--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไม่สนแรงกดดันค่าเงินบาท แบงก์ชาติยืนกรานทำดีแล้ว


เศรษฐกิจไทยจะฟื้นเมื่อไร และจะฟื้นเป็นรูปตัวยู รูปตัววีหรือรูปตัวดับเบิลยู ยังคงเป็นเรื่องที่สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจโดยตลอด แต่ที่เป็นแรงกดดันและภาคธุรกิจโดยเฉพาะภาคธุรกิจส่งออกร้องให้ภาครัฐแก้ปัญหามากที่สุดในขณะนี้คือ เรื่องของค่าเงินบาทซึ่ง นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ได้กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของประเทศไทยในปัจจุบัน” โดยสนับสนุนนโยบายใช้ค่าเงินบาทอ่อนของม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ประธานกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อเพิ่มรายได้ให้ภาคการส่งออก การท่องเที่ยวและการเกษตรโดยเห็นว่าเงินบาทควรอ่อนค่าที่ระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไตรมาสแรกปี 2552 ธปท. สามารถดูแลให้เงินบาทอ่อนค่าประมาณ 35.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

แต่กลับมาแข็งค่าไตรมาส 2 อยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯอดีตรองนายกรัฐมนตรียังได้เสนอให้รัฐบาลเร่งปล่อยสินเชื่อให้ธุรกิจเอสเอ็มอี ท่องเที่ยว ที่อยู่อาศัย อุปโภคบริโภค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หดตัวถึง 220,000 ล้านบาท และให้รัฐบาลเร่งการเบิกจ่ายและการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งจะต้องไม่ขึ้นภาษีแต่จะต้องลดภาษีแทน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวโดยเร็ว“หากรัฐบาลทำตามข้อเสนอแนะทั้ง 3 เรื่องได้เร็ว จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวเป็นรูปตัวยูกลับไปอยู่ระดับใกล้เคียงไตรมาส 3ปี 2551 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวประมาณร้อยละ 3.9 ภายในเวลา12 เดือนจากนี้ หากรัฐบาลดำเนินนโยบายล่าช้าจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวถึง 18 เดือน ส่วนจีดีพีไตรมาส 4 ปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาเป็นบวก เพราะจีดีพีไตรมาส 4 ปีที่แล้วต่ำมากติดลบร้อยละ 4.3เพราะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจอย่างหนัก”และไม่เพียงแค่นายโอฬารหรือ ม.ร.ว.จัตุมงคล จะมองในเรื่องของค่าเงินบาท ก่อนหน้านี้ นายวีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้ออกมาระบุเช่นกันว่า ธปท. ไม่ได้บริหารจัดการค่าเงินบาทให้เหมาะสมทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง กระทบการส่งออกของไทยและนโยบายการเงินช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ได้

3 กูรูหรือ 3 เซียนเศรษฐกิจที่ออกมาพูดสอดคล้องกันว่า ธปท.จำเป็นที่จะต้องดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกว่านี้ ทำเอานางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท. หงุดหงิดและรับไม่ได้ จนถึงกับออกมาย้อนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไรธปท. ดูแลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลภูมิภาคและประเทศคู่แข่ง เรื่องเงินบาทเอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้ต้องเอาข้อมูลมาดูกัน ยืนยันอีกครั้งว่าอย่าดูค่าเงินบาทเป็นรายวันและอย่านำไปเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯการพิจารณาค่าเงินบาทต้องเทียบกับคู่ค้า ซึ่งเงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงกับเงินสกุลอื่นๆ มีการปรับตัวแข็งค่าขึ้นบ้างแต่เป็นเพียงเล็กน้อย และหากเทียบกับบางสกุลเงินบาทแข็งค่าขึ้นน้อยกว่า และไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขันในภาพรวมของการส่งออก แต่หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรมก็จะมีความแตกต่างกันบ้าง“อยากเรียนถามว่าไม่เหมาะสมอย่างไร อยากให้ดูแลให้เกาะกลุ่มกับภูมิภาค เราก็ทำได้ เอาความรู้สึกมาพูดไม่ได้หรอก แต่ต้องนำเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาประกอบกัน”

นางธาริษา กล่าวนางธาริษาได้มีการยืนยันด้วยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากการที่ประเทศไทยเกินดุลการค้า และมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งก็เหมือนกับตลาดหุ้นในภูมิภาคไม่ได้มีความผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร และไม่มีแก๊งป่วนบาท“ค่าเงินบาทไม่ได้แข็งค่าจนสุดโต่ง จากต้นปีที่ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ มาเคลื่อนไหวที่ 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯในปัจจุบัน ยืนยันค่าเงินบาทที่แท้จริงไม่ได้ทำให้ไทยเสียความสามารถทางการแข่งขัน เพราะเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มกับเงินสกุลคู่ค้า”อย่างไรก็ตาม นางธาริษากล่าวว่าไม่มีใครบอกได้ว่าอัตราค่าเงินเท่าไรถึงจะเหมาะสม ผู้ที่จะชี้ได้คือตลาดซื้อขายเงินตราหากมีความพยายามแทรกแซง โดยตลาดเห็นว่าเป็นอัตราที่ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็จะเกิดการเก็งกำไรขึ้น“หากเกิดเก็งกำไร เราจะต้านได้แค่ไหน ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนที่เท่าไร เหมาะสมหรือไม่ ควรปล่อยไปตามตลาด”

แต่ก็ยอมรับว่าที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ได้ปล่อยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอย่างสิ้นเชิง โดยดูแลในระดับหนึ่งแต่ไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าอัตราแลกเปลี่ยนจะต้องอยู่ในระดับใด“เราไม่ ได้ปล่อยมันไป ก็ดูระดับหนึ่งแค่นั้นเอง แต่ไม่ได้ไปเขียนบนกระดานว่า เราอยากได้ 35 บาทหรือ 36 บาท เขียนตัวเลขใส่กระดานอย่างนั้นไม่ได้”ส่วนที่มีภาคธุรกิจเอกชนบอกว่า ธปท. ไม่ต้องประกาศว่าจะให้อัตราอยู่เท่าไร แต่ให้ช่วยดูแลในทางลับจะเป็นไปได้หรือไม่นั้นผู้ว่าการ ธปท. ความจริงเรื่องค่าเงินไม่ควรพูดเลย ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ตลาดจะจับสัญญาณทั้งสิ้นสำหรับภาวะเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง นางธาริษากล่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาส 2 หลายตัวมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยดีขึ้น ทั้งข้อมูลเศรษฐกิจจากสหรัฐฯ เช่น ตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น ดังนั้น หากไม่มีข่าวร้ายที่รุนแรง เช่น การล้มละลายของสถาบันการเงินเกิดขึ้นอีกเศรษฐกิจก็น่าจะดีขึ้น โดยปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือผลการดำเนินงานของสถาบันการเงินในไตรมาส 2 ที่ปรับตัวดีขึ้นจะเกิดขึ้นต่อเนื่องหรือไม่“แต่ก็ยอมรับว่าปัจจัยทางการเมืองก็มีความสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจ หากการเมืองนิ่ง ประชาชนและนักลงทุนจะมีความเชื่อมั่นและมีการใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น”

และในส่วนของข้อเรียกร้องให้มีการแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออก นางธาริษามองว่าเรื่องนี้เป็นข้อเรียกร้องมาทุกยุคสมัย แต่สิ่งที่ต้องคำนึง คือ ทุกนโยบายมีทั้งคนได้คนเสียเช่น เรื่องลดดอกเบี้ย ผู้ส่งออกต้องการให้ลดมากๆ แต่ผู้ที่มีรายได้จากดอกเบี้ยเงินออมได้รับผลกระทบ ดังนั้น ต้องดูความพอดีเหมาะสมของประเทศซึ่งแบบนี้ค่อนข้างที่จะชัดเจนแล้วว่า ไม่ว่าใครพูดหรือภาคธุรกิจจะมองอย่างไร ผู้ว่าการ ธปท. ก็ยืนกรานเรื่องความเป็นอิสระในการดูแลค่าเงินบาทตามสไตล์ ธปท. เช่นเดิม มิน่าแม้กระทั่ง นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยังไม่กล้าสั่งการอะไรมากนัก เพราะเกรงจะถูกจวกว่า“แทรกแซง” นี่เอง ■

แหกตาอีก เหลือบ "โครงการพอเพียง" หลอกขายรถนวดข้าวแพงลิบ

ที่มา: มติชนออนไลน์
แหกตาอีก เหลือบ"โครงการพอเพียง"หลอกขายรถนวดข้าวแพงลิบ ที่แท้เป็น"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่"ชุมชนพอเพียง"ฉาวไม่เลิก ชัยภูมิถูกนายหน้าล้วงข้อมูลวงใน หลอกขายรถนวดข้าว"มือสอง"ย้อมแมวทาสีใหม่ ห้องเครื่องเก่าหมด ทั้งที่ราคากว่าเท่าตัว ผญบ.เผยมีสำนักงานขายกิ๊กก๊อกเป็นบ้านหลังเดียว ไม่มีตัวอย่างสินค้าให้ดู พบพิรุธติดต่อบริษัทขายไม่ได้

โครงการชุมชนพอเพียงของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช.ยังคงอื้อฉาวต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้พบความไม่ชอบมาพากลในหลายพื้นที่ ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการใน จ.ชัยภูมิ ไม่เพียงแต่มีนายหน้าบริษัทอาศัยข้อมูลวงในไปทำโครงการขายปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูปให้ชุมชนเท่านั้น หากยังพบพฤติกรรมนายหน้าบริษัทเอกชนขายเครื่องมือการเกษตรไปเสนอขายสินค้าให้ชุมชน แลกกับการผลักดันให้ได้รับอนุมัติงบประมาณในโครงการโดยเร็วและที่แย่ไปกว่านั้นคือ เครื่องมือการเกษตรนอกจากราคาแพงเกินจริง เมื่อไปรับสินค้ากลับกลายเป็นของย้อมแมว "มือสอง" ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว

พฤติกรรมนายหน้าบริษัททำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศรี ลุนบง อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 ชุมชนบ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า มีตัวแทนจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาพบที่บ้าน บอกว่าได้รับทราบข้อมูลมาว่าชุมชนของตนมีโครงการที่จะจัดซื้อรถนวดสีข้าวมาใช้งาน หากชุมชนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทจะเดินเรื่องให้ สพช.อนุมัติงบประมาณมาให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตอนแรกที่ตัวแทนบริษัทมาติดต่อ รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมถึงทราบว่าชุมชนเสนอโครงการซื้อรถนวดสีข้าว มิหนำซ้ำยังบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงการ จะไปจัดการให้ แต่กรรมการชุมชนไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นกังวลเพียงอย่างเดียวว่า โครงการที่เสนอไปแล้วจะได้รับอนุมัติงบฯล่าช้า เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าทางการจะอนุมัติให้ จึงตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแห่งนี้ และบริษัทก็ดำเนินการได้จริงๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ทางชุมชนได้รับจดหมายจากทางการแจ้งว่า โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว และจะโอนเงินมาให้ 250,000 บาท ตามราคาสินค้าที่เสนอขายพอดี

นายสมศรีกล่าวว่า หลังจากโครงการรถนวดสีข้าวได้รับการอนุมัติ ตัวแทนบริษัทมาพบที่บ้านอีกครั้ง พร้อมพาไปที่สำนักงานบริษัท ที่ ต.โพนทอง อ.เมือง เพื่อให้ดูสินค้าตัวอย่าง พบสำนักงานเป็นเพียงบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง หน้าบ้านไม่มีสินค้ามาวางโชว์ ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน และอุปกรณ์สำนักงานเพียงไม่กี่ชิ้น ตัวแทนอ้างว่าเป็นเพียงสำนักงานชั่วคราวที่ใช้ติดต่อขายสินค้าให้ชุมชนต่างๆ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญาซื้อขายทันที ไม่นานนัก ตัวแทนบริษัทได้พาไปรับสินค้าที่สำนักงาน

พอผมเห็นรถนวดสีข้าวของเขาถึงกับอึ้งเลย เพราะเป็นรถเก่าที่นำมาวางเครื่องทำสีใหม่ และนำเครื่องนวดสีข้าวมาติดตั้งเพิ่มเท่านั้น ราคาไม่น่าจะเกินคันละ 100,000 กว่าบาท พยายามต่อรองขอให้บริษัทลดราคาลงมา ตัวแทนบริษัทอ้างว่าราคาคันละ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว เพราะบริษัทมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่พร้อมรับดูแลซ่อมบำรุงให้ในกรณีมีปัญหาใช้งานไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมลดราคาให้ ผมจำใจรับรถและขับกลับมาที่ชุมชน จนบัดนี้ยังไม่ได้ทดลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เลยนำไปจอดเก็บไว้ เมื่อถึงตอนนั้นหากสินค้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะส่งคนมาดูแลให้ตามที่รับปากไว้หรือไม่ แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆ คงจะถอดเครื่องนวดสีข้าวออกไปก่อน และนำรถไปใช้ขนของในหมู่บ้านเวลามีงานแทน" นายสมศรีกล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสภาพรถนวดสีข้าวคันดังกล่าวพบว่า เป็นรถ 6 ล้อเก่าที่นำมาปะผุ และทาสีใหม่ อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พวงมาลัย ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น ตัวถังรถระบุว่าเป็นยี่ห้อโตโยต้า แต่เครื่องยนต์กลับเป็นยี่ห้ออีซุซุ 100 L ซึ่งเป็นเครื่องเก่าเช่นกัน และนำเอาเครื่องนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 76 แรงม้า มาเชื่อมต่อไว้ด้านบนตัวรถ ก่อนทาสีทั้งคันให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้รถดูใหม่
จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่ชุมชนทำกับบริษัทพบว่า รายชื่อผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาขายให้มีสถานะเป็นเพียงร้านค้าชื่อย่อ "พ" ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่ใช่บริษัทมีชื่อเสียงอะไร เมื่อติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในสัญญา กลับไม่สามารถติดต่อได้

เสื้อแดงแถลงแผน "ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว" ประกาศเลื่อนชุมนุม


Sun, 2009-08-30
(29 ส.ค.) ศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ น.พ.เหวง โตจิราการ นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ร่วมแถลงข่าวเลื่อนการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ในวันที่ 30 ส.ค.นี้

นายวีระ กล่าวว่า พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก ได้แถลงข่าวอย่างน่าตื่นเต้นว่าทางกองทัพได้เตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่การเตรียมการไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้นก็ทำให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจได้แล้วเพราะว่าเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง พลเรือน ตำรวจ ทหาร ทั้ง 3 เหล่าทัพตั้งจุดตรวจและสายตรวจออกตระเวนดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่ นอกจากนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งระหว่างพี่น้องประชาชนด้วยกัน ซึ่งตนขอให้ตั้งสังเกตคำนี้ที่แสดงว่าทางทหารมีจุดมุ่งหมายอะไรเป็นพิเศษก็ไม่ทราบถึงขนาดแถลงล่วงหน้าว่าประชาชนด้วยกันจะต้องปะทะกัน โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในเขตดุสิตซึ่งก็มีทั้งผู้ที่ถูกใจกับการชุมนุม และผู้ที่ไม่ถูกใจคือทหารเป็นคนนำพูดเองว่าประชาชนจะต้องปะทะกันระหว่างผู้ที่เห็นด้วยกับเสื้อแดงและไม่เห็นด้วยกับเสื้อแดง

สถานการณ์โดยรวมตนจึงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลฝ่ายเดียวสร้างขึ้นทั้งสิ้น นอกจากนั้น พล.อ.สรรเสริญยังบอกว่าทหารไม่พกอาวุธปืนแต่หากสถานการณ์แรงขึ้นก็มีความจำเป็นก็ต้องใช้ปืนแต่เป็นปืนยิงกระสุนยาง ไม่รู้ว่าเป็นปืนยิงกระสุนยางแบบสงกรานต์เลือดหรือเปล่า ยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมจนบาดเจ็บสาหัสแล้วลากไปเก็บในกรมทหาร ไม่มีการดูแลรักษาปล่อยให้เลือดไหล บังเอิญคนเสื้อแดงทรหด เลือดแดงถึงเช้าก็ไม่ตาย

“มาตรการและกำลังที่รัฐบาลจะนำมาใช้ในการชุมนุมครั้งนี้รวมถึงการเตรียมพร้อมที่ลงมือกระทำไปแล้ว ต้องบอกว่ารัฐบาลทำกันเอาจริงเอาจังแล้วทำกันอย่างที่เรียกว่าสถานการณ์ในกรุงเทพฯ ร้ายแรงกว่า 3 จังหวัดภาคใต้ ใน 3 จังหวัดภาคใต้แท้ๆ ที่มีระเบิดทุกวันทหาร ตำรวจ ครูตายทุกวัน รัฐบาลยังไม่เอาจริงแบบนี้เลย ไม่มีใครเอาใจใส่ แต่คราวนี้ ทำยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นพวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงประชุมและปรึกษากันเห็นว่าเมื่อรัฐบาลจะบ้าไปเช่นนี้แล้ว เราก็เห็นสมควรต้องปล่อยให้บ้าไปฝ่ายเดียว เราจะเลื่อนการชุมนุมของเราออกไป” นายวีระกล่าว

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า การตัดสินใจเลื่อนการชุมนุม ในวันที่ 30 ส.ค. ของ นปช.แดงทั้งแผ่นดินในวันนี้เป็นการประกาศยุทธวิธีในการต่อสู้โดยเราพิจารณาวงรอบของสถานการณ์แล้วจึงเลือกใช้ยุทธวิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า “ปล่อยมาร์คบ้าไปคนเดียว” นี่คือยุทธวิธีการต่อสู้ที่ได้มีการประชุมและสรุปมติกันเป็นที่เรียบร้อยเมื่อช่วงเช้าก่อนแถลงข่าว เราไม่เห็นประโยชน์ของการไปช่วยแบ่งเบาทุเลาความเสียสติของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เมื่อเห็นว่านายอภิสิทธิ์ได้ออกอาการถึงขนาดนี้ก็น่าจะปล่อยให้แสดงอย่างเต็มที่ เปรียบเหมือนกับว่า เราเห็นนายอภิสิทธิ์ เดินแก้ผ้า น้ำลายยืดอยู่กลางถนน คนเสื้อแดงไม่มีความจำเป็นต้องไปแก้ผ้าแข่งกัน แต่เราเห็นว่าเราควรจะนั่งอยู่ที่บ้านเพื่อดูคุณอภิสิทธิ์เดินน้ำลายยืดเปลื้องผ้าต่อไปอย่างน้อยสัก 4 วัน

“เราจะเลื่อนการชุมนุมจากวันเสาร์ที่ 30 ส.ค.ไปเป็นวันเสาร์หน้าคือวันเสาร์ที่ 5 ก.ย. เพราะ พ.ร.บ.ความมั่นคง กฎหมายเผด็จการฉบับนี้ ถูกประกาศใช้แค่วันที่ 1 ก.ย. คำถามต่อมาก็คือว่าถ้าหากคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่หายบ้า ประกาศ พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปวันที่ 5 ก.ย.อีกเราก็จะเลื่อนไปชุมนุมวันที่ 12 ก.ย. ถ้าคุณอภิสิทธิ์ ยังไม่ทุเลา อาการยังหนักอยู่และประกาศ พ.ร.บ.อีก เราก็จะเลื่อนไปวันที่ 19 ก.ย.แต่เนื่องจากว่า วันที่ 19 ก.ย. เป็นวันครบรอบ 3 ปี ของการยึดอำนาจ แล้วถ้านับจากวันนี้ไปถึงวันเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ถือว่าเป็นวันเสาร์ที่ 4 พอดี เมื่อครบ 4 เสาร์ เราจะปักหลักสู้ครับ คือ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน”

“เราประกาศจุดยืนมาตลอดว่าเราไม่เลย 4 เสา เพราะฉะนั้น พอครบ 4 เสาร์เราจะปักหลักสู้ ช่วงนี้ก็ขอเชิญคุณอภิสิทธิ์หาความสำราญกับการขึงลวดหนามล้อมทำเนียบรัฐบาลตามสบาย ไม่มีปัญหา เราได้ส่งทีมงานไปสังเกตการณ์ทำเนียบรัฐบาลเวลานี้พบว่าขณะนี้ทำเนียบรัฐบาลไม่ได้หมายถึงสถานที่ทำงานรัฐบาลแต่อย่างใด แต่สภาพปัจจุบันมีลวดหนามล้อมรอบ มีรถบดถนน มีกำลังทหารและมีอุปกรณ์กีดขวางมากมาย มันทำให้ทำเนียบรัฐบาลของประเทศไทยกลายเป็นค่ายกักกันผู้อพยพแล้วในเวลานี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
นายณัฐวุฒิเพิ่มเติมด้วยว่า หากเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 ก.ย.แล้ว นายอภิสิทธิ์ยังจะประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องรื้อลวดหนามออก รถบดก็ไม่ต้องเอาออก สัปดาห์หน้ารัฐบาลก็ทำงานในทำเนียบที่ล้อมลวดหนามอย่างนั้น ส่วน พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็ไม่ต้องยกเลิก เพราะจะมีการชุมนุมกันแน่ๆ เสาร์หน้า หรือเสาร์ที่ 12 หรือเสาร์ที่ 19 ก.ย.ก็ตาม ซึ่งยุทธวิธีการต่อสู้นี้ได้คิดกันอย่างละเอียดรอบคอบและนี่คือคำตอบสุดท้ายที่ตัดสินใจ ตนจึงอยากสื่อสารถึงนายอภิสิทธิ์ซึ่งได้เตรียมการสารพัดสารพันถึงขนาดให้นายพันใน กอรมน.จนถึงระดับพลทหารใส่เสื้อแดงเข้ามาปะปน เราไม่ได้วิตกกังวลตรงนั้นแต่ขอส่งความปรารถนาดีไปถึงนายอภิสิทธิ์ ด้วยรอยยิ้มนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากนั้น นายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วหันหน้ายิ้มให้กล้องของสื่อมวลชนสร้างความชอบใจให้แก่บรรดากองเชียร์ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงส่งเสียงปรบมือโห่ฮาพอใจ โดยนายวีระ ได้ล้อว่า เขา (นายอภิสิทธิ์) ก็คงรู้สึกว่าเราก็ใกล้ๆ (บ้า) เข้าไปแล้วเหมือนกัน

นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อไปว่าคนไทยไม่มีอะไรที่ทำให้เห็นแล้วรู้สึกสังเวชหัวใจได้มากกว่าส่งรอยยิ้มและความปรารถนาดีให้หลังจากรอยยิ้มแล้ว สิ่งที่จะฝากถึงคุณอภิสิทธิ์ก็คือว่า รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มแห่งความรัก “รักนะเด็กโง่ เพราะได้ข่าวว่าไม่กี่วันก่อนมีคนชมว่ายังหนุ่มยังแน่นอยู่นะครับ” นายณัฐวุฒิกล่าวโดยสร้างเสียงหัวเราะให้แก่คนเสื้อแดงที่มารับฟังการแถลงข่าว

ด้านน.พ.เหวง โตจิราการ กล่าวว่า ตนมีคนที่รู้จักอยู่ใน กอรมน.เขาส่งข่าวมาบอกว่ามีความตั้งใจที่จะทำให้การชุมนุมที่จะมีขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.เกิดเรื่องราวรุนแรงขึ้นเพื่อเป็นเหตุให้รัฐบาลเข้าปราบปรามได้ ตนมีเพื่อนมีคนรู้จักใน กอรมน.อันนี้จึงเป็นเหตุให้พวกเรา นปช.แดงทั้งแผ่นดินได้เลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 ก.ย.ดังนั้น หากมีเหตุอันไม่พึงปรารถนาขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.ขอให้โปรดรับทราบไว้ด้วยว่าไม่ได้เกิดจาก นปช.แดงทั้งแผ่นดิน แต่เกิดจากกองกำลังติดอาวุธเถื่อนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ นั่นเอง

“และนี่มันเชื่อมโยงกับคลิปนะครับ ท่านต้องคิดสักนิดหนึ่งนะครับ อภิสิทธิ์ พยายามจะล่อให้คนไปอภิปรายในประเด็นตัดต่อแต่ยังไม่เคยเห็นเขามาพูดถึงเรื่องเนื้อหาที่ปรากฏในคลิป ดังนั้นผมก็เลยสงสัย เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูเนี่ย ทำไมคดีอภินพ เครือสุขปิดคดีเร็วจัง แล้วคนหนุ่มๆ อย่างนั้นล้มฟาดชักโครกตายได้ง่ายขนาดนั้นเชียวรึ น่าสงสัยนะครับว่าอภินพไปล่วงรู้อะไรในห้องประชุมนั้นหรือเปล่า นอกจากนั้นยังมีรถที่บรรทุกปืนอาก้า เอ็ม16 โดยให้พวกเราจับได้ง่ายๆ ได้อย่างไร เมื่อย้อนหลังไปดูสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้น และกำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 30 ส.ค.จึงทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนี่แหละพยายามที่จะสร้างเงื่อนไขแห่งความรุนแรงขึ้นเพื่อปราบปรามเสื้อแดง ดังนั้นการที่เสื้อแดงตัดสินใจที่จะเลื่อนการชุมนุมไปวันที่ 5 จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง อยู่บนหลักการที่มีเหตุผล ได้ประโยชน์รู้ประมาณ และไม่ได้หยุดยั้งในการโรมรันฟันตูกับอมาตยาธิปไตยนะครับ เรายังยืนยันที่จะต่อสู้กับอมาตยธิปไตยต่อไปครับ” น.พ.เหวงกล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวถึงสถานที่ชุมนุมว่า หากวันที่ 5 ก.ย.ไม่มีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ก็จะมีการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าและขอส่งความปรารถนาดีให้คุณอภิสิทธิ์ด้วยรอยยิ้มอีกที จากนั้นนายณัฐวุฒิได้วางไมค์ลงแล้วยิ้มพร้อมทั้งพูดว่ารักนะเด็กโง่อีกครั้งเพื่อให้สื่อมวลชนบันทึกภาพ ก่อนจบการแถลงข่าว
ภายหลังการแถลงข่าวผู้สื่อข่าวถามถึงการชุมนุมที่ถูกเลื่อนออกไปอย่างช้าสุดเป็นวันที่ 19 ก.ย.ว่าจะมีการรับรองความปลอดภัยของผู้ร่วมชุมนุมอย่างไร นายณัฐวุฒิกล่าวว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะเราใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ รัฐบาลจะสื่อสารว่าต่อไปนี้ประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาลจะไม่มีความปลอดภัยอย่างนั้นหรือเปล่า ถ้ารัฐบาลสื่อสารออกมาแบบนั้นก็ต้องพูดกันใหม่ เพราะนี่เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนที่จะชุมนุมโดยสงบสันติปราศจากอาวุธได้อย่างปลอดภัย

"จตุพร" แฉคลิปเสียงนายกฯ มาจากห้องยุทธการ ให้เวลา "มาร์ค" 7 วันนำเทปฉบับเต็มออกมาดู
ด้านนายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมและการกระทำของนายอภิสิทธิ์ตามสำนวนไทยเรียกว่าเป็นพวกปากว่าตาขยิบ ถ้าให้สอดคล้องกับปัจจุบันคือปากประชาธิปไตยแต่ใจเผด็จการเพราะนายอภิสิทธิ์ ใช้กฎหมายที่ตัวเองเคยต่อต้านมาเองและบอกให้ประชาชนมาชุมนุมได้ แต่ที่จริงให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณไปนั่งประชุมแล้ววางแผนการจัดการปิดถนนทุกเส้นทางที่จะไปลานพระรูปและทำเนียบรัฐบาลเราจะให้นายกฯ ไร้เกียรติได้อีก 3 ครั้ง แต่เราจะไม่เลยไปจากเสาร์ที่ 4

นายจตุพร กล่าวว่า การที่พรรคประชาธิปัตย์มาใส่ร้ายบริษัทเอสซีฯ และพรรคเพื่อไทย ว่าเป็นต้นตอการเผยแพร่คลิปเสียงนายกฯ ในการสั่งฆ่าประชาชนในการสั่งสร้างสถานการณ์ในเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ตนขอให้นายอภิสิทธิ์ เรียก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ เข้ามาให้เอาเทปบันทึกการประชุมที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ภายหลังที่กลับมาจากกระทรวงมหาดไทย ภายหลังที่ไปเปลี่ยนรถออกมา นายอภิสิทธิ์ได้กลับมาแล้วไปประชุมที่ห้องยุทธการณ์ ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีการบันทึกเสียงเอาไว้ โดยนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้อธิบายว่าเสียงนี้ตัวเองไปพูดที่ไหน แต่ให้คุณหญิงกัลยา โสภณพานิช บอกว่าพูดในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยฯ ก็เอามาแสดงว่าพูดตอนไหนอย่างไร แต่ที่ตนบอกว่า อยากให้นายอภิสิทธิ์เอาฉบับเต็มที่ประชุมในกรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ วิภาวดี ห้องยุทธการนั้น เพราะฉบับเต็มจะมีเสียงนายอภิสิทธิ์ ได้สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารเรือไปทำอะไร รวมทั้งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปทำอะไร แล้วเหตุที่เสียงทหารเหล่านี้ถูกดูดหายไปเพราะคนที่เผยแพร่เป็นทหารที่เขาไม่พอใจที่นายอภิสิทธิ์จะไปเปลี่ยนแปลงเขาในตำแหน่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือผู้บัญชาหารทหารบกหรือตำแหน่งใดก็ตาม

“คุณอภิสิทธิ์ ลองทบทวนดูสิครับว่า การพูดในวันที่ 12 เม.ย.ซึ่งเป็นวันที่คุณอภิสิทธิ์ประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นคุณอภิสิทธิ์ได้พูดอะไรกันไว้บ้าง เพราะเทปนี้มีการตัดมีการดูดเสียงอย่างแน่นอน เพราะคนที่เปิดเขาก็ไม่ต้องการให้ได้ยินเสียงของตัวเอง นอกจากนั้นถ้าเป็นคนต่างกรรมต่างวาระกัน เสียงจะไม่เนียนขนาดนี้ นายอภิสิทธิ์พยายามจะไม่ตอบคำถามผมว่า ไปพูดอะไรในห้องยุทธการ ที่กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ถ้าเอาเทปฉบับเต็มซึ่งให้นายอภิสิทธิ์ไปเอามาจาก พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ ในฐานะ รมว.กลาโหม

“คุณอภิสิทธิ์มีเวลาอีก 7 วันนะ ก่อนจะถึงวันที่ 5 ก.ย. ที่เราจะนัดชุมนุม ส่วนในโลกไซเบอร์นั้นจะมีการโหลดแถวไหน หรือจะส่งแถวไหนก็เป็นเรื่องปกติในโลกไซเบอร์แต่ต้นตอที่ผมชี้ให้คุณเห็นคือ มันออกมาจากห้องประชุมยุทธการ ทำไมคุณไม่ตอบละครับ ถ้าเป็นเรื่องจริงนะครับฉบับเต็ม คุณอภิสิทธิ์อย่าคิดเป็นนายกฯ เลยเพราะคิดเป็นคนยังไม่ได้เลย”

นายจตุพร กล่าวต่อไปว่า ขอเรียกร้องให้บริษัท เอสซีฯ ฟ้องหมิ่นประมาท รวมทั้งพรรคเพื่อไทย ซึ่งตนกำลังจะไปคุยกับหัวหน้าพรรคให้เขาฟ้องหมิ่นประมาทเสียเพราะนั่นคือการใส่ร้าย ตนขอเรียนว่าการชุมนุมที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 5 ก.ย.หรือวันที่ 12 ก.ย.หรือโดยเฉพาะวันที่ 19 ก.ย. ซึ่งจะไม่เลื่อนไปอีก ทั้งหมดจะฉายภาพให้โลกได้เห็นว่าประเทศนี้มีนายกรัฐมนตรีที่แย่ในระบอบประชาธิปไตยและแย่เรื่องสติปัญญาด้วย

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แกนนำเสื้อแดงแถลงเลื่อนการชุมนุมไปเป็น วันที่ 5 ก.ย.นี้

ที่มา MCOT News
กรุงเทพฯ 29 ส.ค. - ฝ่ายทหาร ตำรวจ วางกำลังเตรียมพร้อม หลัง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในเขตพื้นที่ดุสิต มีผลบังคับใช้เป็นวันแรก แต่แล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา แกนนำเสื้อแดงออกมาแถลงเลื่อนการชุมนุมไปเป็นวันที่ 5 กันยายนนี้ และจะเลื่อนอีก หากยังใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน จะปักหลักสู้
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง แถลงเพิ่มเติมว่า หากรัฐบาลยังคงใช้การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง เสื้อแดงก็จะเลื่อนการชุมนุมออกไปเรื่อยๆ แต่เมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน ซึ่งครบรอบ 3 ปี ที่มีรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะปักหลักสู้ เพราะตอนนี้ไม่เห็นประโยชน์ที่จะชุมนุม และขอฝากรอยยิ้มให้นายกรัฐมนตรี

ด้าน พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ให้สัมภาษณ์ “สำนักข่าวไทย” เกี่ยวกับการปฏิบัติของกองทัพ หลังจากที่กลุ่มเสื้อแดงประกาศเลื่อนการชุมนุม ว่า ทหารจะยังคงปฏิบัติภารกิจตามข้อกำหนดพระราชบัญญัติความมั่นคง โดยจะดูแลความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ส่วนราชการสำคัญ ด้วยการตั้งจุดตรวจอาวุธ และวางกำลังดูแลทำเนียบรัฐบาลต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล

อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่ง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตดุสิต มีผลบังคับใช้ เจ้าหน้าที่ได้วางกำลังและเตรียมพร้อมรักษาความเรียบร้อยสถานที่ราชการสำคัญในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ทำเนียบรัฐบาลมีการนำรถบดถนนของ กทม.มาจอดขวางประตูทางเข้าออกนำรั้วลวดหนามมาขึงตลอดแนวกำแพง รวมทั้งวางแท่งคอนกรีตบนถนนบางจุดรอบทำเนียบรัฐบาล นอกจากนี้ ยังได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด และติดตั้งเครื่องขยายเสียงขนาดใหญ่รอบทำเนียบรัฐบาลด้วย

และช่วงเช้าที่ผ่านมา ทหาร ตำรวจ สนธิกำลังซักซ้อมแผนรับมือการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเน้นการรักษาฐานที่มั่นและการป้องกันตั้งรับ มีการใช้เพียงโล่ กระบอง และหมวกปราบจลาจลเท่านั้น ขณะเดียวกัน ได้มีการนำแผงเหล็กมากั้นตลอดถนนคู่ขนาน ถนนราชดำเนินนอก และราชดำเนินกลาง ซึ่งการซักซ้อมครั้งนี้ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 ได้เดินทางมาตรวจดูความพร้อมด้วย

และก่อนที่แกนนำเสื้อแดงส่วนกลางจะแถลงเลื่อนการชุมนุม มีความเคลื่อนไหวของแนวร่วมเสื้อแดงภาคใต้ที่เตรียมเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยนางนิษิฏภัทร ณ นคร แกนนำสมาพันธ์ประชาธิปไตยภาคใต้ เปิดเผยว่า ทางเครือข่ายคนเสื้อแดงในภาคใต้อย่างน้อย 10 จังหวัด จะทยอยเดินทางขึ้นกรุงเทพฯ.

-สำนักข่าวไทย

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การต่อสู้ทางชนชั้นในสังคมไทย

ความขัดแย้งครั้งใหญ่ในสังคมไทยขณะนี้ นอกจากจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปสังคมไทยตามแนวทางทุนนิยมโลกาภิวัตน์ กับกลุ่มแนวร่วมต่อต้านโลกาภิวัตน์แล้ว ยังมีมิติทางชนชั้นอันแหลมคมคือ

เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญระหว่างชนชั้นล่างในเมืองและชนบทที่สนับสนุนผู้นำรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยกับชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมือง ที่ต้องการขับไล่ผู้นำรัฐบาลและฉีกรัฐธรรมนูญ ชนชั้นล่างในเมืองและชนบทประกอบด้วย

ประชาชนระดับรากหญ้าที่ตั้งแต่เกิดจนตายมีชีวิตยากจน ลำบากยากแค้น ไม่แน่นอน ไม่มีการศึกษา ขาดเงินทุน มีแต่หนี้สินและโรคภัยไข้เจ็บ ยาเสพติดในละแวกบ้าน อิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ การข่มเหงรังแกของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากผู้ใด ไม่มีปากมีเสียง ถูกละเลยผ่านพ้นรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย พวกเขามีข้อได้เปรียบเพียงประการเดียวคือ

มีจำนวนคนมากนับสิบล้านคนทั่วประเทศและระบบการเมืองที่พอจะเปิดโอกาสให้พวกเขาได้มีปากมีเสียงบ้างก็คือ ระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นระบอบที่ทุกคนมี "หนึ่งเสียงเท่ากัน" ไม่ว่ายากดีมีจน การศึกษาสูงหรือต่ำ และยังเป็นระบบเดียวที่ทำให้พวกเขาพอจะส่งอิทธิพลไปยังนักการเมืองได้บ้าง พวกเขาสนับสนุนผู้นำรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง

ก็เพราะนี่เป็นรัฐบาลแรกที่หยิบยื่นผลประโยชน์รูปธรรมเฉพาะหน้าให้กับพวกเขาได้จริงผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ เช่น หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พักชำระหนี้ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค บ้านเอื้ออาทร หมู่บ้านเอสเอ็มแอล ขจัดปัญหายาเสพติด ลดอิทธิพลเถื่อนในพื้นที่ แปลงหนี้นอกระบบเป็นหนี้ในระบบ ฯลฯ ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองไม่เคยเข้าใจสิ่งเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่ต้องเผชิญกับปัญหาสารพัดที่ชนชั้นล่างต้องประสบตลอดชีวิต ชนชั้นกลางมีเงิน การศึกษา ตำแหน่งงาน บ้าน รถยนต์ มีช่องทางเข้าถึงเงินทุนและเงินกู้ในระบบ เจ็บป่วยก็มีเงินรักษา ไม่มีปัญหายาเสพติดในละแวกบ้าน ไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่รัฐและอำนาจเถื่อนรังแก

ไม่ต้องพึ่งรัฐบาลและนักการเมืองท้องถิ่น พวกเขาจึงมองชนชั้นล่างอย่างดูถูกดูแคลน ว่า "ถูกซื้อ" โดยรัฐบาล พวกเขาต้องการโค่นล้มผู้นำรัฐบาลและเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งก็เพราะในระยะเวลา 5 ปีมานี้ พวกเขาได้สูญเสีย "สวรรค์ของอภิสิทธิ์ชน" ของตนไปเรื่อยๆ กลุ่มทุนเก่าที่ผูกขาดระบบเศรษฐกิจไทยมาหลายสิบปี กำลังสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจไปอย่างรวดเร็ว เพราะการเปิดเสรีการค้าและ

การลงทุนของรัฐบาล พวกเขาจึงต้องโค่นล้มรัฐบาลเพื่อยุตินโยบายดังกล่าว และฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปสู่ระบบทุนนิยมอุปถัมภ์ดังเดิม ผู้นำแรงงานรัฐวิสาหกิจต้องการขับไล่รัฐบาล เพราะสูญเสียประโยชน์และสถานภาพจากการแปลงสภาพรัฐวิสาหกิจให้เป็นบริษัทมหาชน องค์กรพัฒนาเอกชนที่ต่อต้านทุนนิยมต้องการโค่นล้มรัฐบาล

เพราะปฏิเสธการพัฒนาเศรษฐกิจให้ทันสมัย ปฏิเสธการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ ต้องการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยถอยหลังไปเป็นสังคมเกษตรกรรมหมู่บ้านบุพกาลตามลัทธิชุมชนอนาธิปไตยของพวกตน ข้าราชการเทคโนแครตไม่ต้องการรัฐบาลและรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะทำให้พวกเขาสูญเสียอำนาจ เกียรติภูมิและสถานภาพ

จากเดิมที่เป็นผู้บริหารประเทศตัวจริงและมีอิทธิพลเหนือรัฐมนตรี นักการเมือง แต่วันนี้ พวกเขาเป็นเพียงคนรับคำสั่งของนักการเมือง กลุ่มก๊วนการเมืองต้องการฉีกรัฐธรรมนูญ เพราะทำให้พวกตนไม่มีอำนาจต่อรอง ต้องผูกติดกับระบบพรรค

ไม่สามารถข่มขู่รัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีให้แบ่งปันผลประโยชน์แก่พวกตนได้เหมือนในอดีต นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัย ราษฎรอาวุโสแม้จะเกลียดชังความไม่โปร่งใสในทรัพย์สินของผู้นำรัฐบาล แต่ภูมิหลังคือ พวกเขาเป็นอนุรักษ์นิยม ไม่ต้องการโลกาภิวัฒน์ แล้วยังสูญเสียสถานภาพและความน่าเชื่อถือตลอด 5 ปีมานี้ เพราะรัฐบาลไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่ไม่สนใจนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัย ไม่ให้คุณค่าความสำคัญแก่ราษฎรอาวุโส

อีกทั้งยังคอยกล่าวตอบโต้รุนแรงอยู่เสมอ นักวิชาการและราษฎรอาวุโสเหล่านี้ปากพูดว่า "ต้องการประชาธิปไตย" แต่วันนี้ กำลังเรียกร้อง "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ เอาระบบจารีตนิยมเข้ามากุมอำนาจรัฐ บางคนเรียกร้องอย่างเปิดเผยให้ฝ่ายทหารก่อรัฐประหารยึดอำนาจ เอาเผด็จการทหารกลับคืนมา

ทั้งหมดนี้เพื่อโค่นล้มผู้นำรัฐาลเพียงคนเดียว ที่น่าสังเวชคือ นักวิชาการเหล่านี้บางคนปากอ้างมาตลอดชีวิตว่า เป็นทายาททางคุณธรรมของนายป๋วย อึ้งภากรณ์ แม้แต่อดีตฝ่ายซ้ายและนักต่อสู้กับเผด็จการทหารในอดีต มาวันนี้กลับขึ้นเวทีร้องเพลงเพื่อชีวิต วิงวอนร้องขอ "รัฐบาลพระราชทาน" ให้ฉีกรัฐธรรมนูญ ฟื้นระบอบจารีตนิยม

แม้เฉพาะหน้าจะเป็นประเด็นความไม่โปร่งใสของผู้นำรัฐบาล แต่พื้นฐานความขัดแย้งคือ รัฐธรรมนูญฉบับนี้และผู้นำรัฐบาลทำให้ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองสูญเสียประโยชน์และสถานภาพอภิสิทธิ์ ทำให้ชนชั้นล่างทั้งในมืองและชนบทได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกัน แม้คำขวัญเบื้องหน้าคือ "กู้ชาติ" "ปฏิรูปการเมือง" และชื่อกลุ่มลงท้ายด้วยคำว่า "เพื่อประชาธิปไตย"

แต่เนื้อแท้คือ ต้องการฉีกรัฐธรรมนูญและทำลายระบอบประชาธิปไตยที่แบ่งอำนาจให้กับชนชั้นล่างมากเกินไป และเปิดช่องให้มีการปฏิรูปทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ ฉะนั้นวาระของพวกเขาจึงเป็นปฏิกิริยาและถอยหลังเข้าคลอง สิ่งที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองต้องการไม่ใช่ประชาธิปไตย ที่"หนึ่งคนหนึ่งเสียงเท่ากัน" แต่เป็นระบอบคณาธิปไตยที่ชนชั้นนำและชนชั้นกลางในเมืองมีอำนาจอภิสิทธิ์ และมีเสียงเหนือชนชั้นล่าง เป็น

ระบอบที่คนส่วนน้อยในเมืองจำนวนหนึ่งมีเสียงเหนือกว่า สามารถ "สั่ง" และขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญด้วยคะแนนเสียงข้างมากของประชาชนชั้นล่างนับสิบล้านคนได้ ประชาธิปไตยไทย จึงไม่มีวันเป็น "ประชาธิปไตย" ไปได้ เป็นได้แค่คณาธิปไตยจารีตนิยม

ศาลพิพากษา "จารุวรรณ"ย้าย ขรก.มิชอบ...


เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ศาลปกครองกลาง มีคำพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ที่ 40/2549 ฉบับลงวันที่ 10 มี.ค.2549 ที่แต่งตั้งนายอภิชัย ล้อไพบูลย์ทรัพย์ ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นักบริหาร9) ในขณะนั้น ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 2 ระดับ 9 ในสายงานนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 9 เนื่องจากเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่นายอภิชัยได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองว่า การออกคำสั่งดังกล่าวของคุณหญิงจารุวรรณไม่ชอบด้วยกฎหมาย มาจากความไม่พอใจเป็นการส่วนตัว ที่ตนเองไม่ยอมมีมติไม่ลงโทษทางวินัยข้าราชการผู้หนึ่ง ตามที่คุณหญิงจารุวรรณต้องการ ทำให้มีผลกระทบต่อสถานะและสิทธิอื่นๆ ที่ตนควรจะได้รับโดยชอบ รวมทั้งทำให้ตนได้รับเงินประจำตำแหน่งลดลง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ตามโครงสร้างใหม่ มาตรฐานกำหนดตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นิติกร9) ไม่ได้กำหนดให้ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งต้องผ่านการอบรมนักบริหารระดับสูงมาแล้ว หรือต้องผ่านการอบรมหลักสูตรดังกล่าวภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งแต่อย่างใด อีกทั้งเมื่อตรวจสอบประวัติของนายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้ ก็ไม่พบว่า ผ่านหลักสูตรการอบรมนักบริหารระดับสูงมาก่อน เช่นเดียวกับนายอภิชัย รวมทั้งยังไม่เคยบริหารงานในตำแหน่งผู้บริหารสำนักงานมาก่อนด้วย ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ระบุว่า เมื่อพิจารณาจากประวัติราชการ ความรู้ความสามารถในการทำงาน เห็นว่า นายชูวิทย์ นุชถาวร ผู้ร้องสอดในคดีนี้มีความเหมาะสมมากกว่าจึงฟังไม่ขึ้น

ประกอบกับยังปรากฎข้อเท็จจริงว่า ทั้งนายอภิชัยและนายชูวิทย์ได้รับแต่งตั้งในระดับ 9 พร้อมกัน ในโครงสร้างเดิมนายอภิชัยได้รับการพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นกรณีพิเศษ1ขั้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค.2548 แสดงให้เห็นว่า นายอภิชัยมีผลการประเมินเพื่อเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปี ในตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย (นักบริหาร9) ในระดับดีเด่น ข้ออ้างของคุณหญิงจารุวรรณที่ว่า นายชูวิทย์มีความรู้ความสามารถและอาวุโสที่เหมาะสม ที่จะดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมาย(นิติกร9) จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำได้

คุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งให้นายอภิชัยไปดำรงผู้ตรวจเงินแผ่นดิน 2 ระดับ 9 ในสายงานนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 9 โดยไม่ยอมทำตามมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตาม โครงสร้างการแบ่งส่วนราชการภายในใหม่ จึงเป็นการใช้ดุลยพินิจโดยมิชอบ ทำให้พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค.2549 ในส่วนที่แต่งตั้งนายอภิชัยไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจเงินแผ่นดิน2 และคุณหญิงจารุวรรณมีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอภิชัยดำรงตำแหน่งอื่นที่เหมาะสม กับความรู้ความสามารถ ทั้งนี้ให้นำหลักเกณฑ์และวิธีการจัดคนลงตามโครงสร้างใหม่ ตามมติคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินในการประชุมครั้งที่4 /2549 ลงวันที่ 18ม.ค.2549 และมติของคณะกรรมการพิจารณาบุคคลให้ดำรงตำแหน่งต่างๆตามโครงสร้างการแบ่ง ส่วนราชการภายในใหม่มาประกอบพิจารณาการแต่งตั้งด้วย โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่คดีถึงที่สุด

สำหรับการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนหน้านี้ ศาลปกครองเคยมีคำพิพากษาในคดีนางสาวสุมิตรา เนตรสว่าง อดีตเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายใน 8 กลุ่มงานตรวจสอบภายในสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ยื่นฟ้องสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน และคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง. ในข้อหาหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ ของรัฐออกคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่ง สตง.ที่ 40/2549 ลงวันที่ 10 มี.ค. 2549 เฉพาะส่วนที่แต่งตั้ง นางสาวสุมิตรา ให้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการตรวจเงินแผ่นดิน 8 สังกัดกลุ่มตรวจสอบการเงินที่ 2สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาคที่ 1 (จ.พระนครศรีอยุธยา) และให้ถือปฏิบัติต่อสิทธิหรือหน้าที่ของ นางสาวสุมิตราได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่ที่ส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร-กทม.) ตั้งแต่วันที่ 10 มี.ค. 2549 จนเกษียณอายุราชการ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

อนุฯเผย คำถอดเทปเสียงคล้าย "นายกฯ"สั่งสลายเสื้อแดง


27 สค. 2552 16:39 น.
ที่อาคารรัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวรดินแดง ของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองเดือนเม.ย. โดยมี พล.ต.ท.สุเทพ สุขสงวน ส.ว.สรรหา ได้เผยแพร่คำถอดเทป ซึ่งมีการกล่าวอ้างว่าเป็นเสียงคล้ายกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งเปิดคลิปเสียงดังกล่าวด้วยโดยมีความ 3.42 นาที

ในคำถอดเทป ระบุว่า “ ผมเชื่อว่า ทุกท่านก็คงจะได้มีการติดตามการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ และทางวิทยุเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่กระทรวงมหาดไทย ซึ่งผมอยู่ในรถคันนั้นที่มีการทำร้ายนะครับ และท่านที่ดูข่าวก็จะทราบว่า ทางผู้ชุมนุมประกาศถึงขั้นว่าจะจับตัว จะไล่ล่าอะไรก็แล้วแต่นะครับ เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเนี่ย ผมจะได้ชำระสะสางในเรื่องของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ผู้ชุมนุมต้องได้รับบทเรียน

ซึ่งผมจะขอทางเจ้าหน้าที่ทีเกี่ยวข้อง ปฏิบัติการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ กับผู้ชุมนุมนะครับ โดยเริ่มจากประมาณดึกของวันนี้ไปจนถึงวันพรุ่งนี้ และให้มีการใช้อาวุธในการคลี่คลายสภาพปัญหาต่างๆ ที่เป็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ผมก็อยากเรียกร้องให้ท่านเข้ามาช่วยกันคิด และวางแผนเพื่อที่จะสร้างสถานการณ์ต่างๆ
ผมต้องการให้สถานการณ์เกิดความไม่สงบ ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ผมประสงค์ที่จะให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเพื่อสร้างเงื่อนไข

เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินการ ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุนในการประกาศใช้ พรก.ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพราะฉะนั้นผมเรียนทุกท่านนะครับว่าทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ผู้ชุมนุมพยายามที่จะสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง
เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อนจากปัญหาการชุมนุมเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไป และส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นภาพลักษณ์ของประเทศ

อย่างแรกก็คือ ต้องการให้เกิดสภาพของการโกลาหลทั่วไป อ้างว่าแกนนำผู้ชุมนุมก็ได้มีการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงความปั่นป่วนขึ้นในบ้านเมืองเพื่อให้เป็นเครื่องมือที่เจ้าหน้าที่สามารถใช้ประกาศพระราชกำหนดในการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ก็ยิ่งดีนะครับ

อันที่ 2 นี่นะครับผมอยากให้เกิดเหตุการณ์บานปลายเหมือนกับที่พัทยาเนี่ย ที่มีเหตุการณ์ที่พี่น้องประชาชนไปปะทะกับผู้ชุมนุม ผมก็อยากให้ท่านสร้างสถานการณ์ต่างๆ ทำให้มีภาพผู้ชุมนุมเนี่ยวเอาปืนไปยิ่งใส่กลุ่มคนที่มาต่อต้านผู้ชุมนุม ซึ่งพอเหตุการณ์ที่มันรุนแรงเราประกาศให้ พรก.มันก็จะได้รับการยอมรับบทบาทและความร่วมมือจากพี่น้องประชาชน หลังจากที่สลายการชุมนุมไปแล้ว ปรากฎว่ามีผู้เสียชีวิตตการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุม

ถ้าหากว่าผู้ชุมนุมเนี่ยมีการเสียชีวิตหลังจากที่มีการปฏิบัติการต่างๆ ในเรื่องการทหารพวกเราต้องการพยายามที่จะปกปิดการให้ข่าวทีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ ผมขอกำชับว่าการปฏิบัติการใดๆนั้น ต้องระมัดระวังให้มากที่สุดพยายามให้ข่าวไปในทางที่ดี ถ้ามีสถานนี้ไหน ได้มีส่วนทีเสนอข่าวการใช้ความรุนแรงจากภาครัฐ ขอให้เจ้าหน้าที่ไปปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์วิทยุกระจายเสียงทันที ระงับการดำเนินการของสถานีเหล่านั้นไว้ก่อน

และให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศเข้าใจว่ารัฐบาลเราแสดงออกถึงความจงรักภักดีและเทิดทูนสถาบันนี้นะครับ ผมก็อยากให้มีข่าวว่าทางผู้ชุมนุมพยายามไม่อยากให้มีการสถาบันพระมหากษัตริย์นะครับ โดยผมต้องการให้อ้างว่าคนที่เค้ามาชุมนุมในทำเนียบที่อยู่กันหลายพันคนเนี่ยนะครับ ไปดึงสถาบันหลักของชาติเข้ามามีส่วนร่วมและโดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีอดีตนายกฯ ขอให้ท่านได้กล่าวอ้างว่ามีพฤติกรรมจาบจ้วงหรือกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์ ”

แดงแท้"VS"แดงเทียม ในสถาบันเสื้อแดง

Posted by ปลากัด ,
ผู้อ่าน : 51 , 11:33:12 น.
หมวด : การเมือง
น่าสนใจเป็นที่สุดสำหรับ "ปรากฏการณ์" แบบ "วงแตก" ภายในบรรดาแกนนำของ "คนเสื้อแดง" ที่ปรากฏออกมาหลังจากแกนนำที่ได้ชื่อว่าเป็น "สามเกลอ" พยายามที่จะเปิด "แคมเปญ" สำหรับการชุมนุมออกมาอย่างต่อเนื่อง

ความน่าสนใจของ "ปรากฏการณ์" ดังกล่าวปรากฏออกมานับแต่ที่มี บทความ “ทักษิณกลับบ้าน ?” ลงในหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ “แนวร่วม Red” ฉบับนที่ 25 สิงหาคม 2552 ของนายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ "คนเสื้อแดง" เผยแพร่โจมตีโดยนัยยะต่อ "สามเกลอ" ที่ว่า...

"ช่วงนี้พูดกันบ่อยว่า “คุณทักษิณจะกลับบ้าน” ยังมีการบอกพี่น้องที่ลงชื่อในฎีกาให้รีบลงเพื่อให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับบ้าน รวมทั้งยังบอกเป็นนัยๆ ว่า พ.ต.ท.คุณทักษิณจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเสียด้วยซ้ำ แค่ชาวเสื้อแดงมากันให้มากเข้าไว้...จนเชื่อกันว่า การเอาชนะพวกปล้นประชาธิปไตย จะง่าย สั้น จบ อย่างสวยงามอย่างที่พูดกัน...คนที่พร่ำพูดเช่นนั้นเอาเหตุผลอะไรมาอธิบายว่าความหวังของเราจะเป็นจริง...ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่า ระบอบอำมาตยาธิปไตยหมายถึงใครและอะไรบ้าง"...

น่าสนใจที่หลังจากปรากฏ "บทความ" ของนายจักรภพ ออกมา ก็มี "แรงโต้" จากนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ "คนเสื้อแดง" หนึ่งใน "สามเกลอ" ออกมาแว้งกลับจนฉายภาพข้อครหา "ความขัดแย้ง" ที่มีขึ้นในช่วง "สงกรานต์เลือด"

เหล่านี้คือ "ความขัดแย้ง" ที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจะมีแต่กัดกิน "คนเสื้อแดง" ที่ว่าด้วย "มวลชน" ไม่ว่าจะเป็นฟากฝั่งใดฟากฝั่งหนึ่งอย่างแน่นอน

เพราะความน่าสนใจที่มีออกมาภายหลัง โดยเฉพาะการ "แยก" ออกไปเพื่อที่จะตั้ง "แดงสยาม" ของนายสุรชัย แซ่ด่าน ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้ามแต่ประการใด

เพราะแม้จริงอยู่ที่แกนนำของ "คนเสื้อแดง" ระดับนายสุรชัย จะมิได้มี "มวลชน" อยู่ในมือเป็นพันเป็นหมื่น แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าโดยแท้จริงแล้วใน "มวลชน" ของ "คนเสื้อแดง" ที่อาจถือได้ว่าเป็น "มวลชน" ที่เหนียวแน่นอย่างแท้จริง แต่โดยสภาพแล้วเป็น "มวลชน" ที่ยึดมั่นต่อ "อุดมการณ์" มากกว่าการยึดติดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีจำนวนอยู่มิใช่น้อย

ดังนั้นนับจากนี้จึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับ "แกนนำ" หลายๆ คนว่าจะยืนอยู่ฟากฝั่งไหนในนิยาม "ประชาธิปไตย" ของ "คนเสื้อแดง" โดยเฉพาะหลังการ "ถวายฎีกาฯ" ที่ถือเป็น "ฟางเส้นสุดท้าย" ที่ทำให้ "แกนนำ" บางส่วนรับไม่ได้กับ "ยุทธวิธี" อันขัดต่อ "ยุทธศาสตร์" ที่ "สามเกลอ" เลือกใช้เพื่อ "นำ" "คนเสื้อแดง" โดยอย่างยิ่งคือ ความขัดกันระหว่าง "ยุทธวิธี" ที่ถูกนำมาใช้กับเป้าหมายที่มุ่งไปสู่อย่าง "อำมาตย์" (โปรดดู "ถวายฎีกาฯ" กับราคาที่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องจ่าย !!! ; http://www.oknation.net/blog/plagud/2009/08/07/entry-1)

เพราะต้องไม่ลืมว่าภายในแกนนำของ "คนเสื้อแดง" ที่เป็น "ปีกซ้าย" นั้น มิได้ถือมั่นอยู่เพียงแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด เพราะเอาเข้าจริงแล้ว "แกนนำ" กลุ่มนี้กลับมอง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มี "มวลชน" เป็นเพียง "เบี้ย" ตัวหนึ่งที่สำคัญที่จะใช้ "ปิดเกม" เท่านั้นเอง (โปรดดู "สถาบันเสื้อแดง" ภายใต้การนำของ "จักรภพ" !!! ; http://www.oknation.net/blog/plagud/2009/01/20/entry-1)

ฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากปรากฏการณ์ "วงแตก" ที่มิใช่เพียง "แตกคอ" ของแกนนำ "คนเสื้อแดง" ในครั้งนี้ก็คือ ก้าวย่างที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเลือกเดินจะยิ่งลำบากยากเข็ญมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าด้วยการจัดการ "มวลชน" เพื่อใช้เป็นแรงบีบเค้นทางการเมือง

และด้วยความเป็นจริงที่ว่า ในบรรดา "มวลชน" ของ "คนเสื้อแดง" ที่ดำรงอยู่อย่างเหนียวแน่นแต่มิได้ต้องการเป็น "เครื่องมือ" ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่าน "สามเกลอ" เลือกใช้อีกต่อไปกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอยู่เรื่อยๆ
ดังนั้นอีกไม่นานคงจะได้เห็นกันว่าทั้ง "แกนนำ" และ "คนเสื้อแดง" เอง ...ใคร? จะเป็น "แดงแท้" และ "แดงเทียม" ใน "สถาบันเสื้อแดง" ของนายจักรภรพ ที่มีจุดกึ่งกล่างเป็นคำว่า "ประชาธิปไตย" และการดำรงไว้ซึ่ง "เสรีภาพ" !!!

แกะรอย"แดงดอกเห็ด"สำรวจการก่อตัวของเครือข่ายเสื้อแดงไซส์เล็ก

ที่มา ประชาไท
มุทิตา เชื้อชั่ง

การชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ‘คนไม่เปรม’ ที่แต่งดำ เมื่อ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา ในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ 89 ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และครบรอบ 1 ปี กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีและทำเนียบรัฐบาล หากสังเกตให้ดีจะพบว่างานนี้แรง...ในแนวทางขับไล่อำมาตย์อยู่เช่นเดิม แม้ว่าแกนนำ นปช. อย่างวีระ จตุพร ณัฐวุฒิ จะหันไปในประเด็นขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์แล้ว
หากสังเกตให้ดีจะพบว่างานนี้เล็ก...ไม่เหมือนที่ผ่านๆ มา เวทีปราศรัยไม่ใหญ่โตนัก เครื่องเสียงก็จำกัดไม่ก้องกังวานเหมือนครั้งก่อนๆ

เบื้องหลังเวทีนั้นอาจยิ่งทำให้นักข่าวงุนงงเพราะเต็มไปด้วยคนไม่คุ้นหน้าคุ้นตา จะพอคุ้นบ้างก็เพียง สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์, จรัล ดิษฐาอภิชัย,สมยศ พฤกษาเกษมสุข ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเวทีจัดขึ้นโดยการผนึกกำลังของกลุ่มคนเสื้อแดงกลุ่มเล็กๆ ที่เพิ่งเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ประกอบด้วยกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย แดงนนทบุรี แดงตากสิน แดงนครปฐม สมัชชาสังคมก้าวหน้า เครือข่ายศิลปิน ฯลฯ
“ถ้าเราไม่จัดอะไรเลย คนก็จะลืมไปหมดว่าวันนี้มีนัยสำคัญยังไง” วันเพ็ญ หญิงวัยกลางคน/คนชนชั้นกลาง/คุณแม่ลูกสาม/แกนหลักกลุ่มแดงตากสินบอก

กลุ่มของเธอเพิ่งก่อตัวไม่นาน จากการที่มาชุมนุมกันเมื่อเดือนเมษายนแล้วเจอคนละแวกเดียวกันหลายคนทำให้เริ่มเกาะกลุ่มกันได้ และจัดกิจกรรมใหญ่เปิดตัวกลุ่มครั้งแรกเมื่อ 25 ก.ค. ที่อนุเสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสิน วงเวียนใหญ่

“นปช.ใหญ่เขาจะจัดอะไรก็ไปร่วม แต่เราก็มีกิจกรรรมแบบของเราด้วย เรามันแดงชาวบ้าน บางทีเราก็เคลื่อนในประเด็นที่เขาอาจไม่สะดวกจะเคลื่อน อย่างหลังถวายฎีกาเขาก็ไม่เคลื่อนเรื่องอำมาตย์กันอีก”
“การต่อสู้กับระบอบอำมาตย์ที่แข็งแกร่งมากมันไม่ได้ทำได้ในวันสองวัน แล้วประชาชนเสื้อแดงก็หลากหลายมาก เราต้องพยายามรวมกลุ่ม แล้วหาแนวร่วม ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเกาะกันเองแต่กลุ่มเสื้อแดงอย่างเดียว คนที่อินในประเด็นเศรษฐกิจก็เคลื่อนไหวได้ แล้วเราก็พยายามชวนเขาถามต่อว่าปัญหาเศรษฐกิจนี้ปัจจัยหลักมันมาจากอะไร มาจากรัฐประหาร คมช. และรัฐบาลที่อุ้มสมกันมาใช่ไหม เราเดินตามประเด็นและแนวทางต่างๆ แต่หลายกระแสเดินมารวมที่ถนนเส้นเดียวกันได้”

“ที่สำคัญคือการยกระดับความคิดมวลชน”
สุ้มเสียง แนวคิดเกี่ยวกับมวลชนแบบนี้ออกจะคุ้นหู เมื่อซักไซ้ไล่เรียงจึงรู้ว่า เธออยู่ในขบวนการนักศึกษาสมัย 6 ตุลา 19 และเกือบได้เข้าป่ากับเขาด้วยเหมือนกัน
“ตอนนั้นอยู่ มศ.5 พี่กำลังจะไปอยู่แล้ว แต่อารมณ์คิดถึงบ้านเลยกลับบ้านก่อน แล้วโดนพ่อล็อกไว้เลย ออกไม่ได้”

ไม่เพียงเท่านั้น การก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงการเคลื่อนไหวของเธอก็ไม่เป็นไปอย่างคาด
“ตั้งแต่รัฐประหารเราก็ไม่เอาอยู่แล้ว มันอยู่ในสายเลือด แต่เราก็ไม่ได้มาร่วมอะไรกับเสื้อแดงเค้า มาวนๆ ดูที่สนามหลวงบ้าง เพราะเราได้ยินเรื่องทักษิณมาเยอะเลยมาดูข้อมูลอื่นๆ จากนั้นเราก็เห็นสองมาตรฐานที่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมันไม่ไหว”

“เราคุยกับผู้คน สงสัยเหมือนกันไอ้ที่เขาว่าจ้างมา มาดูเอง เห็นเอง ชาวบ้านเค้าก้าวหน้า ทุ่มเท ต้องยอมรับเค้าจริงๆ” วันเพ็ญเล่าถึงปฏิบัติการทางเมืองตั้งแต่ครั้งยังเป็นเพียงผู้สังเกตุการณ์ กระทั่งถึงจุดหักเหบางหตุการณ์ที่ทำให้เธอแน่ใจ เหมือนที่คนจำนวนไม่น้อยประสบอาการที่พวกเขานิยามว่า “ตาสว่าง”
เธอทำหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มย่อยของย่อยอีกหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มบางพลัด พุทธมณฑล บางบอน เพื่อมาแลกเปลี่ยนและระดมความคิด ระดมเงินทุนในการจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อกระตุ้นผู้คน โดยเฉพาะคนประเภทที่เธอเรียกว่า “คนหน้าจอ” ซึ่งแสดงความเห็นสนับสนุนแนวทางของคนเสื้อแดงอยู่ในโลกไซเบอร์
“เราออกมาเดินถนนแล้ว เราก็ต้องกระตุ้นให้เขาพร้อมออกมาเดินบนถนนเดียวกัน” วันเพ็ญว่า

“อย่างงานวันนี้ก็ประชุมกันสามรอบ รอบแรกคุยคอนเซ็ปท์ รอบสองแจกงาน รอบสามก็เช็คลิสต์ ลูกๆ มันก็บ่นจะตาย กลับบ้านไม่เจอแม่ เดี๋ยวประชุมอีกแล้ว กิจกรรมก็เยอะนะ แต่ก่อนออกมาเราก็ทำกับข้าวไว้ให้เค้าก่อนแล้ว กลับมาดึกดื่น หกโมงตื่นไปส่งลูกอีกแล้ว”

เมื่อถามถึงเรื่องทุนรอน เธอตอบตรงไปตรงมา ชัดถ้อยชัดคำ “ลงขันกันสิ ขอนักการเมืองบ้าง ได้มาเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีทางพอ นี่ก็ออกค่ากับข้าวไปห้าหกพัน ยังไม่รู้จะได้กลับมามั่งมั้ย แต่ถือว่าเราทำด้วยใจ ไม่เป็นไร”

“คนลงแรงก็เยอะ นี่พี่คนหนึ่งก็มาช่วยหุงข้าว เขาเป็นแม่ค้าธรรมดา หนังสือไม่ได้เรียนด้วยซ้ำ ใครชอบว่าคนรากหญ้าโง่ ไม่เลย แล้วเขาก็มีลักษณะที่ไม่ปิดตัวเองด้วย มาชุมนุม เขาก็ได้ยกระดับแนวคิด ข้อมูล การชุมนุมมันทำหน้าที่นี้ เราถึงต้องพยายามจัดกิจกรรม”

“ในกลุ่มก็มีคนหลากหลายที่ช่วยกันทำงาน เราอาจถนัดคิดโครงการ เสนอไอเดีย ก็ทำไป แต่ถ้าไม่มีเขา ไม่มีมวลชนมันก็เดินไปไม่ได้ นี่พี่เค้ารับหุงข้าวให้เป็นร้อยกล่อง เตาถ่านด้วย โคตรเก่งเลย”
แปลกไปกว่าอาการอดรนทนไม่ได้จนต้องลุกมาเอ็กเซอร์ไซส์ทางการเมืองของเธอ ยังมีปรากฏการณ์ที่เธอนิยามว่า “เหมือนสายน้ำไหลกลับมาเจอกันใหม่”

ระหว่างพยายามรวบรวมเครือข่ายคนเสื้อแดงกันในระดับหมู่บ้านและประสานกับเขตอื่นๆ เธอก็เจอกับแกนนำแดงนนทบุรี - “ชิน”

“ตอนแรกคนอื่นแนะนำชื่อมา เราก็ไม่รู้จัก พอเจอหน้า เค้าเข้ามาตบหัวเลย ไม่ได้เจอกันน้านนนน รุ่นพี่เราเอง แต่เค้าเข้าป่า”

ชิน วัย 50 กว่าปีที่ยังดูหนุ่มแน่นประกอบธุรกิจด้านอินเตอร์เน็ต เขาเริ่มต้นหากลุ่มจากอินเตอร์เน็ตนั้นเอง จากคนคอเดียวกันในกระดานสนทนาต่างๆ ก็เกิดไอเดียทำร้านกาแฟเสื้อแดงเพื่อหาจุดนัดพบแลกเปลี่ยนกัน ในครั้งแรกมีคนมาร่วมวงคุย 9 คน

“จุดเริ่มต้นเราเหมือนกัน เราเห็นการเคลื่อนไหวของทักษิณมาตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง เราเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ไม่คิดเลยว่าจะเกิดวงจรของระบอบอำมาตย์ในประเทศอีก ทักษิณอาจไม่ถูกด้านวิธีการบ้าง แต่ถูกต้องในหลักการ”

จากนั้นชินก็เริ่มหาทางรวบรวมคนคอเดียวกันทั้งหลายเป็นกลุ่มก้อน แต่เขามีมุมมองในการสร้างเครือข่ายที่ต่างออกไปโดยพยายามให้เกิดกลุ่มย่อยมากที่สุด ทำงานประสานกัน แต่ไม่รวมศูนย์เป็นกลุ่มใหญ่
“คนเสื้อแดงก็เหมือนพี่น้อง ถ้าอยู่บ้านเดียวกันก็ชอบทะเลาะกัน แต่ถ้านานๆ เจอกันที โคตรจะรักกัน แดงนนทบุรีไม่ใช่องค์กร แต่ทำหน้าที่เป็นตัวประสาน กลุ่มย่อยต่างๆ กลุ่มบ้านบัวทอง พฤกษา3 ตะวันฉาย แล้วก็อีกหลายที่มาประชุมกัน เวลาจะทำงานร่วมกันก็ชวนแกนๆ มาคุยกัน ต่างคนต่างใหญ่ แบบนี้ความขัดแย้งไม่เกิด”

“เราอยากให้การทำงานลักษณะนี้ขยายไปสู่จังหวัดอื่นๆ ด้วย” ชินกล่าว
กลุ่มแดงนนทบุรีก็เพิ่งก่อตัวไม่นาน และเพิ่งเปิดเว็บไซต์ www.d-nontaburi.org อย่างไม่เป็นทางการไปเมื่อ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา และมีการติดต่อให้ทักษิณโฟนอินเข้ามาคุยกับประชาชนกลุ่มย่อยด้วย
“วันนั้นท่านทักษิณโฟนอินเข้ามาด้วย เป็นครั้งแรกที่เขาคุยกับมวลชนระดับย่อยมาก คนรู้ก็กระจายข่าวกันสู่แคมฟอกซ์กันใหญ่”

เขายังระบุถึงวิธีการสร้างเครือข่ายทางเศรษฐกิจด้วย นั่นคือ การรับสมัครสมาชิก และมีการประสานกับร้านค้าในจังหวัดนนทบุรีเพื่อสร้างส่วนลดให้กับสมาชิก

“เรากำลังทำระบบที่ให้เอาบัตรสมาชิกไปใช้เป็นส่วนลดได้ ตามร้านที่เข้าร่วม ตอนนี้ก็มีหลายร้าน ทั้งร้านวัสดุก่อสร้าง ร้านปริ๊นท์สกรีน เราทำแบบเอเอสทีวีไม่ได้ แต่เราก็พยายามช่วยเหลือกัน แล้วก็กะจะมีการแจ้งรายจ่าย รายรับของกลุ่มในเว็บด้วย”

สำหรับยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนั้น ชินกล่าวว่า กลุ่มย่อยๆ นี้ต้องเดินหน้าไปพร้อมกับ นปช. แม้จะคิดต่างบ้างในรายละเอียด แต่ก็มีแนวทางใหญ่ร่วมกัน ไม่แตกแยก

เมื่อถามถึงประวัติในช่วงเป็นนักศึกษา ชินบอกว่าเขาอยู่ชมรมเชียร์ และออกจะเป็นแนวสายลมแสงแดดด้วยซ้ำ กระทั่งเกิดการปราบปรามนักศึกษาครั้งใหญ่ เขาตัดสินใจเข้าไปใช้ชีวิตในป่าในเขตงานสุราษฎร์ฯ แม้ไม่ได้มีพื้นฐานเป็นซ้ายจ๋า เขาก็ได้เรียนรู้วิธีการมองโลก และวิธีคิดหลายๆ อย่างซึ่งยังคงนำมาใช้อยู่ในปัจจุบัน
เขาวิเคราะห์ว่าขบวนการคนเสื้อแดงขณะนี้อยู่ในระหว่างสะสมปริมาณเพื่อก้าวไปสู่คุณภาพ และการเคลื่อนไหวของเขาก็จะไม่ใจร้อนขณะเดียวกันก็ไม่เฉื่อยเนือย ต้องค่อยๆ บ่มเพาะรอจนภาววิสัยพร้อม เขาเชื่อด้วยว่าการให้การศึกษาประชาชนไปเรื่อยๆ จะทำให้หลีกเลี่ยงการต่อสู้ทางการเมืองที่สูญเสียเลือดเนื้อได้ แม้ในห้วงยามแห่งการเปลี่ยนผ่านก็ตาม

“ที่เราต้องทำคือ การวิเคราะห์สถานการณ์ให้ละเอียดในการเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรมแต่ละครั้งเท่านั้นเอง เราก็ไม่อยากสูญเสีย มันมากพอแล้ว”

ทั้งหมดนี้คือส่วนหนึ่งของคนหลังเวทีหน้าแปลกๆ (=ใหม่ๆ) ที่ไม่มีใครรู้จัก และกำลังมีปฏิบัติการทางการเมืองที่น่าจับตา.

ปิดฉากสมานฉันท์

ที่มา มติชน
บทนำมติชน
ในที่สุด ความสมานฉันท์และความปรองดองของคนในชาติก็ได้พิสูจน์ด้วยกาลเวลาว่า ในรอบ 8 เดือนที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาบริหารประเทศไม่สามารถลดความขัดแย้ง แตกแยกในหมู่คนไทยได้ สิ่งที่นายอภิสิทธิ์แถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นได้แค่เพียงถ้อยคำอันไพเราะ

แต่หาได้นำไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมไม่หากย้อนกลับไปตรวจสอบจะพบว่า ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลซึ่งนายอภิสิทธิ์ยืนขึ้นอ่าน ในเรื่องที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.1.3 ระบุว่า "เสริมสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยใช้แนวทางสันติ รับฟังความเห็นจาก

ทุกฝ่ายและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติในทุกกรณี รวมทั้งฟื้นฟูระเบียบสังคมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตลอดจนสนับสนุนองค์กรตามรัฐธรรมนูญให้มีส่วนร่วมในการสร้างความสมานฉันท์ ภายใต้กรอบของบทบาทอำนาจและหน้าที่ขององค์กร" แท้จริงแล้ว

รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรที่จะก่อให้เกิดการยอมรับจากฝ่ายที่ขัดแย้งและแตกแยกกันอยู่เลยแม้แต่น้อย แม้จะมีความพยายามอยู่บ้าง เช่น การเปิดประชุมร่วมรัฐสภาให้ ส.ส.และ ส.ว.มาอภิปรายในเหตุการณ์ "สงกรานต์เลือด" จนต่อมาได้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีตัวแทนจากทุกพรรคมาร่วมเป็นกรรม

แต่ผลการศึกษาก็เป็นได้แค่ตัวอักษรในกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะ ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะเห็นความสำคัญแล้วนำมาปฏิบัติแต่อย่างใดในทางตรงกันข้าม หลังจากเหตุกาณ์ "สงกรานต์เลือด" ผ่านพ้นไป จวบจนมาถึงวันนี้นับเวลาได้เกือบ 5 เดือน ดูเหมือนความขัดแย้ง แตกแยกกลับเพิ่มทวีไปมากกว่าเดิมหลายเท่า ความไม่คืบหน้าในการดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ฯลฯ

ที่คนเสื้อแดงมองว่าเป็น 2 มาตรฐานก็ยังเปรียบเสมือนเมฆดำที่ปกคลุมสังคมไทยจนสร้างความรู้สึกนึกคิดของคนเสื้อแดงที่ปฏิเสธรัฐบาลและโครงสร้างอำนาจอธิปไตย การล่ารายชื่อประชาชนคนเสื้อแดงได้ 3.5 ล้านคนทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ที่ตอกล่มให้รอยร้าวฉานในหมู่คนไทยบาดลึกยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

มีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า "บ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร.." ควรจะทำให้คนไทยได้สติแต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นการชุมนุมของคนเสื้อแดงในบ่ายวันที่ 30 สิงหาคม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าก่อนจะไปล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่

ได้ถูกรัฐบาลนำ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาใช้เพื่อสกัดกั้นและขัดขวางการชุมนุมดังกล่าว การใช้มาตรการทางกฎหมายซึ่งถือเป็น "ไม้แข็ง" ในการรับมือกับคนเสื้อแดง แต่ถ้าหากแกนนำคนเสื้อแดงและมวลชนไม่กลัวการถูกตั้งข้อหาหรือแม้แต่การใช้กำลังตำรวจ-ทหารที่กฎหมายให้อำนาจไว้อย่างเต็มที่

เพราะคนเสื้อแดงถือว่าการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง อีกทั้งคนเสื้อแดงมองเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขาดความชอบธรรมและไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาอาจเป็นความโกลาหล วุ่นวายของประเทศที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ ขณะเดียวกัน

การใช้อำนาจของรัฐบาลตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะถูกตั้งคำถามว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไร ชอบธรรมหรือไม่เมื่อความสมานฉันท์ ความสามัคคีปรองดองไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรอไปถึงรัฐบาลหน้าซึ่งจะต้องผ่านการเลือกตั้งไปก่อน ไม่มีใครตอบได้ว่า รัฐบาลหน้าจะประกอบไปด้วยพรรคไหน ใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างความสมานฉันท์ได้หรือไม่ แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างไม่ผิดพลาดก็คือ ความล่มจมของบ้านเมืองจะหนักหนาสาหัสกว่านี้เป็นหลายเท่า หากคนไทยยังขัดแย้ง แตกแยกกันอยู่เช่นนี้

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กษิต เมินเขมรฮุบพื้นที่ ไทยเสีย 4.6 ตร.กม-บ่อน้ำมัน


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 10 ฉบับที่ 2614
ประจำวัน อังคาร ที่ 25 สิงหาคม 2009

รัฐสภา : ภาคีพระวิหารค้านข้อตกลงไทย-กัมพูชาเข้าสภา เพราะจะทำให้การขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารสมบูรณ์ ทำให้ไทยเสียดินแดน 4.6 ตร.กม. เปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ต้องเสียบ่อน้ำมันให้เขมร ระบุผิดหวัง “กษิต” ปล่อยเกียร์ว่างทำให้เสียดินแดน แนะให้ลาออก

ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ในฐานะภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทเขาพระวิหาร ยื่นหนังสือต่อนายวรินทร์ เทียมจรัส ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา เพื่อคัดค้านการนำวาระร่างข้อตกลงชั่วคราวไทย-กัมพูชาเข้าสู่การพิจารณาขอความเห็นชอบจากรัฐสภา ตามมาตรา 190 (2) ในวันที่ 28 สิงหาคม

ม.ล.วัลย์วิภากล่าวว่า เครือข่ายขอคัดค้านกรณีที่รัฐสภาจะพิจารณาข้อตกลงของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา เนื่องจากจะเป็นการนำไปสู่การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างสมบูรณ์ของกัมพูชา ทั้งนี้ น่าสังเกตว่าร่างข้อตกลงดังกล่าวรีบเสนอเข้ามาและมีการหมกเม็ด เลี่ยงบาลีหลายจุด ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อเรียกการแก้ปัญหาจากเรื่องปราสาทพระวิหารเป็นเรื่องพื้นที่ระหว่างภูมะเขือกับช่องตาเฒ่า รวมไปถึงการบังคับให้ไทยต้องถอนทหารออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งหมายถึงว่าเป็นการยอมให้กัมพูชาได้ครอบครอง แม้แต่วันนี้คนไทยก็ไม่สามารถขึ้นไปที่ผามออีแดง ซึ่งเป็นเขตของไทยชัดเจนไม่ได้อยู่แล้ว

ขณะที่นายเทพมนตรีได้แสดงแผนที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งมีตรายูเนสโกประทับไว้ด้านล่าง โดยอธิบายว่าเป็นแผนที่ที่กัมพูชาจัดทำขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เตรียมที่จะประกาศใช้หลังจากที่ยูเนสโกรับรองการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หลังวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 โดยแผนที่ดังกล่าวจะเปลี่ยนหลักหมุดที่ 73 ซึ่งอยู่ที่บ้านหาดเล็ก จ.ตราด ทำให้ปราสาทตาเมือนธมตกเป็นของกัมพูชา ซึ่งกัมพูชาเตรียมแผนที่จะประกาศเป็นมรดกโลกต่อจากปราสาทพระวิหาร รวมทั้งยังเปลี่ยนพิกัดในทะเลอ่าวไทยทำให้ไทยต้องสูญเสียบ่อน้ำมันขนาด 5.5 ล้านล้านบาเรล ซึ่งปัจจุบันแบ่งกับกัมพูชาในอัตราส่วน 80/20 จะกลายเป็น 20/80 ทันที

นายเทพมนตรีกล่าวต่อว่า วันที่ 25 สิงหาคม ตั้งแต่ 09.00 น. ที่อาคารรัฐสภา 2 จะมีการเสวนาเรื่องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. โดยจะนำเอกสารของกระทรวงการต่างประเทศที่ทำถึงสำนักราชเลขาธิการ ลงวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ยอมรับว่าคณะกรรมการมรดกโลกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้กับกัมพูชาฝ่ายเดียว ทั้งที่วันที่ยูเนสโกลงมติคือ 7 กรกฎาคม 2551 แสดงว่ากระทรวงต่างประเทศรู้ผลการตัดสินล่วงหน้าแล้วแต่ไม่ดำเนินการอะไร ส่วนที่นายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปคัดค้านในการประชุมที่ประเทศสเปนนั้น ไม่พบหลักฐานว่ามีการคัดค้านจริง มีแต่การให้สัมภาษณ์ของนายสุวิทย์เท่านั้น แต่ข้อมูลของตนคือนายสุวิทย์กลับไปเซ็นชื่อรับรองให้กระบวนการขึ้นทะเบียนเดินหน้าต่อไปได้
"ตั้งแต่นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ไปลงนามแถลงการณ์ร่วมยอมรับให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ฝ่ายเดียว หลังจากนั้นแม้เปลี่ยนรัฐบาลแต่กระบวนการต่างๆก็ดำเนินการต่อไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เอาใจใส่กับเรื่องนี้ ส่วนนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยมีท่าทีแข็งกร้าวบนเวทีพันธมิตรก็ไม่สนใจเมื่อผมนำเอกสารไปให้อ่าน อ้างว่าเอาลืมไว้ที่บ้านไม่ยอมอ่าน ผมคิดว่าถ้านายกษิตปกป้องอธิปไตยของชาติไม่ได้ก็ควรลาออกไป" นายเทพมนตรีกล่าว

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

งัด กม.มั่นคงคุม นปช.


จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 10 ฉบับที่ 2614 ประจำวัน อังคาร ที่ 25 สิงหาคม 2009
รัฐบาลอ้างจำเป็นต้องควบคุมให้เกิดความสงบ

รัฐบาลงัดกฎหมายความมั่นคงควบคุมการชุมนุมของคนเสื้อแดง ชงคณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดรายละเอียดข้อบังคับและพื้นที่ที่จะประกาศใช้วันนี้ (25 ส.ค.) อ้างจำเป็นต้องควบคุมไม่ให้เกิดความวุ่นวายเพราะมีบางกลุ่มจ้องทำให้เกิดเงื่อนไขรุนแรง เชื่อต่างชาติเข้าใจไม่กระทบภาพพจน์ประเทศ “มาร์ค” ส่งสัญญาณตำรวจถอนประกันแกนนำเสื้อแดง “บิ๊กบัง” เชื่อไม่มีเหตุแทรกซ้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ โต้บ้านเมืองวุ่นวายทุกวันนี้ไม่ใช่เพราะ คมช. ทำงานไม่เบ็ดเสร็จ ฟุ้งแก้ปัญหาไปมากแล้ว หากไม่แก้จะยุ่งกว่านี้หลายเท่า

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาลในวันที่ 30 ส.ค. นี้ว่า ทราบมาว่ามีบางกลุ่มต้องการสร้างความวุ่นวาย ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะกระทบต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเดือดร้อนของประชาชน จึงได้มอบหมายให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไปดูวิธีการที่จะควบคุมให้เกิดความสงบ ไม่ให้มีการทำผิดกฎหมาย และต้องการให้การบริหารงานต่างๆเป็นไปตามปรกติ ต้องเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาลได้ตามปรกติ

ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีบางกลุ่มเจตนาให้ยืดเยื้อ อย่างไรก็ตาม การชุมนุมยืดเยื้อหรือไม่ไม่ใช่ปัญหา หากไม่มีการทำผิดกฎหมาย ก่อความวุ่นวาย

ส่งสัญญาณถอนประกันเสื้อแดง

“มีกระบวนการทางกฎหมายหลายช่องทางที่ดำเนินการได้ ซึ่งกำลังดูอยู่ เพราะหลายคนที่เข้าไปเกี่ยวข้องยังมีคดีจากคราวที่แล้ว และที่ให้ประกันตัวออกมามีเงื่อนไขชัดเจนว่าจะต้องไม่ก่อความวุ่นวายอีก ส่วนจะดำเนินการอย่างไรเป็นหน้าที่ของตำรวจ เพราะตำรวจมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรง” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า ไม่ได้เตรียมสถานที่สำรองสำหรับทำงานไว้ เพราะเข้าใจว่าในหมู่ผู้ชุมนุมก็ยังไม่ลงตัวเรื่องระยะเวลาและสถานที่

“ผมต้องถามว่าคนที่คิดอย่างนี้ต้องการอะไร เพราะคนที่สูญเสียที่สุดคือประชาชนทั่วไป หากประเทศเสียภาพลักษณ์ หากเราไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ ปัญหาเศรษฐกิจก็แก้ไม่ได้” นายอภิสิทธิ์กล่าว

ไม่คิดเจรจาเพราะไม่มีประโยชน์

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีแนวคิดจะเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าเขาจะคุย คุยแล้วมีความหมายอะไร เพราะขนาดสิ่งที่เขาประกาศเอง เช่น เมื่อถวายฎีกาแล้วจะยุติการชุมนุม ก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา อย่างที่ได้ย้ำมาแต่ต้นว่ามีบางคน บางกลุ่มมีเป้าหมายแอบแฝงชัดเจน เขาต้องพยายามเดินไปจุดนั้น ซึ่งเสียหายกับบ้านเมืองมาก

เตรียมใช้ พ.ร.บ.มั่นคงคุมการชุมนุม

เมื่อถามว่าวันที่ 30 ส.ค. นี้จะใช้กฎหมายความมั่นคงดูแลสถานการณ์ด้วยหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับว่าเป็นทางเลือกหนึ่ง ตอนนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา โดยจะดูจากข้อเท็จจริงและข่าวที่จะรายงานเข้ามา อย่างไรก็ตาม ต้องผ่านการพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 25 ส.ค. ก่อนที่จะประกาศใช้

ไม่ห่วงภาพลักษณ์ประเทศเสีย

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าการใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ความมั่นคงควบคุมการชุมนุมทางการเมืองจะมีปัญหาต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คิดว่าไม่ เพราะเราได้ใช้ที่ภูเก็ตในการประชุมผู้นำอาเซียนมาแล้ว เท่ากับได้ทำความเข้าใจกับต่างชาติเรื่องกฎหมายนี้ไปแล้วว่ามีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุ

เร่งชง ครม. พิจารณาให้เสร็จทันใช้

“รัฐบาลมีหน้าที่บริหารจัดการให้เกิดความเรียบร้อย มีเครื่องมืออะไรต้องนำมาใช้ การใช้ต้องอยู่ใต้กรอบกฎหมายและรัฐธรรมนูญ ถ้ายึดตามแนวทางนี้ต่างประเทศเขารับได้อยู่แล้ว” นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เรื่องการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงจะต้องดูรายละเอียดอีกครั้ง เพราะตามกฎหมายต้องเลือกสถานที่ประกาศใช้ และจะต้องมีการมอบหมายอำนาจ เรื่องการใช้อำนาจตามกฎหมายว่าจะประกาศห้ามเรื่องไหน อย่างไรบ้าง ในการประชุม ครม. วันอังคารนี้จะพยายามทำให้เสร็จทัน

อ้างต้องรักษาความสงบไว้ให้ได้

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จำเป็นที่ต้องตัดสินใจวางแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาความวุ่นวาย เช่น อาจต้องประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงหรือพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะต้องรักษาความสงบไว้ให้ได้

ตั้งสมมุติฐานเกิดความยุ่งยาก

“ดูจากท่าทีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ประกาศออกมา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าอาจนำไปสู่ความยุ่งยากในบ้านเมือง ถ้าคนเสื้อแดงออกมาชุมนุมโดยสงบไม่ทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย เป็นการแสดงออกทางระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องไม่ขัดข้อง แต่ถ้ามาแล้วปิดล้อมสถานที่ไม่ให้คนเข้าไปทำงานในทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา หรือไปล้อมสถานที่ราชการต่างๆ ถือว่าไม่ใช่การแสดงออกทางประชาธิปไตยที่ถูกต้อง”

“บิ๊กบัง” เชื่อไม่มีอำนาจแทรกซ้อน

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวว่า จากที่ฟังนายกรัฐมนตรีชี้แจงถึงการดูแลสถานการณ์การชุมนุมแล้วเห็นว่าไม่น่ากังวล และเชื่อว่าไม่น่าจะมีอำนาจนอกกฎหมายแทรกซ้อนเข้ามา จึงไม่น่าจะบานปลาย

มั่นใจดูคนออกไม่มีปฏิวัติแน่

“ผมเชื่อว่าไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนอกรัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะมีเรื่องกองทัพทำอะไรนอกรัฐธรรมนูญ ผมดูคนออก เชื่อว่าไม่มี” พล.อ.สนธิกล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่าที่บ้านเมืองมีปัญหาทุกวันนี้เพราะ คมช. ทำไม่จบใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่ใช่ ต้องสาวต่อไปให้ดีๆ ที่ผ่านมาแก้ปัญหาไปเยอะแล้ว ไม่เช่นนั้นจะแย่ยิ่งกว่านี้ และแนวทางต่างๆที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ถือว่าถูกต้อง เพียงแต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน