--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553

ถ้าบนเขายายเที่ยง คือบ้านพัก ทักษิณฯ


ที่มา:เว็บบอร์ดประชาไท

คงจะติดคุก ตั้งแต่ ทราบเรื่องแล้วล่ะน่ะ
คงไม่ต้อง คิดอะไรต่อเลย

ขนาดเมียซื้อประมูล จากกองทุกฟื้นฟูฯ ร้อนเงิน เร่ออกขายทิ้งแท้ๆ
ซื้อมากกว่าราคาแท้ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับ โกงเงินโกงทรัพย์ชาติบ้านเมือง หอกอะไร
แถมที่ดิน ก็นำไปใช้ประโยชน์อะไร ไม่เคยได้

ยังมีคุณอุตสาห์ ไปขู่กองทุนฟื้นฟู ที่เขาอุตสาดีใจขายออก ได้เงินเข้าหลวงเยอะ
ว่าให้รีบดำเนินการ แจ้งความซะ แล้วก็มีกระบวนการจะเอาผิด ผลิตเรื่อง และหลักฐาน
อะไรอื่นๆ ไว้รอไว้แล้ว จนถึงขึ้นสุดท้าย ติดคุกนั้นเอง

......................

ถ้าสมมุติ แปลว่า เป็นไปไม่ได้ หรืออธิบายให้เห็นชัดๆ ถ้าคนนั้นไม่ นรกส่งมาเกิดจริงๆ
ไม่ไปขู่ชาวบ้านแล้ว เอามาเป็นของตนเอง เฉยๆ แบบไม่มีเจตนา

สมมุติว่า ทักษิณ สลับจาก องคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ อดีตนายกไทย ยุค คมช.. ไปมีบ้านพัก
ตากอากาศ อยู่บนเขายายเที่ยง

คงมีพวกลาภ ยศหนักศักดิ์ใหญ่ ทั้งหมดในแผ่นดิน และองคมนตรีทั้งหมด ออกมาลงชื่อ เรียงหน้าประนาม
จากทุกชาติตระกูลใดๆ
นักวิชาการทั้งหมด อธิการบ่ดี ทุกมหาวิทยาลัย ออกมาประท้วง
พรรค ปชป ตั้งแต่แม่บ้าน คนสวน จนถึง ที่ปรึกษาพรรค ต้องออกมาด่า กล่าวหาใส่ร้าย อย่างสาดเสียเทเสีย
สื่อจรยธรรมสูงในประเทศไทย ต้องออกมาลากใส้ ทุกต้นชั่วโมง
กระบวนการตุลาการทั้งหมด คงออกมาให้ข้อคิดทางกฏหมายว่า ผิดแน่นอน

ประมวลความได้แล้ว ทักษิณ น่าจะ ได้รับผลการมีที่พักตากอากาศ สูงสุด คือ ประหาร 7 ชั่วโคตร

............................

คุณเบื่อไหม ที่ดูข่าว ตอนนี้ จะมีการบอกว่า ผู้ใกล้ชิด
พลเอกสุรยุทธ์ บอกว่า จะคืน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มาวันนี้ คนไทย ไม่มีใครเชื่อ มัน เอ๊ย ท่านอีกแล้วละครับ

ถ้าจะคืน ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว กระมัง

จำได้ไหม ที่ สปก4-01 พรรคควายที่ไหนเกี่ยวข้อง
ขนาดศาลสั่งให้ คืนเพราะผิด

คนโง่ๆ ควายๆ ที่เป็นคนแจก ไม่ปรากฏว่า มีความผิดอะไร
จนป่านนี้ คงเชื่อว่า ไม่เจตนาแจกคนรวยพวกเดียวกันนั้นเอง

ทั้งๆที่ ความผิด มันเกิดขึ้น หมดแล้ว

สุดยอดไหมละ ประเทศไทย

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

ไข่มาร์คราคาตก เหลือฟองละ 2 บาท


ที่มา:เดลินิวส์

เกษตรกรแย่ขาดทุน 30 สตางค์ โวยนายทุนทุ่มตลาด ผลิตไข่ไก่ทะลัก ทำรายย่อยใกล้ตาย จี้รัฐล้มคอก

เมื่อ วันที่ 11 ม.ค. นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ เปิดเผยว่า เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่กำลังประสบปัญหาไข่ไก่ราคาตกต่ำ และล้นตลาด โดยขณะนี้ราคาไข่ไก่หน้าฟาร์มชนิดคละขายฟองละ 2 บาท ต่ำกว่าต้นทุนเลี้ยงเฉลี่ยฟองละ 2.30 บาท ขาดทุนฟองละ 30 สตางค์ ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากมีนายทุนผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่ ใช้วิธีทุ่มตลาดผลิตไข่ไก่ส่วนเกินออกมามาก จนทำให้ราคาตลาดตกต่ำ ส่งผลให้เกษตรรายย่อยอยู่ไม่ได้ เพราะมีต้นทุนการเลี้ยงสูงกว่ารายใหญ่

“หากปล่อยไปเช่นนี้ ผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยคงอยู่ไม่ได้และอาจต้องเลิกเลี้ยงไปในที่สุด จึงอยากให้ภาครัฐช่วยดูแล เพราะเกี่ยวข้องกับผู้เลี้ยงรายย่อยหลายหมื่นครัวเรือน ขณะที่รายใหญ่มีเพียง 10 รายเท่านั้น รวมทั้งหากปล่อยให้แข่งขันไม่เป็นธรรมจะส่งผลเสียต่อระบบไข่ไก่ในอนาคต นอกจากนี้ต้องการให้ดูแลเรื่องต้นทุนอาหารเลี้ยงไก่ไข่ โดยเฉพาะข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ทีเวลาราคาตลาดขึ้นก็ปรับราคาขึ้น แต่พอตลาดลงกับไม่ยอมลดราคา”

ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวหลังได้รับหนังสือร้องเรียนจากสมาคมผู้เลี้ยงไข่ไก่ว่า เร็วๆ นี้จะเชิญกลุ่มผู้เลี้ยงไก่ไข่รายใหญ่มาร่วมหารือเพื่อขอความร่วมมือในการ แก้ปัญหาไข่ไก่ล้นตลาด และพิจารณาว่ามีพฤติกรรมการทุ่มตลาดจริงหรือไม่ เนื่องจากปริมาณไข่ไก่ปี 53 มีแนวโน้มสูงขึ้น 3.2% หรือเพิ่มจากปีที่แล้วที่มี 9,902 ล้านฟอง เป็น 10,219 ล้านฟอง ขณะที่ปริมาณการบริโภคยังใกล้เคียงจากเดิมที่ 9,819 ล้านฟอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะไข่ไก่ล้นตลาด และผู้เลี้ยงขาดทุนเพิ่มได้

“สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาไข่ไก่ตกลงมากถึงฟองละ 10-30 สตางค์ เนื่องจากมีผลผลิตล้นตลาดเพิ่มเป็น 1-2 ล้านฟองต่อวัน ซึ่งกระทรวงฯจะเร่งนำปัญหาเข้าหารือในที่ประชุม ครม.เพื่อออกมาตรการช่วยเหลือโดยด่วน”

รายงานข่าวแจ้งเพิ่มว่า ราคาไข่ไก่เฉลี่ยของแต่รัฐบาลในช่วง 5 ปีหลังสุด พบราคาไข่ไก่ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีราคาเฉลี่ยสูงสุดที่ฟองละ 2.71 บาท สูงกว่าราคาไข่ไก่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี 48 ที่เฉลี่ยฟองละ 2.68 บาท ปี 49 เฉลี่ยฟองละ 2.18 บาท แต่ขณะนี้ราคากับลดลงเหลือฟองละ 2 บาท ส่วนรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ปี 50 เฉลี่ยฟองละ 2.32 บาท และปี 51 สมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ ราคาเฉลี่ยฟองละ 2.65 บาท.

หม่อมอุ๋ย"แฉ เบื้องหลังล้มหวยออนไลน์ ยี่ปั๊วสลากกินแบ่งต่อท่อน้ำเลี้ยง"บิ๊ก ปชป".เสียประโยชน์


ที่มา:มติชนออนไลน์
นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรค เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 มกราคม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทบเขียนบทความเรื่อง "เป็นห่วงเด็ก หรือ กลัวผู้ใหญ่" ลงในหนังสือพิมพ์"มติชน"รายวันมีสาระสำคัญคือ มีการผูกขาดสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยยี่ปั๊วรายใหญ่เพียง 5 ราย ทำให้สลากกินแบ่งมีราคาแพงถึงฉบับละ 110 บาท เกินกว่าที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาท ทั้งๆที่ พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้ใช้จัดสรรส่วนแบ่งรายได้เป็นค่าใช้จ่ายได้ถึง 12% หรือฉบับละ 9.60 บาท พร้อมกับการตั้งข้อสงสัยว่า การที่นายกรัฐมนตรีสั่งให้ทบทวนการอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติหรือหวยออนไลน์เป็นเพราะมียี่ปั๊วมีสลากกินแบ่งรายใหญ่ซึ่งผูกขาดดารขายสลากกินแบ่งรัฐบาลดังกล่าวต่อท่อน้ำเลี้ยงกับนักการใหญ่ในพรรคการเมืองใหญ่

แม้ ม.ร.ว.ปรีดียาธรมิได้เอ่ยชื่อพรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าว แต่เมื่อมีการระบุว่า เป็นพรรคฝ่ายค้านสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ทำให้รู้กันว่า พรรคการเมืองใหญ่ดังกล่าวคือพรรคประชาธิปัตย์

สำหรับบทความของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรมีรายละเอียดดังนี้

สัปดาห์ที่แล้วนายกรัฐมนตรีทำให้คนประหลาดใจ อีกครั้งด้วยการออกมาให้ความเห็นว่าไม่เห็นด้วยกับการให้ประชาชนซื้อลอตเตอรี่ผ่านเครื่องที่ขายโดยอัตโนมัติ ทั้งๆที่คณะกรรมการกองสลากได้มีมติให้ออกหวย 2 ตัว และ 3 ตัวขายผ่านเครื่องดังกล่าวโดยกำหนดวันขายครั้งแรกแล้วในต้นเดือนมีนาคม และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเตรียมการตามมติดังกล่าวด้วยเข้าใจว่าเรื่องนี้คงจะได้รับอนุมัติโดยรัฐบาลแล้วคณะกรรมการกองสลากจึงได้มีมติเช่นนั้น จู่ๆ นายกรัฐมนตรีก็แสดงความเห็นที่ไม่เห็นด้วย เกิดอะไรขึ้น!

ก่อนอื่นขอเล่าย้อนถึงที่มาของการที่จะใช้เครื่องขายลอตเตอรี่แทนคนเสียก่อน เนื่องจากข้อมูลที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์หลายฉบับยังสับสนอยู่ เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าราคาขายของสลากกินแบ่งที่ผู้ซื้อสลากต้องจ่ายสูงกว่าราคาขายที่กองสลากมาเป็นเวลานานแล้ว สมัยที่กองสลากกำหนดราคาขายที่ฉบับละ 10 บาท ก็ขายกันอยู่ที่ฉบับละ 11 บาทบ้าง 12 บาทบ้าง และปัจจุบันสลากกินแบ่งซึ่งกองสลากกำหนดให้ขายฉบับละ 80 บาทนั้น ผู้ซื้อสุดท้ายต้องซื้อในราคาฉบับละ 110 บาท ผลต่าง 30 บาทนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

มีคนพยายามอธิบายว่าในการจำหน่ายสลากกินแบ่งให้ทั่วถึงทั่วประเทศจำเป็นต้องจัดเครือข่ายของคนขายเป็นหลายระดับ ตั้งแต่ระดับแรกที่รับซื้อจากกองสลากไปจัดจำหน่ายต่อที่เรียกว่ายี่ปั๊ว ซึ่งเท่าที่ทราบมี 5 รายใหญ่ ซึ่งนำสลากที่รับซื้อมาทั้งหมดไปกระจายต่อไปยังผู้จัดจำหน่ายระดับรองลงไป และกระจายต่อไปจนถึงผู้ขายปลีกในขั้นสุดท้าย เนื่องจากมีหลายระดับขั้นจึงต้องเพิ่มราคาขายในขั้นสุดท้ายขึ้นเพื่อให้ผู้จำหน่ายแต่ละระดับมีรายได้คุ้มกับค่าใช้จ่ายและค่าเหนื่อยในการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ผู้จัดจำหน่ายที่รับซื้อสลากไปจากกองสลากแล้ว หากขายออกไม่หมดยังต้องรับซื้อไว้เองซึ่งเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มอีกส่วนหนึ่งด้วย

ฟังเผินๆก็ดูมีเหตุผลดี แต่เมื่อพิจารณาให้ละเอียด พบว่า ในการจำหน่ายสลากนั้น พ.ร.บ.สลากกินแบ่งอนุญาตให้แบ่งส่วนรายได้จากการขายเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายถึงร้อยละ 12 อยู่แล้ว ซึ้งหมายความว่าในราคาสลากที่กำหนดไว้ฉบับละ 80 บาทนั้นมีส่วนที่เตรียมไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายอยู่แล้วถึง 9.60 บาท และแม้ว่าผู้จำหน่ายระดับยี่ปั๊วจะต้องรับภาระสลากที่ขายไม่ออก แต่ความรู้เกี่ยวกับสถิติการจัดจำหน่ายที่ทำอยู่เป็นประจำก็น่าจะช่วยให้ยี่ปั๊วทุกรายสามารถประมาณจำนวนที่ควรรับไปจำหน่ายได้ใกล้เคียงกับยอดที่จะขายได้จริงไม่น่าจะมีจำนวนที่เหลือขายมากนัก

ถ้าเปิดโอกาสให้มียี่ปั๊วรายใหม่เข้าไปแข่งขันเพิ่มขึ้นหรือถ้ายี่ปั๊วรายใหญ่ที่มีอยู่เดิมแข่งกันอย่างจริงจัง ราคาสุดท้ายไม่น่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปถึง 110 บาทดังที่เป็นอยู่ได้เลย

แต่เป็นที่น่าเศร้าใจที่ในโลกแห่งความเป็นจริง ยี่ปั๊วรายใหญ่ไม่ได้แข่งขันกันอย่างจริงจัง มียี่ปั๊วรายใหญ่ที่สุดเป็นแกนกลางประสานประโยชน์ จัดระบบการจำหน่ายทั้งเครือข่ายและกำหนดราคาจัดจำหน่ายในขั้นต่อๆไป

ผู้เขียนเข้าใจดีว่าผู้จัดจำหน่ายรายย่อยจะต้องมีรายได้ในการจัดจำหน่ายเพื่อใช้จ่ายในการยังชีพ แต่เท่าที่ทราบมาผู้จัดจำหน่ายรายย่อยนั้นได้รับส่วนแบ่งรายได้ไม่มากนัก รายได้ขนาดใหญ่ตกอยู่กับยี่ปั๊วระดับแรกซึ่งเป็นผู้จัดระบบทั้งหมด

ระบบนี้มีมานานหลายสิบปีและยี่ปั๊วรายใหญ่เหล่านี้ก็ได้รับประโยชน์มานานแล้ว ทำไมจึงไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงระบบนี้ได้ และทำไมจีงปล่อยให้ผู้ซื้อสลากซึ่งจำนวนไม่น้อยเป็นผู้มีรายได้ต่ำต้องรับภาระราคาส่วนเพิ่มที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าว มาโดยตลอด

คำตอบก็คือยี่ปั๊วชุดนี้มีผู้นำที่เก่งมาก เป็นผู้ประสานประโยชน์ที่มีความสัมพันธ์ทีดีกับนักการเมืองในพรรคขนาดใหญ่พรรคหนึ่ง และเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่สำคัญสำหรับพรรคการเมืองนั้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว

ย้อนไปเมื่อกว่า 20 ปีมาแล้วเมื่อพรรคขนาดใหญ่ดังกล่าวเป็นฝ่ายค้าน พรรคการเมืองคู่แข่งที่อยู่ในรัฐบาลพยายามเปลี่ยนระบบจัดจำหน่ายให้เป็นธรรมขึ้น เตรียมจัดให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนการจำหน่ายด้วยคนเพื่อมิให้มีการโก่งราคากันอีกต่อไป จึงได้จัดให้มีการจัดซื้อเครื่องขายสลากซึ่งมีการประมูลกันอย่างนับว่ายุติธรรมมากด้วยมีคุณสุธี อากาศฤกษ์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตของแผ่นดินเป็นประธานในการตัดสินการประกวดราคา ซึ่งสรุปผลการประกวดราคาได้เสร็จตั้งแต่รัฐบาลนั้น แต่ยังไม่ทันได้ส่งมอบเครื่องขายสลากดังกล่าวก็มีการเปลี่ยนรัฐบาล และพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับยี่ปั๊วสลากรายใหญ่เข้ามาอยู่ในรัฐบาลอีก จึงมีการถ่วงไม่ให้มีการส่งมอบเครื่องดังกล่าวต่อไปอีก

ต่อมาเมื่อพรรคไทยรักไทยเข้าเป็นรัฐบาล พรรคขนาดใหญ่นั้นก็กลับไปเป็นฝ่ายค้านอีก กองสลากจึงดำเนินการเจรจากับบริษัทผู้ขายเครื่องจำหน่ายสลากซึ่งประกวดราคาเสร็จไว้แล้วต่อไป จะด้วยเหตุผลใดไม่ปรากฏ แทนที่จะเตรียมนำเครื่องนั้นไปใช้ในการจำหน่ายสลากกินแบ่ง กองสลากได้เปลี่ยนให้เตรียมนำไปใช้ในการจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ซึ่งเริ่มออกจำหน่ายในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เพื่อทดแทนการจำหน่ายด้วยคนบางส่วน

บังเอิญเรื่องหวย 2 ตัว 3 ตัวนี้ต้องชะงักลงในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ เมื่อมาถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันมีการรื้อฟื้นให้กองสลากเตรียมจำหน่ายหวย 2 ตัว และ 3 ตัวโดยจะให้จำหน่ายด้วยเครื่องไม่ใช้คนดังที่ทำอยู่เดิมในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย รัฐบาลปัจจุบันพิจารณาเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง

จนในที่สุดกองสลากก็มีมติดังกล่าวแล้ว หลายคนก็เข้าใจว่า พรรคแกนนำซึ่งรู้เรื่องความเป็นมาของการจำหน่ายสลากกินแบ่งเป็นอย่างดี คงจะได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างเป็นที่พอใจแล้ว คงจะเห็นว่าการใช้เครื่องจำหน่ายหวย 2 ตัว 3 ตัว ไม่น่าจะมีผลกระทบระบบจำหน่ายสลากกินแบ่งที่เป็นอยู่

แต่ยี่ปั๊วรายใหญ่ที่เป็นคนกลางมองเห็นอนาคตข้างหน้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งมากกว่า โดยเห็นว่าถ้าปล่อยให้ใช้เครื่องขายหวย 2 ตัว 3 ตัว และปรากฏว่าผู้ซื้อหวยสามารถซื้อได้ตามราคาที่กองสลากกำหนดไม่ต้องจ่ายแพงกว่ามากดังเช่นในกรณีสลากกินแบ่ง

ในที่สุดผู้ซื้อสลากกินแบ่งก็อาจเรียกร้องให้มีการจำหน่ายสลากกินแบ่งด้วยเครื่องแทนระบบเดิม ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นรัฐบาลและกองสลากก็ต้องสนองตอบต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนผู้ซื้อสลาก ทุกอย่างก็จะสายเกินแก้ จึงจำเป็นต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมด้วยการหาทางขัดขวางไม่ให้มีการขายหวย 2 ตัว 3 ตัว ด้วยเครื่องตั้งแต่เริ่มแรก

นี่คือที่มาของการที่นักการเมืองรุ่นใหญ่ในพรรคขนาดใหญ่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่ประชุมของพรรคนั้น เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนเรื่องนี้หรือหาทางหยุดเรื่องนี้ หลังจากนั้นไม่เกิน 3 วัน นายกรัฐมนตรีก็ออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่ารัฐบาลอนุญาตแล้วตามที่คณะกรรมการกองสลากลงมติ

มีคำถามเกิดขึ้นมากมาย – หากนายกฯไม่เห็นด้วยทำไมไม่แสดงความเห็นคัดค้านตั้งแต่แรก เพราะมีช่วงเวลาที่จะคัดค้านได้หลายตอนก่อนที่กองสลากจะมีมติ – นายกฯเกรงใจใครหรือ จนถึงกับไม่กล้าดำเนินการในสิ่งที่รัฐมนตรีที่มีความสามารถหลายคนดูมาแล้วว่าเหมาะสม –

หรือว่ากลัวว่าท่อน้ำเลี้ยงจะแห้งลง – ถ้ากลัวเช่นนี้แล้วใครจะเชื่อว่าท่านกล้าปราบคอร์รับชั่นจริง

สหรัฐเมินเจรจาเอฟทีเอไทย หันถก"สิงคโปร์-เวียดนาม"แทน


ที่มา:ประชาไท

10 ม.ค.53 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า นางเกษสิริ ศิริภากรณ์ อัครราชทูต (ฝ่ายการพาณิชย์) สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐ เปิดเผยว่า ขณะนี้ สหรัฐกำลังจะเริ่มต้นเจรจาหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับกลุ่มข้ามแปซิฟิก หรือทีพีพี (TRANS-PACIFIC PARTNERSHIP AGREEMENT) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี เวียดนาม สิงคโปร์ และบรูไน เพราะต้องการเจาะเข้ากลุ่มอาเซียน ละตินอเมริกา และออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ ซึ่งหากการเจรจาสำเร็จ ไทยจะเสียเปรียบมากประเทศเหล่านี้มากโดยเฉพาะเวียดนาม
"ถ้าการเจรจาจบเมื่อไร สหรัฐไม่จำเป็นต้องทำเอฟทีเอกับไทยอีกแล้ว เพราะสหรัฐได้คู่ค้าของเราไปหมด ทั้งออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ชิลี ในละตินอเมริกาและอาเซียน แต่ไทยจะไม่ได้อะไรเลย และยังเสียเปรียบประเทศเหล่านั้นอีก โดยเฉพาะเวียดนาม ที่เป็นคู่แข่งสำคัญ" นางเกษสิริกล่าว
นางเกษสิริ กล่าวว่า มาตรา 190 แห่งรัฐธรรมนูญปี 2550 ที่กำหนดให้การทำสนธิสัญญา และข้อตกลงระหว่างประเทศ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนนั้น มีข้อดี ที่ทำให้การเจรจามีความรอบคอบมากขึ้น แต่ข้อเสีย คือ ทำให้ไทยเจรจาข้อตกลงต่างๆ ล่าช้า ไม่ทันประเทศอื่น จึงควรจะกำหนดให้ชัดเจนว่า ข้อตกลง หรือสนธิสัญญาใดบ้างต้องเข้าสภา หรือไม่ต้องเข้า น่าจะเป็นประโยชน์กับไทยมากกว่า
ทั้งนี้ เอฟทีเอไทย-สหรัฐหยุดการเจรจามาตั้งแต่ไทยปฏิรูปการปกครองในปี 2549 เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ไทยก็ต้องนำข้อตกลงเข้าสู่การพิจารณาของสภาใหม่ ซึ่งทำให้การดำเนินการเจรจาล่าช้าอย่างมาก แต่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศยังไม่มีท่าทีชัดเจนในเรื่องการเดินหน้าการเจรจา
ด้านนางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การเดินหน้าเจรจาเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไทย-สหรัฐ ที่หยุดการเจรจาไปตั้งแต่ปี 2549 นั้น ขณะนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายพร้อมจะเจรจาต่อ หลังจากดำเนินการด้านกฎหมายภายในประเทศเสร็จสิ้นแล้ว โดยไทยจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญปี 2550 เพื่อให้ความเห็นชอบก่อน
รายงานข่าวแจ้งว่า การเจรจาเอฟทีเอไทย-สหรัฐ ได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เมื่อปี 2547 มีการเจรจาไปแล้วทั้งหมด 6 รอบ การเจรจาครอบคลุมประเด็นการค้าการลงทุนอย่างกว้างขวางกว่า 22 ประเด็น อาทิเช่น สินค้า การค้าบริการ การลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา และประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการค้า อาทิเช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ นโยบายการแข่งขัน กระบวนการศุลกากร แรงงาน และสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายหยุดการเจรจาตั้งแต่เดือน ก.พ. 2549 เนื่องจากการยุบสภาในไทยและการปฏิวัติเมื่อเดือน ก.ย.ปีเดียวกัน

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

กรมป่าไม้แฉ’อำมาตย์แอ๊ด’ยังไม่ส่งคืนที่ดินเขายายเที่ยง


รองอธิบดีกรมป่าไม้ เผย ยังไม่ทราบเรื่อง’สุรยุทธ์’คืนที่เขายายเที่ยง ขณะที่คนสนิทอ้าง”อำมาตย์แอ๊ด” รอผลพิจารณาของกระทรวงทรัพย์ฯยืนยันพร้อมทำตามมติ ‘สมชาย’แฉรบ.ใช้งบไม่จำเป็นส่งทหาร-ตร.ปกป้อง”อำมาตย์แอ๊ด” ที่เขายายเที่ยง
ภายหลังที่อัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง สุรยุทธ์ จุลานนท์ กับพวก คดีบุกรุกเขายายเที่ยง โดยระบุว่า จากการสอบสวน การครอบครองของ สุรยุทธ์ เป็นการครอบครองที่ขาดเจตนากระทำผิด ซึ่งเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ ว่าจะดำเนินการเอาที่ดินคืนจาก สุรยุทธ์หรือไม่อย่างไร ในส่วนของอัยการไม่มีอำนาจนั้น

นายชลธิศ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยถึงรายงานข่าวการเตรียมทำเรื่องส่งมอบที่ดิน บริเวณเขายายเที่ยง ที่ สุรยุทธ์ จุลานนท์ ถือครองสิทธิ์ในการใช้ประโยชน์บนที่ดินผืนดังกล่าวคืนให้แก่รัฐว่า จนถึงขณะนี้ ตนเองนั้นยังไม่ทราบเรื่องการส่งมอบคืนสิทธิ์บนที่ดินดังกล่าว แต่โดยปกตินั้น การทำเรื่องคืนลักษณะดังกล่าวอาจจะทำได้ในพื้นที่เลย โดยไม่ต้องเข้ามาที่ส่วนกลาง แต่ในส่วนที่ตนเองรับผิดชอบอยู่ ยังไม่เห็นเรื่องดังกล่าว

ด้านความเคลื่อนไหว สุรยุทธ์ ล่าสุด นายทหารคนสนิทเปิดเผยว่า ขณะนี้ ขั้นตอนอยู่ที่การรอผลการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สั่งการให้อธิบดีกรมป่าไม้ ตั้งกรรมการมาหาวิธีดำเนินการกับที่ดินผืนดังกล่าว ขณะที่ ยืนยันเช่นกันว่า สุรยุทธ์ พร้อมทำตามผลที่ประชุมของคณะกรรมการ ไม่ว่าผลจะออกมาเช่นไร

ด้าน พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การทหาร สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลกำลังทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อาจทำให้คนผิดให้เป็นถูก โดยไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม และจากการที่ตนได้ลงพื้นที่บริเวณเขายายเที่ยงเมื่อคืนวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมาพบว่ามีกำลังเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ได้รับคำสั่งให้ติดอาวุธ ขึ้นไปบริเวณรอบๆ เขายายเที่ยงจำนวนหลาย 100 นาย

“การส่งกำลังทหารและตำรวจกว่า 5,000 นาย ไปที่เขายายเที่ยงนั้นเป็นการใช้งบประมาณโดยไม่จำเป็น เป็นการไปปกป้องผู้กระทำผิดหรือไม่ เพราะหากจ่ายเบี้ยเลี้ยง วันละ 500 บาท หากอยู่ 4 วันก็จะต้องใช้เงินงบประมาณ กว่า 10 ล้านบาท ยังไม่นับรวมค่าน้ำมันค่าขนอาวุธยุทโธปกรณ์ไปปกป้องบ้านหลังเดียว ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณภาษีประชาชนไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท โดย กมธ.การทหาร สภาผู้แทนราษฎร อาจเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาขอรายละเอียดในการเดินทางไปเขายายเที่ยงว่ามีความจำเป็นที่ต้องใช้กำลังพลมากขนาดนี้หรือไม่” พ.ต.ท.สมชาย กล่าว

พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า ขอถามไปยังรัฐบาลว่าเป็นอะไรมากหรือไม่ เพราะหากรัฐบาลจัดการเรื่องที่ดินบนเขายายเที่ยงอย่างเป็นธรรม ก็จะไม่มีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ส่วนกรณีที่นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา แถลงข่าวออกตัวให้พล.อ.สุรุยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และระบุว่าพล.อ.สุรุยุทธ์ไม่ได้มีเจตนากระทำผิดนั้น ตนคิดว่าไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย เพราะนายคำนูณ เป็นส.ว.จากการแต่งตั้งยุคคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ก็ต้องเอาใจอดีตนายกฯสมัยคมช. ทั้งนี้ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคนก็แปลกใจการทำหน้าที่ของนายคำนูณ ทั้งที่น่าจะอยู่เคียงข้างประชาชน แต่กลับไปแถลงข่าวออกตัวแทนสุรยุทธ์

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

การโกงกินชาติโดยผู้เปี่ยมคุณธรรม


ที่มา:ประชาไท

โดย:ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประเทศไทยของเราเจริญช้า จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปมากมายแล้ว ผมไม่ได้นิยมประเทศอื่นมากกว่าไทย แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าวิตกและปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในไทยมีจริง ทำไมบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” จึงปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ใครที่ทำให้ประเทศชาติของเรามีชะตากรรมเช่นนี้

ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังเคยเดินทางและไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบนี้ทั้งเนปาล บรูไน พม่า ลาว มาเลเซีย และอินเดีย รวมทั้งยังสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบปูพรมได้มากที่สุดทั่วกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์ ได้พบภาพเปรียบเทียบมาให้เห็น จะได้ช่วยกันฉุกคิดและสำรวจตรวจสอบกันบ้าง เผื่ออนาคตของลูกหลานไทยเราจะไม่เผชิญภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด

เหลียวมองรอบบ้าน

ประเทศที่รวยกว่าไทยอย่างชัดเจนได้แก่ มาเลเซีย ที่ในสมัยก่อนด้อยกว่าไทย ขนาดตนกู อับดุล ราห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่น้องอีก 3 คนยังเคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมเองก็เป็นนักเรียนเก่าเช่นกัน [1] แต่ ณ ปัจจุบันนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของมาเลเซียกลับสูงกว่าไทยถึงเกือบ 2 เท่า [2] และ สิงคโปร์ ก็รวยกว่าไทยอย่างชัดเจน โดยมีรายได้ต่อหัวถึง 6.14 เท่าของประเทศไทย [3] ทั้งที่ประเทศนี้ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากคน สำหรับบรูไน คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเขามีน้ำมันมหาศาล

ในกรณีประเทศจีนนั้น แม้มีรายได้ต่อหัวเท่ากับ 71% ของไทยซึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรนับพันล้านคน แต่จีนเจริญกว่าเรามาก ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2529 ขณะไปเรียนที่เบลเยียม สถาปนิกจบใหม่ชาวจีนในกรุงปักกิ่งมีรายได้เดือนละ 400 บาท แต่ขณะนี้ที่เมืองลี่เจียงในมณฑลยูนานที่ห่างไกล ข้าราชการใหม่ผู้จบปริญญาตรีทั่วไป จะได้เงินเดือนประมาณ 11,000 บาท แถมสวัสดิการอีกมากมาย นี่ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

ที่ประเทศจีน เขาทำให้องค์กรของรัฐกะทัดรัด มีประสิทธิภาพสูง เป็นเสมือนบริษัทที่ดีที่สุดที่คนจีนมุ่งมั่นจะเข้าไปทำงานด้วย ต่างจากไทยที่อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่หัวกระทิไม่พึงปรารถนานัก แต่กลับเป็นที่พึงปรารถนาของผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราจึงมีข้าราชการบางส่วนที่เป็นภัยสังคม คือเข้าไปเป็นกาฝาก ทำงานเช้าชามเย็นชามและโกงชาติเมื่อมีโอกาส

น่าสงสัยจริง ๆ

ประเทศเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 25 ปี แซงหน้าประเทศไทยได้อย่างไรทั้งๆ ที่เขาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว ทำไมเราจึงถูกประเทศที่เล็กกว่า เช่นสิงคโปร์ ประเทศที่เคยเป็นประเทศราชหรืออดีตอาณานิคม เช่นมาเลเซีย หรือประเทศที่จนดักดาน เช่นจีนที่ปู่ย่าตายายของผมที่หนีความอดอยากมาเมื่อ 80 ปีก่อน แซงหน้าเราไปได้

ถ้าไทยเรามีคนดี หรือผู้มีคุณธรรมสุดเลิศเลอจริง เราจะมีบ่อนเถื่อน เจ้ามือหวยเถื่อน ยาบ้าเกลื่อนเมืองและเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เราจะปล่อยให้มีการโกงกินกันมโหฬารทั้งในส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลางได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมีขอทานเขมร แรงงานพม่า และแท็กซี่เถื่อนทำมาหากินตบหน้าประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร

ถ้าเรามีตงฉินปกครองเมือง ไม่ใช่มีกังฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เราคงทำอย่างจีนที่ลงโทษผู้โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น จับไปยิงเป้าหรือติดคุกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเวียดนามนักฟุตบอลทีมชาติที่ไปล้มบอลในกีฬาซีเกมส์ที่กรุงมะนิลาเมื่อ พ.ศ.2548 ถูกจับติดคุก 5 ปี ส่วนพี่ไทยนั้น ยิ่งล้ม ยิ่งรวย นอกจากนี้กัปตันเครื่องบินเวียดนามที่ซื้อเครื่องเสียงหนีภาษีเข้าประเทศ ก็โดนไล่ออก แต่ของไทยเรานำเข้ามาจนเจ๊เล้งรวย! [4]

ระบบคนดีที่ควรถูกตรวจสอบ

เมื่อพูดถึงการโกง บางคนอาจมองไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ท่านโกงหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบและตัดสินโดยศาลกันต่อไป แต่กระบวนการโกงชาติที่ผมนำเสนอนี้ยิ่งกว่ากรณีนักการเมืองคนเดียวเป็นร้อยเท่าพันทวี เพราะเป็นระบบการโกงที่ฝังรากลึกในวงราชการ พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมทั้งหลายที่มักพูดปาว ๆ เสียงดังฟังชัดว่ารักชาตินั้น อาจกล่าวเท็จหรือเป็นผู้ดีจอมปลอม เพราะถ้าเป็นของจริง ทำไมจึงมีเรื่องโกงกินเกิดขึ้นมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกทีแม้ในรัฐบาล “เทพประทาน” ชุดนี้ [5] พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมเอาหูไปนาตาไปไร่อยู่เสียที่ไหนจึงไม่เคยแตะต้องคนโกงชาติเลย

การสวมเสื้อคลุมหรือมีภาพคนดีมีคุณธรรมคงช่วยให้การโกงกินดูไม่มูมมามเหมือนพม่าที่เป็นแบบบุฟเฟต์ คือแบ่งกันกินกันใช้อย่างโจ๋งครึ่มเท่านั้น บรรดาคนดีเหล่านี้อาจพึ่งโจรเพื่อค้ำจุนภาพพจน์และอำนาจเสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะที่ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น [6]

เราจึงควรทบทวนกันว่าระบบยศถาบรรดาศักดิ์ของไทยเป็นการให้ลาภแก่ผู้มียศมีตำแหน่งเป็นสำคัญหรือไม่ ทำให้เกิดความมัวเมาในลาภยศหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นลูกหลานของพวกเขายังอาจเอายศถาบรรดาศักดิ์ของบุพการีไปใช้ประโยชน์หรือไม่ การเคยเป็นนายพล ปลัด อธิบดี ฯลฯ เป็นเกียรติและเป็นประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลโดยที่ประเทศชาติอาจไม่ได้อะไรจากคนเหล่านี้หรือไม่

ข้อคิดส่งท้าย

ถ้าทักษิณโกงจริงน่ะ ยังแค่ปลาซิวปลาสร้อย ผมขอเรียนพี่น้องเสื้อเหลืองและเสื้อแดงว่าผมไม่มีเจตนาให้ร้ายหรือแก้ตัวให้อดีตนายกฯ ทักษิณ แต่เงินจำนวนไม่กี่หมื่นล้านที่อ้างกันนั้น เชื่อว่ายังเทียบไม่ได้กับเงินที่ตกหล่นในแต่ละปีจาก:

1. การมีระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะและเลี้ยงคนไว้เป็นกาฝากแทนที่จะมารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ

2. การที่เงินไปเข้ากระเป๋าข้าราชการประจำและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศจากงบประมาณแผ่นดินปีละเกือบสองล้านล้านบาทเสียอีก

ระบบการโกงกินในบ้านเมืองของเราในยุคคุณธรรมนำการเมืองนี่แหละที่สร้างความวิบัติต่อชาติของเราอย่างสุดแนบเนียน ถ้าไม่มีการโกงกิน ทำงานเป็นกาฝากดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากภาษีอากรของประชาชน ป่านนี้เรามีทางด่วน รถไฟฟ้า ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั้งในเมืองและชนบทกันมหาศาลผิดหูผิดตาเช่นที่เกิดขึ้นในจีน มาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว

ผมไม่อยากให้อาม่าของผมเสียใจที่ย้ายมาผิดที่ (แต่ผมก็ภูมิใจในความเป็นไทย และขอตายที่นี่)



อ้างอิง:
[1] โปรดดู http://th.wikipedia.org/wiki/ตนกู_อับดุล_ระห์มัน

[2] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/my.html รายได้ต่อหัวของมาเลเซียเป็นสัดส่วน 1.79 เท่าของประเทศไทย

[3] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/sn.html

[4] จากบทความ “16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย” ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market157.htm

[5] อ่านรายละเอียดของฉายารัฐบาลได้ที่ http://news.sanook.com/politic/politic_332859.php และอ่านข่าว “ชงฟันวิทยา-มานิต วัดใจมาร์ค เอี่ยวโกงไทยเข้มแข็ง” ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/pol/55658

[6] โปรดอ่านบทความเรื่อง “พระพุทธเจ้า: ผู้ประกาศศักยภาพความเป็นมนุษย์” ทึ่สรุปจากหนังสือพุทธประวัติของพระติชนัทฮันห์ ที่ว่า “ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด แม้กษัตริย์จะทราบถึงความละโมบและการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้รักษาบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้” ได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market172.htm

“กรณ์” รมต.นักกู้ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย หน้าบาน ฝรั่งให้รางวัล


ที่มา : บางกอกทูเดย์

สร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้ จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแหน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ “

เจองานเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะถูกพรรคเพื่อไทยตรวจสอบเรื่องการอัพเกรดตั๋วเครื่องบิน จนทำให้เสียฟอร์มเศรษฐี แถมยังถูกสงสัยว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ด้วยหรือไม่?จนทำให้ “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับลมออกหูสั่งให้มีการชี้แจงยกใหญ่ ว่าไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าสิทธิในการเป็นรัฐมนตรีเลย

แต่ในใจอาจจะอดคิดไม่ได้ว่า ไม่น่าต้องมามีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่ต้นปีอย่างนี้เลย เพราะเผลอๆ อาจจะทำให้ซวยไปตลอดทั้งปีก็ได้แต่ห่างมาไม่กี่วัน ทีมงานก็สามารถทำให้รัฐมนตรีกรณ์ยิ้มร่าจนหน้าบานเพราะนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ของอังกฤษ ที่อยู่ในเครือของ ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ส ได้ยกย่องให้นายกรณ์ ให้เป็นถึงรัฐมนตรีคลังโลกและเอเชีย-แปซิฟิกประจำปี 2010ยกเหตุผลว่า ได้รางวัลเพราะว่ามีผลงานอันโดดเด่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

บอกว่านายกรณ์มีความกล้าในการตัดสินใจ และใช้นโยบายที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล เพราะกระทรวงการคลังยืนยันไปว่าทำให้เศรษฐกิจที่ตกต่ำสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การเติบโตในอนาคตด้วยนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ได้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่กล้าใช้งบประมาณมากกว่า 4.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวรวมทั้งยังมีการเร่งรัดการใช้จ่ายระยะยาวของรัฐบาล

ในโครงการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ขณะเดียวกันก็เร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในรูปแบบสารพัดอีกด้วยแถมยังมีการเปิดประตูหราให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพิ่มขึ้นซึ่งในมุมมองของนิตยสารเดอะ แบงก์เกอร์ ถือว่าเป็นผลงานที่เหนือกว่ารัฐมนตรีคลังคนอื่นๆแต่ในมุมมองของสังคมไทย คงเป็นเรื่องของนานาจิตตัง เพราะหลายคนทำหน้างงว่า การสร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล

การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ชมรม กม.ภิวัฒน์ยื่นหนังสือเรียกร้อง"3 องคมนตรี"ลาออก อ้างร่วมโค่น รบ. - บุกเขายายเที่ยง


มติชนออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายฯ ได้เดินทางไปที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีนายศิริ ปะทะธันัง นิติกร 7 กองนิติการ สำนักราชเลขาธิการ เป็นผู้ออกมารับหนังสือ

หนังสือระบุว่า บุคคลทั้ง 3 คนมีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมมือวางแผนให้เกิดการปฎิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มอำนาจการบริหารประเทศของรัฐบาลในขณะนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนและล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทั้งยังเป็นการตระบัดสัตย์ต่อคำปฎิญาณที่ได้กล่าวต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการก้าวสู่ตำแหน่งที่สำคัญๆของ พล.อ.เปรม หลายตำแหน่งไม่ชอบธรรม ถือเป็นการทำลายระบบและก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ

ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บริหารประเทศผิดพลาดหลายประการ รวมถึงกระทำผิดกฎหมายบุกรุกที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณเขายายเที่ยง และนายชาญชัย นั้นก็ได้รับความดีความชอบและได้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมใน รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเห็นชัดว่าบุคคลทั้ง 3 ท่านขาดคุณสมบัติ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ที่จะดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี อันมีตำแหน่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งต่อไป ทั้งนี้หากยังคงดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ ก็จะสร้างความแตกแยกสามัคคี ความไม่ชอบธรรมในประเทศชาติและจะทำให้ประชาชนไม่พึงพอใจในการดำรงตำแหน่ง อันจะนำไปสู่ความเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำแหน่งองคมนตรีและเป็น ที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“พตท.ดร.ทักษิณ” มอบคำขวัญวันเด็ก


พตท.ดร.ทักษิณ มอบคำขวัญวันเด็กที่เชียงใหม่ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี ” ส่ง “บีบี” แบล็คเบอร์รี่” แจก-โฟนอิน อวยพรวันเด็กคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่
(8ม.ค.) นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้


กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ได้รวมตัวกันจัดงานวันเด็กให้กับลูกหลานคนเชียงใหม่ ขึ้นที่ด้านหน้าโรงแรมวโรรส แกรนด์ พาเลซ หลังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมืองเชียงใหม่ โดยกิจกรรมในงานจะมีความพิเศษหลายอย่างทั้งเน้นให้เด็กๆได้ร่วมสนุกและแสดงออกซึ่งความสามารถที่มี เนื่องในโอกาสพิเศษที่สำคัญดังกล่าวทางพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็กของท่านส่งตรง มามอบให้กับลูกหลานคนเสื้อแดงและเด็กไทยเป็นการพิเศษด้วย โดยคำขวัญของพ.ต.ท.ทักษิณที่ฝากมาอวยพรในวันเด็กปีนี้คือ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี”

และยังมอบของขวัญชิ้นพิเศษสุดฝากมาให้กับเด็ก ๆที่จะเข้ามาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.)

เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีขนาดเล็ก ยี่ห้อแบล็คเบอรี่ จำนวน 1 เครื่อง กับเด็กผู้โชคดีซึ่งเราจะมีการจับสลากรางวัลเด็กผู้โชคดีจากเด็กทั้งหมดที่มาร่วมงานและในเวลาประมาณ 09.00-10.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเข้ามาอวยพรวันเด็ก

นายเพชรวรรต กล่าวว่า นอกจากของขวัญชิ้นพิเศษจาก พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว

ทางเรายังได้ประกาศเปิดรับบริจาคของขวัญและของกินจากคนเสื้อแดงในพื้นที่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาผ่านทางวิทยุชุมชน ปรากฏว่าขณะนี้ได้รับมอบรถจักรยานเด็กมาแล้วรวม 70 คัน โทรทัศน์ ตู้เย็น ข้าวกล่องกว่า 5,000 ห่อ ไอศครีม 5,000 แท่ง และยังมีของขวัญซึ่งประกอบไปด้วยของเล่น ของใช้และอุปกรณ์การเรียนการกีฬาอีกมากกว่าหมื่นชิ้น คาดว่าเด็กๆที่จะเดินทางมาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้จะมีความสุขกับของขวัญที่จะได้รับอย่างเต็มที่ ซึ่งเบื้องต้นเราคาดการณ์ไว้ว่าจะมีเด็กมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ทั้งลูกหลานคนเสื้อแดงจากทุกอำเภอของจ.เชียงใหม่ และบางส่วนเดินทางมาจากจ.ลำพูน

พท.อัด“สมลักษณ์” ปปช.ชี้นำคนร้องสส.รับของเกิน3พัน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ระบุว่าการจัดงานปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีการแจกรางวัลที่มูลค่าเกิน 3,000 บาท ถือว่าขัดกฎหมายที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับสิ่งของเกินมูลค่าดังกล่าวนั้น การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการทั้งที่ยังไม่มีผู้ร้องเรียนเข้ามา

โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุพร้อมกล่าวว่าเหตุที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเช่นนี้ อาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยได้ยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้เอาผิดกับ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายพร้อมพงศ์ ยืนยันว่า ในการจัดงานปีใหม่ดังกล่าวไม่ได้มีการแจกของขวัญให้แก่ ส.ส.ในพรรคแต่อย่างใด และการจัดงานนี้ก็เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมอย่างเปิดเผย ไม่มีเจตนาแอบแฝง

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

แฉนักลงทุนยักษ์ใหญ่"มาบตาพุด" ปล่อยข่าวโจมตี กก.4ฝ่าย ปลุกต้านทำเอชไอเอ

เครือข่าย ปชช.ตะวันออกแฉ กลุ่มนักลงทุนยักษ์ใหญ่มาบตาพุดหนุนหลังมวลชน เคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ ใบปลิวโจมตี กก.4 ฝ่ายว่อนพื้นที่ ปลุกต้านทำเอชไอเอ ผู้บริหารแบงก์กสิกรชี้เจโทรมองไทยไม่น่าลงทุน ถือเป็นสัญญาณเตือนอย่าชะล่าใจ

นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก และกรรมการเพื่อแก้ปัญหาการปฎิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ หรือกรรมการ 4 ฝ่าย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่สำนักงานเครือข่ายฯ อ.เมือง จ.ระยองว่า การประชุมคณะกรรมการฯครั้งที่ผ่านมา ได้ข้อยุติเรื่องการตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพแล้ว หลังจากนี้รัฐบาลจะนำเนื้อหารายละเอียดจากการประชุมกรรมการ 4 ฝ่าย เข้าสู่พิจารณากฏหมายในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ระหว่างนี้ต้องจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราวก่อน เพราะกว่าสภาฯจะพิจารณาผ่านความเห็นชอบต้องใช้เวลานาน 2 ปี ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฏีกาไปพิจารณายกร่างการจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราว

นายสุทธิกล่าวว่าขณะนี้นในพื้นที่มาบตาพุดมีความกังวล เนื่องจากมีการสร้างความปั่นป่วนโดยการทิ้งใบปลิว ข้อความเช่น การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ทำให้ชาวมาบตาพุดเกิดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ การจัดตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายและองค์กรอิสระโดยไม่มีชาวบ้านมาบตาพุดเข้าไปมีส่วนร่วมเท่ากับรัฐบาลสร้างความไม่เป็นธรรมกับชาวมาบตาพุด นอกจากนี้ยังระบุ คณะกรรมการ 4 ฝ่ายและองค์กรอิสระยังจะให้โรงงานต่างๆทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพหรือ เอชไอเอกับชาวมาบตาพุดอีกหรือ ชาวมาบตาพุดจักต้องร่วมกันต่อต้านความไม่ชอบธรรม โดยการไม่เข้าร่วมทำ เอชไอเอ จนกว่าจะให้ชาวมาบตาพุดมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นายสุทธิ กล่าวว่าประธานชุมชนมาบตาพุด 18 ชุมชน ร่วมลงชื่อเพื่อที่จะนำไปยื่นหนังสือต่อรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาล พยายามที่จะขอเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งก็อยากให้เข้ามาร่วมรับฟังเพื่อให้เกิดข้อยุติในข้อพิพาททางกฎหมายรัฐธรรมนูญ

"คณะกรรมการ 4 ฝ่ายไม่มีงบประมาณอยู่ในมือ อยากจะทำความเข้าใจกับกลุ่มดังกล่าว แทนที่จะนำข้อเสนอที่เป็นประโยชน์แก่คณะกรรมการเพื่อผลักดันรัฐบาลจะดีกว่า การที่กลุ่มนิรนามออกใบปลิวโจมตีคณะกรรมการ 4 ฝ่าย พร้อมต่อต้านไม่ให้ความร่วมมือในการทำ เอชไอเอ อยากถามว่ากลุ่มนิรนามต้องการอะไร ผมจะนำรายชื่อกลุ่มพวกนี้ถ่ายเอกสารแจกทั่วเมืองระยองว่ากลุ่มนิรนามกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเช่นไร พร้อมกันนี้ทางเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกกำลังรวบรวมผลงานที่เราทำมาทั้งหมดลงแผ่นวีซีดี โดยประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้จะจัดส่งถึงมือคนระยองทั้งหมดกว่า 4 แสนคน" ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกกล่าว

นายสุทธิ กล่าวว่ากลุ่มนักลงทุนยักษ์ใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกำลังเดินสายสนับสนุนกลุ่มมวลชนมาบตาพุด ให้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง รวมทั้งพยายามให้ชาวบ้านที่ร่วมฟ้องคดี ให้ร่วมลงชื่อถอนฟ้อง รายละ 3,000 บาท โดยนำเอกสารมาให้เซ็นชื่อว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 8 ราย

ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทรกรุงเทพฯ มองว่าประเทศไทยไม่น่าลงทุน เนื่องจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อและความไม่แน่นอนด้านกฎเกณฑ์การลงทุน โดยเฉพาะปัญหาจากการลงทุนในโครงการมาบตาพุดนั้น มองว่าเป็นสัญญานเตือนให้ไทยต้องระวัง และไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งไทยต้องยอมรับ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากไทยมีอะไรดีที่น่าสนใจให้มาลงทุนมาก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันแก้ไข

นายประสารกล่าวว่า ปัญหามาบตาพุด ถือเป็นบทเรียนที่ไทยต้องหาทางแก้ไขด้านกฎเกณฑ์การลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งนี้กรณีที่ปตท.และเอสซีจีเคมิคอลส์จะหารือกับธนาคารต่างๆเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายหลังได้รับผลกระทบจากชะลอโครงการในมาบตาพุดนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว แต่หากบริษัทต้องการเข้ามาปรับโครงสร้างจริง เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา ซึ่งการขอปรับโครงสร้างหนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของสินเชื่อ เมื่อมีปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการตามตารางที่วางไว้ ก็ต้องเข้ามาคุยกันอยู่แล้ว

แก้หนี้ประเทศ4ล้านล.โจทย์หิน จักรกฤศฏิ์


ที่มา:นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
นับเป็นโจทย์ท้าทายไม่ใช่น้อย กับการเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ( สบน. ) ในสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะของประเทศมีมากถึง 4 ล้านล้านบาทเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะบริหารอย่างไร ภายใต้วงเงินก่อหนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และไม่เป็นภาระประชาชนที่จะต้องเสียในรูปภาษี

ฐานเศรษฐกิจ " มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองผู้อำนวยการ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ สบน.คนใหม่หมาด ๆ (ปัจจุบันรอการโปรดเกล้า ฯแต่งตั้ง )

3 พันธกิจกับโจทย์ท้าทาย
ต้องบอกว่าผมเข้ามาในช่วงที่จุดหนี้สาธารณะสูงสุด ท้าทายมากสุดในประเทศไทย ดังนั้นการบริหารหนี้สาธารณะจากนี้ไป จึงต้องเป็นแบบโปรแอกทีฟ เริ่มตั้งแต่ 1. เรื่องการก่อหนี้ประเทศ ซึ่งการก่อหนี้ต่อไปต้องคำนึงถึงประโยชน์ ความสามารถสร้างผลตอบแทนและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน หรือเป็นการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อการแข่งขัน ,สร้างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์, เสริมสร้างการแข่งขันของประเทศ และลดต้นทุนเพื่อประเทศในระยะยาว ซึ่งการจะมุ่งสู่เป้าหมายได้ เราต้องมีจุดยืนที่มั่นคง สบน.ต้องไปหาแนวร่วมจากหน่วยงานกลาง ทั้งจากสภาพัฒน์, สำนักงบประมาณ, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

2. เรื่องการบริหารจัดการหนี้ 4 ล้านล้านบาทต้องมีทิศทางที่ชัดเจน โดยนำพอร์ตโฟลิโอเบนช์มาร์ก( portfolio benchmark ) มาใช้ แต่การจะใช้พอร์ตโฟลิโอเบนช์มาร์กได้ เราต้องมีทีมที่มีความรู้สามารถรันโมเดลได้ว่าต่อไปพอร์ตของหนี้ของประเทศควรประกอบด้วยสกุลอะไรบ้าง , อัต ราดอกเบี้ยจะฟิตหรือลอยตัว หรือควรเป็นหนี้ระยะสั้น-ยาวแค่ไหน เพื่อจะมาแมตชิ่งกับการชำระคืนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้ต้องเห็นภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด เพื่อให้รู้ทิศทางและกำหนดได้ว่าดอกเบี้ยแต่ละปีว่าจะมีช่วงอยู่ที่เท่าไร และเป็นภาระต่องบประมาณเท่าไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก

3.เรื่องการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้โต เพียงพอต่อการรองรับการระดมทุนของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน สิ่งที่เราต้องทำคือสร้างสภาพคล่องของพันธบัตรรัฐบาลให้ซื้อง่ายขายคล่อง เพื่อนักลงทุนที่เข้ามาก็จะได้เข้ามาลงทุนได้ดีกว่าเดิม ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลจะขาดสภาพคล่อง เพราะส่วนใหญ่จะซื้อและถือกันไม่ขาย เวลาดอกเบี้ยขึ้นลง มันก็มีผลขาดทุน ประเด็นต่อมาคือสร้างความหลากหลาย จึงต้องพัฒนารูปแบบจากที่มีเพียงพันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรออมทรัพย์, พันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในอนาคตก็จะมีเป็น Index link ซึ่งจะเชื่อมโยงกับอินเด็กซ์อื่น ๆ และเชื่อมโยงดัชนีเงินเฟ้อ หรือตัวอื่น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อจะทำพันธบัตรนี้ออกมาให้สามารถรองรับการระดมทุนทุกรูปแบบ และเป็นแหล่งพักเงินช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวนหรือตลาดหุ้นผันผวน คนก็สามารถออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯก็มาพักกับพันธบัตรรัฐบาลได้

ผมตั้งเป้าหมายว่าหลังมารับตำแหน่งภายใน 1 ปี 3 มาตรการหลัก ทั้งทิศทางการบริหารหนี้ ทิศทางระดมทุน และการพัฒนาตลาดตราสาร มาตรการเหล่านี้ต้องมีความชัดเจน"
สร้างคน-ทีมงานรองรับ

นอกจาก 3 ส่วนงานหลักควบคู่กันไป เขาได้ให้ความสำคัญในการ "สร้างคน" ปัจจุบันบุคลากรของสบน.สมองไหลประปราย จากที่มีจำกัดเพียง 140 อัตรา แต่ไหลออก 4-5% จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างคนโดยเฉพาะในส่วนของแคปปิตอลมาร์เก็ต ดังนั้นอันดับแรกที่ผมเข้ามาบริหาร จะเร่งจัดคนลงในตำแหน่งที่ว่างที่มีประมาณ 5-6 ตำแหน่ง และส่วนที่เป็นราชการอีกกว่า 10 ตำแหน่ง ,การจัดหาลูกจ้างในระดับล่างลง โดยตำแหน่งระดับล่างจะรีครูตลูกจ้างที่มีความรู้การเงิน การคลัง ตลาดตราสาร มาทำ มาเสริมในหน่วยที่ต้องใช้คน ที่มีความรู้เฉพาะทางเช่นฝ่ายบริหารความเสี่ยง แคปปิตอลมาร์เก็ต เรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรและติดตามประเมินผลในงบโครงการไทยเข้มแข็งคน ซึ่งหากลูกจ้างเหล่านี้มีศักยภาพและถ้าตำแหน่งราชการว่างก็สามารถบรรจุได้ทันที ซึ่งเราได้งบส่วนลูกจ้างจากงบไทยเข้มแข็งปี 53 ประมาณ 10 ล้านบาท

โดยคาดหวังโครงสร้างภายในใหม่จะต้องประกอบด้วยทีมงานที่มีความพร้อมในหน่วยงานหลักอาทิ ทีมบริหารความเสี่ยง, ทีมแคปปิตอลมาร์เก็ต และทีมวิเคราะห์ความเสี่ยง
++ปรับโครงสร้างยืดหนี้

ส่วนการบริหารจัดการหนี้ 4 ล้านล้านบาท นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่าสบน.จะยืดระยะเวลาหนี้ โดยจากพอร์ตโฟลิโอหนี้สาธารณะอายุหนี้ปัจจุบันจะเฉลี่ยที่ 4.5 ปี แต่จากเศรษฐกิจที่เริ่มสู่ขาขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยสูงขึ้น ประกอบกับการระดมเงินจากภาคเอกชนที่จะเข้ามาในตลาดมากขึ้น การบริหารหนี้ในหลักการจึงต้องขยายหนี้ให้มีระยะยาวขึ้น จากค่าเฉลี่ย 4.5 ปี จะเพิ่มเป็น 5 ปีหรือมากกว่า เพื่อ1. เป็นการล็อกอัตราดอกเบี้ย 2 .ลดการ roll over ของหนี้ เพราะการยืดอายุหนี้ออกไป ไม่เพียงจะทำให้หนี้ที่ครบกำหนดน้อยลง จากอายุหนี้ที่เป็นระยะยาวมากขึ้น ยังเป็นการลดความเสี่ยงและต้นทุนระยะยาวของประเทศ

ถามว่าจะทำอย่างไร พันธบัตรที่นำมาแมตชิ่งหนี้ที่จะออกใหม่จากนี้ไป จะมีระยะยาวมากขึ้น แทนที่จะเป็น 2-3 ปี ก็เป็น 5 ปี 10 ปี 20 ปี และปัจจุบันก็มีพันธบัตร 30 ปีแล้วแต่จะออกให้มากขึ้น พร้อมทั้งจะออกเป็นพันธบัตรอายุ 50 ปี ถ้าตลาดยอมรับก็จะมีพันธบัตร 50 ปีมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา อย่างไรก็ดีปกติก.คลังมีวงเงินสำหรับออกพันธบัตรประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นระยะกลาง 3 ปี 5 ปี 10 ปี ที่เหลือเป็น 15-20-30 ปี แต่วงเงินหลังจะน้อย เราก็จะพยายามเพิ่มขนาดส่วนหลัง ( 15-20-30 ปี ) มากขึ้นเรื่อย ๆจากปัจจุบัน พันธบัตร 30 ปี มีประมาณ 10,000 ล้านบาท ,ก็อาจเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาทหรือ 30,000 ล้านบาทในอนาคต ส่วนพันธบัตรอายุ 50 ปี จะเริ่มออกวงเงินไม่มากนัก 3,000 ล้านบาท โดยจะทดสอบตลาดก่อนว่ามีใครสนใจไหมแล้วค่อยเพิ่มไปเรื่อย ๆ

"เราพยายามจะหาวิธีการที่จะทำให้หนี้เงินต้นไม่กระจุกตัว และมีภาระดอกเบี้ยที่เราจะสามารถรู้ล่วงหน้า ซึ่งจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 15% หรือในช่วง 12-15% ของงบประมาณรายจ่าย (ตามกรอบวินัยการคลัง) โดยภาระดอกเบี้ยจากนี้ไปสูงขึ้นแน่นอน จากการที่กระทรวงการคลังก่อหนี้ไว้ 800,000 ล้านบาท (จากพ.ร.ก.และพ.ร.บ. ในโครงการไทยเข้มแข็ง) แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิน 15% ซึ่งหากภาระดอกเบี้ยมากไปก็เป็นหน้าที่ของ สบน. ต้องหาทางลดดอกเบี้ย โดยการปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ รีไฟแนนซ์ จากดอกเบี้ยลอยตัว มาเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อจะลดต้นทุนให้อยู่ในกรอบงบประมาณรายจ่ายไม่เกิน 15%
++ลดเงินต้น-ตัดภาระค้ำฯรสก.

ส่วนการลดภาระหนี้เงินต้นทำได้ 2 ทางคือ 1. การลดหนี้สาธารณะ โดยการชำระคืนเงินต้นและ 2. โดยการลดภาระการค้ำประกัน สิ่งที่สบน.จะทำได้ในอนาคตก็คือการลดภาระการค้ำประกันลง และถ้ามีเงินเหลือ เศรษฐกิจดี ถึงจะไปชำระคืน โดยการลดหนี้ส่วนของก.คลัง เรากำลังให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหนี้ของรัฐวิสาหกิจ , หนี้รัฐต่าง ๆที่เราไปค้ำแล้วเป็นหนี้เสีย อาทิหนี้(องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ) อ.ต.ก. หนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ,องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ที่รัฐค้ำประกันให้ไปแล้ว แต่ไม่มีโอกาสจะใช้คืน กำลังคิดกันอยู่ว่าจะแปลงหนี้มาเป็นหนี้รัฐบาลได้อย่างไร เพราะหากเป็นหนี้ที่รัฐบาลรับเข้ามา รัฐบาลสามารถลดภาระหนี้ลงได้ เพราะเป็นหนี้โดยตรง มีบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนก็จะถูกลง

ส่วนแนวทางในการลดหนี้เงินต้น นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า แนวทาง 1. หากมองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว การจัดเก็บรายได้เกินเป้าก็ไม่มีปัญหา อย่างปัจจุบันการจัดเก็บรายได้ตกเดือนละ 20,000 ล้านบาท ถ้าคำนวณตลอดทั้งปี สบน.อาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินแสนกว่าล้านบาท เพื่อมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 53 วงเงิน 350,000 ล้านบาทก็เป็นได้

แนวทางที่ 2 ก็คือการบริหารทรัพย์สิน ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งอาจมีทรัพย์สินที่มีค่า ซึ่งสามารถนำมาใช้หนี้คืนในอนาคตได้ ซึ่งส่วนนี้สบน.เล็งเป้าอยู่ว่าจะดึงส่วนไหนมาเป็นทรัพย์สินได้ ส่วนแนวทางที่ 3 การหาทางลดภาระหนี้ในส่วนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังรับผิดชอบ (ส่วนภาระด้านดอกเบี้ย) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(รับภาระส่วนเงินต้น) ซึ่งเป็นหนี้ระยะยาว 20-40 ปี ก็ต้องไปหาทางหาวิธีการจัดการ ทำอย่างไรให้มีการชำระคืน หรือรับภาระหนี้แทนกระทรวงการคลังต่อ อันนี้ก็เป็นแผนที่กำลังคิดว่าจะต้องทำอย่างไร

แนวทางที่ 4 เงินคงคลัง ปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะหาผลตอบแทนได้ ในที่สุดแล้วต้องหาผลตอบแทน เพราะเป็นเงินที่เรากู้เป็น Treasury Bill (T-Bill) มาเพื่อใส่เงินคงคลัง ซึ่งมีการศึกษามาหลายยุคหลายสมัยแล้วว่าควรจะเอามาบริหารจัดการให้มีผลตอบแทน อันนี้เราก็จะต้องร่วมกับกรมบัญชีกลางผลักดันให้เป็นจริง และทางธปท.เองก็ต้องไม่ขัดข้อง เรื่องการจะให้กระทรวงการคลังเอาเงินคงคลังมาบริหาร ตัวนี้ถ้าเอามาบริหารจริงจังได้ ก็จะสร้างผลตอบแทนให้กระทรวงการคลังเป็นเงินก้อนโต
"คือตอนนี้เรามีเงินคงคลังฝากอยู่แบงก์ชาติเฉลี่ยต่อปีประมาณแสนกว่าล้าน ซึ่งเงินจำนวนนี้ถ้าเราได้ผลตอบแทนอย่างน้อยๆ สัก 0.75% มันก็ได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ตรงนี้ก็น่าจะนำมาหาประโยชน์ได้ ซึ่งต้องเป็นการทำงานที่ต้องร่วมกันกับกรมบัญชีกลาง โดยเราศึกษาหาทางออกให้แล้ว ส่วนจะทำอย่างไรก็ต้องไปแก้กฎหมายเงินคงคลัง นี่คือสิ่งที่คิดไว้" ผู้อำนวยการ สบน. ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า

การบริหารหนี้ก้อนโตของประเทศ 4 ล้านล้านบาท เป็นบูรณาการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยไม่ปล่อยให้กระทรวงการคลังต้องแบกรับไว้คนเดียว เพราะกระทรวงการคลังเองก็มีงบประมาณจำกัด หากทุกฝ่ายร่วมและช่วยเหลือกันลดหนี้ หารายได้ผมว่าการแก้ไขหนี้จะประสบความสำเร็จ