตอนยื่นญัตติเราร้องเพลงคีย์เดียวกัน แต่ตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นการร้องคนละคีย์กันกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อถามว่า เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญปชป.จะร้องเพลงคีย์เดียวกันใช่หรือไม่ นายชาญชัย กล่าวว่า รักเธอเสมออยู่แล้ว

ภท.ลั่นปชป.ฟรีโหวต"อยู่ด้วยยาก"

ด้านนายปัญญา ศรีปัญญา ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย(ภท.) แกนนำกลุ่มเพื่อนเนวิน กล่าวถึงกระแสข่าวพรรคปชป. จะปล่อยให้ ส.ส.ฟรีโหวต ในการพิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็นว่า ขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคตั้งแต่ ชทพ. ภท. และเพื่อแผ่นดิน (พผ.) เหนียวแน่นแล้วว่าจะร่วมกันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหลือแต่พรรค ปชป.ที่ขอเวลาสุดสัปดาห์นี้ไปสัมมนาพรรคเพื่อหาข้อสรุป หากพรรค ปชป.จะร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย เราพร้อมยื่นญัตติเสนอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ยื่นต่อประธานสภาในสัปดาห์หน้า แต่หากพรรค ปชป.ไม่ร่วมด้วย เราพร้อมที่จะดำเนินการกันเอง

"ได้แจ้งกับประธานวิปรัฐบาล (นายวิทยา แก้วภราดัย) ไปแล้วว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะรีบให้ได้ข้อสรุป เพราะขณะนี้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ ตกผลึกกันหมดแล้ว อย่าลืมว่าหลังจากนี้ศึกหนักยังรอเราอยู่ นั่นคือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากพรรคประชาธิปัตย์ยังมีความไม่ชัดเจนหรือจะปล่อยให้ ส.ส.ฟรีโหวตเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คงไม่ได้ เพราะถ้าทำอย่างนั้นจะอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร เพราะเป็นมารยาททางการเมือง" นายปัญญากล่าว

ชทพ.เชื่อปชป.บางส่วนหนุน

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง และคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) จากพรรค ชทพ. กล่าวว่า หากผลสรุปของพรรค ปชป. ออกมาว่าให้ส.ส.ฟรีโหวต ตนเชื่อว่ามีส.ส.บางส่วนเห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว และมีส.ว.ส่วนหนึ่งที่เห็นด้วย

ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพรรค ปชป.ให้ส.ส.ฟรีโหวอาจทำให้พรรคร่วมรัฐบาลไม่โหวตสนับสนุนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายภราดร กล่าวว่า ไม่เกี่ยว เพราะแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลพูดกันชัดเจนว่าเรื่องของแก้ไขรัฐธรรมนูญกับเรื่องการร่วมจัดตั้งรัฐบาลต้องแยกออกจากกัน นายกฯก็พูดชัดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของสภา สถานะการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลยังเหมือนเดิม เมื่อถามว่า แสดงว่ายืนยันจะสนับสนุนรัฐบาลใช่หรือไม่หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายภราดร กล่าวว่า ก็ต้องดูประเด็นและชั่งน้ำหนักการอภิปรายของฝ่ายค้าน รวมทั้งการชี้แจงของรัฐบาลว่ามีน้ำหนักแค่ไหน

นายภราดร กล่าวถึงความเป็นไปได้ที่จะพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ คปพร. ไปพร้อมกับร่างของพรรคร่วมว่า ร่างคปพร.เป็นนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ ซึ่งพวกเราไม่เห็นด้วย เพราะจะทำให้เกิดความแตกแยก ต้องแก้ไข 2 มาตราก่อน เพราะตกผลึกทางความคิดของสังคมแล้ว และไม่นำไปสู่ปัญหาอีก นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยกับการพ่วงมาตรา 265 - 266 กรณีห้ามมิให้ส.ส.และส.ว.ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะจะเป็นการสร้างความแตกแยกเพิ่มขึ้นไปอีก เนื่องจากสังคมกำลังครหาว่านักการเมืองกำลังแก้ไขเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

ที่มา: มติชนออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2553

ไฮโซหลุดโลก "ดารณี กฤตบุญญาลัย" เฮ! พ้น"ล้มละลาย"แล้ว หลังถูกศาลพิพากษาไปเมื่อ 3 ปีก่อน


ในที่สุดไฮโซสาวใหญ่ "เจ๊ดา"ดารุณี กฤตบุญญาลัย ได้ถูกปลดจากลูกหนี้ล้มละละลาย ตามประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ซึ่งลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 (คดีหมายเลขแดงที่ 3582/2548) หลังจากที่ศาลล้มละลาย24 ๒๔ ตุลาคม 2549 และพ้นกำหนดระยะเวลา 3 ปี นบแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว จึงให้ปลด ลูกหนี้ทั้งสามจากการเป็นบุคคลล้มละลาย นับแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2552


คดีดังกล่าว บริษัท เงินทุนบุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ลูกหนี้ล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งลงวันที่ 14 กันยายน 2548 ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล พี.แอนด์.พี.เอ็นจิเนียริ่ง ที่ 1 นายประกิจ กฤตบุญญาลัย ที่ 2 นางดารุณี กฤตบุญญาลัยที่ 3 บริษัท สยาม เอ.อาร์.ไอ. จำกัด ที่ 4 นางสาววิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย ที่ 5 นางสาวธารนที กฤตบุญญาลัย ที่ 6 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พุทธศักราช 2483


ต่อมาศาลล้มละลายกลาง จึงพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2549 ให้ลูกหนี้ทั้งสามเป็นบุคคลล้มละลาย


สำหรับประวัติ ดารุณี กฤตบุญญาลัย นับว่าสะแด่วสมฉายา "เจ๊ดา รสแซ่บ" หรือ "ไฮโซหลุดโลก" เห็นเฉิดฉายไฮโซขนาดนี้อย่านึกว่าเธอเป็นคนกรุงเทพฯ แต่กำเนิด ความจริงแล้วเธอเป็นคนหนองคาย แต่มีเชื้อสายของเวียดนามและจีน จบการศึกษา ม.7 จาก ร.ร. เขมะสิริอนุสสรณ์ และระดับปริญญาตรี ที่คณะพาณิชย์-บัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


สมรสแล้วกับ "นายประกิจ กฤตบุญญาลัย" มีลูกด้วยกัน 3 หน่อ ได้แก่ "วิรุฬกานต์" (น้ำฝน), "ธารนที" (น้ำพุ) และ "ไอยคุปย์" (น้ำนิ่ง) โดยที่ 2 ในสามนั้นโด่งดัง (เกือบ) เท่าคุณแม่ในวงสังคมพอควร โดย "รท.หญิง วิรุฬกานต์ กฤตบุญญาลัย" หรือ "น้ำฝน" ลูกสาวคนโต นั้นเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงไฮโซ เนื่องจากควงคู่เป็นเพื่อนซี้ปาท่องโก๋กับพิธีกรสาวชื่อดัง "เอิร์ก พรหมพร ยุวะเวศ" แต่แม้จะพยายามผลิตผลงานอื่นๆ ออกมาทั้งเขียนหนังสือ 2 เล่ม (ได้แก่ "หมื่นพันวันลูก" และ "รักแท้ แม่ไม่ว่าหรอก") หรือแม้แต่ออกอัลบั้มเพลง "พายุฝน" แต่ข่าวควงคู่พิธีกรสาวกลับดังกว่าเป็นไหนๆ


ในขณะที่ลูกชายคนเล็ก "ไอยคุปย์" หรือ "น้ำนิ่ง" เป็นที่ทราบดีว่าอยู่ในก๊วนแก๊งเดียวกับ "โอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร" ลูกชายอดีตนายกฯ แถมยังร่วมหุ้นทำธุรกิจกัน ฮาวคัมฯ (บริษัท ฮาวคัม มีเดีย) ด้วยกัน


สำหรับแง่มุมทางธุรกิจนั้น เธอเป็นเจ้าของธุรกิจขายเครื่องปรับอากาศYork โดยการเป็นตัวแทนซื้อมาขายไปจนประสบความสำเร็จอย่างดี ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยาม เอ.อาร์.ไอ จำกัด เป็นบริษัทผลิตเครื่อง ปรับอากาศ ภายใต้ชื่อ SENATOR นอกจากนี้ยังถือหุ้นในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง "โออิชิ" โดยนั่งในตำแหน่งที่ปรึกษาประธานบริษัท โออิชิ กรุ๊ป อีกด้วย


อย่างไรก็ตาม ในแง่ของธุรกิจการทำงานอาจจะไม่เป็นที่มักคุ้นแก่ชาวบ้านร้านตลาดทั่วไป แต่กลับมีชื่อเสียงจากการโชว์ตัวร่วมงานสังคม ด้วยการแต่งกายที่โดดเด่นทั้งเครื่องเพชรเครื่องประดับแต่งเต็มยศเต็มสตีม และไม่ว่าธีมของงานจะแปลกพิสดารแค่ไหน "เจ๊ดา" ก็บ่ยั่น เธอสามารถหาชุด หาพร็อบ มาแต่งเข้ากับคอนเซ็ปต์ของงานได้อย่างโดดเด่น จนผู้จัดงานทั้งหลายต่างจ้องเรียกมาใช้บริการแทบจะทุกงาน เพราะช่วยสร้างสีสันและเรียกสื่อให้งานคึกคักได้อย่างบัดดล


หลังจากมีชื่อเสียงเกรียงไกรโดดเด่นในหมู่ไฮโซ เหล่าผู้จัดละครและรายการทีวีต่างๆ ก็ไม่พลาดที่จะดึงเธอมาร่วมงาน ไม่ว่าช่องไหนรายการไหนก็อยากที่จะให้เธอไปร่วมด้วย บ้างก็ไปเป็นแขกรับเชิญ บ้างก็เชิญไปเป็นพิธีกร อย่างรายการ "เป๋าตุง" ถือว่าเธอได้เป็นพิธีกรอย่างเต็มตัว โดยร่วมกับ "เสนาหอย-เกียรติศักดิ์ อุดมนาค" และ "หนูแหม่ม-สุริวิภา กุลตังวัฒนา"


และที่จะไม่เอ่ยไม่ได้คือรายการ "ไฮโซบ้านนอก" ที่เธอร่วมกับเพื่อนสังคมเดียวกันแต่ไปใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ได้แก่ "มดดํา-คชาภา ตันเจริญ" และ "สมศักดิ์ ชลาชล" งานนี้ทำให้ผู้คนได้เห็นตัวตนที่แท้จริงส่วนหนึ่งของเธอมากขึ้น


สำหรับผลงานละครนั้นมีมากมายทั้งที่เห็นแว่บๆ และมีบ้างที่เป็นตัวหลัก อาทิ "วุ่นวาย สบายดี","พระจันทร์ซ่อนดาว" และ "คนทะเล" เป็นต้น ส่วนผลงานทางภาพยนตร์ อาทิ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง, "ลูกตลก ตกไม่ไกลต้น", "หัวใจทระนง" (The iron pussy) และ "มนุษย์เหล็กไหล" ฯลฯ ส่วนรายการเกมส์โชว์แน่นอนว่าเธอไม่พลาดที่เข้าไปแข่งขัน แต่โดดเด่นสุดได้แก่การชนะเลิศในรายการแฟนพันธ์แท้ ตอน "เพชร" จนได้รับฉายา "เจ้าแม่เพชร (พันธุ์แท้)"


ล่าสุด โดดเข้าเอี่ยวการเมืองขึ้นเวทีของคนเสื้อแดง เป็นแม่งานตัวหลัก สวมวิกแดงร้อนแรงทั้งร้องเพลง โก่งคอปราศรัย ประกาศทวงถามประชาธิปไตยเย้วๆ งานนี้ "เจ๊ดา" ไม่ขอเด่นเกินใคร แต่อยากได้ใจคนไทยไปใส่แดง

ที่มา:มติชนออนไลน์

ยิ่งเห็นยิ่งท้อ จะคลั่งใจตาย เสื้อแดงเยอะขึ้นทุกวันยิ่งปราบยิ่งเยอะ


ฮ้อ ยิ่งเห็นยิ่งท้อ จะคลั่งใจตาย เสื้อแดงเยอะขึ้นทุกวันยิ่งปราบยิ่งเยอะ "ยอดศักดินามหาอำมาตย์" คงแทบคลั่ง

หากผมเดาใจของ "มหายอดศักดินาอำมาตยาธิปไตย" (จะเป็นใครก็ช่างมันเถอะ ตั้งชือเล่นโก้ๆ คงรู้ๆ กันอยู่) ตอนนี้คงแทบคลั่ง ยิ่งวางแผนเสื้อแดงยิ่งเยอะ ปราบ กำราบ ไม่หวาดไม่ไหว เยอะยิ่งกว่าเมื่อสามปีที่แล้วอีก

ปี 2549 ทำรัฐประหาร คิดว่า "จะเผด็จศึก" ดันกลายเป็น "เริ่มก่อสงครามเสียนี่" วันที่ 20 กันยายน 49 คิดว่าทักษิณไม่สู้แล้วคงจบแล้ว ฉันก็จะยิ่งใหญ่ต่อไปเหมือนเดิม

ที่ไหนได้ ดันเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่จุดจบเสียยังงั้น จากเสื้อแดงมี 0 คน และพูดถึงเปรม ก็โดนด่าว่า จ๊าบจ้วงเบื้องสูง ต้องพูดเบาๆ วันนี้มันด่าพ่อล่อแม่ออกทีวีด้วยซ้ำ กระแส "จาบจ้วงเบื้องสูง" เงียบหายจ้อยไปเลย จากที่มีคนเกรงใจวันนี้ไม่มี

อำมาตย์คนอื่นๆ (...) ก็หนักพอกัน

วันนี้ยังไม่เห็น "แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์" ว่าจะสงบศึกนี้ได้อย่างไร จะพิชิตทักษิณได้อย่างไร จะหา "เวทมนตร์วิเศษ" อันใดมาเป่าแล้วพวก ไพร่กลับมาซาบซึ้งเหมือนเดิม

วันนี้ยิ่งคิดยิ่งเจ็บ ยิ่งบุกยิ่งเสียดินแดน ยิ่งรบยิ่งขาดทุนศรัทธาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อาวุธสุดท้ายคือ "ยึดทรัพย์" ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสยบเสื้อแดงและทักษิณไปได้
จะทำรัฐประหาร ตอนนี้ก็มีอำนาจล้นเหลือออยู่แล้ว ยังสยบไม่ได้ รัฐประหารจะมีอำนาจอะไรเพิ่มขึ้นจนสยบเสื้อแดงได้ "จะฆ่าล้างแผ่นดิน" อย่างนั้นหรือ แล้วจะอยู่ในโลกนี้ต่อไปได้อย่างไร หากทำอย่างนั้น

ถอยก็ไม่ได้ บุกก็ไม่เห็นทางชนะ อยู่เฉยๆ ก็โดนรุกมาเรื่อยๆ

กลุ่มใจตายแล้ว

ทหารจะแปรพักตร์หรือเปล่าไม่ทราบ เพราะย้ายพวกที่ไม่ไว้ใจออกไป มันก็ยิ่งกลายเป็นศัตรู เกษียณเมื่อไหร่ มันวิ่งไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามทันที จะแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกที่ยังอยู่ ใจมันไม่ไปแล้ว

ที่มา thaifreenews
โดย...ลูกชาวนาไทย



วอนหาเรื่องแท้ๆ ไม่น่าเลยกรู

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

"แม้ว"จวก คตส.กระหายส่วนแบ่งยึดทรัพย์ 25%ไร้มารยาท วอน"มาร์ค"ฟังเสียงประชาชนล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่


"แม้ว"วอน"มาร์ค"ฟังเสียงปชช.ล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่ "ทักษิณ"ย้ำจะทวงความเป็นธรรมถึงที่สุด อัดคตส.ไร้มารยาทปล้นทรัพย์ดิ้นรนเพื่อให้ได้ส่วนแบ่ง 25 %

"แม้ว"วอน"มาร์ค"ฟังเสียงปชช.ล้มรบ.สร้างทางเลือกใหม่

เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 19 มกราคม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "ทอล์ค อราวด์ เดอะ เวิร์ล" ซึ่งออกอากาศทางเว็บไซด์ทักษิณไลฟ์ (www.thaksinlive.com) ว่า วันนี้ที่พูดเพราะอยากจะเห็นบ้านเมืองปรองดอง จึงขอนำคำพูดของนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชนหญิง ชาวอิหร่าน ที่ลี้ภัยไปอยู่อังกฤษ และได้รับรางวัลโนเบลไพรส์ เมื่อปี 2003 ที่บอกว่า "ต้องฟังความต้องการของประชาชนหรือเจตนารมณ์ของประชาชน ถ้าไม่ฟังเจตนารมณ์ของประชาชนก็ต้องเลือกทางเลือกที่สอง คือ รัฐบาลล้ม เป็นสัจธรรมของทุกประเทศทั่วโลกที่จะฝืนความต้องการของประชาชนไม่ได้" ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็เคยพูดก่อนเป็นนายกฯว่า ไม่ว่าคนจะมาประท้วงหมื่นคนหรือแสนคนก็ต้องฟัง แต่วันนี้นายอภิสิทธิ์ พอเป็นนายกฯกลับลืมคำนี้ไปแล้ว จึงอยากจะบอกว่าวันนี้เราไม่หันหน้าเข้าหากั้นไม่ได้หรอก ประเทศมันจะไม่เคลื่อนไหว


พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศเราใช้กฎหมายอย่าง 2 มาตรฐาน ซึ่งการเสียชีวิตของนายสมพร พัฒนภูมิ อายุ 53 ปี ที่เป็นนักต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาที่ดินในภาคใต้ ซึ่งล้มลงกอดแผ่นดินภายหลังจากถูกคนร้ายยิง นั้นเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องแก้ปัญหาที่ดิน แต่รัฐบาลกลับไม่แก้ปัญหาอะไรให้ แต่อีกรายไปยึดที่ป่าสงวนแล้วรัฐให้การคุ้มครองด้วยซ้ำ มันเห็นได้ชัดเลยว่าถ้าเรายังปล่อยให้สองมาตรการอย่างนี้ต่อไปมันจะลุกเป็นไฟ

"ทักษิณ"ย้ำจะทวงความเป็นธรรมถึงที่สุด อัดคตส.ไร้มารยาทปล้นทรัพย์

"ผมได้ยินว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดงบอกว่าจะเชิญชวนคนที่ถูกดำเนินคดีไปปราศรัยหน้าสนามบิน เพื่อบอกคนใช้สนามบินว่ารัฐบาลนี้ไม่ดำเนินการอะไรกับคนที่เคยยึดสนามบิน แต่คนธรรมดากลับโดนบี้อย่างหนัก เหมือนกับที่ผมโดน เสียเงินซื้อที่ดินอย่างถูกต้อง เซ็นชื่อให้เมียไปซื้อกลับโดนจำคุก แต่อีกคนไม่เสียอะไรเลย ไปเอาที่ดินป่าสงวนมากลับได้รับการคุ้มครองจากรัฐ แต่ไม่เป็นไร ผมจะแสวงหาความเป็นธรรมอย่างถึงที่สุด อีกอย่างวันนี้มันใกล้ถึงวันตัดสินคดียึดทรัพย์ ผมและครอบครัวก็ปรากฎว่ามี คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ) ไร้มารยาท ออกมาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือน 25 เปอร์เซ็นต์จะเป็นแรงจูงใจให้ออกมาพูด จึงอยากจะบอกว่าต้องขอให้ศาลตัดสินออกมาก่อนแล้วค่อยพูด ไม่ต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ 25 เปอร์เซ็นต์นี้หรอก เพราะมันเป็นการปล้นทรัพย์ ไปทำมาหากินอย่างอื่นดีกว่า ผมบอกเลยว่าผมจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้ถึงที่สุด" พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว


ที่มา: มติชนออนไลน์

วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553

จาตุรนต์ ฉายแสง : ตั้งคำถามถึงนายกฯและผู้มีอำนาจ กรณีคดียึดทรัพย์


จาตุรนต์ ฉายแสง

ที่ผ่านมาผมไม่ได้แสดงความเห็นเรื่องคดียึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัว มาถึงวันนี้ก็ไม่อยู่ในฐานะที่จะอธิบายเรื่องนี้ได้เนื่องจากไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับความถูกต้องหรือไม่ของทรัพย์สินนี้ แต่ที่จะแสดงความเห็นต่อไปนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับกรณีนี้ที่ผมเห็นว่ากำลังเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้นอย่างชัดเจน สิ่งที่เกิดขึ้นกำลังจะมีผลเสีย เป็นปัญหามากขึ้นต่อกระบวนการยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นห่วงว่ารัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลกำลังวางแผนกันอย่างเป็นระบบเพื่อใช้กรณีนี้ ใส่ร้ายประชาชนที่เคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยหรือแม้กระทั่งอาจลามปามไปถึงขั้นปราบปรามประชาชนด้วย

กรณีทรัพย์สินของพ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวควรถูกยึดหรือไม่ คงต้องให้ผู้ที่รู้ข้อมูลจริงๆเป็นผู้อธิบาย และเมื่อมีคำวินิจฉัยออกมาแล้วก็คงเป็นหน้าที่ของนักวิชาการ นักกฎหมายและผู้สนใจจะศึกษาได้วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเหมาะสมให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไป แต่ที่เห็นความไม่เป็นธรรมอย่างชัดเจนที่เกิดขึ้นแล้วมี ๓ ประเด็นด้วยกัน

๑) การใช้ คตส. ซึ่งคณะรัฐประหารแต่งตั้งขึ้นมาจากบุคคลที่ประกาศตนเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับพ.ต.ท.ทักษิณอย่างโจ่งแจ้งมาทำหน้าที่ในการสอบสวน โดยไม่จำเป็นต้องทำตามกฎหมาย เนื่องจากได้รับการคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญมาตรา๓๐๙

๒) ผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งจงใจ สั่งการ และปล่อยปละละเลยให้มีการแสดงความเห็นต่อคดีนี้ในลักษณะพูดฝ่ายเดียว คือ พูดแต่ในทางที่เป็นผลร้ายต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือปัจจุบันคือจำเลย สร้างกระแสให้ยึดทรัพย์ เข้าข่ายกดดันศาลกันตามอำเภอใจ ผู้ที่กระทำการดังกล่าวนี้มีทั้งคนสำคัญในรัฐบาล พันธมิตรฯ สื่อมวลชนบางรายโดยเฉพาะสื่อมวลชนของรัฐบาล และล่าสุดคืออดีตกรรมการคตส.เอง โดยที่สังคมเกือบไม่มีโอกาสได้ยินคำอธิบายชี้แจงของอีกฝ่ายหนึ่งเลย

๓) มีการสร้างกระแสโดยรัฐบาลและผู้สนับสนุนรัฐบาลผ่านสื่อมวลชนของรัฐอย่างต่อเนื่องเพื่อใส่ร้ายการเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยว่า ต้องการใช้ความรุนแรงเพื่อกดดันศาลและจะเกิดความรุนแรงอย่างมากหลังการตัดสินคดี ทั้งๆที่ยังไม่มีใครรู้ผลของการตัดสินคดีนี้ การใส่ร้ายที่ผ่านสื่อของรัฐบาลยังได้เลยเถิดไป การสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นต่อประชาชนด้วยการกล่าวหาว่าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องการล้มล้างสถาบัน จนอาจมองได้ว่ารัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงกำลังสร้างเงื่อนไขเตรียมการในการปราบประชาชน

ผมมีข้อข้องใจและคำถามที่ขอถามไปยังนายกรัฐมนตรีว่า การที่นายกรัฐมนตรีและพวก พูดในทางคาดการณ์ว่าหลังการตัดสินจะมีความรุนแรงมากขึ้นนั้น นายกรัฐมนตรีกับพวกรู้ผลการตัดสินคดีนี้กันล่วงหน้าแล้วหรืออย่างไร เหตุใดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลนี้ จึงปล่อยให้สื่อมวลชนของรัฐบาลกดดันศาลและยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังในลักษณะปูทางไปสู่การปราบปรามประชาชน

นอกจากนี้ขอถามไปยังผู้มีอำนาจหน้าที่ว่า เหตุใดจึงปล่อยให้มีการพูดสร้างกระแสที่หวังผลต่อคดีและต้องการให้สังคมตัดสินไปเสียก่อนศาลกันอย่างนี้ และจะเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายหนึ่งเขามีโอกาสชี้แจงเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมจากสังคมบ้าง

ถึงแม้ว่าคดีนี้เป็นเรื่องการยึดทรัพย์ของคนครอบครัวเดียว ที่อาจไม่ใช่เรื่องที่คนทั้งประเทศจะต้องเป็นทุกข์เป็นร้อนแทน แต่เรื่องนี้ก็เป็นที่สนใจของคนจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือผลที่จะเกิดขึ้นต่อความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมและการยึดหลักนิติธรรมของประเทศ

ไม่แน่ว่า เมื่อผลตัดสินออกมาจะเป็นปัญหาต่อระบบยุติธรรมและหลักนิติธรรมของประเทศเหมือนกับอีกหลายๆกรณีหรือไม่ เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใฝ่หาความยุติธรรมทั้งหลายต้องช่วยกันติดตาม

ที่มา:ประชาไท

วันกองทัพไทย…โฟกัสทหารกับประชาธิปไตย


18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันกองทัพไทย ในปี 2553 นี้ลองมาสำรวจบทบาทของทหารผ่านสายตาของนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์กันดู ว่าเห็นอย่างไรกันบ้าง
จากการประมวลทรรศนะของนักวิชาการหลายคนต่างมองว่า บทบาทของทหารที่นอกเหนือจากการป้องกันประเทศซึ่งเป็นหน้าที่หลักแล้ว ได้ถูกสังคม (บางส่วน) กำหนดไว้ให้เป็นที่พึ่งในยามยาก ด้วยความที่ไทยไม่สามารถเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ความไม่เข้าใจในประชาธิปไตย ตลอดจนการที่กลไกทางการเมืองบนพื้นที่ที่ถูกต้องไม่สามารถสนองความต้องการของประชาชนหรือแก้ไขปัญหาที่ประชาชนประสบในชีวิตประจำวันได้ จึงเกิดเป็นความต้องการ “ตัวช่วย” อันเป็นที่มาของการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นในสังคมไทยบ่อยครั้ง
อาจกล่าวได้ว่าการพัฒนการเมืองไทยทุก 3 ปี 1 เดือนกับอีก 4 วันเศษ ก็จะมีรัฐประหารเกิดขึ้นครึ้งหนึ่ง จากจำนวนรัฐประหารทั้งหมด 24 ครั้ง ที่มีอัตราการสำเร็จค่อนข้างสูงอยู่ที่ร้อยละ 54.17


วังวนแห่งรัฐประหาร
พลเอก ดร.ศุภลักษณ์ สุวรรณะชฎ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้ทำการวิจัยเรื่อง “ทหารกับการเมืองไทย : วังวนแห่งรัฐประหาร” พบว่า ปัจจัยที่ทำให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมือง คือ ปัจจัยจากภายในประเทศ (สถาบัน/กองทัพ และเงื่อนไขในการทำรัฐประหาร) โดยในอดีตที่ผ่านมาทหารไทยมักจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองในลักษณะที่เรียกว่า “เล่นการเมืองแบบที่ต้องการอยู่เหนือการเมือง” คือ ทหารจะเข้าแทรกแซงทางการเมืองโดยเป็นผู้นำที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นหรือโดย การใช้อิทธิพลอยู่เบื้องหลังนักการเมืองหรือฝ่ายพลเรือน เนื่องจากทหารมักจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ส่วนใหญ่ของการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของทหารไทยจึงมักจะเข้ามาในรูปแบบของ การได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลพลเรือนให้ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในการบริหาร ประเทศ
การทำรัฐประหารเป็นมากกว่าการเข้ายึดอำนาจจากรัฐมาเป็นของทหาร นั่นหมายถึง รัฐประหารหยั่งรากลึกลงไปในสังคมที่ประกอบด้วยสภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งยากที่จะแก้ไขเปลี่ยนแปลง รัฐประหารถือเป็นทางออกของการเมือง ถ้าการเมืองถึงทางตันไม่สามารถทำอย่างอื่นได้ จะมีการเรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหาร วงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่มีรัฐประหารเป็นองค์ประกอบหลักที่สำคัญจึงยากที่ จะหลุดพ้นไปจากการเมืองไทย รัฐประหารอาจเกิดขึ้นได้เสมอ เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น

ในอนาคตถ้าประเทศไทยประสบปัญหาทางการเมืองเศรษฐกิจและสังคมที่แตกแยกและ สับสนวุ่นวาย โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารครั้งต่อไปย่อมมีความเป็นไปได้สูงและอาจไม่ทิ้ง ช่วงระยะเวลานานเกินไป เพราะผู้ทำรัฐประหารครั้งต่อไป จะพิจารณาศึกษาจากตัวอย่างการทำรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อง 19 กันยาย 2549 ซึ่งได้รับการต้อนรับจากประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการทำรัฐประหารครั้งใหม่อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่ไกลเกินความจริง และนั่นหมายความว่าวงจรอุบาทว์หรือวัฎจักรแห่งความชั่วร้ายทางการเมืองมี โอกาสที่จะอยู่คู่กับสังคมไทยเสมอ

ทหารอาชีพกับประชาธิปไตย
ดร.อมร วาณิชวิวัฒน์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ข้อเสนอแนะไว้ในบทวิจัยเรื่องทหารอาชีพกับประชาธิปไตยว่า การปรับปรุงพัฒนากองทัพและสถาบันทางการเมืองให้เกิดระยะห่างที่เหมาะสมใน การไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เป็นการวางกรอบแนวความคิดต่อการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยที่มีเอกลักษณ์สำหรับ สังคมไทยได้อีกทางหนึ่ง
เมื่อประเทศไทยเป็นระบบการเมืองแบบหลายพรรคหรือในรูปแบบของรัฐบาลผสม จะเป็นปัญหาสำคัญต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพราะความไม่มั่นคงและการต่อรองทาง การเมืองที่หากมีพรรคเล็กพรรคน้อยรวมตัวกันจัดตั้งเป็นรัฐบาลเป็นจำนวนมาก เท่าใด ก็จะยิ่งทำให้เกิดความแปรปรวนต่อเสถียรภาพความมั่นคงของรัฐบาลมากขึ้น และจะมีผลทำให้การปรับเปลี่ยนแนวนโยบายรวมทั้งความคิดริเริ่มที่จะปรับปรุง กองทัพให้เป็นทหารอาชีพมีความเป็นไปได้ค่อนข้างจำกัด

เหตุผลข้างต้นจึงทำให้ความคิดต่อการเข้าไปดำเนินการใดๆ ที่อาจกระทบต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกองทัพยังคงเป็นสิ่งที่ นักการเมืองไม่ประสงค์ที่จะให้บังเกิดขึ้น เพราะเกรงจะได้รับผลสะท้อนกลับในทางที่ไม่พึงปรารถนา ด้วยมีความสัมพันธ์กับกองทัพในระบบอุปถัมภ์เชิงอำนาจ (Patron-client system) ที่รู้จักกันดีและยึดถือยอมรับกันอย่างยิ่งยวดในช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงทาง การเมืองก่อนเหตุการณ์เดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 และก่อนเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ได้กลับมามีความชัดเจนและเป็นที่ยอมรับอีกครั้งภายหลังหตุรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

บทสรุปอนาคตสังคมไทยกับบทบาททหาร
ภายหลังจากที่ กกต. ประกาศรับรองผู้แทนราษฎรครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดแล้ว ประเทศไทยก็เหมือนกับก้าวเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยเต็มใบอีกครั้ง ภายหลังจากการทำรัฐประหารโดยทหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ผ่านมาซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ทำให้ไทยตกอยู่ภายใต้การปกครองที่มีทหารเป็น ผู้อำนวยการจัดการ
ประชาธิปไตยครั้งใหม่ของรัฐบาลใหม่ ภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2550 แม้จะเป็นฉบับใหม่ (อีกแล้ว) ในครั้งที่ 19 แล้วก็ตาม แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่มีการให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมโดยการออก เสียงลงประชามติ ก็นับเป็นย่างก้าวที่ดีที่สังคมไทยจะเกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการ บริหารปกครองประเทศ ไม่ให้อำนาจในการบริหารและการปกครองประเทศตกอยู่ในคนกลุ่มน้อยเพียงร้อยละ 20 ที่เป็นเจ้าของอำนาจการเมืองและอำนาจทุนเท่านั้น

ถึงเวลาที่คนไทยร้อยละ 80 จะมีอำนาจในการบริหารประเทศแบบมีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดความพอใจในทุกระดับ ชั้น และหวังว่าจะไม่ต้องอาศัยการปฏิวัติจากกองกำลังทหารมาช่วยส่งเสริม ประชาธิปไตยอีกต่อไป

ที่มา:โต๊ะข่าวประชาธิปไตย

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

สลากกินแบ่งฯ ‘ขาย 120’ พวกท่านเพิ่งรู้หรือ?



เป็นเรื่องแปลกประหลาดยากที่จะเชื่อได้ว่า “กรณ์ จาติกวณิช” และ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เพิ่งมารู้เมื่อ 2-3 วันนี้ว่า...สลากกินแบ่งรัฐบาล (ลอตเตอรี่) ที่ขายกันอยู่ทั่วไปนั้น...ขายกันในราคา 110 - 120 บาท เป็นไปได้อย่างไรครับเรื่องที่กระทบ “ผู้มีรายได้น้อย” จำนวนกว่า 30 ล้านคนเด็กไร้เดียงสาสองคนนี้ไม่รู้

เรื่องอะไรเลยหรือ?หากเป็นเช่นนั้นจริง...แสดงว่าเด็กสองคนนี้ไม่เอาใจใส่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมากของประเทศเลยแม้แต่น้อยสมแล้วที่มีคนตั้งฉายาให้เป็น “เด็กโง่และดื้อ”และที่สำคัญยิ่ง ก็คือ เมื่อคุณไม่สนใจในชีวิตความเป็นอยู่ของคนเช่นนี้ พวกคุณก็ไม่สมควรที่จะเป็นรัฐบาลอยู่ต่อไปแล้วครับ!ผมคิดว่า...เด็กสองคนนี้รู้ครับว่ามีการขายสลากกินแบ่งเกินราคา ฉบับละประมาณ 40 บาท(ราคาปกติ 80 บาท)เมื่อคูณด้วยจำนวนประมาณ 60 ล้านฉบับเข้า

ไป ก็จะพบว่า ในแต่ละงวด น่าจะมีเงินประมาณ 2,400 ล้านบาท หรือเดือนละประมาณ 4,800 ล้านบาทปลิวเข้ากระเป๋าใครต่อใครหลายคน?ซึ่งอาจหนีไม่พ้น “คนที่มีอำนาจ” ในรัฐบาลชุดนี้...รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนในบางท้องที่ทำให้คนในรัฐบาลต้องปิดปากเงียบ...ทำเป็นไม่รู้เรื่องมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ?แล้วก็เพิ่งสองสามวันมานี้เองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางสถานีจับผู้ค้ารายย่อยบางคนในข้อหา ค้าสลากเกินราคาโถ...นั่นมันปลาซิวปลาสร้อยครับ!แล้วนี่ก็ผู้

ค้ารายย่อยเช่นกันนะครับออกมาเปิดเผยว่า...มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นสาเหตุสำคัญของการขายสลากเกินราคาโดยระบุชื่อด้วยนะครับว่าชื่อ “เจ๊แดง” กับ “เจ๊เสลี่ยง”สองเด็กน้อยเคยได้ยินบ้างไหมครับ...พรรคประชาธิปัตย์รู้จักบ้างหรือเปล่า เห็นมีข่าวว่าเจ๊พวกนี้ชอบเดินเข้าออกที่ทำงานของนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์บางคนบ่อยๆผมเห็น “กรณ์ จาติกวณิช” ออกมาทำท่าเอาจริงกับเรื่องขายสลากเกินราคาในสองสามวันนี้...แล้วเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนทำไมคุณไม่

เอาเรื่องเอาราวตั้งแต่คุณเข้ามาเป็นรัฐบาลเมื่อปีกับเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมาเล่าครับ คุณโดน “คุณชายอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ตะบันหน้าอย่างจังเลยใช่ไหม?ที่คุณชายได้กล่าวไว้ว่า...นี่แหละเป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ของพรรคการเมืองขนาดใหญ่แล้วนี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็อีกคนที่ออกมาพูดลอยหน้าลอยตาว่า...จะเปลี่ยนเครื่องขายหวยออนไลน์เป็นเครื่องขายสลากกินแบ่งแทนนี่เท่ากับคุณยอมรับข้อเขียนของ “คุณชายอุ๋ย” ว่าเป็นเรื่องจริงแล้วใช่หรือไม่?พวก

คุณก็เลยพยายามที่จะปัดป้องความเน่าเฟะที่ถูกกระชากหน้ากากออกมา แล้วคำอธิบายของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่บอกว่า...ต้องการกำจัดอบายมุขไม่ให้เยาวชนศีลธรรมเสื่อมด้วยการมาซื้อหวยออนไลน์หายไปไหนเสียเล่าครับคราวนี้มันต่างอะไรกันครับ...ที่เอาเครื่องมาออกสลากกินแบ่งกับออกกระดาษที่เป็นหวยสองตัวหวยสามตัวเพราะหวย 2 – 3 ตัวดังกล่าวนั้น...มันเกาะเกี่ยวโดยตรงกับสลากกินแบ่งรัฐบาลนั่นเองนี่ “คุณชายอุ๋ย” เปิดโปงเฉพาะเรื่องที่ ยี่ปั๊วราย

ใหญ่ เป็นท่อน้ำเลี้ยงขนาดยักษ์ให้พรรคการเมืองขนาดใหญ่เพียงประเด็นเท่านั้นเองนะครับที่เป็นสาเหตุทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องออกมาบอกเลิกหวยออนไลน์ เพราะกลัวว่าต่อไป อาจจะต้องใช้ตู้อิเล็กทรอนิกส์ออกสลากนอกจากนี้สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ไม่ได้พูดถึง ก็คือ เรื่องหวยใต้ดิน หวยเถื่อนซึ่งว่ากันว่าเป็นแหล่งเงินสำคัญในการสนับสนุนให้ “คนกลุ่มหนึ่ง” โค่นล้มรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร และอาจจะเป็นแหล่งเงินสำคัญของพรรคการเมืองบางพรรคด้วยพวก

คุณเสมือนคนที่ “ทำความผิด” แต่ไม่ยอมรับสารภาพ...จึงตอบโต้เฉพาะเรื่องเฉพาะราวเป็นปฏิกิริยาฉับพลันเพียงเท่านั้นเรื่องนี้ คุณสังศิต พิริยะรังสรรค์ ได้ระบุไว้ในงานวิจัยแล้วและในตอนหลังก็ได้ออกมาให้ความคิดเห็นว่า...การยกเลิกหวยออนไลน์อาจจะทำให้หวยใต้ดินกลับมาเจริญรุ่งเรืองใหญ่โตโดยที่เงินหวยใต้ดินมีจำนวนไม่ต่ำกว่าปีละสามแสนล้านบาท และเจ้ามือได้กำไรไม่ต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาทครอบคลุมวงการยาเสพติด ซุ้มมือปืน การค้ามนุษย์ เจ้าพ่อ

อิทธิพลทุกชนิดด้วยโดยคุณสังศิตได้ระบุว่า...หวยใต้ดินลดน้อยลงหรือกล่าวได้ว่าหายไปในยุคทักษิณที่นำขึ้นมาบนดินแต่นี่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โต้แย้งทุกครั้งที่พูดว่า ไม่เป็นความจริง หวยบนดินไม่ได้ทำให้หวยใต้ดินลดลงท่านผู้อ่านจะเชื่อใครระหว่างสังศิต กับหล่อหลักลอยอภิสิทธิ์?ทั้งหมดนี้เป็นการเปิดเผยให้เห็นชัดแล้วใช่หรือไม่ว่า...การเลิกหวยออนไลน์น่าจะเป็นการรักษาผลประโยชน์ของยี่ปั๊ว และของพวกหวยใต้ดินจึงน่าจะเป็นการเรียกร้องหรือยื่นคำขาดมาจาก

พวกนี้ไม่ใช่หรือ?อย่ามาแสดงบทผู้มีศีลธรรมจริยธรรมสูงส่งหน่อยเลย แล้วอย่ามาทำท่ากระตือรือร้นแก้ปัญหาสลากเกินราคาไปเลยผมคาดการณ์ว่า...ถึงอย่างไรรัฐบาลหล่อหลักลอยก็คงไม่แก้ปัญหาเรื่องสลากเกินราคาและไม่แก้ปัญหาเรื่องหวยใต้ดินแต่อย่างไรคงปล่อยให้มันเจริญเติบใหญ่หยั่งรากลึกแตกกิ่งก้านไพศาลออกดอกออกผลต่อไปเฉกเช่นที่รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้มันเป็นมาเกือบหนึ่งปีหนึ่งเดือนแล้วครับ 