--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“เสื้อแดง”ครึ่งร้อยผ่านด่านช่องสะงำ พบ”ทักษิณ”ให้กำลังใจที่เสียมราฐ


มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนว่า ได้มีกลุ่มคนเสื้อแดง เดินทางโดยรถทัวร์จาก จ.นครราชสีมา เข้าไปพบและให้กำลังใจแก่อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยทำหนังสือผ่านแดนข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ โดยผู้ที่เดินทางไปเยี่ยมล้วนเป็นแกนนำกลุ่มในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดใกล้เคียงจำนวน 45 คน ยื่นหนังสือเพื่อที่จะเดินทางเข้าไปเยี่ยม ให้กำลังใจ และพบกับอดีตนายกทักษิณที่จังหวัดเสียมเรียบในวันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ จ.เสียมราฐ
นางปารดา ฉิ่งอินทร์ นักจัดรายการสถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดง จ.นครราชสีมา กล่าวว่า ที่ต้องเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเดินทางมาใกล้บ้านเรา แต่ประเทศไทยเราต้อนรับไม่ได้ เลยต้องเดินทางไปเสียมราฐแทน “ทั้งนี้ อยากบอกว่า เรารักท่าน อยากให้ท่านกลับประเทศไทย เพราะการบริหารขณะนี้ทำให้ประเทศไทยล่มสลาย”

วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศาลรธน. ชี้ รัฐบาลมาร์ค ม. 7 ไม่มีสิทธิ์ยกเลิกเอ็มโอยูกับเขมร

ข่าวสด : เมื่อวันที่ 11 พ.ย. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีครม.มีมติให้ยกเลิกบันทึกความเข้าใจประเทศไทยและกัมพูชา เรื่องพื้นที่ทับซ้อนว่า ส่วนตัวเห็นว่ารัฐบาลไม่มีสิทธิที่จะไปยกเลิกสัญญาหรือข้อตกลงใดๆ เพราะปกติการทำร่างสัญญาเพื่อประโยชน์ใดๆ จะต้องมีการตกลงเงื่อนไขกันว่า ถ้าอีกฝ่ายทำผิดเงื่อนไขที่ตกลงกัน อีกฝ่ายจึงจะสามารถยกเลิกได้ ดังนั้นการที่รัฐบาลดำเนินการในตอนนี้เหมือนเป็นการยกเลิกฝ่ายเดียว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการตั้งข้องสังเกตว่าหนังสือบันทึกความเข้าใจดังกล่าวจะถือเป็นสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่จะเข้าข่ายรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ที่จะต้องผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ และจะให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดได้หรือไม่นั้น กรณีที่เกิดขึ้นไม่มีความขัดแย้งในข้อกฎหมาย จึงไม่น่าเป็นเหตุที่จะนำเรื่องดังกล่าวมาสู่ศาลได้

เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลจะขอหารือและขอคำปรึกษาจากศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ได้หรือไม่ นายวสันต์ กล่าวว่า เราไม่ใช่ที่ปรึกษาของใคร คงไม่รับตีความให้ใครพร่ำเพรื่อ อีกทั้งการตีความต้องมีขั้นตอน

ก้าวย่างอันยิ่งใหญ่ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์

รถยนต์ตรวจการณ์สีขาว เปิดไฟวับวาบบนหลังคา แล่นนำหน้านกเหล็กสีเงิน อ้อยอิ่งมาตามลานสนามบินอย่างสง่าผ่าเผย ท่ามกลางสายตาฝูงชน ที่เฝ้ามองผ่านสื่ออย่างใจจดใจจ่อ ด้วยภารกิจที่ไม่ธรรมดา ทำให้ยานบินส่วนตัวลำกระทัดรัด ดูยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ

เพราะมันทำหน้าที่สำคัญอย่างยิ่งยวด เป็นภารกิจที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ตราบนานเท่านาน

ประตูเปิดออกเมื่อยานจอดสนิท พลันร่างของบุรุษหนึ่งก็ปรากฎขึ้นอย่างโดดเด่น ภายใต้เสื้อเชิ๊ตสีฟ้า สวมทับด้วยชุดสูทสีดำ แต่งแต้มด้วยเน็คไทด์ลายดอกสีแดง ท่วงท่าทระนงองอาจ ราวกับพญาราชสีห์ ที่เกิดมาเพื่อยิ่งใหญ่โดยธรรมชาติ

นั่นคือการปรากฎตัวอย่างเป็นทางการ ของจอมคนแห่งอุษาคเนย์ ผู้เรืองนามขจรขจายไปทั้งสิบทิศว่า ทักษิณ ชินวัตร

ค้อมร่างลงเล็กน้อย สองมือยกขึ้นจบกันอย่างนอบน้อม สองเท้าก้าวเข้าหาแขกเหรื่อที่มารอต้อนรับอย่างสมเกียรติ ท่วงทีกริยาสุภาพเรียบร้อย ดูไปไม่ผิดกับเสือซ่อนเล็บ ราศีผู้นำเจิดจ้าเกินกว่าที่จะเรียกว่านักโทษ ซึ่งเป็นสมญาที่หมู่มารพยายามจะยัดเยียดให้เป็น

โดยไม่ยอมรับรู้ความจริงที่ว่า แม้จะเป็นนักโทษของอำมาตย์ แต่เขาคือพระเอกที่ครองใจประชาชน

ในรถลีมูซีนสีดำคันโก้ ขนาบหน้าหลังด้วยรถคุ้มกันที่ไว้ใจได้ ปิดท้ายด้วยรถติดตามอีกยาวเหยียด นั่นคือขบวนเกียรติยศที่จะนำแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ ไปส่งยังบ้านพักรับรอง ที่จัดไว้เป็นพิเศษ ภายใต้การอารักขาอย่างเข้มแข็ง ที่ไม่มีช่องว่างให้แก่ความผิดพลาด แม้เพียงเท่ารูเข็ม

วินาทีนั้น หากมีแมลงวันสักตัว บินโฉบเข้ามาในรัศมีทำการ ร่างของมันคงต้องแหลกลาญ สลายลงในพริบตา

คฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬาร ยังดูด้อยไปถนัด เมื่อต้องทำหน้าที่ต้อนรับ อาคันตุกะผู้ยิ่งใหญ่ ที่เป็นยิ่งกว่าแขกพิเศษของรัฐบาล จนแม้แต่ท่านผู้นำแห่งกำปูเจีย ยังต้องให้เกียรติอย่างสูง ด้วยการนำพาครอบครัวอันอุ่น เข้ามาต้อนรับถึงที่พำนัก อันเป็นความรู้สึกที่ คนผู้ไม่มีครอบครัวไม่อาจสัมผัสได้

มหาบุรุษต่างอาณาจักร โผเข้าสวมกอดกัน ราวกับพี่น้องที่เหินห่างกันไปนาน ต่างแลกเปลี่ยนความอบอุ่นให้แก่กันและกัน อันเป็นสัญญาณว่าอาณาจักรทั้งสอง จะปรองดองเป็นหนึ่งเดียวไปชั่วนิรันดร์

เพื่อนก็คือเพื่อน เพียงแค่ได้พบกันก็สุขใจเกินพอแล้ว ไม่มีพิธีรีตองให้รุ่มร่าม ไม่มีของฝากติดไม้ติดมือให้ยุ่งยาก นอกจากสองมือที่อบอุ่น กับหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยมิตรไมตรี ถ้าจะประเมินค่าของฝากที่บรรจุมาในสมองแล้ว มันยิ่งกว่าเศียรเทวรูป ที่เคยมีโจรนำมาจิ้มก้อง ชนิดเทียบกันไม่ติด

เมื่อสองมหาบุรษมาประสานกัน อุปสรรคขนาดไหนถึงจะขวางกั้นได้ การนำพาประชาราษฎร์ โต้คลื่นไปบนกระแสแห่งโลกาภิวัฒน์ นับเป็นความท้าทายสำหรับผู้มองการณ์ไกล แต่เป็นความเสียวสยองของระบอบโบราณ ที่เกาะกินประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

ในขณะที่อาณาจักรโบราณอย่างกำปูเจีย กำลังจะก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น แต่อาณาจักรที่ก้าวหน้าอย่างสยามประเทศ กลับถูกฉุดรั้งให้ถอยกลับไปในสมัยโบราณ โดยเครือข่ายอำมาตย์อันล้าหลัง ที่ไม่สามารถดำรงชีพอยู่ได้ ภายใต้สภาวะแวดล้อม ที่เต็มไปด้วยประชาชนหัวก้าวหน้า

ท่ามกลางบรรยากาศอันชื่นมื่น มันคือความขมขื่นของปวงชนชาวไทย ที่ไม่อาจรักษาบุคคลากรอันล้ำค่าไว้ ให้อยู่ช่วยสร้างบ้านแปลงเมือง

น้ำตานั้นเอ่อท้นจนพาลจะไหลออกมานอกเบ้า เมื่อเห็นแก้วมณีที่เคยครอง ต้องตกไปอยู่ในมือของเพื่อนบ้าน ที่เขาเล็งเห็นคุณค่า จนนำขึ้นประดับคอออกเดินเฉิดฉาย โดยเจ้าของที่แท้จริงได้แต่แอบมองด้วยความอิจฉา ที่ไม่อาจรักษาดวงแก้ว ที่โจรครองเมือง มันบีบบังคับให้ทำลายทิ้ง

เมื่อบุญมา แต่วาสนายังไม่ถึง จึงทำได้แค่ลิ้มรสความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว นอกเหนือกว่านั้น คงต้องฝากประชาชนชาวเขมร ให้ช่วยดูแลรักษาไว้ให้จงดี ระหว่างนี้จะนำไปใช้ประโยชน์ก็ไม่ว่ากัน เพียงขอให้ส่งคืนในสภาพเดิม หลังจากที่ชาวไทยเผด็จศึกอำมาตย์แล้ว

เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่อง สว่างไสวไปทุกหย่อมหญ้า วิสัยทัศน์ของประชาชน ก็เปล่งประกายเจิดจ้า มองทะลุไปถึงก้นบึ้งแห่งมนต์ดำ มาถึงขั้นนี้แล้ว คงไม่มีใครลังเลที่จะบุกบั่นไปทวงสิทธิ์ เพื่อชีวิตข้างหน้าที่ดีกว่า แม้ภูเขาจะขวางหน้า แม้ขอบฟ้าจะขวางกั้น ประชาชนจะฟันฝ่า เพื่อตามหาศิลามณี

ในเมื่อเจ้าของก็สุดจะหวงแหน และมณีล้ำค่าก็ผูกพันกับเจ้าของ มีหรือที่ทั้งคู่จะไม่ได้กลับมาอยู่ร่วมกัน ในที่สุด

แม้ว่าวันนี้จะยังดูมืดมน แต่ในเมื่อข้างหน้ายังเห็นแสงสว่าง ย่อมแสดงว่าความหวังยังรออยู่ แม้จะอ่อนล้าเพียงใด แต่ถ้าใจยังไม่สิ้นหวัง สังขารคงต้องตะเกียกตะกายไปให้ถึงฝั่งจนได้ ถ้าอัดอั้นตันใจนัก ก็แค่ร้องในใจให้ดังๆว่า...

เมื่อฟ้าส่งเขามา ซับน้ำตาให้ปวงชน ใยนรกต้องส่งจอมมาร มาตามล่าล้างผลาญเล่า

วโรทาห์:

อ่านเต็มๆ คำสัมภาษณ์ของฮุนเซน และการตอบโต้จากกระทรวงการต่างประเทศของไทย


ที่มา:ประชาไท

ฮุน เซน ประกาศกร้าว “นี่คือปัญหาระหว่างผมกับอภิสิทธิ์” วิพากษ์นายกฯ ไทยตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเองและทำอะไรไม่คิดถึงประโยชน์ชาติ ขู่หากไทยปิดพรมแดน กัมพูชาจะปิดการค้ากับไทย แม้แต่หมูตัวเดียวก็จะไม่ให้เข้าไปขาย ด้านเลขานุการรมต.ต่างประเทศของไทยโต้คำสัมภาษณ์ฮุนเซนถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในอีกครั้ง

สรุปเนื้อหาสำคัญในเบื้องต้นของการให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวของนายกรัฐมนตรี กัมพูชา ที่ห้องรับรองพิเศษท่าอากาศยานนานาชาติกรุงพนมเปญ ภายหลังจากเดินทางกลับถึงกัมพูชา เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 เวลา 16.15 น.


“หากไทยสั่งปิดพรมแดนเมื่อใดก็อย่าห้ามเฉพาะคนที่ประสงค์จะข้ามแดน เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียวก็จะไม่ให้ข้ามเข้ามา”

เรื่องที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชานี้เป็นปัญหาระหว่างผมกับนาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีไทยในปัจจุบันโดยแท้ ก่อนที่จะพูดขอให้ศึกษาหาความรู้ให้มากกว่านี้เพราะตอนที่ผมเริ่มทำงานการ เมืองนั้นนายกรัฐมนตรีไทยยังเป็นเพียงเด็กวิ่งเล่นอยู่เลย

ตามที่ฝ่ายไทยออกข่าวว่าจะกดดันกัมพูชาด้วยการปิดพรมแดนนั้น “อยากปิดก็ขอให้ปิดไปเลยกัมพูชาก็จะ “เดินตามหลังประเทศไทย” (ทำตามประเทศไทยเพื่อโต้ตอบ) หากไทยสั่งปิดพรมแดนเมื่อใดก็อย่าห้ามเฉพาะคนที่ประสงค์จะข้ามแดน เพราะกัมพูชาก็จะปิดเช่นกันและปิดทางด้านเศรษฐกิจด้วย สั่งห้ามสินค้าไทยทั้งหมดข้ามแดนเข้ามายังตลาดกัมพูชา แม้แต่หมูเพียงตัวเดียวก็จะไม่ให้ข้ามเข้ามา สินค้าต่างๆ ทั้งหลายของไทย กัมพูชาสามารถนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้ทั้งหมด ขอยกข้อมูลการค้าไทย-กัมพูชา ปี ค.ศ. 2008 มาเป็นตัวอย่าง ไทยส่งสินค้ามาขายกัมพูชา ประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่กัมพูชาส่งออกไปไทยแค่ 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่อย่างไรก็ดี ก็ขอเห็นด้วยกับการที่นายกรัฐมนตรีไทยได้บอกว่ามาตรการต่าง ๆ จะมิให้มีผลกระทบต่อประชาชนสองประเทศเพราะผมเองก็ไม่อยากกระทำเช่นนั้น [ปิดด่านให้เกิดผลกระทบ] ไม่สอดคล้องกับแนวทางความร่วมมือต่อกันตามกรอบอาเซียน ผมไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ผู้นำฝ่ายไทยก็ขู่ผมเสียเหลือเกิน ผมจึงขอสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่กัมพูชาทั้งหมดว่าเรื่องนี้ [การปิดด่านตอบโต้ไทยและระงับการนำเข้าสินค้าของไทย] ให้เตรียมการไว้ได้เลย


“ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกาล่าสุดก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา”

เรื่องการแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีไทยมาเป็นที่ปรึกษานั้น ผมขอประกาศชัดๆ ให้คนไทยรู้ว่าเรื่องนี้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ มาหาเรื่องกัมพูชา เรื่องนี้ขอให้คิดดีๆ ว่าฮุนเซน หรือ อภิสิทธิ์ผิด และผมจะไม่มีวันถอยอยู่แล้ว กัมพูชาเคยแต่งตั้งที่ปรึกษาชาวต่างประเทศมาหลายคนแล้ว ทั้งชาวเกาหลีและชาวออสเตรเลีย หากทักษิณมาพำนัก อยู่ในกัมพูชา นายกรัฐมนตรีไทยจะกลัวอะไรกันนักกันหนา ทักษิณไปมาแล้วทั่วโลกไม่เห็นทำอะไร ไปศรีลังกาล่าสุดก็ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย แต่พอบอกว่าจะมากัมพูชาก็หาเรื่องกัมพูชา ผมได้อธิบายเรื่องนี้ตั้งแต่การประชุมที่หัวหินเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 แล้ว ผมอดทนอดกลั้นเงียบมาตลอด แต่นายกรัฐมนตรีไทยและประเทศไทยต่อว่าต่อขานผมอยู่ข้างเดียวเรื่องการยกเลิก บันทึกความเข้าใจ (MOU) [ว่าด้วย OCA] นี่ก็เป็นนายอภิสิทธิ์นี่หล่ะ ที่เอาผลประโยชน์ร่วมของประเทศทั้งสองฝ่ายมาทำให้เกิดความเสียหาย

เรื่องแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่อภิสิทธิ์อ้างว่าอยู่เฉยไม่ได้เพราะดูหมิ่นศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของ ไทย ผมจะบอกให้ว่าจริงๆ แล้วปฏิกิริยาของคนไทยที่แท้จริงเป็นอย่างไร คือพวกเสื้อแดงสนับสนุนการแต่งตั้ง พวกเสื้อเหลืองโกรธและประท้วงคัดค้าน และยังมีกลุ่มที่สบายใจโดยอยู่เฉยๆ เงียบๆ อีกด้วยต่างหาก พวกนี้เขารู้ว่า รัฐบาลฮุนเซน เป็นรัฐบาลที่ดี และสมัยทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีก็ทำให้เขาสบายใจ มีเงินใช้ ยิ่งนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ฯ ดำเนินการกดดันเราแรงแค่ไหนก็จะได้รับผลสะท้อนกลับไปแรงเท่านั้น


“อภิสิทธิ์ ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย”

การที่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เตือนให้นายกรัฐมนตรีฮุนเซนอย่าเป็นเบี้ยในหมากเกม ของทักษิณนั้น เราไม่ได้เป็นเครื่องมือของใคร อยากรู้นักว่าใครเป็นเบี้ยของใครกันแน่ อภิสิทธิ์ตกเป็นเครื่องมือของทักษิณเอง เพราะเมื่อทักษิณเปิดตัวเข้ามา อภิสิทธิ์ก็กระโดดออกมาตอบโต้โดยไม่คิดอะไรเลยและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของ ชาติเลย แถลงมาจากโตเกียวเรื่องการยกเลิก MOU ก็ ขอให้คนไทยคิดดูเอาเองก็แล้วกันว่าสมบัติของรัฐ แต่กลับยกเอาเรื่องส่วนตัวมาเป็นเหตุเลิกความร่วมมือ คนไทยยอมรับได้ไหม คนอย่างนี้จะเอามาเป็นผู้นำอาเซียนได้ไหม เพราะว่าในปี ค.ศ. 2015 อาเซียนจะร่วมกันหลายด้าน เปิดพรมแดนให้เดินทางไปมาหาสู่ร่วมกัน ใช้เงินสกุลเดียวกัน แต่ไทยเองกลับมารุกรานกัมพูชากันอยู่เห็นๆ ยกกำลังเข้ามายึดดินแดนกัมพูชาสมัยนครวัดนั้นประเทศไทยอยู่ที่ไหนกัน อ้างว่า กัมพูชามายึดครองบุกรุกดินแดนไทยนั้น กัมพูชาจะไปยึดดินแดนไทยได้อย่างไร ศึกษาประวัติศาสตร์เสียให้ดีว่าใครรุกรานใครกันแน่

ทักษิณไม่ได้เป็นเครื่องมือให้เราแต่ผมต้องการเอาประสบการณ์ของ “ท่านทักษิณ” มาช่วยงานด้านเศรษฐกิจของกัมพูชา ผมจึงถือโอกาสนี้ร้องขอให้พี่น้องเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยเสียสละอนุญาตให้ผมนำ ”ท่านทักษิณ” มาช่วยกัมพูชาในเรื่องเศรษฐกิจบ้างด้วยแล้วกัน

ตามที่ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน มีคำแถลงว่าขอให้แก้ปัญหาเรื่องนี้ผมก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอของเลขาธิการอาเซียน จะไม่สอดคล้องกับท่าทีของรัฐบาลไทย ความจริง กัมพูชาพร้อมที่จะเจรจาอย่างไรเมื่อไรก็ได้ ไม่ว่าทวิภาคีหรือพหุภาคี แต่ก็เหมือนว่าฝ่ายไทยได้ปฏิเสธเสียแล้ว แต่ท่าน สุรินทร์ต้องฟังให้เข้าใจด้วย ขอให้เลขาธิการอาเซียนพิจารณาแก้ปัญหาเหล่านี้ในลักษณะเบ็ดเสร็จในคราวเดียว และแก้ทั้งหมด ทั้งเรื่องของทักษิณ / เรื่องการปฏิวัติเมื่อ 19 กันยายน 2549 / เรื่องการรุกรานดินแดนของกัมพูชา / การที่กัมพูชาตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา จะใช้กลไกอะไรกัมพูชาก็พร้อม ทั้งทวิและพหุภาคี เรื่องนี้ที่จริงอยากยกขึ้นพูดที่หัวหินเหมือนกันแต่ก็อดกลั้นไว้ ถือว่าตนได้ไว้หน้าประเทศไทยและนายอภิสิทธิ์แล้ว การแก้เรื่องนี้ต้องแก้ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเรื่อง ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับทักษิณก็ต้องไล่แก้ตั้งแต่ทักษิณมาเลย ตั้งแต่เรื่องการปฏิวัติ เมื่อ 19 กันยายน 2549 “ถ้า อภิสิทธิ์ เก่งจริงก็ขอให้เลือกตั้งใหม่สิ ท่านกลัวอะไรหรือ หรือว่ากลัวที่จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรืออย่างไร หรือว่ากลัวว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะการเลือกตั้ง”

ผมเองเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาได้รับเสียงสนับสนุนถึง 2/3 ของสภากัมพูชา แล้ว “ท่านอภิสิทธิ์” ได้รับเท่าไหร่กันหรือ ขโมยเก้าอี้เขามานั่ง ขโมยของๆ คนอื่นมาเป็นของตัวเองจะให้เคารพได้อย่างไร

อภิสิทธิ์มีปัญหาท่วมตัวอยู่แล้ว อาจตายได้ มี ปัญหากับเพื่อนบ้านทั้งหมด ทั้งลาว กัมพูชา มาเลเซียและพม่า นอกจากนั้น ยังมีปัญหาภาคใต้ไทย ปัญหาเสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว เพื่อไทย เสื้อเหลืองเองก็ยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเสียด้วยซ้ำ กัมพูชาจะต้องเคารพอะไรไทยหรือ การแต่งตั้งทักษิณเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวกับไทย ผมเคยบอกอภิสิทธิ์ในการพบกันแล้วว่าทักษิณเป็นเพื่อนของผม เพื่อนไม่สามารถหักหลังเพื่อนได้ ไม่สามารถโยนเพื่อนให้เสือกินได้หรอก ดังนั้น อยากฉีกอะไรทิ้งก็ฉีกไปเลย อยากปิดอะไรก็ปิดไปเถิด เพราะถ้าเปิดคงจะไม่สะดวกแล้ว เห็นทีต้องถอนกำลังทหาร 911 (หน่วยรบพิเศษ) ของกัมพูชาออกภายในหนึ่งสัปดาห์ดีกว่า เพราะว่าใช้กำลังเพียงนิดๆ หน่อยก็พอ [ที่จะสู้กับไทย] แล้ว

กรณีมีข่าวลือว่าทักษิณเข้ามาในกัมพูชาแล้วหลายครั้งนั้น ผมก็ขอปฏิเสธชัดๆ อีก และเห็นว่าข้อมูลข่าวกรองของท่านที่ได้มานั้นผิดพลาด เป็นการแสดงถึงความอ่อนด้อยของการข่าว ทั้งเรื่องการที่ลือว่าเข้ามาเกาะกง รวมทั้งตอนที่ รองนายกรัฐมนตรีสุเทพฯ มากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเพื่อพบผมที่อำเภอตาเขมา รองนายกรัฐมนตรีสุเทพฯ ของไทยได้ขอว่า ให้ช่วยจับทักษิณส่งตัวไปประเทศไทยได้หรือไม่ เรื่องนี้ผมทำไม่ได้หรอก ถ้าผมทำเช่นนั้นก็ถือเป็น “กบฏต่อมิตร” และเรื่องการร้องขอให้จับตัวทักษิณส่งไปและข้อหาความผิดที่กล่าวโทษต่อทักษิณเป็นกรณีเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งนั้น

เห็นพูดกันนักว่าทักษิณมาอยู่ในกัมพูชา ขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่เคยมา แต่ตอนนี้ขอประกาศชัดๆ เลยว่าจะเชิญมาปาฐกถาเรื่องเศรษฐกิจให้ข้าราชการและนักธุรกิจระดับสูงของ กัมพูชาจำนวนประมาณ 300 คน ได้รับฟัง ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552 ช่วง 8 โมงเช้า ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังกัมพูชา

ขอประกาศชัดๆ ให้คนกัมพูชาทุกคนทราบว่า ทักษิณ ชวลิต สมชาย คนเหล่านี้เคยเป็นนายกรัฐมนตรีไทยทั้งนั้น และเป็นเพื่อนของฮุน เซนแห่งกัมพูชา จึงขอให้ทุกคนช่วยอำนวยความสะดวกแก่บุคคลเหล่านี้ และขอร้องให้พี่น้อง ประชาชน-ตำรวจ-ทหารไทย ทราบว่าคนที่คุณๆ ทั้งหลายต่อว่าอยู่นั้นเป็นผู้ที่ชนะการเลือกตั้งมาแล้วทั้งนั้น ผมเคารพ อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ผมจึงช่วยเขา มีแต่อภิสิทธิ์เท่านั้นที่จงเกลียดจงชังคนเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นปัญหาระหว่างผมกับอภิสิทธิ์

สมัยก่อนนั้นไทยเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมแก้ไขปัญหา ลงนามในสัญญาที่ปารีสเมื่อปี ค.ศ.1989 แต่ไทยก็ยังสนับสนุนให้เขมรแดงทำการสู้รบกับรัฐบาลที่ถูกกฎหมาย แล้วให้พวกเขมรแดงไปอยู่ประเทศไทย ไทยให้อยู่ในดินแดนไทยได้อย่างไร เรายังไม่ทำเช่นนั้นเลย ถ้าทักษิณตั้งกองกำลังอยู่ในดินแดนกัมพูชาจะว่าอย่างไรบ้างล่ะ เราจะไม่ทำเช่นนั้นหรอกแค่ให้เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเท่านั้น และเราจะไม่หยุดเช่นกัน ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด



“ไทยไม่เพียงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยซ้ำไป ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย”

เรื่องที่กล่าวว่า กัมพูชาไม่เคารพระบบการศาลของไทยนั้น “เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยนั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรนักหนาที่ควรแก่การให้ความเคารพเลย” สมัยก่อนนั้นนายเขียว สัมพัน นายนวน เจีย ก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกัมพูชา ก็อยู่ในประเทศไทยทั้งนั้น อยู่ในประเทศไทยก่อนถูกจับตัวในกัมพูชา ถือว่าไทยไม่เพียงละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศด้วยซ้ำไป ลงนามไม่สนับสนุนเขมรแดง ลงนามสันติภาพ แต่ก็ยังละเมิดหลายอย่าง ขอให้คนไทยดูไว้กฎหมายระหว่างประเทศยังไม่เคารพเลย จะให้เราเคารพกฎหมายไทยได้อย่างไร

เรื่องปัญหาปราสาทพระวิหาร ได้เคยหารือทวิภาคีกับอภิสิทธ์แล้วถึง 3 ครั้ง ทั้งที่หัวหิน พัทยาและที่กรุงพนมเปญ เคยหารือและเห็นร่วมกันว่า จะเจรจาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธีผ่านกลไกทวิภาคี แต่พอกลับไปแล้ว ทำเสมือน “ลงนามด้วยมือ ลบด้วยเท้า” ขอยกเลิกการสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา ไทยส่งคณะผู้แทนไปที่สเปนเพื่อคัดค้านการขึ้นทะเบียนฯในการประชุมที่เมืองเซบีย่าแล้ว “ยังมีหน้า” มาบอกว่าไม่เกี่ยวกับกัมพูชา แต่เป็นเรื่องระหว่างไทยกับยูเนสโก สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึง ‘จริต’ ที่แท้จริงของ นายกรัฐมนตรีไทย และเป็นเสมือนการดูหมิ่นเหยียดหยามว่า กัมพูชาโง่อย่างแท้จริง

ที่เคยเป็นข่าวว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย ได้เสนอให้ตั้งองค์กรทางด้านกฎหมายของอาเซียนเพื่อมาไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง [เรื่องปราสาทฯ] พอรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาทำหนังสือ เสนอว่าจะยกเรื่องนี้ขึ้นในอาเซียน แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยก็ไม่เห็นด้วยและอ้างว่าสื่อมวลชน ลงข่าวคลาดเคลื่อน และหนังสือพิมพ์ไทยก็ไม่มีการแก้ข่าว ผมได้อดทนอย่างมากที่ไม่ยกปัญหานี้ขึ้นในการประชุมสุดยอดอาเซียนล่าสุดที่ ผ่านมาเพราะไม่อยากให้การประชุมอาเซียนล้มเหลว ถือได้ว่าผมไว้หน้าฝ่ายไทย

ประเทศไทยเอาปัญหาปราสาทพระวิหารมาเป็นตัวประกัน [เครื่องมือ] ในการโค่นล้มรัฐบาลตั้งแต่สมัยรัฐบาลสมัคร ตลอดจนพยายามเอาผิดกับ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นพดลฯ ฝ่ายไทยดีแต่พูดว่าเรื่องการร่วมมือแก้ไขปัญหาปราสาทฯ นั้นต้องผ่านการพิจารณาให้การรับรองของสภาเสียก่อน อ้างอยู่นั่นแล้ว ในเรื่องนี้นั้นเมื่อครั้งที่ ประธานรัฐสภาชัย ชิดชอบ เยือนกัมพูชา ผมได้สอบถามความคืบหน้าและขอให้ ประธานรัฐสภาชัย ชิดชอบ ช่วยแก้ปัญหาด้วย ซึ่งได้รับคำตอบว่าเรื่องนี้ผ่านรัฐสภาไทยไปแล้ว ไทยหยิบยกปัญหาปราสาทฯ มาใช้เป็นเกมการเมืองเตะถ่วงการแก้ปัญหา


อ่านฮุน เซนว่าอย่างไรไปแล้ว มาดูท่าทีทางการไทยตอบโต้ โดยเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่คำสัมภาษณ์ของเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศตอบคำถามผู้สื่อข่าว เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์พาดพิงไทยของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน


เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2552 นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ตอบ คำถามผู้สื่อข่าว กรณีสมเด็จอัครคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 พาดพิงประเทศไทยและรัฐบาลไทย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้


1. การวิพากษ์วิจารณ์การเมืองภายในของไทยและกระบวนการยุติธรรมของไทย
ความเห็นของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทั้งต่อการเมืองภายในประเทศไทย และต่อกระบวนการยุติธรรมไทยและศาลไทย เป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดแจ้งอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งตามแนวปฏิบัติของนานาอารยประเทศเป็นสิ่งที่ผู้นำรัฐบาลไม่ควรปฏิบัติต่อ มิตรประเทศ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้เข้ารับตำแหน่งตามกระบวนการทางรัฐสภาของไทย ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ และกระบวนการยุติธรรมของไทยก็มีมาตรฐาน ฝ่ายตุลาการได้ดำเนินการพิจารณาอรรถคดีไปตามตัวบทกฎหมายและโดยมีอิสระและมี ความเป็นวิชาชีพ เป็นกระบวนการที่แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเองก็เคยให้ความเชื่อถือและเข้าร่วมกระบวนการมาก่อน จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าตนจะแพ้คดีจึงได้หนีไปต่างประเทศ ในแง่อุดมคติประชาธิปไตย สังคมไทยกำลังอยู่ในช่วงระยะเวลาการเรียนรู้เพื่อผ่านไปสู่ความเป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์แบบและมีชีวิตชีวายิ่งขึ้น ในระหว่างกระบวนการพัฒนาทางการเมืองนี้ อาจมีปัญหาเกิดขึ้นได้บ้าง ซึ่งเป็นเรื่องภายในของไทยเองที่ประชาชนไทยเองจะต้องเป็นผู้ร่วมกันแก้ไข ปัญหา มิใช่เรื่องที่ผู้นำรัฐบาลต่างประเทศจะเข้ามาวิพากษ์วิจารณ์ นักวิชาการหรือผู้ศึกษาทางรัฐศาสตร์อาจจะสนใจศึกษาหรืออภิปรายในเชิงวิชาการ ได้ว่า ระบบการเมืองของกัมพูชามีเสรีภาพหรือประชาธิปไตยเพียงใด ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้


2. ความชอบธรรมในการแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจ
แม้ว่านายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะอ้างว่าฝ่ายกัมพูชามีความชอบธรรมในการตัดสินใจแต่ง ตั้งดังกล่าว แต่ฝ่ายไทยก็ขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า การที่ฝ่ายกัมพูชาได้แต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา และที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา นั้น เป็นการกระทำที่กระทบความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นนักโทษคดีอาญาตามคำพิพากษาของศาลไทยที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดี ในขณะเดียวกันก็ยังมีบทบาททางการเมืองและเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายและ เหตุการณ์รุนแรงในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมา การกระทำดังกล่าวจึงถือเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยอย่างชัดเจน และเป็นการนำผลประโยชน์ส่วนบุคคลขึ้นมาอยู่เหนือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาน่าจะเข้าใจได้ดีเพราะฝ่ายไทยได้ อธิบายและสื่อสารไปหลายครั้งแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาก็ยังยืนยันที่จะไม่ยอมเข้าใจ


3. ข้ออ้างเรื่องการ “ปิดพรมแดนไทย-กัมพูชา” และผลกระทบทางเศรษฐกิจ
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ประเทศไทยและรัฐบาลไทยมิได้เป็นผู้เริ่มต้นก่อน แต่การกระทำของฝ่ายกัมพูชาได้กระทบต่อความรู้สึกของคนไทยอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงจำเป็นต้องแสดงท่าทีเพื่อให้ฝ่ายกัมพูชารับทราบความไม่พอใจของฝ่าย ไทย รวมทั้งเป็นการรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของไทย ของกระบวนการยุติธรรมของไทย และรักษาผลประโยชน์ของประเทศและประชาชนไทยด้วย อนึ่ง นายกรัฐมนตรีได้กล่าวอย่างชัดเจนว่า การดำเนินการทุกอย่างเป็นการดำเนินการระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยจะหลีกเลี่ยงการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนของทั้งสองประเทศ

สำหรับข่าวลือเรื่อง “ไทยจะปิดพรมแดน” ก็เป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวยืนยันแล้วว่า ในชั้นนี้จะยังไม่มีการพิจารณาปิดพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้นประชาชนของทั้งสองฝ่ายจึงไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลต่อผลกระทบทาง เศรษฐกิจ แม้เหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร รัฐบาลไทยก็จะกระทำทุกวิถีทางที่จะบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งแม้แต่ในคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเอง ก็ได้แสดงความเห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าวว่า ไม่ควรให้กระทบประชาชนทั้งสองฝ่าย ดังนั้นหากต่อไปในอนาคต ฝ่ายรัฐบาลกัมพูชาจะดำเนินมาตรการใดที่จะส่งผลกระทบหรือก่อความเดือดร้อนต่อ พี่น้องประชาชนกัมพูชา รวมถึงผู้บริโภคและนักธุรกิจในกัมพูชาเอง โดยเฉพาะบริเวณชายแดน ก็ควรมีการใคร่ครวญอย่างรอบคอบเองด้วย

ส่วนผลกระทบด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน จากการที่สภาพความสัมพันธ์ทวิภาคีเสื่อมลงนั้น แน่นอนว่าไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย แต่ก็อาจจะเป็นการด่วนสรุปของนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเกินไปว่า ในที่สุดแล้วฝ่ายไทยจะสูญเสียมากกว่า เมื่อประเมินจากขนาดทางเศรษฐกิจ ศักยภาพทางธุรกิจ และตลาดการค้าและธุรกรรมระหว่างประเทศที่ไทยมีอยู่ในขณะนี้ รัฐบาลเชื่อว่าประเทศไทยยังมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีอยู่มาก การสูญเสียทางเศรษฐกิจหากจะเกิดขึ้นกับฝ่ายใดก็ตาม ไม่ได้เป็นความประสงค์ของรัฐบาลไทย ก็ต้องกลับไปดูว่า ปัญหาในขณะนี้มาจากฝ่ายใด เมื่อนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเริ่มต้นสร้างปัญหาเอง ก็ควรพิจารณาแก้ปัญหาเอง หรือมิฉะนั้นก็รับผลที่ติดตามมาจากการกระทำของตนเอง


4. การยกเลิกบันทึกความเข้าใจว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกัน
ขอ ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า เมื่อพิจารณาถึงที่มาของบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชา ว่าด้วยพื้นที่ที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิในไหล่ทวีป ทับซ้อนกัน ฉบับวันที่ 18 มิถุนายน 2544 ซึ่งจัดทำในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณฯ ดังนั้น การที่รัฐบาลกัมพูชาแต่งตั้ง พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลกัมพูชา จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศภายใต้บันทึกความเข้าใจ ฉบับนี้ เนื่องจาก พ.ต.ท. ทักษิณฯ เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการผลักดันให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นจัดทำ บันทึกความเข้าใจฉบับนี้ และรับรู้ท่าทีในการเจรจาตลอดจนข้อมูลของทรัพยากรและผลประโยชน์ที่จะได้รับ ของฝ่ายไทย ด้วยเหตุข้างต้นรัฐบาลไทยจึงไม่อาจดำเนินการเจรจากับฝ่ายกัมพูชาบนพื้นฐาน ของบันทึกความเข้าใจฉบับดังกล่าวต่อไปได้


5. ความผิดของ พ.ต.ท. ทักษิณฯ กับการปฏิบัติตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
การระบุว่าเหตุการณ์ปฏิวัติเมื่อปี 2549 นำมาซึ่งการดำเนินคดีต่างๆ ต่อ พ.ต.ท. ทักษิณฯ แล้วนำมาเป็นข้ออ้างว่าคดีที่ พ.ต.ท. ทักษิณฯ ถูกตัดสินให้มีความผิดเป็นคดีที่มีที่มาจากเหตุผลทางการเมือง เป็นการกล่าวอ้างที่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง คดีที่ดินรัชดาฯ และคดีอาญาอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย แม้จะเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติแต่มิได้เกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้นกับการปฏิวัติ หรือองค์กรที่เกิดขึ้นภายหลังการปฏิวัติตามกล่าวอ้าง อาทิ คดีที่ดินรัชดาฯ ที่ได้มีการตัดสินไปแล้ว มีอัยการสูงสุดเป็นผู้ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ เมือง ซึ่งทั้งอัยการและศาลต่างก็เป็นองค์กรอิสระที่ไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับการปฏิวัติ ดังจะเห็นได้จากการที่ศาลได้พิจารณาคดีและมีคำพิพากษาตัดสินในช่วงรัฐบาล ของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช และอดีตนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นผู้มีความใกล้ชิดและสนับสนุน พ.ต.ท. ทักษิณฯ

นอกจากที่มาและการดำเนินการต่างๆ ของคดีดังกล่าวจะไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติหรือเหตุผลทางการเมืองใดๆ แล้ว ในตัวคดีเองก็เป็นคดีทุจริตซึ่งเป็นคดีอาญา โดยเป็นการกระทำผิดมาตรา 100 (1) วรรค 3 และมาตรา 122 วรรค 1 ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐและคู่สมรส มีส่วนได้รับผลประโยชน์ในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่อยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น


6. การแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารและข้อพิพาทเขตแดนทางบก
แนวนโยบายของรัฐบาลไทยเพื่อการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทเขตแดนทางบกไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไทยยึดหลักการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธีและการเจรจาตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ มาโดยตลอด และการดำเนินการใดๆ ของไทยก็ต้องเป็นไปตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญของไทย สำหรับกรณีความเห็นของประธานรัฐสภาตามที่นายกรัฐมนตรีกัมพูชาอ้าง เกี่ยวกับสถานะปัจจุบันของบันทึกการประชุม JBC และกรอบการเจรจาที่เกี่ยวข้องนั้น ฝ่ายไทยได้ชี้แจงในที่ประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่กรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2552 แล้วว่า เป็นความเข้าใจผิดในสาระข้อเท็จจริง โดยปัจจุบันบันทึกผลการประชุม JBC ยัง ไม่ได้ผ่านการให้ความเห็นชอบของรัฐสภา และรัฐบาลต้องเสนอเรื่องให้รัฐสภาพิจารณาก่อนจะดำเนินการต่อไปได้ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามข้อบังคับของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

ฮุนเซนเปิดบ้านเลี้ยงทักษิณ



ข่าวสด : เอพีรายงานว่า เมื่อ 10 พ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทยเดินทางถึงกัมพูชาแล้ว จากการให้สัมภาษณ์ของนายเขียว กันหะริด โฆษกรัฐบาลกัมพูชา พ.ต.ท.ทักษิณโดยสารเครื่องบินส่วนตัวมาลงที่สนามบินทหารในกรุงพนมเปญ โดยทีวีกัมพูชาถ่ายทอดภาพนาทีที่เดินทางมาถึงด้วย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดอย่างยิ่ง โดยมีหน่วยรักษาความปลอดภัยของนายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาคุ้มกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังที่พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางถึงกัมพูชา ได้โพสต์ข้อความตอบแฟนคลับในเว็บ http://twitter.com/Thaksinlive มีข้อความสรุปว่า มาถึงกรุงพนมเปญแล้ว คิดถึงบ้านมาก เตรียมพบปะรับประทานอาหารกับครอบครัวของสมเด็จฮุนเซน พร้อมขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจ คงไม่มีอะไรแย่กว่าที่เคยโดนมาแล้ว เพียงแต่อยากให้สื่อและทุกฝ่ายเป็นกลางและเป็นธรรม บ้านเมืองจะได้คืนสู่ภาวะปกติ อย่างน้อยตนเคยทำประโยชน์ให้สังคม ขอย้ำว่าชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อยู่ในใจตลอด และยืนยันว่าคืนนี้จะจัดรายการวิทยุตามปกติ

วันเดียวกัน ที่รัฐสภา นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ เปิดเผยว่า ครม.อนุมัติให้มีการยกเลิกบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยู กับประเทศกัมพูชา ที่ทำไว้เมื่อปี 2544 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ส่วนการยกเลิกต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมสภาหรือไม่นั้น นายกษิต กล่าวว่า เป็นไปตามขั้นตอน เมื่อถามว่าเข้าข่ายมตรา 190 หรือไม่ รมว.ต่างประเทศ กล่าวเพียงว่า ครับ

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า กรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปถึงก็จะดำเนินการทำหนังสือขอตัวมาตามสนธิสัญญา ซึ่งทางหน่วยงานกำลังดำเนินการขอตัวอยู่

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไทม์ออนไลน์: ในโลกนี้มีอดีตผู้นำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ยังคงทรงอิทธิพลต่อประเทศของตัวเอง


ที่มา – Timesonline

แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑

ลองศึกษาชีวิตของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร อดีตเจ้าของเดิมของทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ และอดีตมหาเศรษฐีอย่างคร่าวๆแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร และดูเฉื่อยชา

ตั้งแต่ทักษิณถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารในปี ๒๕๔๙ เขาได้เดินทางไปทั่วโลกแสวงหาที่ลี้ภัย ก่อนที่จะเข้าไปพักพิงในนครดูไบ แหล่งอุดมสมบูรณ์ทางการเงิน และบ้านพักปลอดภาษีของเศรษฐี

ทักษิณหย่ากับภรรยา พำนักในวิลล่าขนาดเก้าห้องนอนร่วมกับผู้ช่วยทำงานบ้านสิบคน และจักรยานออกกำลังกาย เขาออกรอบตีกอล์ฟที่คลับมอนต์โกเมอรี่ข้างบ้าน และช้อปปิ้งในห้างขนาดมหึมาที่ดูไบ ทักษิณใช้เวลาที่เหลือนั่งวิปัสสนา ออกกำลังกาย และอัพเดทเว็บไซต์ของเขา และส่งทวิตเตอร์

ทักษิณต้อนรับแขกด้วยใบหน้าที่ที่ปัดด้วยแป้ง “ทำให้ผมดูหล่อขี้นกว่าตัวจริง” เขาพูดกับช่างภาพของไทม์ด้วยรอยยิ้ม

อย่าได้เข้าใจผิดกับภาพที่เห็นว่าทักษิณไม่ได้ทำอะไร แม้ตัวทักษิณจะอยู่ไกลจากประเทศไทย แต่เขายังคงเต็มไปความกระฉับกระเฉงและความมุ่งมั่นเหมือนเช่นเคย มีอดีตนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่คนในโลกนี้ ที่จะยังคงมีอิทธิพลอย่างเต็มเปี่ยมในทางการเมืองของประเทศตัวเอง

ตามที่ทราบกันว่า “เสื้อแดง” คือผู้ให้การสนับสนุนเขา มีการชุมนุมครั้งละนับหมื่นๆคนเกือบแทบทุกอาทิตย์ในกรุงเทพ หลังจากทักษิณเริ่มการทวิตเตอร์ได้เพียงแค่สามเดือนมีผู้ติดตาม (Follow) เขาถึง ๔๑,๐๐๐ คน และมีผู้ร่วมลงรายชื่อยื่นฎีกาถึง ๓,๕๐๐,๐๐๐ คน เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษจากการต้องคดีที่ไม่ไปปรากฏตัวต่อศาลเพื่อรับข้อหาฉ้อราษฎร์ถึงสองปี พรุ่งนี้ทักษิณจะเดินทางไปเยือนกัมพูชาตามคำเชิญของสมเด็จฮุนเซนนายกรัฐมนตรีกัมพูชา เป็นการเยือนซึ่งจะสร้างความสั่นสะเทือนอย่างหนักให้กับวิกฤติทางการทูต ระหว่างสองประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทักษิณเป็นปฏิทรรศน์(Paradox) ในขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนไทยหลายคนทั้งเกลียดและกลัวเขา โดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีการศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ฉวยโอกาสและเป็นเผด็จการ ย่ำยีสิทธิมนุษยชน สื่อ และองค์กรอิสระต่างๆเพื่อแสวงหาอำนาจ สำหรับประชาชนที่เหลือแล้วทักษิณ – และยังคงเป็น – ผู้นำแห่งประเทศไทยที่ได้รับความชื่นชมมากที่สุด ได้รับการเลือกตั้งซ้ำอีกครั้ง และถูกปล้นอำนาจจากการทำรัฐประหารแบบมือเปล่าในที่สุด

หลังจากการเลือกตั้งโดยทั่วไป คนไทยยังคงลงคะแนนให้ฝ่ายสนับสนุนทักษิณ และตัวแทนของทักษิณได้เข้ามามีอำนาจ ซึ่งต่อมาถูกบังคับให้ต้องหลุดจากอำนาจ ไม่ใช่จากการลงคะแนนเลือกตั้ง แต่จากคำวินิจฉัยอันน่าสงสัยของศาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ทักษิณกล่าวว่า “ผมไม่สนใจว่าจะได้กลับมาเล่นการเมืองอีกหรือไม่” “แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงต้องการผม ผมก็ต้องกลับไป ผมไม่สามารถเห็นแก่ตัวได้”

(เพิ่มเติม) รัฐสภาแขวนวาระบันทึกประชุม กมธ.เขตแดนร่วมไทย-เขมรประชุมต่อพรุ่งนี้


ประชุมร่วมรัฐสภาค้างพิจารณาวาระ 9 บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หลังมีสมาชิกรัฐสภาลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้กันไปมาจนประธานในที่ประชุมตัดบทสั่งปิดประชุมเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบและนัดประชุมต่อในวันพรุ่งนี้ โดยมีนายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม


ก่อนเข้าสู่วาระการประชุมได้มีสมาชิกรัฐสภาจากพรรคเพื่อไทยพยายามขอหารือถึงปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา โดย นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี กล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์ทางการค้าบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาทรุดหนัก ซึ่งหากมีการรบเกิดขึ้นจริงประชาชนจะเดือดร้อน เพราะกรณีการเรียกเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศหายไปแล้ว จึงอยากให้นำเรื่องนี้เข้าหารือที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาวันนี้ด้วย ซึ่งประธานในที่ประชุมเห็นว่าควรจะแสดงความเห็นเรื่องดังกล่าวในช่วงที่มีการพิจารณาวาระบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา จะเหมาะสมกว่า
ด้านนายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ ชี้แจงว่า จากการไปตรวจการค้าทางชายแดนบริเวณ จ.สระแก้ว พบว่าสถานการณ์ยังเป็นปกติ ทั้งนี้ด้วยมาตรฐานการดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่นุ่มนวลสุขุมรอบคอบในการตอบโต้กัมพูชาเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของประเทศ รัฐบาลยืนยันว่านโยบายดังกล่าวเริ่มส่งผลกดดันให้กัมพูชามีท่าทีงอนง้อประเทศไทยแล้ว ซึ่งหอการค้าจังหวัดและพ่อค้าตามแนวชายแดนต่างเข้าใจและสนับสนุนว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ถูกต้องแล้ว รัฐบาลขอยืนยันว่า ศักดิ์ศรีของเราต้องรักษา และด้วยความรักชาติ จะไม่ให้ใครมาย่ำยี
จากนั้นที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้มีการพิจารณาความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งยูเครน เกี่ยวกับกรอบการเจรจาการค้าพหุภาคภายใต้องค์การการค้าโลก และกรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของไทยภายใต้การเจรจาอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่มที่คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
อย่างไรก็ตาม หลังจากอภิปรายไปนานกว่า 4 ชั่วโมง ที่ประชุมร่วมรัฐสภาได้เห็นชอบความตกลงทางการค้าระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลยูเครน, กรอบการเจรจาการค้าพหุภาคีภายใต้องค์การการค้าโลก, กรอบการเจรจาความตกลงการค้าเสรีของไทยภายใต้การเจรจาอาเซียนกับประเทศนอกกลุ่ม,บันทึกการหารือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสังคมเวียดนาม,
บันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนบังคลาเทศ, บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐอินเดีย, บันทึกความเข้าใจลับระหว่างรัฐบาลแก่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแก่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์, รายงานผลการเจรจาการบินระหว่างไทย-ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย และ พิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจอาเซียนว่าด้วยบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ
เมื่อที่ประชุมร่วมรัฐสภาพิจารณาวาระเรื่องบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา ซึ่งประกอบด้วย บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ เมืองเสียมราฐ วันที่ 10-12 พ.ย.51, บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพู ชา ครั้งที่ 4 ณ กรุงเทพฯ วันที่ 3-4 ก.พ.52 และบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ณ กรุงพนมเปญ วันที่ 6-7 เม.ย.52
ประเด็นสำคัญตามบันทึก คือ ให้ผลิตแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศตลอดแนวเขตแดน เพื่อช่วยสำรวจและจัดทำแนวเขตแดน และชุดสำรวจร่วมอาจเริ่มการสำรวจพื้นที่ตอน 5(หลักเขตแดนที่ 1-23)ตั้งแต่เดือน พ.ค.ปีนี้ และการจัดทำคำแนะนำการสำรวจพื้นที่ตอนที่ 6(หลักเขตแดนที่ 1-เขาสัตตะโสม) ซึ่งรวมบริเวณปราสาทพระวิหารด้วย และระหว่างรอการจัดทำข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา บริเวณปราสาทพระวิหารให้แล้วเสร็จ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้เริ่มสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในพื้นที่ตอนที่ 6 ทันทีที่ได้ข้อยุติเกี่ยวกับคำแนะนำสำหรับการสำรวจในพื้นที่ตอนที่ 6
นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ได้เสนอต่อที่ประชุมเพื่อขอให้มีการประชุมลับ แต่ส.ส.พรรคเพื่อไทย และ ส.ว.ต่างไม่เห็นด้วยเนื่องจากเห็นว่าเป็นประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชนจึงเรียกร้องให้รัฐบาลประชุมเปิดประชุมตามปกติ ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลหลายคนกล่าวสนับสนุนให้ประชุมลับ
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การนำบันทึกการประชุมดังกล่าวเข้ามาให้รัฐสภาเห็นชอบและต้องขอให้มีการประชุมลับไม่เหมือนกรณีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะรัฐบาลต้องการขออนุมัติเรื่องดังกล่าวต่อรัฐสภาเพื่อให้สามารถเจรจากับต่างประเทศได้ ซึ่งในภาวะสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ หากมีการอภิปรายและพาดพิงออกไปอาจจะมีการตีความผิดพลาด และเกิดปัญหาต่อการเจรจาตามกรอบดังกล่าวได้ แต่ถ้าสมาชิกพรรคฝ่ายค้านให้การยืนยันว่าจะอภิปรายเฉพาะในกรอบโดยไม่นำสถานการณ์ปัจจุบันเข้ามาเกี่ยวข้อง รัฐบาลก็พร้อมจะมีการเปิดอภิปรายตามปกติ
หลังจากนั้นฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลได้ประท้วงกันไปมาจนเกิดความวุ่นวาย ประธานในที่ประชุมจึงสั่งพักประชุมแล้วเรียกวิป 3 ฝ่ายมาหารือ แต่หลังจากกลับมาประชุมอีกครั้ง ประธานวิปฝ่ายค้านขอให้รัฐบาลขอเปิดประชุมร่วมรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 179 เพื่อฟังความเห็นในการบริหาร หรือ ส.ว.ควรเข้าชื่อ 1 ใน 3 ตามมาตรา 161 สอบถามรัฐบาล โดยรัฐสภาต้องใจกว้างอนุมัติให้พิจารณาเรื่องอื่นได้ในสมัยประชุมนิติบัญญัติ ส่วนเรื่องนี้รัฐบาลสามารถถอนเรื่องออกไปก่อนได้ เมื่อปัญหาคลี่คลายค่อยนำเข้ามาพิจารณาอีกครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ขัดข้องที่จะถอนเรื่องดังกล่าวออกไป
แต่เมื่อประธานในที่ประชุมให้ตรวจสอบองค์ประชุม ปรากฏว่ามีสมาชิกแสดงตนเพียง 298 คน ไม่ครบองค์ประชุมที่กึ่งหนึ่งจำนวน 312 คน จากสมาชิกรัฐสภา 624 คน ทำให้นายชัยเลื่อนให้นับองค์ประชุมใหม่ในวันที่ 10 พ.ย.และสั่งปิดประชุมทันทีเวลา 17.00 น. ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่การประชุมร่วมรัฐสภาต้องยุติลงกลางคันเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบทำให้ไม่สามารถดำเนินการประชุมต่อไปได้

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ซวยแล้วมาร์ค กระแสคลั่งชาติ ปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น

หลังจากที่ทุ่มทุนสร้าง วางข่ายล้อมอวน ด้วยการร้องเพลงชาติรอมาเป็นนานสองนาน ในที่สุดก็มีปลาใหญ่เข้ามาฮุบเหยื่อเอาจนได้ เมื่อสมเด็จอัคคมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ประกาศอุ้มทักษิณ ชนิดสุดลิ่มทิ่มประตู โดยไม่มีการเกรงใจใคร

และแล้วมหกรรมคลั่งชาติที่จ่อคิวรออยู่อย่างใจจดใจจ่อ ก็ได้เวลาโหมโรงอย่างเป็นทางการซะที

ทั้งโพลเอย สื่อเอย นักวิชาการขาโจ๋ กับนักธุรกิจขาประจำเอย ต่างออกมาประสานเสียงโบ๊ววว..โบ๊ววว..ระเบ็งเซ็งแซ่กันไปหมด เป้าหมายคือการปั่นหัวประชาชน ให้หันมามีเรื่องกับเขมร เพื่อกลบเกลื่อนความเจ็บปวด จากพิษเศรษฐกิจ ภายใต้ฝีเท้าการบริหารประเทศของมาร์ค พร้อมกับกวาดล้างทักษิณและเสื้อแดงไปในตัว

ก็ขนาดเจ็บกันเจียนตาย สื่อยังช่วยกันแหลออกมาได้ ว่าภาคธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบ จากการเรียกทูตกลับจากพนมเปญ แต่วงในเขารู้ว่า กำลังนั่งจับไข่สั่นอยู่ที่กัมพูชากันเป็นแถว มีแต่น้ำตาลมิตรผล ที่หาญกล้าออกมาแฉกันตรงๆว่า ไปปลูกอ้อยรอไว้แล้วจมหู กำลังจะสร้างโรงงานอยู่รอมร่อ แต่ต้องติดเบรคกันตัวโก่ง

เพราะสถานการณ์มันเข้าไคลฯซะขนาดนี้ ถ้าจะให้ไปบ้าทะลุ่มทะลุยเดินหน้าชน สู้เอาเงิน 2 พันล้านไปทุ่มซื้อหวย ยังจะมีโอกาสรุ่งมากกว่า

แปลกแต่จริง ที่ไม่ยักมีนักธุรกิจด่ารัฐบาล โทษฐานที่โอเวอร์รีแอ๊คจนน่าเกลียด แถมสภาหอการค้าไทย ยังถือโอกาสใช้ลิ้นให้เป็นประโยชน์ ชเลียร์ว่านักธรกิจยอมเจ็บไม่ยอมอาย ไม่ว่าจะเป็นจะตายยังไง ขอเชียร์รัฐบาลให้เอาศักดิ์ศรีของประเทศไว้ก่อน

เห็นว่าถ้ารัฐบาลยืน ยันทำในสิ่งที่ถูกต้อง จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ถึงขนาดกล้าที่จะเข้ามาลุยถั่ว สร้างงานในประเทศ คล้ายๆกับว่าทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ว่างั้นเถอะ

แหม..เล่นเอาความจริงมาแหลเป็นขนมอย่างนี้ จึงช่วยไม่ได้ ที่มาร์คจะออกอาการเขินเล็กน้อย ในขณะที่ขนหน้าแข้งเริ่มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลาย

เป็นธรรมดาของ 1 ประเทศ 2 มาตรฐาน มันก็ต้องมีอะไรบ้าๆบวมๆอย่างนี้ นี่ถ้าเป็นรัฐบาลลุงหมัก ขืนทำอย่างนี้ มีหวังนักธุรกิจดิ้นตายกันเป็นแถว

หันไปมองภาคธุรกิจ เห็นถ้อยทีถ้อยชเลียร์กันไป แต่พอหันมาฝั่งประชาชน ไหงมันกลายเป็นหนังคนละม้วนไปได้ ก็ไม่รู้ เมื่อใครต่อใครพากันอวยพรให้มาร์คจนหูตูบ บอกว่าอ้ายเฮีย! วันๆแม่มันไม่ทำอ่าอะไร ดีแต่หาเรื่องชกต่อยกับชาวบ้าน ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน

กะอีแค่เรื่องของคนๆเดียว มันเล่นซะโกอินเตอร์ ดูไม่จืด แม่มันทำอย่างนี้ พวกที่ไม่ได้รับประทานภาษี มีหวังอดตายกันพอดี

แต่ว่าก็ว่าเถอะ จนป่านนี้ ยังไม่มีใครเข้าใจเหมือนกัน ว่าแค่ฮุนเซนตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษา ทำไมมันถึงต้องออกอาการเม้งแตกกันขนาดนี้ ในเมื่อมั่นอกมั่นใจนักหนา ว่าตัวเองทำถูก ก็น่าจะอยู่เฉยๆ ปล่อยให้เขมรออกทะเลไปคนเดียว ก็สิ้นเรื่อง

ก็ถ้าน้าฮุนฯยังขืนเดินหน้านโยบาย สร้างบ้านพักหรูหราให้นักโทษไปเรื่อยๆ แถมนอกจากไม่ยอมส่งผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว ยังจะแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาอีกต่างหาก คิดดูแล้วกัน ว่าต่อไปยังจะมีใครกล้าคบหาด้วย

เมื่อเขมรกลายเป็นสวรรค์ของอาชญากร นักเซ็นต์ชื่อให้เมียซื้อที่ ไปซะแล้ว

เรื่องของเรื่อง มันไม่น่าจะมีเรื่องด้วยซ้ำไป เมื่อแต่เดิมมันก็แค่ขู่กันไปขู่กันมา เหมือนนักมวยที่ต่อปากต่อคำกันนอกเวที เอ็งมาลูกนี้ ข้าจะตอบโต้ด้วยลูกโน้น ถ้าเอ็งต้อนรับทักษิณ ข้าจะให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน อีกฝ่ายก็โต้ทันควันว่า จ้างให้ก็ไม่ส่ง เพราะเป็นคดีการเมือง เป็นการแลกน้ำลายกันไปมา ทั้งๆที่ยังไม่ได้ขึ้นเวที ด้วยซ้ำไป

แต่ที่ไหนได้ กำลังโต้กันไปโต้กันมาอยู่มันๆ ไม่นึกว่าท่านประธานอาเซี่ยนจะของขึ้น โดดงับน่องสมาชิกอาเซียนบ้านใกล้เรือนเคียงซะ เล่นเอาแผลเปิดเหวอะหวะ ดูยังไงก็ดูไม่จืด

กลายเป็นจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ เด็กดื้อหัดบริหารประเทศ เมื่อกัมพูชาตัดสินใจประกาศแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาอย่างเป็นทางการ แล้วมีหรือที่นายกฯเด็กฝึกงานจะยอมเสียหน้า โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง จัดการประกาศเรียกทูตกลับทันควัน ในขณะที่ฮุนเซนก็ทันกัน เรียกทูตตัวเองกลับมั่ง ใครจะทำไม

คงต้องดูกันต่อไปว่า เมื่อเศรษฐีใหม่ตัดสินใจ ถอดสูทเข้าคลุกวงใน กอดปล้ำตีเข่ากับขอทานข้างถนน อย่างถึงลูกถึงคน เพียงเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ที่ถูกตอกหน้าเอาเจ็บๆ งานนี้ใครจะอยู่ใครจะไป ใครจะฉิบหายหนักกว่ากัน อีกไม่นานก็น่าจะเริ่มออกอาการ

แต่ที่แน่ๆ เริ่มเห็นแผลแตกที่ใต้ตานักชกเมื่อวานซืนแล้ว เมื่อเจอมวยเชิงสูงอย่างน้าฮุนฯ ที่เก๋าเกมอ่านขาดอย่างกับอ่านหนังสือการ์ตูน ดักแย็ปแล้วชิ่งออก ไม่ยอมเป็นฝ่ายเปิดเกมหนักให้ถูกตัดคะแนน แต่อาศัยยั่วยุให้เด็กมันออกหมัดก่อน แล้วค่อยดักเก็บกินจังหวะสอง แค่นี้ก็ตุนคะแนนจนเป๋าตุงแล้วตุงอีก

เป็นที่น่าสังเกตุว่า น้าฮุนฯแกตั้งอกตั้งใจล่อเป้าวัวกระทิงมาร์คซะเหลือเกิน ทั้งๆที่น่าจะรู้ว่า เด็กมันมีปัญหาเรื่องวุฒิภาวะทางอารมณ์ ยังมายั่วอยู่ได้ ทำไมต้องประกาศตั้งที่ปรึกษา ให้มาร์คอิจฉาจนวีนแตกน่าเกลียดขนาดนั้น ทั้งที่จะต่อฮ็อตไลน์สายตรง ปรึกษาอะไรน้าแม้ว ก็ทำได้อยู่แล้ว ในฐานะเพื่อนซี้ไม่มีซั้ว

อย่างการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ก็เหมือนกัน รอให้เรื่องมันเกิดแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย จะเปิดศาลพิจารณาคดีซัก 20-30 ปี ก็ยังไม่น่าเกลียด หรือจะส่งซิกให้นักโทษเข้าๆออกๆ ล่อให้ศาลลักปิดลักเปิด มันก็เก๋ไปอีกแบบ แล้วทำไมต้องรีบด่วน ชวนมาร์คละเลงน้ำลาย จนเลอะเทอะไปหมด

จะเป็นเพราะเหตุผลกลใดไม่อาจทราบได้ แต่ชักสังหรณ์ใจว่า งานนี้เด็กดื้อมีโอกาสเสียค่าโง่สูง

เพราะแต่ละมาตรการที่มาร์คประกาศออกมานั้น ไม่เห็นว่ามันจะเป็นปัญหาต่อเขมรแต่ประการใด ขืนไปงดให้ความช่วยเหลือ ก็เข้าทางประเทศอื่นที่เรียงคิวรอช่วยเหลืออยู่แล้ว หรือถ้างดให้กู้ ขี้คร้านประเทศอื่น มายืนรอปล่อยกู้กันบานเบอะ ยิ่งไปยกเลิก MOU อะไรนั่นอีก

แน่ใจหรือว่ามันไม่ใช่ MOU ที่เขาอยากจะยกเลิกเต็มแก่อยู่แล้ว เพราะถ้าเซ็นต์กันในสมัยน้าแม้ว ก็ชัดเจนแน่นอนว่าเขาเสียเปรียบ เพราะตอนนั้น กัมพูชายังไม่มีอำนาจต่อรองซักเท่าไหร่

ไม่เหมือนสมัยนี้ ที่หลอกกินเศียรเทวรูป ที่มีคนอุ้มไปจิ้มก้องมาแล้ว นักต่อนัก

เอาเป็นว่า นอกจากเรื่องอารมณ์แล้ว ก็น่าจะต่างคนต่างมีวาระซ่อนเร้น แต่คนหนึ่งทำเพื่อชาติ ในขณะที่อีกคนทำเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง รายแรกจึงลอยตัวไป เพราะได้การสนับสนุนจากประชาชนอย่างท่วมท้น ในขณะที่รายหลังแทบจะเอาหัวโขกโพเดียมตายซะให้มันรู้แล้วรู้รอด เมื่อไม่มีใครให้ท้าย นอกจากโพลที่ออกมาเชียร์กันสุดลิ่มทิ่มประตู

กระแสคลั่งชาติ จึงมีแค่แมลงสาบแก่ๆ กับขาประจำเจ้าเดิมๆไม่กี่ตัว ที่ออกมาคลั่งหนัก ส่วนประชาชนนั้น คงจะหวังยากซักหน่อย แล้วยิ่งน้าฮุนฯแกเป็นมวยรอจังหวะด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ปั่นกระแสยากเข้าไปใหญ่ ทำไปทำมาถึงได้เกิดอาการหันรีหันขวาง ไม่รู้ว่าจะไปยังไงต่อ

คิดแล้วก็ให้เป็นห่วงนายกฯเด็กโง่ ที่ขยันทำแต่เรื่องโง่ๆ ไม่รู้จักเลิก ระวังว่าโง่ซ้ำโง่ซาก จะติดเชื้อกลายเป็นโง่เรื้อรัง มันจะรักษายาก ถ้าลำบากนัก คราวหน้าคราวหลัง ลองเปลี่ยนไปยืมหัวแม่เท้าข้างซ้ายของท่านทักษิณเอามาคิดแทน ไม่แน่ว่า...

อาจจะฉลาดกว่าสมองกลวงๆที่ใช้อยู่ก็เป็นได้

คัดมาจากบทความของ:วโรทาห์

ประชาธิปไตยในมือ “คนอย่างทักษิณ”



ที่มา ประชาไท
นักปรัชญาชายขอบ

ทำไมคุณทักษิณจึงตอบรับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ยกย่องคุณทักษิณว่าเป็นนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเสมอดั่ง ออง ซาน ซูจี?
หากย้อนมองภูมิหลังของเขา เราจะไม่แปลกใจเลย

คุณทักษิณนั้นเป็นบุคคลที่มีคุณลักษณะ (Character) ที่โดดเด่นคือ “ทำทุกอย่างไม่ว่าจะถูกหรือผิดเพื่อให้บรรลุจุดหมายที่ตนต้องการ” เอาแค่ตัวอย่างบางตอน เช่น เขาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเมื่อได้รับสัมปทานดาวเทียมไทยคมในยุคที่ รสช.เรืองอำนาจ ซึ่งเราได้ทราบต่อมาว่า พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ประธาน รสช.ในขณะนั้นที่มีส่วนช่วยอย่างสำคัญให้ทักษิณได้สัมปทาน มีทรัพย์สินกว่า 3,000 ล้านบาท

พูดตรงๆ คือคุณทักษิณตีสนิทกับอำมาตย์ หรือใช้อำมาตย์เป็นเครื่องมือเพื่อความสำเร็จทางธุรกิจ แต่ภายหลังขัดแย้งกับอำมาตย์ คุณทักษิณก็แสดงบทของนักประชาธิปไตยที่เป็นหัวหอกในการโค่นอำมาตยาธิปไตยด้วยการเปิดโปง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”
ในขณะที่เมื่อแรกเข้าสู่การเมืองคุณทักษิณเลือกสังกัดพรรคพลังธรรม ซึ่งเป็นพรรคการเมืองน้ำดีที่โจมตีนักการเมืองน้ำเน่าอย่างรุนแรง แต่เมื่อพรรคพลังธรรมไม่อาจส่งให้ถึงฝั่งฝันได้ คุณทักษิณก็ตั้งพรรคไทยรักไทยกวาดต้อนอดีต ส.ส.น้ำเน่า หรือพวกเสือ สิงห์ กระทิง แรด เข้ามาอยู่ในสังกัดอย่างหนาแน่น โดยมีเจ้าพ่อวังน้ำเย็นอย่าง นายเสนาะ เทียนทอง เป็นประติมากรปั้นคุณทักษิณให้เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยได้สำเร็จ

จากนั้นเพื่อให้อยู่ในอำนาจยาวนานที่สุด คุณทักษิณก็ทำทุกอย่าง เช่น ควบรวมพรรคหรือให้พรรคการเมืองอื่นๆ ยุบรวมเข้ามาอยู่ภายใต้ชายคาของไทยรักไทย การแทรกแซงองค์กรตรวจสอบและวุฒิสภา การแต่งตั้งนายทหาร ตำรวจรุ่นเดียวกับตนเอง และหรือญาติของตนเองให้มีตำแหน่งคุมกำลังในกองทัพ ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในกระทรวงยุติธรรม เป็นต้น

แต่เมื่อถึงเวลาเพลี่ยงพล้ำทางการเมืองคุณทักษิณกลับเทขายหุ้นชินคอร์ปฯ ไอทีวี และสัมปทานดาวเทียมไทยคมให้ต่างชาติ โดยการขายหุ้นกว่าเจ็ดหมื่นล้านไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว และขายในช่วงเวลาที่แก้กฎหมายขยายเปอร์เซ็นการถือหุ้นของชาวต่างชาติได้สำเร็จเพียงชั่วข้ามคืน

สิ่งที่คุณทักษิณกระทำหลังจากได้ให้สัญญาประชาคมก่อนมาเป็นนายกฯ ว่า “ผมรวยพอแล้ว ชีวิตที่เหลือต้องการทำงานรับใช้พี่น้องประชาชน” และหลังการประกาศ “สงครามกับคอร์รัปชัน” นั้น ผลช่างตรงกันข้าม เพราะการกระทำต่างๆ ข้างต้นนั้นสะท้อนความงกที่ไม่รู้จักพอ และสงครามกับคอรร์รัปชันก็จบลงด้วยมหกรรมคอร์รัปชันจนนำมาสู่การเดินขบวนประท้วงของประชาชนเรือนแสน และการรัฐประหารในที่สุด

แล้ววันนี้คุณทักษิณก็เลือกที่จะอยู่ข้างกัมพูชา หรือเลือกใช้กัมพูชามาอยู่ข้างตนเอง ในสถานการณ์ความขัดแย้งทั้งระหว่างไทย-กัมพูชา และระหว่างทักษิณ-กับรัฐบาลประชาธิปัตย์ อำมาตย์ และคนเสื้อเหลือง ทั้งๆที่รู้แก่ใจว่าการเลือกดังกล่าวอาจเสี่ยงต่อการทำลายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของรัฐและภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ หรือแม้กระทั่งเกิดสงครามระหว่างประเทศก็ตาม

จึงยิ่งชัดเจนว่าไม่มีอะไรที่คุณทักษิณทำไม่ได้เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตนต้องการ แต่ประเด็นปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณทักษิณเท่านั้นคือตัวปัญหา ปัญหาอยู่ที่ประชาธิปไตยในบ้านเราตกอยู่ในมือของ “คนอย่างทักษิณ” มานาน และจะยังเป็นเช่นนี้ไปอีกนาน

เพราะความจริงคือทุกฝ่ายที่ปฏิเสธคุณทักษิณ ต่างก็เป็น “คนอย่างทักษิณ” ทั้งนั้น คือเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ตนต้องการ เช่น ทำรัฐประหารเพื่อประชาธิปไตย ใช้สถาบันกษัตริย์ทำลายศัตรูทางการเมือง อยู่ในสถานะที่กฎหมายห้ามยุ่งการเมืองก็เข้ามายุ่งอย่างไร้ยางอาย โจมตีทักษิณว่าโกหก คอร์รัปชัน ฝ่ายตนก็ทำอย่างเดียวกัน ฯลฯ

นี่อาจเป็นคำตอบว่า ทำไมคุณทักษิณจึงกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อบรรลุเป้าหมาย แม้กระทั่งเลือกอยู่ข้างต่างชาติหรือใช้ต่างชาติมาอยู่ข้างตัวเอง เพราะจริงๆ แล้วคุณทักษิณอาจประเมินแล้วว่า คนไทยชอบ “คนอย่างทักษิณ” หรือไม่มีตัวเลือกอื่นในทางการเมืองนอกจากต้องเลือกคนอย่างทักษิณ

และเมื่อสังคมนี้หนีไม่พ้นคนอย่างทักษิณ ทางชนะคือเป็นคนอย่างทักษิณให้มันสุดๆไปเลย ไม่ต้อง “เหนียม” อีกต่อไป
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็เป็นคนอย่างทักษิณเช่นกัน จะเห็นได้จากการยอมจูบปากกับเนวินไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการดำเนินนโยบายแบบยอมงอไม่ยอมหักกับพรรคร่วมรัฐบาล เช่นการให้เช่ารถเมล์ 4,000 คัน และอื่นๆ แต่คุณอภิสิทธิ์เป็นคนอย่างทักษิณแบบดัดจริตว่าตนเองไม่ได้เป็น เมื่อเจอกับคนอย่างทักษิณแบบไม่ต้องดัดจริต คุณอภิสิทธิ์จึงต้องตกอยู่ในฝ่ายตั้งรับที่เจียนจนจะถูกเขี่ยตกเวทีเข้าไปทุกที

ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศที่กำลังลามไปเป็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ จึงเป็นภาพสะท้อนของปัญหาประชาธิปไตยในมือคนอย่างทักษิณ ทุกฝ่ายคือคนอย่างทักษิณ แม้แต่ตัวเราเองที่อ้างว่าไม่สังกัดสีใดฝ่ายใดก็อาจเป็นคนอย่างทักษิณด้วยเช่นกัน

สังคมเราต้องการประชาธิปไตยที่พ้นไปจากเงื้อมมือคนอย่างทักษิณ แต่เราก็ไม่มีทางขจัดคุณทักษิณหรือคนอย่างทักษิณให้หมดไปได้ วิธีคิดตามแผนบันไดสี่ขั้นที่เชื่อว่าไม่มีคุณทักษิณคนเดียวปัญหาทุกอย่างก็จบ เป็นวิธีคิดที่หลอกตัวเองสุดๆ เพราะพวกที่คิดเช่นนี้ก็คือคนอย่างทักษิณที่ดัดจริตว่าตนเองไม่ได้เลวอย่างคุณทักษิณทั้งนั้น

ทางออกคือเราต้องทำความเข้าใจ “คนอย่างทักษิณ” ให้ชัดเจน แล้วร่วมกันคิดว่าจะวางระบบการเมืองอย่างไรที่จะกำจัดจุดอ่อนและส่งเสริมจุดแข็งของคนอย่างทักษิณได้ เลิกพูดว่าระบบเลือกตั้งไม่เหมาะกับสังคมไทย แต่ต้องให้ความไว้วางใจประชาชน

ให้ประชาชนได้มีสิทธิเลือกและเรียนรู้ จนสามารถพัฒนาไปสู้การสร้างพลังอำนาจของภาคประชาชนในการกำกับตรวจสอบ และใช้คนอย่างทักษิณให้ตอบสนองต่อประโยชน์สุขของส่วนรวมมากที่สุด

หรือกระทั่งประชาชนสามารถสร้างสรรค์ประชาธิปไตยด้วยตนเอง ให้เป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากเงื้อมมือของคนอย่างทักษิณ!

เด็กก็แย่คนแก่ยิ่งไปกันใหญ่


Posted by ภีรเดช โกตมวรีสุรนารถ
รัฐบาลไทยโดยนายกรัฐมนตรีนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะได้สั่งการให้กระทรวงการต่างประเทศปกป้องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของไทยต่อกัมพูชา โดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการเรียกตัวเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงพนมเปญกลับประเทศไทย เพื่อตอบโต้กัมพูชาในกรณีที่มีการแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชาและรัฐบาลกัมพูชา เพื่อเป็นมาตรการปกป้องศักดิ์ศรีของประเทศไทยและเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย

ศักดิ์ศรีประเทศไทยในเรื่องนี้คืออะไร? และผลประโยชน์ของประเทศไทยในกรณีนี้เป็นอย่างไร?

การดำเนินการของรัฐบาลกัมพูชาในกรณีนี้โดยนายกรัฐนตรีฮุนเซนนั้นเป็นการ “ตบหน้า” นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีของไทย หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ โดนนายกรัฐมนตรีกัมพูชาตบหน้ามาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อก่อนการประชุมอาเซียนที่หัวหิน คราวนั้นเป็นการตบแก้มขวา คราวนี้เป็นการตบแก้มซ้าย สำหรับนายอภิสิทธิ์ ดูเหมือนว่าครั้งนี้คงจะ “เจ็บ” เพราะนายกฯ ฮุนเซน ถนัดขวา จึงคิดหาทางตอบโต้ “นายกฯ ฮุนเซน” ด้วยการเรียกเอกอัครราชฑูตไทย ณ กรุงพนมเปญกลับไทยโดยด่วน
เรื่องนี้จะเห็นว่าเป็นเรื่องของคนสองคน มีบุคคลที่สามที่อ้างถึงคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเป็นประเด็นในการกล่าวอ้าง

เป็นธรรมดาอยู่เองที่หากมีใครมาด่าพ่อล่อแม่เรา เราก็สมควรโกรธหรืออาจเกลียด แต่หากเป็นบุคคลทั่วไปการกระทำที่แสดงออกอย่างมากคือไม่มองหน้าไม่พูดคุยด้วย หรือที่เรียกว่า “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” แต่ในกรณีที่คนที่โดนเป็นถึงนายกรัฐมนตรีของประเทศอาการฟาดงวง ฟาดงาจึงมีผลกระทบในการกำหนดนโยบายไปด้วย ข้าพเจ้าเข้าใจและเห็นใจนายอภิสิทธิ์ในกรณีนี้ แต่ไม่เห็นด้วยกับอาการฟาดงวง ฟาดงาที่ได้กระทำการอยู่ในเวลานี้

เมื่อเช้าวันอาทิตย์ (๐๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๒) นายอภิสิิทธ์ เวชชาชีวะจึงได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้ต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจต่อประชาชนภายในประเทศ ซึ่งเนื้อหาข้าพเจ้าฟังแล้วต้องบอกว่าการทำความเข้าใจประเด็นนี้ของนายอภิสิทธิ์ เป็นการมา “ฟ้อง” ประชาชนที่รับชมมากกว่าจะเป็นการทำความเข้าใจ และเนื้อหาก็ชัดเจนว่าเรียกคะแนนมากกว่าจะมองได้เป็นอย่างอื่น กรณีนี้คือหาแนวร่วม

นายอภิสิทธิ์จะเจ็บแค้นนายกฯ ฮุนเซนมากขนาดใหน ข้าพเจ้าคงไม่สามารถรับรู้ได้ แต่เท่าที่จับอาการคงจะ “โกรธมาก” เพราะบุคลิกเด็กดื้อที่ใครๆ ก็รู้ของนายอภิสิทธิ์นั้นต้องเอาชนะให้ได้ และหากเอาชนะไม่ได้ก็จะ “แถ” เพื่อหลบที่จะตอบคำถามต่อสังคม ตอนนี้นายอภสิิสิทธิ์ พยายามเอาชนะอยู่ ต่อไปต้องดูกันว่าจะชนะหรือไม่ หากไม่ก็ต้องตามดูว่าจะแถหรือเปล่า?

ประเทศนี้ดำรงระยะเวลามากว่า ๗๐๐ ปีมีเมืองขึ้นและเมืองบริวารมากมาย ขยายอาณาเขตไปจนถึงพม่า กัมพูชาและมาเลเซียในปัจจุบัน แต่ก่อนเราเป็นศูนย์กลางในแถบภูมิภาคนี้ ใครตั้งตนเป็นเจ้าก็ต้องมีบรรณาการมาถวายกษัตริย์ไทยเพื่อเป็นการเจริญสัมพันธไมตรี เราเคยชินในรับบรรณาการมาแต่ใหนแ่ต่ไร และประเทศแถบนี้ก็คิดกันแบบนี้ไปหมดกระทั่งจีน ประเทศหนึ่งอาจเป็นเมืองขึ้นของอีกหลายเมืองก็เป็นได้ เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี เพราะหากไม่เช่นนั้นประเทศที่ใหญ่กว่าและมีกำลังกว่าย่อมมา “ตี” เพื่อขยายอาณาจักรจของตน หลักคิดนี้มีอยู่ในความคิดของเจ้าผู้ครองรัฐหรือประเทศในอดีตกันทุกคน

แต่ความคิดดังกล่าวก็มลายหายไปเพราะวิวัฒนาการของมนุษย์ก้าวผ่านเวลาในการไปทะเลาะเบาะแว้งเพื่อขยายดินแดน มาเป็นการสร้างความเจริญให้กับประเทศของตน และภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เรื่องต่างๆ ก็เป็นอันยุติ รวมถึงอาณาจักรไทยด้วย

แต่ก็มีหลายคนในปัจจุบันที่หลงยุคคิดว่าประเทศอื่นต้องบรรณาการตน ไม่เช่นนั้นถือว่าเป็นศัตรู รัฐบาลไทยโดยนายอภิสิทธิ์ในเวลานี้ก็กำลังคิดว่ากัมพูชา “แข็งเมือง” จึงได้พยายามดำเนินการเพื่อตอบโต้กัมพูชาให้กำหราบจำ เพราะประเทศไทยในเวลานี้หากมองกันในแง่ความสามารถทางเศรษฐกิจนั้นมีสูงกว่ากัมพูชา และเขตเศรษฐกิจของไทยก็ใหญ่กว่ากัมพูชาหลายเท่า พูดง่ายๆ คือกัมพูชาต้องพึ่งไทยมากกว่ที่ไทยจะต้องพ่งกัมพูชา

การเรียกเอกอัครราชฑูตไทยกลับประเทศนั้น เพื่อกดดันนายกฯ ฮุนเซน ให้ทบทวนการกระทำที่ได้ทำลงไปแล้วและข้พเจ้าก็เห็นว่าอาจจะได้ผล เพราะนายอภิสิทธิ์ กำลังรุกคืบการกดดันด้วยการ “ขู่” ว่าไทยจะพิจารณาในเรื่องการลงทุนและการตกลงทางการค้ากับกัมพูชาใหม่ และกำหนดเป้าหมายทั้งหมดใหม่

นายกฯ ฮุนเซนคงอ่อนข้อให้นายอภิสิทธิ์ เพราะนายกฯ ฮุนเซนรู้ว่าเสียเปรียบและรู้ว่าบทบาทที่ตนเองควรเล่นในตอนนี้นั้นต้องรักษาผลประโยชน์ของประชาชนชาวกัมพูชา โดยเฉพาะการค้บริเวณชายแดนไทยกัมพูชา เพราะหาไม่แล้วประชาชนกัมพูชานั่นแหละที่จะเป็นคนมากดดันนายกฯ ฮุนเซนอีกที

เรื่องต่างๆ ต้องดูักันต่อไปเพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ ข้าพเจ้าได้อ่านบทความของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ว่ารัฐบาลไทยพร้อมแล้วหรือที่จะรบกับกัมพูชายืดเยื้อ ซึ่งข้าพเจ้าเห็นด้วยในประเด็นนี้ แต่ข้าพเจ้าไม่คิดว่านายอภิสิทธิ์จะทำสงครามกับกัมพูชาเพราะกรณีนี้ เพราะนี่เป็นการ “ฟาดงวง ฟาดงา” ของนายอภิสิทธิ์เท่านั้น

แต่ต่อไปนี้นี่แหละสำคัญ เพราะหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร หากนายอภิสิทธิ์กดดันนายกฯ ฮุนเซนได้แล้ว นายกฯ ฮุนเซนจะทำอย่างไร? หากถามนายอภิสิทธิ์ก็ต้องได้คำตอบว่าไม่ใช่เรื่องของตนให้ไปถามนายกฯ ฮุนเซน นายกฯ ฮุนเซนอาจไปกราบบังคมทูลสมเด็จเหนือหัวแห่งกัมพูชาให้ตราพระราชกฤษฎีกายกเลิกประกาศอันเก่าก่อนหน้า แล้วทุกอย่างก็กลับมาปกติสุขเหมือนเดิม?

มันเป็นไปไม่ได้ไม่ว่ากรณีใด รัฐธรรมนูญไทยกับกัมพูชานั้นคล้ายกัน คือกษัตริย์กับการเมืองนั้นแยกกัน แต่รายละเอียดนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบแต่ก็คงเหมือนกันอยู่บ้างในหลักการ และหากเรามองย้อนในมุมกลับ เกิดวันดีคืนดีนายอภิสิทธิ์แต่งตั้งนายฟีเดล คาสโตรอดีตประธานาธิบดีคิวบาเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลและของนายกรัฐมนตรีไทยเพราะคิดว่ามีความรู้ความสามารถ โดยใช้เกณฑ์เดียวกันกับกัมพูชานั่นคือต้องตราพระราชกฤษฏีกา ให้กษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และอีกเช่นกันสหรัฐอเมริกาบอกว่าจะทบทวนความสัมพันธ์ทางการฑูตและการค้ากับไทยใหม่นายอภิสิทธิ์จะทำอย่างไร?

ที่ถามนี่รู้คำตอบว่านายอภิสิทธิ์จะต้องบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ ตนจะไม่ทำอย่างนั้น ถึงสมมติก็เป็นไปไม่ได้” แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงถามต่อไป

มาตรการต่อไปของนายอภิสิทธิ์นั้นคงจะกดดันนายกฯ ฮุนเซนต่อไปคือทำทุกอย่างให้มันอึมครึมเข้าไว้ แต่คงไม่ถึงขั้นปิดด่านเพราะจะกระทบคะแนนจากพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของบริเวณชายแดน นายอภิสิทธิ์สามารถทำได้อย่างมากก็แค่ขอร้องนักพนันชาวไทยให้กลับตัวกลับใจเลิกเล่นการพนันยังบ่อนกัมพูชาและหันหน้ามาช่วยกันพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญรุดหน้าทันชาวโลก

ทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง และเรื่องจริงจะจบลงได้ดีกว่านี้หากนายอภิสิทธิ์คิดถึงผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติ “จริงๆ” ตามที่ได้ระบุไว้ในแถลงการณ์ เพราะหากนับนิ้วมือข้อได้ข้อเสียแล้ว ไม่มีใครได้อะไรเลยกับการกระทำครั้งนี้ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ นายอภิสิทธิ์อาจโยนเรื่องนี้ไปให้อดีตนากฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่าเป็นตัวต้นเรื่องของเรื่องทั้งหมด ซึ่งนายอภิสิทธิ์สามารถคิดแบบนั้นได้ เพราะมันง่ายที่สุดที่จะคิดแล้ว แต่อย่าลืมว่าตนเองเป็นรัฐบาลของประเทศไทย การกระทำทุกอย่างต้องตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าผลประโยชน์ของประชาชนต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง หากการกระทำใดๆ ทำลงไปแล้วประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรก็ไม่สมควรทำ

ข้าพเจ้าขอยกคำของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์มาอ้าง “ดังนั้นอยากให้รัฐไทยมองกัมพูชาเท่ากับเรามองสหรัฐฯ หรือจีนได้หรือไม่? ไม่ต้องมองเป็นลูกน้องที่จะต้องยอมเราตลอด เพราะว่าหากเรามองตามความจริงแบบนี้ จะำทำให้เรากลับมาคิดว่าเราจะต้องวางแผนอย่างไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น และจะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่เสียเปรียบกัมพูชา เพราะหากรัฐไทยยังมองกัมพูชในทัศนคติเช่นนี้ ก็ไม่แน่ใจว่ารัฐไทยจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของรัฐไ้ทยได้หรือไม่?”

เรื่องของศักดิ์ศรีนั้นเป็นเรื่องใหญ่ข้าพเจ้าเห็นด้วยและยอมรับ แล้วเรื่องของประชาชนล่ะ “เรื่องใหญ่” หรือไม่?

ความสัมพันธ์ของคนเรานั้นใช้เวลาไม่นานเราก็หักสะบั้นมันลงได้ แต่หากเราจะสร้างมันขึ้นมานี่ต่างหากเป็นเรื่องยาก หากจำประเทศซาอุดิอาระเบียได้ก็จะรู้ว่าเรื่องราวมันยากเย็นขนาดใหน

ถึงเวลาหรือยังที่คนใหญ่คนโต “ตัวจริง” จะคุยกันในเรื่องทั้งหมดนี้ หรือจะให้มันแบบนี้ “เด็กก็แย่ คนแก่ยิ่งไปกันใหญ่”

สัมภาษณ์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ: “ตอนนี้เป็นคนไทยกี่ฝ่ายที่ต่อสู้กัน ขณะที่กัมพูชาเหลืออยู่ฝ่ายเดียว”


ประชาไท : ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประเมินความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จะกลายเป็นความรุนแรงภายในประเทศไทยเองเพราะการตอบโต้ระหว่างขั้วการเมืองในไทยทีรุนแรงทั้งฝ่ายทักษิณและอภิสิทธิ์ ขณะที่ภาพลักษณ์ประเทศไทยกำลังตกต่ำในเวทีโลกพร้อมฉุดให้อาเซียนกลายเป็นตัวตลก ติงสื่อใช้วาทกรรมชาตินิยมแบบเก่า

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ผู้บุกเบิกโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถาบันที่มุ่งสร้างองค์ความรู้และความเข้าใจประเทศเพื่อนบ้านของไทยในภูมิภาคอุษาคเนย์ ให้สัมภาษณ์ประชาไทถึงกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา ซึ่งชาญวิทย์แสดงความวิตกกังวลว่า จะบานปลาย ขณะเดียวกันมีแนวโน้มว่าความรุนแรงจากความขัดแย้งจะขยายวงเป็นความรุนแรงในประเทศไทย เพราะขณะนี้ ไทยแตกเป็นหลายฝ่าย ขณะที่กัมพูชาไม่มีฝักฝ่ายทางการเมืองผนวกกับการเมืองระหว่างประเทศคงไม่สนับสนุนความขัดแย้งในภูมิภาคอาเซียน


ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
และผู้ก่อตั้งโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มธ.


จากกรณีความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ไทยใช้มาตรการรุนแรงเกินไปหรือไม่ และจะเกิดผลกระทบอย่างไร
ในเบื้องต้นผมคิดว่าการเรียกทูตกลับนั้นรุนแรงเกินไป เพราะมีมาตรการอื่นๆ ทางการทูตที่ยังทำได้ก่อนขั้นตอนเรียกทูตกลับ ดังนั้นในเบื้องต้น เรื่องนี้ถูกทำให้เป็นการเมืองภายใน ที่เริ่มต้นจากการเมืองภายในประเทศไทยเอง คือระหว่างคุณอภิสิทธิ์ กับคุณทักษิณ ซึ่งขยายไปเป็นการเมืองระหว่างประเทศ แล้วก็เป็นมาตรการซึ่งมองแต่ทางด้านของการเมือง โดยไม่เอาเรื่องเศรษฐกิจมาพิจารณา และไม่เอาเรื่องภูมิภาคมาพิจารณาด้วย คือ อาเซียน ดังนั้น ผมก็มองว่าทุกอย่างถูกทำให้เป็นการเมืองไปหมด

เราไม่ได้มองถึงผลเสียหายระยะยาวที่ตามมา ผมคิดว่าในกรณีนี้เป็นการใช้ชาตินิยมแบบเก่ามาใช้ในบริบทที่มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ในขณะนี้ขนาดของการลงทุนในกัมพูชามีมากมายมหาศาลเป็นจำนวนเงินกว่าพันล้านบาท และมีการลงทุนขนาดใหญ่มากๆ ตังแต่บริษัทใหญ่ๆ เช่น ปูนซีเมนต์ ธนาคารไทยพาณิชย์ โรงแรมขนาดใหญ่ก็ดี ไล่ลงมาถึงระดับกลาง ประเภทโรงงานอุตสาหกรรม หรอธุรกิจการค้า จนกระทั่งระดับเล็กน้อยที่มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนโดยคนระดับเล็กๆ

ผมว่านี่เป็นสถานการณ์ใหม่ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในอดีต ความขัดแย้งเรื่องเขาพระวิหารใน พ.ศ. 2505 ไม่มีบริบทพวกนี้เลย แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปมาก


อาจารย์มองบทบาทของสื่อไทยต่อกรณีนี้อย่างไร
สื่อตกอยู่ในวาทกรรมชาตินิยมเดิม เป็นชาตินิยมเก่า ผมว่าการมองเรื่องนี้เป็นเรื่องเกียรติภูมิศักดิ์ศรีของประเทศนั้นเป็นวิธีการมองแบบเก่า เป็นการมองแบบการเมือง แต่ไม่ได้มองมิติทางเศรษฐกิจ หรือความร่วมมือในภูมิภาค

ผลการประชุมที่ประเทศญี่ปุ่น พบว่าทั้งญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แม้แต่เลขาธิการอาเซียน คุณสุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็แสดงความวิตกกังวลและเป็นห่วงเป็นใย ซึ่งความขัดแย้งครั้งนี้จะกระทบต่ออาเซียน ทำให้องค์กรอาเซียนกลายเป็นตัวตลกไป เพราะนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเมื่อประชาคมอาเซียนมีกฎบัตรอาเซียนได้ไม่นาน ภาพของไทยต่อโลกในฐานะเป็นประเทศใหญ่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองสูงก็จะตกต่ำในวงการระหว่างประเทศ

เมื่อมองในแง่นี้ ในเบื้องต้นผมคิดว่าประชาธิปัตย์ได้แต้มในตอนแรก ในแว่บแรกดูเหมือนเป็นมาตรการที่คนทั่วไปพอใจ แต่ระยะยาวเมื่อมีผลกระทบรุนแรง ผมไม่แน่ใจ มันอาจจะพิสูจน์ได้เมื่อมีการเลือกตั้งอีกครั้ง และผลสำรวจความคิดเห็น หรือโพลล์ก็จะเปลี่ยนในเวลาอีกไม่นาน ผมดูจากคอลัมน์ต่างๆ ในหนังสือพิมพ์ภายในเวลาสองวันเสียงติติงก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว

ฝ่ายไทยจะลดระดับความขัดแย้งนี้ลงได้หรือไม่ อย่างไร
ต้องพยายามไม่ให้เรื่องบานปลาย แล้วไม่ให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่บานปลายไปถึงเรื่องของความมั่นคง แต่จากการสังเกตผมคิดว่า ทหารของทั้งสองประเทศยังไม่เล่นด้วย ผู้นำทหารทั้งสองฝ่ายยังไม่ลงมาเล่นในเกมนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่าทีของกองทัพบกฝ่ายไทย หรือกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาก็ดี แต่นี่ก็เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจมากว่าในการเมืองระหว่างเหลืองแดง สีเขียวยืนอยู่ตรงไหน

กลับมาประเด็นที่ว่าในที่สุดแล้ว ถ้าเราประเมินจริงๆ ถามว่านี่เป็นมาตรการที่รุนแรงเกินไปหรือไม่ และจะบานปลายหรือไม่ ผมเห็นว่าเป็นอย่างนั้น

แต่ในขณะนี้ทางนายกรัฐมนตรีไทยยังมีท่าทีแข็งกร้าว และยืนยันว่าเป็นปัญหาที่ทางกัมพูชาสร้างขึ้นกัมพูชาก็ต้องแก้ไข
เขาก็ต้องพูดอย่างนั้น ผมคิดว่าคุณทักษิณและคุณชวลิตเล่นแรง และคุณอภิสิทธิ์ก็เล่นแรงตอบ ก็ต้องแปลว่าเกมนี้เข้าทางประชาธิปัตย์หรือเข้าทางทักษิณ ผมคิดว่าเบื้องต้นประชาธิปัตย์อาจจะได้คะแนน แต่เราสามารถฟังธงได้ไหมว่าชาตินิยมเก่าที่ใช้กันมาประมาณ 100 ปีจะได้ผล ถึงจุดนี้ชาตินิยมแบบที่เรารู้จักอยู่กับที่หรือกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนใหม่ ชาติคืออะไรและเป็นของใครกันแน่

ผมเชื่อว่าปัญหามันใหญ่โตและรุนแรงมาก ฝ่ายคุณอภิสิทธิ์จะแรง และคุณทักษิณและคุณชวลิตก็แรง ก็จะนำไปสู่การขัดแย้ง การนองเลือดหรือจลาจลในที่สุด ความเสียหายจะมีมาก


อาจารย์มองว่าความรุนแรงจะเกิดขึ้นในประเทศไทยมากกว่าจะเป็นความรุนแรงระหว่างประเทศอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เป็นคนไทยกี่ฝ่ายที่ต่อสู้กันขณะที่กัมพูชาเหลืออยู่ฝ่ายเดียว การ์ตูนเกาเหลาชามเล็ก (หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 6 พ.ย. 2552 ) พูดได้ชัดเจนมากว่าคนไทยคงลืมไปแล้วว่าเมื่อตอนที่เขมรแตกเป็นหลายฝ่ายนั้น คนไทยสนับสนุนเขมรแดงอย่างลับๆ อยู่หลายปี ตอนนี้เราก็ต้องเผชิญกับเขมรที่สนับสนุนไทยแดง

สำหรับความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น เนื่องจากกรณีความขัดแย้งครั้งนี้มีตัวแปรมาก ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน ซึ่งยังคงให้การสนับสนุนความร่วมมือการลงทุนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ล่าสุดหลังการประชุมที่ญี่ปุ่นก็อนุมัติความช่วยเหลือการลงทุนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงกว่าสองแสนล้านบาท นี่ยังพอทำให้อุ่นใจว่า การเมืองระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ภูมิภาคอาเซียนก็ดี จีน ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกาก็ดี คงจะไม่ให้ความร่วมมือด้วย ปัญหาก็ไม่น่าจะบานปลาย สิ่งที่ผมคิดว่าน่าวิตกก็คือการใช้กำลังทางทหาร แม้ว่าโดยอาวุธยุทโธปกรณ์ของไทยอาจจะเหนือกว่ากัมพูชา แต่เราไม่พร้อมที่จะรบในระยะยาว และไม่พร้อมหากจะต้องรบแบบสงครามกองโจร

สิ่งที่รัฐบาลไทยทำจะไม่มีผลบีบบังคับกัมพูชาเลยหรือ
สิ่งที่ฮุน เซน ทำเหมือนกับเป็นการวางแผนอย่างยืดยาวทีเดียว เพราะฉะนั้นแปลว่า ก็คงไปบีบกัมพูชายากมาก เอาเข้าจริงแล้ว คนที่รู้ประวัติศาสตร์สักหน่อยก็จะรู้ว่าปกติไทยมักจะเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในกัมพูชา แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่กัมพูชาเข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในของไทย โดยมีลาวและเวียดนามเป็นพันธมิตร นี่เป็นครั้งแรกในมิติประวัติศาสตร์ เพราะจากประวัติศาสตร์ ที่เรียกว่า ‘อันนัมสยามยุทธ์’ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่จะเห็นศึกระหว่างเวียดนามกับไทยที่พยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองกัมพูชา โดยต่างฝ่ายต่างต้องการให้คนของตัวได้เป็นจักรพรรดิ ในตอนนี้ กัมพูชาเข้ามาแทรกแซงการเมืองที่แตกแยกของไทย ก็แสดงว่าไทยนั้นแตกแยกกันเหลือเกิน

ผมคิดว่าเราต้องไม่ปล่อยสถานการณ์ดำเนินไปอย่างนี้ ต้องช่วยกันกระตุก หยุดยั้ง โดยเฉพาะสื่อมวลชน ซึ่งต้องทำการบ้านให้มากทีเดียวคือการเห็นสถานการณ์แล้วก็ใช้ Common Sense (สามัญสำนึก) มาวิเคราะห์นั้นทำไม่ได้แล้ว ต้องทำการบ้านหนัก ต้องรู้ประวัติศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศด้วย

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

“มาร์ค”สะดุด เกมแห่ง”โอกาส”


ข่าวสด : แม้ว่าเซียนเศรษฐกิจจะชี้ตรงกันว่า ขณะนี้ เศรษฐกิจโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทย ได้ผ่านจุดวิกฤตที่สุดไปแล้ว

ต่อไปนี้คือการฟื้นตัวของประ เทศใครประเทศมัน

จะช้าหรือเร็วขึ้นกับปัจจัยต่างๆ รวมถึง “กึ๋น” และ “ฝีมือ” ของแต่ละรัฐบาล

ในแง่ของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้แนวโน้มเศรษฐกิจ เป็นปัจจัยอันเป็นคุณ หรืออาจจะเรียกว่า “ตัวช่วย” อย่างดี

นักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาแล้ว มีการโหวตให้ประเทศไทยเป็นเมืองน่าเที่ยวและคุ้มค่าระดับท็อปของเอเชีย

แต่การจะขยายปัจจัยที่ดี ให้เป็นผลสำเร็จที่ชัดเจน ยังมีอุปสรรคขวากหนามกองโตมโหฬาร ตั้งขวางทางอยู่

เรียกว่ามีโอกาส มีจังหวะ แต่ยิงไม่ได้ เพราะสถานการณ์จริง ไม่เหมือนฟุตบอลกระชับมิตร ที่มีตัวช่วยป้อนลูกให้ทำแฮตทริก

แต่ชีวิตจริง มีด่านสกัดที่เล่นเสียบเอาถึงตาย ทั้งภายนอกรัฐบาล ภายในพรรคร่วมรัฐบาล และภาย ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง

ในขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์เอง ก็เดินหมากผิดพลาด

ตั้งแต่ความโน้มเอียงไปทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิป ไตย ในขณะที่สีเหลืองสีแดง ยังไม่ยุติการเผชิญหน้า

การข่าวผิดพลาดอย่างรุนแรง ทำให้ตัดสินใจผิดพลาดจากการแต่งตั้งผบ.ตร.

กลายเป็นปัญหาสั่นสะเทือนอย่างลึกซึ้ง ข้ามปีงบประมาณ เดินหน้าไม่ได้ถอยหลังก็ไม่ได้

บุคคลสำคัญในพรรคประชาธิ ปัตย์ อย่าง นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ต้องลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ

ขณะที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ก็ออกอาการเหน็ดหน่ายกับหัวหน้ารัฐบาลเต็มที

จากนักการเมืองต้นทุนสูง ที่หลายฝ่ายในสังคมให้การสนับสนุน ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป

หลังจากดิ้นรนหาทางแก้ไขปัญหามาพักใหญ่ แต่ไม่เป็นผล

ขณะนี้ เริ่มมีกระแสข่าวจากภายในรัฐบาลว่า นายอภิสิทธิ์จะตัดสินใจยุบสภาในต้นปีหน้า 2553 นี้

จุดแข็งของนายอภิสิทธิ์ คือเรื่องการต่างประเทศ ซึ่งทำให้เสียงคุยโม้ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าตัวเองเป็นบุคคลที่ต่างประเทศซูฮกยกนิ้ว ต้องเงียบเหงาไปหลายเดือน

ก่อนจะกลับมาอีกครั้ง โดยประกบคู่มากับสมเด็จฮุนเซน

จุดแข็งของนายอภิสิทธิ์ กลายเป็นเป้าถล่มของฮุนเซนและพ.ต.ท.ทักษิณ

ตีไปที่ความอ่อนไหวต่อการยั่วยุของนายอภิสิทธิ์ และได้ผลระดับหนึ่ง

โดยเฉพาะกรณีล่าสุดคือการที่สมเด็จฮุนเซน มีประกาศ ตั้งพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษา ประเทศกัมพูชา

ไทยใช้มาตรการแข็งกร้าว เรียกทูตกลับ เข้าทางกัมพูชาซึ่งเรียกทูตกลับเช่นกัน

ในครั้งนี้ เหตุเกิดก่อนที่นายอภิสิทธิ์จะไปราชการ ต่างประเทศครั้งสำคัญ ซึ่งจะเป็นไฮไลต์ในแง่ข่าวของรัฐบาลในห้วงเดือนพฤศจิกายน

คือไปเยือนญี่ปุ่น ไปประชุมผู้นำเอเปกที่สิงคโปร์ และเป็นประธานการประชุมผู้นำอาเซียน กับประธานาธิบดีบารัก โอบามา

คล้ายๆ ก่อนหน้านี้ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ชะอำ-หัวหิน ถูกบดบังด้วยเกมการเมืองจากสมเด็จฮุนเซนและพ.ต.ท.ทักษิณ

ครั้งนี้ เป็นจุดตกต่ำสุดอีกครั้งของความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา

ปัญหาไทย-กัมพูชาในครั้งนี้ แยกไม่ออกจากความเคลื่อน ไหวของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และพ.ต.ท.ทักษิณก็จริง

แต่พล.อ.ชวลิตและพ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นศัตรูทางการเมืองของรัฐบาล แม้จะไปจับมือกับผู้นำต่างประเทศ ก็ยังถือเป็นปัญหาการเมืองระหว่างรัฐบาล

การจะนำเอาชื่อประเทศไทยไปตอบโต้ ยกฐานะบุคคลเหล่านี้เป็นศัตรูของประเทศ จะต้องใคร่ครวญอย่างรอบคอบ

อาจจะต้องผ่านกระบวนการให้ความเห็นชอบของตัวแทนประชาชน โดยนำเข้าหารือในสภาด้วยซ้ำ

แม้จะมีโพลระบุว่า ประชาชนสนับสนุนการตัดสินใจของนายอภิสิทธิ์ แต่รัฐบาลจะต้องพิจารณาปัญหาทั้งหมดจากผลประโยชน์ของประเทศไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่เฉพาะรัฐบาลเท่านั้น

รัฐบาลที่ดี นอกจากจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติมหาอำนาจ ชาติห่างไกล เพื่อนร่วมทวีปแล้ว

กับเพื่อนบ้านที่มีรั้วติดกัน ต้องคุยกันให้รู้เรื่องยิ่งกว่า

เพื่อประโยชน์ในการทำมาหา กินและไปมาหาสู่ของประชาชน และเพื่อเป็นพลังต่อรองร่วมกันของชาติจากภูมิภาคเดียวกัน

หากประโยชน์นี้เสียไป ก็ย่อมหมายถึงความเสียหายทางการเมืองของผู้นำรัฐบาลนั่นเอง

ในขณะที่จุดอ่อนของรัฐบาลนับวันยิ่งขยายใหญ่

จุดอ่อนของรัฐบาลผสม คือความ ขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ที่แตกต่างกันอยู่แล้วโดยพื้นฐาน

เพียงแต่ตอนที่มาจับมือร่วมกันตั้งรัฐบาล ปัญหานี้จะถูกเก็บซุกไว้ก่อน แต่จะค่อยๆปรากฏตัวออกมา และเพิ่มความรุนแรง แล้วแต่ความสามารถในการบริหารจัดการของพรรคแกนนำ

เวลาผ่านไป 10 เดือน สภาพที่เรียกกันว่า “เตะจานข้าว” ในวงรัฐบาล เพิ่มความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ

ตั้งแต่เรื่องรถเมล์ 4 พันคัน ที่แม้จะอนุมัติแล้ว แต่พรรคแกนนำรัฐ บาลก็ตั้งเงื่อนไขวางยาเอาไว้

มาจนถึงเรื่องมันสำปะหลังในกระทรวงพาณิชย์ การหยุดเดินรถของสหภาพแรงงานการรถไฟฯ ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยงัดข้อกันอย่างรุนแรง

การกลับจากแคนาดามาสู่คุกไทยของนายราเกซ สักเสนา จำเลยระดับคีย์แมนของคดีธนาคารบีบีซี ที่เคยมีกลุ่ม 16 เป็นลูกค้ารายใหญ่ ก็สร้างบรรยากาศหวาดระแวงขึ้นภายในพรรครัฐบาล

ความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐ บาล ผูกประสานกันไว้อย่างหลวมๆ ด้วยโอกาสในการเป็นรัฐบาล

มีอำนาจสั่งราชการ มีอำนาจสั่งใช้งบประมาณแผ่นดิน

ประกอบกับความไม่พร้อมที่จะเลือกตั้งในเร็ววัน เพราะพรรคเพื่อไทยยังครองความได้เปรียบในสนามเลือกตั้ง

ทำให้ต้องอยู่กันแบบวันต่อวันไปก่อน

ขณะที่ภายในพรรคประชาธิปัตย์เอง ก็เกิดความแตกร้าวจากความไม่พอใจวิธีการนำ วิธีการบริหารของนายอภิสิทธิ์

สภาพจึงกลายเป็นว่า นายอภิสิทธิ์ยังดำรงสถานะผู้นำอยู่ได้ ไม่ใช่เพราะผลงานหรือความนิยม

แต่เพราะทุกฝ่ายมีศัตรูร่วมคือพ.ต.ท.ทักษิณ หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์มีอันเป็นไป ก็จะเข้าทางพ.ต.ท. ทักษิณ

เกมในขณะนี้ จึงได้แก่การเร่งรัดเผด็จศึก จากอดีตผู้นำในแดนไกลอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ

ขณะที่ขั้วรัฐบาลตั้งรับอย่างสะเปะสะปะ