--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

การโกงกินชาติโดยผู้เปี่ยมคุณธรรม


ที่มา:ประชาไท

โดย:ดร.โสภณ พรโชคชัย

ประเทศไทยของเราเจริญช้า จนถูกประเทศเพื่อนบ้านแซงหน้าไปมากมายแล้ว ผมไม่ได้นิยมประเทศอื่นมากกว่าไทย แต่นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าวิตกและปฏิเสธไม่ได้ ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในไทยมีจริง ทำไมบรรดา “ผู้หลักผู้ใหญ่” จึงปล่อยให้ประเทศไทยเป็นอย่างนี้ ใครที่ทำให้ประเทศชาติของเรามีชะตากรรมเช่นนี้

ผมเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงการคลังเวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังเคยเดินทางและไปบรรยายด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศแถบนี้ทั้งเนปาล บรูไน พม่า ลาว มาเลเซีย และอินเดีย รวมทั้งยังสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบปูพรมได้มากที่สุดทั่วกรุงจาการ์ตา กรุงพนมเปญ กรุงมะนิลา และนครโฮชิมินห์ ได้พบภาพเปรียบเทียบมาให้เห็น จะได้ช่วยกันฉุกคิดและสำรวจตรวจสอบกันบ้าง เผื่ออนาคตของลูกหลานไทยเราจะไม่เผชิญภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด

เหลียวมองรอบบ้าน

ประเทศที่รวยกว่าไทยอย่างชัดเจนได้แก่ มาเลเซีย ที่ในสมัยก่อนด้อยกว่าไทย ขนาดตนกู อับดุล ราห์มัน อดีตนายกรัฐมนตรีและพี่น้องอีก 3 คนยังเคยมาเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ที่ผมเองก็เป็นนักเรียนเก่าเช่นกัน [1] แต่ ณ ปัจจุบันนี้รายได้ประชาชาติต่อหัวของมาเลเซียกลับสูงกว่าไทยถึงเกือบ 2 เท่า [2] และ สิงคโปร์ ก็รวยกว่าไทยอย่างชัดเจน โดยมีรายได้ต่อหัวถึง 6.14 เท่าของประเทศไทย [3] ทั้งที่ประเทศนี้ไม่มีทรัพยากรอะไรเลยนอกจากคน สำหรับบรูไน คงไม่ต้องกล่าวถึงเพราะเขามีน้ำมันมหาศาล

ในกรณีประเทศจีนนั้น แม้มีรายได้ต่อหัวเท่ากับ 71% ของไทยซึ่งก็เป็นเพราะเขามีประชากรนับพันล้านคน แต่จีนเจริญกว่าเรามาก ผมจำได้ว่าเมื่อปี 2529 ขณะไปเรียนที่เบลเยียม สถาปนิกจบใหม่ชาวจีนในกรุงปักกิ่งมีรายได้เดือนละ 400 บาท แต่ขณะนี้ที่เมืองลี่เจียงในมณฑลยูนานที่ห่างไกล ข้าราชการใหม่ผู้จบปริญญาตรีทั่วไป จะได้เงินเดือนประมาณ 11,000 บาท แถมสวัสดิการอีกมากมาย นี่ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว

ที่ประเทศจีน เขาทำให้องค์กรของรัฐกะทัดรัด มีประสิทธิภาพสูง เป็นเสมือนบริษัทที่ดีที่สุดที่คนจีนมุ่งมั่นจะเข้าไปทำงานด้วย ต่างจากไทยที่อาชีพรับราชการเป็นอาชีพที่หัวกระทิไม่พึงปรารถนานัก แต่กลับเป็นที่พึงปรารถนาของผู้ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะด้อยกว่า นี่อาจเป็นสาเหตุที่เราจึงมีข้าราชการบางส่วนที่เป็นภัยสังคม คือเข้าไปเป็นกาฝาก ทำงานเช้าชามเย็นชามและโกงชาติเมื่อมีโอกาส

น่าสงสัยจริง ๆ

ประเทศเหล่านี้ใช้เวลาประมาณ 25 ปี แซงหน้าประเทศไทยได้อย่างไรทั้งๆ ที่เขาไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง หรือประเทศไทยเดินมาถูกทางแล้ว ทำไมเราจึงถูกประเทศที่เล็กกว่า เช่นสิงคโปร์ ประเทศที่เคยเป็นประเทศราชหรืออดีตอาณานิคม เช่นมาเลเซีย หรือประเทศที่จนดักดาน เช่นจีนที่ปู่ย่าตายายของผมที่หนีความอดอยากมาเมื่อ 80 ปีก่อน แซงหน้าเราไปได้

ถ้าไทยเรามีคนดี หรือผู้มีคุณธรรมสุดเลิศเลอจริง เราจะมีบ่อนเถื่อน เจ้ามือหวยเถื่อน ยาบ้าเกลื่อนเมืองและเพิ่มขึ้นทุกวันเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร เราจะปล่อยให้มีการโกงกินกันมโหฬารทั้งในส่วนท้องถิ่น ส่วนภูมิภาคและส่วนกลางได้อย่างไร เราจะปล่อยให้ประเทศไทยมีขอทานเขมร แรงงานพม่า และแท็กซี่เถื่อนทำมาหากินตบหน้าประเทศชาติอยู่ได้อย่างไร

ถ้าเรามีตงฉินปกครองเมือง ไม่ใช่มีกังฉินชักใยอยู่เบื้องหลัง เราคงทำอย่างจีนที่ลงโทษผู้โกงกินอย่างเด็ดขาด เช่น จับไปยิงเป้าหรือติดคุกตลอดชีวิตเพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ในเวียดนามนักฟุตบอลทีมชาติที่ไปล้มบอลในกีฬาซีเกมส์ที่กรุงมะนิลาเมื่อ พ.ศ.2548 ถูกจับติดคุก 5 ปี ส่วนพี่ไทยนั้น ยิ่งล้ม ยิ่งรวย นอกจากนี้กัปตันเครื่องบินเวียดนามที่ซื้อเครื่องเสียงหนีภาษีเข้าประเทศ ก็โดนไล่ออก แต่ของไทยเรานำเข้ามาจนเจ๊เล้งรวย! [4]

ระบบคนดีที่ควรถูกตรวจสอบ

เมื่อพูดถึงการโกง บางคนอาจมองไปที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ท่านโกงหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบและตัดสินโดยศาลกันต่อไป แต่กระบวนการโกงชาติที่ผมนำเสนอนี้ยิ่งกว่ากรณีนักการเมืองคนเดียวเป็นร้อยเท่าพันทวี เพราะเป็นระบบการโกงที่ฝังรากลึกในวงราชการ พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมทั้งหลายที่มักพูดปาว ๆ เสียงดังฟังชัดว่ารักชาตินั้น อาจกล่าวเท็จหรือเป็นผู้ดีจอมปลอม เพราะถ้าเป็นของจริง ทำไมจึงมีเรื่องโกงกินเกิดขึ้นมากมาย และเพิ่มขึ้นทุกทีแม้ในรัฐบาล “เทพประทาน” ชุดนี้ [5] พวกผู้ดีเปี่ยมคุณธรรมเอาหูไปนาตาไปไร่อยู่เสียที่ไหนจึงไม่เคยแตะต้องคนโกงชาติเลย

การสวมเสื้อคลุมหรือมีภาพคนดีมีคุณธรรมคงช่วยให้การโกงกินดูไม่มูมมามเหมือนพม่าที่เป็นแบบบุฟเฟต์ คือแบ่งกันกินกันใช้อย่างโจ๋งครึ่มเท่านั้น บรรดาคนดีเหล่านี้อาจพึ่งโจรเพื่อค้ำจุนภาพพจน์และอำนาจเสมือนหนึ่งพระเจ้าสุทโธทนะที่ไม่กล้ากำจัดขุนนางจอมโกงกินที่ห้อมล้อมอยู่ เพราะพวกเขาคือผู้ค้ำจุนอำนาจ จนทำให้เจ้าชายสิทธัตถะรู้แจ้งเห็นจริงถึงระบบการเมืองที่ล้มเหลวและหันเข้าหาทางหลุดพ้น [6]

เราจึงควรทบทวนกันว่าระบบยศถาบรรดาศักดิ์ของไทยเป็นการให้ลาภแก่ผู้มียศมีตำแหน่งเป็นสำคัญหรือไม่ ทำให้เกิดความมัวเมาในลาภยศหรือไม่ ยิ่งกว่านั้นลูกหลานของพวกเขายังอาจเอายศถาบรรดาศักดิ์ของบุพการีไปใช้ประโยชน์หรือไม่ การเคยเป็นนายพล ปลัด อธิบดี ฯลฯ เป็นเกียรติและเป็นประโยชน์ต่อวงศ์ตระกูลโดยที่ประเทศชาติอาจไม่ได้อะไรจากคนเหล่านี้หรือไม่

ข้อคิดส่งท้าย

ถ้าทักษิณโกงจริงน่ะ ยังแค่ปลาซิวปลาสร้อย ผมขอเรียนพี่น้องเสื้อเหลืองและเสื้อแดงว่าผมไม่มีเจตนาให้ร้ายหรือแก้ตัวให้อดีตนายกฯ ทักษิณ แต่เงินจำนวนไม่กี่หมื่นล้านที่อ้างกันนั้น เชื่อว่ายังเทียบไม่ได้กับเงินที่ตกหล่นในแต่ละปีจาก:

1. การมีระบบราชการที่ใหญ่โตเทอะทะและเลี้ยงคนไว้เป็นกาฝากแทนที่จะมารับใช้ประชาชนและพัฒนาชาติ

2. การที่เงินไปเข้ากระเป๋าข้าราชการประจำและนักการเมืองท้องถิ่นทั่วประเทศจากงบประมาณแผ่นดินปีละเกือบสองล้านล้านบาทเสียอีก

ระบบการโกงกินในบ้านเมืองของเราในยุคคุณธรรมนำการเมืองนี่แหละที่สร้างความวิบัติต่อชาติของเราอย่างสุดแนบเนียน ถ้าไม่มีการโกงกิน ทำงานเป็นกาฝากดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากภาษีอากรของประชาชน ป่านนี้เรามีทางด่วน รถไฟฟ้า ทางหลวง และสาธารณูปโภคทั้งในเมืองและชนบทกันมหาศาลผิดหูผิดตาเช่นที่เกิดขึ้นในจีน มาเลเซียและสิงคโปร์แล้ว

ผมไม่อยากให้อาม่าของผมเสียใจที่ย้ายมาผิดที่ (แต่ผมก็ภูมิใจในความเป็นไทย และขอตายที่นี่)



อ้างอิง:
[1] โปรดดู http://th.wikipedia.org/wiki/ตนกู_อับดุล_ระห์มัน

[2] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/my.html รายได้ต่อหัวของมาเลเซียเป็นสัดส่วน 1.79 เท่าของประเทศไทย

[3] โปรดดู https://www.cia.gov/library/publications/the-world-factbook/geos/sn.html

[4] จากบทความ “16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย” ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market157.htm

[5] อ่านรายละเอียดของฉายารัฐบาลได้ที่ http://news.sanook.com/politic/politic_332859.php และอ่านข่าว “ชงฟันวิทยา-มานิต วัดใจมาร์ค เอี่ยวโกงไทยเข้มแข็ง” ได้ที่ http://www.thairath.co.th/content/pol/55658

[6] โปรดอ่านบทความเรื่อง “พระพุทธเจ้า: ผู้ประกาศศักยภาพความเป็นมนุษย์” ทึ่สรุปจากหนังสือพุทธประวัติของพระติชนัทฮันห์ ที่ว่า “ในสมัยพุทธกาล ความยากจนของชาวนา ปัญหาเด็กพิการ ขอทาน การเจ็บป่วย เป็นปัญหาที่แม้แต่กษัตริย์ก็ไม่มีอำนาจที่จะแก้ไข อำนาจของกษัตริย์เปราะบางและมีอยู่อย่างจำกัด แม้กษัตริย์จะทราบถึงความละโมบและการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ก็จำต้องอาศัยพวกขุนนางทุจริตเหล่านี้รักษาบัลลังก์ ขุนนางเหล่านี้ต่างก็ขับเคี่ยวกันเพื่อมุ่งปกป้องและสร้างฐานอำนาจของตนเอง ไม่ใช่มุ่งขจัดความทุกข์ยากให้ผู้ยากไร้” ได้ที่ http://www.thaiappraisal.org/thai/market/market172.htm

“กรณ์” รมต.นักกู้ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย หน้าบาน ฝรั่งให้รางวัล


ที่มา : บางกอกทูเดย์

สร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้ จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแหน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ “

เจองานเข้าช่วงเทศกาลปีใหม่ เพราะถูกพรรคเพื่อไทยตรวจสอบเรื่องการอัพเกรดตั๋วเครื่องบิน จนทำให้เสียฟอร์มเศรษฐี แถมยังถูกสงสัยว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ด้วยหรือไม่?จนทำให้ “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ถึงกับลมออกหูสั่งให้มีการชี้แจงยกใหญ่ ว่าไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าสิทธิในการเป็นรัฐมนตรีเลย

แต่ในใจอาจจะอดคิดไม่ได้ว่า ไม่น่าต้องมามีเรื่องวุ่นวายตั้งแต่ต้นปีอย่างนี้เลย เพราะเผลอๆ อาจจะทำให้ซวยไปตลอดทั้งปีก็ได้แต่ห่างมาไม่กี่วัน ทีมงานก็สามารถทำให้รัฐมนตรีกรณ์ยิ้มร่าจนหน้าบานเพราะนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ของอังกฤษ ที่อยู่ในเครือของ ไฟแนนเชี่ยล ไทม์ส ได้ยกย่องให้นายกรณ์ ให้เป็นถึงรัฐมนตรีคลังโลกและเอเชีย-แปซิฟิกประจำปี 2010ยกเหตุผลว่า ได้รางวัลเพราะว่ามีผลงานอันโดดเด่นในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา

บอกว่านายกรณ์มีความกล้าในการตัดสินใจ และใช้นโยบายที่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างได้ผล เพราะกระทรวงการคลังยืนยันไปว่าทำให้เศรษฐกิจที่ตกต่ำสามารถกลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และถือว่าเป็นการปูพื้นฐานไปสู่การเติบโตในอนาคตด้วยนิตยสาร เดอะ แบงค์เกอร์ ระบุว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ได้มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่กล้าใช้งบประมาณมากกว่า 4.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียวรวมทั้งยังมีการเร่งรัดการใช้จ่ายระยะยาวของรัฐบาล

ในโครงการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ ขณะเดียวกันก็เร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศในรูปแบบสารพัดอีกด้วยแถมยังมีการเปิดประตูหราให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นในธนาคารพาณิชย์ต่างๆ เพิ่มขึ้นซึ่งในมุมมองของนิตยสารเดอะ แบงก์เกอร์ ถือว่าเป็นผลงานที่เหนือกว่ารัฐมนตรีคลังคนอื่นๆแต่ในมุมมองของสังคมไทย คงเป็นเรื่องของนานาจิตตัง เพราะหลายคนทำหน้างงว่า การสร้างหนี้สาธารณะจำนวนมหาศาล

การกู้เงิน 800,000 –1,000,000 ล้านบาท มาใช้จ่ายอย่างอุตลุด โดยไม่ได้มีการพูดสักนิดว่าจะหาทางใช้หนี้เงินกู้เหล่านั้นอย่างไรบ้างถือว่าเป็นผลงานเลิศหรูอย่างนั้นเชียวหรือ?แบบนี้ต่อไปรัฐมนตรีคลังประเทศอื่นๆ หากอยากได้ตำแน่งนี้บ้างก็เล่นไม่ยาก แค่กู้เงินมาเยอะๆ แล้วก็ใช้จ่ายอุตลุด รวมทั้งซื้อโฆษณาซื้อซัพพลีเมนท์หนังสือต่างประเทศให้เยอะๆ ด้วยเดี๋ยวก็ได้ตำแหน่งเองแหละ

วันศุกร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2553

ชมรม กม.ภิวัฒน์ยื่นหนังสือเรียกร้อง"3 องคมนตรี"ลาออก อ้างร่วมโค่น รบ. - บุกเขายายเที่ยง


มติชนออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม นายพิชา วิจิตรศิลป์ ประธานชมรมกฎหมายภิวัฒน์แห่งประเทศไทยและเครือข่ายฯ ได้เดินทางไปที่ทำเนียบองคมนตรี เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้พล.อ. เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ลาออกจากตำแหน่ง โดยมีนายศิริ ปะทะธันัง นิติกร 7 กองนิติการ สำนักราชเลขาธิการ เป็นผู้ออกมารับหนังสือ

หนังสือระบุว่า บุคคลทั้ง 3 คนมีส่วนเกี่ยวข้อง ร่วมมือวางแผนให้เกิดการปฎิวัติในวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อโค่นล้มอำนาจการบริหารประเทศของรัฐบาลในขณะนั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนและล้มล้างรัฐธรรมนูญ ทั้งยังเป็นการตระบัดสัตย์ต่อคำปฎิญาณที่ได้กล่าวต่อหน้าพระพักตร์ของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และการก้าวสู่ตำแหน่งที่สำคัญๆของ พล.อ.เปรม หลายตำแหน่งไม่ชอบธรรม ถือเป็นการทำลายระบบและก่อให้เกิดความแตกแยกในกองทัพ

ส่วน พล.อ.สุรยุทธ์ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บริหารประเทศผิดพลาดหลายประการ รวมถึงกระทำผิดกฎหมายบุกรุกที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณเขายายเที่ยง และนายชาญชัย นั้นก็ได้รับความดีความชอบและได้ดำรงตำแหน่งเป็นปลัดกระทรวงยุติธรรมใน รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเห็นชัดว่าบุคคลทั้ง 3 ท่านขาดคุณสมบัติ ขาดคุณธรรมและจริยธรรม ที่จะดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี อันมีตำแหน่งที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งต่อไป ทั้งนี้หากยังคงดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ ก็จะสร้างความแตกแยกสามัคคี ความไม่ชอบธรรมในประเทศชาติและจะทำให้ประชาชนไม่พึงพอใจในการดำรงตำแหน่ง อันจะนำไปสู่ความเสื่อมเสียเกียรติยศและศักดิ์ศรีของตำแหน่งองคมนตรีและเป็น ที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“พตท.ดร.ทักษิณ” มอบคำขวัญวันเด็ก


พตท.ดร.ทักษิณ มอบคำขวัญวันเด็กที่เชียงใหม่ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี ” ส่ง “บีบี” แบล็คเบอร์รี่” แจก-โฟนอิน อวยพรวันเด็กคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่
(8ม.ค.) นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เปิดเผยว่า เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปีนี้


กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ได้รวมตัวกันจัดงานวันเด็กให้กับลูกหลานคนเชียงใหม่ ขึ้นที่ด้านหน้าโรงแรมวโรรส แกรนด์ พาเลซ หลังวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร อ.เมืองเชียงใหม่ โดยกิจกรรมในงานจะมีความพิเศษหลายอย่างทั้งเน้นให้เด็กๆได้ร่วมสนุกและแสดงออกซึ่งความสามารถที่มี เนื่องในโอกาสพิเศษที่สำคัญดังกล่าวทางพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยังได้ส่งมอบคำขวัญวันเด็กของท่านส่งตรง มามอบให้กับลูกหลานคนเสื้อแดงและเด็กไทยเป็นการพิเศษด้วย โดยคำขวัญของพ.ต.ท.ทักษิณที่ฝากมาอวยพรในวันเด็กปีนี้คือ ” อนาคตจะสดใส ต้องใฝ่เรียนรู้เทคโนโลยี”

และยังมอบของขวัญชิ้นพิเศษสุดฝากมาให้กับเด็ก ๆที่จะเข้ามาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงในวันพรุ่งนี้ (9 ม.ค.)

เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีขนาดเล็ก ยี่ห้อแบล็คเบอรี่ จำนวน 1 เครื่อง กับเด็กผู้โชคดีซึ่งเราจะมีการจับสลากรางวัลเด็กผู้โชคดีจากเด็กทั้งหมดที่มาร่วมงานและในเวลาประมาณ 09.00-10.00 น.พ.ต.ท.ทักษิณจะโฟนอินเข้ามาอวยพรวันเด็ก

นายเพชรวรรต กล่าวว่า นอกจากของขวัญชิ้นพิเศษจาก พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว

ทางเรายังได้ประกาศเปิดรับบริจาคของขวัญและของกินจากคนเสื้อแดงในพื้นที่ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาผ่านทางวิทยุชุมชน ปรากฏว่าขณะนี้ได้รับมอบรถจักรยานเด็กมาแล้วรวม 70 คัน โทรทัศน์ ตู้เย็น ข้าวกล่องกว่า 5,000 ห่อ ไอศครีม 5,000 แท่ง และยังมีของขวัญซึ่งประกอบไปด้วยของเล่น ของใช้และอุปกรณ์การเรียนการกีฬาอีกมากกว่าหมื่นชิ้น คาดว่าเด็กๆที่จะเดินทางมาร่วมงานวันเด็กกับคนเสื้อแดงที่เชียงใหม่ในวันพรุ่งนี้จะมีความสุขกับของขวัญที่จะได้รับอย่างเต็มที่ ซึ่งเบื้องต้นเราคาดการณ์ไว้ว่าจะมีเด็กมาร่วมงานไม่ต่ำกว่า 5,000 คน ทั้งลูกหลานคนเสื้อแดงจากทุกอำเภอของจ.เชียงใหม่ และบางส่วนเดินทางมาจากจ.ลำพูน

พท.อัด“สมลักษณ์” ปปช.ชี้นำคนร้องสส.รับของเกิน3พัน

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.สมลักษณ์ จัดกระบวนพล คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ระบุว่าการจัดงานปีใหม่ของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีการแจกรางวัลที่มูลค่าเกิน 3,000 บาท ถือว่าขัดกฎหมายที่ห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับสิ่งของเกินมูลค่าดังกล่าวนั้น การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเป็นการชี้โพรงให้กระรอก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการทั้งที่ยังไม่มีผู้ร้องเรียนเข้ามา

โฆษกพรรคเพื่อไทย ระบุพร้อมกล่าวว่าเหตุที่ออกมาตั้งข้อสังเกตเช่นนี้ อาจเป็นเพราะพรรคเพื่อไทยได้ยื่นคำร้องไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้เอาผิดกับ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

นายพร้อมพงศ์ ยืนยันว่า ในการจัดงานปีใหม่ดังกล่าวไม่ได้มีการแจกของขวัญให้แก่ ส.ส.ในพรรคแต่อย่างใด และการจัดงานนี้ก็เชิญสื่อมวลชนเข้าร่วมอย่างเปิดเผย ไม่มีเจตนาแอบแฝง

วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

แฉนักลงทุนยักษ์ใหญ่"มาบตาพุด" ปล่อยข่าวโจมตี กก.4ฝ่าย ปลุกต้านทำเอชไอเอ

เครือข่าย ปชช.ตะวันออกแฉ กลุ่มนักลงทุนยักษ์ใหญ่มาบตาพุดหนุนหลังมวลชน เคลื่อนไหวปกป้องผลประโยชน์ ใบปลิวโจมตี กก.4 ฝ่ายว่อนพื้นที่ ปลุกต้านทำเอชไอเอ ผู้บริหารแบงก์กสิกรชี้เจโทรมองไทยไม่น่าลงทุน ถือเป็นสัญญาณเตือนอย่าชะล่าใจ

นายสุทธิ อัชฌาศัย ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออก และกรรมการเพื่อแก้ปัญหาการปฎิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญ หรือกรรมการ 4 ฝ่าย ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 7 มกราคม ที่สำนักงานเครือข่ายฯ อ.เมือง จ.ระยองว่า การประชุมคณะกรรมการฯครั้งที่ผ่านมา ได้ข้อยุติเรื่องการตั้งองค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพแล้ว หลังจากนี้รัฐบาลจะนำเนื้อหารายละเอียดจากการประชุมกรรมการ 4 ฝ่าย เข้าสู่พิจารณากฏหมายในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป ระหว่างนี้ต้องจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราวก่อน เพราะกว่าสภาฯจะพิจารณาผ่านความเห็นชอบต้องใช้เวลานาน 2 ปี ทั้งนี้มอบหมายให้คณะกรรมการกฤษฏีกาไปพิจารณายกร่างการจัดตั้งองค์กรอิสระชั่วคราว

นายสุทธิกล่าวว่าขณะนี้นในพื้นที่มาบตาพุดมีความกังวล เนื่องจากมีการสร้างความปั่นป่วนโดยการทิ้งใบปลิว ข้อความเช่น การประกาศเขตควบคุมมลพิษ ทำให้ชาวมาบตาพุดเกิดความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ การจัดตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่ายและองค์กรอิสระโดยไม่มีชาวบ้านมาบตาพุดเข้าไปมีส่วนร่วมเท่ากับรัฐบาลสร้างความไม่เป็นธรรมกับชาวมาบตาพุด นอกจากนี้ยังระบุ คณะกรรมการ 4 ฝ่ายและองค์กรอิสระยังจะให้โรงงานต่างๆทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพหรือ เอชไอเอกับชาวมาบตาพุดอีกหรือ ชาวมาบตาพุดจักต้องร่วมกันต่อต้านความไม่ชอบธรรม โดยการไม่เข้าร่วมทำ เอชไอเอ จนกว่าจะให้ชาวมาบตาพุดมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

นายสุทธิ กล่าวว่าประธานชุมชนมาบตาพุด 18 ชุมชน ร่วมลงชื่อเพื่อที่จะนำไปยื่นหนังสือต่อรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาล พยายามที่จะขอเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งก็อยากให้เข้ามาร่วมรับฟังเพื่อให้เกิดข้อยุติในข้อพิพาททางกฎหมายรัฐธรรมนูญ

"คณะกรรมการ 4 ฝ่ายไม่มีงบประมาณอยู่ในมือ อยากจะทำความเข้าใจกับกลุ่มดังกล่าว แทนที่จะนำข้อเสนอที่เป็นประโยชน์แก่คณะกรรมการเพื่อผลักดันรัฐบาลจะดีกว่า การที่กลุ่มนิรนามออกใบปลิวโจมตีคณะกรรมการ 4 ฝ่าย พร้อมต่อต้านไม่ให้ความร่วมมือในการทำ เอชไอเอ อยากถามว่ากลุ่มนิรนามต้องการอะไร ผมจะนำรายชื่อกลุ่มพวกนี้ถ่ายเอกสารแจกทั่วเมืองระยองว่ากลุ่มนิรนามกลุ่มนี้มีพฤติกรรมเช่นไร พร้อมกันนี้ทางเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกกำลังรวบรวมผลงานที่เราทำมาทั้งหมดลงแผ่นวีซีดี โดยประมาณเดือนกุมภาพันธ์นี้จะจัดส่งถึงมือคนระยองทั้งหมดกว่า 4 แสนคน" ผู้ประสานงานเครือข่ายประชาชนภาคตะวันออกกล่าว

นายสุทธิ กล่าวว่ากลุ่มนักลงทุนยักษ์ใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดกำลังเดินสายสนับสนุนกลุ่มมวลชนมาบตาพุด ให้ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง รวมทั้งพยายามให้ชาวบ้านที่ร่วมฟ้องคดี ให้ร่วมลงชื่อถอนฟ้อง รายละ 3,000 บาท โดยนำเอกสารมาให้เซ็นชื่อว่าไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 8 ราย

ขณะที่นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า กรณีที่ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่นหรือเจโทรกรุงเทพฯ มองว่าประเทศไทยไม่น่าลงทุน เนื่องจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อและความไม่แน่นอนด้านกฎเกณฑ์การลงทุน โดยเฉพาะปัญหาจากการลงทุนในโครงการมาบตาพุดนั้น มองว่าเป็นสัญญานเตือนให้ไทยต้องระวัง และไม่ควรชะล่าใจเด็ดขาด ซึ่งเรื่องเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากความไม่แน่นอนด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งไทยต้องยอมรับ แต่เชื่อว่าจะไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนอย่างแน่นอน เนื่องจากไทยมีอะไรดีที่น่าสนใจให้มาลงทุนมาก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกันแก้ไข

นายประสารกล่าวว่า ปัญหามาบตาพุด ถือเป็นบทเรียนที่ไทยต้องหาทางแก้ไขด้านกฎเกณฑ์การลงทุน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทั้งนี้กรณีที่ปตท.และเอสซีจีเคมิคอลส์จะหารือกับธนาคารต่างๆเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ภายหลังได้รับผลกระทบจากชะลอโครงการในมาบตาพุดนั้น ขณะนี้ยังไม่มีการเจรจาในเรื่องดังกล่าว แต่หากบริษัทต้องการเข้ามาปรับโครงสร้างจริง เชื่อว่าจะไม่มีปัญหา ซึ่งการขอปรับโครงสร้างหนี้ เป็นเรื่องธรรมดาของสินเชื่อ เมื่อมีปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการตามตารางที่วางไว้ ก็ต้องเข้ามาคุยกันอยู่แล้ว

แก้หนี้ประเทศ4ล้านล.โจทย์หิน จักรกฤศฏิ์


ที่มา:นสพ.ฐานเศรษฐกิจ
นับเป็นโจทย์ท้าทายไม่ใช่น้อย กับการเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ( สบน. ) ในสถานการณ์ที่หนี้สาธารณะของประเทศมีมากถึง 4 ล้านล้านบาทเป็นประวัติศาสตร์ แต่จะบริหารอย่างไร ภายใต้วงเงินก่อหนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และไม่เป็นภาระประชาชนที่จะต้องเสียในรูปภาษี

ฐานเศรษฐกิจ " มีโอกาสได้สัมภาษณ์พิเศษ นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองผู้อำนวยการ ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ สบน.คนใหม่หมาด ๆ (ปัจจุบันรอการโปรดเกล้า ฯแต่งตั้ง )

3 พันธกิจกับโจทย์ท้าทาย
ต้องบอกว่าผมเข้ามาในช่วงที่จุดหนี้สาธารณะสูงสุด ท้าทายมากสุดในประเทศไทย ดังนั้นการบริหารหนี้สาธารณะจากนี้ไป จึงต้องเป็นแบบโปรแอกทีฟ เริ่มตั้งแต่ 1. เรื่องการก่อหนี้ประเทศ ซึ่งการก่อหนี้ต่อไปต้องคำนึงถึงประโยชน์ ความสามารถสร้างผลตอบแทนและพัฒนาเศรษฐกิจประเทศอย่างยั่งยืน หรือเป็นการกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อเน้นสร้างโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเพื่อการแข่งขัน ,สร้างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบสร้างสรรค์, เสริมสร้างการแข่งขันของประเทศ และลดต้นทุนเพื่อประเทศในระยะยาว ซึ่งการจะมุ่งสู่เป้าหมายได้ เราต้องมีจุดยืนที่มั่นคง สบน.ต้องไปหาแนวร่วมจากหน่วยงานกลาง ทั้งจากสภาพัฒน์, สำนักงบประมาณ, สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง

2. เรื่องการบริหารจัดการหนี้ 4 ล้านล้านบาทต้องมีทิศทางที่ชัดเจน โดยนำพอร์ตโฟลิโอเบนช์มาร์ก( portfolio benchmark ) มาใช้ แต่การจะใช้พอร์ตโฟลิโอเบนช์มาร์กได้ เราต้องมีทีมที่มีความรู้สามารถรันโมเดลได้ว่าต่อไปพอร์ตของหนี้ของประเทศควรประกอบด้วยสกุลอะไรบ้าง , อัต ราดอกเบี้ยจะฟิตหรือลอยตัว หรือควรเป็นหนี้ระยะสั้น-ยาวแค่ไหน เพื่อจะมาแมตชิ่งกับการชำระคืนทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย สิ่งเหล่านี้ต้องเห็นภาพรวมของพอร์ตโฟลิโอทั้งหมด เพื่อให้รู้ทิศทางและกำหนดได้ว่าดอกเบี้ยแต่ละปีว่าจะมีช่วงอยู่ที่เท่าไร และเป็นภาระต่องบประมาณเท่าไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายมาก

3.เรื่องการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ให้โต เพียงพอต่อการรองรับการระดมทุนของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและเอกชน สิ่งที่เราต้องทำคือสร้างสภาพคล่องของพันธบัตรรัฐบาลให้ซื้อง่ายขายคล่อง เพื่อนักลงทุนที่เข้ามาก็จะได้เข้ามาลงทุนได้ดีกว่าเดิม ปัจจุบันพันธบัตรรัฐบาลจะขาดสภาพคล่อง เพราะส่วนใหญ่จะซื้อและถือกันไม่ขาย เวลาดอกเบี้ยขึ้นลง มันก็มีผลขาดทุน ประเด็นต่อมาคือสร้างความหลากหลาย จึงต้องพัฒนารูปแบบจากที่มีเพียงพันธบัตรรัฐบาล, พันธบัตรออมทรัพย์, พันธบัตรอัตราดอกเบี้ยลอยตัว ในอนาคตก็จะมีเป็น Index link ซึ่งจะเชื่อมโยงกับอินเด็กซ์อื่น ๆ และเชื่อมโยงดัชนีเงินเฟ้อ หรือตัวอื่น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อจะทำพันธบัตรนี้ออกมาให้สามารถรองรับการระดมทุนทุกรูปแบบ และเป็นแหล่งพักเงินช่วงภาวะเศรษฐกิจผันผวนหรือตลาดหุ้นผันผวน คนก็สามารถออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯก็มาพักกับพันธบัตรรัฐบาลได้

ผมตั้งเป้าหมายว่าหลังมารับตำแหน่งภายใน 1 ปี 3 มาตรการหลัก ทั้งทิศทางการบริหารหนี้ ทิศทางระดมทุน และการพัฒนาตลาดตราสาร มาตรการเหล่านี้ต้องมีความชัดเจน"
สร้างคน-ทีมงานรองรับ

นอกจาก 3 ส่วนงานหลักควบคู่กันไป เขาได้ให้ความสำคัญในการ "สร้างคน" ปัจจุบันบุคลากรของสบน.สมองไหลประปราย จากที่มีจำกัดเพียง 140 อัตรา แต่ไหลออก 4-5% จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างคนโดยเฉพาะในส่วนของแคปปิตอลมาร์เก็ต ดังนั้นอันดับแรกที่ผมเข้ามาบริหาร จะเร่งจัดคนลงในตำแหน่งที่ว่างที่มีประมาณ 5-6 ตำแหน่ง และส่วนที่เป็นราชการอีกกว่า 10 ตำแหน่ง ,การจัดหาลูกจ้างในระดับล่างลง โดยตำแหน่งระดับล่างจะรีครูตลูกจ้างที่มีความรู้การเงิน การคลัง ตลาดตราสาร มาทำ มาเสริมในหน่วยที่ต้องใช้คน ที่มีความรู้เฉพาะทางเช่นฝ่ายบริหารความเสี่ยง แคปปิตอลมาร์เก็ต เรื่องการพัฒนาตลาดพันธบัตรและติดตามประเมินผลในงบโครงการไทยเข้มแข็งคน ซึ่งหากลูกจ้างเหล่านี้มีศักยภาพและถ้าตำแหน่งราชการว่างก็สามารถบรรจุได้ทันที ซึ่งเราได้งบส่วนลูกจ้างจากงบไทยเข้มแข็งปี 53 ประมาณ 10 ล้านบาท

โดยคาดหวังโครงสร้างภายในใหม่จะต้องประกอบด้วยทีมงานที่มีความพร้อมในหน่วยงานหลักอาทิ ทีมบริหารความเสี่ยง, ทีมแคปปิตอลมาร์เก็ต และทีมวิเคราะห์ความเสี่ยง
++ปรับโครงสร้างยืดหนี้

ส่วนการบริหารจัดการหนี้ 4 ล้านล้านบาท นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่าสบน.จะยืดระยะเวลาหนี้ โดยจากพอร์ตโฟลิโอหนี้สาธารณะอายุหนี้ปัจจุบันจะเฉลี่ยที่ 4.5 ปี แต่จากเศรษฐกิจที่เริ่มสู่ขาขึ้น แนวโน้มดอกเบี้ยสูงขึ้น ประกอบกับการระดมเงินจากภาคเอกชนที่จะเข้ามาในตลาดมากขึ้น การบริหารหนี้ในหลักการจึงต้องขยายหนี้ให้มีระยะยาวขึ้น จากค่าเฉลี่ย 4.5 ปี จะเพิ่มเป็น 5 ปีหรือมากกว่า เพื่อ1. เป็นการล็อกอัตราดอกเบี้ย 2 .ลดการ roll over ของหนี้ เพราะการยืดอายุหนี้ออกไป ไม่เพียงจะทำให้หนี้ที่ครบกำหนดน้อยลง จากอายุหนี้ที่เป็นระยะยาวมากขึ้น ยังเป็นการลดความเสี่ยงและต้นทุนระยะยาวของประเทศ

ถามว่าจะทำอย่างไร พันธบัตรที่นำมาแมตชิ่งหนี้ที่จะออกใหม่จากนี้ไป จะมีระยะยาวมากขึ้น แทนที่จะเป็น 2-3 ปี ก็เป็น 5 ปี 10 ปี 20 ปี และปัจจุบันก็มีพันธบัตร 30 ปีแล้วแต่จะออกให้มากขึ้น พร้อมทั้งจะออกเป็นพันธบัตรอายุ 50 ปี ถ้าตลาดยอมรับก็จะมีพันธบัตร 50 ปีมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา อย่างไรก็ดีปกติก.คลังมีวงเงินสำหรับออกพันธบัตรประมาณ 400,000 ล้านบาทต่อปี แบ่งเป็นระยะกลาง 3 ปี 5 ปี 10 ปี ที่เหลือเป็น 15-20-30 ปี แต่วงเงินหลังจะน้อย เราก็จะพยายามเพิ่มขนาดส่วนหลัง ( 15-20-30 ปี ) มากขึ้นเรื่อย ๆจากปัจจุบัน พันธบัตร 30 ปี มีประมาณ 10,000 ล้านบาท ,ก็อาจเพิ่มเป็น 20,000 ล้านบาทหรือ 30,000 ล้านบาทในอนาคต ส่วนพันธบัตรอายุ 50 ปี จะเริ่มออกวงเงินไม่มากนัก 3,000 ล้านบาท โดยจะทดสอบตลาดก่อนว่ามีใครสนใจไหมแล้วค่อยเพิ่มไปเรื่อย ๆ

"เราพยายามจะหาวิธีการที่จะทำให้หนี้เงินต้นไม่กระจุกตัว และมีภาระดอกเบี้ยที่เราจะสามารถรู้ล่วงหน้า ซึ่งจะอยู่ในช่วงไม่เกิน 15% หรือในช่วง 12-15% ของงบประมาณรายจ่าย (ตามกรอบวินัยการคลัง) โดยภาระดอกเบี้ยจากนี้ไปสูงขึ้นแน่นอน จากการที่กระทรวงการคลังก่อหนี้ไว้ 800,000 ล้านบาท (จากพ.ร.ก.และพ.ร.บ. ในโครงการไทยเข้มแข็ง) แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เกิน 15% ซึ่งหากภาระดอกเบี้ยมากไปก็เป็นหน้าที่ของ สบน. ต้องหาทางลดดอกเบี้ย โดยการปรับโครงสร้างหนี้ อาทิ รีไฟแนนซ์ จากดอกเบี้ยลอยตัว มาเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อจะลดต้นทุนให้อยู่ในกรอบงบประมาณรายจ่ายไม่เกิน 15%
++ลดเงินต้น-ตัดภาระค้ำฯรสก.

ส่วนการลดภาระหนี้เงินต้นทำได้ 2 ทางคือ 1. การลดหนี้สาธารณะ โดยการชำระคืนเงินต้นและ 2. โดยการลดภาระการค้ำประกัน สิ่งที่สบน.จะทำได้ในอนาคตก็คือการลดภาระการค้ำประกันลง และถ้ามีเงินเหลือ เศรษฐกิจดี ถึงจะไปชำระคืน โดยการลดหนี้ส่วนของก.คลัง เรากำลังให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหนี้ของรัฐวิสาหกิจ , หนี้รัฐต่าง ๆที่เราไปค้ำแล้วเป็นหนี้เสีย อาทิหนี้(องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร ) อ.ต.ก. หนี้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ,องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ที่รัฐค้ำประกันให้ไปแล้ว แต่ไม่มีโอกาสจะใช้คืน กำลังคิดกันอยู่ว่าจะแปลงหนี้มาเป็นหนี้รัฐบาลได้อย่างไร เพราะหากเป็นหนี้ที่รัฐบาลรับเข้ามา รัฐบาลสามารถลดภาระหนี้ลงได้ เพราะเป็นหนี้โดยตรง มีบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพกว่า ต้นทุนก็จะถูกลง

ส่วนแนวทางในการลดหนี้เงินต้น นายจักรกฤศฏิ์ กล่าวว่า แนวทาง 1. หากมองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงฟื้นตัว การจัดเก็บรายได้เกินเป้าก็ไม่มีปัญหา อย่างปัจจุบันการจัดเก็บรายได้ตกเดือนละ 20,000 ล้านบาท ถ้าคำนวณตลอดทั้งปี สบน.อาจไม่จำเป็นต้องกู้เงินแสนกว่าล้านบาท เพื่อมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณปี 53 วงเงิน 350,000 ล้านบาทก็เป็นได้

แนวทางที่ 2 ก็คือการบริหารทรัพย์สิน ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ซึ่งอาจมีทรัพย์สินที่มีค่า ซึ่งสามารถนำมาใช้หนี้คืนในอนาคตได้ ซึ่งส่วนนี้สบน.เล็งเป้าอยู่ว่าจะดึงส่วนไหนมาเป็นทรัพย์สินได้ ส่วนแนวทางที่ 3 การหาทางลดภาระหนี้ในส่วนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งกระทรวงการคลังรับผิดชอบ (ส่วนภาระด้านดอกเบี้ย) ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย(รับภาระส่วนเงินต้น) ซึ่งเป็นหนี้ระยะยาว 20-40 ปี ก็ต้องไปหาทางหาวิธีการจัดการ ทำอย่างไรให้มีการชำระคืน หรือรับภาระหนี้แทนกระทรวงการคลังต่อ อันนี้ก็เป็นแผนที่กำลังคิดว่าจะต้องทำอย่างไร

แนวทางที่ 4 เงินคงคลัง ปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะหาผลตอบแทนได้ ในที่สุดแล้วต้องหาผลตอบแทน เพราะเป็นเงินที่เรากู้เป็น Treasury Bill (T-Bill) มาเพื่อใส่เงินคงคลัง ซึ่งมีการศึกษามาหลายยุคหลายสมัยแล้วว่าควรจะเอามาบริหารจัดการให้มีผลตอบแทน อันนี้เราก็จะต้องร่วมกับกรมบัญชีกลางผลักดันให้เป็นจริง และทางธปท.เองก็ต้องไม่ขัดข้อง เรื่องการจะให้กระทรวงการคลังเอาเงินคงคลังมาบริหาร ตัวนี้ถ้าเอามาบริหารจริงจังได้ ก็จะสร้างผลตอบแทนให้กระทรวงการคลังเป็นเงินก้อนโต
"คือตอนนี้เรามีเงินคงคลังฝากอยู่แบงก์ชาติเฉลี่ยต่อปีประมาณแสนกว่าล้าน ซึ่งเงินจำนวนนี้ถ้าเราได้ผลตอบแทนอย่างน้อยๆ สัก 0.75% มันก็ได้ประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ตรงนี้ก็น่าจะนำมาหาประโยชน์ได้ ซึ่งต้องเป็นการทำงานที่ต้องร่วมกันกับกรมบัญชีกลาง โดยเราศึกษาหาทางออกให้แล้ว ส่วนจะทำอย่างไรก็ต้องไปแก้กฎหมายเงินคงคลัง นี่คือสิ่งที่คิดไว้" ผู้อำนวยการ สบน. ยังได้กล่าวทิ้งท้ายว่า

การบริหารหนี้ก้อนโตของประเทศ 4 ล้านล้านบาท เป็นบูรณาการที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม โดยไม่ปล่อยให้กระทรวงการคลังต้องแบกรับไว้คนเดียว เพราะกระทรวงการคลังเองก็มีงบประมาณจำกัด หากทุกฝ่ายร่วมและช่วยเหลือกันลดหนี้ หารายได้ผมว่าการแก้ไขหนี้จะประสบความสำเร็จ

"ยิ่งลักษณ์"น้ำตาคลอ อ้อนปราจีนฯเลือกพท.เอา"แม้ว"กลับ "เฉลิม"ชู"จิ๋ว" เป็นนายกฯแย้มออกกม.นิรโทษกรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่เวลา 18.00 น. – 24.00 น. วันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา แกนนำพรรคเพื่อไทย นำโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรค ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และนายพายัพ ชินวัตร น้องสาวและน้องชายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ส.ส.กว่า 80 คน ได้เปิดเวทีหาเสียงช่วย พล.อ.สิทธิ์ สิทธิมงคล ผู้สมัคเลือกตั้งซ่อมรส.ส.ปราจีนบุรีบริเวณแยกสามทหารกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

พลเอกชวลิต กล่าวว่า อยากให้ประชาชนออกมาเลือกตั้งเพื่อช่วยประเทศชาติที่อยู่ภาวะแตกแยก ซึ่งการเลือกพรรคเพื่อไทยของประชาชนจะเป็นการช่วยให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับคืนประเทศไทยอีกทางหนึ่ง

ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวด้วยเสียงเครือน้ำตาคลอเบ้าบนเวทีว่า "เสียดายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้มากราบพี่น้องภาคกลาง และโดยเฉพาะชาวปราจีนบุรี คิดถึงอยากกลับมารับใช้พี่น้องเมืองไทย ลำพังดิฉันเป็นผู้หญิงคนเดียว น้องคนเล็กคงไม่สามารถนำพี่ชายกลับมารับใช้พี่น้องได้ จึงเสนอตัวเองขึ้นมาบนเวทีเพื่อขอให้มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย เพื่อผลักดันนโยบายให้ประชาชนและชาวปราจีนบุรี"

ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวปราศัยว่า หากอยากให้พ.ต.ท.ทักษิณกลับบ้าน ก็ต้องเลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทย หากสมัยหน้าพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.มากที่สุดก็จะได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว และพรรคจะออกฎหมายนิรโทษกรรมให้ทุกฝ่าย ทั้งนี้ หากนับอายุแล้วพล.อ.ชวลิตจะได้เป็นนายกฯ จะรับพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทยเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ช่างพูดนัก..!!!!!


ที่มา:ข่าวสดรายวัน

คอลัมน์ ทิ้งหมัดเข้ามุม

ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ตอบคำถามนักข่าวเรื่องผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าปัญหาเดิมยังคงอยู่ (อยู่ที่นายกรัฐมนตรีเอง) บทความหัวขั้วหัวเข่าแบบนี้ก็แทบไม่ต้องเขียน

ปัญหาเดิมคืออะไร?

ผบ.ตร.เก่าไม่เอากับรัฐบาลผสมเทียมเต็มร้อย กะฟาดให้คราสถึงพี่ชาย คุณสุเทพเทือกเถือกแถไม่ทันใจ คุณอภิสิทธิ์หมายใจจัดการเอง วางเป้าคุณปทีปเป็นหลัก ใบสั่งหุ้นใหญ่กว่าจะเอาคุณจุมพล ที่ประชุมไม่เอาคุณปทีป ไม่มีใครถามเลยว่า ประธานเป็นประชา ธิปไตยประสาอะไร

หรือคำถาม ไหนว่าจงรักภักดีด้วยปากปาวๆ ก็ไม่มีคำตอบ

3 เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก แผ่นดินที่ ประชากรไม่เคยปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ก็ยังปลอดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเต็มตามหน้าที่แห่งกฎหมาย

มีแต่ผู้รักษาการซึ่งเป็นตำรวจเพียงซีกเดียว

มีแต่ประธานตำรวจที่เลขาธิการหายไปทั้งร่าง

วันนี้คุณอภิสิทธิ์คิดอะไร?

ตะแบงความรับผิดชอบไปเรื่อยๆ รออีก 8 เดือนค่อนจนครบเกษียณของ 2 คู่ชิง หรือรอจนกว่ารัฐบาลลาโรง หรือจะเอาที่ประชุมเป็นมติ (อีกครั้ง) ว่าจะเอาใคร หรือจะเกิดความคิดใหม่ ย้อนไปหาผู้อาวุโสเก่าอย่างคุณเพรียวพันธ์ เพื่อแก้ปัญหาส่วนรวมเฉพาะหน้า หรือจะวางผู้มีสิทธิ์ทั้งหมด ให้กรรมการคิดเห็น เห็นชอบด้วยความสุจริตอีกที ในระยะเวลาที่กำหนด

หรือคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้คิดอะไรเลย

นอกจากตกกระไดพลอยโจนที่เกิดจากการกระโดดด้วยตัวเองโดยไม่มีใครถีบ

ถีบซ้ายป่ายขวาด้วยวาจาไปวันๆ สนุกนักหรือ

ปล่อยการโยกย้ายตำรวจเป็นสินค้าที่ไม่ต้องปิดป้ายราคาก็สนุก

และสำหรับท่านผู้ ถือหุ้นใหญ่ ที่เห็นแก่ชาติและประชาชนเป็นสำคัญ

ประมุขฝ่ายบริหารมัวแต่ฟังหากไม่ได้ยิน เห็นไม่ได้ เข้าไม่ถึง ประมุขแปรเปลี่ยนเป็นก้นกบไป แต่เมื่อไร?

วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2553

ร.ต.อ.เฉลิม ยันกัดไม่ปล่อยคดีเงินบริจาค ปชป.


ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ระบุคดีเงินบริจาคพรรค ปชป.ถูกยกคำร้องจะไปยื่นฟ้องศาลฎีกานักการเมือง ขณะที่การนัดพบกับนายบรรหาร ยังหาเวลาว่างให้ตรงกันไม่ได้

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย ย้ำว่าข้อมูลหลักฐานในคำร้องสำนวนเงินบริจาค 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ มีค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะเอกสารสรุปสำนวนคำร้องของดีเอสไอที่เป็นคำให้การของ นายประจวบ สังข์ขาว และหากนายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกกต.เห็นว่าไม่มีมูลก็ควรยกคำร้องตั้งแต่ได้รับเรื่องมา แต่กลับนำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต.

ร.ต.อ.เฉลิม ยืนยันว่าหากนายอภิชาติยกคำร้อง เรื่องนี้ไม่จบแน่ โดยจะเดินหน้าต่อสู้ต่อไป ด้วยการยื่นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตรวจสอบต่อ อย่างไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม เชื่อว่านายอภิชาติจะไม่กล้ายกคำร้องเนื่องจากกระแสสังคม รวมทั้งสื่อไม่เห็นด้วย แต่หากแน่จริงก็ขอให้ยกคำร้องเลย

ส่วนข่าว การนัดพบกับนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนานั้น ยอมรับว่ามีความคิดที่จะนัดพูดคุยกันจริง แต่ยังหาเวลาว่างตรงกันไม่ได้ โดยเป็นการนัดแบบส่วนตัวไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อพูดคุยสถานการณ์ทางการเมือง ทั่วๆไป พร้อมยืนยันท่าที่ของพรรคเพื่อไทยจะไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรคร่วมรัฐบาลในการ แก้ไข รธน.แน่นอน

ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่าสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ถึงจุดที่ต้องมีสัญญาประชาคม เพราะทุกคนมีพรรคสังกัด พร้อมสำหรับการเลือกตั้ง ยุบสภาเมื่อไหร่ เลือกตั้งครั้งหน้าใครชนะเป็นรัฐบาล คนแพ้ต้องยอมรับ ร.ต.อ.เฉลิมยังประเมินด้วยว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะกวาดที่นั่งในภาคอีสานเกือบทั้งหมดยกเว้นจังหวัดนครราชสีมา บางส่วนที่แบ่งให้ นายสุวัจน์ ลิปพัลลภ และบุรีรัมย์ที่เชื่อว่าเป็นจังหวัดเดียวที่พรรคภูมิใจไทยจะได้ที่นั่ง โดยประเมินว่าสุดท้ายพรรคภูมิใจไทย จะได้ทั้งหมดไม่ถึง 10 ที่นั่ง ร.ต.อ.เฉลิมยังท้าให้ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงเลือกตั้งแข่งกับตนเองในกทม.โดยยินดีให้นายชวรัตน์เป็นคนเลือกเขตเลือก ตั้งเอง ส่วนการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ปราจีนบุรี ร.ต.อ.เฉลิมบอกว่าไม่ใช่พื้นที่ของพรรคเพื่อไทย จึงไม่ซีเรียสเรื่องแพ้ชนะ หากชนะก็ถือว่าเป็นของแถม แต่ผู้ใหญ่ในพรรคก็จะลงพื้นที่ช่วยหาเสียงเต็มที่

ลุ้นระทึก 365 วันอันตราย..ปีเสือลำบาก

บทความ:วโรทาห์
เปิดฉากบทความแรกของปีนี้ ต้องขอกล่าวคำว่า สวัสดีปีใหม่ 2553..ปีแห่งความหวังว่า น่าจะมีลุ้นชนิดม้วนเดียวจอด จากการที่หลายฝ่ายออกมาวิแคะตรงกันเด๊ะๆว่า หลังจากที่เย่อกับอำมาตย์มาหลายปี มาวันนี้ ประชาชนชักจะเล่นเป็น

จึงฟันธงโดยพร้อมเพรียงว่า น่าจะมีเสียว ส่วนจะเสียวมากเสียวน้อย เสียวปานกลาง หรือว่าเสียวหน้าเสียวหลัง ก็ต้องไปถามอำมาตย์กันเอาเอง

ปีวัวบ้า เราได้รัฐบาลทุย ออกมาลุยถั่ว ไล่ขวิดประชาชนจนแตกฮือ ล้มตายหายสาบสูญไปไม่น้อย ประชาชนมือเปล่าได้แต่ยืนมองทำตาปริบๆ สู้จำกล้ำกลืนข่มความเจ็บช้ำไว้ภายใน หวังว่าจะเอาคืนทบต้นทบดอกเมื่อถึงคราฟ้าเปลี่ยนสี นารีเปลี่ยนใจ

รัฐบาลภาคต่อของคมช. ลูกไล่อำมาตย์ที่ถูกส่งมาแก้มือ ด้วยความเสียดายที่ว่า ตอนนั้นไม่กวาดล้างศัตรูให้สิ้นซาก ทำให้ต้องงึกๆงักๆอยู่ทุกวันนี้ จึงไม่แปลก ที่ผลงานจะประจานตัวเองว่า นอกจากกู้เอามายัดแล้ว หน้าที่หลักก็คือไล่ล่าทักษิณ กับไล่ยิงเสื้อแดง คงกะฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนไทย ให้มันหมดประเทศ ก็ไม่รู้

แต่อย่างว่า คนมันหล่อหลักลอย ลอยไปก็ลอยมา เลยยิ่งแก้ยิ่งยุ่งขิง กลายเป็นลิงแก้แห ยิ่งกวาดล้างเสื้อแดง ยิ่งแดงเถือกไปทั่วบ้านทั่วเมือง เล่นเอาป๋าอยากจะบ้าตาย วันละหลายๆครั้ง

สุดท้าย ถึงท้ายปี ยังอุตส่าห์มีลุ้นปาฏิหาริย์ ถึงขนาดสุนัขจะออกลูกเป็นลิง ความยุติธรรมจะกลับคืนสู่ผืนแผ่นดินไทย แต่หลังจากที่รอแล้วรอเล่า ฟาดแห้วรอหมดไปหลายเข่ง ถึงได้หูตาสว่างโร่ว่า

ปาฏิหาริย์มีจริง แต่อยู่ที่กำปั้นทั้งสองของประชาชน

ท้ายสุดจริงๆ ถึงได้มีข่าวดี ที่ประชาชนพอจะยิ้มออกได้บ้าง เมื่อผลสำรวจของอีแอบโพลล์ ทะลุ่มทะลุยฟันโช๊ะออกมาว่า ปีเก่าที่ผ่านไป ไม่มีอะไรที่ประชาชนจะสุขใจไปกว่า ข่าวที่ว่าปีใหม่นี้ ระบอบอำมาตย์ กำลังจะบรรลัย

เอ้า..เอาไงก็เอากัน ล้างแผ่นดินกันซะที คงจะดีไม่หยอก ไหนๆก็ไหนๆยังไงก็เอาซะให้สะเด็ดน้ำ ไม่งั้นก็ยักแย่ยักยันกันไม่เลิก จริงอยู่ที่ว่าบ้านเมืองต้องเดินไปข้างหน้า แต่มันก็ต้องสง่างามพอสมควร ไม่ใช่เดินขาถ่างทั้งริดสีดวงคาดาก จะทำงานทำการอะไรก็ไม่ถนัด

คุ้มดีคุ้มร้าย ฝีมะม่วงปะทุออกมาที แทบจะวายป่วงกันทั้งประเทศ

ไม่ต้องมานิรโทษกรรม ให้มันเมื่อยตุ้ม เมื่อมันไม่ควรจะผิด มันก็ต้องไม่ผิดตั้งแต่ต้น ไม่ใช่มาเขียนกฎหมา_ให้มันผิด แล้วค่อยนิรโทษกรรมกันภายหลัง ทีลากปืนออกมาเขียนกฎเอาโทษย้อนหลัง ยังทำได้ ถ้าประชาชนจะเขียนใหม่ให้ถูกต้อง มันก็สมควรแล้ว

สรุปว่า ปีใหม่หรือปีเก่า ก็ไม่ได้สำคัญไปกว่า ประชาชนจะได้ประชาธิปไตยคืนมาเมื่อไหร่ และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ จะคืนให้แต่โดยดี หรือต้องให้ใช้กำลังกระชากเอา แต่ดูจากพฤติกรรมที่ผ่านมา ท่าทางว่ามันจะชอบอย่างหลัง

ทำเป็นเล่นไป ปีใหม่นี้เป็นปีเสือลำบาก ประชาชนหลังพิงฝา อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ถึงวันนี้ สงครามประชาชนจึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จะจริงหรือไม่ จะใช่หรือมั่ว ก็เล่นเอาตาแก่ผมขาว คนที่ไม่เค้ยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับการเมืองซักนิด ถึงกับสะดุ้งโหยง กระย่องกระแย่งขึ้นมาสวมเครื่องแบบ 3 เหล่าทัพแทบไม่ทัน

ปีนั้นเล่นเรื่องม้ากับจ๊อกกี้ มาปีนี้ยังไม่วายเล่นของสูง แถมด้วยปลุกพระสยามเทวาธิราช ขึ้นมาหลอกหลอนประชาชน เป็นการใหญ่

นับเป็นการเพ้อเจ้ออย่างเสมอต้นเสมอปลายที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็ว่าได้ เพราะถ้าพระสยามเทวาธิราชมีจริง ป่านนี้พวกแก๊งค์กะโหลกกะลา มีหวังถูกไล่ถีบไปสุมหัวกันในนรก ไม่ได้มาเสนอหน้าให้เขาด่าพ่อล่อแม่อยู่ทุกวันนี้หรอก

ประวัติศาสตร์มันต้องเปลี่ยน ยังไงก็ต้องเปลี่ยน ถ้าใครไม่ร่วมจารึกประวัติศาสตร์หน้าสำคัญหน้านี้ คงต้องเสียใจไปชั่วลูกชั่วหลาน

โลกล้อมประเทศ ประชาชนล้อมอำมาตย์ วันนี้เล่นกันแรง ถึงขั้นสวรรค์ล้อมนรกกันแล้ว เมื่อลุงหมักตัดสินใจขอวีซ่า ไปปูเสื่อรอเช็คบิลอยู่บนสรวงสวรรค์ เรียกว่า ต่อให้พวกอำมาตย์วายวอดเหลือแต่วิญญาณ ยังไม่มีสวรรค์สำหรับคุณ

งานนี้มีแต่ตั๋วทัวร์นรก One way ticket to the hell

แตกหัก อ่านว่าแตกหัก ดูยังไงก็แตกหัก ในเมื่อคนมันเอาแต่ได้ ยังไงก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ทีพวกเดียวกันเสียเปรียบ มันขอให้ประชาชนเลือกข้าง แต่พอพวกมันได้เปรียบ มันเรียกร้องให้สมานฉันท์

ตอนที่พวกเหลืองประท้วง มันช่วยกันลงแขก ขย่มให้รัฐบาลลาออก พอฝ่ายตรงข้ามประท้วง มันเรียกร้องให้ปราบปรามอย่างเด็ดขาด

ทีพวกตัวเองพูดใส่ไฟได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีปัญหา แต่ฝ่ายตรงข้ามห้ามแอะแม้แต่คำเดียว กลัวประชาชนสับสน คงคิดแบบโง่ๆว่า ถ้าปิดหูปิดตา ปิดปากประชาชนได้ บ้านเมืองต้องอยู่ใต้อุ้งเท้าของพวกมัน

ขนาดตุลาการยังออกมารับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า มี 2 มาตรฐานสำหรับคนดีกับคนชั่ว แต่ไม่ได้บอกว่า ใครดีใครชั่ว ใครเป็นคนตัดสิน

จะบ้าตาย แค่นี้ก็คิดกันไม่เป็น

ความยุติธรรมมันต้องมีให้สำหรับทุกผู้ทุกคน อย่างเสมอภาค ไม่ว่าคนดี คนเลว หรือผู้ร้ายใจทมิฬ ก็ต้องได้รับความยุติธรรม โดยเสมอหน้ากัน ไม่งั้นจะมีศาลเอาไว้ทำไม ในเมื่อแค่จ่าแฮรี่ก็สามารถชี้เป็นชี้ตาย ส่งคนร้ายไปลงนรกได้แล้ว

คงลืมไปว่า ความยุติธรรมคือลมหายใจของตุลาการ ถ้าไม่ต้องมีความยุติธรรม ก็ไม่ต้องมีตุลาการ ความยุติธรรมแบบเลือกได้ ชาวบ้านเขาจัดกันเองเป็น ไม่ต้องไปจ้างใคร มานั่งชี้หน้าประชาชน ให้มันเปลืองภาษีโดยใช่เหตุ

ยิ่งประชาชนคนส่วนน้อยที่หลงผิดด้วยแล้ว ยิ่งต้องสำเหนียกกันให้หนักว่า วันนี้ท่านสนับสนุนให้ความอยุติธรรมย่ำยีฝ่ายตรงข้ามได้ วันหน้าก็เตรียมรับเละเอาไว้ได้เลย ถ้าไม่เจอกับตัวเอง ก็ต้องโดนกับลูกหลาน

ถ้าฉลาดก็ปล่อยวางความเกลียดทักษิณเอาไว้ก่อน แล้วออกมาร่วมกันทวงคืนความยุติธรรมสู่สังคมไทย เพื่อที่ลูกหลานจะได้ไม่ต้องมาเสียเลือดเนื้อในภายหลัง

เมื่อเสียงกลองรบระรัวลั่น อำมาตย์น้อยใหญ่ก็นั่งไม่ติดเก้าอี้ จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ช่วงหลังมานี้ กระแสคลั่งชาติจะรุนแรงเป็นพิเศษ อะไรๆก็เมืองไทยดีซะเหลือเกิน..น่าภาคภูมิใจตายละ!

เมืองไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร นอกจากเมืองขึ้นของระบอบอำมาตย์

คนไทยไม่เคยเป็นขี้ข้าใคร นอกจากขี้ข้าอำมาตย์

วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2553

ควันหลง การเลือกตั้งมหาสารคาม เขต 1...ยุทธศาสตร์ใหม่ของอำมาตย์

บทความโดย...ลูกชาวนาไทย

ผลการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดมหาสารคาม เขต 1 เมื่อวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2553 ผ่านไปสดๆ ร้อนๆ นะครับ ผลการเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแบบเฉียดฉิว โดยมีผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ ดังนี้

หมายเลข 2 นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สังกัดพรรคเพื่อไทย ล่าสุดได้คะแนน111,394 คะแนน

หมายเลข 1 นางคมคาย อุดรพิมพ์ สังกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งคะแนนที่ได้ 110,158 คะแนน

แม้ว่าจะเป็นชัยชนะ แต่ก็ถือได้ว่า "เฉียดฉิว" น่าตกใจและจะต้องเก็บมาเป็นบทเรียน เพื่อการวางแผนและการสรุปบทเรียนต่อไปในอนาคต ผลการเลือกตั้งมหาสารคาม ในทางการเมือง คงจะนิ่งเฉยไม่ได้ และฝ่ายยุทธศาสตร์ของคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย คงไม่อาจนิ่งเฉยการเลือกตั้งครั้งนี้ได้


สำหรับยุทธวิธีใหม่ของฝ่ายอำมาตย์ที่นำมาใช้ครั้งนี้ผ่านพรรคภูมิใจไทยของเนวิน ผมคิดว่าคุณ Fanny แห่งเว็บประชาไทได้สรุปเอาไว้อย่างชัดเจน ผมขออนุญาตเอามาลงไว้เพื่อเป็นกรอบในการวิเคราะห์ต่อไปนะครับ เป็นโจทย์ที่เราต้องแก้


ควันหลง การเลือกตั้งมหาสารคาม...ยุทธศาสตร์ใหม่ (?)ของอำมาตย์.....

ยุทธวิธีที่อำมาตย์นำมาใช้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ มหาสารคามนี้ จะว่าใหม่ก็ๆ จะว่าเก่า ก็เก่า...

เพราะเป็นยุทธวิธีที่ได้มีการพูดกันตั้งแต่สมัยเลือกตั้งใหญ่ครั้งก่อน (สมัย พลเอก สุรยุทธิ์ เป็นนายก) แล้ว...

คือเป็นยุทธศาสตร์ที่ตั้งธงขึ้นว่า ต้องการชัยชนะให้ได้จากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย..โดยจะให้พรรคไหนก็ได้เป็นฝ่าย ชนะ แต่ ไม่ให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) ชนะเป็นอันขาด...

ยุทธวิธี...คือ การรวมคะแนนของทุกพรรค เอามาสู้ กับพรรคฝ่ายประชาธิปไตย (พลังประชาชน - เพื่อไทย) พรรคไหน ที่ได้คะแนนเป็นที่ 2รองจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย คือ พรรคที่จะมีสิทธิ์ส่งคนลงรับเลือกตั้ง...โดยพรรคที่ 3 - 4 - 5 -6 ที่นอกจากจะต้องหลีกทางให้ พรรคที่ได้คะแนนเป็นที่ 2 โดยการไม่ส่งคนเข้าแข่งแล้ว..

ก็จะต้องช่วยนำหัวคะแนนไปร่วมด้วยช่วยหาเสียงให้....

ส่วนในจังหวัดเลือกตั้งอื่นๆ ...ก็ให้ทำในลักษณะเดียวกัน....

ยุทธวิธีนี้ ได้มีการเสนอมาตั้งแต่ เลือกตั้งใหญ่ครั้ง ธค 2550 แต่ตอนนั้นพรรคร่วมอื่นๆ ไม่เข้าร่วมมือด้วย จึงเหลือพรรคเข้าร่วมโครงการเพียงพรรค เพื่อแผ่นดิน... ยุทธวิธี นี้ จึงถูกพับเก็บไป

ต่อมายุทธวิธีนี้นี้ ได้นำมาปัดฝุ่นใช้ในการเลือกตั้งซ่อมมหาสารคามในครั้งนี้...

เพื่อเป็น "โมเดลทดลอง" ที่จะใช้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า....

การที่พรรคเพื่อไทย มีชัยชนะอย่างฉิวเฉียด...(อาจดูเหมือนอำมาตย์แพ้)..

แต่เป็น "โมเดลทดลอง" ที่รับรองได้ว่า ทำให้ฝ่ายเสธฯ ของ อำมาตย์ยิ้มได้พอสมควร..

และทำให้ โมเมนตั้มของการ "ยุบสภา" มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น...

แต่ถึงกระนั้น ณ. นาทีนี้ ยังคงไม่มีใครฟันธงไปได้ว่า "อำมาตย์ใหญ่ เค้าจะเลือกใช้วิธีไหนในการเดินเกมต่อไป....

ยุบสภา?....หรือ...ทางเลือกพิเศษกวาดล้มทั้งกระดาน (ซึ่งเป็นวิธีที่ดูเหมือนได้ผลเร็วแต่ผลที่ตามมายากต่อการควบคุม)

แต่การ ที่พรรคเพื่อไทย เอาชนะ ยุทธวิธี นี้ มาได้....นั่นก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า กระแสของท่านนายกทักษิณ และคนเสื้อแดงนั้น ก็ไม่ธรรมดา ไม่แผ่วอย่างที่ลิ่วล้ออำมาตย์พยายามปั่นกระแส.......

สรุปว่า....ชัยชนะของ ฝ่ายประชาธิปไตย ที่มหาสารคามนี้.....มี 2 นัยยะ...คือ

1) หากมองในนัยยะของ เก้าอี้ ที่เพิ่มขึ้น.... ฝ่ายประชาธิปไตย ได้เก้าอี้เพิ่มขึ้น ได้ชัยชนะ ได้ ส.ส. เพิ่มอีก 1 คน..

2) แต่หากมองในเรื่อง ยุทธศาสตร์.....การเลือกตั้งที่มหาสารคามนี้ ผลออกมา "เสมอกัน..."

เพราะยุทธวิธีของฝ่ายอำมาตย์อันนี้ ถือว่า "ใช้ได้" ....

เป็น ยุทธวิธี ที่ "หวังผล" ได้....ในการต่อสู้เลือกตั้งในครั้งหน้า

ส่วน ยุทธวิธี ของฝ่ายประชาธิปไตย...ก็ถือว่า "ใช้ได้".....

ในมุมที่สามารถต้านการ "รุมกินโต๊ะ" จากพรรคที่ 2+3+4+5 +6 ได้

โดยเฉพาะยังสามารถต้านกระแส "ใบสีเทา 2 ใบ" ที่ฝ่ายอำมาตย์ใช้โปรยหว่าน...รวมทั้ง ยังสามารถต้านทาน

การ "โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" ด้วย...

"โปรยหว่านแบบใช้งบของรัฐ" .....เช่น เมื่อกรณีต้นเดือน ธค 52....ที่มีการนำคนของ จังหวัดมหาสารคาม และ ปราจีนบุรี มาเที่ยวงานใน กทม.....

กิน เที่ยว ในงานแบบฟรีตลอดงาน....ก็ถือว่าเป็นการ "หว่าน" อีกแบบหนึ่ง

ทั้งยังเป็นการ "หว่าน" ที่ได้ 2 เด้ง คือ...

1) ได้ "หว่าน" ล่วงหน้า...

2) ได้ทำให้คนมาเที่ยวเต็มงาน แสดงความยิ่งใหญ่ของ นายห้อยผู้จัดงาน...ว่า...."สุดยอด ดดดดดดดดดดดด"

ที่สำคัญ..."คนหว่าน "ไม่ต้องชักเนื้อจากปากห้อยๆ ของตัวเอง...ซะอีก


จากความเห็นของคุณ Fanny ข้างต้น ผมมองว่ายุทธวิธีนี้ของอำมาตย์เป็นยุทธวิธีที่ "ค่อนข้างใช้ได้ของฝ่ายอำมาตย์" ถือเป็นการ "เอาไม้ซีกรวมกันเพื่องัดไม้ซุง" เป็นยุทธวิธีที่ดีทีสุด ที่จะสามารถรับกับสถานการณ์เช่นนี้ได้

ผมคิดว่ายุทธวิธีนี้จะได้ผลอย่างยิ่งเลยทีเดียว หากการเมืองไทยยังเป็น "การเมืองระบบหลายขั้ว" เหมือนการเมืองก่อนปี 2540 ที่มีพรรคการเมืองกระจัดกระจาย แบ่งออกเป็นหลายๆ พรรค และประชาชนยังไม่ได้มี"จิตสำนึกการเลือกตั้งแบบเลือกแบบร่วมกัน"

นั่นเป็นกลยุทธ์ที่ดีเท่าที่จะสามารถใช้ได้ของอำมาตย์แล้วครับ

แต่ปีนี้ปี 2553 ปีที่ การขัดแย้งทางการเมือง เนิ่นนานมาเป็นเวลานาน จนทำลาย "กรอบความคิดแบบเดิมในใจของประชาชนไปหมดสิ้นแล้ว ผมว่า ตัวแปรสำคัญในช่วง "ร่วมสมัย" นี้คือ

1. พฤติกรรมการเลือกตั้งของประชาชนเปลี่ยนเป็นเลือกพรรคมากกว่าตัวบุคคล อันนี้พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนในการเลือกตั้งหลังปี 2540 มาหลายครั้งแล้ว

2. การเมืองไทยปัจจุบันมีเพียงสองขั้ว โดยแบ่งอย่างง่ายๆ คือ เหลืองกับแดง หรือพูดให้ชัดคือ ขั้วทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ (เสรีนิยมอาจรวมสังคมนิยมแบบก้าวหน้าด้วย) กับขั้วอนุรักษ์นิยม ไม่มี "ทางเลือกที่สาม" ให้กับพรรคเล็ก ไม่มีพื้นที่ให้ยืนได้มากนัก นอกจากพื้นที่เขตอิทธิพลท้องถิ่นมานาน แบบสุพรรณบุรี แต่ก็ถูกกระแสความขัดแย้งดูดกลืนเข้าสู่สภาพการเมืองแบบสองขั้วสองพรรคไปมากแล้ว เหลือพื้นที่ทางอุดมการณ์ให้กับพรรคเล็กแทบไม่มี เมืองสุพรรณที่ไม่มีตระกูลศิลปอาชาลงแบบเต็มๆ อาจเสียพื้นที่ให้กับขั้วเสรีนิยมก้าวหน้า (เพื่อไทย) ก็เป็นได้

3. อบต./อบจ. มีบทบาททดแทน ความต้องการงบประมาณลงพื้นที่ จาก สส.เขตไปแทบหมดสิ้นแล้ว ประชาชนต้องการ สส.ในบทบาทระดับชาติ มากกว่าสร้างถนน สร้างบันไดศาลาวัด อะไรพวกนี้แล้ว อบต./อบจ. ทำหน้าที่แบบ ผู้ว่าฯ กทม. ไปแล้ว สส.จึงหมดความสำคัญส่วนนี้ไป บทบาทระหว่างการพัฒนาท้องถิ่น กับการเมืองระดับชาติมีเส้นพรมแดนที่ค่อนข้างชัดเจนแล้ว

4. พรรคเล็ก ไม่มีผลต่อนโยบายเศรษฐกิจในระดับมหภาคมากมายนัก และนโยบายเศรษฐกิจระดับมหภาคมีผลต่อ "เงินในกระเป๋า" ของชาวบ้านหรือความกินดีอยู่ดี" มากกว่า "ความต้องการพัฒนาท้องถิ่นมากแล้ว คือ "ความยากแค้นด้านโครงสร้างพื้นฐาน" แบบยุคก่อนๆ บรรเทาลงไปมากแล้ว ผมยังจำได้ สมัยก่อนจะเลือกตั้งเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สส.จะเอารถเกรดมาเกรดถนนให้ แต่ พ.ศ. 2553 ทำแบบนี้ไม่เพียงพอแล้ว อบจ./อบต. ทำแทนไปแล้ว

5. ระบบการเลือกตั้งแบบ แบ่งรวมเขต จะฆ่าพรรคเล็กแทบจะสูญพันธุ์ ยกเว้นจะมีการแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ แต่หากพรรคใหญ่ไม่เอาด้วย การแก้ไข รธน.ในส่วนนี้ ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก

6. มนต์ขลังเรื่องความซาบซึ้ง ไม่เป็นปัจจัยให้ได้คะแนนอีกต่อไป ผมเชื่อว่าพรรคที่ชูธงเรื่อง self-sufficient จะไม่ได้คะแนน แต่คนไม่กล้าแย้งออกมาทำให้คิดว่ายังมีมนต์ขลัง แต่เชื่อว่าพรรคที่ชูความซาบซึ้ง กับพรรคที่ชู "ทักษิณ ชินวัตร" ผมคิดว่าพรรคทักษิณ จะชนะถล่มทลาย ความซาบซึ้งไม่ได้ช่วยให้หายอดอยาก และมันสะท้อนถึงความสองมาตรฐาน ความไม่เป็นธรรมต่างๆ และที่สำคัญคนเริ่มคิดได้ว่า "ซาบซึ้ง" ไป ก็ไม่ได้ขึ้นสวรรค์ ไม่มีศาสนาใดสนับสนุน นอกจากความงมงายไปชั่วครู่

ผมว่าเงื่อนไขเหล่านี้ได้ "บั่นทอน" ยุทธวิธีนี้ของอำมาตย์ ทำให้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

แต่พรรคเพื่อไทยก็ไม่ควรประมาทในเรื่องนี้ เพราะเขาอาจใช้ยุทธวิธีนี้+การโกง ก็อาจได้ชัยชนะในบางพื้นที่

ดังนั้น การเร่งการจัดตั้งเครือข่ายของคนเสื้อแดงลงไปยังชนบทจึงเป็นสิ่งสำคัญ

และที่สำคัญ "ต้องขายประชาธิปไตยกินได้" ไม่ใช่ "ประชาธิปไตยแบบอุดมการณ์"

คือต้องมี "แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ" แบบที่พรรคไทยรักไทยเคยทำ ต้องเริ่มทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจนได้แล้ว เพราะประชาชน "หวังในส่วนนี้จากทักษิณ" ไม่ใช่ "นิยมทักษิณเพราะซาบซึ้งทักษิณเฉยๆ" แต่นิยมทักษิณเพราะทักษิณทำให้พวกเขามีอยู่มีกิน ชีวิตมีความหวัง ลูกได้เรียน ได้โอกาส ครอบครัวมีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น

ต้องพัฒนา "ส่วนที่กินได้" ของประชาธิปไตยให้สมบูรณ์เหมือนพรรคไทยรักไทย

โอกาสของพรรคเพื่อไทยนั้นเหนือกว่าพรรคอื่นๆ รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ เพราะคนประชาชนเชื่อถือในตัวท่านทักษิณ ชินวัตร อยู่แล้ว แต่ก็ต้องมีแผนงานโครงการต่างๆ ที่เป็น package ชัดเจน จับต้องได้ มีวิธีการปฏิบัติที่เชื่อถือได้ ไม่เพ้อฝันเลื่อนลอย

พรรคเล็กๆ แบบเนวินจะหาเสียงได้เพียงโครงการ แบบใช้เงินงบประมาณเท่านั้น เช่น ถนนไร้ฝุ่น พวกนี้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้มีบทบาทน้อยกว่า นโยบายเศรษฐกิจ ต่างๆ ที่เป็นภาพรวมใหญ่ ๆ ทำให้โอกาสของเนวินนั้นลดลง

แต่ก็ประมาทไม่ได้