รักเกียรติ สุขธนะ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำคลองเปรมแล้ว เผยสำนึกผิดที่ทำลงไปแล้ว ลั่นจะไม่หันกลับไปเล่นการเมืองอีก หลังจากกรมราชทัณฑ์อนุมัติพักการลงโทษ รักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สธ. หลังติดคุกยาวกว่า 5 ปี ในคดีทุจริตจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ นัดปล่อยตัวจากเรือนจำคลองเปรมเย็นนี้
(29 ต.ค.) นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ได้อนุมัติให้พักการลงโทษนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรัฐมนตรีว่าการทรวงสาธารณสุข ซึ่งต้องโทษจำคุกในเรือนจำกลางคลองเปรมในคดีทุจริตจัดซื้อยาเวชภัณฑ์ และคดีความผิดตามพ.ร.บ.การใช้เช็ค ต้องโทษจำคุก 17 ปี 6 เดือน ซึ่งก่อนหน้านี้นายรักเกียรติได้รับพระราชทานอภัยโทษโดยลดโทษให้คงเหลือโทษจำคุก 9 ปี 2 เดือน
นายรักเกียรติ ได้รับโทษจำคุกมานานกว่า 5 ปี เหลือโทษจำคุกจริงอีก 2 ปี 6 เดือน หรือประมาณ 1 ใน 3 จึงถือว่ามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์การขอพักการลงโทษ คณะกรรมการพิจารณาพักการลงโทษได้พิจารณาแล้วเห็นว่า นายรักเกียรติประพฤติตัวดี ไม่ก่อปัญหาหรือฝ่าฝืนกฎระเบียบของเรือนจำ จึงอนุมัติให้พักการลงโทษและได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังเรือนจำกลางคลองเปรมเพื่อให้ปล่อยตัวนายรักเกียรติ ในเบื้องต้นทราบว่านายรักเกียรติจะกลับไปพักอาศัยในจ.อุดรธานีซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม
ทั้งนี้ในระหว่างการพักการลงโทษจำคุกกว่า 2 ปีนี้ นายรักเกียรติจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในการคุมประพฤติ โดยจะต้องเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมประพฤติทุก ๆ 1 เดือน และจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการกระทำความผิดใดๆ มิเช่นนั้นจะถือว่าผิดเงื่อนไขในการพักการลงโทษ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะต้องนำตัวกลับมารับโทษเก่าที่ได้รับการพักโทษไว้ให้ครบจำนวน
นายสมศักดิ์ รังสิโยภาส ผบ.เรือนจำกลางคลองเปรม กล่าวว่า ภายหลังเรือนจำได้รับหนังสือแจ้งเรื่องการพักการลงโทษจากกรมราชทัณฑ์ เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารทั้งหมด จากนั้นจะเบิกตัวนักโทษออกจากแดนคุมขังเพื่อปล่อยตัวออกจากเรือนจำ
ด้านนางพรสวรรค์ เกิดโภคา ผอ.สำนักทัณฑปฏิบัติ กรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า กรมราชทัณฑ์ได้พิจารณาพักการลงโทษให้กับผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศกว่า 200 คน โดยเริ่มพิจารณาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ทั้งนี้การพิจารณาพักการลงโทษเป็นการพิจารณาโดยคณะกรรมการกลั่นกรองที่มีบุคคลภายนอกเข้าร่วมเป็นกรรมการ ไม่ใช่การพิจารณาเป็นการภายในของกรมราชทัณฑ์ นอกจากนี้ยังผ่านความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องขังที่ได้รับการพักการลงโทษจะต้องเข้ารายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่คุมประพฤติทุก 1 เดือน ส่วนเงื่อนไขอื่นๆอาทิ การบำเพ็ญประโยชน์ในช่วง 2 ปี 6 เดือนนั้น ขึ้นอยู่กับกรมคุมประพฤติจะกำหนดให้ผู้ได้รับการพักการลงโทษปฏิบัติตามความเหมาะสมเป็นรายๆไป
ก่อนหน้านี้ ในระหว่างการต้องโทษคุมขังนายรักเกียรติเคยร้องขอย้ายจากเรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อไปคุมขังในเรือนหนองบัวลำภู โดยอ้างว่าเป็นการย้ายกลับภูมิลำเนาเพื่อให้ญาติสะดวกในการเข้าเยี่ยม จากนั้นได้ทำเรื่องขอย้ายกลับมาเรือนจำกลางคลองเปรมอีกครั้ง โดยนายรักเกียรติให้เหตุผลว่า ป่วยเป็นโรคเบาหวาน จำเป็นต้องพบแพทย์เป็นประจำเกือบทุกสัปดาห์ จึงขอย้ายมารับโทษจำคุกที่เรือนจำกลางคลองเปรม เพื่อความสะดวกในการรักษาพยาบาลในทัณฑสถานโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ และเพื่อให้ใกล้กับที่อยู่ของภรรยา
สำหรับนายรักเกียรติเป็นรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องโทษจำคุกคดีทุจริตรับสินบน ตามการชี้มูลความผิดของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.) โดยเมื่อวันที่ 28 ต.ค. 2546 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาลงโทษจำคุก 15 ปี ฐานทุจริตรับเงินสินบน 5 ล้านบาทจากบริษัทยา ทำให้สาธารณสุขจังหวัดต้องจัดซื้อยาในราคาแพง
แต่คดีนี้นายรักเกียรติหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา กระทั่งมีพลเมืองดีพบเห็นนายรักเกียรติขณะออกกำลังกายในสวนสาธารณะย่านปากเกร็ด จ.นนทบุรี จึงแจ้งให้ตำรวจจับกุมตัวเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2547 และเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2547 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ออกหมายขังคดีถึงที่สุด หลังรับตัวนายรักเกียรติ จากตำรวจและส่งตัวไปรับโทษตามคำพิพากษา
รักเกียรติออกคุกสำนึกผิดแล้วไม่ยุ่งการเมืองอีก
เมื่อเวลา 18.00 น. นายรักเกียรติ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำคลองเปรม โดยมีภรรยาและลูกๆ มารอรับ ด้านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม และทันทีที่พบหน้าภรรยา นายรักเกียรติได้โผเข้ากอดและหอมแก้มภรรยา พร้อมทั้งกล่าวว่าขอบคุณกรมราชทัณฑ์ ที่มีโครงการพักโทษที่ผ่านมาตนได้รับพระราชอภัยโทษถึง 2 ครั้ง ที่ทำให้รู้สึกสำนึกผิด
"หลังจากนี้จะตั้งใจทำมาหากินอย่างสุจริตไปใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี ตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น และได้ศึกษาธรรมจนได้นักธรรมตรี ตนคิดว่าโชคดีที่ถูกจับมาติดคุก เพราะหากวันนั้นหนีไปคงใช้ชีวิตอยากลำบาก หรืออาจจะไม่มีแผ่นดินอยู่ หลังจากนี้ไม่คิดที่จะเล่นการเมืองแล้ว" นายรักเกียรติ กล่าว
วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ผู้นำกับการบริหารความขัดแย้ง
The distance between insanity and genius is measured only by success.-ระยะห่างระหว่างความวิกลจริตกับอัจฉริยะนั้นวัดกันที่ความสำเร็จ-Bruce Feirstein
ผู้นำที่ดีนั้นมีจุดหมายที่เหมือนกันในทุกองค์กรนั่นคือต้องนำพาองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ และควบคุมคนในองค์กรให้ทำหน้าที่ของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป้าหมายที่ตนเองหรือองค์กรตั้งเอาไว้ องค์กรที่มีขนาดใหญ่ทั้งจำนวนบุคลากรและงบประมาณ รวมถึงสินค้าที่ผลิตมีจำนวนมากหรือหลากหลายย่อมต้องเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนของการดำเนินงานขององค์กรและนำผลการดำเนินการมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตและทำวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้บริโภคในตลาดว่าผลิตภัณฑ์ตัวใดเหมาะสมหรือไม่อย่างไร? เพื่อเอาไปปรับใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็จะถูกองค์กรอื่นหรือบริษัทคู่แข่งแย่งฐานลูกค้าไป
เป็นหลักการง่ายๆ ในการทำธุรกิจ ซึ่งใครๆ ก็ทราบแต่การนำไปปรับใช้นั้น น้อยคนนักที่จะประสบผลสำเร็จ และมีหลายคนที่ไม่เคยคิดจะทำตามหลักการที่ว่านั้นเลย นี่จึงเป็นเหตุให้มีคำว่า “ผู้นำที่ประสบผลสำเร็จ” และ “ผู้นำที่ประสบความล้มเหลว”
ในทุกองค์กรและทุกสังคมเมื่อมีคนอยู่กันเกินกว่าสองคนความเห็นที่ขัดแย้งกันหรือสวนทางกันก็ย่อมมีเป็นธรรมดา เพราะพื้นฐานที่แตกต่างกันหลายอย่าง และการทำคนให้เป็นคนขึ้นมามันไม่ได้มีสูตรสำเร็จ กระทั่งพี่น้องเกิดมาติดๆ กันก็ไม่แน่ว่าจะเห็นตรงกันไปทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้นำในองค์กรหรือสังคมไม่ว่าบ้านหรือหมู่บ้าน เมือง จังหวัด ประเทศหรือระหว่างประเทศย่อมมีบทบาท และหน้าที่ที่สำคัญในการควบคุมและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนโดยเอาเป้าหมายขององค์กรเป็นที่ตั้ง
ความขัดแย้งกันภายในสังคมหรือองค์กรนั้นไม่ว่าเรื่องอันใดหากถึงที่สุดแล้วมีบทสรุปก็จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สังคมและองค์กรนั้นๆ อย่างเหลือเชื่อ แต่กว่าจะถึงจุดแห่งบทสรุปนั้น หน้าที่ต่างๆ ในการควบคุมสมาชิกหรือบุคลากรในสังคมและองค์กรเหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้นำที่มีหน้าที่ทำให้ประเด็นขัดแย้งไม่นำมาซึ่งการโต้แย้งหรือนำมาซึ่งข้อขัดแย้งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์ต่องสังคมหรือองค์กรนั้นๆ การทำหน้าที่ของผู้นำหากมีขีดความสามารถอย่างถึงที่สุดแล้วก็จะสามารถนำสมาชิกหรือบุคลากรในสังคมหรือองค์กรนั้นๆ ไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกได้ โดยตนเองเป็นผู้นำที่คอยตัดสินใจว่าควรจะตัดสินใจในเวลาใด และนี่ก็เป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำที่มีความสามารถ
หลักการประการแรกและประการสำคัญในการบริหารความขัดแย้งภายในสังคมหรือองค์กรก็คือจะทำอย่างไรให้สมาชิกในสังคมหรือบุคลากรในองค์กรเห็นความสำคัญของเป้าหมายและแก่นแท้จริงๆ ของจุดหมายปลายทางที่มีร่วมกันและประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันเมื่อพวกเขาเหล่านั้นนำพาองค์กรหรือสังคมไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ และจะทำอย่างไรที่จะทำให้สมาชิกในสังคมหรือองค์กรได้ตระหนักร่วมกันว่าความเห็นที่ขัดแย้งกันนั้นแต่ละคนมีเอกสิทธิ์ที่จะคิดและทุกคนในสังคมและองค์กรต้องเคารพความคิดของคนอื่นๆ ตลอดจนผู้นำต้องวางมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับให้คนในสังคมหรือองค์กรได้เห็นและสร้างให้เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคมหรือองค์กร
สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนั้นมีหลากหลายแต่อาจจะนำมาแบ่งได้เป็นข้อใหญ่ๆ ได้ดังต่อไปนี้
๑.การสื่อสารที่ิผิดพลาดหรือล้มเหลวทั้งระดับผู้ปฏิบัติและผู้นำ
๒.การแสวงหาอำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากรในองค์กรหรือสมาชิกในสังคม
๓.การบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพของผู้นำและความอ่อนแอ
๔.การขาดศักยภาพในริเริ่มการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่ๆ
๕.การเปลี่ยนแปลงของผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ตัวบุคคลหรือตำแหน่งของผู้นำก็ตาม
เหล่านี้สามารถสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ (นี่เป็นการมองในแง่ผลประโยชน์ขององค์กรและสังคมเป็นหลัก ไม่ได้เอาปัจจัยอื่นมาวิเคราะห์)
ผู้นำที่ดีเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นต้องนำความขัดแย้งนั้นมาวิเคราะห์ว่าระดับของความขัดแย้งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือสังคมหรือไม่ และเป็นหน้าที่ของผู้นำเองที่จะต้องตัดสินใจใช้เครื่องมือและอำนาจของตนที่มีอยู่ตัดสินความขัดแย้งเพื่อประโยชน์ขององค์กร เป้าประสงค์หลักของการบริหารความขัดแย้งจึงอยู่ที่ผลของความขัดแย้งและวุฒิภาวะของตัวผู้นำว่าจะสามารถนำความขัดแย้งนั้นมาสร้างเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือสังคมได้มากขนาดใหน และชักนำบุคลากรหรือสมาชิกในองค์กรหรือสังคมให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสำเร็จหรือเป้าหมายขององค์กรหรือสังคมแล้ว ความขัดแย้งนั้นก็จะมีประโยชน์ต่อทุกคนภายในองค์กรและสังคม
ที่บ่นมายืดยาวนี่ไม่ได้ต้องการแสดงความรู้หรือความเก่งกาจของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งกันนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกหรือที่อื่นๆ เขาก็มีกัน และจะชี้ให้เห็นว่าผู้นำนั้นมีบทบาทที่สำคัญมากขนาดใหนในการทำความขัดแย้งนั้นในเกิดประโยชน์หรือทำในสิ่งตรงกันข้าม ความขัดแย้งกันในสังคมไทยเวลานี้อาจกินความหมายกว้างและลึกเกินกว่าจะมีทฤษฎีใดมาเปรียบเปรยได้ หรือมาประยุกต์ใช้ได้ แต่ความขัดแย้งนั้นไม่ว่าจะเกิดที่แห่งใดผลที่ออกมานั้นเหมือนกันสองประการคือถ้าไม่เกิดประโยชน์มหาศาลก็เกิดโทษผลร้ายแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อองค์กรหรือสังคมนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในระดับใด หากเข้าใจหน้าที่ตนและสามารถทำงานภายในขอบเขตที่ตนรับผิดชอบและไม่ก่าวล่วงหรือทำเกินหน้าที่ตลอดจนไม่สร้างความไขว้เขวให้แก่สมาชิกหรือบุคลากร องค์กรนั้นๆ ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้มีอุปสรรคก็สามารถใช้บุคลากรที่มีอยู่ฝ่าฟันอุปสรรคที่มีมานั้นได้ และในทางกลับกันหากผู้นำขาดซึ่งศักยภาพหรือไม่มีความสามารถในการทำหน้าที่ของตน รวมถึงไม่สามารถขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กรได้ หนำซ้ำอาจเป็นผู้สร้างปัญหาใหม่ๆ ให้กับองค์กรต้องมาประสบอีก ผู้นำเช่นนี้สมควรแล้วหรือจะยังดำรงความเป็นผู้นำอยู่ต่อไปได้ แค่อยากให้คิดดูก็เท่านั้น
ผู้นำที่ดีนั้นมีจุดหมายที่เหมือนกันในทุกองค์กรนั่นคือต้องนำพาองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ และควบคุมคนในองค์กรให้ทำหน้าที่ของตนให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อเป้าหมายที่ตนเองหรือองค์กรตั้งเอาไว้ องค์กรที่มีขนาดใหญ่ทั้งจำนวนบุคลากรและงบประมาณ รวมถึงสินค้าที่ผลิตมีจำนวนมากหรือหลากหลายย่อมต้องเอาใจใส่ในทุกขั้นตอนของการดำเนินงานขององค์กรและนำผลการดำเนินการมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาศักยภาพการผลิตและทำวิจัยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์ที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้บริโภคในตลาดว่าผลิตภัณฑ์ตัวใดเหมาะสมหรือไม่อย่างไร? เพื่อเอาไปปรับใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในอนาคต ไม่เช่นนั้นก็จะถูกองค์กรอื่นหรือบริษัทคู่แข่งแย่งฐานลูกค้าไป
เป็นหลักการง่ายๆ ในการทำธุรกิจ ซึ่งใครๆ ก็ทราบแต่การนำไปปรับใช้นั้น น้อยคนนักที่จะประสบผลสำเร็จ และมีหลายคนที่ไม่เคยคิดจะทำตามหลักการที่ว่านั้นเลย นี่จึงเป็นเหตุให้มีคำว่า “ผู้นำที่ประสบผลสำเร็จ” และ “ผู้นำที่ประสบความล้มเหลว”
ในทุกองค์กรและทุกสังคมเมื่อมีคนอยู่กันเกินกว่าสองคนความเห็นที่ขัดแย้งกันหรือสวนทางกันก็ย่อมมีเป็นธรรมดา เพราะพื้นฐานที่แตกต่างกันหลายอย่าง และการทำคนให้เป็นคนขึ้นมามันไม่ได้มีสูตรสำเร็จ กระทั่งพี่น้องเกิดมาติดๆ กันก็ไม่แน่ว่าจะเห็นตรงกันไปทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้นำในองค์กรหรือสังคมไม่ว่าบ้านหรือหมู่บ้าน เมือง จังหวัด ประเทศหรือระหว่างประเทศย่อมมีบทบาท และหน้าที่ที่สำคัญในการควบคุมและกำหนดทิศทางที่ชัดเจนโดยเอาเป้าหมายขององค์กรเป็นที่ตั้ง
ความขัดแย้งกันภายในสังคมหรือองค์กรนั้นไม่ว่าเรื่องอันใดหากถึงที่สุดแล้วมีบทสรุปก็จะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สังคมและองค์กรนั้นๆ อย่างเหลือเชื่อ แต่กว่าจะถึงจุดแห่งบทสรุปนั้น หน้าที่ต่างๆ ในการควบคุมสมาชิกหรือบุคลากรในสังคมและองค์กรเหล่านี้เป็นหน้าที่ของผู้นำที่มีหน้าที่ทำให้ประเด็นขัดแย้งไม่นำมาซึ่งการโต้แย้งหรือนำมาซึ่งข้อขัดแย้งต่างๆ ที่ไม่ก่อประโยชน์ต่องสังคมหรือองค์กรนั้นๆ การทำหน้าที่ของผู้นำหากมีขีดความสามารถอย่างถึงที่สุดแล้วก็จะสามารถนำสมาชิกหรือบุคลากรในสังคมหรือองค์กรนั้นๆ ไปสู่เป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกได้ โดยตนเองเป็นผู้นำที่คอยตัดสินใจว่าควรจะตัดสินใจในเวลาใด และนี่ก็เป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับการเป็นผู้นำที่มีความสามารถ
หลักการประการแรกและประการสำคัญในการบริหารความขัดแย้งภายในสังคมหรือองค์กรก็คือจะทำอย่างไรให้สมาชิกในสังคมหรือบุคลากรในองค์กรเห็นความสำคัญของเป้าหมายและแก่นแท้จริงๆ ของจุดหมายปลายทางที่มีร่วมกันและประโยชน์ที่จะได้รับร่วมกันเมื่อพวกเขาเหล่านั้นนำพาองค์กรหรือสังคมไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้สำเร็จ และจะทำอย่างไรที่จะทำให้สมาชิกในสังคมหรือองค์กรได้ตระหนักร่วมกันว่าความเห็นที่ขัดแย้งกันนั้นแต่ละคนมีเอกสิทธิ์ที่จะคิดและทุกคนในสังคมและองค์กรต้องเคารพความคิดของคนอื่นๆ ตลอดจนผู้นำต้องวางมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับให้คนในสังคมหรือองค์กรได้เห็นและสร้างให้เป็นบรรทัดฐานในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคมหรือองค์กร
สิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งนั้นมีหลากหลายแต่อาจจะนำมาแบ่งได้เป็นข้อใหญ่ๆ ได้ดังต่อไปนี้
๑.การสื่อสารที่ิผิดพลาดหรือล้มเหลวทั้งระดับผู้ปฏิบัติและผู้นำ
๒.การแสวงหาอำนาจหรือตำแหน่งหน้าที่ของบุคลากรในองค์กรหรือสมาชิกในสังคม
๓.การบริหารงานที่ขาดประสิทธิภาพของผู้นำและความอ่อนแอ
๔.การขาดศักยภาพในริเริ่มการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายใหม่ๆ
๕.การเปลี่ยนแปลงของผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ตัวบุคคลหรือตำแหน่งของผู้นำก็ตาม
เหล่านี้สามารถสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นได้ (นี่เป็นการมองในแง่ผลประโยชน์ขององค์กรและสังคมเป็นหลัก ไม่ได้เอาปัจจัยอื่นมาวิเคราะห์)
ผู้นำที่ดีเมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นต้องนำความขัดแย้งนั้นมาวิเคราะห์ว่าระดับของความขัดแย้งจะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือสังคมหรือไม่ และเป็นหน้าที่ของผู้นำเองที่จะต้องตัดสินใจใช้เครื่องมือและอำนาจของตนที่มีอยู่ตัดสินความขัดแย้งเพื่อประโยชน์ขององค์กร เป้าประสงค์หลักของการบริหารความขัดแย้งจึงอยู่ที่ผลของความขัดแย้งและวุฒิภาวะของตัวผู้นำว่าจะสามารถนำความขัดแย้งนั้นมาสร้างเป็นประโยชน์ต่อองค์กรหรือสังคมได้มากขนาดใหน และชักนำบุคลากรหรือสมาชิกในองค์กรหรือสังคมให้เห็นว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้น หากตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสำเร็จหรือเป้าหมายขององค์กรหรือสังคมแล้ว ความขัดแย้งนั้นก็จะมีประโยชน์ต่อทุกคนภายในองค์กรและสังคม
ที่บ่นมายืดยาวนี่ไม่ได้ต้องการแสดงความรู้หรือความเก่งกาจของตนเองเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการแสดงให้เห็นว่าความขัดแย้งกันนั้นไม่ว่าที่ใดในโลกหรือที่อื่นๆ เขาก็มีกัน และจะชี้ให้เห็นว่าผู้นำนั้นมีบทบาทที่สำคัญมากขนาดใหนในการทำความขัดแย้งนั้นในเกิดประโยชน์หรือทำในสิ่งตรงกันข้าม ความขัดแย้งกันในสังคมไทยเวลานี้อาจกินความหมายกว้างและลึกเกินกว่าจะมีทฤษฎีใดมาเปรียบเปรยได้ หรือมาประยุกต์ใช้ได้ แต่ความขัดแย้งนั้นไม่ว่าจะเกิดที่แห่งใดผลที่ออกมานั้นเหมือนกันสองประการคือถ้าไม่เกิดประโยชน์มหาศาลก็เกิดโทษผลร้ายแรงที่ไม่อาจคาดเดาได้ต่อองค์กรหรือสังคมนั้นๆ
ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในระดับใด หากเข้าใจหน้าที่ตนและสามารถทำงานภายในขอบเขตที่ตนรับผิดชอบและไม่ก่าวล่วงหรือทำเกินหน้าที่ตลอดจนไม่สร้างความไขว้เขวให้แก่สมาชิกหรือบุคลากร องค์กรนั้นๆ ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ถึงแม้มีอุปสรรคก็สามารถใช้บุคลากรที่มีอยู่ฝ่าฟันอุปสรรคที่มีมานั้นได้ และในทางกลับกันหากผู้นำขาดซึ่งศักยภาพหรือไม่มีความสามารถในการทำหน้าที่ของตน รวมถึงไม่สามารถขจัดปัญหาที่เกิดขึ้นภายในองค์กรได้ หนำซ้ำอาจเป็นผู้สร้างปัญหาใหม่ๆ ให้กับองค์กรต้องมาประสบอีก ผู้นำเช่นนี้สมควรแล้วหรือจะยังดำรงความเป็นผู้นำอยู่ต่อไปได้ แค่อยากให้คิดดูก็เท่านั้น
ทักษิณครวญ"ขอบคุณที่ซ้ำเติม"ถอดยศ

ทีมทนายแม้ว ยก รธน.อ้าง สตช.-นายกฯ ไม่มีอำนาจถอดยศ-ริบคืนเครื่องราชฯ เหตุเป็นอำนาจพระมหากษัตริย์เท่านั้น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พิมพ์ข้อความในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ตอบโต้กรณีกฤษฎีกาให้ถอดยศและริบคืนเครื่องราชอิสรยาภรณ์ โดยกล่าวว่า "ขอขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใยเรื่องรัฐบาลจะถอดยศผม เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับรัฐบาลนี้ ถ้าเขาสามารถหากฎหมายมาอ้างแล้วฆ่าผมได้ เขาทำไปนานแล้วครับ"
ขณะเดียวกันยังเขียนข้อความเพิ่มเติมว่า "ตามทฤษฎีการบังคับใช้กฎหมาย ก็เพื่อให้เกิดสันติเกิดความเป็นธรรมและต้องใช้อย่างเป็นธรรมและเสมอภาค แต่รัฐบาลเลือกบังคับใช้กฎหมายเพื่อผลการเมือง"
นอกจากนี้ยังตอบความเห็นไปยังแฟนคลับที่ให้กำลังใจว่า "ใครจำเพลงของธเนศได้บ้าง ที่ว่า ขอบคุณที่ซ้ำเติม จุดเดิมที่เคยเจ็บ เจ็บอย่างเดิมที่เคยเจอมาก่อน ผมว่าผมต้องหัดร้องเพลงนี้ไว้กล่อมเด็กดีกว่า"
ขณะที่นายพิชิฏ ชื่นบาน อดีตทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีที่ดินรัชดาฯ ได้เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง "ถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมีเนื้อหาระบุว่า คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ตรวจสอบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่ากรณีนี้ยังไม่สามารถนำมาเป็นเหตุที่สมควรโดยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ในอันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี จะอาศัยเป็นเหตุให้มีการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ โดยมีเหตุผลในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังนี้
1.ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณในขณะนี้ คือ ได้มีประชาชนจำนวนหลายล้านคนเข้าชื่อจัดทำฎีกาทูลเกล้าฯ ถวายพระมหากษัตริย์ในการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงเป็นกรณีที่อยู่ในระยะเวลาที่รัฐบาลมีหน้าที่จัดทำความเห็นถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียก่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยเหตุตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินการเพื่อถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งจะเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ที่ยังมิได้มีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว
2.ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 11 บัญญัติว่า "พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์ และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์" และมาตรา 192 "พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์" การถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ ที่จะประกาศเป็นพระบรมราชโองการ ดังนั้น ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 ซึ่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 มาตรา 28 และระเบียบสำนักนายกรัฐนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ถือเป็นระเบียบที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ต้องห้ามตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไปกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไม่มีหน้าที่ในอันที่จะถอดยศหรือริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ คงมีหน้าที่เพียงถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น และการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตาม มาตรา 3 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ต้องยึด "ตามหลักนิติธรรม" และคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30, 31
3.ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ.2547 นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมิได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ ดังเช่นเดียวกันกับการที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในอันที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ.2548 ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการในเรื่อง "ถอดยศ" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด เพราะจะเป็นการก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
4.โดยข้อเท็จจริงการดำเนินการเพื่อถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในการขอถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มิใช่เป็นการบังคับว่าต้องทำทุกเรื่อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนจำนวนมากที่อยู่ในเงื่อนไขของระเบียบทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่ก็ปรากฏว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเพื่อขอถอดยศตำรวจมีน้อยรายมาก รวมถึงการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการเหล่านั้นด้วย กรณีนี้จึงเห็นเจตนาของรัฐบาลโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายกรัฐมนตรี ว่าต้องการใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นเครื่องมือทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณในทางการเมืองเท่านั้น
วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2552
"บิ๊กจิ๋ว"รุกต่างประเทศ วางคิวบินเยือน มาเลย์-พม่า-เวียดนาม-ลาว
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“บิ๊กจิ๋ว” รุกหนักด้านการต่างประเทศ วางคิวบินพบผู้นำเพื่อนบ้านตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. นี้เป็นต้นไป ไม่โกรธถูกป้ายสีชักศึกเข้าบ้านเพราะคนพูดไม่รู้ข้อเท็จจริง ยืนยันไปทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วม “ทักษิณ” อัดประชาธิปัตย์กลัวจนขี้ขึ้นสมอง สั่งลูกพรรคเลิกตอบโต้ ยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนายกฯกัมพูชา ส.ส.เพื่อไทยเผยเร่งปั๊มหน้ากากยางรูป “แม้ว” 2 แสนชิ้นแจกจ่ายคนเสื้อแดงรอต้อนรับคนสำคัญที่จะบินมาลงที่สุวรรณภูมิต้นเดือน พ.ย. นี้ โฆษกภูมิใจไทยชี้อดีตนายกฯและแนวร่วมเดินเกมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประชาธิปัตย์ร่อนเอกสารแฉสัมพันธ์ “แม้ว-ฮุนเซน” มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมหาศาล ทั้งด้านโทรคมนาคม สื่อ แหล่งบันเทิง และทุนทำปฏิวัติเมื่อปี 2547
วันที่ 27 ต.ค. 2552 ที่พรรคเพื่อไทย ชมรมแท็กซี่สุวรรณภูมิได้เข้ามอบดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมาชิกพรรค หลังถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีเดินทางไปพบสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
“บิ๊กจิ๋ว” ไม่ตอบโต้ข้อวิจารณ์
พล.อ.ชวลิตกล่าวหลังรับมอบดอกไม้ว่า เคารพในเสียงวิจารณ์ไม่ว่าจะเป็นข้อหาขายชาติหรือชักศึกเข้าบ้าน คนที่วิจารณ์อาจยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ การเดินทางไปกัมพูชาเพื่อช่วยแก้ปัญหาลดการเผชิญหน้าตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นการเดินทางไปตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการกิจการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าเดินทางไปในสถานะใด
ไปเขมรเพื่อช่วยลดขัดแย้ง
ส่วนเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากจึงกินพื้นที่ข่าวด้านอื่นไป ทั้งที่ประเด็นสำคัญของการเดินทางไปกัมพูชาก็เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศและประชาชน โดยเฉพาะการช่วยลดการเผชิญหน้าตามแนวชายแดนและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ขัดแย้งให้เป็นพื้นที่ค้าขาย อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายฝ่ายไม่เข้าใจและวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ต่อไปจะเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และจะหาโอกาสทำความเข้าใจกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์
3 พ.ย. ลงภาคใต้ก่อนไปมาเลย์
พล.อ.ชวลิตกล่าวอีกว่า ในวันที่ 3 พ.ย. นี้จะเดินทางไป 5 หวัดชายแดนภาคใต้เพื่อดูแลปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ จากนั้นจะเดินทางไปเยือนมาเลเซียและพม่า ในส่วนของมาเลเซียขณะนี้จดหมายตอบรับจากนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ตนและนายนาจิบเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พบผู้นำเพื่อนบ้านฐานะคนรู้จัก
“การเดินทางไปมาเลเซียและพม่าไปในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานาน และต้องการให้เขาช่วยแก้ปัญหาให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ได้มีประโยชน์อื่นแอบแฝง” พล.อ.ชวลิตกล่าวพร้อมเล่าว่า สำหรับประเทศพม่านั้นรู้จักกับผู้นำพม่ามานานกว่า 20 ปีแล้ว คบกันเหมือนพี่น้อง สมัย พล.อ.ซอหม่อง วิน มาเที่ยวประเทศไทยก็พาไปล่องเรือแม่นำเจ้าพระยา และทำเซอร์ไพรส์ด้วยการต่อโทรศัพท์ถึงภรรยา พล.อ.ซอหม่อง คำแรกที่ พล.อ.ซอหม่องพูดคืออยู่กับผู้ชายทั้งนั้น ไม่มีผู้หญิงเลย แหม ช่างเหมือนคนไทยจริงๆ
เร่งปั๊มหน้ากาก “แม้ว” แจก 2 แสนชิ้น
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้จัดทำหน้ากากด้วยยางชั้นดีเป็นรูป พ.ต.ท.ทักษิณจำนวน 200,000 ชิ้น เพื่อใช้สวมใส่ไปต้อนรับบางคนที่สนามบินสุวรรณภูมิวันที่ 2 พ.ย. นี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคนๆนั้นเป็นใคร ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายประชาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าว พร้อมกับเดินไปร่วมประชุมพรรคทันที ทั้งนี้ ในระหว่างการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวนายประชาได้นำหน้ากากยางรูปใบหน้า พ.ต.ท.ทักษิณมาสวมโชว์ผู้สื่อข่าวด้วย
กระทรวงต่างประเทศแจง “ฮุน เซน”
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศเตรียมออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการกรณีที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเชื่อว่าการแสดงออกของสมเด็จฮุน เซน น่าจะมาจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ส่วนเรื่องการจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ก็มีขั้นตอนที่ต้องพิสูจน์กันว่าเป็นคดีอาญาหรือคดีการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกัน
“สุเทพ” ช่วยชี้แจงก่อนหน้านี้แล้ว
“บางคนอาจรู้สึกว่ารัฐบาลอ่อนในการชี้แจง แต่การทำงานต้องระวังไม่ให้หลงกลไปตามเกมของผู้ไม่หวังดี เพราะอาจกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศขึ้นมาได้” นายชวนนท์กล่าวและว่า ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียนที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ทำความเข้าใจกับผู้นำกัมพูชาไปแล้ว ทั้งเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ และเรื่องนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา
ผบ.ทบ. ปิดปากไม่ขอพูดถึง “บิ๊กจิ๋ว”
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ พล.อ.ชวลิตโดยระบุว่า รัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจอยู่แล้ว ขอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชายังเป็นไปตามปรกติ สำหรับการแก้ปัญหาตามแนวทางชายก็เป็นไปตามกรอบที่รัฐบาลกำหนด โดยใช้การเจรจาทวิภาคีเป็นหลัก
“สุเทพ” ย้ำ “ทักษิณ” ไม่ได้ถูกรังแก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ได้ชี้แจงกับสมเด็จฮุน เซน ก็เห็นว่ามีความเข้าใจดี ซึ่งได้ชี้แจงไปว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องไปอยู่ต่างประเทศไม่ได้เป็นเพราะถูกรังแก แต่เป็นเพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมืองและเป็นการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่การปฏิวัติ
ภูมิใจไทยเชื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงระบบ
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เท่าที่ประเมินเชื่อว่ากลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเมือง รวมถึง พล.อ.ชวลิตด้วย เพราะในอดีตเคยเสนอเรื่องสภาเปรซิเดียม (การปกครองที่สภามีอำนาจสูงสุดโดยสมาชิกมาจากสองทางคือ การเลือกตั้ง และแต่งตั้ง)
เชื่ออดีตนายกฯเดิมเกมแรงขึ้น
“กลุ่มคนที่อยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณมีแนวคิดที่รุนแรงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้กระทั่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มแดงสยามก็มีแนวคิดนี้อยู่ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณสอดรับกันที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องแนวคิดเหล่านี้ และจะนำไปสู่การแสดงความคิดเห็นทางสังคมมากยิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเล่น และจะต้องมีอะไรที่แรงขึ้นทั้งในด้านความคิดและการนำเสนอ ขอยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนที่จะต่อต้านการกระทำและแนวคิดเหล่านี้ให้ถึงที่สุด” นายศุภชัยกล่าว
คนสนิท “บิ๊กจิ๋ว” ชี้กลุ่มอำนาจดิ้นรนหนัก
พล.ท.พิรัช สวามิภักดิ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ข้อกล่าวหาต่างๆที่ออกมาในช่วงนี้เป็นการกระทำของคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจ เรื่องกัมพูชาความจริงไม่มีอะไร เป็นเรื่องที่เขาพยายามยื่นไมตรีแต่รัฐบาลกลับไปเข้าใจเจตนาเป็นอีกอย่าง
พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
“บิ๊กจิ๋ว” ไม่มีวาระซ่อนเร้น
“พวกเราเป็นทหาร ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองมามาก เพราะฉะนั้นอย่ามากล่าวหากันลอยๆ” พล.อ.อ.สุเมธกล่าวและว่า การเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิตเป็นการสานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อบ้าน เพราะท่านมีความใกล้ชิดกับผู้นำเหล่านี้ ไม่ใช่ยุทธศาสตร์อะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทยวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีติแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิตให้เป็นประธานพรรค จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามาพูดกับที่ประชุม โดยยืนยันว่าไม่มีธุรกิจอยู่ในกัมพูชา จึงไม่มีเรื่องผลประโยชน์กับสมเด็จฮุน เซน
“แม้ว” ยันยังไม่เคยไปเขมร
“ตั้งแต่ออกจากประเทศไทยยังไม่เคยแวะไปกัมพูชา แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะแวะไปขอบคุณท่านฮุน เซน สิ่งที่ท่านพูดพูดในฐานะเพื่อน เป็นการสะท้อนปัญหาของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นกุ้งเต้นขี้ขึ้นอยู่บนสมอง”
สั่งลูกพรรคเลิกตอบโต้
พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมใส่ร้ายป้ายสีตามที่พรรคเขาถนัด ในเมื่อหมากัดเราก็อย่ากัดตอบ เพราะวัฒนธรรมของพรรคประชาธิปัตย์ถนัดฟัด ถนัดพูด พรรคเพื่อไทยต้องทำงานเพื่อประชาชนและทำสิ่งที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ อย่าไปนัวเนีย เราต้องทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดทักษิณบิซเพื่อสื่อสารกับนักธุรกิจชั้นกลางผ่านทวิตเตอร์
“บิ๊กจิ๋ว” วางคิวไปหลายประเทศ
จากนั้น พล.อ.ชวลิตได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า จะไปดูเรื่องของปัญหาชายแดนภาคใต้ โดยจะเดินทางไปเดือน พ.ย. นี้ จากนั้นจะไปพม่า มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงประเทศลาว รัฐบาลชุดนี้ทำสนามการค้าให้เป็นสนามรบ แต่พรรคเพื่อไทยจะทำสนามรบให้เป็นสนามการค้า
ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าเป็นคนชักศึกเข้าบ้านนั้น พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่พูดมีแค่นั้น นอกนั้นรัฐบาลเป็นคนพูดทั้งหมด ที่บอกว่าเป็นคนชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านนั้นไม่มี สิ่งที่ทำไปเป็นเพราะรัฐบาลนี้มีปัญหา จะไม่ให้ไปช่วยได้อย่างไรเพราะรัฐบาลทะเลาะกันหมดไม่ว่าจะกับพม่าหรือกัมพูชา
แฉประมุขบรูไนพักบ้าน “ทักษิณ”
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมผู้นำอาเซียน ซัมมิต ที่ผ่านมาพระประมุขของประเทศบรูไนไม่เข้าประทับในโรงแรมที่จัดถวาย แต่ไปพักที่บ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณในหัวหิน
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ 10 เดือน ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมนายอภิสิทธิ์ขึ้นบรรยายพูดมากจนประเทศอื่นรำคาญ ลืมตัวพูดจาเลอะเทอะ ไปอบรมสั่งสอนผู้นำหลายประเทศที่บริหารประเทศมาเป็นเวลานาน”
“มาร์ค” เตือนเขมรอีกคิดให้ดี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสุเทพได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับสมเด็จฮุน เซน ไปแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น เพราะถึงตอนนี้ท่านยังไม่มีความเห็นอะไรเพิ่มเติม
“เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาลุกลามออกไปเพราะให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปแล้ว และได้พูดชัดเรื่องการให้ที่พักพิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางกัมพูชาต้องคิดให้ดี” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ปชป. แจกสารแฉสัมพันธ์ “แม้ว-ฮุนเซน”
ที่พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าหน้าที่ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฮุน เซน มาแจกต่อสื่อมวลชน โดยไม่ยอมบอกถึงแหล่งที่มาของเอกสาร บอกเพียงว่ามีผู้นำมาฝากให้แจก
เอกสารดังกล่าวมี 5 หน้า แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เนื้อหาส่วนใหญ่มาจากคอลัมน์นิสต์ของหนังสือพิมพ์ในกัมพูชาและเว็บไซต์ข่าวในประเทศไทย โดยมีเนื้อหาระบุถึงการประกอบธุรกิจสัมปทานโทรทัศน์ของบริษัทชินคอร์ปที่ใช้ชื่อบริษัทในประเทศกัมพูชาว่า “กัมพูชา ชินวัตร” หรือ ChamShin โดยได้รับสัมปทานยาวนาน 99 ปี แต่สัมปทานดังกล่าวถูกตรวจสอบสมัยรัฐบาลสมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ เมื่อปี 2536 ซึ่งพบความผิดปรกติจึงถูกปรับระยะเวลาเหลือ 30 ปี
อดีตนายกฯเคยหนุนปฏิวัติในเขมร
ในเอกสารยังระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารในประเทศกัมพูชาเมื่อปี 2537 แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อปี 2540 สมเด็จฮุน เซน สามารถทำรัฐประหารสำเร็จ และได้มอบสัมปทานโทรคมนาคมให้กับบริษัท พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้สัญญาในการดำเนินการเพิ่มจากเดิมเป็น 35 ปี ขณะเดียวกันยังได้เกิดการจลาจลในประเทศกัมพูชาและมีการเผาสถานทูตไทย ทำให้รัฐบาลประเทศกัมพูชาต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับรัฐบาลไทยและบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยมีรายชื่อของบริษัทชินคอร์ปที่ได้รับเงินชดเชยไป 27 ล้านบาท
เอกสารยังได้ระบุถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 ที่ได้มีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์สนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว และยังได้ระบุถึง พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้ามาประกอบธุรกิจบันเทิงในเกาะกง
“บิ๊กจิ๋ว” รุกหนักด้านการต่างประเทศ วางคิวบินพบผู้นำเพื่อนบ้านตั้งแต่ต้นเดือน พ.ย. นี้เป็นต้นไป ไม่โกรธถูกป้ายสีชักศึกเข้าบ้านเพราะคนพูดไม่รู้ข้อเท็จจริง ยืนยันไปทำประโยชน์เพื่อส่วนร่วม “ทักษิณ” อัดประชาธิปัตย์กลัวจนขี้ขึ้นสมอง สั่งลูกพรรคเลิกตอบโต้ ยันไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนกับนายกฯกัมพูชา ส.ส.เพื่อไทยเผยเร่งปั๊มหน้ากากยางรูป “แม้ว” 2 แสนชิ้นแจกจ่ายคนเสื้อแดงรอต้อนรับคนสำคัญที่จะบินมาลงที่สุวรรณภูมิต้นเดือน พ.ย. นี้ โฆษกภูมิใจไทยชี้อดีตนายกฯและแนวร่วมเดินเกมเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประชาธิปัตย์ร่อนเอกสารแฉสัมพันธ์ “แม้ว-ฮุนเซน” มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องมหาศาล ทั้งด้านโทรคมนาคม สื่อ แหล่งบันเทิง และทุนทำปฏิวัติเมื่อปี 2547
วันที่ 27 ต.ค. 2552 ที่พรรคเพื่อไทย ชมรมแท็กซี่สุวรรณภูมิได้เข้ามอบดอกไม้เพื่อเป็นกำลังใจให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ สมาชิกพรรค หลังถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักกรณีเดินทางไปพบสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
“บิ๊กจิ๋ว” ไม่ตอบโต้ข้อวิจารณ์
พล.อ.ชวลิตกล่าวหลังรับมอบดอกไม้ว่า เคารพในเสียงวิจารณ์ไม่ว่าจะเป็นข้อหาขายชาติหรือชักศึกเข้าบ้าน คนที่วิจารณ์อาจยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ทำ การเดินทางไปกัมพูชาเพื่อช่วยแก้ปัญหาลดการเผชิญหน้าตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นการเดินทางไปตามข้อเสนอของคณะกรรมาธิการกิจการชายแดน สภาผู้แทนราษฎร เพียงแต่ไม่ได้บอกว่าเดินทางไปในสถานะใด
ไปเขมรเพื่อช่วยลดขัดแย้ง
ส่วนเรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจกันมากจึงกินพื้นที่ข่าวด้านอื่นไป ทั้งที่ประเด็นสำคัญของการเดินทางไปกัมพูชาก็เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของประเทศและประชาชน โดยเฉพาะการช่วยลดการเผชิญหน้าตามแนวชายแดนและการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ขัดแย้งให้เป็นพื้นที่ค้าขาย อย่างไรก็ตาม เมื่อหลายฝ่ายไม่เข้าใจและวิพากษ์วิจารณ์กันมาก ต่อไปจะเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น และจะหาโอกาสทำความเข้าใจกับคนที่วิพากษ์วิจารณ์
3 พ.ย. ลงภาคใต้ก่อนไปมาเลย์
พล.อ.ชวลิตกล่าวอีกว่า ในวันที่ 3 พ.ย. นี้จะเดินทางไป 5 หวัดชายแดนภาคใต้เพื่อดูแลปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ จากนั้นจะเดินทางไปเยือนมาเลเซียและพม่า ในส่วนของมาเลเซียขณะนี้จดหมายตอบรับจากนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งรู้จักกันมาตั้งแต่ตนและนายนาจิบเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พบผู้นำเพื่อนบ้านฐานะคนรู้จัก
“การเดินทางไปมาเลเซียและพม่าไปในฐานะเพื่อนที่รู้จักกันมานาน และต้องการให้เขาช่วยแก้ปัญหาให้ประเทศชาติอย่างแท้จริง ไม่ได้มีประโยชน์อื่นแอบแฝง” พล.อ.ชวลิตกล่าวพร้อมเล่าว่า สำหรับประเทศพม่านั้นรู้จักกับผู้นำพม่ามานานกว่า 20 ปีแล้ว คบกันเหมือนพี่น้อง สมัย พล.อ.ซอหม่อง วิน มาเที่ยวประเทศไทยก็พาไปล่องเรือแม่นำเจ้าพระยา และทำเซอร์ไพรส์ด้วยการต่อโทรศัพท์ถึงภรรยา พล.อ.ซอหม่อง คำแรกที่ พล.อ.ซอหม่องพูดคืออยู่กับผู้ชายทั้งนั้น ไม่มีผู้หญิงเลย แหม ช่างเหมือนคนไทยจริงๆ
เร่งปั๊มหน้ากาก “แม้ว” แจก 2 แสนชิ้น
นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขณะนี้พรรคได้จัดทำหน้ากากด้วยยางชั้นดีเป็นรูป พ.ต.ท.ทักษิณจำนวน 200,000 ชิ้น เพื่อใช้สวมใส่ไปต้อนรับบางคนที่สนามบินสุวรรณภูมิวันที่ 2 พ.ย. นี้ เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าคนๆนั้นเป็นใคร ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ นายประชาทำหน้ายิ้มกรุ้มกริ่มไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าว พร้อมกับเดินไปร่วมประชุมพรรคทันที ทั้งนี้ ในระหว่างการพูดคุยกับผู้สื่อข่าวนายประชาได้นำหน้ากากยางรูปใบหน้า พ.ต.ท.ทักษิณมาสวมโชว์ผู้สื่อข่าวด้วย
กระทรวงต่างประเทศแจง “ฮุน เซน”
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศเตรียมออกแถลงการณ์ชี้แจงต่อรัฐบาลกัมพูชาอย่างเป็นทางการกรณีที่สมเด็จฮุน เซน กล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมของไทย ซึ่งเชื่อว่าการแสดงออกของสมเด็จฮุน เซน น่าจะมาจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ส่วนเรื่องการจะส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ก็มีขั้นตอนที่ต้องพิสูจน์กันว่าเป็นคดีอาญาหรือคดีการเมือง ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาถกเถียงกัน
“สุเทพ” ช่วยชี้แจงก่อนหน้านี้แล้ว
“บางคนอาจรู้สึกว่ารัฐบาลอ่อนในการชี้แจง แต่การทำงานต้องระวังไม่ให้หลงกลไปตามเกมของผู้ไม่หวังดี เพราะอาจกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศขึ้นมาได้” นายชวนนท์กล่าวและว่า ในช่วงการประชุมผู้นำอาเซียนที่ผ่านมานายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ทำความเข้าใจกับผู้นำกัมพูชาไปแล้ว ทั้งเรื่องพ.ต.ท.ทักษิณ และเรื่องนายสม รังสี ผู้นำฝ่ายค้านของกัมพูชา
ผบ.ทบ. ปิดปากไม่ขอพูดถึง “บิ๊กจิ๋ว”
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ปฏิเสธที่จะวิพากษ์วิจารณ์บทบาทของ พล.อ.ชวลิตโดยระบุว่า รัฐบาลมีหน้าที่ชี้แจงทำความเข้าใจอยู่แล้ว ขอไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชายังเป็นไปตามปรกติ สำหรับการแก้ปัญหาตามแนวทางชายก็เป็นไปตามกรอบที่รัฐบาลกำหนด โดยใช้การเจรจาทวิภาคีเป็นหลัก
“สุเทพ” ย้ำ “ทักษิณ” ไม่ได้ถูกรังแก
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เท่าที่ได้ชี้แจงกับสมเด็จฮุน เซน ก็เห็นว่ามีความเข้าใจดี ซึ่งได้ชี้แจงไปว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องไปอยู่ต่างประเทศไม่ได้เป็นเพราะถูกรังแก แต่เป็นเพราะทำผิดกฎหมายบ้านเมืองและเป็นการตัดสินตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่การปฏิวัติ
ภูมิใจไทยเชื่อมุ่งเปลี่ยนแปลงระบบ
นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เท่าที่ประเมินเชื่อว่ากลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองในบ้านเมือง รวมถึง พล.อ.ชวลิตด้วย เพราะในอดีตเคยเสนอเรื่องสภาเปรซิเดียม (การปกครองที่สภามีอำนาจสูงสุดโดยสมาชิกมาจากสองทางคือ การเลือกตั้ง และแต่งตั้ง)
เชื่ออดีตนายกฯเดิมเกมแรงขึ้น
“กลุ่มคนที่อยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณมีแนวคิดที่รุนแรงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้กระทั่งกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน หรือกลุ่มแดงสยามก็มีแนวคิดนี้อยู่ ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของกลุ่ม พ.ต.ท.ทักษิณสอดรับกันที่จะทำให้เกิดข้อสงสัยในเรื่องแนวคิดเหล่านี้ และจะนำไปสู่การแสดงความคิดเห็นทางสังคมมากยิ่งขึ้น ตรงนี้เป็นสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณกำลังเล่น และจะต้องมีอะไรที่แรงขึ้นทั้งในด้านความคิดและการนำเสนอ ขอยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยมีจุดยืนที่จะต่อต้านการกระทำและแนวคิดเหล่านี้ให้ถึงที่สุด” นายศุภชัยกล่าว
คนสนิท “บิ๊กจิ๋ว” ชี้กลุ่มอำนาจดิ้นรนหนัก
พล.ท.พิรัช สวามิภักดิ์ นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ข้อกล่าวหาต่างๆที่ออกมาในช่วงนี้เป็นการกระทำของคนที่ต้องดิ้นรนเพื่อรักษาอำนาจ เรื่องกัมพูชาความจริงไม่มีอะไร เป็นเรื่องที่เขาพยายามยื่นไมตรีแต่รัฐบาลกลับไปเข้าใจเจตนาเป็นอีกอย่าง
พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี แกนนำกลุ่มเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยและ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง
“บิ๊กจิ๋ว” ไม่มีวาระซ่อนเร้น
“พวกเราเป็นทหาร ทำอะไรเพื่อบ้านเมืองมามาก เพราะฉะนั้นอย่ามากล่าวหากันลอยๆ” พล.อ.อ.สุเมธกล่าวและว่า การเคลื่อนไหวของ พล.อ.ชวลิตเป็นการสานสัมพันธ์กับประเทศเพื่อบ้าน เพราะท่านมีความใกล้ชิดกับผู้นำเหล่านี้ ไม่ใช่ยุทธศาสตร์อะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทยวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีติแต่งตั้ง พล.อ.ชวลิตให้เป็นประธานพรรค จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามาพูดกับที่ประชุม โดยยืนยันว่าไม่มีธุรกิจอยู่ในกัมพูชา จึงไม่มีเรื่องผลประโยชน์กับสมเด็จฮุน เซน
“แม้ว” ยันยังไม่เคยไปเขมร
“ตั้งแต่ออกจากประเทศไทยยังไม่เคยแวะไปกัมพูชา แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะแวะไปขอบคุณท่านฮุน เซน สิ่งที่ท่านพูดพูดในฐานะเพื่อน เป็นการสะท้อนปัญหาของประเทศเพื่อนบ้าน ขณะนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังเป็นกุ้งเต้นขี้ขึ้นอยู่บนสมอง”
สั่งลูกพรรคเลิกตอบโต้
พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุว่า ขณะนี้พรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมใส่ร้ายป้ายสีตามที่พรรคเขาถนัด ในเมื่อหมากัดเราก็อย่ากัดตอบ เพราะวัฒนธรรมของพรรคประชาธิปัตย์ถนัดฟัด ถนัดพูด พรรคเพื่อไทยต้องทำงานเพื่อประชาชนและทำสิ่งที่สร้างสรรค์ใหม่ๆ อย่าไปนัวเนีย เราต้องทำงานด้านเศรษฐกิจ ซึ่งขณะนี้กำลังเปิดทักษิณบิซเพื่อสื่อสารกับนักธุรกิจชั้นกลางผ่านทวิตเตอร์
“บิ๊กจิ๋ว” วางคิวไปหลายประเทศ
จากนั้น พล.อ.ชวลิตได้กล่าวต่อที่ประชุมว่า จะไปดูเรื่องของปัญหาชายแดนภาคใต้ โดยจะเดินทางไปเดือน พ.ย. นี้ จากนั้นจะไปพม่า มาเลเซีย และเวียดนาม รวมถึงประเทศลาว รัฐบาลชุดนี้ทำสนามการค้าให้เป็นสนามรบ แต่พรรคเพื่อไทยจะทำสนามรบให้เป็นสนามการค้า
ส่วนที่รัฐบาลบอกว่าเป็นคนชักศึกเข้าบ้านนั้น พล.อ.ชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่พูดมีแค่นั้น นอกนั้นรัฐบาลเป็นคนพูดทั้งหมด ที่บอกว่าเป็นคนชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านนั้นไม่มี สิ่งที่ทำไปเป็นเพราะรัฐบาลนี้มีปัญหา จะไม่ให้ไปช่วยได้อย่างไรเพราะรัฐบาลทะเลาะกันหมดไม่ว่าจะกับพม่าหรือกัมพูชา
แฉประมุขบรูไนพักบ้าน “ทักษิณ”
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมผู้นำอาเซียน ซัมมิต ที่ผ่านมาพระประมุขของประเทศบรูไนไม่เข้าประทับในโรงแรมที่จัดถวาย แต่ไปพักที่บ้านพักของ พ.ต.ท.ทักษิณในหัวหิน
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ 10 เดือน ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมนายอภิสิทธิ์ขึ้นบรรยายพูดมากจนประเทศอื่นรำคาญ ลืมตัวพูดจาเลอะเทอะ ไปอบรมสั่งสอนผู้นำหลายประเทศที่บริหารประเทศมาเป็นเวลานาน”
“มาร์ค” เตือนเขมรอีกคิดให้ดี
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายสุเทพได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับสมเด็จฮุน เซน ไปแล้ว เชื่อว่าสถานการณ์น่าจะดีขึ้น เพราะถึงตอนนี้ท่านยังไม่มีความเห็นอะไรเพิ่มเติม
“เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาลุกลามออกไปเพราะให้ข้อมูลเพิ่มเติมไปแล้ว และได้พูดชัดเรื่องการให้ที่พักพิงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางกัมพูชาต้องคิดให้ดี” นายอภิสิทธิ์กล่าว
ปชป. แจกสารแฉสัมพันธ์ “แม้ว-ฮุนเซน”
ที่พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าหน้าที่ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณกับสมเด็จฮุน เซน มาแจกต่อสื่อมวลชน โดยไม่ยอมบอกถึงแหล่งที่มาของเอกสาร บอกเพียงว่ามีผู้นำมาฝากให้แจก
เอกสารดังกล่าวมี 5 หน้า แปลจากภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย เนื้อหาส่วนใหญ่มาจากคอลัมน์นิสต์ของหนังสือพิมพ์ในกัมพูชาและเว็บไซต์ข่าวในประเทศไทย โดยมีเนื้อหาระบุถึงการประกอบธุรกิจสัมปทานโทรทัศน์ของบริษัทชินคอร์ปที่ใช้ชื่อบริษัทในประเทศกัมพูชาว่า “กัมพูชา ชินวัตร” หรือ ChamShin โดยได้รับสัมปทานยาวนาน 99 ปี แต่สัมปทานดังกล่าวถูกตรวจสอบสมัยรัฐบาลสมเด็จนโรดม รณฤทธิ์ เมื่อปี 2536 ซึ่งพบความผิดปรกติจึงถูกปรับระยะเวลาเหลือ 30 ปี
อดีตนายกฯเคยหนุนปฏิวัติในเขมร
ในเอกสารยังระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลังการทำรัฐประหารในประเทศกัมพูชาเมื่อปี 2537 แต่ไม่สำเร็จ จนเมื่อปี 2540 สมเด็จฮุน เซน สามารถทำรัฐประหารสำเร็จ และได้มอบสัมปทานโทรคมนาคมให้กับบริษัท พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้สัญญาในการดำเนินการเพิ่มจากเดิมเป็น 35 ปี ขณะเดียวกันยังได้เกิดการจลาจลในประเทศกัมพูชาและมีการเผาสถานทูตไทย ทำให้รัฐบาลประเทศกัมพูชาต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับรัฐบาลไทยและบริษัทที่เข้าไปลงทุนในประเทศกัมพูชา โดยมีรายชื่อของบริษัทชินคอร์ปที่ได้รับเงินชดเชยไป 27 ล้านบาท
เอกสารยังได้ระบุถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2551 ที่ได้มีมติเห็นชอบร่างคำแถลงการณ์สนับสนุนให้รัฐบาลกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว และยังได้ระบุถึง พ.ต.ท.ทักษิณจะเข้ามาประกอบธุรกิจบันเทิงในเกาะกง
ทีมทนายแถลงการณ์โต้ถอดยศ"แม้ว"ชี้เป็นอำนาจพระมหากษัตริย์เท่านั้น ไม่ใช่หน้าที่ สตช.-นายกฯ
มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายพิชิต ชื่นบาน อดีตทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในคดีที่ดินรัชดา ได้เผยแพร่แถลงการณ์ เรื่อง “ถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์”ของพ.ต.ท.ทักษิณ ลงวันที่ 28 ตุลาคมโดยมีเนื้อหาดังนี้
ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่ารัฐบาล โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหาแนวทางเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการตำรวจ ซึ่งกรณีนี้น่าจะมุ่งหมายเพื่อดำเนินการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ถ้าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1(2) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547และย่อมอยู่ในเหตุตามข้อ 7(2) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตรวจสอบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า กรณีนี้ยังไม่สามารถ นำมาเป็นเหตุที่สมควรโดยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในอันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี จะอาศัยเป็นเหตุให้มีการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ โดยมีเหตุผลในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังนี้
(1) ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯในขณะนี้ คือ ได้มีประชาชนจำนวนหลายล้านคนเข้าชื่อจัดทำฎีกาทูลเกล้าฯต่อพระมหากษัตริย์ในการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตามความหมายในการขอพระราชทานอภัยโทษ หมายถึง “การยกโทษทางอาญา เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 191 ซึ่งพระราชอำนาจในการยกโทษทางอาญาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะและมีความเป็นอิสระเด็ดขาด
ดังนั้นกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จึงเป็นกรณีที่อยู่ในระยะเวลาที่รัฐบาลมีหน้าที่จัดทำความเห็นถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในเรื่อง การขอพระราชทานอภัยโทษให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียก่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยเหตุตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินการเพื่อถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ซึ่งจะเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว
(2) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 11 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” และมาตรา 192 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”
การถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 191 และ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ตามมาตรา 192 อีกทั้งรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายใด จึงถือเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ ที่จะประกาศเป็นพระราชบรมราชโองการ
ดังนั้น ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ซึ่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 และระเบียบสำนักนายกรัฐนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ถือเป็นระเบียบที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ต้องห้ามตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไปกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไม่มีหน้าที่ในอันที่จะถอดยศหรือริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ คงมีหน้าที่เพียงถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เท่านั้น และการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตาม มาตรา 3 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ต้องยึด “ตามหลักนิติธรรม” และ คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 , 31
(3) ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมิได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจดังเช่นเดียวกันกับการที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในอันที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการในเรื่อง “ถอดยศ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ แต่อย่างใด เพราะจะเป็นก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และไม่อาจจะอ้างว่าระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4) มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้ เพราะ อำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อาจขัดหรือแย้งกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 192
(4) โดยข้อเท็จจริงการดำเนินการเพื่อถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในการขอถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มิใช่เป็นการบังคับว่าต้องทำทุกเรื่อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนจำนวนมากที่อยู่ในเงื่อนไขของระเบียบทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่ก็ปรากฎว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเพื่อขอถอดยศตำรวจมีน้อยรายมาก รวมถึงการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการเหล่านั้นด้วย กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พฤติการณ์ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก มิใช่เป็นเรื่องของการกระทำโดยตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯเองและมิใช่เป็นเรื่องของการทุจริตหรือการประพฤติชั่วร้ายแรงใดๆ รัฐบาลกลับเลือกปฏิบัติที่จะดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เพื่อมุ่งหวังทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ โดยเฉพาะ กรณีจึงเห็นเจตนาของรัฐบาลโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายกรัฐมนตรีว่าต้องการใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นเครื่องมือทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณฯในทางการเมืองเท่านั้น
ตามที่ปรากฎเป็นข่าวว่ารัฐบาล โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติหาแนวทางเพื่อขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการตำรวจ ซึ่งกรณีนี้น่าจะมุ่งหมายเพื่อดำเนินการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นว่า ถ้าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ 1(2) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547และย่อมอยู่ในเหตุตามข้อ 7(2) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
คณะที่ปรึกษากฎหมายและทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ตรวจสอบความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายแล้ว เห็นว่า กรณีนี้ยังไม่สามารถ นำมาเป็นเหตุที่สมควรโดยชอบด้วยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในอันที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี จะอาศัยเป็นเหตุให้มีการถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ โดยมีเหตุผลในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายดังนี้
(1) ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯในขณะนี้ คือ ได้มีประชาชนจำนวนหลายล้านคนเข้าชื่อจัดทำฎีกาทูลเกล้าฯต่อพระมหากษัตริย์ในการขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งตามความหมายในการขอพระราชทานอภัยโทษ หมายถึง “การยกโทษทางอาญา เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์” ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 191 ซึ่งพระราชอำนาจในการยกโทษทางอาญาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะและมีความเป็นอิสระเด็ดขาด
ดังนั้นกรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ จึงเป็นกรณีที่อยู่ในระยะเวลาที่รัฐบาลมีหน้าที่จัดทำความเห็นถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในเรื่อง การขอพระราชทานอภัยโทษให้เสร็จสิ้นกระบวนการเสียก่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะอาศัยเหตุตามคำพิพากษาถึงที่สุดที่มีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณฯ มาดำเนินการเพื่อถอดยศและริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ ซึ่งจะเป็นการก้าวล่วงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่ยังมิได้ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องดังกล่าว
(2) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 11 บัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” และมาตรา 192 “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์”
การถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ถือเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 191 และ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ตามมาตรา 192 อีกทั้งรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการถอดถอนฐานันดรศักดิ์และเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายใด จึงถือเป็นพระราชอำนาจโดยเฉพาะของพระมหากษัตริย์ ที่จะประกาศเป็นพระราชบรมราชโองการ
ดังนั้น ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ซึ่งอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 มาตรา 28 และระเบียบสำนักนายกรัฐนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548 ถือเป็นระเบียบที่ขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ ต้องห้ามตามมาตรา 6 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เนื่องจากระเบียบดังกล่าวไปกำหนดกฎเกณฑ์ เงื่อนไข การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรี ไม่มีหน้าที่ในอันที่จะถอดยศหรือริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ คงมีหน้าที่เพียงถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ว่ามีข้อเท็จจริงใดที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เท่านั้น และการดำเนินการดังกล่าวต้องเป็นไปตาม มาตรา 3 วรรคสองของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ต้องยึด “ตามหลักนิติธรรม” และ คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 26 และหลักความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 30 , 31
(3) ก่อนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 นั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติยังมิได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทต่อพระมหากษัตริย์เพื่อให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าด้วยการถอดยศตำรวจดังเช่นเดียวกันกับการที่สำนักนายกรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในอันที่จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชานุญาตในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะดำเนินการในเรื่อง “ถอดยศ” ของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ แต่อย่างใด เพราะจะเป็นก้าวล่วงต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และไม่อาจจะอ้างว่าระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11(4) มาตรา 28 และมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้ เพราะ อำนาจตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่อาจขัดหรือแย้งกับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 192
(4) โดยข้อเท็จจริงการดำเนินการเพื่อถวายรายงานต่อพระมหากษัตริย์ในการขอถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์นั้น มิใช่เป็นการบังคับว่าต้องทำทุกเรื่อง ซึ่งข้อเท็จจริงที่ผ่านมามีข้าราชการตำรวจและข้าราชการพลเรือนจำนวนมากที่อยู่ในเงื่อนไขของระเบียบทั้งสองฉบับดังกล่าว แต่ก็ปรากฎว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการเพื่อขอถอดยศตำรวจมีน้อยรายมาก รวมถึงการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของข้าราชการเหล่านั้นด้วย กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พฤติการณ์ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก มิใช่เป็นเรื่องของการกระทำโดยตรงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯเองและมิใช่เป็นเรื่องของการทุจริตหรือการประพฤติชั่วร้ายแรงใดๆ รัฐบาลกลับเลือกปฏิบัติที่จะดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณฯ เพื่อมุ่งหวังทำลายเกียรติยศชื่อเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณฯ โดยเฉพาะ กรณีจึงเห็นเจตนาของรัฐบาลโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณและนายกรัฐมนตรีว่าต้องการใช้ระเบียบดังกล่าวเป็นเครื่องมือทำลาย พ.ต.ท.ทักษิณฯในทางการเมืองเท่านั้น
กฤษฎีกา'ให้ถอดยศ-เรียกคืนเครื่องราชฯ'ทักษิณ'หลังถูกศาลฏีกาจำคุก ส่งสำนักเลขา ครม.ดำเนินการ

มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีหนังสือถึง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.) เรื่อง แนวทางการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศตำรวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี จากความผิด ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๐ (๑) วรรคสาม และมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง กรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ จึงเป็นเหตุในการพิจารณาถอยศตำรวจ ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
ปรากฏว่า ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา มีความเห็นว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. 2547 ให้ถอดยศพ.ต.ท.ทักษิณได้ รวมไปถึง การเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. 2548
(อ่านรายละเอียดความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา ด้านล่าง)
————————————-
ความเห็นทางกฎหมาย ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เรื่องเสร็จที่ ๖๙๒/๒๕๕๒
บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
เรื่อง แนวทางการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศตำรวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
————————————
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือ ที่ ตช ๐๐๓๙/๐๓๓๑
ลงวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๒
หารือข้อกฎหมายมายังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สรุปความได้ว่า รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ได้เห็นชอบตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่า ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๐ (๑) วรรคสาม และมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบ หรือดำเนินคดี โดยพิพากษาให้ลงโทษจำคุกสองปี
และยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๒ ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่เข้ามีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์ สำหรับตนเองหรือผู้อื่นเนื่องด้วยกิจการนั้น และ มาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นว่า ความผิดตามคำพิพากษานี้ เป็นความผิดที่เกี่ยวกับการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งใช้กับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเท่านั้น และการดำเนินคดีดังกล่าวแตกต่างจากการดำเนินคดีอาญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งมีวิธีพิจารณาและองค์กรศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ ซึ่งอาจจะมีเจตนารมณ์ของการกำหนดโทษแตกต่างไปจากข้าราชการตำรวจหรือผู้ที่เคยเป็นข้าราชการตำรวจถูกจำคุก อันเนื่องมาจากความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา หรือพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาและถูกดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยทั่วไป ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยนำมาเป็นเหตุพิจารณาดำเนินการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดออกจากยศตำรวจตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
จึงขอหารือว่า คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่พิพากษาให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีความผิดตามมาตรา ๑๐๐ (๑) วรรคสาม และพิพากษาให้รับโทษจำคุกตามมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือเป็นเหตุในการพิจารณาถอดยศตำรวจ ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่
(๒) สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้เคยมีหนังสือ ที่ นร ๐๕๐๘/๕๔๙๓ ลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๔๙
ขอความร่วมมือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเสนอเรื่องขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดยศตำรวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไปในคราวเดียวกันด้วย ซึ่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ ข้อ ๗ กำหนดเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ในข้อ ๗ (๒) ว่า “เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ”
ซึ่งเป็นเหตุเดียวกับการเสนอขอถอดยศตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๑ (๒) โดยในการเสนอขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ในรายนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเห็นว่าในการเสนอขอเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ควรเสนอเฉพาะเครื่องราชอิสริยาภรณ์เมื่อครั้งรับราชการตำรวจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้เสนอขอไว้เดิมเท่านั้น ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่ได้รับภายหลังเมื่อพ้นจากการเป็นข้าราชการตำรวจไปแล้วจะอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒ ) ได้พิจารณาข้อหารือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยได้รับฟังคำชี้แจงจากผู้แทนสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี)และผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว มีความเห็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง
ปัญหาว่า คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่พิพากษาให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีความผิดตามมาตรา ๑๐๐ (๑) วรรคสาม พิพากษาให้รับโทษจำคุกตามมาตรา ๑๒๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จะถือเป็นเหตุในการพิจารณาถอดยศตำรวจตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่ นั้น
เห็นว่า การเสนอขอถอดยศตำรวจ ทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้ เมื่อมีผู้นั้นต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท ตามข้อ ๑ (๒)[๑] แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดเหตุแห่งการถอดยศ มุ่งหมายถึงผลที่ผู้นั้นได้รับจากคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกเท่านั้น โดยไม่ได้มุ่งหมายถึงสถานะของบุคคล กระบวนการพิจารณาพิพากษาคดี หรือฐานความผิดว่าจะต้องเป็นไปตามกฎหมายใด
ดังนั้น ถ้าข้าราชการตำรวจผู้ใดมีกรณีต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ตามข้อ ๑ (๒) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
ประเด็นที่สอง
การต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ จะถือเป็นเหตุในการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือไม่ และในกรณีที่สามารถเรียกคืนได้ หน่วยงานใดจะเป็นผู้ดำเนินการเสนอเพื่อขอให้เรียกคืน
เห็นว่า ในเรื่องนี้ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้บัญญัติเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ไว้ในข้อ ๗ (๒)[๒] ว่า เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จากบทบัญญัติดังกล่าว
จะเห็นได้ว่า การกำหนดเหตุแห่งการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มุ่งหมายกรณีเดียวกันกับเหตุแห่งการถอดยศตำรวจตามข้อ ๑ (๒) แห่งระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการถอดยศตำรวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
ดังนั้น ถ้าข้าราชการตำรวจผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ย่อมอยู่ในเหตุตามข้อ ๗ (๒) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ส่วนการเสนอขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ นั้น
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๘
ข้อ ๖[๓] ให้ดำเนินการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เว้นแต่กรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่เพียงบางชั้นตรา
ข้อ ๘[๔] ได้กำหนดให้ส่วนราชการต้นสังกัด หรือส่วนราชการที่เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรวบรวมเอกสารหลักฐาน และประวัติการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของผู้นั้นเพื่อส่งเรื่องไปสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้รับเรื่องแล้วหรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี พิจารณาเห็นสมควร ให้เสนอรายชื่อ พร้อมทั้งชั้นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่สมควรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณา
ในกรณีนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจรวบรวมเอกสารหลักฐาน และประวัติการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์เฉพาะในส่วนที่มีเอกสารหลักฐานอยู่ก็ได้ และหากมีเอกสารหลักฐาน และประวัติการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของผู้นั้นในส่วนที่ยังขาดอยู่ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีหรือส่วนราชการอื่นที่เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็อาจดำเนินการเพิ่มเติมให้ครบถ้วน แล้วเสนอรายชื่อและชั้นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่สมควรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไป
คุณพรทิพย์ จาละ
เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ตุลาคม ๒๕๕๒
——————————————————————————–
ส่งพร้อมหนังสือ ที่ นร ๐๙๐๑/๑๑๕๓ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๒
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มีถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
[๑] ข้อ ๑ การเสนอขอถอดยศตำรวจทั้งแก่ผู้ที่อยู่ในราชการตำรวจ และที่พ้นจากราชการตำรวจไปแล้ว ให้กระทำได้เมื่อมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
(๒) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก หรือโทษที่หนักกว่าจำคุก เว้นแต่ความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
[๒] ข้อ ๗ เหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ มีดังต่อไปนี้
(๑) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ประหารชีวิต
(๒) เป็นผู้ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ในความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
[๓] ข้อ ๖ ในกรณีที่ปรากฏเหตุแห่งการเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามข้อ ๗ ให้ดำเนินการเรียกคืนทุกชั้นตรา เว้นแต่กรณีที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์แต่เพียง
บางชั้นตรา
[๔] ข้อ ๘ เมื่อผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์รายใดมีกรณีที่ต้องถูกเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตามข้อ ๗ ให้ส่วนราชการต้นสังกัดหรือส่วนราชการที่เสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการรวบรวมเอกสารหลักฐาน และประวัติการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของผู้นั้น เพื่อส่งเรื่องไปสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
เมื่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้รับเรื่องแล้ว หรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นสมควร ให้เสนอรายชื่อพร้อมทั้งชั้นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ที่สมควรขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืน ให้ นายกรัฐมนตรีพิจารณา
ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายชื่อ และชั้นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ที่จะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืน ไปยังสำนักราชเลขาธิการ เพื่อนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์
หากทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรียกคืนแล้ว ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ทักษิณ เปิดรับสมัครข้อความ sms
ย้อนรอยอัปยศโจรเสื้อนอก ปรส.
อภิมหายุทธการปล้นชาติ 6 แสนล้าน!!
เป็นที่ยอมรับกันว่าวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย หรืออุบัติการณ์ ฟองสบู่แตก ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ของชาติที่เปรียบเสมือนการ เสียกรุงครั้งที่ 3 โดยคนไทยทั้งแผ่นดินต้องเผชิญกับสภาพการสูญเสียเอกราชอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ด้วยความขมขื่น สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินสาธารณะหลายล้านล้านบาท
รากเหง้าของวิกฤตชาติดังกล่าวเกิดจากการความความอ่อนด้อยบวกกับความละโมบของ รัฐบาลนายแบงก์ที่ติดบ่วงมายาโลกาภิวัตน์ จนตัดสินใจผิดอย่างใหญ่หลวงในการผลักดันนโยบายเสรีทางการเงินสุดขั้ว โดยการเปิดกิจการวิเทศน์ธนกิจ หรือ บีไอบีเอฟ (Bangkok International Banking Facilities : BIBF) ในปี 2537 โดยไม่มีมาตรการรองรับ เช่น จงใจปล่อยให้เกิดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยภายใน (12%) และภายนอกประเทศ (7%) และยังคงปล่อยให้เงินบาทผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือระบบ ตระกร้าเงิน (Basket of Currencies) แทนที่จะลอยตัวค่าเงินบาท (Managed Float)เพื่อให้วิถีค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างแท้จริง
นโยบายที่แฝงด้วยวาระซ่อนเร้นดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสภาพเงินนอกไหลท่วมเนื่องจากทุกฝ่ายต่างมุ่งตักตวงโอกาสในการแสวงหาประโยชน์หรือกำไรจากส่วน ต่างของอัตราดอกเบี้ย จนเมื่อสถานการณ์สุกงอมค่าเงินบาทก็เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องเมื่อถูกโจมตีจากกองทุนค้าเงินข้ามชาติ (Hedge Fund) โดยเฉพาะปีศาจการเงินอย่าง จอร์ส โซรอส ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ต้องทุ่มทุนปกป้องค่าเงินบาทอย่างถมไม่เต็ม แต่ก็ต้องยอมยกธงขาวก่อนที่เงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจะหมดเกลี้ยง และจำต้องประกาศ ?ลอยตัวค่าเงินบาท? เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อมทั้งขอรับความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ หลังจากที่เกิดความเสียหายจากความ บกพร่องและบ้าบิ่น ในการปกป้องค่าเงินบาทเป็นจำนวนมหาศาล
เฉพาะเพียงแค่วันที่ 15 พฤษภาคม 2540 วันเดียว ที่ประชุมผู้บริหารแบงก์ชาติได้มีมติให้ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการปกป้องค่า เงินบาทได้โดยไม่จำกัดวงเงิน ส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินทุนสำรองฯ ในการปกป้องค่าเงินบาทไปอีกกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ2 แสน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือได้ว่า เป็นการป้องกันค่าเงินที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและอาจจะแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายดังกล่าวยังไม่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังวิกฤติ ชาติ จากน้ำมือขององค์กรที่มีชื่อว่า ปรส. หรือองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินที่สร้างความเสียหายแก่สินทรัพย์ของชาติรวมมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทจนมีผู้ประณามวีรกรรมของปรส.ว่าเปรียบเสมือนการปล้นรอบสองมูลเหตุกำเนิดของปรส.สืบเนื่องมาจากภายหลังจากที่มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งอย่างถาวรในปี 2540 รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดจัดตั้ง ปรส. เพื่อให้ทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกปิด ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของชาติ รวมมูลค่าราว 823,000 ล้านบาท (อาจสูงถึง 1ล้านล้านบาท) แต่ปรากฏว่า ปรส.กลับนำสินทรัพย์ทั้งหมดมากองรวมกันโดยไม่ได้แยกหนี้ดีและหนี้เสียออกจาก กัน และทำการประมูลแบบ ยกเข่งสร้างความสูญเสียแก่ประเทศอย่างใหญ่หลวง ถือเป็นความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากสินทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ปรส.เปิดประมูลได้กว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้นมูลค่าสินทรัพย์ของประเทศสูญหายไปถึง 6 แสนล้านบาท จนถึงวันนี้ประชาชนยังไม่ได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการดำเนินการของ ปรส.ผิดพลาดอย่างไร และยังไม่ทราบว่าความเสียหายทั้งหมดนี้ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ามูลเหตุที่อาจทำให้ ปรส.ตัดสินใจรวม หนี้ดี-หนี้เสียกองไว้ด้วยกันและเปิดประมูลแบบยกเข่งนั้น อาจเป็นเพราะการที่ แบงก์ชาติไม่ต้องการเปิดเผยถึงความผิดพลาดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจึงไม่ต้องการให้มีการแบ่งเป็นกองหนี้ดีและกองหนี้เสีย
ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง ปรส.ตามพระราชกำหนดการปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ไม่ได้มุ่งให้ ปรส.ดำเนินการขายสินทรัพย์แบบขายทอดตลาดแต่ต้องการให้ ปรส. ปฏิรูปหรือ ฟื้นฟูหนี้เสียให้กลายเป็นหนี้ดีขึ้นหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นให้มากที่สุด เพราะสินทรัพย์ดังกล่าวมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งประชาชนทุกคนต้องเป็นผู้แบกรับความเสียหายทั้งหมดในที่สุด
อาจกล่าวได้ว่ามูลเหตุสำคัญในความผิดพลาดของ ปรส.เกิดจากการที่มี ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) เนื่องจากหลายสาเหตุ แม้ข้อเท็จจริงตามกฎหมายอาจดูไม่เข้าข่ายมูลฐานความผิด แต่ในแง่ของจรรยาบรรณถือเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างชัดเจน ดังนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถเอาผิดคนบางกลุ่มไม่ได้ แต่สังคมควรได้รับรู้ว่าใครบ้างที่มีความผิดด้านจรรยาบรรณและจะต้องลงโทษคนที่ร่วมกันสร้างความเสียหายแก่ประเทศ พฤติการณ์ที่น่าสงสัยของผู้บริหาร ปรส.เริ่มตั้งแต่การว่าจ้าง บริษัท เลห์แมนบราเดอร์ส (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นที่ปรึกษาวาณิชธนกิจ โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดการสินทรัพย์ของ ปรส.ทั้งหมด โดยบริษัทดังกล่าวได้ทำเกินหน้าที่ด้วยการให้ข้อเสนอในการตั้งเงื่อนไขต่างๆ ให้ข้อมูลในด้านตัวเลขและราคาแก่ผู้เข้าร่วมประมูล และเมื่อ ปรส.เปิดการประมูลสินทรัพย์ก็ปรากฏว่าเงื่อนไขต่างๆ เป็นที่น่าเคลือบแคลงอย่างยิ่งเช่น
1.การไม่ยอมให้ลูกหนี้ร่วมประมูลหนี้ของตนเองอันเป็นการตัดสิทธิผู้รู้ข้อมูลของสินทรัพย์ที่แท้จริง
2.ตั้งสินทรัพย์เป็นกองใหญ่ๆ ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาที่รู้ว่าหากตั้งเป็นกองใหญ่ๆ ในขณะนั้นคนไทยย่อมขาดเงินทุนหรือไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะเข้าร่วมแข่งขันในการประมูล
ดังนั้นจึงเปิดช่องให้กลุ่มบริษัทต่างชาติ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการประมูลครั้งนี้โดยข้อน่าสังเกตก็คือผลการประมูล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสิน เชื่อที่มีหลักประกันอย่างชัดเจน (เรียกกันว่ามีครีมอยู่ข้างบน) วงเงินจำนวนมากแต่ผลการประมูลได้กว่า 19,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ชนะการประมูลก็คือ บริษัท เลห์แมนบราเดร์สโฮลอิ้ง อิงค์ ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ปรึกษาของปรส.(เลห์แมนบราเดอร์สฯ)99.99% จึงกล่าวได้ว่าผู้ชนะการประมูล รู้ไส้ ปรส.ก่อนคู่แข่ง แต่ผู้บริหาร ปรส.กลับอ้างว่าทั้ง2บริษัทไม่มีการเปิดเผยข้อมูลถึงกันเพราะมี ChineseWall หรือกำแพงเมืองจีนหากแต่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศใดในโลกที่จะยอมให้บริษัทปรึกษาวาณิชธนกิจ ซึ่งเป็น บริษัทลูกเป็นผู้วางกรอบและกำหนดเกณฑ์ในการประมูลจนกระทั่งบริษัทแม่เป็นผู้ชนะการประมูลในที่สุด
นี่เป็นเพียงปฐมบทของ อภิมหายุทธการปล้นชาติ 6 แสนล้านที่ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ
เป็นที่ยอมรับกันว่าวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศไทย หรืออุบัติการณ์ ฟองสบู่แตก ที่เกิดขึ้นในปี 2540 ถือเป็นหายนะครั้งใหญ่ของชาติที่เปรียบเสมือนการ เสียกรุงครั้งที่ 3 โดยคนไทยทั้งแผ่นดินต้องเผชิญกับสภาพการสูญเสียเอกราชอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ด้วยความขมขื่น สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติและประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระหนี้สินสาธารณะหลายล้านล้านบาท
รากเหง้าของวิกฤตชาติดังกล่าวเกิดจากการความความอ่อนด้อยบวกกับความละโมบของ รัฐบาลนายแบงก์ที่ติดบ่วงมายาโลกาภิวัตน์ จนตัดสินใจผิดอย่างใหญ่หลวงในการผลักดันนโยบายเสรีทางการเงินสุดขั้ว โดยการเปิดกิจการวิเทศน์ธนกิจ หรือ บีไอบีเอฟ (Bangkok International Banking Facilities : BIBF) ในปี 2537 โดยไม่มีมาตรการรองรับ เช่น จงใจปล่อยให้เกิดช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยภายใน (12%) และภายนอกประเทศ (7%) และยังคงปล่อยให้เงินบาทผูกติดกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือระบบ ตระกร้าเงิน (Basket of Currencies) แทนที่จะลอยตัวค่าเงินบาท (Managed Float)เพื่อให้วิถีค่าเงินเป็นไปตามกลไกตลาดเสรีอย่างแท้จริง
นโยบายที่แฝงด้วยวาระซ่อนเร้นดังกล่าว ส่งผลให้เกิดสภาพเงินนอกไหลท่วมเนื่องจากทุกฝ่ายต่างมุ่งตักตวงโอกาสในการแสวงหาประโยชน์หรือกำไรจากส่วน ต่างของอัตราดอกเบี้ย จนเมื่อสถานการณ์สุกงอมค่าเงินบาทก็เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่องเมื่อถูกโจมตีจากกองทุนค้าเงินข้ามชาติ (Hedge Fund) โดยเฉพาะปีศาจการเงินอย่าง จอร์ส โซรอส ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ต้องทุ่มทุนปกป้องค่าเงินบาทอย่างถมไม่เต็ม แต่ก็ต้องยอมยกธงขาวก่อนที่เงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศจะหมดเกลี้ยง และจำต้องประกาศ ?ลอยตัวค่าเงินบาท? เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อมทั้งขอรับความช่วยเหลือจาก ไอเอ็มเอฟ หลังจากที่เกิดความเสียหายจากความ บกพร่องและบ้าบิ่น ในการปกป้องค่าเงินบาทเป็นจำนวนมหาศาล
เฉพาะเพียงแค่วันที่ 15 พฤษภาคม 2540 วันเดียว ที่ประชุมผู้บริหารแบงก์ชาติได้มีมติให้ผู้ที่รับผิดชอบดำเนินการปกป้องค่า เงินบาทได้โดยไม่จำกัดวงเงิน ส่งผลให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินทุนสำรองฯ ในการปกป้องค่าเงินบาทไปอีกกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ2 แสน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือได้ว่า เป็นการป้องกันค่าเงินที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยและอาจจะแพงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกก็ว่าได้
อย่างไรก็ตาม ความเสียหายดังกล่าวยังไม่เทียบเท่ากับความเสียหายที่เกิดขึ้นภายหลังวิกฤติ ชาติ จากน้ำมือขององค์กรที่มีชื่อว่า ปรส. หรือองค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงินที่สร้างความเสียหายแก่สินทรัพย์ของชาติรวมมูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาทจนมีผู้ประณามวีรกรรมของปรส.ว่าเปรียบเสมือนการปล้นรอบสองมูลเหตุกำเนิดของปรส.สืบเนื่องมาจากภายหลังจากที่มีการปิดสถาบันการเงิน 56 แห่งอย่างถาวรในปี 2540 รัฐบาลจึงได้ออกพระราชกำหนดจัดตั้ง ปรส. เพื่อให้ทำหน้าที่บริหารจัดการสินทรัพย์ของสถาบันการเงินที่ถูกปิด ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ของชาติ รวมมูลค่าราว 823,000 ล้านบาท (อาจสูงถึง 1ล้านล้านบาท) แต่ปรากฏว่า ปรส.กลับนำสินทรัพย์ทั้งหมดมากองรวมกันโดยไม่ได้แยกหนี้ดีและหนี้เสียออกจาก กัน และทำการประมูลแบบ ยกเข่งสร้างความสูญเสียแก่ประเทศอย่างใหญ่หลวง ถือเป็นความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย เนื่องจากสินทรัพย์มูลค่ารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ปรส.เปิดประมูลได้กว่า 2 แสนล้านบาทเท่านั้นมูลค่าสินทรัพย์ของประเทศสูญหายไปถึง 6 แสนล้านบาท จนถึงวันนี้ประชาชนยังไม่ได้รับทราบว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทย ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจนว่าการดำเนินการของ ปรส.ผิดพลาดอย่างไร และยังไม่ทราบว่าความเสียหายทั้งหมดนี้ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบ นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่ามูลเหตุที่อาจทำให้ ปรส.ตัดสินใจรวม หนี้ดี-หนี้เสียกองไว้ด้วยกันและเปิดประมูลแบบยกเข่งนั้น อาจเป็นเพราะการที่ แบงก์ชาติไม่ต้องการเปิดเผยถึงความผิดพลาดในการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินจึงไม่ต้องการให้มีการแบ่งเป็นกองหนี้ดีและกองหนี้เสีย
ทั้งๆ ที่วัตถุประสงค์ในการจัดตั้ง ปรส.ตามพระราชกำหนดการปฏิรูปสถาบันการเงิน พ.ศ.2540 ไม่ได้มุ่งให้ ปรส.ดำเนินการขายสินทรัพย์แบบขายทอดตลาดแต่ต้องการให้ ปรส. ปฏิรูปหรือ ฟื้นฟูหนี้เสียให้กลายเป็นหนี้ดีขึ้นหรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นให้มากที่สุด เพราะสินทรัพย์ดังกล่าวมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อหนี้สาธารณะ ซึ่งประชาชนทุกคนต้องเป็นผู้แบกรับความเสียหายทั้งหมดในที่สุด
อาจกล่าวได้ว่ามูลเหตุสำคัญในความผิดพลาดของ ปรส.เกิดจากการที่มี ผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) เนื่องจากหลายสาเหตุ แม้ข้อเท็จจริงตามกฎหมายอาจดูไม่เข้าข่ายมูลฐานความผิด แต่ในแง่ของจรรยาบรรณถือเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างชัดเจน ดังนั้น ถึงแม้ว่าอาจจะไม่สามารถเอาผิดคนบางกลุ่มไม่ได้ แต่สังคมควรได้รับรู้ว่าใครบ้างที่มีความผิดด้านจรรยาบรรณและจะต้องลงโทษคนที่ร่วมกันสร้างความเสียหายแก่ประเทศ พฤติการณ์ที่น่าสงสัยของผู้บริหาร ปรส.เริ่มตั้งแต่การว่าจ้าง บริษัท เลห์แมนบราเดอร์ส (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นที่ปรึกษาวาณิชธนกิจ โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาในการจัดการสินทรัพย์ของ ปรส.ทั้งหมด โดยบริษัทดังกล่าวได้ทำเกินหน้าที่ด้วยการให้ข้อเสนอในการตั้งเงื่อนไขต่างๆ ให้ข้อมูลในด้านตัวเลขและราคาแก่ผู้เข้าร่วมประมูล และเมื่อ ปรส.เปิดการประมูลสินทรัพย์ก็ปรากฏว่าเงื่อนไขต่างๆ เป็นที่น่าเคลือบแคลงอย่างยิ่งเช่น
1.การไม่ยอมให้ลูกหนี้ร่วมประมูลหนี้ของตนเองอันเป็นการตัดสิทธิผู้รู้ข้อมูลของสินทรัพย์ที่แท้จริง
2.ตั้งสินทรัพย์เป็นกองใหญ่ๆ ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาที่รู้ว่าหากตั้งเป็นกองใหญ่ๆ ในขณะนั้นคนไทยย่อมขาดเงินทุนหรือไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะเข้าร่วมแข่งขันในการประมูล
ดังนั้นจึงเปิดช่องให้กลุ่มบริษัทต่างชาติ เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากการประมูลครั้งนี้โดยข้อน่าสังเกตก็คือผลการประมูล สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นสิน เชื่อที่มีหลักประกันอย่างชัดเจน (เรียกกันว่ามีครีมอยู่ข้างบน) วงเงินจำนวนมากแต่ผลการประมูลได้กว่า 19,000 ล้านบาท โดยผู้ที่ชนะการประมูลก็คือ บริษัท เลห์แมนบราเดร์สโฮลอิ้ง อิงค์ ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ปรึกษาของปรส.(เลห์แมนบราเดอร์สฯ)99.99% จึงกล่าวได้ว่าผู้ชนะการประมูล รู้ไส้ ปรส.ก่อนคู่แข่ง แต่ผู้บริหาร ปรส.กลับอ้างว่าทั้ง2บริษัทไม่มีการเปิดเผยข้อมูลถึงกันเพราะมี ChineseWall หรือกำแพงเมืองจีนหากแต่ในความเป็นจริงไม่มีประเทศใดในโลกที่จะยอมให้บริษัทปรึกษาวาณิชธนกิจ ซึ่งเป็น บริษัทลูกเป็นผู้วางกรอบและกำหนดเกณฑ์ในการประมูลจนกระทั่งบริษัทแม่เป็นผู้ชนะการประมูลในที่สุด
นี่เป็นเพียงปฐมบทของ อภิมหายุทธการปล้นชาติ 6 แสนล้านที่ควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบ
แพงได้อีก
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย เปิดเผยว่า ราคาทองผันผวน สูงขึ้นทะลุบาท ละ 17,000 บาท และคาดว่าราคาทองมีโอกาสทะลุบาทละ 18,000 บาท มีปัจจัยหลักจากความกังวลเรื่องค่าเงินดอล ลาร์สหรัฐ ทำให้สินค้าโภคภัณฑ์และน้ำมันเปลี่ยนแปลง และจากการเก็งกำไร
เปิดจองตั๋ว
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอฟ ซีเนม่า ซิตี้ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสายการบินนกแอร์ เปิดตัวบริการ เอสเอฟ ทิคเก็ต เซอร์วิส จองตั๋วเครื่องบินนกแอร์ผ่านช่องจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ของโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ ในกรุงเทพฯ ทั้ง 11 สาขา และภูเก็ต 2 สาขา เพื่อมอบความสะดวก และเพิ่มมูลค่าบริการให้กับลูกค้า โดยวันนี้ - 30 พ.ย.นี้ รับส่วนลด 100 บาท สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับทุกเส้นทาง และศษรับส่วนลด เพิ่ม เป็น 200 บาท เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เส้นทางภูเก็ต
เอาใจคอกาแฟ
รายงานข่าวจาก ร้านแมคไทย เจ้าของร้านแมคโดนัลด์ เปิดเผยว่า แมคคาเฟ่ได้เปิดตัวบัตรสมาชิก แมคคาเฟ่ คลับ มอบสิทธิพิเศษสำหรับคอกาแฟ ได้รับส่วนลด 25% สำหรับเมนู เครื่องดื่ม พร้อมรับคูปองส่วนลด มูลค่า 264 บาท เปิดรับสมัครสมาชิกที่ร้าน แมคคาเฟ่ทุกสาขา ถึงวันที่ 30 พ.ย. นี้เท่านั้น
สร้างแบรนด์ทั่วโลก
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพี เอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะให้ความสำคัญการทำให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน โดยปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ มุ่งสร้างแบรนด์ซีพี ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับทั่วโลก รุกขยายธุรกิจอาหาร ผลักดันโครงสร้างสัดส่วนอาหารคน และอาหารสัตว์ให้ได้รวากกว่า 65% ของรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ควบรวมกิจการ
นายมนู สว่างแจ้ง ผู้จัดการ ใหญ่ประจำประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ไฟเซอร์(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ไฟเซอร์ และไวเอท ได้ควบรวมกิจการกันทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยในไทยทั้ง 2 บริษัทควบรวมกิจการแล้วเช่นกัน คาดว่าจะทำให้ไฟเซอร์ เป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และยาเวชภัณฑ์หลากหลายขึ้น ครอบคลุมธุรกิจยา วัคซีน และชีวเวชภัณฑ์ ธุรกิจเวชภัณฑ์สัตว์ ธุรกิจโภชนาการ ธุรกิจเวชภัณฑ์เสริมสุขภาพ และธุรกิจผลิตแคปซูล.
เปิดจองตั๋ว
นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอฟ ซีเนม่า ซิตี้ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสายการบินนกแอร์ เปิดตัวบริการ เอสเอฟ ทิคเก็ต เซอร์วิส จองตั๋วเครื่องบินนกแอร์ผ่านช่องจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ของโรงภาพยนตร์ในเครือเอสเอฟ ในกรุงเทพฯ ทั้ง 11 สาขา และภูเก็ต 2 สาขา เพื่อมอบความสะดวก และเพิ่มมูลค่าบริการให้กับลูกค้า โดยวันนี้ - 30 พ.ย.นี้ รับส่วนลด 100 บาท สำหรับการจองตั๋วเครื่องบินไป-กลับทุกเส้นทาง และศษรับส่วนลด เพิ่ม เป็น 200 บาท เมื่อซื้อตั๋วเครื่องบินไป-กลับ เส้นทางภูเก็ต
เอาใจคอกาแฟ
รายงานข่าวจาก ร้านแมคไทย เจ้าของร้านแมคโดนัลด์ เปิดเผยว่า แมคคาเฟ่ได้เปิดตัวบัตรสมาชิก แมคคาเฟ่ คลับ มอบสิทธิพิเศษสำหรับคอกาแฟ ได้รับส่วนลด 25% สำหรับเมนู เครื่องดื่ม พร้อมรับคูปองส่วนลด มูลค่า 264 บาท เปิดรับสมัครสมาชิกที่ร้าน แมคคาเฟ่ทุกสาขา ถึงวันที่ 30 พ.ย. นี้เท่านั้น
สร้างแบรนด์ทั่วโลก
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพี เอฟ เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะให้ความสำคัญการทำให้ธุรกิจเกิดความยั่งยืน โดยปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ มุ่งสร้างแบรนด์ซีพี ให้เป็นที่รู้จักและยอมรับทั่วโลก รุกขยายธุรกิจอาหาร ผลักดันโครงสร้างสัดส่วนอาหารคน และอาหารสัตว์ให้ได้รวากกว่า 65% ของรายได้ในอีก 5 ปีข้างหน้า
ควบรวมกิจการ
นายมนู สว่างแจ้ง ผู้จัดการ ใหญ่ประจำประเทศไทยและอินโดไชน่า บริษัท ไฟเซอร์(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ไฟเซอร์ และไวเอท ได้ควบรวมกิจการกันทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยในไทยทั้ง 2 บริษัทควบรวมกิจการแล้วเช่นกัน คาดว่าจะทำให้ไฟเซอร์ เป็นบริษัทที่มีผลิตภัณฑ์และยาเวชภัณฑ์หลากหลายขึ้น ครอบคลุมธุรกิจยา วัคซีน และชีวเวชภัณฑ์ ธุรกิจเวชภัณฑ์สัตว์ ธุรกิจโภชนาการ ธุรกิจเวชภัณฑ์เสริมสุขภาพ และธุรกิจผลิตแคปซูล.
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ชวน-บัญญัติ ได้เวลาดึง 'มาร์ค' จากเหว

ทั้งๆ ที่บทบาทในเรื่องเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็นทั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จำเป็นที่จะต้องเป็นคนทำ แต่กลับกลายเป็นว่านายชวนต้องกลายมาเป็นคนออกโรงเสียเองสะท้อนว่า กระแสที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากดูบทบาทความสำคัญที่เริ่มหมุนกลับมาที่นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ในขณะนี้
หากความเป็นจริง คือ ยิ่งพูดมากเท่าไร คนยิ่งเชื่อถือน้อยลงเท่านั้นในหลักของการบริหารที่ดี มีเพียงประการเดียวเท่านั้น ก็คือต้องเปลี่ยนตัวคนพูดเสียใหม่
ต้องหาคนที่ยังคงได้รับการยอมรับ ยังคงมีเครดิตหรือความน่าเชื่อถือ ให้เป็นคนที่ออกมาพูดแทนไม่น่าเชื่อว่า ภายในระยะเวลาแค่ไม่ถึงปี รัฐบาล “เทพประทาน” ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะล้มเหลวในการสร้างผลงาน สร้างศรัทธาการยอมรับ และความเชื่อถือขนาดนี้แต่คงยากที่บรรดา นายทหารกลุ่ม คมช. กับทายาทอย่าง คตส. หรือแม้กระทั่ง ปปช. จะยื่นมือมาช่วยสร้างคะแนนได้อีกรวมทั้งกลุ่มพันธมิตร ซึ่งวันนี้ได้กลายสภาพมาเป็นพรรคการเมืองใหม่แล้ว ย่อมถือว่าลงมาอยู่ในสนามเดียวกัน จะมาให้อุ้มกระเตงกันต่อไปดูท่าจะไม่ไหวแล้วแม้ว่าจะยังตัดบัวเหลือใย ด้วยการงดที่จะไม่ส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 1 ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งมองได้ทั้งให้โอกาสรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ กับอีกประเด็นก็คือ พรรคการเมืองใหม่เองก็อาจจะยังไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งขืนเปิดหน้าชนเพื่อแย่งพื้นที่กับประชาธิปัตย์ในตอนนี้อาจจะทำให้ไก่ตื่น ฉะนั้นเอาไว้รอแลกหมัดในช่วงเลือกตั้งใหญ่พร้อมกันทั่วประเทศไปเลยน่าจะเหมาะสมกว่ารวมทั้งเช่นเดียวกับกลุ่มอำมาตยาธิปไตย และผู้มีบารมีทั้งหลาย ที่วันนี้ก็พลาดแล้วพลาดอีก จนความเชื่อถือสั่นคลอนไปไม่ใช่น้อย... แทบไม่ต่างจากภาพลักษณ์ของรัฐบาลเลยก็ว่าได้ดังนั้น วันนี้ลึกๆ แล้วประชาธิปัตย์ กำลังเดินอย่างลำพังบนความประมาทของตนเอง ที่เชื่อว่ายังเหนือชั้น และพรรคการเมืองอื่นๆ ไม่มีใครจะทาบรัศมีได้ จะมีก็แต่พรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่ต้องใช้กลไกอำนาจสกัดเอาไว้อย่างสุดฤทธิ์แต่เมื่อในความเป็นจริง ผลงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถจับต้องได้ ยกเว้นแต่ผลงานฉาวโฉ่ในเรื่องทุจริตที่ประชาชนเชื่อมั่นว่ามี แม้จะยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตายก็ตามยิ่งผลงานในเรื่องของการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ด้วยแล้ว ยิ่งไม่มีอะไรที่จะเป็นหน้าเป็นตาได้เลย แถมยังแสดงความอ่อนหัดทางการเมืองระหว่างประเทศ กรณีสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา ที่ทำให้บรรดากลุ่มประเทศอาเซียนพากันส่ายหน้า ว่าเด็กเกินไปจริงๆวันนี้คำพูด เครดิต และความน่าเชื่อถือของ นายอภิสิทธิ์ จึงต้องถือว่าตกต่ำอย่างน่าเป็นห่วงฉะนั้นในภาวะล่อแหลมทางการเมือง ที่สามารถชี้เป็นชี้ตายให้กับพรรคประชาธิปัตย์ได้ ก็ขนาดโพลยังระบุชัดเจนว่า เลือกตั้งเมื่อไหร่ก็แพ้เพื่อไทยเมื่อนั้นประชาธิปัตย์วินาทีจึงยิ่งกว่าเดินไต่ลวดบนปากเหว
ที่สุดผู้อาวุโส ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์เองก็เริ่มทนไม่ไหว จะมองว่าต้องเข้ามาเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ช่วยแก้สถานการณ์ให้ก็ได้หรือจะมองว่าเตรียมที่จะดึงอำนาจกลับคืนมาก่อนที่พรรคจะตกต่ำมากไปกว่านี้ก็ได้ฉะนั้นการที่ นายชวน หลีกภัย ประธานที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมาช่วยในเรื่องที่พูดกันหนักมากว่า จะมีการเลือกตั้งในต้นปีหน้าว่า เป็นเรื่องที่แต่ละคนก็ประเมินกันไป พร้อมกับมองว่าการที่รัฐบาลจะอยู่สั้นหรืออยู่ยาว นั่นคงตอบไม่ได้ แต่ยังหวังว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ ที่สำคัญยอมรับว่า รัฐบาลต้องอย่าทำเป็นประมาท เพราะอุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะรัฐบาลอย่าไปออกนอกแนว และกติกาบ้านเมือง หากไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกาออกนอกวิถีทางประชาธิปไตย ถึงมีอำนาจก็มีโอกาสเกิดปัญหาตามมาได้เสมอ และต้องระวังเรื่องทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญคู่กันไป และต้องระมัดระวังอย่างมาก “ รัฐบาลยังมีเสียงข้างมาก ซึ่งฝ่ายเสียงข้างมากก็ยังคุมเสียงของตัวเองได้ ดังนั้น การจะพ่ายแพ้ญัตติในสภาก็ไม่เกิดขึ้น แต่การทะเลาะกันในสภา หรือนอกสภาบ้างอย่าไปถือเป็นสาระ ขอให้ดูที่เหตุผลว่า ทะเลาะกันเรื่องอะไร” ส่วนปัญหาระหว่างพรรคร่วมและภายในพรรคประชาธิปัตย์นั้น นายชวนมองว่า ในพรรคประชาธิปัตย์คงไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าต้องคุยกันให้มากขึ้น ซึ่งเรื่องเป็นคนเสนอไปเองแล้วด้วยว่าจะต้องมีทั้งๆ ที่บทบาทในเรื่องเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรี และเป็นทั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จำเป็นที่จะต้องเป็นคนทำ แต่กลับกลายเป็นว่านายชวนต้องกลายมาเป็นคนออกโรงเสียเองสะท้อนว่า กระแสที่อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หากดูบทบาทความสำคัญที่เริ่มหมุนกลับมาที่นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ในขณะนี้แม้แต่เก้าอี้เลขาธิการพรรค ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ยังทำท่าว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็เท่ากับว่าอาถรรพ์เก้าอี้เลขาฯพรรคประชาธิปัตย์มีจริงเมื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เพลี่ยงพล้ำ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็วุ่นวาย รวมทั้งตำแหน่งเลขาธิการพรรค ซึ่งเป็นคนทำหน้าที่ “ผู้จัดการรัฐบาล” ตัวจริงก็พลอยสั่นไหวสถานการณ์ที่การเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ ถูกเร่งเร้าและเรียกร้องให้มีการคืนอำนาจให้ประชาชนเสียที และดูท่าการยื้อและซื้อเวลาด้วยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 50 อาจจะใช้มุขนี้อีกไม่ได้นานแล้ว
การเมืองเวลานี้มองข้ามช็อตไปที่การเลือกตั้งกันหมด ฉะนั้น ลึกๆ แล้วพรรคร่วมรัฐบาลเองก็เริ่มเตรียมพร้อมกันแล้ว หากต้องเลือกตั้งในต้นปีหน้าจริงๆ
แม้โดยหน้าไพ่ที่หงายอยู่ในตอนนี้บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลส่วนใหญ่จะออกมามาบอกว่า ยังแน่นแฟ้นกันดีอยู่ ยังไม่มีการแตกแถวแต่อาการที่มีการเชือดเฉือนกันอยู่ในทีตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการช่วงชิงงบประมาณ เรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นว่าวินาทีนี้ไม่มีใครยอมใครจริงๆ แล้วการปฏิเสธข้อเสนอในเรื่องของรัฐบาลแห่งชาติ ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่ออกมาจาก นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล แกนนำ พรรคชาติไทยพัฒนา ที่ว่านอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีทางที่จะเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ได้ด้วยนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แกนนำพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นเรื่องที่ดี แต่โอกาสที่จะมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติก็คงน้อย เพราะสถานการณ์ ความขัดแย้งทางการเมืองในเวลานี้ ต้องยอมรับว่ามีระดับความรุนแรงของการเผชิญหน้าสูง และดำเนินมาอย่างยาวนาน “แต่ตามธรรมชาติของการเมือง การที่จะปิดตายเรื่องข้อเสนอดังกล่าวไปเลยนั้น คงไม่อาจพูดได้ เพราะธรรมชาติของการเมืองอะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และก็เห็นแล้วว่ามีการพลิกขั้วการเมืองกันมาแล้วหลายหนหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปี ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งก็คือ ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสองพรรคใหญ่คือ พรรคประชาธิปัตย์ กับ พรรคเพื่อไทย ว่าจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร เพราะพรรคเล็ก ๆ อื่น ๆ ก็เป็นเพียงองค์ประกอบเท่านั้น” นายสุวัจน์ กล่าวเช่นเดียวกับ นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ออกตัวว่า เรื่องรัฐบาลแห่งชาติ คนที่ต้องตัดสินใจควรจะเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคภูมิใจไทยเป็นเพียงพรรคร่วมรัฐบาล มี ส.ส.เพียงน้อยนิดดูเหมือนรัฐบาลยังคงจับมือกันได้ แต่จริงๆ แล้วใช่หรือไม่ว่า เป็นเพราะประวิงเวลาให้การเลือกตั้งใหม่มาถึงให้ช้าที่สุดเสียมากกว่าหากเกมซื้อเวลาแก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ผล และการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้าจริงอย่างที่ทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมืองคาดโอกาสที่จะมีการผ่าตัดเกิดขึ้นในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีสูงเพราะวันนี้ พี่เลี้ยงเด็ก เริ่มหงุดหงิดกับ “เด็กดื้อ”บ้างแล้วเหมือนกัน
กกต.พร้อมจัดเลือกตั้งหากยุบสภา
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. กล่าวว่า พร้อมจัดการเลือกตั้งหากมีการยุบสภา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ เป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองจะประเมินคะแนนเสียงพื้นที่ในภาคต่างๆ นอกจากนี้ ยังยืนยันถึงความพร้อมของการทำประชามติด้วยว่า จะทำแบบสอบถามแยกเป็น 6 ร่าง หรือ ทำเพียงร่างเดียวก็ไม่มีปัญหา พร้อมที่จะดำเนินการเนื่องจากกฎหมายกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการไว้แล้วส่วนสำนวนเงินบริจาคพรรคประชาธิปัตย์ 258 ล้านบาท นั้น นายประพันธ์ ปฏิเสธที่จะชี้แจงสาเหตุที่ กกต.ให้อนุกรรมการไต่สวนฯ ไปสอบสวน นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ อดีตผู้บริหาร บริษัท ทีพีไอ หลังจาก นายประชัย ปฏิเสธที่จะชี้แจง โดยระบุเพียงว่า ต้องรอผลการสรุปสำนวนของอนุกรรมการไต่สวนก่อน
ทักษิณส่งเอสเอ็ทเอสถึงรากหญ้า เริ่ม 1 พ.ย.
ข่าวสด : เมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะส่งเอสเอ็มเอสให้แฟนคลับ ว่า มองดูแล้วยุทธศาสตร์ของพ.ต.ท.ทักษิณคงแรงขึ้น เพื่อเป็นการเร่งเกมการเมืองให้มีความร้อนแรงมากขึ้น แต่ขณะนี้เรื่องบานปลายจากการต่อสู้ทางการเมืองในประเทศก็ไปยืมมือทางกัมพูชา และมีการรับลูกกันมาและเล่นในเชิงที่จะกดดันประเทศทย ตนคิดว่าในช่วง 2 วันที่ผ่านมาเราอยู่ในฐานะที่พูดอะไรลำบากเพราะเราเป็นประธานอาเซียน แต่การเดินทางไปกัมพูชาของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี สมาชิกพรรคเพื่อไทยนั้น และมีการพูดถึงพ.ต.ท.ทักษิณมีการออกมาให้ข่าวโดยเฉพาะระดับของผู้นำประเทศเพื่อนบ้านมาพูดต่อว่าประเทศไทยและแสดงท่าที่ที่ชัดเจนภายในประเทศนั้นจะทำให้สถานการณ์การเมืองตรึงเครียดมากขึ้น ดังนั้นรัฐบาลต้องเตรียมการอย่างดีในเรื่องการชี้แจง
นายสาทิตย์ กล่าวว่า กรณีเอสเอ็มเอสคงเป็นช่องทางหนึ่งที่เขาจะใช้ในหลายช่องทางที่เขาจะใช้ ซึ่งขณะนี้เรากำลังตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมด โดยเฉพาะเนื้อหาในพีเพิลชาแนล เพราะขณะนี้มีผู้ร้องมามากขึ้นว่าเนื้อหามีลักษณะการปลุกระดมมากขึ้นเรื่อย ซึ่งมีการบันทึกไว้ตลอดเวลา และต้องดูเรื่องของทางกฎหมายด้วย เพราะขณะนี้เป็นเรื่องบานปลายไม่ใช่เรื่องการแสดงความเห็นธรรมดา แต่กลายเป็นเรื่องความพยายามใช้ข้อมูลหลายเรื่องที่เป็นเท็จและพยายามสร้างให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายภายในประเทศ ปกติหากเป็นการแสดงความเห็นธรรมดาในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ก็ปกติ แต่ถ้าใช้วิธีการมากไปกว่านั้นก็ต้องดูข้อกฎหมายและต้องดำเนินการ ส่วนกรณีเอสเอ็มเอสนั้นยังไม่เห็น คงเป็นข่าวออกมา ต้องรอดูว่าส่งจากใครผ่านใคร ข้อความเป็นอย่างไร ใช้วิธีไหน ดังนั้นรัฐบาลไม่ละเลย และการประชาสัมพันธ์เชิงรุกของรัฐบาลต้องทำต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงขนาดที่จะต้องออกระเบียบห้ามเอสเอ็มเอสหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น เอสเอ็มเอสเป็นธุรกิจแบบหนึ่ง ซึ่งต้องดูว่าเป็นธุรกิจที่มีผลกระทบอย่างอื่นหรือไม่ซึ่งต้อดูอีกครั้งหนึ่ง เพราะปกติเอสเอ็มเอสมีข้อความที่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบหรือไม่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเราอย่าเพิ่งไปกลัวอะไร หากพ.ต.ท.ทักษิณจะส่งก็ส่งไปก่อน เพราะปกติก็ส่งยิ่งกว่าเอสเอ็มเอสอยู่แล้วทุกวัน”นายสาทิตย์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวจ.อุดรธานี รายงานว่า เมื่อเวลา 20.45 น. วานนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินจากนครดูไบมาถึงสมาชิกชาวเสื้อแดงอุดรธานี ที่นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร จัดเวทีสัญจรคนเสื้อแดงอุดรขึ้นที่สนามหลังเทศบาลตำบลหนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ โดยระบุว่า ตอนนี้คิดฮอดคนอีสานเด้อ เดิมผมมีบ้านอยู่แล้วที่เชียงใหม่ ในตอนนี้จึงอยากที่จะมามีบ้านที่อีสานบ้าง จึงคิดมาสร้างที่อุดร ซึ่งเป็นเมืองของคนเสื้อแดง ตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองเราตกต่ำมากที่สุด เนื่องจากยามนี้ประชาธิปไตยมันหดหายไป ความยุติธรรมก็ไม่มี ข้าราชการก็หมดกำลังใจในการทำงาน ต้องเสียเงินวิ่งเต้นกัน ท้องถิ่นได้งบประมาณมาก็ถูกรีดไถ ทำให้ไม่มีกำลังใจทำงานกันเป็นยุคที่แย่มาก ๆ ที่สุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ก็ขอให้พ่อแม่พี่น้องทนไปก่อน เลือกตั้งคราวหน้าถ้าอยากจะให้ตนได้กลับบ้าน ก็ขอให้เลือกพรรคของผมให้มาก ผมจะได้กลับไปช่วยพัฒนาทำให้เศรษฐกิจบ้านเมืองให้ดีขึ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้เวลานายกฯ จะเดินทางไปไหนทีก็ต้องมีกองกำลังคุ้มกันเป็น 5,000 – 6,000 คน หรือบางครั้งก็มีอารักขากันถึงหมื่นคน ทั้งนี้เพราะคนเขาไม่ศรัทธากัน รัฐบาลยุบสภาเถิด ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ฯ ได้ออกมาพูดในรายการทางโทรทัศน์ ว่าพร้อมแล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้า การเลือกตั้งคราวหน้าจะเป็นการเลือกตั้งที่สูสีกันมากที่สุดนั้น ตนว่าคงจะสูสีกันที่ 150 : 120 กันนะซิ ส่วนพวกที่พูดโจมตี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กันมากนั้น ก็พูดกันตามภาษาสุภาพว่า พูดไม่ดีแล้วโทษปี่โทษกลอง แต่ถ้าพูดกันอย่างทั่วไปก็คงพูดว่า คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว”
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวในตอนท้ายว่า “ส่วนเรื่องที่พี่น้องประชาชนบอกว่าผมอยู่ไกล ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนได้อยากจะให้มาพักที่ประเทศลาวหรือเขมรเถิด เพราะมันใกล้ที่จะไปเยี่ยมเยียนกันได้ นั้น ก็ไม่เป็นไรถึงจะอยู่ไกลก็จะโฟนมาพูดคุยด้วย ส่วนที่ว่าทางอุดรจำนวนเป็นแสนคนจะยกไปร่วม นปช.ชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงในเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อขับไล่รัฐบาลนั้น ก็ขอให้ไปชุมนุมกันอย่างสันติ ให้เตรียมหม้อข้าวหม้อแกงไปทำกินกันด้วย เพราะทราบว่าจะอยู่กันยาวนาน จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา”
“ขอแจ้งข่าวดีมายังพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกคนว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ผมก็จะส่งเอสเอ็มเอส ข่าวสารมาถึงโทรศัพท์มือถือของพี่น้องทุกคนเลย เป็นการบริการให้ฟรี โดยทุกคนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ใครอยากจะให้ผมส่งข่าวสารมาเปิดหูเปิดตาก็ขอให้แจ้งให้ทราบด้วยนะขณะเดียวกันพี่น้องประชาชนก็จะได้ส่งข่าวสารไปให้ผมได้ทราบได้เช่นกัน”
นายสาทิตย์ กล่าวว่า กรณีเอสเอ็มเอสคงเป็นช่องทางหนึ่งที่เขาจะใช้ในหลายช่องทางที่เขาจะใช้ ซึ่งขณะนี้เรากำลังตรวจสอบเนื้อหาทั้งหมด โดยเฉพาะเนื้อหาในพีเพิลชาแนล เพราะขณะนี้มีผู้ร้องมามากขึ้นว่าเนื้อหามีลักษณะการปลุกระดมมากขึ้นเรื่อย ซึ่งมีการบันทึกไว้ตลอดเวลา และต้องดูเรื่องของทางกฎหมายด้วย เพราะขณะนี้เป็นเรื่องบานปลายไม่ใช่เรื่องการแสดงความเห็นธรรมดา แต่กลายเป็นเรื่องความพยายามใช้ข้อมูลหลายเรื่องที่เป็นเท็จและพยายามสร้างให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายภายในประเทศ ปกติหากเป็นการแสดงความเห็นธรรมดาในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ก็ปกติ แต่ถ้าใช้วิธีการมากไปกว่านั้นก็ต้องดูข้อกฎหมายและต้องดำเนินการ ส่วนกรณีเอสเอ็มเอสนั้นยังไม่เห็น คงเป็นข่าวออกมา ต้องรอดูว่าส่งจากใครผ่านใคร ข้อความเป็นอย่างไร ใช้วิธีไหน ดังนั้นรัฐบาลไม่ละเลย และการประชาสัมพันธ์เชิงรุกของรัฐบาลต้องทำต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงขนาดที่จะต้องออกระเบียบห้ามเอสเอ็มเอสหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขนาดนั้น เอสเอ็มเอสเป็นธุรกิจแบบหนึ่ง ซึ่งต้องดูว่าเป็นธุรกิจที่มีผลกระทบอย่างอื่นหรือไม่ซึ่งต้อดูอีกครั้งหนึ่ง เพราะปกติเอสเอ็มเอสมีข้อความที่ต้องตรวจสอบว่ามีผลกระทบหรือไม่อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเราอย่าเพิ่งไปกลัวอะไร หากพ.ต.ท.ทักษิณจะส่งก็ส่งไปก่อน เพราะปกติก็ส่งยิ่งกว่าเอสเอ็มเอสอยู่แล้วทุกวัน”นายสาทิตย์ กล่าว
ก่อนหน้านี้ ผู้สื่อข่าวจ.อุดรธานี รายงานว่า เมื่อเวลา 20.45 น. วานนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โฟนอินจากนครดูไบมาถึงสมาชิกชาวเสื้อแดงอุดรธานี ที่นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร จัดเวทีสัญจรคนเสื้อแดงอุดรขึ้นที่สนามหลังเทศบาลตำบลหนองวัวซอ อ.หนองวัวซอ โดยระบุว่า ตอนนี้คิดฮอดคนอีสานเด้อ เดิมผมมีบ้านอยู่แล้วที่เชียงใหม่ ในตอนนี้จึงอยากที่จะมามีบ้านที่อีสานบ้าง จึงคิดมาสร้างที่อุดร ซึ่งเป็นเมืองของคนเสื้อแดง ตอนนี้เศรษฐกิจบ้านเมืองเราตกต่ำมากที่สุด เนื่องจากยามนี้ประชาธิปไตยมันหดหายไป ความยุติธรรมก็ไม่มี ข้าราชการก็หมดกำลังใจในการทำงาน ต้องเสียเงินวิ่งเต้นกัน ท้องถิ่นได้งบประมาณมาก็ถูกรีดไถ ทำให้ไม่มีกำลังใจทำงานกันเป็นยุคที่แย่มาก ๆ ที่สุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา ก็ขอให้พ่อแม่พี่น้องทนไปก่อน เลือกตั้งคราวหน้าถ้าอยากจะให้ตนได้กลับบ้าน ก็ขอให้เลือกพรรคของผมให้มาก ผมจะได้กลับไปช่วยพัฒนาทำให้เศรษฐกิจบ้านเมืองให้ดีขึ้น
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้เวลานายกฯ จะเดินทางไปไหนทีก็ต้องมีกองกำลังคุ้มกันเป็น 5,000 – 6,000 คน หรือบางครั้งก็มีอารักขากันถึงหมื่นคน ทั้งนี้เพราะคนเขาไม่ศรัทธากัน รัฐบาลยุบสภาเถิด ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ฯ ได้ออกมาพูดในรายการทางโทรทัศน์ ว่าพร้อมแล้วในการเลือกตั้งครั้งหน้า การเลือกตั้งคราวหน้าจะเป็นการเลือกตั้งที่สูสีกันมากที่สุดนั้น ตนว่าคงจะสูสีกันที่ 150 : 120 กันนะซิ ส่วนพวกที่พูดโจมตี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กันมากนั้น ก็พูดกันตามภาษาสุภาพว่า พูดไม่ดีแล้วโทษปี่โทษกลอง แต่ถ้าพูดกันอย่างทั่วไปก็คงพูดว่า คนดีชอบแก้ไข คนจัญไรชอบแก้ตัว”
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวในตอนท้ายว่า “ส่วนเรื่องที่พี่น้องประชาชนบอกว่าผมอยู่ไกล ไม่สามารถไปเยี่ยมเยียนได้อยากจะให้มาพักที่ประเทศลาวหรือเขมรเถิด เพราะมันใกล้ที่จะไปเยี่ยมเยียนกันได้ นั้น ก็ไม่เป็นไรถึงจะอยู่ไกลก็จะโฟนมาพูดคุยด้วย ส่วนที่ว่าทางอุดรจำนวนเป็นแสนคนจะยกไปร่วม นปช.ชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวงในเดือนพฤศจิกายนนี้เพื่อขับไล่รัฐบาลนั้น ก็ขอให้ไปชุมนุมกันอย่างสันติ ให้เตรียมหม้อข้าวหม้อแกงไปทำกินกันด้วย เพราะทราบว่าจะอยู่กันยาวนาน จนกว่ารัฐบาลจะยุบสภา”
“ขอแจ้งข่าวดีมายังพี่น้องชาวเสื้อแดงทุกคนว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป ผมก็จะส่งเอสเอ็มเอส ข่าวสารมาถึงโทรศัพท์มือถือของพี่น้องทุกคนเลย เป็นการบริการให้ฟรี โดยทุกคนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ใครอยากจะให้ผมส่งข่าวสารมาเปิดหูเปิดตาก็ขอให้แจ้งให้ทราบด้วยนะขณะเดียวกันพี่น้องประชาชนก็จะได้ส่งข่าวสารไปให้ผมได้ทราบได้เช่นกัน”
สิ่งที่ได้จาก"อาเซียน"

ปิดฉากไปอย่างสวยงามและเร้าใจสำหรับการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่จัดขึ้นที่ประเทศไทย ชะอำและหัวหินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าถามตัวเองตั้งแต่ก่อนหน้าการประชุมจะมีขึ้นแล้วว่า “เราได้อะไรในการครั้งนี้?”
คำตอบก็อาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ว่าคำถามนี้จะไปถามใคร หากถามรัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็จะได้รับคำตอบที่เราพอจะคาดเดาได้ไม่ยากว่า “เรียบร้อยดี ไม่มีปัญหา” ซึ่งหากเราถามย้ำคำถามเดิมอีกว่าสิ่งที่ “เราได้” มีอะไรบ้าง นายอภิสิทธิ์คงจะใช้เวลาคิดไม่นานแล้วก็จะสาธยายว่าวันแรกจนถึงวันสุดท้ายเป็นเช่นไร การพูดคุยกันในหมู่ผู้นำเป็นเช่นไร ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันขนาดไหน และผู้นำทุกท่านชมว่าจัดการประชุมได้ดีและสถานที่สวย อาจจะมีบางท่านชมว่าอาหารอร่อย แต่คำถามคือ “เราได้อะไรยังไม่ได้รับคำตอบ” ไม่นับว่าหากเรารู้คำตอบแล้ว เราคิดว่า “เราได้” จริงๆ ตามนั้นหรือไม่ Read the rest of this entry »
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)