ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
รัฐบาลเผด็จการส่วนใหญ่จะคิดหาวิธีการรณรงค์ในเรื่องที่เกี่ยวกับ การตื่นตระหนกของสังคมและความไม่สงบในสังคม ผู้อ่านบางท่านอาจจะจำการรณรงค์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ เรื่องการกล่าวหาการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และไม่นานมานี้ เป็นการต่อต้านการค้าประเวณี พับและสถานดิสโก้ของวัยรุ่น เพื่อเป็นการเอาใจผู้ติดตามเฝ้าดูซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นกลาง และอาจมีการปฎิบัติการที่กว้างขี้น บทความจากช้างน้อยเมื่อไม่กี่ปีก่อน มีคุณค่าต่อการนำมาอ้างถึง
ขณะนี้ เดอะเนชั่น (วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒: “ไล่พวกจรจัดให้พ้นจากสนามหลวง”) รายงานว่า ดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นรณรงค์ที่คล้ายคลึงกัน โดยตั้งเป้าไปที่เรื่องการกำจัดสิ่งปฎิกูลที่เริ่มสะสมในท้องสนามหลวง ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความพยายามของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่จะทำความสอาดในบริเวณนี้ “คนเร่ร่อน และพวกหาบเร่จำนวนนับพัน” ต้องเก็บข้าวของออกไปจากบริเวณนี้ แต่พวกเขาสัญญาว่าจะกลับมาใหม่
ผู้ที่ถูกไล่ออกจากสถานที่บางคนอ้างว่า “สนามหลวงเป็นที่สำหรับคนยากจน” แต่ตามความคิดของเจ้าฟ้าอภิสิทธิ์ชนของพรรคประชาธิปัตย์ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แล้วถือว่าไม่ถูกต้อง ทำไมหรือ สุขุมพันธ์ “อธิบายว่า เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องทำความสอาดสนามหลวงเนื่องจากเป็นสถานที่ใช้ประกอบพระราชพิธีสำคัญสำหรับราชวงศ์
ดังนั้น คนยากจนและคนจรจัดจะต้องถูกนำไปลงทะเบียนและ “ให้ที่พัก หรือส่งตัวกลับบ้าน” แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครต้องการลงทะเบียน
นี่เป็นการเริ่มต้นรณรงค์เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับคนชั้นกลางหรือ ชนชั้นล่างถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขาใช่ไหม หรือว่าเป็นขั้นตอนในการล้างบางสนามหลวง และอาจพยายามที่จะให้พื้นที่นี้ปลอดจากการเมืองด้วยใช่ไหม
ปลอดจากการเมืองในบางพื้นที่ – โดยเฉพาะในเขตพระราชวังหรือ มีรายงานข่าวจากเดอะเนชั่น (วันที่ ๒ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒: “รัฐบาลจะนำ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศมาปัดฝุ่นใช้ใหม่ เพื่อจัดการกับ “การชุมนุม” ของเสื้อแดง”) ซึ่งรัฐบาลกล่าวว่า “เตรียมพร้อมที่จะประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ ถ้าเสื้อแดงพยายามที่จะปลุกระดมสร้างปัญหาในเวลาที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปนิวยอร์คในวันที่ ๒๑-๒๗ กันยายน ตามที่ได้ยินมาจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้”
สังเกตได้ว่า มีการคาดการณ์ว่าเสื้อแดงจะก่อกวนความไม่สงบ จาก “ความคิด” ของรัฐบาลที่ว่า วันที่ ๑๙ กันยายน เป็นวันสำคัญ เนื่องจากจะเป็นวันครบรอบของทำการรัฐประหารปี พ.ศ.๒๕๔๙ ไม่มีหลักฐานใดๆที่จะทำให้เกิดความตื่นกลัวได้ขนาดนี้ แต่รองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณยังคงยืนกรานในความเชื่อของเขาที่ว่า แกนนำเสื้อแดงจะทำการปลุกปั่นผู้สนับสนุน โดยตั้งหน้าตั้งตาคอยตรวจ “หาร่องรอยที่จะเกิดความไม่สงบ” รัฐบาลพบว่า กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศเป็นเครื่องมืออย่างดีที่จะ ป้องกันลัทธิการเคลื่อนไหวเพื่อผลทางการเมือง
สุเทพยกความผิดไปให้ “อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ว่า เป็นตัวการยุแหย่ให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง” ในขณะที่ “ตำแหน่ง” โฆษก และ “มือขวา” ของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างนายปณิธาน วัฒนายากรกล่าวว่า รัฐบาล “จะจับตาดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีความสงสัยว่าเสื้อแดงจะพยายามทุกวิถีทางที่จะขับไล่รัฐบาลในปีนี้” นายปณิธานเชื่อว่า ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของรัฐบาล อาจจะ “พยายามที่จะล้ม” รัฐบาล และที่น่าประหลาดใจและน่าช็อคเป็นอย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้ามยังมีความพยายามที่จะ “โค่นรัฐบาลให้ได้ก่อนที่เศรษฐกิจจะเริ่มมีการฟื้นตัว”
ปกติแล้ว นายปณิธานเป็นคนที่น่าเบื่อและไร้ความรู้สึก และไม่ได้เป็นบุคคลดีเด่นที่ได้รับรางวัลคลิปเสียงยอดเยี่ยมจากสื่อ แต่การออกมาทายว่า เศรษฐกิจจะฟื้นตัวในเดือนหน้านี้ หัวใจของเขาคงเต้นระส่ำไปด้วย ในขณะที่โจมตีเสื้อแดงไปด้วยในเรื่องที่ว่า เสื้อแดงชอบโจมตีผลงานของรัฐบาล
โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) คงต้องปิดปากให้แน่นสนิท และเห็นด้วยกับทุกความเห็นที่กล่าวว่า การโจมตีรัฐบาลของฝ่ายตรงข้ามตามระบบการเมือง ซึ่งมีจุดหมายเพื่อประชาธิปไตยน่ะ ช่างเป็นเรื่องผิดปกติ และถึงขั้นแปลกประหลาด
ต่อมาบุคคลที่น่าเบื่ออย่างปณิธาน มาถึงจุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการเปรียบเทียบ ทักษิณกับบิน ลาเดน “พวกที่คอยหลบหนี ยากที่จะตามจับได้ แต่ก็ไม่มีที่ไหนในโลกให้อาศัย”
ทำไมเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายตามปกติถึงได้โผล่ออกมาในตอนนี้ได้ มันก็ยังไม่แน่ชัดเสียทีเดียว แม้ว่ามีคนเดาว่า อาจจะเป็นเพราะพรรคประชาธิปัตย์ ปลาบปลื้มดีใจกับความสำเร็จจากการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ เพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวทางการเมือง นายปณิธานเป็นหนึ่งในนักวิชาการซึ่งถือได้ว่า เป็นหัวหอกในการคิดค้นกฎหมายความมั่นคงนี้ และอาจจะออกมาอ้างสิทธิ แต่การแสดงความเห็นของเขาและเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คาดว่าน่าจะเป็นสาเหตุที่น่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง สำหรับพัฒนาการทางการเมืองในประเทศไทย
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
เทพเทือก รับตามหลังโจรใต้ สั่งปรับแผนการทำงาน
เหตุระเบิดที่ จ.ยะลา
ที่มา นสพ.คอม
สุเทพ สั่งปรับปรุงงานข่าวรับตามหลังโจรใต้ โชว์ศักยภาพข่มขวัญชาวบ้าน แสดงศักยภาพว่ายังมีตัวตน ให้ มท.แก้ลำรื้อกล้องซีซีทีวีเจ้าปัญหา โบ้ย รบ.เก่าทำไว้ ... วันนี้ (4 ก.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีการก่อเหตุความรุนแรงขึ้นว่า มีการปรับปรุงการทำงานมาตลอด
สิ่งที่ตนกำลังเร่งดำเนินการขณะนี้คือ ผู้ที่กระทำความผิดบางคนหรือหลายคน เป็นผู้ที่ก่อเหตุหลายครั้งและมีพยานหลักฐานทั้งทางบุคคลและทางนิติวิทยาศาสตร์ ตนจึงเร่งรัดให้มีการจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะถ้ายังลอยนวลอยู่ก็จะไปก่อคดีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ โดยตนได้ปรึกษากับผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและได้สั่งการไปแล้ว ซึ่งผู้ก่อเหตุดังกล่าวมีเป็นจำนวนมาก ที่สามารถระบุตัวได้ ทั้งการวางระเบิด เผาโรงเรียน ยิงเจ้าหน้าที่
ซึ่งได้พยานหลักฐานระบุตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้ ตนจึงต้องเพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ แต่จากการประเมินได้รับการยืนยันว่า กลุ่มก่อเหตุยังคงกลบดานในพื้นที่ หรือมีการเข้าออกพื้นที่ไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ โดยเราจะพยายามทำอย่างเข้มแข็งมากขึ้น
เมื่อถามว่าสาเหตุที่มีการก่อเหตุรุนแรงขึ้นเป็นเพราะเหตุใด นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคิดว่าสภาพความเป็นจริงขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มีความเข้าใจรัฐบาลมากขึ้นและเห็นว่ารัฐบาลมี ความตั้งใจจริง ที่จะเข้าไปดูแลแก้ไขและพัฒนาคุณภาพชีวิตยกระดับรายได้ของประชาชนให้ดีขึ้น ตนเชื่อว่าผู้ก่อการร้ายก็กลัวว่าจะสูญเสียมวลชน วิธีที่เขาจะทำก็คือ สร้างภาวะความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นให้มากที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขายังมีชีวิตยังมีอิทธิพลอำนาจในพื้นที่เหล่านั้น นี่คือสิ่งที่ตนพอจะสันนิษฐานได้ขณะนี้
ต่อข้อถามว่าดูเหมือนรัฐบาลจะเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า นายสุเทพ กล่าวว่า เราก็ต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ตนไม่อยากจะโทษในเรื่องของงานด้านการข่าว เพราะงานด้านการข่าวถูกทำลายไปในช่วงหลายปีก่อน ทำให้ตอนนี้ต้องพยายามปรับปรุง เมื่อถามว่า จะมีการแก้ปัญหาการพัฒนาการจุดชนวนระเบิดจากเดิมที่ใช้โทรศัพท์มือถือมาเป็น วิทยุสื่อสารอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องเทคนิคตนคงไม่สามารถอธิบายได้
แต่ก็พยายามให้เจ้าหน้าที่ค้นหาวิธีการที่จะป้องกันคุ้มครองให้ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัย์สินของประชาชนให้มากที่สุด เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสงสัยเรื่องกล้องวงจรปิดที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับงบประมาณในการติดตั้งทั่วพื้นที่ แต่จนถึงขณะนี้กล้องวงจรปิดกลับไม่สามารถใช้งานได้ นายสุเทพ กล่าวว่า อันนั้นเป็นความผิดพลาดในอดีต และรัฐบาลนี้ได้สั่งแก้ไขไปแล้ว
ข้อผิดพลาดที่ตนได้ไปติดตามาคือ ตอนที่คำนวณตอนแรกเป็นการคำนวณโดยใช้เคเบิลใยแก้วนำแสงผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถทำได้ จึงได้ปรับปรุงการใช้เทคโนโลยีใหม่ ก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ต่อข้อถามว่าแสดงว่าต้องจัดงบประมาณใหม่เพื่อไปดำเนินการใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นงบประมาณเดิม เพียงแต่ยกเลิกวิธีการจัดซื้อแบบเดิมกับบริษัทเดิม เพราะเลยเวลามาแล้ว
ที่มา นสพ.คอม
สุเทพ สั่งปรับปรุงงานข่าวรับตามหลังโจรใต้ โชว์ศักยภาพข่มขวัญชาวบ้าน แสดงศักยภาพว่ายังมีตัวตน ให้ มท.แก้ลำรื้อกล้องซีซีทีวีเจ้าปัญหา โบ้ย รบ.เก่าทำไว้ ... วันนี้ (4 ก.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยังมีการก่อเหตุความรุนแรงขึ้นว่า มีการปรับปรุงการทำงานมาตลอด
สิ่งที่ตนกำลังเร่งดำเนินการขณะนี้คือ ผู้ที่กระทำความผิดบางคนหรือหลายคน เป็นผู้ที่ก่อเหตุหลายครั้งและมีพยานหลักฐานทั้งทางบุคคลและทางนิติวิทยาศาสตร์ ตนจึงเร่งรัดให้มีการจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะถ้ายังลอยนวลอยู่ก็จะไปก่อคดีเพิ่มอีกเรื่อย ๆ โดยตนได้ปรึกษากับผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องและได้สั่งการไปแล้ว ซึ่งผู้ก่อเหตุดังกล่าวมีเป็นจำนวนมาก ที่สามารถระบุตัวได้ ทั้งการวางระเบิด เผาโรงเรียน ยิงเจ้าหน้าที่
ซึ่งได้พยานหลักฐานระบุตัวผู้ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้ ตนจึงต้องเพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีให้ได้ แต่จากการประเมินได้รับการยืนยันว่า กลุ่มก่อเหตุยังคงกลบดานในพื้นที่ หรือมีการเข้าออกพื้นที่ไปเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่กำลังติดตามอยู่ โดยเราจะพยายามทำอย่างเข้มแข็งมากขึ้น
เมื่อถามว่าสาเหตุที่มีการก่อเหตุรุนแรงขึ้นเป็นเพราะเหตุใด นายสุเทพ กล่าวว่า ตนคิดว่าสภาพความเป็นจริงขณะนี้ ประชาชนในพื้นที่จังหวัดภาคใต้มีความเข้าใจรัฐบาลมากขึ้นและเห็นว่ารัฐบาลมี ความตั้งใจจริง ที่จะเข้าไปดูแลแก้ไขและพัฒนาคุณภาพชีวิตยกระดับรายได้ของประชาชนให้ดีขึ้น ตนเชื่อว่าผู้ก่อการร้ายก็กลัวว่าจะสูญเสียมวลชน วิธีที่เขาจะทำก็คือ สร้างภาวะความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นให้มากที่สุดเพื่อแสดงให้เห็นว่า เขายังมีชีวิตยังมีอิทธิพลอำนาจในพื้นที่เหล่านั้น นี่คือสิ่งที่ตนพอจะสันนิษฐานได้ขณะนี้
ต่อข้อถามว่าดูเหมือนรัฐบาลจะเป็นฝ่ายตั้งรับมากกว่า นายสุเทพ กล่าวว่า เราก็ต้องปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ตนไม่อยากจะโทษในเรื่องของงานด้านการข่าว เพราะงานด้านการข่าวถูกทำลายไปในช่วงหลายปีก่อน ทำให้ตอนนี้ต้องพยายามปรับปรุง เมื่อถามว่า จะมีการแก้ปัญหาการพัฒนาการจุดชนวนระเบิดจากเดิมที่ใช้โทรศัพท์มือถือมาเป็น วิทยุสื่อสารอย่างไร นายสุเทพ กล่าวว่า อันนี้เป็นเรื่องเทคนิคตนคงไม่สามารถอธิบายได้
แต่ก็พยายามให้เจ้าหน้าที่ค้นหาวิธีการที่จะป้องกันคุ้มครองให้ความปลอดภัย ในชีวิตและทรัย์สินของประชาชนให้มากที่สุด เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสงสัยเรื่องกล้องวงจรปิดที่ก่อนหน้านี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับงบประมาณในการติดตั้งทั่วพื้นที่ แต่จนถึงขณะนี้กล้องวงจรปิดกลับไม่สามารถใช้งานได้ นายสุเทพ กล่าวว่า อันนั้นเป็นความผิดพลาดในอดีต และรัฐบาลนี้ได้สั่งแก้ไขไปแล้ว
ข้อผิดพลาดที่ตนได้ไปติดตามาคือ ตอนที่คำนวณตอนแรกเป็นการคำนวณโดยใช้เคเบิลใยแก้วนำแสงผิดพลาด ทำให้ไม่สามารถทำได้ จึงได้ปรับปรุงการใช้เทคโนโลยีใหม่ ก็ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ต่อข้อถามว่าแสดงว่าต้องจัดงบประมาณใหม่เพื่อไปดำเนินการใช่หรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เป็นงบประมาณเดิม เพียงแต่ยกเลิกวิธีการจัดซื้อแบบเดิมกับบริษัทเดิม เพราะเลยเวลามาแล้ว
คนเสื้อแดงกร้าวซัด"อำพล"ขับพ้น องคมนตรี/แกนนำหารือจัดทัพชุมนุมใหญ่/"สุเทพ"รับดาบแก้เกมม็อบ นปช.
แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ
เมื่อวันที่ 3 ก.ย.52 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุจะนัดชุมนุมในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เพื่อขับไล่รัฐบาล ว่า ต้องรอให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง รายงานอีกครั้งว่าจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดพิเศษหรือไม่
นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแสดงจุดยืนของนายจตุพร เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากนายจตุพรเป็นส.ส. จึงไม่ควรเล่นนอกสภาฯ และจากที่ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ยืนยันว่า การชุมนุมไม่เกี่ยวกับตนเองและพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเรื่องของนายจตุพรคนเดียว ดังนั้นนายจตุพรควรจะลาออกจากการเป็นส.ส. หากยังเล่นเกมนอกสภาฯ เช่นนี้
ด้าน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ระบุว่าการขออภัยโทษให้ผู้ต้องโทษที่หลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษาไม่สามารถทำได้ ว่า เรื่องฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมและรวบรวมข้อมูลเสนอให้รมว.ยุติธรรมนำไปประกอบในการการตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยมอบให้สำนักกฎหมายและกรมราชทัณฑ์ตรวจสอบฎีกา ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของกลุ่มเสื้อแดง เพื่อนำมาเทียบเคียง แต่คงหาฎีกาที่คล้ายคลึงกับของกลุ่มเสื้อแดงได้ยาก เพราะไม่ค่อยมีปรากฏมาก่อน
ขณะที่ นายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษกรณีตัวผู้ต้องโทษหลบหนี แล้วให้ญาติยื่นฎีกามีเพียง 1 ราย เป็นคดีฉ้อโกง คือ นายสุรินทร์ แสงขำ อดีตพระเอกดัง ช่อง 4 บางขุนพรหม โดยศาลอาญาสั่งลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ขอประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์และหลบหนีไปต่างประเทศ
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง แถลงถึงกรณีที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ระบุในการปาฐกถาว่า นายอำพลไม่ควรเป็นองคมนตรี เพราะพูดในลักษณะที่มีอคติและใส่ร้าย ซึ่งการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับองคมนตรี อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 ก.ย.นี้ ทางแกนนำจะแถลงท่าทีอีกครั้งว่าจะชุมนุมในวันที่ 5 ก.ย.หรือไม่ หากรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ทางกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 12 ก.ย.ต่อไป
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันเดียวกัน นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวเห็นด้วยกรณีที่ส.ส.และส.ว.ร่วมกันล่ารายชื่อ เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการลดความขัดแย้ง ที่ผ่านมาได้บอกกับนายกฯ ไปหลายครั้งแล้วว่า ซื้อเวลาหรือเปล่า และมาวันนี้นายกฯ บอกว่าการยุบสภาฯ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ก็เห็นด้วย แต่กลัวว่านายกฯ จะไม่กล้าตัดสินใจมากกว่า
ด้าน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ กล่าวว่า ยังไม่เห็นเรื่องถ้าส่งเรื่องมาก็จะพิจารณาไปตามขั้นตอน จะถ่วงเวลาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสภาฯ ไม่ได้อยู่ที่ประธาน ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดี จัดทำความคิดเห็นกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่ไม่ยอมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี 16 ส.ว.ถือหุ้นสัมปทานรัฐและสื่อ ว่า เป็นการกระทำความผิด ที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (1) ที่ส.ส.และส.ว.จะต้องไม่ใช้สถานะตัวเอง ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
โดยมีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อกฎหมายข้อเท็จจริง พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ส่วนกรณี 13 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ เนื่องจากการถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญนั้น ทางกกต.ได้ส่งเรื่องไปให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ แล้ว และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการประสานงาน
เมื่อวันที่ 3 ก.ย.52 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ระบุจะนัดชุมนุมในวันที่ 5 ก.ย.นี้ เพื่อขับไล่รัฐบาล ว่า ต้องรอให้ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง รายงานอีกครั้งว่าจะเรียกประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)นัดพิเศษหรือไม่
นายเกียรติกร พากเพียรศิลป์ ส.ส.ปราจีนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแสดงจุดยืนของนายจตุพร เป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากนายจตุพรเป็นส.ส. จึงไม่ควรเล่นนอกสภาฯ และจากที่ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้ยืนยันว่า การชุมนุมไม่เกี่ยวกับตนเองและพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเรื่องของนายจตุพรคนเดียว ดังนั้นนายจตุพรควรจะลาออกจากการเป็นส.ส. หากยังเล่นเกมนอกสภาฯ เช่นนี้
ด้าน นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ระบุว่าการขออภัยโทษให้ผู้ต้องโทษที่หลบหนี ไม่มาฟังคำพิพากษาไม่สามารถทำได้ ว่า เรื่องฎีกาของกลุ่มเสื้อแดงอยู่ระหว่างการตรวจสอบของสำนักกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมและรวบรวมข้อมูลเสนอให้รมว.ยุติธรรมนำไปประกอบในการการตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยมอบให้สำนักกฎหมายและกรมราชทัณฑ์ตรวจสอบฎีกา ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับของกลุ่มเสื้อแดง เพื่อนำมาเทียบเคียง แต่คงหาฎีกาที่คล้ายคลึงกับของกลุ่มเสื้อแดงได้ยาก เพราะไม่ค่อยมีปรากฏมาก่อน
ขณะที่ นายนัทธี จิตสว่าง อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบข้อมูลเรื่องการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษกรณีตัวผู้ต้องโทษหลบหนี แล้วให้ญาติยื่นฎีกามีเพียง 1 ราย เป็นคดีฉ้อโกง คือ นายสุรินทร์ แสงขำ อดีตพระเอกดัง ช่อง 4 บางขุนพรหม โดยศาลอาญาสั่งลงโทษจำคุก 2 ปี แต่ขอประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์และหลบหนีไปต่างประเทศ
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง แถลงถึงกรณีที่ นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี ระบุในการปาฐกถาว่า นายอำพลไม่ควรเป็นองคมนตรี เพราะพูดในลักษณะที่มีอคติและใส่ร้าย ซึ่งการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เกี่ยวกับองคมนตรี อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 4 ก.ย.นี้ ทางแกนนำจะแถลงท่าทีอีกครั้งว่าจะชุมนุมในวันที่ 5 ก.ย.หรือไม่ หากรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง ทางกลุ่มคนเสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 12 ก.ย.ต่อไป
ส่วนความเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ วันเดียวกัน นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวเห็นด้วยกรณีที่ส.ส.และส.ว.ร่วมกันล่ารายชื่อ เพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นแนวทางหนึ่งในการลดความขัดแย้ง ที่ผ่านมาได้บอกกับนายกฯ ไปหลายครั้งแล้วว่า ซื้อเวลาหรือเปล่า และมาวันนี้นายกฯ บอกว่าการยุบสภาฯ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ก็เห็นด้วย แต่กลัวว่านายกฯ จะไม่กล้าตัดสินใจมากกว่า
ด้าน นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ กล่าวว่า ยังไม่เห็นเรื่องถ้าส่งเรื่องมาก็จะพิจารณาไปตามขั้นตอน จะถ่วงเวลาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของสภาฯ ไม่ได้อยู่ที่ประธาน ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล
วันเดียวกัน ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานกฎหมายและคดี จัดทำความคิดเห็นกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำของ นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ที่ไม่ยอมส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี 16 ส.ว.ถือหุ้นสัมปทานรัฐและสื่อ ว่า เป็นการกระทำความผิด ที่เข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 266 (1) ที่ส.ส.และส.ว.จะต้องไม่ใช้สถานะตัวเอง ก้าวก่ายแทรกแซงการทำงานของข้าราชการ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
โดยมีมติให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้อกฎหมายข้อเท็จจริง พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ส่วนกรณี 13 ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กกต.เสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ เนื่องจากการถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญนั้น ทางกกต.ได้ส่งเรื่องไปให้ นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ แล้ว และไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในการประสานงาน
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
มท.ยุครัฐบาลมาร์ค ดับฝัน ด.ช.หม่อง-อดไปญี่ปุ่นแข่งพับบินกระดาษ

ข่าวสด : เมื่อวันที่ 2 ก.ย. นายดวงฤทธิ์ เกติมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยทราย จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเด็กชายหม่อง ทองดี อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านห้วยทราย จังหวัดเชียงใหม่ เดินทางเข้าพบ นายวงศ์ศักดิ์ สวัสดิ์พาณิชย์ อธิบดีกรมการปกครอง และนายชำนิ บูชาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทย เพื่อขออนุญาตให้กระทรวงมหาดไทย ทำหนังสือรับรองให้เด็กชายหม่อง เดินทางออกและกลับเข้าประเทศไทยได้ เพื่อที่จะเดินทางไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับที่เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 19-20 กันยายนนี้
นายวงศ์ศักดิ์ ได้ชี้แจงว่า ตามกฎหมายไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่มีอำนาจออกหนังสือรับรองดังกล่าวได้ เนื่องจากบิดา และมารดา ของเด็กชายหม่อง เป็นแรงงานต่างด้าว ไม่ใช่บุคคลที่มีสัญชาติไทย พร้อมระบุ ขอให้ทุกคนเข้าใจ เนื่องจากกฎหมายไทย ไม่ได้เปิดช่องให้มีการผ่อนผัน หรือหาช่องทางที่จะช่วยเหลือในกรณีนี้ได้
ขณะที่ นายดวงฤทธิ์ เกติมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยทราย ทราบข้อเท็จจริงแล้วถึงกลับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ร้องไห้ออกมา ขณะที่เด็กชายหม่อง ก็มีอาการซึม แววตาแสดงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด พร้อมกันนี้ ด.ช.หม่องได้พับเครื่องบินกระดาษให้กับนายวงศ์ศักดิ์ด้วย
ที่กระทรวงการต่างประเทศ น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยสามารถขอความร่วมมือมายังกระทรวงการต่างประเทศให้ออกหนังสือเดินทางให้ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือเดินทางบุคคลต่างด้าว สีเหลือง ชนิดอ่านด้วยเครื่อง มีอายุ 1 ปี ให้กับ ด.ช.หม่อง และสามารถออกวีซ่าให้เดินทางกลับมายังประเทศไทยได้
เมื่อได้รับหนังสือยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยเป็นหลักฐานแล้ว กระทรวงการต่างประเทศก็สามารถดำเนินการได้ทันทีและทราบว่ากระทรวงมหาดไทยได้ติดต่อมาแล้ว
น.ส.วิมลกล่าวอีกว่าที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศเคยออกหนังสือเดินทางบุคคลต่างด้าวให้ 2 รายแล้ว ได้แก่ นางอายุ นามเทพ เชื้อสายกระเหรี่ยงซึ่งไปแข่งขันดนตรีที่ประเทศเกาหลีใต้และ น.ส.ศรีนวล เสาร์คำนวล เชื้อสายไทยใหญ่ซึงได้รับทุนการศึกษาไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซิล ประเทศสหรัฐอเมริกา
นายกฯ มาร์ค..ลงปทุม-เจอแดงพกตีนตบไล่
ไอเอ็นเอ็น :
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ 1 ล้านไร่ ที่ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี โดยได้แจกพันธุ์ข้าว พันธุ์มะม่วง สารเร่งปุ๋ยอินทรีย์ และพันธุ์ปลา พร้อมโชว์สาธิตเกี่ยวข้าวในแปลงนาโดยมี นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และ น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ร่วมงานด้วย โดย
ขณะที่นายกฯกำลังเปิดงานได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 20 คน อยู่อีกฝั่งหนึ่งของคลองน้ำตะโกนโห่ไล่และใช้เท้าตบ พร้อมกับรถขยายเสียงปราศรัยโจมตีนายกฯ แม้ว่าตลอดทั้งเส้นทางจะมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครนับ 100 นาย ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนายกฯได้เดินทางต่อมาที่วัดนพรัตนารามเพื่อมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุรวม 7,912 ไร่ ให้กับเกษตรกร 1,182 ราย
โดย นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะส่งเสริมเรื่องการพัฒนาคุณภาพดินต่อไปด้วย โดย พระครูปทุมธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดนพรัตนาราม ได้มอบพระพุทธรูปปางสมาธิสมเด็จพระศรีนพรัตน์ธนบดี และให้พรกับนายกฯให้ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ 1 ล้านไร่ ที่ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี โดยได้แจกพันธุ์ข้าว พันธุ์มะม่วง สารเร่งปุ๋ยอินทรีย์ และพันธุ์ปลา พร้อมโชว์สาธิตเกี่ยวข้าวในแปลงนาโดยมี นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง และ น.พ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง ร่วมงานด้วย โดย
ขณะที่นายกฯกำลังเปิดงานได้มีกลุ่มคนเสื้อแดงกว่า 20 คน อยู่อีกฝั่งหนึ่งของคลองน้ำตะโกนโห่ไล่และใช้เท้าตบ พร้อมกับรถขยายเสียงปราศรัยโจมตีนายกฯ แม้ว่าตลอดทั้งเส้นทางจะมีการระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครนับ 100 นาย ดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดก็ตาม อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นนายกฯได้เดินทางต่อมาที่วัดนพรัตนารามเพื่อมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุรวม 7,912 ไร่ ให้กับเกษตรกร 1,182 ราย
โดย นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลจะส่งเสริมเรื่องการพัฒนาคุณภาพดินต่อไปด้วย โดย พระครูปทุมธรรมวาที เจ้าอาวาสวัดนพรัตนาราม ได้มอบพระพุทธรูปปางสมาธิสมเด็จพระศรีนพรัตน์ธนบดี และให้พรกับนายกฯให้ตั้งใจทำงานเพื่อบ้านเมือง
ลอบยิงรถกลุ่มเสื้อแดงที่ระยอง

คมชัดลึก : เสื้อแดงออกรณรงค์รวมพลคนขายโต๊ะจีน ถูกกลุ่มเสื้อเหลืองออกต่อต้าน ทำรถติดทั่วเมืองระยอง
เมื่อเวลา 16.30 น.ของวันนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง จากจังหวัดจันทบุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี จำนวนกว่า 100 คน ได้เดินทางมารวมตัวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ของจังหวัดระยอง ที่นำโดยนายภิรมย์ ศรีธาตุ ที่บริเวณถนนข้างสวนศรีเมือง ริมแม่น้ำระยอง เขตเทศบาลนครระยอง เพื่อร่วมกิจกรรมโดยการจัดขบวนรถร่วมออกทำการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้ชาวระยองไปร่วมการจัดงานสังสรรค์รวมพลเสื้อแดงระยอง
ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่บริเวณตลาดสี่ภาค ตำบลห้วยโป่ง เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ในวันที่ 5 กันยายน 2552 ที่จะถึงนี้ ในราคาโต๊ะละ 2,000 บาท โดยแห่รถและทำการประชาสัมพันธ์ไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลนครระยอง โดยมีรถและกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดระยองนำขบวน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์ประกบขบวนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้
ขณะเดียวกันกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดระยอง กว่า 100 คน ก็ปักหลักและนำรถบรรทุก 6 ล้อ มาทำเวทีเปิดปราศรัยที่บริเวณหน้าตลาดวัดลุ่มมหาชัยชุมพล เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนระยองหลงเชื่อ เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ที่มาจากต่างถิ่นและจะนำความแตกแยกมาให้ชาวระยอง
โดยบรรยกาศการออกมาเคลื่อนไหวของสองกลุ่มทำให้การจราจรบริเวณที่กลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ผ่าน ทำให้รถติดและการจราจรติดขัดเป็นแถวยาว อย่างไรก็ตามสำหรับการชุมนุมของคนเสื้อแดง – เสื้อเหลือง ในวันนี้ ก็ยังไม่มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นแต่อย่างไร
ยิงรถม็อบเสื้อแดงที่ระยองไม่มีผู้บาดเจ็บ
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 2 ก.ย.2552 พ.ต.ท.ธนิต เสนีวงศ์ ณ อยุธยา พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองระยอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.มานะ อินพิทักษ์ ผกก.สภ.เมือง ระยอง ได้เดินทางไปตรวจสอบเหตุรถบัส ที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ในรถถูกคนร้ายลอบยิง ที่สถานีตำรวจทางหลวงสวนสน ต.เพ อ.เมือง ระยอง พบรถบัส 2 ชั้นของบริษัทชวลิตทัวร์ สีขาว ทะเบียน 30-1647 จันทบุรี บริเวณกระจกบานที่ 2 ชั้นบนด้านซ้ายเป็นรอยถูกของแข็ง และที่ตัวรถด้านขวามีรอยกระสุนเป็นรู 2 รู และที่รังผึ้งหม้อน้ำรถมีรอยกระสุน 1 รู ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
จากการสอบสวนนายสำเริง ประจำเรือ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/2 ต.วัดใหม่ อ.เมือง จันทบุรี เป็น สจ.ของงจังหวัดจันทบุรี และเป็นประธานกลุ่มคนเสื้อแดงของจังหวัดจันทบุรี ทราบว่า ในวันนี้ช่วงบ่ายตนได้พากลุ่มคนเสื้อแดงจากจังหวัดจันทบุรีจำนวน 40 คน โดยมีนายชาญชัย มณฑาลพ อายุ 31 ปี เป็นคนขับ ซึ่งได้มาร่วมปราศัยกับกลุ่มเสื้อแดงจังหวัดระยอง ที่สวนศรีเมือง
เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มคนเสื้อแดงไปแสดงพลังกันในวันที่ 5 ก.ย.ที่ตลาดสี่ภาคห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง ขากลับนั่งพอรถบัสขับมาตามถนนสุขุมวิท เลยตลาดผลไม้ตะพงไปเล็กน้อย เห็นชาย 1 คนสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีขาวนุ่งกางเกงขายาว ยืนอยู่ริมถนนแล้วใช้หนังสติ๊กยิงเข้ามาที่รถถูกกระจกเป็นรอย พอขับเลยจากที่เกิดเหตุไปประมาณ 10 นาที ก็ได้ยินเสียงปืนดังจากทางด้านขวาอีก 3 นัด แต่ไม่กล้าจอดรถดู จึงขับรถมาที่สถานีตำรวจทางหลวง เพื่อเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายสำเริง กล่าวว่า ถึงแม้จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ตนและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่เกรงกลัว และจะดำเนินการตามแนวทางของคนเสื้อแดงต่อไป
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้สายสืบออกติดตามหาคนร้าย และในวันพรุ่งนี้ พ.ต.ท.ธนิต เสนีวงศ์ ณ อยุธยา พนักงานสอบสวน ก็จะเดินทางไปสอบสวนผู้ที่นั่งมาในรถทั้งหมดที่ จ.จันทบุรี เพื่อหาตัวคนร้ายต่อไป
เมื่อเวลา 16.30 น.ของวันนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง จากจังหวัดจันทบุรี ปราจีนบุรี ชลบุรี จำนวนกว่า 100 คน ได้เดินทางมารวมตัวกับกลุ่มคนเสื้อแดง ของจังหวัดระยอง ที่นำโดยนายภิรมย์ ศรีธาตุ ที่บริเวณถนนข้างสวนศรีเมือง ริมแม่น้ำระยอง เขตเทศบาลนครระยอง เพื่อร่วมกิจกรรมโดยการจัดขบวนรถร่วมออกทำการประชาสัมพันธ์ เชิญชวนให้ชาวระยองไปร่วมการจัดงานสังสรรค์รวมพลเสื้อแดงระยอง
ซึ่งกำหนดจัดขึ้นที่บริเวณตลาดสี่ภาค ตำบลห้วยโป่ง เขตเทศบาลเมืองมาบตาพุด ในวันที่ 5 กันยายน 2552 ที่จะถึงนี้ ในราคาโต๊ะละ 2,000 บาท โดยแห่รถและทำการประชาสัมพันธ์ไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลนครระยอง โดยมีรถและกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหน่วยปฏิบัติการพิเศษจังหวัดระยองนำขบวน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบอีกจำนวนหนึ่งขี่รถจักรยานยนต์ประกบขบวนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนเสื้อแดงได้
ขณะเดียวกันกลุ่มคนเสื้อเหลือง หรือ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จังหวัดระยอง กว่า 100 คน ก็ปักหลักและนำรถบรรทุก 6 ล้อ มาทำเวทีเปิดปราศรัยที่บริเวณหน้าตลาดวัดลุ่มมหาชัยชุมพล เพื่อรณรงค์ไม่ให้คนระยองหลงเชื่อ เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ ที่มาจากต่างถิ่นและจะนำความแตกแยกมาให้ชาวระยอง
โดยบรรยกาศการออกมาเคลื่อนไหวของสองกลุ่มทำให้การจราจรบริเวณที่กลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลือง ผ่าน ทำให้รถติดและการจราจรติดขัดเป็นแถวยาว อย่างไรก็ตามสำหรับการชุมนุมของคนเสื้อแดง – เสื้อเหลือง ในวันนี้ ก็ยังไม่มีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นแต่อย่างไร
ยิงรถม็อบเสื้อแดงที่ระยองไม่มีผู้บาดเจ็บ
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 2 ก.ย.2552 พ.ต.ท.ธนิต เสนีวงศ์ ณ อยุธยา พนักงานสอบสวนเวร สภ.เมืองระยอง พร้อมด้วย พ.ต.อ.มานะ อินพิทักษ์ ผกก.สภ.เมือง ระยอง ได้เดินทางไปตรวจสอบเหตุรถบัส ที่มีกลุ่มคนเสื้อแดงอยู่ในรถถูกคนร้ายลอบยิง ที่สถานีตำรวจทางหลวงสวนสน ต.เพ อ.เมือง ระยอง พบรถบัส 2 ชั้นของบริษัทชวลิตทัวร์ สีขาว ทะเบียน 30-1647 จันทบุรี บริเวณกระจกบานที่ 2 ชั้นบนด้านซ้ายเป็นรอยถูกของแข็ง และที่ตัวรถด้านขวามีรอยกระสุนเป็นรู 2 รู และที่รังผึ้งหม้อน้ำรถมีรอยกระสุน 1 รู ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ
จากการสอบสวนนายสำเริง ประจำเรือ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/2 ต.วัดใหม่ อ.เมือง จันทบุรี เป็น สจ.ของงจังหวัดจันทบุรี และเป็นประธานกลุ่มคนเสื้อแดงของจังหวัดจันทบุรี ทราบว่า ในวันนี้ช่วงบ่ายตนได้พากลุ่มคนเสื้อแดงจากจังหวัดจันทบุรีจำนวน 40 คน โดยมีนายชาญชัย มณฑาลพ อายุ 31 ปี เป็นคนขับ ซึ่งได้มาร่วมปราศัยกับกลุ่มเสื้อแดงจังหวัดระยอง ที่สวนศรีเมือง
เพื่อเชิญชวนให้กลุ่มคนเสื้อแดงไปแสดงพลังกันในวันที่ 5 ก.ย.ที่ตลาดสี่ภาคห้วยโป่ง อ.เมืองระยอง ขากลับนั่งพอรถบัสขับมาตามถนนสุขุมวิท เลยตลาดผลไม้ตะพงไปเล็กน้อย เห็นชาย 1 คนสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำ สวมหมวกแก๊ปสีขาวนุ่งกางเกงขายาว ยืนอยู่ริมถนนแล้วใช้หนังสติ๊กยิงเข้ามาที่รถถูกกระจกเป็นรอย พอขับเลยจากที่เกิดเหตุไปประมาณ 10 นาที ก็ได้ยินเสียงปืนดังจากทางด้านขวาอีก 3 นัด แต่ไม่กล้าจอดรถดู จึงขับรถมาที่สถานีตำรวจทางหลวง เพื่อเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นายสำเริง กล่าวว่า ถึงแม้จะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ตนและกลุ่มคนเสื้อแดง ก็ไม่เกรงกลัว และจะดำเนินการตามแนวทางของคนเสื้อแดงต่อไป
ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้สายสืบออกติดตามหาคนร้าย และในวันพรุ่งนี้ พ.ต.ท.ธนิต เสนีวงศ์ ณ อยุธยา พนักงานสอบสวน ก็จะเดินทางไปสอบสวนผู้ที่นั่งมาในรถทั้งหมดที่ จ.จันทบุรี เพื่อหาตัวคนร้ายต่อไป
สุรชัย จวก 3 เกลอ สู้เพื่อตำแหน่ง ท้าฟ้องหมิ่นประมาท

ที่มา:ไทยรัฐ
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ยืนยันไม่มีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มความจริงวันนี้ ที่เอาแต่เล่นเกมการเมืองเพื่ออำนาจทางการเมือง สู้เพียงเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำคนเสื้อแดง กลุ่มแดงสยาม กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กลุ่มความจริงวันนี้ จะฟ้องร้องดำเนินคดีนายสุรชัย กล่าวหาว่า 3 เกลอไปพบแอบไปพบกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่า อยากก็จะฟ้องก็ฟ้องไป จะฟ้องเรื่องอะไร ไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะไม่ได้เป็นผู้กล่าว
แต่เป็นสิ่งที่มีการพูดกันจากคนข้างนอกและมีนักข่าวมาถามจึงได้บอกให้ทั้ง 3 คนเป็นผู้ชี้แจงเอง เนื่องจากตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลายเป็นว่ามากล่าวหาใส่ร้าย ทั้งที่แค่ตอบคำถามว่า ไปพบจริงหรือไม่เท่านั้น ไม่จริงก็จบ ไม่ใช่มาบอกว่าจะต้องดำเนินคดีกับตนเพื่อตัดความรำคาญ "ผมไม่เคยมีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัวกับ 3 เกลอ
เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มความจริงวันนี้ ที่เอาแต่เล่นเกมการเมืองเพื่ออำนาจทางการเมือง สู้เพียงเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริงกับประชาชนเลย ที่จริงตนก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีก เพราะไม่อยากทะเลาะกันผ่านสื่อ แต่นายจตุพรไม่เคยหยุด
ไม่เคยฟังเสียงท้วงติงของแกนนำคนอื่นๆ พอใครเตือนอะไร ก็ใช้สื่อในมือกล่าวหาให้ร้ายผม และนายจักรภพ ว่าเป็นพวกจ้องล้มล้างสถานบันบ้าง เป็นพวกทิ้งเพื่อนหนีเอาตัวรอดบ้าง แต่ไม่ดูตัวเองว่า การนำกลุ่มคนเสื้อแดงของ 3เกลอ เป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ " นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ปัญหาการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ไม่เป็นเอกภาพในวันนี้
เพราะไม่มีใครเป็นหลักในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ขณะนี้กลุ่มความจริงวันนี้ จะเหมือนเป็นผู้นำคนเสื้อแดง แต่ก็ไม่ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
จะต้องออกหน้ามาเป็นผู้นำคนเสื้อแดงอย่างแท้จริง ไม่ต้องหลบอยู่ข้างหลังอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนทั่วประเทศก็ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้นำตัวจริง ไม่ใช่ 3 เกลอ.
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ยืนยันไม่มีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มความจริงวันนี้ ที่เอาแต่เล่นเกมการเมืองเพื่ออำนาจทางการเมือง สู้เพียงเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำคนเสื้อแดง กลุ่มแดงสยาม กล่าวถึงกรณีที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กลุ่มความจริงวันนี้ จะฟ้องร้องดำเนินคดีนายสุรชัย กล่าวหาว่า 3 เกลอไปพบแอบไปพบกลุ่มเพื่อนเนวิน ว่า อยากก็จะฟ้องก็ฟ้องไป จะฟ้องเรื่องอะไร ไม่กลัวอยู่แล้ว เพราะไม่ได้เป็นผู้กล่าว
แต่เป็นสิ่งที่มีการพูดกันจากคนข้างนอกและมีนักข่าวมาถามจึงได้บอกให้ทั้ง 3 คนเป็นผู้ชี้แจงเอง เนื่องจากตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลายเป็นว่ามากล่าวหาใส่ร้าย ทั้งที่แค่ตอบคำถามว่า ไปพบจริงหรือไม่เท่านั้น ไม่จริงก็จบ ไม่ใช่มาบอกว่าจะต้องดำเนินคดีกับตนเพื่อตัดความรำคาญ "ผมไม่เคยมีความขัดแย้งเป็นการส่วนตัวกับ 3 เกลอ
เพียงแต่ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่มความจริงวันนี้ ที่เอาแต่เล่นเกมการเมืองเพื่ออำนาจทางการเมือง สู้เพียงเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลและตำแหน่งรัฐมนตรีเท่านั้น ไม่ให้ความรู้เรื่องประชาธิปไตยที่แท้จริงกับประชาชนเลย ที่จริงตนก็ไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีก เพราะไม่อยากทะเลาะกันผ่านสื่อ แต่นายจตุพรไม่เคยหยุด
ไม่เคยฟังเสียงท้วงติงของแกนนำคนอื่นๆ พอใครเตือนอะไร ก็ใช้สื่อในมือกล่าวหาให้ร้ายผม และนายจักรภพ ว่าเป็นพวกจ้องล้มล้างสถานบันบ้าง เป็นพวกทิ้งเพื่อนหนีเอาตัวรอดบ้าง แต่ไม่ดูตัวเองว่า การนำกลุ่มคนเสื้อแดงของ 3เกลอ เป็นประชาธิปไตยจริงหรือไม่ " นายสุรชัย กล่าวอีกว่า ปัญหาการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่ไม่เป็นเอกภาพในวันนี้
เพราะไม่มีใครเป็นหลักในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง แม้ขณะนี้กลุ่มความจริงวันนี้ จะเหมือนเป็นผู้นำคนเสื้อแดง แต่ก็ไม่ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ดังนั้นจึงจำเป็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
จะต้องออกหน้ามาเป็นผู้นำคนเสื้อแดงอย่างแท้จริง ไม่ต้องหลบอยู่ข้างหลังอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนทั่วประเทศก็ดีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ คือผู้นำตัวจริง ไม่ใช่ 3 เกลอ.
วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552
ตาอิน"ปทีป" ตานา "จุมพล" แล้วใคร ตาอยู่...??

ที่มา บางกอกทูเดย์
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งใกล้วันครบรอบ 3 ปีในการทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549มากขึ้นเท่าไร แรงกดดันทางการเมืองก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นสะท้อนชัดว่า การทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ คปค.นั้นไม่เพียงไม่สะเด็ดน้ำแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับและทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองเป็นไปอย่างไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คันรัฐบาลหลังการรัฐประหารเป็นต้นมา
จึงตกอยู่ในยถากรรมแห่งกระแสการเมืองทั้งสิ้นเพราะกลายเป็นสังคมที่มีทั้งคนใหญ่ และคนอยากใหญ่เข้ามาวุ่นวายกับระบบ จนเรื่องง่ายๆ ที่ควรจะจบลงได้ก็ยังไม่สามารถจบลงได้ยิ่งความรีบร้อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ฉวยจังหวะทางการเมือง ภายใต้แรงกดดันพิเศษของกลุ่มอำนาจต่างๆทั้งในสภาและนอกสภา ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองผสมผสานกับกิเลสทางการเมืองของนักการเมืองบางกลุ่มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมองข้ามความจริงในเรื่องของ “การลัดตัดเส้นทาง” กับ“การยอมรับ”
ของสังคมภาพรวมรอยปริแยกแตกต่างทางความคิดในสังคมจึงยังไม่ยอมจบลงง่ายๆและในวันนี้รัฐนาวาของนายกฯ อภิสิทธิ์ จึงเผชิญกับคลื่นลมแรงทางการเมืองอย่างน่ากลัวมากทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยโดยเปิดเผยที่ยืนหยัดชุมนุมต่อต้านแบบเปิดหน้าชกของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สังคมทั้งสังคมรับรู้ว่าไม่ยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์
เพราะเห็นว่าเป็นการขึ้นมาแบบมีตำหนิแต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับยังต้อง
เผชิญกับฝ่ายที่ลึกๆ แล้วไม่ได้ยอมรับ และพร้อมที่จะแอบเล่นงานอยู่ลับๆ ตลอดเวลาด้วยเหตุผลที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์อำนาจขัดกันก็บรรลัยผลประโยชน์ขัดกันก็ต้องฉิบหายกันไปข้างหนึ่งถือเป็นสงครามใต้ดินที่น่ากลัวที่สุดในทางการเมือง!!!เหมือนกับสำนวนที่ว่า เกาทัณฑ์เปิดเผยป้องกันง่ายแต่เกาทัณฑ์ลับนั้นป้องกันยากยิ่งเป็นเกาทัณฑ์ลับที่พุ่งออกมาจากมือของคนที่คิดว่าอยู่ในฝ่ายเดียวกัน ในพวกเดียวกันด้วยแล้ว
บางครั้งแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายปลิดปลง ก็ยังไม่รู้ว่า “ทำไม”กลายเป็นวิญญาณงมงายในปรโลกก็ได้แต่ให้กำลังใจและตั้งความหวังเอาไว้ว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่งมงายหรือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริงๆดูแค่ในขณะนี้ เรื่องของ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.คนใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่มาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างเปิดเผยเลยสักนิดภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผบ.ตร.ก็ตาม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอยู่ล้วนแล้วแต่ทำใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง???
จะเป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจขึ้นมาหรือจะเป็น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ขึ้นมาและแม้กระทั่งจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีที่ปรึกษา สบ 10 ขึ้นมาสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าไรแน่ เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คงต้องย้ำสั่งย้ำกำชับกำชาให้เข้มงวดกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ชนิดเต็มอัตราศึกของกองกำลังผสมระหว่างตำรวจและทหารอย่างแน่นอนเพราะผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาไม่ได้มีปัญหาหรือลังเลในการที่จะปกป้องรัฐบาลปัจจุบันอยู่แล้วดังนั้น การที่ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเป็นใครก็ตามถ้านายกรัฐมนตรียังเป็นนายอภิสิทธิ์ กลุ่มคนเสื้อแดงย่อมไม่คาดหวังใดๆ ทั้งสิ้นว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั่นหมายความว่าเกมชักคะเย่อตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่
ในเวลานี้ เป็นเรื่องของ “คนกันเอง” ทั้งนั้นโดยอาจจะมีเรื่องของ “ปรากฏการณ์และข้อมูลพิเศษ”เข้ามาเกี่ยวข้อง และก่อให้เกิดการกล่าวอ้างกันไปต่างๆ นานาตามความเชื่อของแต่ละฝ่ายและตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคนสิ่งที่ชัดเจนและเป็นคำตอบอยู่ในตัวเองของแต่ละกลุ่มที่ออกมาดิ้นรนมาขยับไพ่กันไปมาอยู่ในเวลานี้ก็คือ“มีได้มีเสีย”
นั่นเองทำไมทั้งนายอภิสิทธิ์และกลุ่มพันธมิตรฯ จึงต้องให้เป็นพล.ต.อ.ปทีป ให้ได้ทำไม นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณและกลุ่มก๊วนพรรคภูมิใจไทย จึงต้องจำยอมขัดใจนายอภิสิทธิ์ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า นายอภิสิทธิ์มาถึงวันนี้และยืนหยัดอยู่ได้ในขณะนี้ ไม่เพียงไม่ธรรมดา และแน่นอนว่าแบ็กต้องดีและแข็งโป๊กอย่างมากๆ เลยทีเดียวฉะนั้น
นอกเหนือจากการที่นายอภิสิทธิ์จะเรียกนายนิพนธ์เข้าไปหารือครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ในเรื่องของการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีปดั่งใจแล้วนายอภิสิทธิ์น่าจะลองกลับมาพิจารณาถึงต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริงด้วยว่า เพราะอะไรเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะง่ายเพราะเป็นอำนาจตามกฎหมายที่ให้นายกรัฐมนตรีสามารถพิจารณาแต่งตั้งตำรวจได้เพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นตำแหน่งอื่นๆ จะล้วงลูกล้วงโผไม่ได้ นั่นก็คือ
ตำแหน่ง ผบ.ตร.ขนาดที่มีกฎหมายชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทำไมเรื่องง่ายจึงกลายเป็นยากนายนิพนธ์นั้นก็ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังร่วมชะตากรรมกันมาเมื่อครั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกกระทรวงมหาดไทย แล้วทำไมตอนนี้นายนิพนธ์ถึงมีท่าทีแข็งขืนเช่นกันกับนายสุเทพ ที่แสดงอาการอิดหนาระอาใจส่ายหน้าให้เห็นได้ชัดสิ่งเหล่านี้
นายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะนั่งหัวโต๊ะ ก.ต.ช. และแม้กระทั่งจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จำเป็นที่จะต้องถามตัวเองดังๆ3 ครั้ง 3 เวลาหลังอาหารในช่วงนี้ว่า“ทำไม???”
จริงอยู่ในมุมมองของนักบริหารระดับออกซ์ฟอร์ดเช่นนายอภิสิทธิ์ ที่มีกลิ่นอายของความเป็นนักวิชาการสูงกว่านักปฏิบัติผู้ผ่านการเคี่ยวกรำในสนามการทำงานที่แท้จริงย่อมจะต้องชื่นชมในวิถีของ พล.ต.อ.ปทีป ซึ่งมีบุคลิกของการเป็นนักวิชาการเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะไม่ได้มีพวกมีเพื่อนมากเท่ากับ พล.ต.อ.จุมพลแต่เมื่อพูดกันรู้เรื่องในเชิงวิชาการ ในความแม่นยำในเรื่องของตัวบทกฎหมายหลายๆ คดีที่คาราคาซังอยู่
และเป็น “สลัก” สำคัญเกี่ยวพันกับเกมการเมือง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้หลักการที่ดูดีเป็นทางออกที่สวยงามนั้น ดูแล้วต้องเป็นนักวิชาการนั่นแหละเหมาะสมที่สุดและที่สำคัญ มองตาก็น่าจะสามารถเข้าใจกันได้ดีกับนายอภิสิทธิ์ว่าคิดอะไร ว่าต้องการอะไร!!!ตรงนี้แหละที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ชื่นชอบ พล.ต.อ.ปทีปเป็นพิเศษ
ผิดกับกรณีของ พล.ต.อ.จุมพลที่เพื่อนเยอะ แถมหนึ่งในบรรดาแวดวงคนใกล้ชิด ดันมามีภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ด้วยนี่สิ...จะให้วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรยันกันในสภาพเช่นนี้จึงไม่แปลกที่เรื่องนี้ทำท่าว่าจะบานปลายขึ้นมาอีกรอบหนึ่งเมื่อกระหึ่มข่าวว่า ถ้าคุยกันไม่ลงตัวจริงๆ นายนิพนธ์ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่ลำบากใจมากที่สุด
เหนื่อยมากที่สุดก็คงต้องตัดสินใจไปเสียเองเล่นเอา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ถูกนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ต้นและเป็นผู้จัดการใหญ่ในการดำเนินการให้รัฐบาลชุดนี้ตั้งได้สำเร็จเป็นตัวเป็นตนถึงกับอึ้งและยืนยันชัดเจนว่า จนถึงขณะนี้นายนิพนธ์ยังถือเป็นคนที่ดีที่สุดในการให้ข้อคิดเห็นเรื่อง ผบ.ตร.คนใหม่ส่วนกระแสข่าวว่านายนิพนธ์จะลาออกนั้น
นายสุเทพกล่าวเลี่ยงๆ ว่าให้ไปถามนายนิพนธ์เอาเอง!!!ขึงพืดกันขนาดนี้ แต่ละขั้วการเมืองอึดอัดแน่ฉะนั้น ทฤษฎี “ตาอยู่” จึงได้โผล่ขึ้นมาเป็นทางเลือกที่ 3ของทางออกแห่งการเผชิญหน้ากันในการตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในครั้งนี้เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.ปทีปและอีกฝ่ายก็ยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.จุมพลสุดท้ายระวังจะไปลงตัวที่ชื่อคนที่ 3 ซึ่งไม่ใช่ทั้งพล.ต.อ.ปทีป และ พล.ต.อ.จุมพล“ตาอินกะตานา โศกาอาวรณ์จริงเจียว ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน” ■
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ยิ่งใกล้วันครบรอบ 3 ปีในการทำรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549มากขึ้นเท่าไร แรงกดดันทางการเมืองก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้นสะท้อนชัดว่า การทำรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือ คปค.นั้นไม่เพียงไม่สะเด็ดน้ำแต่ยังไม่เป็นที่ยอมรับและทำให้การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองเป็นไปอย่างไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คันรัฐบาลหลังการรัฐประหารเป็นต้นมา
จึงตกอยู่ในยถากรรมแห่งกระแสการเมืองทั้งสิ้นเพราะกลายเป็นสังคมที่มีทั้งคนใหญ่ และคนอยากใหญ่เข้ามาวุ่นวายกับระบบ จนเรื่องง่ายๆ ที่ควรจะจบลงได้ก็ยังไม่สามารถจบลงได้ยิ่งความรีบร้อนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ฉวยจังหวะทางการเมือง ภายใต้แรงกดดันพิเศษของกลุ่มอำนาจต่างๆทั้งในสภาและนอกสภา ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนขั้วทางการเมืองผสมผสานกับกิเลสทางการเมืองของนักการเมืองบางกลุ่มนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยมองข้ามความจริงในเรื่องของ “การลัดตัดเส้นทาง” กับ“การยอมรับ”
ของสังคมภาพรวมรอยปริแยกแตกต่างทางความคิดในสังคมจึงยังไม่ยอมจบลงง่ายๆและในวันนี้รัฐนาวาของนายกฯ อภิสิทธิ์ จึงเผชิญกับคลื่นลมแรงทางการเมืองอย่างน่ากลัวมากทั้งฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยโดยเปิดเผยที่ยืนหยัดชุมนุมต่อต้านแบบเปิดหน้าชกของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่สังคมทั้งสังคมรับรู้ว่าไม่ยอมรับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์
เพราะเห็นว่าเป็นการขึ้นมาแบบมีตำหนิแต่ในขณะเดียวกัน รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กลับยังต้อง
เผชิญกับฝ่ายที่ลึกๆ แล้วไม่ได้ยอมรับ และพร้อมที่จะแอบเล่นงานอยู่ลับๆ ตลอดเวลาด้วยเหตุผลที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของอำนาจและผลประโยชน์อำนาจขัดกันก็บรรลัยผลประโยชน์ขัดกันก็ต้องฉิบหายกันไปข้างหนึ่งถือเป็นสงครามใต้ดินที่น่ากลัวที่สุดในทางการเมือง!!!เหมือนกับสำนวนที่ว่า เกาทัณฑ์เปิดเผยป้องกันง่ายแต่เกาทัณฑ์ลับนั้นป้องกันยากยิ่งเป็นเกาทัณฑ์ลับที่พุ่งออกมาจากมือของคนที่คิดว่าอยู่ในฝ่ายเดียวกัน ในพวกเดียวกันด้วยแล้ว
บางครั้งแม้กระทั่งลมหายใจสุดท้ายปลิดปลง ก็ยังไม่รู้ว่า “ทำไม”กลายเป็นวิญญาณงมงายในปรโลกก็ได้แต่ให้กำลังใจและตั้งความหวังเอาไว้ว่า นายอภิสิทธิ์จะไม่งมงายหรือไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจริงๆดูแค่ในขณะนี้ เรื่องของ การแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร.คนใหม่ ไม่ใช่เรื่องที่มาจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอย่างเปิดเผยเลยสักนิดภายใต้อำนาจของนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผบ.ตร.ก็ตาม กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมกันอยู่ล้วนแล้วแต่ทำใจเอาไว้ล่วงหน้าว่าต้องเจอกับอะไรบ้าง???
จะเป็น พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจขึ้นมาหรือจะเป็น พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รอง ผบ.ตร.ขึ้นมาและแม้กระทั่งจะเป็น พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรีที่ปรึกษา สบ 10 ขึ้นมาสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดงแล้ว เชื่อว่าคงไม่มีอะไรแตกต่างกันเท่าไรแน่ เพราะนายกฯ อภิสิทธิ์ ก็คงต้องย้ำสั่งย้ำกำชับกำชาให้เข้มงวดกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง
ชนิดเต็มอัตราศึกของกองกำลังผสมระหว่างตำรวจและทหารอย่างแน่นอนเพราะผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาไม่ได้มีปัญหาหรือลังเลในการที่จะปกป้องรัฐบาลปัจจุบันอยู่แล้วดังนั้น การที่ ผบ.ตร.คนใหม่ จะเป็นใครก็ตามถ้านายกรัฐมนตรียังเป็นนายอภิสิทธิ์ กลุ่มคนเสื้อแดงย่อมไม่คาดหวังใดๆ ทั้งสิ้นว่า จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนั่นหมายความว่าเกมชักคะเย่อตำแหน่ง ผบ.ตร.คนใหม่
ในเวลานี้ เป็นเรื่องของ “คนกันเอง” ทั้งนั้นโดยอาจจะมีเรื่องของ “ปรากฏการณ์และข้อมูลพิเศษ”เข้ามาเกี่ยวข้อง และก่อให้เกิดการกล่าวอ้างกันไปต่างๆ นานาตามความเชื่อของแต่ละฝ่ายและตามวัตถุประสงค์ของแต่ละคนสิ่งที่ชัดเจนและเป็นคำตอบอยู่ในตัวเองของแต่ละกลุ่มที่ออกมาดิ้นรนมาขยับไพ่กันไปมาอยู่ในเวลานี้ก็คือ“มีได้มีเสีย”
นั่นเองทำไมทั้งนายอภิสิทธิ์และกลุ่มพันธมิตรฯ จึงต้องให้เป็นพล.ต.อ.ปทีป ให้ได้ทำไม นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ นายสุเทพ เทือกสุบรรณและกลุ่มก๊วนพรรคภูมิใจไทย จึงต้องจำยอมขัดใจนายอภิสิทธิ์ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่า นายอภิสิทธิ์มาถึงวันนี้และยืนหยัดอยู่ได้ในขณะนี้ ไม่เพียงไม่ธรรมดา และแน่นอนว่าแบ็กต้องดีและแข็งโป๊กอย่างมากๆ เลยทีเดียวฉะนั้น
นอกเหนือจากการที่นายอภิสิทธิ์จะเรียกนายนิพนธ์เข้าไปหารือครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อให้ได้ตามวัตถุประสงค์ในเรื่องของการแต่งตั้ง พล.ต.อ.ปทีปดั่งใจแล้วนายอภิสิทธิ์น่าจะลองกลับมาพิจารณาถึงต้นตอแห่งปัญหาที่แท้จริงด้วยว่า เพราะอะไรเรื่องที่ดูเหมือนน่าจะง่ายเพราะเป็นอำนาจตามกฎหมายที่ให้นายกรัฐมนตรีสามารถพิจารณาแต่งตั้งตำรวจได้เพียงแค่ตำแหน่งเดียวเท่านั้นตำแหน่งอื่นๆ จะล้วงลูกล้วงโผไม่ได้ นั่นก็คือ
ตำแหน่ง ผบ.ตร.ขนาดที่มีกฎหมายชัดเจนอย่างนี้แล้ว ทำไมเรื่องง่ายจึงกลายเป็นยากนายนิพนธ์นั้นก็ถือว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของพรรคประชาธิปัตย์ แถมยังร่วมชะตากรรมกันมาเมื่อครั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงบุกกระทรวงมหาดไทย แล้วทำไมตอนนี้นายนิพนธ์ถึงมีท่าทีแข็งขืนเช่นกันกับนายสุเทพ ที่แสดงอาการอิดหนาระอาใจส่ายหน้าให้เห็นได้ชัดสิ่งเหล่านี้
นายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะนั่งหัวโต๊ะ ก.ต.ช. และแม้กระทั่งจะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จำเป็นที่จะต้องถามตัวเองดังๆ3 ครั้ง 3 เวลาหลังอาหารในช่วงนี้ว่า“ทำไม???”
จริงอยู่ในมุมมองของนักบริหารระดับออกซ์ฟอร์ดเช่นนายอภิสิทธิ์ ที่มีกลิ่นอายของความเป็นนักวิชาการสูงกว่านักปฏิบัติผู้ผ่านการเคี่ยวกรำในสนามการทำงานที่แท้จริงย่อมจะต้องชื่นชมในวิถีของ พล.ต.อ.ปทีป ซึ่งมีบุคลิกของการเป็นนักวิชาการเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์แม้ว่าจะไม่ได้มีพวกมีเพื่อนมากเท่ากับ พล.ต.อ.จุมพลแต่เมื่อพูดกันรู้เรื่องในเชิงวิชาการ ในความแม่นยำในเรื่องของตัวบทกฎหมายหลายๆ คดีที่คาราคาซังอยู่
และเป็น “สลัก” สำคัญเกี่ยวพันกับเกมการเมือง ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้หลักการที่ดูดีเป็นทางออกที่สวยงามนั้น ดูแล้วต้องเป็นนักวิชาการนั่นแหละเหมาะสมที่สุดและที่สำคัญ มองตาก็น่าจะสามารถเข้าใจกันได้ดีกับนายอภิสิทธิ์ว่าคิดอะไร ว่าต้องการอะไร!!!ตรงนี้แหละที่ทำให้นายอภิสิทธิ์ชื่นชอบ พล.ต.อ.ปทีปเป็นพิเศษ
ผิดกับกรณีของ พล.ต.อ.จุมพลที่เพื่อนเยอะ แถมหนึ่งในบรรดาแวดวงคนใกล้ชิด ดันมามีภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ด้วยนี่สิ...จะให้วางใจร้อยเปอร์เซ็นต์ได้อย่างไรยันกันในสภาพเช่นนี้จึงไม่แปลกที่เรื่องนี้ทำท่าว่าจะบานปลายขึ้นมาอีกรอบหนึ่งเมื่อกระหึ่มข่าวว่า ถ้าคุยกันไม่ลงตัวจริงๆ นายนิพนธ์ซึ่งกลายเป็นบุคคลที่ลำบากใจมากที่สุด
เหนื่อยมากที่สุดก็คงต้องตัดสินใจไปเสียเองเล่นเอา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ถูกนายอภิสิทธิ์มอบหมายให้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่ต้นและเป็นผู้จัดการใหญ่ในการดำเนินการให้รัฐบาลชุดนี้ตั้งได้สำเร็จเป็นตัวเป็นตนถึงกับอึ้งและยืนยันชัดเจนว่า จนถึงขณะนี้นายนิพนธ์ยังถือเป็นคนที่ดีที่สุดในการให้ข้อคิดเห็นเรื่อง ผบ.ตร.คนใหม่ส่วนกระแสข่าวว่านายนิพนธ์จะลาออกนั้น
นายสุเทพกล่าวเลี่ยงๆ ว่าให้ไปถามนายนิพนธ์เอาเอง!!!ขึงพืดกันขนาดนี้ แต่ละขั้วการเมืองอึดอัดแน่ฉะนั้น ทฤษฎี “ตาอยู่” จึงได้โผล่ขึ้นมาเป็นทางเลือกที่ 3ของทางออกแห่งการเผชิญหน้ากันในการตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ในครั้งนี้เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.ปทีปและอีกฝ่ายก็ยืนยันว่า ต้องเป็น พล.ต.อ.จุมพลสุดท้ายระวังจะไปลงตัวที่ชื่อคนที่ 3 ซึ่งไม่ใช่ทั้งพล.ต.อ.ปทีป และ พล.ต.อ.จุมพล“ตาอินกะตานา โศกาอาวรณ์จริงเจียว ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน” ■
เผย 10 สนามบินอันตรายที่สุดในโลก
วันพุธ ที่ 02 กันยายน 2552 เวลา 0:00 น
รูปภาพ
จากเหตุการณ์ระทึกขวัญ !! เครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ลื่นไถลพุ่งชนหอบังคับการบิน ของสนามบินเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้สรุปเหตุการณ์เบื้องต้นแล้วว่า เกิดจากกระแสลมแปรปรวน (วินด์เชียร์) ทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากสนามบิน หรือเครื่องบิน หรือนักบินไม่ได้มาตรฐานแต่อย่างใด
แม้เหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดจากสภาพสนามบินที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่รู้หรือไม่ว่า สนามบินบนโลกใบนี้หลายแห่ง แม้จะได้มาตรฐานในเรื่องความปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดเรื่องภูมิประเทศ จึงทำให้มีการจัดอันดับ 10 สนามบินที่น่ากลัวที่สุด ในโลก โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ news.com.au และ bsnnews.com อันดับ 1 เป็นสนามบิน ปาโร ที่ประเทศภูฏาน เนื่องจากหมู่บ้าน ปาโร ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาหิมาลายันที่มีความสูง 5,000 เมตร จึงเป็นเหตุให้สนามบินมีความท้าทาย ในการนำเครื่องลงจอดมากที่สุดในโลก และมีนักบินเพียง 8 คนในโลกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ และสนามบินแห่งนี้มีรันเวย์เดียว เปิดบริการตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงสายการบินดรุ๊ค แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวใช้บริการ
อันดับ 2 สนามบินนานาชาติ ปริ๊นเซส จูเลียน่า ใน เซนต์มาร์เตน แคริบเบียน สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 2,000 เมตร ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่เหมาะสมในการนำมาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ คือ เครื่องบินเจ๊ต ขนาดกลาง แต่ก็มีเครื่องบินขนาดใหญ่จากยุโรป เช่น โบอิ้ง 747 และแอร์บัส A340 มาลงจอดสนามบินแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งการนำเครื่องบินขนาดใหญ่มาลงจอด นักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ เหนือชายหาดมาโฮ แต่ก็ยังไม่เคยมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดภายในสนามบินแห่งนี้แต่อย่างใด
อันดับ 3 สนามบิน เรแกน ที่กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. สหรัฐอเมริกา โดยสนามบินแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่คาบเกี่ยวของเขตห้ามบิน ถึง 2 แห่งด้วยกัน นั่นก็คือ น่านฟ้าเหนือ เพนตากอน และสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ที่ห้ามไม่ให้เครื่องบินใด ๆ บินผ่านโดยเด็ดขาด นักบินจึงจำเป็นต้องบินเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่จะวกกลับมาลงจอดในสนามบิน ส่วนการนำเครื่องบิน บินขึ้น ก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะนักบินจำเป็นต้องไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังต้องเบนเครื่องบินไปทางด้านซ้าย เพื่อไม่ให้เครื่องบิน บินชนทำเนียบขาวอีกด้วย
อันดับ 4 สนามบิน จิบรอลตาร์ ที่ จิบรอลตาร์ ในยุโรป สนามบินแห่งนี้อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และอ่าวแอง เกลา ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้สร้างจากกรวดผสมน้ำมันดิน มีความยาวไม่ถึง 2,000 เมตร นักบินจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งในการลงจอดที่แน่นอน และแม่นยำ และต้องมีความพร้อมที่จะเบรกทันทีที่ล้อแตะรันเวย์ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ลงไปจอดในทะเลแน่ ๆ ที่น่ากลัวอีกอย่างคือรันเวย์แห่งนี้มีถนนตัดผ่าน เวลามีเครื่องบินขึ้น-ลง ที่กั้นถนนก็จะพับลงมากั้นไม่ให้รถผ่าน ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา จะคล้ายเวลาวิ่งข้ามทางรถไฟ
อันดับ 5 รันเวย์จอดเครื่องบิน มาเทคาน ที่ประเทศเลโซโท รันเวย์มีความยาวเพียง 400 เมตร และมีไว้สำหรับการบินบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะการนำเครื่องขึ้นที่รันเวย์แห่งนี้นับเป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของผู้โดยสาร เพราะเครื่องบินจะหล่นผลุบลงไปที่หน้าผาซึ่งมีความลึก 600 เมตร ก่อนที่จะ เริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งนักบิน ระบุว่า การนำเครื่องขึ้นวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการบินขึ้นโดยตรงเหนือหน้าผา
อันดับ 6 สนามบินบาร์รา ประเทศสกอตแลนด์ สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะบาร์รา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศสกอตแลนด์ ที่นี่นับเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลก ที่ใช้ “ชายหาด” เป็นรันเวย์ อีกแห่งอยู่ที่เกาะเฟรเซอร์ ประเทศออสเตรเลีย และเนื่องจากเวลาน้ำขึ้นรันเวย์ของสนามบินแห่งนี้จะหายไป ดังนั้นตารางบินของสนามบินแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลง และถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องนำเครื่องลงจอดในเวลากลางคืน จะใช้วิธีนำรถยนต์มาจอดเรียง และเปิดไฟ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบริเวณแผ่นโลหะที่ถูกเรียงไว้บริเวณชายหาด เป็นการนำทางให้นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชายหาดนี้ไม่ได้มีไว้ให้เครื่องบินขึ้น-ลงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บหอยชื่อดัง โดยนักท่องเที่ยวต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนภัยเอาเอง โดยเมื่อถุงลมลอยขึ้น แสดงว่า ขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันที
อันดับ 7 สนามบินนานาชาติ ตอนคอนติน ในเทกูซิกัลปา ประเทศฮอนดูรัส สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,863 เมตร นับเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติที่มีรันเวย์สั้นที่สุดในโลก และยังมีภูเขาล้อมรอบ ในการนำเครื่องบินลงจอดนักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินเลี้ยวไปทางด้านซ้าย 45 องศา ก่อนที่เครื่องบินจะแตะพื้นรันเวย์เพียงไม่กี่นาที สนามบินแห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส A320 ของสายการบินกรูโปทาคา ที่บินมาจากซาน ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความผิดพลาดระหว่างการนำเครื่องบินลงจอดของนักบิน พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้
อันดับ 8 สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สนามบินแห่งนี้ติดโผด้านความน่ากลัวตรงที่นักบินจะต้องคอยระมัดระวังเครื่องบินลำอื่น ๆ ที่กำลังบินขึ้น-ลงยังสนามบิน ลา กวาร์เดีย และ สนามบินนิวยอร์ก ที่อยู่ใกล้ ๆ กันระหว่างนำเครื่องลงจอด ส่วนปลายด้านหนึ่งของรันเวย์สิ้นสุดลงที่ผืนน้ำของอ่าวจาไมก้า
อันดับ 9 สนามบินนานาชาติ มาเดรา (ฟันชาล) บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส การเปิดให้บริการช่วงแรกมีรันเวย์ยาวเพียง 1,600 เมตร และยังโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และท้องทะเลทำให้การลงจอดเป็นไปได้ยาก มีเพียงนักบินที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ได้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับสายการบินแท็ป แอร์ปอตุกัล เมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากนักบินพยายามนำเครื่องลงจอด 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในความพยายามลงจอดครั้งที่ 3 เนื่องจากรันเวย์สั้นเกินไป สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 727-200 ประกอบกับมีฝนตกหนัก และลมกระโชกแรงทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินจึงไถลออกนอกรันเวย์ และชนเข้ากับสะพานจนขาด 2 ท่อนทำให้เกิดไฟลุกท่วม เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกว่า 100 คนเสียชีวิต
ต่อมาสนามบินแห่งนี้จึงได้ทุ่มงบประมาณในการขยายรันเวย์ให้มีความยาวมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยทำส่วนต่อขยายให้ยื่นออกไปในทะเล โดยมีเสา 180 ต้นรองรับน้ำหนัก แต่นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดบนสนามบินแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการเทรนนิ่งเป็นพิเศษ เพราะการลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ จะต้องหันหัวเครื่องบินไปที่ภูเขา และเอียงเครื่องบินไปทางด้านขวาในนาทีสุดท้าย เพื่อจะตั้งลำให้อยู่ในแนวเดียวกับรันเวย์ที่จะปรากฏให้เห็นตรงหน้าชนิดที่เรียกว่า แทบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
อันดับ 10 สนามบิน ฮวนโช อี. ยาสควิน บนเกาะ ซาบา ในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สนามบินบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ที่ขึ้นชื่อเรื่องน่ากลัว เพราะนักบินจะต้องรับมือกับลมกระโชกแรง ในขณะเตรียมแลนดิ้งลงบนรันเวย์ ที่มีความยาวเพียง 400 เมตรเท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าอันตรายสุด ๆ คือ ตำแหน่งของรันเวย์ที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผา ปลายสุดของรันเวย์ทั้ง 2 ข้าง เป็นหน้าผา ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลง ไปในทะเลทันที ปัจจุบันนี้มีเพียงสายการบิน วินด์วาร์ด ไอส์แลนด์ส ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เปิดบินบริการวันละ 1 เที่ยวบนสนามบินแห่งนี้
การเกิดอุบัติเหตุนั้น มักเกิดขึ้นได้กับทุกสนามบินไม่ว่า ดีที่สุด หรือน่ากลัวที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกคนควรตั้งสติให้ดี ในขณะที่แอร์ สจ๊วตแนะนำการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือตัวเองในยามเกิดเหตุ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือ การตั้งสติ สวดมนต์ภาวนา สถานเดียว
รูปภาพ
จากเหตุการณ์ระทึกขวัญ !! เครื่องบินของสายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ลื่นไถลพุ่งชนหอบังคับการบิน ของสนามบินเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งกระทรวงคมนาคม ได้สรุปเหตุการณ์เบื้องต้นแล้วว่า เกิดจากกระแสลมแปรปรวน (วินด์เชียร์) ทำให้เครื่องบินเสียการทรงตัว โดยสาเหตุไม่ได้เกิดจากสนามบิน หรือเครื่องบิน หรือนักบินไม่ได้มาตรฐานแต่อย่างใด
แม้เหตุการณ์ที่ผ่านมานี้ไม่ได้เกิดจากสภาพสนามบินที่ไม่ได้มาตรฐาน แต่รู้หรือไม่ว่า สนามบินบนโลกใบนี้หลายแห่ง แม้จะได้มาตรฐานในเรื่องความปลอดภัย แต่มีข้อจำกัดเรื่องภูมิประเทศ จึงทำให้มีการจัดอันดับ 10 สนามบินที่น่ากลัวที่สุด ในโลก โดยเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ news.com.au และ bsnnews.com อันดับ 1 เป็นสนามบิน ปาโร ที่ประเทศภูฏาน เนื่องจากหมู่บ้าน ปาโร ถูกโอบล้อมด้วยยอดเขาหิมาลายันที่มีความสูง 5,000 เมตร จึงเป็นเหตุให้สนามบินมีความท้าทาย ในการนำเครื่องลงจอดมากที่สุดในโลก และมีนักบินเพียง 8 คนในโลกเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติในการนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ และสนามบินแห่งนี้มีรันเวย์เดียว เปิดบริการตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตกเท่านั้น ปัจจุบันมีเพียงสายการบินดรุ๊ค แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวใช้บริการ
อันดับ 2 สนามบินนานาชาติ ปริ๊นเซส จูเลียน่า ใน เซนต์มาร์เตน แคริบเบียน สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 2,000 เมตร ถึงแม้ว่าเครื่องบินที่เหมาะสมในการนำมาลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ คือ เครื่องบินเจ๊ต ขนาดกลาง แต่ก็มีเครื่องบินขนาดใหญ่จากยุโรป เช่น โบอิ้ง 747 และแอร์บัส A340 มาลงจอดสนามบินแห่งนี้เช่นกัน ซึ่งการนำเครื่องบินขนาดใหญ่มาลงจอด นักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินในระดับต่ำอย่างน่าตกใจ เหนือชายหาดมาโฮ แต่ก็ยังไม่เคยมีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดภายในสนามบินแห่งนี้แต่อย่างใด
อันดับ 3 สนามบิน เรแกน ที่กรุงวอชิงตัน ดี. ซี. สหรัฐอเมริกา โดยสนามบินแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพื้นที่คาบเกี่ยวของเขตห้ามบิน ถึง 2 แห่งด้วยกัน นั่นก็คือ น่านฟ้าเหนือ เพนตากอน และสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ ที่ห้ามไม่ให้เครื่องบินใด ๆ บินผ่านโดยเด็ดขาด นักบินจึงจำเป็นต้องบินเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว ก่อนที่จะวกกลับมาลงจอดในสนามบิน ส่วนการนำเครื่องบิน บินขึ้น ก็ยุ่งยากไม่แพ้กัน เพราะนักบินจำเป็นต้องไต่ระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังต้องเบนเครื่องบินไปทางด้านซ้าย เพื่อไม่ให้เครื่องบิน บินชนทำเนียบขาวอีกด้วย
อันดับ 4 สนามบิน จิบรอลตาร์ ที่ จิบรอลตาร์ ในยุโรป สนามบินแห่งนี้อยู่ระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันออก และอ่าวแอง เกลา ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก รันเวย์ของสนามบินแห่งนี้สร้างจากกรวดผสมน้ำมันดิน มีความยาวไม่ถึง 2,000 เมตร นักบินจำเป็นต้องรู้ตำแหน่งในการลงจอดที่แน่นอน และแม่นยำ และต้องมีความพร้อมที่จะเบรกทันทีที่ล้อแตะรันเวย์ เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ลงไปจอดในทะเลแน่ ๆ ที่น่ากลัวอีกอย่างคือรันเวย์แห่งนี้มีถนนตัดผ่าน เวลามีเครื่องบินขึ้น-ลง ที่กั้นถนนก็จะพับลงมากั้นไม่ให้รถผ่าน ถ้าเปรียบเทียบกับบ้านเรา จะคล้ายเวลาวิ่งข้ามทางรถไฟ
อันดับ 5 รันเวย์จอดเครื่องบิน มาเทคาน ที่ประเทศเลโซโท รันเวย์มีความยาวเพียง 400 เมตร และมีไว้สำหรับการบินบริการทางการแพทย์โดยเฉพาะการนำเครื่องขึ้นที่รันเวย์แห่งนี้นับเป็นประสบการณ์ขนหัวลุกของผู้โดยสาร เพราะเครื่องบินจะหล่นผลุบลงไปที่หน้าผาซึ่งมีความลึก 600 เมตร ก่อนที่จะ เริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง ซึ่งนักบิน ระบุว่า การนำเครื่องขึ้นวิธีนี้จะปลอดภัยกว่าการบินขึ้นโดยตรงเหนือหน้าผา
อันดับ 6 สนามบินบาร์รา ประเทศสกอตแลนด์ สนามบินแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะบาร์รา ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลของประเทศสกอตแลนด์ ที่นี่นับเป็นหนึ่งในสนามบินเพียง 2 แห่งในโลก ที่ใช้ “ชายหาด” เป็นรันเวย์ อีกแห่งอยู่ที่เกาะเฟรเซอร์ ประเทศออสเตรเลีย และเนื่องจากเวลาน้ำขึ้นรันเวย์ของสนามบินแห่งนี้จะหายไป ดังนั้นตารางบินของสนามบินแห่งนี้จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่น้ำขึ้นน้ำลง และถ้ามีเหตุฉุกเฉินให้ต้องนำเครื่องลงจอดในเวลากลางคืน จะใช้วิธีนำรถยนต์มาจอดเรียง และเปิดไฟ เพื่อให้เกิดแสงสะท้อนบริเวณแผ่นโลหะที่ถูกเรียงไว้บริเวณชายหาด เป็นการนำทางให้นักบินสามารถนำเครื่องบินลงจอดได้อย่างปลอดภัย ซึ่งชายหาดนี้ไม่ได้มีไว้ให้เครื่องบินขึ้น-ลงเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเก็บหอยชื่อดัง โดยนักท่องเที่ยวต้องคอยสังเกตสัญญาณเตือนภัยเอาเอง โดยเมื่อถุงลมลอยขึ้น แสดงว่า ขณะนั้นสนามบินกำลังจะเปิดให้เครื่องบินขึ้น-ลง ซึ่งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะต้องรีบออกจากชายหาดทันที
อันดับ 7 สนามบินนานาชาติ ตอนคอนติน ในเทกูซิกัลปา ประเทศฮอนดูรัส สนามบินแห่งนี้มีรันเวย์ยาวเพียง 1,863 เมตร นับเป็นหนึ่งในสนามบินนานาชาติที่มีรันเวย์สั้นที่สุดในโลก และยังมีภูเขาล้อมรอบ ในการนำเครื่องบินลงจอดนักบินจะต้องบังคับเครื่องบินให้บินเลี้ยวไปทางด้านซ้าย 45 องศา ก่อนที่เครื่องบินจะแตะพื้นรันเวย์เพียงไม่กี่นาที สนามบินแห่งนี้เคยเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นกับเครื่องบินแอร์บัส A320 ของสายการบินกรูโปทาคา ที่บินมาจากซาน ซัลวาดอร์ เมื่อเดือนพ.ค. ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นความผิดพลาดระหว่างการนำเครื่องบินลงจอดของนักบิน พิสูจน์ความน่ากลัวของสนามบินแห่งนี้ได้
อันดับ 8 สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ เคเนดี้ ที่เมืองนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา สนามบินแห่งนี้ติดโผด้านความน่ากลัวตรงที่นักบินจะต้องคอยระมัดระวังเครื่องบินลำอื่น ๆ ที่กำลังบินขึ้น-ลงยังสนามบิน ลา กวาร์เดีย และ สนามบินนิวยอร์ก ที่อยู่ใกล้ ๆ กันระหว่างนำเครื่องลงจอด ส่วนปลายด้านหนึ่งของรันเวย์สิ้นสุดลงที่ผืนน้ำของอ่าวจาไมก้า
อันดับ 9 สนามบินนานาชาติ มาเดรา (ฟันชาล) บนเกาะมาเดรา ประเทศโปรตุเกส การเปิดให้บริการช่วงแรกมีรันเวย์ยาวเพียง 1,600 เมตร และยังโอบล้อมด้วยภูเขาสูง และท้องทะเลทำให้การลงจอดเป็นไปได้ยาก มีเพียงนักบินที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้นที่จะนำเครื่องบินลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ได้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับสายการบินแท็ป แอร์ปอตุกัล เมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากนักบินพยายามนำเครื่องลงจอด 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุในความพยายามลงจอดครั้งที่ 3 เนื่องจากรันเวย์สั้นเกินไป สำหรับเครื่องบินโบอิ้ง 727-200 ประกอบกับมีฝนตกหนัก และลมกระโชกแรงทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี เครื่องบินจึงไถลออกนอกรันเวย์ และชนเข้ากับสะพานจนขาด 2 ท่อนทำให้เกิดไฟลุกท่วม เป็นเหตุให้ผู้โดยสารกว่า 100 คนเสียชีวิต
ต่อมาสนามบินแห่งนี้จึงได้ทุ่มงบประมาณในการขยายรันเวย์ให้มีความยาวมากขึ้นเป็นสองเท่า โดยทำส่วนต่อขยายให้ยื่นออกไปในทะเล โดยมีเสา 180 ต้นรองรับน้ำหนัก แต่นักบินที่จะนำเครื่องบินลงจอดบนสนามบินแห่งนี้ จำเป็นต้องได้รับการเทรนนิ่งเป็นพิเศษ เพราะการลงจอดที่สนามบินแห่งนี้ จะต้องหันหัวเครื่องบินไปที่ภูเขา และเอียงเครื่องบินไปทางด้านขวาในนาทีสุดท้าย เพื่อจะตั้งลำให้อยู่ในแนวเดียวกับรันเวย์ที่จะปรากฏให้เห็นตรงหน้าชนิดที่เรียกว่า แทบไม่ทันตั้งตัวเลยทีเดียว
อันดับ 10 สนามบิน ฮวนโช อี. ยาสควิน บนเกาะ ซาบา ในอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยเกิดโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สนามบินบนเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ แต่ที่ขึ้นชื่อเรื่องน่ากลัว เพราะนักบินจะต้องรับมือกับลมกระโชกแรง ในขณะเตรียมแลนดิ้งลงบนรันเวย์ ที่มีความยาวเพียง 400 เมตรเท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าอันตรายสุด ๆ คือ ตำแหน่งของรันเวย์ที่ด้านหนึ่งเป็นภูเขาสูง ส่วนอีกด้านเป็นหน้าผา ปลายสุดของรันเวย์ทั้ง 2 ข้าง เป็นหน้าผา ซึ่งถ้ามีอะไรผิดพลาดไม่ว่าจะเป็นตอนขึ้นหรือตอนลงก็จะตกลง ไปในทะเลทันที ปัจจุบันนี้มีเพียงสายการบิน วินด์วาร์ด ไอส์แลนด์ส ซึ่งเป็นสายการบินท้องถิ่นเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ที่เปิดบินบริการวันละ 1 เที่ยวบนสนามบินแห่งนี้
การเกิดอุบัติเหตุนั้น มักเกิดขึ้นได้กับทุกสนามบินไม่ว่า ดีที่สุด หรือน่ากลัวที่สุดก็ตาม เพราะฉะนั้นทุกคนควรตั้งสติให้ดี ในขณะที่แอร์ สจ๊วตแนะนำการใช้อุปกรณ์การช่วยเหลือตัวเองในยามเกิดเหตุ แต่ถ้าเกิดเหตุสุดวิสัยจริง ๆ สิ่งเดียวที่ทำได้ในตอนนั้นคือ การตั้งสติ สวดมนต์ภาวนา สถานเดียว
6 เสียง ก.ต.ช.
ที่มา ข่าวสด
ชกไม่มีมุมวงค์ ตาวัน
คณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.นั้น มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแค่ตรายาง แทนที่จะเป็นด่านกลั่นกรอง ความถูกต้องของบัญชีโยกย้ายระดับนายพล กลับทำหน้าที่เป็นตราประทับรับรองให้กับผู้มีอำนาจ
โดยเฉพาะอำนาจของฝ่ายการเมือง*หลายครั้งมักเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง ไม่ใช่ทุกยุคเสมอไป*กระนั้นก็ตาม เริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่า นับตั้งแต่มีก.ต.ช.หรือคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ เข้ามาทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กลายเป็นว่าก.ต.ช. คือ ด่านหินของนักการเมือง ไม่ใช่ตรายางนายกฯอภิสิทธิ์ หงายหลังมาแล้ว
และคาดว่าถ้ายังเสนอชื่อผู้ขึ้นเป็นผบ.ตร.แบบเดิม ก็คงยากจะได้คะแนนเสียงเห็นชอบถึงขณะนี้ยังเป็นที่ยืนยันว่า เสียงข้างมากของก.ต.ช.ยังยึดมั่นในพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ดังเดิมเป็นของจริง ไม่ใช่แค่แอบอ้าง!!ก.ต.ช.เกิดจากพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547
ซึ่งกำหนดให้ทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปตามนโยบายรวมทั้งทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กรรมการมี 10 คน เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน รมว.มหาดไทย ปลัดมหาดไทย รมว.ยุติธรรม ปลัดยุติธรรม ผบ.ตร. เลขาฯสมช. อีก 4 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีนายกฯเป็นประธาน ซึ่งเป็นคนที่ 11ความที่ก.ต.ช.ทำหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งเพียงตำแหน่งเดียว
จึงมีเงื่อนไขสำหรับเจรจาต่อรองลดน้อยลง!ก.ต.ช. เป็นตัวของตัวเองมากกว่าต่างจากก.ตร. ซึ่งทำหน้าที่แต่งตั้งนายพลตั้งแต่รองผบ.ตร.ลงไปถึงผู้การ จึงมีรายการแบ่งเค้กไม่เท่านั้น ก.ต.ช.ชุดปัจจุบัน ยังมีลักษณะพิเศษ เมื่อมท.1และปลัดมท.ไม่ใช่พรรคนายกฯ ส่วนผบ.ตร.ก็ยังไล่ทุบไล่หวด แต่ก็ปลดไม่ได้
แล้วแบบนี้จะต้องกลัวอะไรกันอีกแต่ความเป็นพรรคต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า จะต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคกันได้เนื่องจากข้อมูลที่มาของพล.ต.อ.จุมพล ซึ่งทำให้ก.ต.ช.เสียงข้างมากสนับสนุนนั้น เป็นเรื่องใหญ่
ไม่ใช่เรื่องของพรรคหรือกลุ่มการเมืองใดมท.1 ปลัดมท. ผบ.ตร. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ จึงเป็น 5 เสียงที่โหวตให้นายนพดล อินนา ซึ่งงดออกเสียง แต่ก็อภิปรายสนับสนุนพล.ต.อ.จุมพลอย่างชัดเจนแม้นายกฯยังเชื่อมั่นในชื่อปทีปแต่ 6 เสียงนี้ยังเชื่อมั่นในชื่อจุมพล เชื่ออย่างสูงยิ่งกว่าเสียอีก!
ชกไม่มีมุมวงค์ ตาวัน
คณะกรรมการข้าราชการตำรวจหรือก.ตร.นั้น มักจะถูกกล่าวหาว่าเป็นแค่ตรายาง แทนที่จะเป็นด่านกลั่นกรอง ความถูกต้องของบัญชีโยกย้ายระดับนายพล กลับทำหน้าที่เป็นตราประทับรับรองให้กับผู้มีอำนาจ
โดยเฉพาะอำนาจของฝ่ายการเมือง*หลายครั้งมักเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกครั้ง ไม่ใช่ทุกยุคเสมอไป*กระนั้นก็ตาม เริ่มมีเสียงวิจารณ์ว่า นับตั้งแต่มีก.ต.ช.หรือคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ เข้ามาทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กลายเป็นว่าก.ต.ช. คือ ด่านหินของนักการเมือง ไม่ใช่ตรายางนายกฯอภิสิทธิ์ หงายหลังมาแล้ว
และคาดว่าถ้ายังเสนอชื่อผู้ขึ้นเป็นผบ.ตร.แบบเดิม ก็คงยากจะได้คะแนนเสียงเห็นชอบถึงขณะนี้ยังเป็นที่ยืนยันว่า เสียงข้างมากของก.ต.ช.ยังยึดมั่นในพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ดังเดิมเป็นของจริง ไม่ใช่แค่แอบอ้าง!!ก.ต.ช.เกิดจากพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2547
ซึ่งกำหนดให้ทำหน้าที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เป็นไปตามนโยบายรวมทั้งทำหน้าที่แต่งตั้งผบ.ตร.กรรมการมี 10 คน เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง 6 คน รมว.มหาดไทย ปลัดมหาดไทย รมว.ยุติธรรม ปลัดยุติธรรม ผบ.ตร. เลขาฯสมช. อีก 4 เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมีนายกฯเป็นประธาน ซึ่งเป็นคนที่ 11ความที่ก.ต.ช.ทำหน้าที่พิจารณาแต่งตั้งเพียงตำแหน่งเดียว
จึงมีเงื่อนไขสำหรับเจรจาต่อรองลดน้อยลง!ก.ต.ช. เป็นตัวของตัวเองมากกว่าต่างจากก.ตร. ซึ่งทำหน้าที่แต่งตั้งนายพลตั้งแต่รองผบ.ตร.ลงไปถึงผู้การ จึงมีรายการแบ่งเค้กไม่เท่านั้น ก.ต.ช.ชุดปัจจุบัน ยังมีลักษณะพิเศษ เมื่อมท.1และปลัดมท.ไม่ใช่พรรคนายกฯ ส่วนผบ.ตร.ก็ยังไล่ทุบไล่หวด แต่ก็ปลดไม่ได้
แล้วแบบนี้จะต้องกลัวอะไรกันอีกแต่ความเป็นพรรคต่างกัน ก็มิได้หมายความว่า จะต่อรองผลประโยชน์ระหว่างพรรคกันได้เนื่องจากข้อมูลที่มาของพล.ต.อ.จุมพล ซึ่งทำให้ก.ต.ช.เสียงข้างมากสนับสนุนนั้น เป็นเรื่องใหญ่
ไม่ใช่เรื่องของพรรคหรือกลุ่มการเมืองใดมท.1 ปลัดมท. ผบ.ตร. นายเรวัติ ฉ่ำเฉลิม พล.ต.อ.สุเทพ ธรรมรักษ์ จึงเป็น 5 เสียงที่โหวตให้นายนพดล อินนา ซึ่งงดออกเสียง แต่ก็อภิปรายสนับสนุนพล.ต.อ.จุมพลอย่างชัดเจนแม้นายกฯยังเชื่อมั่นในชื่อปทีปแต่ 6 เสียงนี้ยังเชื่อมั่นในชื่อจุมพล เชื่ออย่างสูงยิ่งกว่าเสียอีก!
วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552
ประชาธิปัตย์กำลังเรียนรู้"การบ้าอำนาจ"
Learning authoritarianismAugust 28, 2009
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ไม่ต้องคลางแคลงใจกันหรอกว่า พรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยจะเรียนรู้การเป็นเผด็จการได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใจกว้างในทางการเมือง แต่ก็เคยนะ สักระยะหนึ่ง เริ่มต้นลงเล่นบนเวทีการเมือง โดยพัฒนาตัวเองมาจากพรรคนิยมเจ้าในวงแคบๆ ไปเป็นพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “วงใน” ของอีกรูปแบบหนึ่งของเผด็จการทางทหาร
พรรคได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จากที่เคยให้การสนับสนุนอย่างระมัดระวังในการทำรัฐประหารของ....และกองทัพในปี พ.ศ.๒๕๔๙ สนับสนุนในการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๕๑ ของกองทัพ ร้องแรกแหกกระเชอสนับสนุนพันธมิตรให้ออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน และจัดตั้งรัฐบาลโดยการแอบสมคบคิดกับกองทัพ และนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นพรรคที่นิยมกับการเมืองแบบเผด็จการอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยแสดงให้เห็นว่า พรรคได้ตกต่ำจนกลายไปเป็นเผด็จการในการคุมอำนาจทางการเมือง เราไม่ได้ใส่ลิ้งค์ไว้ในที่นี้ ขอเชิญท่านผู้อ่านใช้ตัวช่วยในการค้นหา(Search) ซึ่งรวมถึง: นายกรัฐมนตรีถูกจับได้ว่าบิดเบือนความจริง, การใช้กองกำลังต่อต้านการประท้วงอย่างรุนแรง, การตรวจสอบสื่ออย่างบ้าคลั่ง, การใช้.....เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของตัวเองอย่างเปิดเผย (และ.......มีความสุขร่วมไปด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์) รวมถึงการใช้กฎหมายหมิ่นฯที่โหดร้าย, การจับตัวนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม, การสร้างความหวาดกลัว, การเลือกที่รักมักที่ชังในบรรดาข้าราชการ (แน่ละ มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่), การโกงกิน, การทำทารุณกรรมต่อผู้อพยพ, การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้, และการจัดการที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับการที่ตำรวจและกองทัพใช้อำนาจในทางที่ผิด
เรื่องต่างๆยังมีอีกเพียบ และเริ่มดูจะใกล้เคียงกับที่เคยโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว สิ่งที่น่าวิตกในขณะนี้ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะค้นพบว่า การใช้กำลังปราบปรามอย่างบ้าคลั่งต่อนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะในยามที่ได้รับแรงสนับสนุนจากสื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเองและถูกทำให้เชื่อง และชนชั้นกลางที่ขี้ตื่นกลัว พัทยาถือว่าเป็นความหายนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่การปราบปรามผู้ลุกฮือในวันสงกรานต์ แสดงให้เห็นความล้ำหน้าของพรรคประชาธิปัตย์
จากบางกอกโพสต์ (วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “กรุงเทพถูกยึด”) ดูจะเหมาะกว่าถ้าพูดว่า: กรุงเทพถูกกองทัพและตำรวจนับพันนายบุกเข้ายึดพื้นที่ การเข้ายึดเพื่อความมั่นคงถูกนำมาอ้างว่าเพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขี้น แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในที่โหดร้ายนี้ มีความหมายนอกเหนือไปจากแค่เพื่อการป้องกัน แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันการประท้วงที่ถูกกฎหมายเสียมากกว่า พระราชวังดุสิต ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภากลายเป็นสถานที่ห้ามเข้า และถนนบริเวณนั้นจะปลอดจากผู้ประท้วงและเสื้อแดง
พีพีทีเชื่อว่า แค่เป็นการฝึกการบ้าอำนาจในการรับมือของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เป็นผู้อนุมัติให้มีการลงมือปราบปรามอย่างรุนแรง ยังมีพื้นที่อื่นๆซึ่งอาจจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามมิให้มีการประท้วงด้วยเช่นกัน รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนยังคงอ้างเรื่องเดิมๆของ “มือที่สาม” เป็นข้ออ้างที่กองทัพนำมาใช้เมื่อมีการปราบปรามในทศวรรษที่ผ่านมาเสมอ อภิสิทธิ์ชื่นชมกับความมีประสิทธิภาพของพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน…ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว”
ตำรวจได้เตือนแกนนำ นปช. ในขณะที่รัฐมนตรี สาธิต วงศ์หนอยเตย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีจิตใจคับแคบได้กล่าวกับสื่อว่า “เขาจะไม่ห้ามสื่อในการรายงานการชุมนุม แต่จะขอร้องให้สื่อให้ความระมัดระวังในการรายงานข่าว และตรวจทานก่อนที่จะเสนอความจริงออกไป” หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า นี่ไม่ใช่การห้าม แต่เป็นแค่การเตือน นี่มันขู่กันอย่างชัดๆ
อีกรายงานจากสื่อ (บางกอกโพสต์ วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “แต่งตั้งสุเทพเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคง”) เป็นการแสดงถึงรูปแบบที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นศูนย์ปฎิบัติการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมีรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธาน ผู้ประท้วงจะถูกตรวจค้นก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่ นายสุเทพได้อ้างอย่างไม่น่าเชื่อว่า “กองกำลังของรัฐบาลจะยึดมั่นกับหลักการของความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน”
อภิสิทธิ์ไม่ต้องการยุบสภา เขาทราบดีว่า พรรคของเขาอาจจะไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือจนกระทั่งทั้งตัวเขาและผู้หนุนหลัง มีแผนการเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
หนทางซึ่งไปสู่การปกครองแบบเผด็จการนั้น ทั้งสั้นและไม่ราบรื่น และพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังอยู่บนเส้นทางสายนี้ และดูเหมือนจะมีความสุขอย่างเหลือเชื่อกับเส้นทางสายนี้เสียด้วย
ที่มา – Political Prisoners in Thailand
แปลและเรียบเรียง – แชพเตอร์ ๑๑
ไม่ต้องคลางแคลงใจกันหรอกว่า พรรคเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยจะเรียนรู้การเป็นเผด็จการได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยใจกว้างในทางการเมือง แต่ก็เคยนะ สักระยะหนึ่ง เริ่มต้นลงเล่นบนเวทีการเมือง โดยพัฒนาตัวเองมาจากพรรคนิยมเจ้าในวงแคบๆ ไปเป็นพรรคที่ถูกมองว่าเป็น “วงใน” ของอีกรูปแบบหนึ่งของเผด็จการทางทหาร
พรรคได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว จากที่เคยให้การสนับสนุนอย่างระมัดระวังในการทำรัฐประหารของ....และกองทัพในปี พ.ศ.๒๕๔๙ สนับสนุนในการร่างรัฐธรรมนูญปี พ.ศ.๒๕๕๑ ของกองทัพ ร้องแรกแหกกระเชอสนับสนุนพันธมิตรให้ออกมาเล่นการเมืองบนท้องถนน และจัดตั้งรัฐบาลโดยการแอบสมคบคิดกับกองทัพ และนายเนวิน ชิดชอบ ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่น พรรคประชาธิปัตย์ได้กลายเป็นพรรคที่นิยมกับการเมืองแบบเผด็จการอย่างรวดเร็ว
ตลอดเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล โพลิติคอลพรีซันเนอร์อินไทยแลนด์ (พีพีที) ได้เคยแสดงให้เห็นว่า พรรคได้ตกต่ำจนกลายไปเป็นเผด็จการในการคุมอำนาจทางการเมือง เราไม่ได้ใส่ลิ้งค์ไว้ในที่นี้ ขอเชิญท่านผู้อ่านใช้ตัวช่วยในการค้นหา(Search) ซึ่งรวมถึง: นายกรัฐมนตรีถูกจับได้ว่าบิดเบือนความจริง, การใช้กองกำลังต่อต้านการประท้วงอย่างรุนแรง, การตรวจสอบสื่ออย่างบ้าคลั่ง, การใช้.....เพื่อผลประโยชน์ในทางการเมืองของตัวเองอย่างเปิดเผย (และ.......มีความสุขร่วมไปด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์) รวมถึงการใช้กฎหมายหมิ่นฯที่โหดร้าย, การจับตัวนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม, การสร้างความหวาดกลัว, การเลือกที่รักมักที่ชังในบรรดาข้าราชการ (แน่ละ มันไม่ใช่เป็นเรื่องใหม่), การโกงกิน, การทำทารุณกรรมต่อผู้อพยพ, การละเมิดสิทธิมนุษยชนในภาคใต้, และการจัดการที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กับการที่ตำรวจและกองทัพใช้อำนาจในทางที่ผิด
เรื่องต่างๆยังมีอีกเพียบ และเริ่มดูจะใกล้เคียงกับที่เคยโจมตีอย่างต่อเนื่องไว้กับรัฐบาลชุดที่แล้ว สิ่งที่น่าวิตกในขณะนี้ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ดูเหมือนจะค้นพบว่า การใช้กำลังปราบปรามอย่างบ้าคลั่งต่อนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้สร้างประโยชน์ให้กับตัวเอง โดยเฉพาะในยามที่ได้รับแรงสนับสนุนจากสื่อที่เซ็นเซอร์ตัวเองและถูกทำให้เชื่อง และชนชั้นกลางที่ขี้ตื่นกลัว พัทยาถือว่าเป็นความหายนะของพรรคประชาธิปัตย์ แต่การปราบปรามผู้ลุกฮือในวันสงกรานต์ แสดงให้เห็นความล้ำหน้าของพรรคประชาธิปัตย์
จากบางกอกโพสต์ (วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “กรุงเทพถูกยึด”) ดูจะเหมาะกว่าถ้าพูดว่า: กรุงเทพถูกกองทัพและตำรวจนับพันนายบุกเข้ายึดพื้นที่ การเข้ายึดเพื่อความมั่นคงถูกนำมาอ้างว่าเพื่อป้องกันความรุนแรงที่จะเกิดขี้น แต่การประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงภายในที่โหดร้ายนี้ มีความหมายนอกเหนือไปจากแค่เพื่อการป้องกัน แท้จริงแล้วเป็นการป้องกันการประท้วงที่ถูกกฎหมายเสียมากกว่า พระราชวังดุสิต ทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภากลายเป็นสถานที่ห้ามเข้า และถนนบริเวณนั้นจะปลอดจากผู้ประท้วงและเสื้อแดง
พีพีทีเชื่อว่า แค่เป็นการฝึกการบ้าอำนาจในการรับมือของรัฐบาล
นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน และประธานคณะกรรมาธิการการทหาร เป็นผู้อนุมัติให้มีการลงมือปราบปรามอย่างรุนแรง ยังมีพื้นที่อื่นๆซึ่งอาจจะถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ห้ามมิให้มีการประท้วงด้วยเช่นกัน รัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนยังคงอ้างเรื่องเดิมๆของ “มือที่สาม” เป็นข้ออ้างที่กองทัพนำมาใช้เมื่อมีการปราบปรามในทศวรรษที่ผ่านมาเสมอ อภิสิทธิ์ชื่นชมกับความมีประสิทธิภาพของพระราชบัญญัติความมั่นคงภายใน…ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่ภูเก็ตเมื่อเดือนที่แล้ว”
ตำรวจได้เตือนแกนนำ นปช. ในขณะที่รัฐมนตรี สาธิต วงศ์หนอยเตย ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีจิตใจคับแคบได้กล่าวกับสื่อว่า “เขาจะไม่ห้ามสื่อในการรายงานการชุมนุม แต่จะขอร้องให้สื่อให้ความระมัดระวังในการรายงานข่าว และตรวจทานก่อนที่จะเสนอความจริงออกไป” หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า นี่ไม่ใช่การห้าม แต่เป็นแค่การเตือน นี่มันขู่กันอย่างชัดๆ
อีกรายงานจากสื่อ (บางกอกโพสต์ วันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒: “แต่งตั้งสุเทพเป็นผู้อำนวยการศูนย์ความมั่นคง”) เป็นการแสดงถึงรูปแบบที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นศูนย์ปฎิบัติการเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย ตามพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมีรองนายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นประธาน ผู้ประท้วงจะถูกตรวจค้นก่อนที่จะเข้าไปยังพื้นที่ นายสุเทพได้อ้างอย่างไม่น่าเชื่อว่า “กองกำลังของรัฐบาลจะยึดมั่นกับหลักการของความเป็นประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน”
อภิสิทธิ์ไม่ต้องการยุบสภา เขาทราบดีว่า พรรคของเขาอาจจะไม่มีทางชนะการเลือกตั้ง ดังนั้นเขาจึงต้องยืดเวลาออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือจนกระทั่งทั้งตัวเขาและผู้หนุนหลัง มีแผนการเพื่อให้ได้รับชัยชนะ
หนทางซึ่งไปสู่การปกครองแบบเผด็จการนั้น ทั้งสั้นและไม่ราบรื่น และพรรคประชาธิปัตย์ก็กำลังอยู่บนเส้นทางสายนี้ และดูเหมือนจะมีความสุขอย่างเหลือเชื่อกับเส้นทางสายนี้เสียด้วย
เป็นอะไรไปแล้ว!!??
ที่มา ข่าวสด
เหล็กใน
จากข่าวผู้มีบารมีในรัฐบาลพูดกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาล หลายคนในวงสนทนามื้อพิเศษ"จะพยายามประคับ
ประคองรัฐบาลไปให้ได้ถึงมกราคมปีหน้า"จนถึงข่าวจากปาก"พ่อเนวิน"ชัย ชิดชอบ"อาจมีการยุบสภาเร็วๆ
นี้"
กระทั่งสดๆ ร้อนๆ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ บ่นจะลาออกจากเลขาธิการนายกฯบรรยากาศมันทะแม่งๆ สอดรับกันโดยมิได้นัดหมายสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป แม้จะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่แทบทุกปัจจัยมีนายกฯอภิสิทธิ์เป็นปฐมเหตุบรรยากาศทะแม่งๆ เช่น
ระยะนี้ผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐบาลนัดพบกันบ่อยครั้งขึ้นทุกครั้งมีนายกฯเป็นหัวข้อใหญ่?ผบ.เหล่าทัพกับขุนทหาร พากันลับ ลวง พรางอย่างผิดปกติหลายกรณีสื่อไปถึงนายกฯโดยตรง?และที่มองข้ามไม่ได้ก็คืออาการ"เทพเทือก"ผู้จัดการรัฐบาลระยะหลังทำตัวปลงๆ ผิดวิสัยคำพูดประเภท "ผมมันแค่รองนายกฯ"
หรือ"นายกฯเป็นเจ้านายผม"หล่นออกมาเรียกความเห็นใจถี่ยิบเช่นเดียวกับนิพนธ์ตั้งแต่กลับจากเยอรมันผมหงอกเพิ่มหลายเส้น!หน้าตาเคร่งเครียด ความดันพุ่งทุกครั้งที่จับเข่าคุย กับนายกฯคนชอบเก็บตัว ใจคอเยือกเย็น
มีอารมณ์สุนทรีย์ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะบ่นให้บุคคลที่ 3 ที่ 4 ได้ยินหรือ?ที่สำคัญไม่ได้บ่นธรรมดา แต่บ่นแรง บ่นบ่อยแบบ ไม่เคยพบเคยเห็นนายกฯรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ ทว่าคนที่รู้จักเลขาธิการนายกฯ คนนี้ต่างตกใจกับนิพนธ์
หนักใจกับอภิสิทธิ์!!ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ว่าหัวดำ หัวหงอก ล้วนตั้งคำถามนายกฯเป็นอะไรไป??การมั่นใจตัวเองทั้งเรื่องซื่อสัตย์ และยึดมั่นกฎหมายไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นต่าง ไม่เห็นด้วย จะไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยึดมั่นกฎหมายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง แข็งได้ อ่อนได้ พลิกแพลงได้โดยกฎหมายยังอยู่ ซื่อสัตย์ยังครบอยู่ที่ว่า
คิดเป็น ทำเป็น แก้เป็น บริหารเป็น หรือไม่รวมความแล้วไปๆ มาๆ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่องก็มาจบลงตรง"ภาวะผู้นำ"ของนายกฯ!?
เหล็กใน
จากข่าวผู้มีบารมีในรัฐบาลพูดกับผู้มีบารมีนอกรัฐบาล หลายคนในวงสนทนามื้อพิเศษ"จะพยายามประคับ
ประคองรัฐบาลไปให้ได้ถึงมกราคมปีหน้า"จนถึงข่าวจากปาก"พ่อเนวิน"ชัย ชิดชอบ"อาจมีการยุบสภาเร็วๆ
นี้"
กระทั่งสดๆ ร้อนๆ นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ บ่นจะลาออกจากเลขาธิการนายกฯบรรยากาศมันทะแม่งๆ สอดรับกันโดยมิได้นัดหมายสืบสาวราวเรื่องลึกลงไป แม้จะมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่แทบทุกปัจจัยมีนายกฯอภิสิทธิ์เป็นปฐมเหตุบรรยากาศทะแม่งๆ เช่น
ระยะนี้ผู้มีบารมีทั้งในและนอกรัฐบาลนัดพบกันบ่อยครั้งขึ้นทุกครั้งมีนายกฯเป็นหัวข้อใหญ่?ผบ.เหล่าทัพกับขุนทหาร พากันลับ ลวง พรางอย่างผิดปกติหลายกรณีสื่อไปถึงนายกฯโดยตรง?และที่มองข้ามไม่ได้ก็คืออาการ"เทพเทือก"ผู้จัดการรัฐบาลระยะหลังทำตัวปลงๆ ผิดวิสัยคำพูดประเภท "ผมมันแค่รองนายกฯ"
หรือ"นายกฯเป็นเจ้านายผม"หล่นออกมาเรียกความเห็นใจถี่ยิบเช่นเดียวกับนิพนธ์ตั้งแต่กลับจากเยอรมันผมหงอกเพิ่มหลายเส้น!หน้าตาเคร่งเครียด ความดันพุ่งทุกครั้งที่จับเข่าคุย กับนายกฯคนชอบเก็บตัว ใจคอเยือกเย็น
มีอารมณ์สุนทรีย์ถ้าไม่เหลืออดจริงๆ จะบ่นให้บุคคลที่ 3 ที่ 4 ได้ยินหรือ?ที่สำคัญไม่ได้บ่นธรรมดา แต่บ่นแรง บ่นบ่อยแบบ ไม่เคยพบเคยเห็นนายกฯรู้สึกอย่างไร ไม่รู้ ทว่าคนที่รู้จักเลขาธิการนายกฯ คนนี้ต่างตกใจกับนิพนธ์
หนักใจกับอภิสิทธิ์!!ผู้หลักผู้ใหญ่ไม่ว่าหัวดำ หัวหงอก ล้วนตั้งคำถามนายกฯเป็นอะไรไป??การมั่นใจตัวเองทั้งเรื่องซื่อสัตย์ และยึดมั่นกฎหมายไม่ได้หมายความว่า คนที่เห็นต่าง ไม่เห็นด้วย จะไม่ซื่อสัตย์ ไม่ยึดมั่นกฎหมายทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่อง แข็งได้ อ่อนได้ พลิกแพลงได้โดยกฎหมายยังอยู่ ซื่อสัตย์ยังครบอยู่ที่ว่า
คิดเป็น ทำเป็น แก้เป็น บริหารเป็น หรือไม่รวมความแล้วไปๆ มาๆ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทุกเรื่องก็มาจบลงตรง"ภาวะผู้นำ"ของนายกฯ!?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)