--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แม่วิศวกร วอนรัฐเร่งช่วยลูกกลับไทย

แม่วิศวกรไทยที่ถูกเขมรจับ วอนรัฐบาลเร่งช่วยเหลือนำตัวลูกชายกลับไทย หวั่นโรคประจำตัวกำเริบ "กษิต" ยันจนท.ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ด้าน "บัวแก้ว" จี้ใช้อนุสัญญากรุงเวียนนาดูแล "ศิวรักษ์" ขณะที่เขมรปล่อยข่าวให้เยี่ยมแล้ว

นางสิมารักษ์ ณ นครพนม อายุ 57 ปี ครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา มารดาของนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ อายุ 31 ปี พนักงานบริษัท กัมพูชาแอร์ ทราฟฟิก เซอร์วิส หรือแคทส์ (CATS) บริษัทในเครือบริษัทสามารถเทลคอม ซึ่งถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว โดยกล่าวหาว่าลอบสำเนาเอกสารเกี่ยวกับกำหนดการเดินทางโดยเครื่องบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรี กัมพูชา เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ให้สัมภาษณ์ว่า สิ่งที่เป็นห่วงลูกชายมากที่สุดตอนนี้ก็คือ สภาพร่างกายที่ค่อนข้างอ่อนแอ เพราะลูกชายเป็นโรคภูมิแพ้เรื้อรัง มีปัญหาระบบทางเดินหายใจ ที่มักจะมีอาการหายใจขาดช่วง เป็นโรคประจำตัว ได้วางแผนไว้ว่าหากว่างจะพาไปผ่าตัดรักษาอาการป่วย แต่มาเกิดเหตุขึ้นเสียก่อน

นางสิมารักษ์ กล่าวว่า ได้รับทราบข่าวจากเพื่อนสนิทของลูกชายและข่าวสารทางอินเทอร์เน็ตว่า ลูกถูกทางการกัมพูชาจับกุมตัว ก็รู้สึกช็อกและเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะมีเหตุอย่างนี้เกิดกับลูกได้ เพราะลูกเป็นคนดี สุขุม เรียบร้อย มีคุณธรรม เป็นที่รักใคร่ของบิดามารดา ญาติสนิท และเพื่อนฝูงทุกคน เป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่เคยสร้างปัญหาใดๆ ให้แก่ครอบครัวหรือผู้อื่น ที่ผ่านมาลูกชายจะโทรศัพท์มาหาประจำทุกอาทิตย์ ล่าสุดเมื่อสิ้นเดือนสิงหาคมเพิ่งเดินทางมาพักผ่อนที่บ้าน และกลับไปทำงานเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา บอกว่าจะไปทำงานที่ชายแดนไทย-ลาวแต่ไม่ได้บอกรายละเอียด จากนั้นก็ขาดการติดต่อจนกระทั่งทราบข่าวว่าถูกจับตัวที่เขมร

นางสิมารักษ์ กล่าวว่า อยากให้ลูกชายพ้นข้อกล่าวหาทุกอย่างและกลับมาบ้านอย่างปลอดภัย ส่วนสาเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นหากบอกว่าเป็นเรื่องการเมืองคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่ใช่คนฝักใฝ่การเมือง จึงขอให้รัฐบาลหรือผู้ที่ดูแลทางด้านนี้ ขอให้ช่วยคนไทยคนหนึ่งที่ไปประสบปัญหาในต่างแดน ทำอย่างไรก็ได้ช่วยกันนำตัวลูกชายกลับมาให้เร็วที่สุด และไม่เชื่อว่าลูกจะทำความผิดอย่างที่ถูกกล่าวหาแน่นอน

"รู้ว่าเขาทุกข์มาก ทั้งตัวเองและทุกข์ห่วงความรู้สึกแม่ เพราะเขาห่วงแม่มากที่สุด หากฝากคำพูดนี้ไปถึงลูกได้ อยากบอกว่าคิดถึงอยากคุยอยากพูดด้วยและไม่ต้องห่วงแม่ เรื่องสภาพจิตใจแม่เข้มแข็ง ห่วงก็แต่ตัวลูกเท่านั้น แม่ห่วงลูกมากกว่า อย่างไรเสียคิดว่ารัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คงจะดูแลช่วยเหลือเอาตัวลูกกลับมาโดยเร็วที่สุด" นางสิมารักษ์กล่าว

ประวัติ นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ อายุ 31 ปี ชื่อเล่น เต๋า เกิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2521 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาโทรคมนาคม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (มทส.) เมื่อปี พ.ศ. 2541 บิดาชื่อนายสุวิทย์ ชุติพงษ์ อดีตผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ ซึ่งถึงแก่กรรมแล้วด้วยโรคอาการหายใจขาดช่วง (ไหลตาย) ตั้งแต่ปี 2538 มารดาชื่อนางสิมารักษ์ อายุ 57 ปี อาชีพครูชำนาญการพิเศษ หัวหน้าแผนกพณิชยการ วิทยาลัยเทคนิคนครราชสีมา

นายกฯจี้เขมรยึดหลักสากลดูแลคนไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีคนไทยที่ถูกจับในประเทศกัมพูชาว่า ได้รับทราบข้อมูลแล้ว และได้มอบให้กระทรวงต่างประเทศติดตามเรื่องอยู่ ขอวอนไปยังประเทศกัมพูชาว่าให้ปฏิบัติกับคนไทยที่ถูกจับกุมตามหลักสากล ยอมรับว่าตอนนี้ยังไม่ทราบข้อกล่าวหา ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเขมรจะดีขึ้นหรือไม่นั้น เรื่องนี้อยู่ที่กับประเทศกัมพูชา สำหรับการประชุมครม.ในวันอังคารที่ 17 พฤศจิกายนนี้ ที่ประชุมจะพิจารณาเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอเรื่องทบทวนการให้ความช่วยเหลือประเทศกัมพูชา ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ระบุว่าจะเดินทางมาประเทศกัมพูชาบ่อยๆ นั้น คงจะต้องรอดู ส่วนจะมีมาตรการอย่างไรนั้น คงจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

เขมรอ้างให้จนท.ไทยเข้าเยี่ยมแล้ว

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างถ้อยแถลงของนายกอย เกือง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชา เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ว่าเจ้าหน้าที่ทูตของไทยคนหนึ่งได้เข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยวัย 31 ปี ที่เรือนจำเพรย์ซอร์ โดยทางเขมรยอมให้เจ้าหน้าที่ไทยเข้าเยี่ยมนายศิวรักษ์ เมื่อเวลา 14.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากไปกว่านี้

"กษิต"สวนกลับเขมรยังไม่ให้ไทยเยี่ยม

นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ว่า ขณะนี้กัมพูชายังไม่ได้แจ้งตอบกลับมาจะอนุญาตให้สถานทูตไทยได้เข้าพบนายศิวรักษ์หรือไม่ รวมถึงยังไม่มีหนังสือแจ้งมายังไทย เกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหาและการดำเนินคดีกับนายศิวรักษ์

เมื่อถามว่ามีรายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศอ้างคำกล่าวของโฆษกรัฐบาลของกัมพูชา ที่ว่าทางการกัมพูชาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเข้าพบนายศิวรักษ์ได้แล้ว เมื่อเวลา 14.00 น. เป็นการให้ข่าวที่คลาดเคลื่อนหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะข่าวที่ออกมาจากฝ่ายกัมพูชาต้องมีการยืนยันกัน เป็นเรื่องการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้มีการตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้รับทราบข้อมูลใดๆ และไม่อยากให้เป็นเรื่องร้อน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวบุคคล และต้องการได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการกฎหมาย

ส่วนประเด็นที่ว่านายศิวรักษ์มีโรคประจำตัวนั้น ได้รับการยืนยันจากกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชามายังสถานเอกอัครราชทูตไทยฯ ว่าเขามียาทุกอย่างพร้อม ไม่ว่าจะเป็นโรคใด แต่เราอยากจะมีคนของเราเข้าไปสอบถามอาการ หรือจัดหาแพทย์เข้าไปหรือจัดเตรียมยาประจำที่นายศิวรักษ์ต้องการไว้

นายกษิตกล่าวอีกว่า เมื่อเช้าวันที่ 16 พฤศจิกายน นายชโลธร เผ่าวิบูลย์ อุปทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ได้เข้าพบอธิบดีกรมเอเชีย กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา เพื่อแสดงเจตจำนงขอเข้าพบนายศิวรักษ์ รวมทั้งแจ้งให้ทราบว่า ตนจะโทรศัพท์พูดคุยกับนายฮอร์ นัม ฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ซึ่งอยู่ในระหว่างขึ้นเครื่องบินเดินทางไปประเทศอิตาลี คาดว่าในเวลา 18.00 น. หรือเวลา 12.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตนจะได้พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา เพื่อแจ้งให้กัมพูชาได้ทราบใน 2 เรื่อง คือต้องการรับทราบข้อกล่าวหาของนายศิวรักษ์และขอให้กัมพูชาอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปพบนายศิวรักษ์โดยเร็ว

กต.จี้ใช้อนุสัญญาเวียนนาดูแลศิวรักษ์

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า ฝ่ายไทยต้องการให้กัมพูชา ทำหนังสือชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ ถึงการจับกุมตัวนายศิวรักษ์ในข้อหาใด รวมถึงต้องรายงานสวัสดิภาพปัจจุบันว่านายศิวรักษ์มีความเป็นอยู่อย่างไรด้วย ซึ่งเป็นข้อบังคับที่กัมพูชาต้องปฏิบัติตามอนุสัญญากรุงเวียนนาที่กำหนดไว้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามกฎหมายระหว่างประเทศข้อ 3 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางกงสุลฯ ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมคุมขัง มีสิทธิแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่จับกุมคุมขังตน แจ้งให้สถานกงสุลของประเทศที่ผู้ต้องหามีสัญชาติอยู่ทราบเรื่องโดยไม่ชักช้า ผู้แทนทางการทูตหรือกงสุลมีสิทธิเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาที่เป็นคนชาติของตน รวมทั้งตั้งทนายความและล่ามให้ตลอดกระบวนการต่อสู้คดี เพื่อให้ผู้ต้องหานั้นสามารถต่อสู้คดีได้โดยไม่มีการแปลคำให้การบิดเบือน ผิดพลาด หรือรับสารภาพโดยไม่รู้เรื่อง

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ


ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ
ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์: นัยต่อประเทศไทย (๑)
รศ. ดร.สมบูรณ์ ศิริประชัย : เขียน
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์


ประวัติความเป็นมาของคำว่า"ธรรมาภิบาล"และพัฒนาการ
ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์: นัยต่อประเทศไทย (๑)
รศ. ดร.สมบูรณ์ ศิริประชัย : เขียน
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความวิชาการนี้ สามารถ download ได้ในรูป word


บทคัดย่อ

บทความนี้พยายามอธิบายว่า "ธรรมาภิบาล"เป็นแนวความคิดใหม่ที่เข้าใจได้ไม่ง่ายนัก และแท้ที่จริงเป็นเรื่องของสถาบันทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะเป็นนโยบายชุดหนึ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ได้ทันทีเหมือนนโยบายทั่ว ๆ ไป ความซับซ้อนนี้ทำให้มีการตีความธรรมาภิบาลอย่างง่ายๆ เพียงพิจารณาองค์ประกอบทั่วไปของธรรมาภิบาล ซึ่งมักทำให้เราหลงผิดและหลงประเด็น

ความจริงก็คือ "โครงสร้างธรรมาภิบาล"ไม่เคยสมบูรณ์และหยุดนิ่ง แต่มีพลังพลวัตและพัฒนาปรับตัวไปตามกระแสโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะธรรมาภิบาลแบบตะวันตกนั้น มีเสาหลักที่ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยเป็นสำคัญ. ในบทความนี้ ผู้เขียนพยายามแสดงให้เห็นว่า การนำแนวความคิดธรรมาภิบาลแบบตะวันตกเข้ามาในสังคมไทย หลังวิกฤตการณ์เศรษฐกิจนับว่ายังห่างไกลจากความสำเร็จ แม้ว่ารัฐไทยได้ตรากฎหมายหลายฉบับที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาล ส่วนสำคัญมาจากความเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อนต่อแนวความคิดนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ "ธรรมาภิบาล"เป็นเรื่องของการปฏิรูปสถาบันในสังคมให้มีประสิทธิผล ซึ่งขึ้นกับความสามารถของรัฐนั้นในการยกระดับการพัฒนาทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ และทางสังคม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะสถาบันแบบไม่เป็นทางการ มักเป็นอุปสรรคสำคัญของการสร้างธรรมาภิบาล

การสร้างระบบการบริหารราชการแผ่นดินของไทยที่มีลักษณะการรับผิด โปร่งใส คาดคะเนได้ และการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา และจำเป็นต้องมาจาก การมีรัฐที่มีเสถียรภาพและความเข้มแข็งเท่านั้น แต่นั่นยังเป็นเรื่องของความฝันมากกว่าความจริง

ธรรมาภิบาลภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ : นัยต่อประเทศไทย

แนวความคิดเรื่องธรรมาภิบาลกับโลกาภิวัฒน์ นับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่งมีการกล่าวขวัญกันอย่างจริงจังเมื่อเร็วๆ นี้ โดยเฉพาะหลังจากเกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเชีย เมื่อปี 1997 (พ.ศ.2540) คือ การกล่าวอ้างขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ทั้งสององค์กรมีบทบาทสำคัญในการผลักดันวาระของธรรมาภิบาลให้เป็นวาระของโลก ในแง่ที่ว่า มูลเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเชียนั้น ก็เพราะประเทศในภูมิภาคแถบนี้ไร้ซึ่งธรรมาภิบาล ด้วยเหตุนี้ ทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จึงได้เสนอแนวทาง "ธรรมาภิบาลระดับโลก" (global governance) ที่พยายามผลักดันให้ประเทศในแถบเอเชียและประเทศอื่นๆ พยายามเดินตามกรอบของธรรมาภิบาล เพราะเชื่อว่า ด้วยหนทางนี้เท่านั้น ประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากจะสามารถพัฒนาประเทศให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ธนาคารโลกดูเหมือนจะเป็นองค์กรโลกบาลที่เชื่อมั่นดังกล่าวอย่างจริงจัง เพราะก่อนหน้าวิกฤติการณ์ทางการเงินในปี 1997 ธนาคารโลกเองได้ตีพิมพ์เผยแพร่เอกสารจำนวนไม่น้อย ชี้ให้เห็นถึง "ธรรมาภิบาลกับการพัฒนา"

ประวัติความเป็นมาของคำว่า "ธรรมาภิบาล"

แท้ที่จริงการเลือกใช้คำว่า "ธรรมาภิบาล" ในที่นี้เป็นการเลือกแบบอำเภอใจ เพราะเห็นว่าใกล้เคียงกับคำว่า "good governance" มากที่สุด ในความเป็นจริงสิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ การแยกคำว่า "governance" กับคำคุณศัพท์ว่า "good" ออกจากกัน ในวงการวิชาการนั้น รู้จักคำว่า governance มานานมากแล้ว ส่วนการใส่คุณศัพท์เพื่อกำกับคุณค่าบางอย่างนี้เพิ่งเริ่มเมื่อไม่นานมานี้ โดยหลักฐานเท่าที่ปรากฏในหลายๆ แห่ง ระบุตรงกันว่า คำว่า "governance" เพิ่งมีใช้อย่างเป็นทางการในปี 1989 (พ.ศ.2532) เมื่อธนาคารโลกพยายามวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวในการพัฒนาประเทศของประเทศต่างๆ ในแถบตอนใต้ของทะเลทรายซาฮารา อัฟริกา หลังจากนั้นคำนี้ก็เริ่มมีการนำมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆ ในความเป็นจริง ขณะที่ธนาคารโลกเริ่มเผยแพร่

ตามหลักฐานที่ปรากฏในตำราหลายเล่มชี้ว่า คำว่า good governence เพิ่งมีการใช้อย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี 1989 ในรายงานเรื่อง Sub Sahara Africa : From Crisis to Sustainable Growth ซึ่งเป็นรายงานที่ธนาคารโลกพยายามวิเคราะห์ถึงความล้มเหลวของรัฐ ในอัฟริกาในการพัฒนาประเทศ. คำว่า good governance เริ่มมีบทบาทในแง่ของโลกาภิวัฒน์ก็เพราะทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างเชื่อว่า การพัฒนาอย่างยั่งยืนจักทำไม่ได้เลย ถ้าประเทศนั้นๆ ปราศจาก good governance หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มีการผูกโยงคำว่า "การพัฒนา" ให้ควบคู่กับคำว่า good governance นั่นคือการกำหนดกลไกอำนาจของรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรทั้งแง่เศรษฐกิจและสังคมของประเทศเพื่อให้เกิดการพัฒนา. ในตอนแรกเริ่มนั้น ธนาคารโลกได้เน้นถึงความหมายกว้างๆ 3 ลักษณะคือ

(1) โครงสร้างและรูปแบบของระบอบทางการเมือง (Political regime)
(2) กระบวนการและขั้นตอนที่ผู้มีอำนาจในทางการเมือง ใช้เพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรทางเศรษฐกิจและสังคมเพื่อพัฒนาประเทศ
(3) ความสามารถของผู้มีอำนาจในการบริหารประเทศในการวางแผนเพื่อกำหนดนโยบายและการแปลงแผนและนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ตลอดจนปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารประเทศ

สังเกตได้ว่า ธนาคารโลกสร้างลักษณะของธรรมาภิบาลระดับโลกขึ้น เพื่อให้หน่วยงาน และเครือข่ายในองค์กรผลักดันให้ประเทศต่างๆ ดำเนินตามแนวทาง "ธรรมาภิบาล" ซึ่งลักษณะองค์ประกอบที่กว้างขวางนี้ มิได้ชี้ชัดว่า ประเทศนั้นจะต้องอยู่ภายใต้ระบบการเมืองการปกครองแบบใดแบบหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง แม้ว่าอาจมีการแปลความหมายแบบแอบแฝงในคำว่า ระบบการเมือง นั้นน่าจะหมายถึง"ระบอบประชาธิปไตย"ก็ตาม (Democratic good governance) ในตอนแรกๆ ของการใช้คำนี้ ยังมีความไม่ลงรอยระหว่างองค์กรระหว่างประเทศ แต่เนื่องจากอิทธิพลของธนาคารโลกที่มีอยู่มาก ในไม่ช้า คำว่า "ธรรมาภิบาล" จึงเป็นคำที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะหลังวิกฤติการณ์เศรษฐกิจในปี 1997 ในประเทศไทยและลามไปสู่ประเทศต่างๆ อย่างรวดเร็ว

UNDP: กลไกประชารัฐ ๓ ด้านที่ดี (ความสมดุลระหว่างองค์กร)

ในแง่บริบทของไทย การสร้างกลไกประชารัฐที่ดีสามารถส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาคนในสังคมให้มีความยั่งยืน ซึ่งองค์การพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme-UNDP) ก็เป็นแกนนำในการผลักดันความคิดนี้ในระดับสากล โดยสามารถศึกษาจากเอกสารของ UNDP ในเรื่อง Governance for Sustainable Human Development ซึ่งมีการนิยามกลไกประชารัฐไว้อย่างชัดเจนว่ามี 3 ด้าน คือ

- ด้านประชาสังคม (Civil Society)
- ด้านภาคธุรกิจเอกชน (Private Sector) และ
- ด้านภาครัฐ (State)

"ประชารัฐที่ดี"หรือ"ธรรมาภิบาล" จึงเป็นกลไกฝังลึกอยู่ภายในที่เชื่อมองค์ประกอบทั้ง 3 ด้านเข้าด้วยกัน กลไกประชารัฐที่ดีหรือธรรมาภิบาลจึงเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างองค์ประกอบทั้ง 3 ด้าน ให้ดำรงอยู่อย่างสันติสุขและมีเสถียรภาพ

"ธรรมาภิบาล" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยม

อย่างไรก็ตาม ถ้าเราสืบค้นความหมายของ "ธรรมาภิบาล" จะพบว่า จริงๆ แล้ว คำว่า "ธรรมาภิบาล" ที่ใช้กันแพร่หลายตั้งแต่ปี 1989 นั้น มีนัยแอบแฝงว่าเป็น "ธรรมาภิบาล" ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย (democratic good governance) ในความหมายของชาติตะวันตก เช่น ธนาคารโลก และองค์กรโลกบาลแห่งอื่นๆ หมายถึงระบบการเมืองที่อิงกับแบบจำลองของรัฐที่เน้นประชาธิปไตยเสรีนิยม (liberal democratic polity) ซึ่งมีหน้าที่

- ปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิของประชาชน บวกกับ
- การบริหารราชการที่มีความเข้มแข็ง ปราศจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง และ
- มีระบบการบริการที่มีความรับผิด (accountable)

ในระบบการเมืองเช่นนี้มักเสนอแนะว่า ระบบเศรษฐกิจต้องมีการแข่งขันอย่างเต็มที่ และมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งความเชื่อเช่นนี้มิใช่เรื่องใหม่แต่ประการใด เพียงแต่ใช้ศัพท์ที่ต่างกัน เพราะในทศวรรษ 1960 ก็มีการอ้างอิงถึงสังคมที่ดีในตัวมันเอง (good society itself) ภายใต้แนวความคิดการพัฒนาแบบตะวันตกที่เป็นกระบวนการพัฒนาให้ทันสมัย

"ธรรมาภิบาล" ในวงการวิชาการมีความหมายสองนัย
กำเนิดของคำว่า "ธรรมาภิบาล" ในวงการวิชาการมีความหมายในสองนัย กล่าวคือ

- นัยแรก เป็นความหมายที่จำกัด ซึ่งธนาคารโลกพยายามสื่อสารโดยตีความว่า หมายถึง ในด้านการบริหารหรือการจัดการของรัฐ
- นัยที่สอง เป็นนัยที่รัฐบาลตะวันตกนำมาอ้างอิงคือ เป็นเรื่องทางการเมืองมากกว่า

ด้วยเหตุนี้จึงมักเกิดความสับสนในวงการวิชาการว่า จะหมายถึง นัยแรก หรือนัยที่สอง. แท้ที่จริงแล้ว องค์กรระหว่างประเทศนั้นมิได้ยึดถือ "ธรรมาภิบาล" อย่างเคร่งครัดตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 เพราะทั้งธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็มักปล่อยเงินกู้แก่ประเทศต่างๆ ที่มีลักษณะเป็น "bad governance" อย่างต่อเนื่อง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าประเทศนั้นจะเป็นประชาธิปไตยหรืออยู่ภายใต้ระบบเผด็จการทางทหาร ธนาคารโลกก็พร้อมในการปล่อยกู้เสมอมา

ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนติน่า ชิลี สมัยปิโนเช่ อิหร่าน หรือเกาหลีใต้ หรือกรณีของประเทศที่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างกว้างขวาง เช่น อิรัก แซร์ ไฮติ เป็นต้น คำถามที่สำคัญมี่เกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาล" คือ เพราะเหตุใด รัฐบาลตะวันตกจึงเริ่มคิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังในปลายทศวรรษ 1980 ในแง่ของการส่งเสริมสนับสนุนธรรมาภิบาล? คำตอบต่อ คำถามนี้อย่างน้อยมี 4 คำตอบคือ

ประการแรก ประสบการณ์ของการการปล่อยกู้ยืมเงินภายใต้โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ประการที่สอง การกลับมาอีกครั้งของทุนนิยมเสรีแบบใหม่ในตะวันตก (Neo-liberalism)
ประการที่สาม การล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ และ
ประการที่สี่ กระแสการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา

1. การปล่อยเงินกู้ภายใต้โครงการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
ทั้งธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างมีประสบการณ์อย่างดีในการปล่อยเงินกู้ในการปรับโครงสร้างให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาในช่วงทศวรรษ 1980 การปรับโครงสร้างดังกล่าวนี้มักเป็นการลดบทบาทของรัฐ เพื่อลดการอุดหนุนหรือใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาลต่างๆ ในประเทศกำลังพัฒนา โดยต้องการให้มีการลดการบิดเบือนกลไกราคา เพื่อกระตุ้นให้มีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เพื่อเน้นการส่งออกเป็นยุทธศาสตร์หลัก

การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ การปรับโครงสร้างสถาบัน
ในช่วงทศวรรษ 1980s นี้ ธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ต่างก็พยายามทำให้รัฐในประเทศกำลังพัฒนามีขนาดเล็กลง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้น มักมีผู้ได้ประโยชน์และผู้เสียประโยชน์ ยิ่งกว่านั้นการปรับโครงสร้างดังกล่าว ไม่อาจทำได้ถ้าปราศจากความมุ่งมั่นทางการเมืองจากฝ่ายข้าราชการและประชาชน ดังนั้น ทั้งสององค์กรโลกบาลจึงเริ่มตระหนักว่า การปฏิรูปโดยการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างเดียว ไม่อาจทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าปราศจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันธรรมาภิบาล ไม่ว่าจะเป็นการปลดปล่อยการเงินเสรี หรือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

2. การกลับมาอีกครั้งของทุนนิยมเสรีแบบใหม่ในตะวันตก
ธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศมีความสนใจว่า การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ทำมาโดยตลอดในช่วงทศวรรษ 1980 ไม่อาจนำไปสู่ความสำเร็จได้ เพราะรัฐในประเทศต่างๆ ยังไม่มีลักษณะของโครงสร้างอภิบาลแบบตะวันตก อิทธิพลของลัทธิเสรีนิยมแบบใหม่นั้นกลับมาเป็นที่นิยมในตะวันตก เมื่อปลายทศวรรษ1970s ซึ่งเน้นให้รัฐดำเนินตามกลไกราคาอย่างเต็มที่ โดยให้มีการลดบทบาทของรัฐลง เน้นการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเน้นด้านอุปทานทางเศรษฐกิจที่ส่งเสริมบทบาทของปัจเจกชนและวิสาหกิจเอกชนในการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งแนวความคิดเสรีนิยมใหม่นี้ ซ่อนอยู่ในนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจของธนาคารโลก และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ภายใต้โครงการปล่อยเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยก็คือ แนวความคิดเสรีนิยมแบบใหม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องทฤษฏีเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่มีนัยที่เข้มงวดของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับบทบาทของการเมืองและของรัฐ ว่าควรมีบทบาทเช่นใด

เสรีนิยมแบบใหม่ เน้นให้รัฐมีบทบาทที่น้อยลง (minimal state)
ในแง่นี้ แนวคิดแบบเสรีนิยมแบบใหม่ที่เน้นให้รัฐมีบทบาทที่น้อยลง (minimal state) นั้นยังมีหน้าที่ทางการเมืองที่เชื่อมต่อระหว่างตลาดกับรัฐผ่านกลไกประชาธิปไตย แนวความคิดนี้ในทางสุดขั้ว เน้นว่า ความล้มเหลวในการพัฒนาของประเทศด้อยพัฒนาจำนวนมาก มีมูลเหตุมาจากการแทรกแซงของรัฐมากเกินไป และขาดกลไกของประชาธิปไตยที่ส่งเสริมให้มีกิจการค้าแบบเสรีนิยมอย่างแท้จริง การมีระบอบประชาธิปไตยที่มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีประชาสังคมที่มีความเป็นอิสระและมีความหลากหลาย

แนวความคิดเสรีนิยมสรุปว่า ความล้มเหลวของการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจนั้น มีผลที่เชื่อมโยงโดยตรงกับปัจจัยทางการเมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะระบบเผด็จการทางทหาร สิ่งที่แนวความคิดเสรีนิยมเน้นมาโดยตลอดก็คือ ประชาธิปไตยนั้นต้องดำเนินควบคู่กับเศรษฐกิจเสรี ซึ่งมีรัฐบาลที่เข้มแข็งที่มีความรับผิดต่อประชาสังคม มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงน้อย และเน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง รัฐในระบบเศรษฐกิจเสรีนิยมนั้นสามารถ "จัดสรรสินค้าสาธารณะได้อย่างมีประสิทธิภาพ"

3. การล่มสลายของคอมมิวนิสต์เสริมแนวคิดธรรมาภิบาล
การล่มสลายของระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์ ในปลายทศวรรษ 1980 เป็นปรากฏการณ์ที่ช่วยหนุนเสริมให้แนวความคิดธรรมาภิบาลมีอิทธิพลมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการตอกย้ำว่า รัฐคอมมิวนิสต์ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย ไม่สามารถสร้างเศรษฐกิจแบบยั่งยืนได้ โดยเฉพาะหากระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์นั้นเต็มไปด้วยการฉ้อราษฎร์บังหลวง การจัดการที่ผิดพลาด ความไร้ประสิทธิภาพ และความล้าหลังทางเศรษฐกิจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลโดยตรงจากการขาดประชาธิปไตย และการไม่มีส่วนรวมของประชาสังคม

ด้วยเหตุนี้ จึงมีการเสนอว่า การมีเสรีภาพทางการเมืองเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นของเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น การก่อตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาและบูรณาการแห่งยุโรปในปี 1991 (พ.ศ.2534) จึงมีหน้าที่ในการช่วยบูรณะและฟื้นฟูประเทศในยุโรปตะวันออก และประเทศในเครือสหภาพโซเวียตให้มีเสรีภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมให้มีประชาธิปไตยที่มีหลายภาคการเมือง มีลักษณะพหุนิยม และมีระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

4. กระแสการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศกำลังพัฒนา
ประเด็นสุดท้ายในเรื่องการกลับมาใหม่ของธรรมาภิบาลคือ ผลกระทบของกระบวนการเคลื่อนไหวและประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงทศวรรษ 1980s ทั้งในลาตินอเมริกาและในทวีปอื่นๆ ทั่วโลก ทั้งในกรณี จีน ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน บังคลาเทศ และเนปาล ล้วนเป็นกระแสให้ประเทศต่างๆ หันมาสนใจในเรื่อง"ธรรมาภิบาล"กันอย่างจริงจัง

ความหมายของคำว่า "ธรรมาภิบาล" ของธนาคารโลก

ในเอกสารของธนาคารโลกเมื่อปี 1989 (พ.ศ.2532) ให้ความหมายที่เจาะจงของคำนี้ประกอบด้วย

(1) การบริการของรัฐที่มีประสิทธิภาพ (an efficient public service)
(2) ระบบศาลที่เป็นอิสระ (an independent judicial system)
(3) ระบบกฎหมายที่บังคับสัญญาต่างๆ (legal framework to enforce contracts)
(4) การบริหารกองทุนสาธารณะที่มีลักษณะรับผิดต่อประชาสังคม (the accountable administration of public funds)
(5) การมีระบบตรวจสอบทางบัญชีที่เป็นอิสระ (an independent public auditor) ซึ่งรับผิดชอบต่อตัวแทนในรัฐสภา
(6) การเคารพในกฎหมายและสิทธิมนุษยชนทุกระดับของรัฐบาล (respect for the law and human right at all levels of government)
(7) โครงสร้างสถาบันที่มีลักษณะพหุนิยม (a pluralistic institutional structure)
(8) การมีสื่อสารมวลชนที่เป็นอิสระ (a free press)

ความหมายที่แอบแฝงของธรรมาภิบาล

อย่างที่กล่าวไว้ว่า "ธรรมาภิบาล" มิใช่ศัพท์ที่เกิดขึ้นในสูญญากาศ แท้ที่จริงนั้น มีการแอบแฝงแนวความคิดธรรมาภิบาลประชาธิปไตยไว้ ซึ่งมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในความหมายของธนาคารโลก ซึ่งสิ่งที่ซ่อนอยู่ในคำศัพท์นี้ก็คือ ปัจจัยสามด้านที่แวดล้อม คำว่า "ธรรมาภิบาล" นั่นคือ ความเป็นระบบ (systematic) ทางการเมือง (political) และการบริหารราชการแผ่นดิน (administrative)

ประการแรก ในแง่ความเป็นระบบ
เป็นที่ยอมรับว่า คำว่า "ธรรมาภิบาล" มีความหมายกว้างกว่าคำว่ารัฐบาล (government) ซึ่งโดยทั่วไปมักหมายถึง โครงสร้างทางสถาบันแบบที่เป็นทางการและเป็นเรื่องการตัดสินใจของฝ่ายบริหารในรัฐสมัยใหม่ทั่วไป แต่คำว่า "ธรรมาภิบาล" นั้นมีนัยที่หลวมกว่าและกว้างกว่าการใช้อำนาจทางการเมืองภายในและภายนอกของระบบการเมือง ในแง่นี้ธรรมาภิบาลจึงมีลักษณะเป็นระบบความสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ในความหมายที่แคบที่มีการใช้กันอยู่นั้น "ธรรมาภิบาล" มีความหมายถึงระบบทุนนิยมแบบประชาธิปไตย (democratic capitalist regime) ที่มีรัฐแบบมีอำนาจน้อยที่สุด คือรัฐมีหน้าที่รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยเท่านั้น (law and order) ซึ่งเป็นความคิดที่กว้างของธรรมาภิบาลแบบตะวันตก

ประการที่สอง ในด้านการเมือง
ซึ่งมีลักษณะจำกัดและระบุทางการเมืองอย่างชัดเจน ธรรมาภิบาลมีนัยว่า รัฐมีความชอบธรรม (legitimacy) และมีอำนาจหน้าที่ (authority) อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นสิ่งที่ระบบประชาธิปไตยสร้างขึ้นมา เพื่อแบ่งแยกอำนาจหน้าที่ทางการเมืองอย่างชัดเจน ในแง่อำนาจของนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ระบบประธานาธิบดีหรือระบบรัฐสภา ระบบสหพันธ์รัฐหรือรัฐเดี่ยว ก็ใช้ระบบเดียวกัน ในแง่ของการมีสังคมแบบพหุนิยมที่มีการเลือกตั้งอย่างเสรี มีการเลือกตัวแทนเข้าไปทำงานในฝ่ายบริหาร โดยที่ต้องมีการตรวจสอบให้มีการใช้อำนาจอย่างถูกต้อง (checks and balances) เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นความหมายธรรมาภิบาลในทางการเมืองที่ประเทศตะวันตกยึดถือตลอดมา

ประการที่สาม ในแง่การบริหารราชการแผ่นดินแบบแคบ
"ธรรมาภิบาล" หมายถึง ระบบราชการที่มีประสิทธิภาพ เปิดเผย มีความรับผิดและมีการตรวจสอบทางบัญชีอย่างถี่ถ้วน โดยมีระบบข้าราชการที่เข้มแข็ง เพื่อออกแบบนโยบายและปฏิบัตินโยบายที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องมีระบบตุลาการที่เป็นอิสระอย่างแท้จริง เพื่อแก้ไขกรณีพิพาทต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจตลาดแบบเสรี

ดังนั้น ในคำนิยามของธนาคารโลกและในสังคมตะวันตก คำว่า "ธรรมาภิบาล" จึงเป็นความคิด "ธรรมาภิบาลประชาธิปไตยภายใต้ระเบียบของโลกใหม่" (new world order) ด้วยเหตุนี้ หากเราเดินตามเส้นทางของธนาคารโลกและองค์กรโลกบาลทั้งหมด "ธรรมาภิบาล" ในความหมายนี้ เราจึงได้เลือกรูปแบบและกลไกแบบประชาธิปไตยตะวันตกพร้อมกันไปด้วย ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาอาจไม่สามารถสร้างขึ้นได้ชั่วข้ามคืน หรืออาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 100 ปี

ธรรมาภิบาลกับสังคมไทย

โดยทั่วไป ความรับรู้ของนักวิชาการไทยและข้าราชการไทยนั้นมีแตกต่างกัน มีบางส่วนที่เห็นว่าแนวคิดเรื่องธรรมาภิบาลไม่ใช่เรื่องใหม่ หากแต่มีมาช้านานแล้วในสังคมไทย แต่มีบางส่วนชี้ว่าแนวความคิดเป็นของใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในชุมชนวิชาการ และขยายไปสู่วงการข้าราชการชาวไทย แนวความคิดเรื่องนี้มีปัญหาหลายด้านที่ควรนำมาวิเคราะห์ให้ละเอียด ในส่วนนี้จะกล่าวถึงความรับรู้โดยทั่วไปของวงการวิชาการไทย หลังจากนั้นจะเป็นการวิเคราะห์กฎหมายไทยที่เกี่ยวกับธรรมาภิบาล 2 ฉบับ

นักวิชาการไทยกับธรรมาภิบาล : Good governance คืออะไร?

ในภาษาไทย มีความพยายามอย่างยิ่งของนักวิชาการไทยที่พยายามจะเข้าใจศัพท์คำว่า "good governance" มากกว่าคำว่า "governance" ดังนั้นในงานวิจัยจำนวนมาก จึงนิยมเรียกว่า "ธรรมาภิบาล" มากที่สุด ส่วนคำว่า "ธรรมรัฐ" นั้นมีการใช้ครั้งแรกโดยชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นอกจากนี้ยังมีการแปลคำว่า good governance เป็นอีก 7 คำ คือ

- สุประศาสนการ โดย ติณ ปรัชญพฤทธิ์,
- ธรรมราษฎร์ โดย อมรา พงศาพิชญ์,
- การกำกับดูแลที่ดี โดย วรภัทร โตธนะเกษม และพูลนิจ ปิยะอนันต์,
- ประชารัฐ โดย สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
- รัฐาภิบาล โดย ชัยอนันต์ สมุทวณิช,
- การบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน และ
- กลไกประชารัฐที่ดี โดย อรพินท์ สพโชคชัย

ปัญหาการให้คำนิยามที่แตกต่างกันมากนี้ น่าจะสะท้อนว่า นักวิชาการไทยยังไม่สามารถหาฉันทานุมัติในเรื่องนี้ได้ ผลก็คือ ชาวบ้านก็คงมีความสับสนอีกต่อไปว่า คำว่า "good governance" มีความหมายว่าอย่างไร. แท้ที่จริงก็แปลคำว่า "good" คือ ธรรมะแล้วสมาสกับคำว่า "อภิบาล" เป็น"ธรรมาภิบาล" ก็ไม่ได้สื่อความหมายที่ถูกต้องในวงวิชาการ โดยเฉพาะวงวิชาการตะวันตกที่ใช้คำนี้กันอย่างกว้างขวาง

ปัญหาข้อที่สองที่นักวิชาการไทยเผชิญก็คือ มีการตีความธรรมาภิบาลในความหมายที่แคบมาก โดยมักอธิบายถึงองค์ประกอบของธรรมาภิบาล ซึ่งหน่วยราชการไทยก็นิยมทำเช่นนี้เช่นกัน

องค์ประกอบที่สำคัญของธรรมาภิบาลในงานวิชาการไทย มักประกอบด้วย

- หลักนิติธรรม (The Rule of Laws)
- ความโปร่งใส (Transparency)
- การมีส่วนรวม (Participation) และ
- ความรับผิด (Accountability)

แต่ที่ประหลาดก็คือ มักมีเพิ่มองค์ประกอบอีก 2 ตัวคือ คุณธรรม (Ethics) และความคุ้มค่า (Cost Recovery) ซึ่งทำให้ความหมายที่แท้จริงของธรรมาภิบาลเริ่มสร้างความสับสนในวงการวิชาการ

ธรรมาภิบาลในทัศนะ ธีรยุทธ บุญมี
ธีรยุทธ บุญมี ดูเหมือนจะเป็นนักวิชาการไทยที่พยายามเข้าใจ "ธรรมภิบาล" ที่ปริบทแบบตะวันตกดังที่เขากล่าวว่า "ธรรมรัฐคือ กระบวนการความสัมพันธ์ (Interactive Relation) ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม และภาคประชาชน ในการที่จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ต้องมีคุณธรรม มีความโปร่งใส มีความยุติธรรม และสามารถตรวจสอบได้ การบริหารประเทศที่ดี ควรเป็นการบริหารแบบสองทาง ระหว่างรัฐบาลประชาธิปไตย และฝ่ายสังคม เอกชน องค์กรพัฒนาภาคเอกชน โดยเน้นการมีส่วนร่วม การจัดการตนเอง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น"

อย่างไรก็ตาม ภายหลังแนวคิดของธีรยุทธมักถูกวิเคราะห์ ตีความ หรือเขียนใหม่ ซึ่งแตกต่างกันออกไปในงานแต่ละชิ้นที่ทำการศึกษาเรื่องธรรมาภิบาล ทั้งนี้อาจเป็นไปได้ว่า มีความจำเป็นต้องสรุปแนวคิดเพียงสั้นๆ จึงทำให้ความคิดที่สำคัญบางส่วนตกไป เช่น ในงานของบุษบง และบุญมี ในปี 2544 เลือกอธิบายอย่างกระชับว่า "แนวคิดธรรมรัฐ (ของธีรยุทธ) คือ การเป็นหุ้นส่วนกันในการบริหารและการปกครองประเทศโดยรัฐประชาชน และเอกชน ซึ่งขบวนการอันนี้จะก่อให้เกิดความเป็นธรรม ความโปร่งใสความยุติธรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของคนดี..." แม้ว่างานชิ้นนี้จะมีความสำคัญ และเป็นประโยชน์มากในการประมวลนิยาม องค์ประกอบ และแนวคิดเกี่ยวกับ "ธรรมาภิบาล" อย่างไรก็ดี ผลงานของธีรยุทธชิ้นนี้ นับว่ามีความซับซ้อนมากกว่านั้น กล่าวคือ

ในภาคผนวก 1. ธีรยุทธได้จำแนกความหมายของธรรมรัฐในความคิดของเขาออกเป็น 3 ระดับ คือ

- หนึ่ง ธรรมรัฐในระดับปัจเจกบุคคล หมายถึง ความเข้าใจว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ มีอำนาจในตนเองและกล้าใช้อำนาจนี้
เพื่อประโยชน์ของตนเองและส่วนรวม แต่เป็นไปโดยความรับผิดชอบ

- สอง ธรรมรัฐในระดับกลุ่ม บริษัทและองค์กร หมายถึงการพฤติกรรมขององค์กรทั้งภายในภายนอกที่ถูกต้องเหมาะสม
ต้องมีจริยธรรมทางวิชาชีพ และการบริหารงานที่ซื่อสัตย์ โปร่งใส และ

- สาม ธรรมรัฐระดับชาติ

นอกเหนือจากนั้น ธีรยุทธ บุญมี ไม่ลืมที่จะเสนอวิธีการเพื่อนำความคิดนี้ไปสู่ความเป็นรูปธรรม โดยเขาเสนอว่า ธรรมรัฐแบบนี้ก็คือ ยุทธศาสตร์แห่งชาติ นั่นเอง ซึ่งยุทธศาสตร์ดังกล่าวประกอบด้วย

- หนึ่ง ยุทธศาสตร์การเพิ่มทุนทางการเมือง
- สอง ยุทธศาสตร์เพิ่มทุนทางสังคม และ
- สาม ยุทธศาสตร์การเพิ่มทุนทางค่านิยม วัฒนธรรม

ธรรมาภิบาลในทัศนะ อานันท์ ปันยารชุน
ทัศนะของผู้นำของสังคมไทยที่สำคัญมาจากผลงานของ อานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ท่านได้เขียนและพูดไว้ในหลายที่ ซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมคือ บทความเรื่อง "ธรรมรัฐกับสังคม" หน้า 25-32 (ในงาน สมหมาย ปาริฉัตร (บก) มุมมองของนายอานันท์ สำนักพิมพ์มติชน ปี 2541) ซึ่งงานชิ้นดังกล่าวออกมาในช่วงไล่เลี่ยกับคำให้สัมภาษณ์เรื่อง "เต๋าของ good governance" ในหนังสือพิมพ์เนชั่นรายวัน วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2541 หน้า 41-42 กระทั่งมีการตีพิมพ์ มุมมองของนายอานันท์ เล่ม 2 สำนักพิมพ์เดียวกัน ปี 2544

ในผลงานเหล่านี้ อานันท์แสดงความเห็นว่า รัฐต้องจำกัดอำนาจลง มีความโปร่งใส (สะอาด หรือ clear) มีการเปิดเผยข้อมูลและการกระทำมากขึ้น (open) ยิ่งไปกว่านั้น แนวคิดการรับรู้ "ธรรมรัฐ" ของเขาคือ รัฐต้องเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล มีความยุติธรรม เพิ่มการบริการสังคม ในแง่นี้อานันท์หมายถึงการมี "ธรรมรัฐ" โดยบรรษัทเอกชน (corporate sector) มากกว่าส่วนอื่นๆ กล่าวอีกทางหนึ่ง สำหรับอานันท์แล้ว ไม่ว่ารูปแบบการปกครองจะเป็นอย่างไรก็ตาม ขอเพียงมีองค์ประกอบเหล่านี้ สังคม หรือองค์กรนั้น ก็มี "ธรรมรัฐ" เช่น การยกตัวอย่างสิงคโปร์ โดยอานันท์ อ้างว่าสิงคโปร์ปกครองแบบอำนาจนิยม แต่มี "ธรรมรัฐ" ดังนั้น "ธรรมรัฐ" รูปแบบนี้จึงเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการจัดการมากกว่าการเมือง

ธรรมาภิบาลในทัศนะ ประเวศ วะสี
นักคิดอีกคนที่สำคัญต่อการรับรู้เรื่องธรรมาภิบาลคือ นายแพทย์ประเวศ วะสี ซึ่งเริ่มปรากฏเพื่อรำลึกถึง ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 6 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไป นายแพทย์ประเวศจะทำการกล่าวถึงลักษณะ ปัญหา หรือทางออกของสังคมไทย โดยภาพรวมมากกว่าจะนำเสนอแต่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง การติดตามความคิดของ นายแพทย์ประเวศวะสี ต่อประเด็นธรรมาภิบาลจึงค่อนข้างซับซ้อน เช่นในเรื่อง "ธรรมรัฐ: จุดเปลี่ยนประเทศไทย?" ปี 2541, และในเรื่อง "ธรรมรัฐกับคอรัปชั่น" ปี 2546, บทความของท่านถูกตั้งชื่ออย่างกว้างๆ ว่า "ระเบียบวาระแห่งชาติ ปฏิรูปสังคมไทย"

นายแพทย์ประเวศ แสดงทัศนะค่อนข้างต่างจากอานันท์ เพราะว่า "ธรรมรัฐ" แบบของท่านไม่อาจแยกออกจากการปกครองประชาธิปไตย ยิ่งไปกว่านั้น นักคิดท่านนี้เสนอให้มีการสร้างเครือข่ายสังคม และพลังสังคม เพื่อสถาปนาสังคมที่มี "สันติประชาธรรม". อย่างไรก็ตาม ความคิดของนายแพทย์ประเวศ ในภายหลังมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอีก และจำเป็นต้องทำความเข้าใจควบคู่กับข้อเสนอให้ใช้แนวคิดแบบพุทธศาสนา ให้เข้ามามีบทบาทต่อ"ธรรมรัฐ" และสังคม และข้อเสนอให้สร้างสังคมอุดมคติแบบอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และอาจารย์ทางด้านเศรษฐศาสตร์ ผู้มีอิทธิพลและบารมีอย่างสูง ในสังคมไทยหรือที่รู้จักกันว่า "สันติประชาธรรม"

"ธรรมรัฐ" ของนายแพทย์ประเวศ จึงมีลักษณะ "รัฐหรือประเทศหรือสังคมที่มีความถูกต้องทุกๆ จุด กล่าวคือ นายแพทย์ประเวศเห็นว่า ภายหลังการปฏิรูปสังคมเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ถูกต้อง เป็นธรรม ในทุกสัดส่วนของสังคม หรือเกิดความเป็นธรรมรัฐ ท่านระบุว่ากระบวนการธรรมาภิบาลคือ "การสร้างเศรษฐกิจมหภาคที่ถูกต้อง มีระบบรัฐที่ถูกต้อง มีการปฏิรูปการศึกษาให้สามารถสร้างความเข้มแข็งทางสติปัญญาให้คนทั้งมวล ปฏิรูปสื่อเพื่อสังคม ตลอดจนปฏิรูปกฎหมายให้เหมาะสม สอดคล้องกับการที่จะสร้างสังคมเข้มแข็งถูกต้องเป็นธรรมทั้งหมด รวมกันคือธรรมรัฐ หรือ good governance อันจะทำให้สังคมไทยมีความเข้มแข็งทุกด้านทั้งทางคุณค่าและจิตสำนึก ทางปัญญา ทางสังคม ทางการเมือง ทางวัฒนธรรม ทางจริยธรรม ทางเศรษฐกิจ มีสมรรถนะ มีความโปร่งใส สามารถอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสุข และมีความเอื้ออาทรต่อกัน มีความจำเริญรุ่งเรืองต่อไปด้วยฐานอันมั่นคง"

ลักษณะของนักคิดไทยที่ยกมาประกอบในบทความนี้ ชี้ให้เห็นว่า ความเข้าใจในเรื่องธรรมาภิบาลยังไม่อาจหาข้อยุติได้ เพราะระหว่างนายอานันท์ ปันยารชุน กับนายแพทย์ประเวศ วะสี ก็ยังมีความแตกต่างในสาระสำคัญ นั่นคือ จำเป็นหรือไม่ที่โครงสร้างของธรรมาภิบาลเกิดขึ้นได้ในสังคมที่ไม่ใช้ระบบประชาธิปไตยแบบตะวันตก

ธรรมาภิบาลในทัศนะ อรพินท์ สพโชคชัย
ในแง่นักวิชาการที่ศึกษาธรรมาภิบาลตั้งแต่เริ่มต้น อรพินท์ สพโชคชัย (2541) ได้ สังเคราะห์ถึงองค์ประกอบของธรรมาภิบาลไว้อย่างกระชับ ซึ่งประกอบด้วย 6 ด้านดังนี้คือ

1. การมีส่วนร่วมของสาธารณชน (public participation)
การมีส่วนร่วมของสาธารณชน คือกลไกกระบวนการที่ประชาชน (ชายและหญิง) มีโอกาสและมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจอย่างเท่าเทียมกัน (equity) ไม่ว่าจะเป็นโอกาสในการเข้าร่วมในทางตรงหรือทางอ้อม โดยผ่านกลุ่มผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยชอบธรรม. การเปิดโอกาสให้สาธารณชนมีส่วนร่วมอย่างเสรีนี้ รวมถึงการให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน และให้เสรีภาพแก่สาธารณชนในการแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ คุณลักษณะสำคัญประการหนึ่งที่สาธารณชนมีส่วนร่วมคือการมีรูปแบบการปกครอง และบริหารที่กระจายอำนาจ (decentralization)

2. ความสุจริตและโปร่งใส (honesty and transparency)
ความสุจริตและโปร่งใส คือกลไกที่มีความสุจริต และโปร่งใสซึ่งรวมถึงการมีระบบกติกาและการดำเนินงานที่เปิดเผย ตรงไปตรงมา ประชาชน สามารถเข้าถึงและได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างเสรี เป็นธรรม ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งหมายถึงการที่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานกำกับดูแลและประชาชนสามารถตรวจสอบและติดตามผลได้

3. พันธะความรับผิดชอบต่อสังคม (accountability)
พันธะความรับผิดชอบต่อสังคม คือกลไกที่มีความรับผิดชอบในบทบาทภาระหน้าที่ที่มีต่อสาธารณชน โดยมีการจัดองค์กรหรือการกำหนดกฎเกณฑ์ที่เน้นการดำเนินงานเพื่อสนองตอบความต้องการของกลุ่มต่างๆ ในสังคมอย่างเป็นธรรม ในความหมายนี้รวมถึงการที่มี bureaucracy accountability, political accountability ซึ่งจะมีความหมายที่มากกว่าการมีความรับผิดชอบเฉพาะต่อผู้บังคับบัญชา หรือกลุ่มผู้เป็นฐานเสียงที่ให้การสนับสนุนทางการเมือง แต่ครอบคลุมถึงพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม เช่น องค์กรหน่วยงาน และผู้ที่เกี่ยวข้องต้องพร้อมและสามารถที่จะถูกตรวจสอบและวัดผลการดำเนินงานทั้งในเชิงปริมาณ คุณภาพ ประสิทธิภาพ และการใช้ทรัพยากรสาธารณะ ดังนั้น คุณลักษณะของความโปร่งใสของระบบในลำดับที่สองจึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง accountability

4. กลไกการเมืองที่ชอบธรรม (political legitimacy)
กลไกการเมืองที่ชอบธรรม คือกลไกที่มีองค์ประกอบของผู้ที่เป็นรัฐบาลหรือผู้ที่เข้าร่วมบริหารประเทศซึ่งมีความชอบธรรม เป็นที่ยอมรับของคนในสังคม โดยรวม ไม่ว่าจะโดยการแต่งตั้งหรือเลือกตั้ง แต่จะต้องเป็นรัฐบาลที่ได้รับการยอมรับจากประชาชนว่ามีความสุจริต มีความเที่ยงธรรม และมีความสามารถที่จะบริหารประเทศได้

5. กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน (fair legal framework and predictability)
กฎเกณฑ์ที่ยุติธรรมและชัดเจน คือมีกรอบของกฎหมายที่ยุติธรรมและเป็นธรรมสำหรับกลุ่มคนต่างๆ ในสังคม ซึ่งกฎเกณฑ์มีการบังคับใช้และสามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งคนในสังคมทุกส่วนเข้าใจ สามารถคาดหวังและรู้ว่าจะเกิดผลอย่างไรหรือไม่เมื่อดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของสังคม สิ่งเหล่านี้เป็นการประกันความมั่นคง ศรัทธา และความเชื่อมั่นของประชาชน

6. ประสิทธิภาพและประสิทธิผล (efficiency and effectiveness)
ประสิทธิภาพและประสิทธิผล คือกลไกที่มีประสิทธิภาพในการดำเนินงานไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดกระบวนการทำงาน การจัดองค์กร การจัดสรรบุคลากร และมีการใช้ทรัพยากรสาธารณะต่างๆ อย่างคุ้มค่าและเหมาะสม มีการดำเนินการและการให้บริการสาธารณะที่ให้ผลลัพธ์ เป็นที่น่าพอใจและกระตุ้นการพัฒนาของสังคมทุกด้าน (การเมือง สังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ)

เสียตำรวจน้ำดี แก๊งยายิงดับขณะล่อซื้อล็อตใหญ่

รองสารวัตรสืบ สน.หัวหมาก นำกำลังล่อซื้อยาไอซ์ในย่านรามคำแหง คนร้ายไหวตัวชัก 11 มม.กระหน่ำยิงเข้ากกหูดับก่อนขึ้นแท็กซี่หนีไปได้ ประวัติทำงานจริงจังคลี่คลายคดีดังหลายคดี ภรรยาเผยทั้งน้ำตาเพิ่งแต่งงานเพียงปีเศษยังไม่มีลูก บก.น.4 ส่งชุดติดตามเร่งล่าตัว

วันนี้ (15 พ.ย.) เมื่อเวลา 04.00 น. ร.ต.ท.ทรงวุฒิ เทพมณี พนักงานสอบสวน สน.บางชัน รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.เกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 ถนนรามคำแหง แขวงและเขตสะพานสูง กทม.ว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก ถูกคนร้ายแก๊งค้ายาเสพติดยิงได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตภายหลังนำส่งโรงพยาบาล จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้นและประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก และบก.น.4 แล้วรุดไปสอบสวน

พ.ต.อ.วัฒนา ยี่จีน ผกก.สน.หัวหมาก เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก นำโดย ร.ต.อ.อาทิตย์ บุบผา รองสว.สส.สน.หัวหมาก และเป็นหัวหน้าชุดเข้าไปล่อซื้อยาเสพติดประเภท 1 (ยาไอซ์) หลังได้รับแจ้งจากสายว่าจะมีการส่งมอบของจำนวนมากเวลา 23.30 น.ภายในซอยรามคำแหง 127 จึงกำลังเข้าไปซุ่มอยู่บริเวณจุดดังกล่าว กระทั่งถึงเวลานัดหมาย คนร้ายเป็นชาย 2 คนนั่งรถแท็กซี่สีเขียว-เหลือง ไม่ทราบยี่ห้อและรุ่น ทะเบียนไม่ทราบหมวดอักษร 9454 กทม.ขับเข้ามายังจุดนัดหมายก่อนจะส่งมอบยาให้สายไม่ต่ำกว่า 1 กก.ร.ต.อ.อาทิตย์จึงแสดงตัวเพื่อเข้าจับกุม

ขณะที่กำลังเข้าชาร์จตัวคนร้ายนั้น คนร้ายก็ไหวตัวทันชักอาวุธปืนขนาด 11 มม.ออกมายิงสวนเข้าใส่กลุ่มตำรวจจำนวนหลายนัด และถูก ร.ต.อ.อาทิตย์ เข้าที่บริเวณกกหูด้านขวากระสุนฝังใน จากนั้นคนร้ายก็ขึ้นรถแท็กซี่ที่นั่งมาส่งของหลบหนีมุ่งหน้าไปทางมีนบุรีอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก และบก.น.4 รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ใกล้เคียงช่วยสกัดจับ

“หลังจาก ร.ต.อ.อาทิตย์ถูกยิง ลูกน้องก็ช่วยกันนำโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใกล้เคียงที่สุด แต่สุดท้ายเราก็ต้องสูญเสียตำรวจฝีมือดีจากการปฏิบัติหน้าที่ล่อซื้อยาไอซ์ครั้งนี้ ที่ผ่านมา ร.ต.อ.อาทิตย์อยู่ในชุดคลี่คลายคดีฆ่าข่มขืนพนักงานโรงแรมที่ป้ายรถเมล์ ตรงข้ามวัดศรีบุญเรือง และคลี่คลายทหารเกณฑ์ควงอาวุธสงครามหวังจะไปปล้นทรัพย์ โดย ร.ต.อ.อาทิตย์ ซึ่งย้ายจากงานด้านสอบสวนมาอยู่งานสืบสวนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2551 ล้วนแล้วแต่คลี่คลายคดีใหญ่ๆ ทั้งนั้น จากนี้ไปจะได้เสนอปูนบำเหน็จตามระเบียบของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ” พ.ต.อ.วัฒนากล่าว

ด้าน นางประภาพรรณ เดชะเทศบุปผา อายุ 27 ปี ภรรยา ร.ต.อ.อาทิตย์ ซึ่งอยู่ในอาการเศร้าโศกกล่าวทั้งน้ำตาว่า ตนกับผู้ตายเพิ่งจะแต่งงานได้เพียงปีเศษ ปกติสามีเป็นคนจริงจังกับงาน ค่อนข้างบ้าระห่ำ อาจหาญ แต่ไม่ค่อยจะบอกว่าไปทำงานอะไรมาบ้าง สามีเข้าเวรตั้งแต่บ่ายวานนี้ (14 พ.ย.) แต่วันเดียวกันนั้น ก็ได้ไปซื้อรถยนต์ฮอนด้าแจ๊ซที่ศูนย์ฮอนด้าคริสตัลปาร์คและตนก็ขับมาส่งที่ สน.หัวหมาก กระทั่งเวลาประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง ตนโทร.ไปหาสามีซึ่งก็บอกว่าวันนี้มีงานใหญ่ สายรายงานมาแล้ว แต่ตนก็ไม่ได้ซักถามอะไรเพราะเข้าใจว่าทำงานอยู่ แต่ทราบเพียงว่างานจะเริ่มประมาณ 5 ทุ่มเศษ กระทั่งเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษ ลูกน้องของสามีโทร.มาบอกว่าสามีได้รับบาดเจ็บขาหักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ สุขาภิบาล 3 ให้รีบมาดู ตนพร้อมญาติจึงรีบเดินทางที่โรงพยาบาล เมื่อมาถึงก็ทราบว่าสามีเสียชีวิตแล้ว เพราะถูกยิงเข้ากกหูขวากระสุนฝังในจากการปฏิบัติหน้าที่ล่อซื้อยาเสพติดเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา

“ขณะนี้ฉันยังรู้สึกทำใจไม่ได้ เสียใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเพิ่งแต่งงานได้เพียงปีเศษ ยังไม่มีลูกด้วยกัน เขาเป็นเสาหลักของครอบครัวแต่ก็ต้องมาจากไป ไม่รู้ว่าอนาคตฉันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร จะโดดเดี่ยวซักแค่ไหน” นางประภาพรรณกล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน ร.ต.อ.สุรพล อยู่ชยันตี รองสว.สส.บก.น.4 กล่าวว่า ได้รับการประสานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.หัวหมาก ถูกคนร้ายแก๊งค้ายาเสพติดยิงเสียชีวิต จึงรีบนำกำลังเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในซอยรามคำแหง 127 และส่งชุดติดตามคนร้ายใช้แท็กซี่เป็นยานพาหนะในการหลบหนี ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามจับกุม ถือว่าเป็นการสูญเสียตำรวจฝีมือดีของ สน.หัวหมาก จากข้อมูลทราบว่าเป็นการล่อซื้อยาไอซ์ล็อตใหญ่ และสามารถยึดของกลางเป็นยาไอซ์อย่างน้อย 1 กก.ไปทำการตรวจสอบ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"พัลลภ"ชี้ไทยไม่พร้อมรบเขมรยังขาดแคลนเงินหากเปิดศึกถูกโดดเดี่ยวแน่ จวกรบ.มุ่ง "สร้างหนี้-บี้แม้ว"


มี่มา:มติชน

"พัลลภ" ชี้ไทยไม่พร้อมรบเขมรต้องใช้เงินหลายแสนล้านแต่ยังกู้ต่างประเทศมาพัฒนาอีก 8 แสนล้าน หากทำสงครามถูกโดดเดี่ยวแน่ ไร้ชาติอื่นหนุน ลั่น "ทักษิณ-จิ๋ว" ทำเพื่อชาติ จวกรบ.มุ่ง "สร้างหนี้-บี้แม้ว"

"พัลลภ"ชี้ไทยไม่พร้อมรบเขมร ถูกโดดเดี่ยวแน่ ไร้ชาติอื่นหนุน

พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทยและอดีตรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) กล่าวผ่านรายการ "ลับ ลวง พราง" ทางคลื่นเอฟเอ็ม 100.5 MHz ถึงท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และสถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่า สถานการณ์ยังก้ำกึ่งอยู่ ต้องดูนานๆ เพราะสงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร ตอนนี้เป็นแค่ออเดิร์ฟ ส่วนกรณีที่หลายคนที่ออกมาพูดว่า ควรทำสงครามกับกัมพูชา เพราะเราชนะแน่นอนนั้น ในความเห็นของตนไม่อยากพูดว่า จะแพ้หรือชนะ แต่อยากพูดว่า เราไม่พร้อมทำสงคราม เพราะการทำสงครามแต่ละครั้ง ต้องใช้เงินหลายแสนล้านบาท แต่เราต้องไปกู้เงินมาพัฒนาประเทศ 8 แสนล้านบาท ลองคิดว่าเราจะกู้เงินเขามาทำสงครามอีกหรือ

"ผมประเมินว่าไม่ถึงสงคราม แต่เราไม่พร้อมจริงๆ เพราะการทำสงครามไม่รู้จะใช้อีกกี่แสนล้าน ส่วนปัญหาภาคใต้ 7 ปีมาแล้ว เราใช้เงินหลายแสนล้าน ใช้ทั้งกำลังพล อาสาสมัคร มีคนบาดเจ็บล้มตายเป็นหมื่นคน วันนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ โจรภาคใต้เรายังเอาชนะไม่ได้ ยังคิดจะไปทำสงครามกับเพื่อนบ้านอีกหรือ สมมติว่า เราทำสงครามกับกัมพูชา เราทำสงครามแบบโดดเดี่ยว ประเทศเดียว เราไม่มีมิตรประเทศช่วยเลย ตรงข้ามกับกัมพูชาที่จะมีลาว เวียดนามและจีนสนับสนุน การทำสงครามเราต้องกู้เงิน ทำให้ประเทศชาติตกทุกข์แสนสาหัส อาจถึงล้มละลาย" พล.อ.พัลลภ กล่าว

เมื่อถามว่า เหตุใดพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ จึงเดินทางไปกัมพูชา จนทำให้เกิดการยั่วยุ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า พล.อ.ชวลิตผูกพันกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชามาก คงจำได้ ช่วงที่เวียดนามใต้แตก สงครามเข้ามาในกัมพูชา พร้อมจะลามมาในไทย เรายกกำลังไปชายแดนเพื่อตั้งรับ กัมพูชาแบ่งออกเป็น 4 ฝ่าย ช่วงนั้นตนมีโอกาสได้ไปควบคุม เรามองแล้วว่า หากเกิดสงครามและลามมาในไทย จะทำให้เราสูญเสียมหาศาล พล.อ.ชวลิตจึงเสี่ยงเข้าไปอยู่กับกัมพูชาคือฝั่งฮุนเซนไปเจรจาจนเขมร 4 ฝ่าย ยอมตกลงมาร่วมกันตั้งรัฐบาล

"ดังนั้นการที่พล.อ.ชวลิตและพ.ต.ท.ทักษิณเข้าไป เพราะเห็นประโยชน์ของชาติ ไม่อยากให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ เพราะไทยมีปัญหากับประเทศรอบบ้าน พวกท่านเข้าไปในลักษณะที่ไปสร้าง เพราะมีลักษณะพิเศษเป็นคนสมานฉันท์ ตอนเราทำสงครามกับคอมมิวนิสต์ ท่านออกนโยบาย 66/23 ยุติสงครามคนไทยฆ่าคนไทย ดังนั้น ท่านไปคราวนี้ เห็นชัดว่า ท่านไปขอร้องให้ทหารกัมพูชา ถอนกำลังออกจากเขาพระวิหาร ซึ่งวันนี้เขาทำแล้ว โดยถอนกำลังหลักออกไป แต่ก็มีกำลังบางส่วนที่เขายังอยู่" พล.อ.พัลลภ กล่าว

ส่วนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาให้กับสมเด็จฮุน เซนนั้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า พ.ต.ท.เป็นคนมีความสามารถด้านธุรกิจ หลายประเทศในอาหรับได้เชิญท่านเป็นที่ปรึกษา หากท่านให้คำปรึกษาแล้วทำให้เศรษฐกิจกัมพูชาเดินไปได้ดีมาก ผลลัพธ์จะตกมาอยู่ประเทศไทย เพราะปีที่แล้ว เราขายสินค้าให้กัมพูชา 6 หมื่นล้านบาท แต่กัมพูชาขายของให้เราแค่ 3 พันล้านบาท และปีหน้าเราอาจขายของให้กัมพูชาถึงแสนล้านบาท นี่คือผลทางอ้อม

เมื่อถามว่า หลายคนมองว่า พ.ต.ท.ทักษิณทำให้ความสัมพันธ์ไทยและกัมพูชา ขัดแย้งมากขึ้น พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ความคิดคนหลากหลาย ถามว่า รัฐบาลอยู่มา 9 เดือนทำอะไรบ้าง ทำอยู่ 2 อย่างคือ สร้างหนี้กับบี้ทักษิณ พ.ต.ท.ทักษิณไปอยู่ไหน ประเทศนั้นต้องเป็นศัตรูกับประเทศไทย


"พัลลภ"ลั่น"ทักษิณ-จิ๋ว"ทำเพื่อชาติ จวกรบ.มุ่ง"สร้างหนี้-บี้แม้ว"

พล.อ.พัลลภ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เสียคะแนนนิยมไปมากว่า คงเป็นการให้สัมภาษณ์ แต่ท่านยอมรับว่าภาษาอังกฤษไม่เก่ง กลอนพาไป ส่วนจะถูกหรือไม่ถูก ต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ขณะนี้คงไม่มีแผนอะไร โดยพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย และตนคงเดินเกมการเมืองของเราคือ สร้างความเข้าใจว่า พรรคเพื่อไทยมีอุดมการณ์อย่างไรในการทำให้ประเทศมีความมั่นคง ประชาชนอยู่อย่างสันติสุข

เมื่อถามถึงข่าวว่า พล.อ.ชวลิตจะไปขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ตนเพิ่งคุยกับท่าน ซึ่งท่านไม่ได้พูดเรื่องนี้ แค่บอกว่า จะไปเยี่ยมพม่า มาเลเซียและจีน ตนคิดว่าท่านไม่ขึ้นแน่นอน และหากจะขึ้น ก็คิดว่าไม่เหมาะสม

เมื่อถามว่า พล.อ.ชวลิตโทรหานายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ขอขึ้นเวที เพื่อความสมานฉันท์ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า เป็นไปได้ เพราะท่านพยายามประนีประนอมให้คนไทยทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนเคยเชิญพล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ มาพบครั้งหนึ่ง บอกว่า อย่าแตกแยกกัน

เมื่อถามว่า หากพล.อ.ชวลิตขึ้นเวที อาจโดนโห่หรือขว้างปาสิ่งของ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ท่านเป็นคนเสียสละเพื่อประเทศชาติมาตลอด ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ เรื่องแค่นี้คงไม่ทำให้กระเทือน ตนเห็นด้วยหากขึ้นเวทีแล้วทำให้สมานฉันท์ได้ ซึ่งพล.อ.ชวลิตมีความมุ่งมั่น

ส่วนกรณีที่เพื่อไทยเปิดเผยว่า มีแผนลอบทำร้ายพ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า "ไม่ทราบ แต่ฟังจากกัมพูชาที่จับคนไทยที่เป็นสายลับ เอาไฟท์บินของพ.ต.ท.ทักษิณมาให้สถานทูตไทย ซึ่งกัมพูชามองว่าเป็นการจารกรรมความลับ เพราะเขาต้องสร้างความปลอดภัยให้พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเส้นทางจากกัมพูชาไปดูไบมี 2 เส้นทางบิน คือผ่านน่านฟ้าไทยกับลงไปทางอ่าวไทย ผ่านมาเลเซีย กัมพูชาต้องสร้างความปลอดภัยที่สุดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะหากผ่านน่านฟ้าไทย และเราส่งเครื่องบินรบให้ไปบังคับให้ลงมา ดังนั้นเขาจึงถือว่า เป็นความลับสุดยอด"

ส่วนกรณีที่ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีค่าหัว 150 ล้านและกลุ่มลอบทำร้ายเป็นกลุ่มเดิม ที่เคยพยายามสังหาร โดยมี "ส." เป็นผู้บงการ พล.อ.พัลลภ กล่าวว่า ไม่ทราบ แต่เป็นเรื่องที่พ.ต.ท.ทักษิณต้องระวังตัว เพราะเขาทำอยู่ 2 อย่าง คือสร้างหนี้กับบี้ทักษิณ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ร้องก่อนรบ แดงทั้งภูเขา!


ที่มา:บางกอกทูเดย์
4 จุดตายที่คนเสื้อแดงต้องระวังวันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศรวมพลคนนับแสนที่เขาใหญ่ แน่นอนว่าขั้วตรงข้ามต่างๆ ไม่เพียงจับจ้องมอง แต่ต้องมีการหาทางดิสเครดิตให้ได้ด้วย... ถ้างานนี้รับมือพลาด... อันตรายแน่ การทำให้เกิดปรากฏการณ์แดงทั้งขุนเขา เพราะเสื้อแดงมาเยอะร่วมแสนคน มุมหนึ่งไม่เพียงเป็นลางบอกเหตุว่า คนไม่ชอบรัฐบาลนี้มากขึ้น แต่อย่าลืมอีกมุมหนึ่งว่านี่จะเป็นการเตือนขั้วตรงข้ามทั้งหลายว่าจะต้องเร่งมือจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้หนักขึ้นไปอีกฉะนั้นนี่คือ อันตรายอีกจุดหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้าม ซึ่งจะตามมาหลังจากการชุมนุมครั้งนี้อย่างแน่นอน

การนัดชุมนุมพลคนเสื้อแดง ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทยอีกต่อไปตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกของคนในประเทศนี้ ยังเห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข ยังคงถูกกลุ่มอำมาตยาธิปไตยบิดเบือน จนทำให้เสรีภาพที่แท้จริงทางการเมืองยังไม่มี ตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่าการบริหารประเทศยังคงมี 2 มาตรฐานตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่า รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศยังคงแฝงวาระซ่อนเร้นและตราบใดก็ตามที่ความรู้สึกว่าท็อปบูท ปากกระบอกปืน และรถถังยังคงกดหัวคนไทยที่เพรียกหาประชาธิปไตยเมื่อความรู้สึกและสิ่งที่เรียกร้องยังไม่เกิดขึ้นในแผ่นดิน การ

ต่อสู้จะจบสิ้นได้อย่างไรนี่คือ ปัญหาทางการเมืองของไทย ที่ทำให้ยังมีการต่อสู้ มีการเรียกร้อง มีการแสดงพลังจากกลุ่มต่างๆ จนดูเหมือนว่าสังคมไทยไม่ปกติและยากที่จะหาข้อยุติทั้งที่จริงๆ แล้วปรากฏการณ์เสื้อแดง ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากปรากฏการณ์เรียกร้องทางการเมืองที่เกิดขึ้นมายาวนาน โดยเฉพาะหลังจากการเปลี่ยนแปลงปี 2475 เป็นต้นมาเพียงแต่สถานการณ์ของคนเสื้อแดงนั้น ต้องถือว่ายากลำบากเป็นอย่างมากในการต่อสู้ทางการเมือง เนื่องจากไม่เพียงเกิด

ขึ้นมาภายใต้การแตกแยกทางความคิด ทำให้เหมือนกับมีคู่ปรับทางการเมืองที่เป็นขั้วตรงข้ามแม้ว่าในความเป็นจริงหากตั้งสติให้ดี ประชาชนที่แท้จริง ที่เรียกหาประชาธิปไตยโดยบริสุทธิ์ใจนั้น ไม่ว่าจะสวมเสื้อสีแดง หรือสวมเสื้อสีเหลือง จริงๆ แล้วล้วนมีจุดมุ่งหมายเพื่อประเทศชาติไม่แตกต่างกันมีความจงรักภักดีเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้แตกต่างกันเลยแต่เมื่อคนเสื้อแดงมาเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงยิ่งกลายเป็นเพิ่มคู่ปรับมากขึ้น

ไปอีก เพราะทั้งอำมาตยาธิปไตย ทั้งทหาร ถูกโยงใยเข้ามาเป็นขั้วตรงข้าม ที่ต้องหยุดคนเสื้อแดงให้ได้ฉะนั้นแม้กลุ่มคนเสื้อแดงจะเป็นการรวมตัวของคนส่วนใหญ่ของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนรากหญ้าทั้งหลาย แต่เมื่อเจอสารพัดกลุ่มรุมขย้ำแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่ายในการต่อสู้เลยจริงๆแถมสารพัดคู่ปรับนั้น ล้วนเป็นนักสร้างภาพสร้างข้อกล่าวหาที่ฉกาจฉกรรจ์ได้ทั้งสิ้น กรณีพรรคการเมืองเก่าแก่ที่เล่นเกมตะโกนในโรงหนังบ้าง... เล่นใช้ความสามารถในการพูด

ที่เหนือชั้นสร้างความน่าเชื่อให้กับเอกสารหรือกระดาษแผ่นเดียวได้เป็นวรรคเป็นเวรนั้น ยังต้องถือว่านั่นแค่ประถมเพราะวันนี้ทุกเรื่องทุกประเด็น คนเสื้อแดงโดนโยงเข้าในวังวนของข้อกล่าวหาได้หมดยิ่งคู่ปรับแกนนำระดับเจ้าลัทธิด้วยแล้ว ยิ่งบอกได้เลยว่า เสื้อแดงไม่เพียงตั้งรับแทบไม่ทัน แต่ยังแพ้เกมในเรื่องการใช้ถ้อยคำหยาบคายรุนแรงที่กระตุ้นหรือยั่วยุอารมณ์ดิบของคน โดยเฉพาะบรรดาสาวกได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ที่สุดดังนั้นการเดินเกมต่อสู้ของคนเสื้อแดงใน

วันนี้บอกได้เลยว่า เหนื่อยสาหัสอย่างยิ่งยิ่งสถานการณ์ทางการเมืองในช่วงโค้งสุดท้ายปลายปีนี้ ทำท่าว่าจะร้อนองศาเดือด เพราะกระแส“ล้มคว่ำ”ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีออกมาเป็นระยะๆ อย่างรุนแรงชนิดไม่สามารถที่จะมองข้ามได้และยิ่งหากดูอาการของพรรคร่วมรัฐบาล ที่วันนี้แทบจะหมดความเกรงใจพรรคแกนนำอย่างพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี แต่พรรคต่างๆ ก็แสดงความเบื่อหน่ายและหมดความอดทนจนทำให้สภา

ต้องออกอาการล่มซ้ำซากรวมทั้งยิ่งหากดูการเร่งเตรียมการเพื่อรับมือการเลือกตั้งที่จะมาถึง แม้แต่พรรคการเมืองใหม่และกลุ่มพันธมิตรฯยังเตรียมจัดงานระดมทุนเพื่อให้ได้เงินเป็นร้อยล้านบาทเอามาใช้เป็นทุนทางการเมือง และการเลือกตั้งที่จะมาถึง ยิ่งสะท้อนชัดว่าสถานการณ์การเมืองในตอนนี้สามารถพลิกผันได้ทุกขณะจิตสถานการณ์เวลาก็กดดัน คู่ปรับทางการเมืองก็สาดโคลนใส่ด้วยสารพัดข้อกล่าวหา เหล่านี้เป็นโจทย์ที่บรรดาแกนนำคนเสื้อแดงจะต้องคิดให้หนัก

และตีโจทย์ให้แตกว่า จะลบล้างข้อกล่าวหาในประเด็นต่างๆ ได้อย่างไรโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อกล่าวหาที่ว่า..... “ทั้งหมดทำเพื่อคนๆ เดียว” แม้ในความเป็นจริงคนเสื้อแดงจะรู้ดีว่า ทั้งหมดทำเพื่อประเทศชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เนื่องจากว่าประสิทธิภาพของการกล่าวหาของกลุ่มที่ต้องการทำลายนั้นมีสูง จึงทำให้คนที่เป็นกลาง คนที่เป็นพลังเงียบของประเทศนี้จึงลังเล และไม่กล้าที่จะแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยดังนั้นการบ้านใหญ่ข้อแรกของคนเสื้อแดง จึงไม่

ใช่เรื่องของการรวมตัวเพื่อแสดงพลัง แต่เป็นการอธิบายข้อเท็จจริงและประกาศเจตนารมณ์ที่แท้จริงให้คนทั้งแผ่นดินรู้และยอมรับให้ได้ว่า ทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริงหากทำได้สำเร็จ ลบล้างข้อกล่าวหาได้สำเร็จก็มีโอกาสชนะใส... แต่หากทำไม่สำเร็จโอกาสพ่ายแพ้ก็มีสูงนี่คือ ความเป็นจริงข้อแรกที่แกนนำและคนเสื้อแดงจะต้องยอมรับ และหาทางกำหนดยุทธศาสตร์เพื่อการรับมือให้ได้ก่อนที่จะสายประเด็นต่อมาเป็นโชคร้ายของกลุ่มคน

เสื้อแดง ที่ไม่ได้มีศัตรูเพียงกลุ่มเดียว แต่กลับมีศัตรูหลายกลุ่ม จึงทำให้การต่อสู้ยืดเยื้อ ซึ่งบุคลิกของสังคมไทยเป็นประเภทเบื่อง่ายหน่ายเร็ว และขี้หงุดหงิดขี้รำคาญเมื่อสถานการณ์การต่อสู้ยืดเยื้อ ทำให้มีคนบางส่วนเริ่มบ่นและเริ่มตั้งคำถามว่า เมื่อไหร่จะจบเสียที เมื่อไหร่จะยุติและกลับมาสงบร่มเย็นเหมือนในอดีตเสียที ประเด็นนี้ก็เป็นประเด็นลบต่อภารกิจการต่อสู้เพื่อทวงประชาธิปไตยที่แท้จริงของคนเสื้อแดงยังดีที่คนเสื้อแดงใช้การรวมตัวที่กระชับ ชัดเจน และรักษา

สัญญา บอกว่าจะรวมพลังวันเดียวก็คือ วันเดียว บอกว่าจะยุติแค่เที่ยงคืน ยืดเยื้ออย่างมากก็แค่ครึ่งค่อนชั่วโมงเท่านั้นนี่คือ เสน่ห์ของการรวมตัวแสดงพลังของคนเสื้อแดงแต่ในยุทธศาสตร์การต่อสู้ทางการเมือง การรวมพลังลักษณะนี้จะเพียงพอต่อการสู้กับกลุ่มที่ต้องการทำลายได้หรือไม่ นี่คือ ปัญหาใหญ่ข้อที่ 2 ของคนเสื้อแดงที่จะต้องตีโจทย์ให้แตกด้วยเช่นกันปัญหาใหญ่ประการที่ 3 ของการรวมพลังของคนเสื้อแดง ก็คือ เนื่องจากเป็นการรวมพลังของคนจำนวนมาก

เรือนหมื่นเรือนแสนที่มากันโดยอิสระ มากันด้วยใจ จึงทำให้การควบคุมดูแล ทำได้ยากมากกว่าการดูแลม็อบจัดตั้งทั้งหลายการถูกแทรกตัวเข้ามาของมือที่ 3 เพื่อสร้างความปั่นป่วน หรือเพื่อทำลายภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง ก็เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยาก ประจักษ์พยานการเสียรู้ของคนเสื้อแดง ก็เคยโดนชัดเจนมาแล้วเมื่อครั้งเมษาเลือด ที่ถูกแผนส่งคนเข้ามาแทรก และชักจูงไปสู่ความรุนแรงบานปลายทำให้คนเสื้อแดงเสียคะแนนไปมากเช่นเดียวกับการเสียรู้ในเหตุ

วุ่นวายที่พัทยา ช่วงการประชุมอาเซียนล่ม ทั้งๆ ที่เหตุปะทะเหตุวุ่นวายรุนแรงมาจากคนเสื้อน้ำเงินแท้ๆ แต่ภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดงกลับถูกกระทบ เพราะถูกปรักปรำไปเต็มๆที่สำคัญ ไม่ว่าในการต่อสู้ใดๆ แพ้ก็คือแพ้ ไม่อาจที่จะแก้ตัวได้ ดังนั้น ในเมื่อเมษาเลือดและพัทยาคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายแพ้เพราะเสียรู้ ก็ต้องถือว่าแพ้ จะอ้างโน่นอ้างนี้ไม่ได้สิ่งเดียวที่ทำได้คือ จดจำบทเรียนไว้ให้ดี แล้วอย่าให้แพ้อีกการรวมพลแสดงพลังที่หวังจะให้แดงทั้งภูเขา ที่บริเวณโบนันซ่า เขา

ใหญ่คือ การวอร์มอัพกล้ามเนื้อเตรียมพร้อมออกศึกใหญ่ ที่แกนนำเสื้อแดงประกาศอย่างเชื่อมั่นว่า จะมีคนมาร่วมนับล้านคนในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้.....หากถึงวันนั้น มีคนเสื้อแดงมาร่วมกันนับจำนวนล้านจริง การบริหารดูแล ป้องกันมือที่ 3 ยิ่งต้องเข้มงวด อย่าให้ใครเข้ามาป่วนและสร้างความวุ่นวายได้หากคุมไม่อยู่ จำนวนคนเป็นล้าน จะทำให้คนเสื้อแดงถูกสาดโคลนให้เพลี่ยงพล้ำได้ซึ่งที่ผ่านมาการรวมพลคนเสื้อแดง ยืนอยู่ในระดับหมื่นคนแสนคนเป็นหลัก แต่ครั้งนี้

เป็นครั้งแรกที่จะขยับก้าวขึ้นสู่หลักล้าน ฉะนั้นยิ่งต้องรอบคอบและระมัดระวังให้จงหนัก เพราะแม้จะกระหึ่มในการแสดงพลัง แต่ก็แฝงจุดอ่อนอยู่ในทีแกนนำต้องเอาให้อยู่ ต้องกันมือที่ 3 ให้ได้ชะงัดที่สุดและในประการที่ 4 หากคนมานับล้านคนจริงๆ จุดที่จะถูกโจมตีว่าเป็นการจัดตั้งก็คือ เรื่องของงบประมาณค่าใช้จ่ายในแต่ละวันที่จะต้องมี และขั้วตรงข้ามจะต้องตั้งคำถามว่าแล้วงบสนับสนุนเหล่านี้มาจากไหน??เพราะขนาดสถานที่จัดงานคือโบนันซ่า เขาใหญ่ เป็น

ธุรกิจเอกชนที่ใครมีเงินจ่ายค่าเช่าก็สามารถมาใช้สถานที่ได้ เที่ยวนี้ยังโดนตั้งคำถามว่า สนับสนุนแดงหรือไม่ เลือกข้างหรือไม่?ก็ถ้ากลุ่มพันธมิตรจะไปเช่าเพื่อรณรงค์หาเงินสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่บ้าง จะให้เหลืองพรืดบ้าง ก็สามารถทำได้ ใครจะไปว่า หรือแม้แต่ก๊วนเพื่อนเนวินและภูมิใจไทย จะเช่าวางแผนเพื่อผลักดันให้นายเนวิน ชิดชอบ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีดังที่ฝันไว้ จะทำให้เขาใหญ่เกลื่อนไปด้วยสีน้ำเงินก็ได้ด้วยเช่นกัน เพราะนายเนวินมีปัญญาจ่าย มี

ปัญญาเลี้ยงดูปูเสื่อกลุ่มพลังที่มาได้อยู่แล้วในขณะที่กลุ่มเสื้อแดง แกนนำการชุมนุมที่โบนันซาในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นนายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ 3 เกลอแห่งรายการความจริงวันนี้ รวมทั้งแกนนำคนอื่นๆ จะต้องเตรียมพร้อมให้ดีที่สุด จะปล่อยให้เกิดความวุ่นวาย จะเผลอเปิดจุดอ่อนหรือการ์ดตกไม่ได้เลยบอกแล้วว่าถ้าพลาดงานนี้ถูกขย่มแน่การทำให้เกิดปรากฏการณ์แดงทั้งขุนเขา เพราะเสื้อแดงมาเยอะนับจำนวนร่วมแสน คือ

ยุทธศาสตร์ที่น่าจับตามองอย่างยิ่งของฝ่าย“คนเสื้อแดง”เพราะนั่นคือการ“ทดสอบความพร้อม” ทั้งกำลังคนและสภาพจิตใจ ปฏิบัติการ“เพื่อนร่วมร้อง พี่น้องร่วมรบ” จึงเป็นยุทธวิธีที่“ฝ่ายเสื้อแดง” นำออกมาใช้ชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนวันนี้...ถ้าทั้งภูเขาที่โบนันซ่ากลายเป็น“สีแดงทั้งภูเขา” นั่นย่อมหมายถึงว่า...คนเสื้อแดงก็มี“ความพร้อมสูง” สำหรับเป้าหมายจำนวนล้านที่จะชุมนุมใหญ่ในปลายเดือนนี้ เพื่อ“แตกหัก”กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ ในการเรียกร้อง

ประชาธิปไตยใครจะไป?? ใครจะอยู่??แต่อย่าลืมอีกมุมหนึ่งว่า นี่จะเป็นการเตือนขั้วตรงข้ามทั้งหลายว่าจะต้องเร่งมือจัดการกับกลุ่มคนเสื้อแดงให้หนักขึ้นไปอีกฉะนั้นนี่คือ อันตรายอีกจุดหนึ่งที่ไม่อาจจะมองข้าม ซึ่งจะตามมาหลังจากการชุมนุมครั้งนี้ และการชุมนุมใหญ่ในปลายนี้อย่างแน่นอนดังนั้นเสื้อแดงคงจะต้องใช้เสียงคนนับล้าน ประกาศให้ชัดเจนว่า เป็นการต่อสู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่จะเกิดขึ้นในปลายดือนนี้ และมีจุดร่วมคือการ “โค่นล้ม ระบอบ

อำนาจอำมาตยาธิปไตย” จึงต้องนำเสนอเนื้อหาหลักการประชาธิปไตยที่ชัดเจนมากกว่าการชูตัวบุคคล เพื่อไม่ให้ขั้วตรงข้ามฉวยโอกาสทำลายความชอบธรรมในการต่อสู้ ป้ายสีว่าขบวนการเสื้อแดงทำเพื่อคนคนเดียวการบ้านครั้งนี้จึงหนักหนาสาหัสและท้าทายอย่างยิ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดงจะทำได้หรือไม่ได้? จะรอดหรือไม่รอด? และจะฝ่อหรือไม่ฝ่อ?เพราะมีทั้งคนรอดู คนรอลุ้น และคนรอซ้ำเติม.....!!

"ทักษิณ"ออกจากกัมพูชา-กลับดูไบแล้ว


คมชัดลึก :"ทักษิณ ชินวัตร"อดีตนายกฯไทยเดินทางออกจากกัมพูชา กลับดูไบแล้ว เลขาฯรมว.ต่างประเทศ ระบุ วิศวกรไทยถูกคุมตัวที่เรือนจำเพซอ ด้านเจ้าหน้าที่กงสุลจะเดินทางไปเยี่ยมวันนี้

(14พ.ย.) สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย เดินทางออกจากประเทศกัมพูชา เพื่อกลับดูไบแล้วในช่วงเช้าของวันนี้ โดยนายปรัก สักฮอน รองรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ยืนยันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางออกกัมพูชา ภายหลังจากเวลา 4 วันที่เขาเดินทางเข้ามาทำหน้าที่ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้งให้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้าการติดตามช่วยเหลือ นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกร บ.กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิคเซอร์วิส หรือ CATS ที่ถูกทางการกัมพูชาจับกุม โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ขโมยข้อมูลเรื่องตารางเวลาการบินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวไปให้เลขานุการเอกประจำสถานทูตไทยนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทราบสถานที่คุมขังที่แน่ชัดของนายศิวรักษ์แล้ว วันนี้เจ้าหน้าที่กงสุลของไทยในกัมพูชา และทนายส่วนตัวนายศิวรักษ์ จะเดินทางไปเยี่ยมพร้อมทั้งจะตั้งคณะทำงานด้านกฎหมาย ช่วยประสานงานในทางคดีแก่นายศิวรักษ์ และพร้อมจะให้ความสะดวกมากกว่าในกรณีอื่นๆ อีกด้วย

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ได้รับการยืนยันแล้วว่า นายศิวรักษ์ โชติพงษ์ วิศวกรไทย ถูกคุมตัวอยู่ที่เรือนจำเพซอ ซึ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศได้ยื่นเรื่องต่อกรมราชทัณฑ์กัมพูชาแล้ว ระบุ ขอทราบเหตุผลการจับกุมและขอเข้าเยี่ยม ซึ่งอยู่ระหว่างรอคำตอบจากทางการกัมพูชาทั้งนี้ ถือว่าเป็นโชคไม่ดีที่ช่วงเกิดเหตุ ติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งอาจทำให้การประสานงานให้ความช่วยเหลือเป็นไปค่อนข้างลำบาก แต่ยืนยันว่าทางการไทยจี้ติดเรื่องนี้ให้กัมพูชาดำเนินการเรื่องการเข้าเยี่ยมให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้าน นางวิมล คิดชอบ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศจะให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์เต็มที่ และการที่ไทยลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา จะไม่เป็นอุปสรรคต่อการให้ความช่วยเหลือนายศิวรักษ์ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศตั้งความหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะให้การดูแลนายศิวรักษ์ตามขั้นตอน และกระบวนการของกฎหมายที่ถูกต้อง

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ระหว่างเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ที่สิงคโปร์ ไม่ประสงค์ที่จะหารือนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา เป็นการส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทั้งสองประเทศ ขณะที่ฝ่ายนายฮุนเซน ก็ไม่ได้ติดต่อประสานมา เพื่อขอหารือกับนายกรัฐมนตรีเช่นกัน

ด้านพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รรท.ผบ.ตร.ลงนามในคำสั่ง กำชับการปฎิบัติในการรักษาความสงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ถึงทุกหน่วยงาน ประทับตราด่วนที่สุด โดยระบุว่าปัจจุบันสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างไทย กัมพูชาอยู่ในสภาวะไม่ปกติเพื่อให้การปฏิบัติในอำนาจหน้าที่ของตำรวจ ในการรองรับสถานการณ์ดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยให้ดำเนินการดังนี้ 1.สืบสวนหาข่าวที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ต่าง ๆ

โดยเฉพาะแนวชายแดนไทย 2. เพิ่มความเข้มงวดกวดขันในการตรวจอนุญาตบุคคล ยานพาหนะเข้าออกราชอาณาจักรบริเวณชายแดนไทยกัมพูชา ให้เป็นไปตามระเบียบ และกฎหมาย อย่างเคร่งครัดเป็นพิเศษ 3. เพิ่มความเข้มงวดตรวจตราปราบปราม การลักลอบหลบหนีเข้าเมือง ลักลอบขนสินค้าผิดกฎหมาย ยาเสพติดและการกระทำผิดกฎหมายในช่องทางและเส้นทางต่าง ๆ ทั้งบริเวณชายแดนและพื้นที่ตอนใน 4. ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่เดินทางเข้าออกราชอาณาจักรในพื้นที่ต่าง ๆเพิ่มความระมัดระวังและติดตามสถานการณ์ความเป็นไปอย่างใกล้ชิด และหากมีเหตุด่วน ให้รายงานผ่านทางกองสารนิเทศ ทันที

วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

บ.สามารถยันไม่เกี่ยว ‘ศิวลักษณ์ โชติพงษ์’ วิศวกรถูกเขมรจับ


คมชัดลึก : (13พ.ย.) ที่ท่าอากาศยานทหาร กองบินที่ 6 เมื่อเวลา 12.45 น. ที่ท่าอากาศยานทหารกองบิน 6 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายเกียรติ สิทธิอมร ผู้แทนการค้าไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางมาขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปร่วมการประชุมเอเปค ระหว่างวันที่ 13 – 15 ที่ประเทศสิงคโปร์

ก่อนขึ้นเครื่อง นายอภิสิทธิ์พยักหน้าเมื่อถูกถามว่าทราบข่าวที่วิศวกรไทยซึ่งทำงานในบริษัท กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS (หมายเหตุ : PAD’s Enemies List บริษัทนี้บริหารงานโดยบริษัทสามารถของไทย) ถูกตำรวจกัมพูชาจับจากการก็อปปี้เอกสารเกี่ยวกับเที่ยวบินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจรัฐบาลกัมพูชา และของสมเด็จฯฮูน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา แล้วหรือไม่ เมื่อถามว่าจะดูแลคนไทยคนนั้นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ จะดูแลเหมือนอย่างที่ดูแลคนไทยเวลาที่เจอคดีในต่างประเทศ ”

สามารถยันไม่เกี่ยววิศวกรขโมยข้อมูลทักษิณ

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า มีการปล่อยตัวกลับมาแล้ว 1 คน อีก 1 คนอยู่ระหว่างการสอบสวน โดยพนักงานคนดังกล่าวมีความสนิทสนมเป็นเพื่อนกับเลขานุการเอก สถานทูตไทยประจำกัมพูชา ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของพนักงานไม่เกี่ยวข้องกับบริษัท แต่ทางบริษัทต้องเข้าไปดูแล ซึ่งได้แจ้งเรื่องดังกล่าวกับกระทรวงการต่างประเทศแล้ว

“อย่างไรก็ตามมองว่า ข้อมูลตารางการบินเป็นข้อมูลปกติทั่วไป ที่ไม่ใช่ข้อมูลที่เป็นความลับ แต่ทั้งนี้เหตุการณ์อยู่ในสภาวะไม่ปกติ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องบอบบาง การดำเนินธุรกิจของบริษัทในประเทศกัมพูชา ยังคงอยู่ในสภาวะปกติ ทั้งบริษัทวิทยุการบิน และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องโรงไฟฟ้าของบริษัทปูนซิเมนต์ไทย” นายวัฒน์ชัย กล่าว

บัวแก้วชี้เขมรกลั่นแกล้งจับวิศวกรไทย

นายกษิต กล่าวถึงข่าวกัมพูชาจับกุมวิศวกรไทยหน่วยจราจรอากาศ (Cambodia Air Traffic Service) ฐานเป็นสายลับขโมยข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ตท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯส่งให้ทูตไทย โดยระบุว่า เป็นเรื่องกลั่นแกล้งใส่ร้าย ได้ประสานให้เจ้าหน้าที่ของสถานเอกอัครราชทูต ประจำกรุงพนมเปญ ดูแลรายละเอียดกระบวนการยุติธรรมแล้ว ทั้งนี้เห็นว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนการพิจารณาดำเนินการต่อกัมพูชา นั้น นายกษิตกล่าวว่า ทางสมช.จะเป็นหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ด้านนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และรักษาการโฆษกสำนักนายกฯ กล่าวกรณีที่ทางการกัมพูชาจับกุมวิศวกรชาวไทยในชข้อหาจารกรรมข้อมูล ว่า รัฐบาลกำลังสอบถามรายละเอียดการจับกุมอยู่ ซึ่งจนท.ทูตที่นั่นกำลังหาข้อมูล ข้อเท็จจริง รายงานเข้ามา เมื่อได้ข้อกล่าวหาแล้วรัฐบาลจะมาพิจารณาดูในขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตามสถานทูตมีหน้าที่แนะนำ ดูแลความเรียบร้อย ให้เป็นไปตามหลักสากลหรือตามกม.ระหว่างประเทศอยู่แล้ว ก็ต้องว่าไปตามกฎหมาย แต่เรื่องนี้ไม่ควรเป็นประเด็นที่เราไปยุ่งการสืบสวนสอบสวนของฝ่ายเขา

นอกจากนี้นายปณิธาน ยังกล่าวด้วยว่า ปกติเรื่องเที่ยวบินของผู้นำก็อยู่ในชั้นไม่เปิดเผย ซึ่งต้องไปดูว่ารั่วออกมาได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นข้อมูลในเรื่องการเดินทางทั่วไปก็เป็นข้อมูลเปิดเผยอยู่แล้ว ไม่ถือเป็นการจรกรรมแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่ากลุ่มของนายศิวลักษณ์มีสายสัมพันธ์กับสถานทูตไทยในกัมพูชา นายปณิธาน กล่าวว่า เราต้องให้ความเป็นธรรมกับคนของเราด้วย โดยเฉพาะเมื่อยังไม่ผ่านการสอบสวน ข้อกล่าวหาตั้งกันได้ แต่ต้องให้โอกาสเขาชี้แจงซึ่งในส่วนของนายกฯและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง คงไม่ลงไปกำกับดูแลอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอน ต้องกำชับให้คนไทยที่นั่นระมัดระวัง และดูแลคนไทยให้ดี ไม่ทำอะไรขัดกฎหมายของเขา

สำหรับมาตรการทางการทูตที่มีต่อกัมพูชานับจากนี้ นายปณิธาน กล่าวว่า เราคทบทวนความสัมพันธ์ไปอีกระยะ และพิจารณาดูขั้นตอน กระบวนการต่างๆ โดยฉพาะผลประโยชน์ทับซ้อนที่ทำให้เราเสียเปรียบ แต่อย่างไรก็ต้องไม่ให้กระทบประชาชน รวมถึงไม่ให้กระทบกระเทือนความร่วมมือในภูมิภาค

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์อีกครั้งกรณีที่ทางการกัมพูชาได้จับกุมตัววิศวกรชาวไทยของบริษัท กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส( CATS ) ในฐานะที่เข้าไปล้วงดูข้อมูลเที่ยวบินของ พ.ต.ท.ทักิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโดยตั้งข้อหาเป็นสายลับ ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงาน ต้องขอเวลาไปตรวจสอบข้อมุลก่อนว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงได้รับรายงานเรื่องนี้มาหรือไม่

เมื่อถามถึง กรณีที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยออกมาปูดว่า มีบุคคลสำคัญชื่อย่อย ”ส.” ร่วมลงขันตั้งค่าหัวลอบสังหาร พ.ต.ท.ทักษิณ สูงถึง 150 ล้านบาท นายสุเทพ หัวเราะพร้อมย้อนถามว่า ”แล้วเป็นใครล่ะชื่อ“ส.” สุเทพ เหรอ ถ้าตนมีเงินขนาดนั้นก็ตายไปนานแล้ว ไม่มีหรอก ทำเป็นพูดไป ทั้งนี้ไม่ทราบสาเหตุที่นายประชาออกมาพูดเรื่องในตอนนี้เพื่อผลอะไร อย่างไปยุ่ง อย่าไปสนใจ มันบ้า ๆ พูดไปเรื่อย ”

เมื่อถามว่า การออกมาพูดเรื่องนี้เป็นความพายามที่จะสร้างความปั่นป่วนให้สอดคล้องกับการเดินเกมของ พ.ต.ท.ทักษิณและเครือข่าย นายุสเทพ กล่าวว่า เป็นการกระทำให้มันยุ่งเข้าไว้ ในยุคอย่างนี้ไม่น่าจะมีการลงขันลอบสังหารใคร ข่าวนี้ไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนไทยเขาไม่คิดทำอย่างนั้นหรอก ถ้าตนมีเงิน 150 ล้าน ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

บัวแก้วเชื่อวิศวกรไทยจะได้รับดำเนินคดีอย่างยุติธรรม

นางสาววิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ทางสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญได้เข้าไปดูแลให้การช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่าคนไทยรายดังกล่าวต้องการความช่วยเหลือใดบ้าง และให้ได้รับความยุติธรรมในการถูกดำเนินคดีให้มากที่สุด แต่โดยขณะนี้กระทรวงยังไม่ได้รับรายงานจากสถานทูตอย่างเป็นทางการในเรื่องนี้ และไม่ทราบว่า ถูกควบคุมตัวอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม ฝ่ายไทยยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา แบบเดียวกัน หากมีคนชาติอื่นถูกดำเนินคดีในประเทศไทย ก็ยังให้มีความหวัง ถือเป็นการให้เกียรติกระบวนการยุติธรรม

ระบุดูแลจนท.สถานทูต-คนไทยในกัมพูชาอย่างใกล้ชิด

นางสาววิมลกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลกัมพูชาขอให้นายคำรบ ปาลวัฒน์วิไชย เลขานุเอก ของสถานเอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ เดินทางกลับประเทศไทยภายใน 48 นั้น นั้น ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นมาตรการทางการทูต ซึ่งตนไม่สามารถวิเคราะห์เชื่อมโยงเหตุการณ์ว่า ด้วยเหตุใดที่กัมพูชาถึงตัดสินใจดำเนินการเช่นนั้น ส่วนมีมีความเหมาะสมหรือไม่ พวกเราก็คิดเอาเองแล้วกัน ซึ่งขณะนี้นายคำรบยังเดินทางกลับมาไม่ถึงประเทศไทย แต่ภายหลังที่นายคำรบกลับมาถึงประเทศไทยแล้ว คงมาทำงานที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นปกติ และทางผู้ใหญ่ของกระทรวงคงเชิญมาพูดคุยกัน ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติอยู่แล้ว

สำหรับการพิจารณามาตรการตอบโต้ของฝ่ายไทยที่มีต่อกัมพูชา นางสาววิมล กล่าวว่า นายกษิตได้ย้ำแนวทางปฏิบัติให้กระทรวงดำเนินการอย่างสุขุม รอบคอบ และคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนไทยกับกัมพูชา

“สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญและระมัดระวังในการดำเนินการอย่างยิ่ง ไม่ให้กระทบต่อประชาชน โดยขอย้ำว่า การปิดด่านไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ ประเทศไทยยังมีความหวังจะกลับคืนสู่ความสัมพันธ์สภาวะปกติ และอยากเห็นความร่วมมือในภูมิภาคที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น”นางสาววิมล กล่าว

นางสาววิมล กล่าวอีกว่า กระทรวงการต่างประเทศมีความเป็นห่วงในสวัสดิภาพของเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย ประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งได้มีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด และมีการประเมินสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ซึ่งก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจให้การคุ้มครอง ดูแลสถานทูตอย่างเข้มงวด อย่างไรก็ตาม ในส่วนคนไทยที่อยู่ในกัมพูชาก็ยังใช้ชีวิตเป็นไปตามปกติ โดยสถานทูตมีเครือข่ายติดต่อกับชุมชนไทยในกัมพูชา หากมีเหตุการณ์ก็สามารถดูแลได้ทั่วถึง แต่โดยขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องออกประกาศเตือนคนไทยในกัมพูชาแต่อย่างใด

กัมพูชาสวมกอดกับทักษิณ


ที่มา : New York Times

กรุงเทพฯ – นี่เป็นการยั่วโมโหมากที่สุดครั้งหนึ่งของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกขับออกจากตำแหน่งของไทยเมื่อสามปีที่แล้วทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเดินทางมาเยือนเพื่อนบ้านกัมพูชาสัปดาห์นี้ นี่เป็นการเพิ่มความตึงเครียดระหว่างสองประเทศและหล่อเลี้ยงจิตใจผู้สนับสนุนไปพร้อม ๆ กัน

ในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาทักษิณกล่าวหารัฐบาลไทยว่า “ปลุกกระแสคลั่งชาติ” ซึ่งจะทำให้ไม่ลงรอยกันไปในระยะยาวรวมถึงการเผชิญหน้ากันด้านการทหารกรณีปราสาทพระวิหารด้วย

แต่การยั่วโมโหรัฐบาลไทยของทักษิณครั้งนี้คำพูดนั้นเทียบไม่ได้กับภาพลักษณ์ที่แสดงออกมาในการเยือนกัมพูชาประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดบ้านเกิดซึ่งให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นและเดินทางไปรอบโลกไม่ว่าจะเป็นที่ลอนดอน ฮ่องกง นิการากัวจนถึงมอนเตเนโกร และมาปักหลักที่ดูไบ ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนยันว่าอยากกลับบ้าน ทักษิณถูกกล่าวหาจากรัฐบาลไทยและขอให้กัมพูชาส่งตัวให้เนื่องจากข้อหาทุจริตในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่

ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา ที่สิงคโปร์กล่าวว่าทักษิณเปิดแนวรุกครั้งใหม่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวเขาเลย “ผมอยากบอกว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณทำร้ายตนเองเรื่องใหม่”
“ผมคิดว่าทั้งคู่ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่เป็นการวางแผนและคิดคำนวณมาอย่างดีแล้ว” เขากล่าวเสริม อ้างถึงทักษิณและฮุนเซน ผู้ที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีของทักษิณ และใช้การเยือนของทักษิณเป็นประเด็นในเรื่องข้อพิพาทชายแดน

เมื่อวันพุธกัมพูชาปฏิเสธที่จะไม่ส่งตัวทักษิณในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนตามที่รัฐบาลไทยร้องขอมา

“ถ้าเขาแสดงต่อหน้าสาธารณะให้ทุกคนเห็นว่าอภิสิทธิ์ไม่สามารถรับมือกับวิกฤตและแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็จะเสมือนเป็นการตบหน้ารัฐบาล (ไทย) พร้อมทั้งจะเกิดคำถามในเรื่องความชอบธรรมในการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์” ปวินกล่าวในตอนท้าย

ทักษิณมาเยือนกัมพูชาครั้งนี้ทำให้การเผชิญหน้ากันระหว่างไทยกับกัมพูชาเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งได้มีข้อพิพาทกันมาตั้งแต่ปี ๒๐๐๘ เรื่องเขตแดนปราสาทพระวิหาร ซึ่งมีการปะทะกันระหว่างทหารทั้งสองประเทศจนเกิดการนองเลือดขึ้นหลายครั้งและยังคงตึงเครียดอยู่

ทางการทั้งสองประเทศเรียกฑูตกลับประเทศของตนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮุนเซนได้เชิญทักษิณมาเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของตนเองและรัฐบาล ขณะเดียวกันทางการไทยกล่าวว่าจะพิจารณาเรื่องข้อตกลงของทั้งสองประเทศเสียใหม่ในเรื่องผลประโยชน์ทางทะเล น้ำมันและก๊าซ

ในการปฏิเสธการขอตัวทักษิณตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่ทางการกัมพูชาตอบไทยนั้น รัฐบาลกัมพูชาใช้ “ตัวพิมพ์ใหญ่” ในการอธิบายเรื่องการที่ทักษิณถูกขับออกจากอำนาจ “เขาได้รับการเลือกตั้งที่ ล้นหลามและเป็นประชาธิปไตยโดยประชาชนคนไทย”

ฮุนเซนนั้นอาจจะมองไกลไปถึงเรื่องผลประโยชน์ระยะยาวในกรณีทักษิณในเรื่องที่ว่าเขาจะได้มาเป็นผู้นำของไทยอีกครั้งในอนาคต ปวินกล่าว

อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัติย์ของเขานั้นอ่อนแอลงทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างคาดการณ์ว่าไม่ว่าการเลือกตั้งครั้งใหนๆ ผู้สนับสนุนทักษิณก็จะชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง

ฮุนเซนต้อนรับทักษิณด้วยการโอบกอดและย้ำว่าตัวเขาและทักษิณเป็น “เพื่อนแท้” ซึ่งดูแล้วเป็นการกระแหนะกระแหนนายอภิสิทธิ์ผู้ซึ่งได้รับการลงคะแนนจากสภาฯ เพื่อดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ด้วยการหนุนหลังของทหารและไม่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนแต่อย่างใด ซึ่งเป็นผลพลอยได้ทางอ้อมหลังการทำรัฐประหารทักษิณให้ออกจากตำแหน่ง

“ถ้านายอภิสิทธิ์แน่จริงทำไมไม่ยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่?” ฮุนเซนถามเมื่อวันพฤหัสบดี “เขากลัวอะไร? ผมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชาซึ่งได้รับคะแนนถึงสองในสามของสภาฯ นายอภิสิทธิ์ได้รับเท่าไหร่? หรือเขาปล้นเอามาจากคนอื่น?”

ฮุนเซนในวัย ๕๘ และอภิสิทธิ์ในวัย ๔๔ ทั้งสองมาจากคนละโลกเลยก็ว่าได้ ฝ่ายแรกนั้นโตมาด้วยเท้าเปล่าเป็นเด็กวัด จับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ตอนเขมรแดง ส่วนอีกฝ่ายเป็นเด็กจากอีตันและอ็อกซ์ฟอร์ด เชี่ยวชาญภาษาอังกฤษและวิถีตะวันตก

ฮุนเซนไม่ได้แสดงท่าทีปกปิดว่าตนเองนั้นปรามาสเหยียดหยามนายอภิสิทธิ์เลย

“ปัญหาระหว่างประเทศไทยและกัมพูชานั้นจริง ๆ แล้วเป็นปัญหาของผมและ “คุณ” อภิสิทธิ์ นายกรัฐมนตรีของไทย” ฮุนเซนใช้คำนำหน้าว่าคุณซึ่งเป็นคำพูดที่ให้เกียรติกันในหมู่คนไทย “ก่อนที่ใครต่อใครจะพูดเรื่องนี้กัน ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่าผมทำงานด้านการเมืองมานานและตั้งแต่นายกรัฐมนตรีของไทยยังเป็นเด็กอยู่เลย”

หากทักษิณต้องการที่จะตีโต้รัฐบาลไทยและทำให้ตนเองตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ในเมืองไทย ดูเหมือนเขาจะประสบความสำเร็จ

“Rejected!” เขียนเป็นตัวหนังสือสีแดงตัวใหญ่หน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากที่กัมพูชาปฏิเสธการขอให้ส่งตัวทักษิณกลับเมืองไทย

หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับนำสำเนาหนังสือของรัฐบาลกัมพูชามาลงหน้าหนึ่งซึ่งประทับตราตัวใหญ่ว่า “แท้จริงอย่างที่สุด” (ABSOLUTE REALITIES) ซึ่งมีความหมายโดยนัยว่าทักษิณมีสิทธิ์อันชอบธรรมในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย

หนังสือพิมพ์ยังลงกำหนดการเดินทางในกัมพูชาของทักษิณในสองสามวันข้างหน้าว่าจะไปนครวัด และออกรอบตีกอล์ฟกับฮุนเซน รวมถึงการพบปะผู้สนับสนุนตัวเขาที่นั่งรถบัสมาจากประเทศไทย

ทักษิณผู้ซึ่งลึกลับและชาญฉลาดใด้ระบุเอาไว้ท้ายสุดของกำหนดการนั้นว่า “หลังจากนั้นจะเดินทางออกจากกัมพูชา โดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง”

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รวมวาทะเด็ด จากสมเด็จฯฮุนเซน



กลายเป็นมวยถูกคู่ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ระหว่างเด็กดื้อ ศิษย์หลายเสา กับฮุนเซน พระวิหารยิม เมื่อฝ่ายแรกเปิดฉากรัวหมัดใส่อย่างไม่ยั้ง ราวกับว่าโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางไหน

แต่พอฝ่ายหลังตั้งหลักได้ เท่านั้นแหละมาร์คเอ๊ย เรียกว่าเห็นดาว เห็นเดือน เห็นตะวันกันเลยทีเดียว ไม่เชื่อก็ตามมาดูบทสัมภาษณ์ เฉพาะเนื้อๆเน้นๆ ที่คัดจากมติชนออนไลน์ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ก็แล้วกัน

"ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลไทยมาหาเรื่องกัมพูชา"

"เรื่องที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชานี้ เป็นปัญหาระหว่างผมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยในปัจจุบันโดยแท้
..ก่อนที่จะพูดขอให้ศึกษาหาความรู้ให้มากกว่านี้เพราะตอนที่ผมเริ่มทำงานการเมืองนั้นนายกรัฐมนตรีไทยยังเป็นเพียงเด็กวิ่งเล่นอยู่เลย"

"อยากปิดก็ขอให้ปิดไปเลย..เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย
..สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียว จะไม่ให้ข้ามเข้ามา"

"เรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาเป็นที่ปรึกษานั้น ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ มาหาเรื่องกัมพูชา
.. ผมจะบอกให้ว่า จริงๆแล้วปฏิกิริยาของคนไทยที่แท้จริงเป็นอย่างไร คือพวกเสื้อแดงสนับสนุนการแต่งตั้ง พวกเสื้อเหลืองโกรธและประท้วงคัดค้าน และยังมีกลุ่มที่สบายใจโดยอยู่เฉยๆ เงียบๆ อีกด้วยต่างหาก"

"หากทักษิณมาพำนักอยู่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไทยจะกลัวอะไรกันนักกันหนา ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกา ล่าสุด ก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา"

"อยากรู้นักว่าใครเป็นเบี้ยของใครกันแน่ อภิสิทธิ์ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย"

"สมัยนครวัดนั้นประเทศไทยอยู่ที่ไหนกัน อ้างว่ากัมพูชามายึดครองบุกรุกดินแดนไทยนั้น กัมพูชาจะไปยึดดินแดนไทยได้อย่างไร ศึกษาประวัติศาสตร์เสียให้ดีว่า ใครรุกรานใครกันแน่"

"ผมจึงถือโอกาสนี้ร้องขอให้พี่น้องเสื้อแดงและ พรรคเพื่อไทยเสียสละอนุญาตให้ผมนำท่านทักษิณ มาช่วยกัมพูชาในเรื่องเศรษฐกิจบ้างด้วยแล้วกัน"

"ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549"

"ถ้าอภิสิทธิ์เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง"

"ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว ท่านอภิสิทธิ์ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของของคนอื่น มาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร"

"อภิสิทธิ์มีปัญหาท่วมตัวอยู่แล้ว อาจตายได้..ทักษิณเป็นเพื่อนของผม เพื่อนไม่สามารถหักหลังเพื่อนได้ ไม่สามารถโยนเพื่อนให้เสือกินได้หรอก"

"อยากฉีกอะไรทิ้งก็ฉีกไปเลย อยากปิดอะไรก็ปิดไปเถิด เพราะถ้าเปิดคงจะไม่สะดวกแล้ว เห็นทีต้องถอนกำลังทหาร 911 (หน่วยรบพิเศษ) ของกัมพูชาออกภายในหนึ่งสัปดาห์ดีกว่า เพราะว่าใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยก็พอ (ที่จะสู้กับไทย) แล้ว"

"รองนายกรัฐมนตรีสุเทพของไทยได้ขอ ว่า ให้ช่วยจับทักษิณส่งตัวไปประเทศไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้หรอก ถ้าผมทำเช่นนั้นก็ถือเป็น กบฏต่อมิตร"

"ขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น"

"ไทยก็ยังสนับสนุนให้เขมรแดงทำการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย แล้วให้พวกเขมรแดงไปอยู่ประเทศไทย ไทยให้อยู่ในดินแดนไทยได้อย่างไร เรายังไม่ทำเช่นนั้นเลย ถ้าทักษิณตั้งกองกำลังอยู่ในดินแดนกัมพูชาจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ
..ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย จะให้เราเคารพกฎหมายไทยได้อย่างไร"

"..ลงนามด้วยมือ ลบด้วยเท้า ขอยกเลิกการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
.. ยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เกี่ยวกับกัมพูชา แต่เป็นเรื่องระหว่างไทยกับยูเนสโก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง จริตที่แท้จริงของนายกรัฐมนตรีไทย และเป็นเสมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามว่า กัมพูชาโง่อย่างแท้จริง"

"ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน เป็นเครื่องมือในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับอดีตรัฐมนตรี นพดล"

------------------

เป็นไงบ้าง ท่านผู้ชม อ่านแล้วต้องยอมรับว่า โดนทุกดอก เข้าทุกเม็ด อย่างกับเข้ามาพูดอยู่ในหัวใจคนไทย ยังไงยังงั้น คนที่พูดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าไม่บอก ใครจะไปรู้ ว่าไม่ใช่ตู่ จตุพร พรหมพันธุ์

เพราะว่าข้อมูลของน้าฮุนฯแกแน่นปึ้กระดับที่ ถ้าบอกว่าบ้านแกไม่ได้ติดดีสเตชั่น คงไม่มีใครเชื่อ

งานนี้ ถ้าจะบอกว่ามาร์คเสียหมา ก็คงไม่ผิดจากความจริงไปซักเท่าไหร่ เพราะประมาทคู่ต่อสู้แท้ๆ เลยเจอสวนเข้าไปจังๆ เล่นเอามาร์คถึงกับ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก จากมวยได้ใจ ระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ กลับมายืนพิงเชือก เป่าลมออกจากปากเหมือนหมาหอบแดด หน้าอูมๆเหลืออยู่ไมถึง 2 นิ้ว

ขนาดนี้เราว่าฮาแล้ว แต่น้าฮุนฯแกบอกว่า ยังฮาได้อีก ขอแค่มาร์คเปิดเกมงามๆมาเรื่อยๆ รับรองได้ว่า น้าฮุนฯจะไม่ทำให้หลานมาร์คต้องผิดหวัง เป็นอันขาด

เจอลูกหลงไปเต็มๆ แต่ยังเก็บอาการอยู่ คือบักป๊อกหน้ามึนของเรา เมื่อน้าฮุนฯแกบลั๊ฟมาว่า "ใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยๆก็พอสู้กับทหารไทยแล้ว" นี่ไม่ใช่แค่หยาม แต่มันเหยียบหน้ากันชัดๆ

แต่ไม่เป็นไร เพราะทหารไทยไม่ถนัดสู้กับคนมีปืน

เวรกรรม ตอนแรกก็นึกว่า เขมรถอนทหารไปบางส่วน เพราะไม่กล้าเผชิญหน้ากับทหารไทย ที่ไหนได้ กลายเป็นว่ามันมากเกินไป กลัวจะเหยียบกันตาย ตอนไล่ปล้ำทหารตุ๊ด..อะไรจะขนาดนั้น

นี่ถ้าผมเป็นผบ.ทบ. ผมลาออกไปแล้ว

เห็นเพื่อนเขาช่วยเหลือกันในยามยากแล้ว บอกตรงๆว่า "กูอายแทนมึงว่ะ ป๊อก!"

ฮุนเซนกับทักษิณจะคบหากันมา ซักกี่ปีกันเชียว แต่พอทักษิณมาเจอเสือ เพื่อนคนนี้กลับออกหน้า ไม่ยอมให้มันมากัดเพื่อนเป็นอันขาด ผิดกันอย่างลิบลับ กับเพื่อนเก่าเล่ายี่ห้อ ตั้งแต่เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร...

พอจวนตัวเข้า มันโยนเพื่อนให้เสือกิน

วโรทาห์:

“เสื้อแดง”ครึ่งร้อยผ่านด่านช่องสะงำ พบ”ทักษิณ”ให้กำลังใจที่เสียมราฐ


มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนว่า ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางโดยรถทัวร์จาก จ.นครราชสีมา เข้าไปพบและให้กำลังใจแก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยทำหนังสือผ่านแดนข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมล้วนเป็นแกนนำกลุ่มในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงจำนวน 45 คน ยื่นหนังสือเพื่อที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยม ให้กำลังใจ และพบกับอดีตนายกทักษิณที่จังหวัดเสียมเรียบในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ จ.เสียมราฐ
นางปารดา ฉิ่งอินทร์ นักจัดรายการสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ที่ต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเดินทางมาใกล้บ้านเรา แต่ประเทศไทยเราต้อนรับไม่ได้ เลยต้องเดินทางไปเสียมราฐแทน “ทั้งนี้ อยากบอกว่า เรารักท่าน อยากให้ท่านกลับประเทศไทย เพราะการบริหารขณะนี้ทำให้ประเทศไทยล่มสลาย”

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศาลรธน. ชี้ รัฐบาลมาร์ค ม. 7 ไม่มีสิทธิ์ยกเลิกเอ็มโอยูกับเขมร

ข่าวสด : เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีครม.มีมติให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจประเทศไทยและกัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อนว่า ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะไปยกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ เพราะปกติการทำร่างสัญญาเพื่อประโยชน์ใดๆ จะต้องมีการตกลงเงื่อนไขกันว่า ถ้าอีกฝ่ายทำผิดเงื่อนไขที่ตกลงกัน อีกฝ่ายจึงจะสามารถยกเลิกได้ ดังนั้นการที่รัฐบาลดำเนินการในตอนนี้เหมือนเป็นการยกเลิกฝ่ายเดียว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการตั้งข้องสังเกตว่าหนังสือบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จะเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และจะให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดได้หรือไม่นั้น กรณีที่เกิดขึ้นไม่มีความขัดแย้งในข้อกฎหมาย จึงไม่น่าเป็นเหตุที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาสู่ศาลได้

เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลจะขอหารือและขอคำปรึกษาจากศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า เราไม่ใช่ที่ปรึกษาของใคร คงไม่รับตีความให้ใครพร่ำเพรื่อ อีกทั้งการตีความต้องมีขั้นตอน

ก้าวย่างอันยิ่งใหญ่ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์

รถยนต์ตรวจการณ์สีขาว เปิดไฟวับวาบบนหลังคา แล่นนำหน้านกเหล็กสีเงิน อ้อยอิ่งมาตามลานสนามบินอย่างสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสายตาฝูงชน ที่เฝ้ามองผ่านสื่ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยภารกิจที่ไม่ธรรมดา ทำให้ยานบินส่วนตัวลำกระทัดรัด ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นภารกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตราบนานเท่านาน

ประตูเปิดออกเมื่อยานจอดสนิท พลันร่างของบุรุษหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอย่างโดดเด่น ภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า สวมทับด้วยชุดสูทสีดำ แต่งแต้มด้วยเน็คไทด์ลายดอกสีแดง ท่วงท่าทระนงองอาจ ราวกับพญาราชสีห์ ที่เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ

นั่นคือการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์ ผู้เรืองนามขจรขจายไปทั้งสิบทิศว่า ทักษิณ ชินวัตร

ค้อมร่างลงเล็กน้อย สองมือยกขึ้นจบกันอย่างนอบน้อม สองเท้าก้าวเข้าหาแขกเหรื่อที่มารอต้อนรับอย่างสมเกียรติ ท่วงทีกริยาสุภาพเรียบร้อย ดูไปไม่ผิดกับเสือซ่อนเล็บ ราศีผู้นำเจิดจ้าเกินกว่าที่จะเรียกว่านักโทษ ซึ่งเป็นสมญาที่หมู่มารพยายามจะยัดเยียดให้เป็น

โดยไม่ยอมรับรู้ความจริงที่ว่า แม้จะเป็นนักโทษของอำมาตย์ แต่เขาคือพระเอกที่ครองใจประชาชน

ในรถลีมูซีนสีดำคันโก้ ขนาบหน้าหลังด้วยรถคุ้มกันที่ไว้ใจได้ ปิดท้ายด้วยรถติดตามอีกยาวเหยียด นั่นคือขบวนเกียรติยศที่จะนำแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ ไปส่งยังบ้านพักรับรอง ที่จัดไว้เป็นพิเศษ ภายใต้การอารักขาอย่างเข้มแข็ง ที่ไม่มีช่องว่างให้แก่ความผิดพลาด แม้เพียงเท่ารูเข็ม

วินาทีนั้น หากมีแมลงวันสักตัว บินโฉบเข้ามาในรัศมีทำการ ร่างของมันคงต้องแหลกลาญ สลายลงในพริบตา

คฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร ยังดูด้อยไปถนัด เมื่อต้องทำหน้าที่ต้อนรับ อาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ ที่เป็นยิ่งกว่าแขกพิเศษของรัฐบาล จนแม้แต่ท่านผู้นำแห่งกำปูเจีย ยังต้องให้เกียรติอย่างสูง ด้วยการนำพาครอบครัวอันอุ่น เข้ามาต้อนรับถึงที่พำนัก อันเป็นความรู้สึกที่ คนผู้ไม่มีครอบครัวไม่อาจสัมผัสได้

มหาบุรุษต่างอาณาจักร โผเข้าสวมกอดกัน ราวกับพี่น้องที่เหินห่างกันไปนาน ต่างแลกเปลี่ยนความอบอุ่นให้แก่กันและกัน อันเป็นสัญญาณว่าอาณาจักรทั้งสอง จะปรองดองเป็นหนึ่งเดียวไปชั่วนิรันดร์

เพื่อนก็คือเพื่อน เพียงแค่ได้พบกันก็สุขใจเกินพอแล้ว ไม่มีพิธีรีตองให้รุ่มร่าม ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือให้ยุ่งยาก นอกจากสองมือที่อบอุ่น กับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ถ้าจะประเมินค่าของฝากที่บรรจุมาในสมองแล้ว มันยิ่งกว่าเศียรเทวรูป ที่เคยมีโจรนำมาจิ้มก้อง ชนิดเทียบกันไม่ติด

เมื่อสองมหาบุรษมาประสานกัน อุปสรรคขนาดไหนถึงจะขวางกั้นได้ การนำพาประชาราษฎร์ โต้คลื่นไปบนกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ นับเป็นความท้าทายสำหรับผู้มองการณ์ไกล แต่เป็นความเสียวสยองของระบอบโบราณ ที่เกาะกินประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

ในขณะที่อาณาจักรโบราณอย่างกำปูเจีย กำลังจะก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่อาณาจักรที่ก้าวหน้าอย่างสยามประเทศ กลับถูกฉุดรั้งให้ถอยกลับไปในสมัยโบราณ โดยเครือข่ายอำมาตย์อันล้าหลัง ที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยประชาชนหัวก้าวหน้า

ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น มันคือความขมขื่นของปวงชนชาวไทย ที่ไม่อาจรักษาบุคคลากรอันล้ำค่าไว้ ให้อยู่ช่วยสร้างบ้านแปลงเมือง

น้ำตานั้นเอ่อท้นจนพาลจะไหลออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นแก้วมณีที่เคยครอง ต้องตกไปอยู่ในมือของเพื่อนบ้าน ที่เขาเล็งเห็นคุณค่า จนนำขึ้นประดับคอออกเดินเฉิดฉาย โดยเจ้าของที่แท้จริงได้แต่แอบมองด้วยความอิจฉา ที่ไม่อาจรักษาดวงแก้ว ที่โจรครองเมือง มันบีบบังคับให้ทำลายทิ้ง

เมื่อบุญมา แต่วาสนายังไม่ถึง จึงทำได้แค่ลิ้มรสความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นอกเหนือกว่านั้น คงต้องฝากประชาชนชาวเขมร ให้ช่วยดูแลรักษาไว้ให้จงดี ระหว่างนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ก็ไม่ว่ากัน เพียงขอให้ส่งคืนในสภาพเดิม หลังจากที่ชาวไทยเผด็จศึกอำมาตย์แล้ว

เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง สว่างไสวไปทุกหย่อมหญ้า วิสัยทัศน์ของประชาชน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า มองทะลุไปถึงก้นบึ้งแห่งมนต์ดำ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีใครลังเลที่จะบุกบั่นไปทวงสิทธิ์ เพื่อชีวิตข้างหน้าที่ดีกว่า แม้ภูเขาจะขวางหน้า แม้ขอบฟ้าจะขวางกั้น ประชาชนจะฟันฝ่า เพื่อตามหาศิลามณี

ในเมื่อเจ้าของก็สุดจะหวงแหน และมณีล้ำค่าก็ผูกพันกับเจ้าของ มีหรือที่ทั้งคู่จะไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกัน ในที่สุด

แม้ว่าวันนี้จะยังดูมืดมน แต่ในเมื่อข้างหน้ายังเห็นแสงสว่าง ย่อมแสดงว่าความหวังยังรออยู่ แม้จะอ่อนล้าเพียงใด แต่ถ้าใจยังไม่สิ้นหวัง สังขารคงต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงฝั่งจนได้ ถ้าอัดอั้นตันใจนัก ก็แค่ร้องในใจให้ดังๆว่า...

เมื่อฟ้าส่งเขามา ซับน้ำตาให้ปวงชน ใยนรกต้องส่งจอมมาร มาตามล่าล้างผลาญเล่า

วโรทาห์: