--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559

ฟ็อกซ์ฟ้องธนาคารกรุงเทพ2,500ล้าน กรณีไม่จ่ายแบงก์การันตี....

ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์ค กรุ๊ป เอเชีย หรือ ฟ็อกซ์ ประกาศวันนี้ว่าได้ยื่นเรื่องต่อศาล ที่ฮ่องกงและไทย ฟ้องธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กรณีไม่จ่ายแบงก์การันตีสำหรับค่าลิขสิทธ์การออกอากาศรายการของฟ็อกซ์ แทนบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือจีเอ็มเอ็ม และบริษัท ซีทีเอช จำกัด (มหาชน) หรือ ซีทีเอช สองยักษ์ใหญ่ธุรกิจดิจิทัลทีวีที่ยุติการให้บริการไปแล้ว 

ฟ็อกซ์ได้ทำสัญญาให้สิทธิ์ในการออกอากาศรายการต่างๆ แก่จีเอ็มเอ็ม และซีทีเอช ตั้งแต่ปี 2556 โดยทั้งสองบริษัทได้ค้างชำระค่าสิทธิ์การออกอากาศดังกล่าวเป็นมูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท และต้องชำระดอกเบี้ยกรณีจ่ายล่าช้า ซึ่งธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ออกแบงก์การันตีเพื่อค้ำประกันการชำระเงินให้กับจีเอ็มเอ็ม และซีทีเอช และตั้งแต่ปี 2558 ธนาคารกรุงเทพ ไม่ได้ทำตามสัญญาเพื่อจ่ายแบงก์การันตีแทน 2 บริษัทดังกล่าวเลย 

ฟ็อกซ์ มีความผูกพันอย่างยาวนานต่ออุตสาหกรรมสื่อในประเทศไทย เรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอรายการบันเทิง และรายการกีฬาระดับคุณภาพแก่ผู้ชมชาวไทย” นายซูบิน กานเดเวีย ประธานบริษัท ฟ็อกซ์ เน็ตเวิร์ค กรุ๊ป ประจำภูมิภาพเอเชีย-แปซิฟิก และตะวันออกกลาง กล่าว “เรื่องนี้ทำให้เราผิดหวังเป็นอย่างยิ่งที่ธนาคารที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศไทยผิดสัญญาในการจ่ายแบงก์การันตี ซึ่งการผิดสัญญาในครั้งนี้ไม่เพียงจะส่งผลต่อฟ็อกซ์เท่านั้น แต่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความมั่นใจของนักลงทุนต่างชาติที่มีต่อประเทศไทยอยู่ในระดับที่สูง” 

เมื่อ 3 ปีที่แล้วคณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้เปิดประมูลใบอนุญาตการดำเนินกิจการทีวีดิจิทัล และสร้างรายได้ให้แก่รัฐกว่า 50,000 ล้านบาท โดยมีธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ออกแบงก์การันตีรายใหญ่ที่สุดแก่ผู้ให้บริการทีวีดิจิทัลในประเทศไทย โดยออกแบงก์การันตีแก่ผู้ให้บริการจำนวน14 ราย จากทั้งหมด 24 ราย คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 20,000 ล้านบาท หรือราวร้อยละ 41 ของค่าลิขสิทธิ์ทั้งหมด 

อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะการประมูลต้องประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ เนื่องจากการซื้อขายเวลาโฆษณาชะลอตัว อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน อีกทั้งผู้ชมยังคงนิยมรับชมทีวีแบบอนาล็อก และเปลี่ยนมาดูทีวีแบบดิจิทัลในอัตราที่ต่ำอยู่มาก 

การยุติการให้บริการของทีวีดิจิทัลช่องต่างๆ นับเป็นการทดสอบระบบของธนาคารไทย เนื่องจากส่งผลให้บรรดาเจ้าหนี้ขอให้ธนาคารหลักหลายแห่งในประเทศไทยต้องจ่ายแบงก์การันตีแก่คู่สัญญา และผู้ผลิตหลายราย 

ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การซื้อเวลาโฆษณาในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการซื้อเวลาโฆษณาผ่านช่องทีวีดิจิทัล ถือว่าต่ำมาก โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 การซื้อเวลาโฆษณาผ่านทีวีดิจิทัล คิดเป็นมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การซื้อเวลาโฆษณาผ่านทีวีอนาล็อกลดลงร้อยละ 11 คิดเป็นมูลค่าราว 26,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการบริโภคภายในประเทศที่ลดลง 

“ความน่าเชื่อถือของธนาคาร ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้ให้บริการทางการเงิน แบงก์การันตีที่ออกโดยธนาคารถือว่าเป็นเครื่องมือทางการเงินที่เป็นพื้นฐานต่อทั้งระบบการเงินและการพาณิชย์ของประเทศ ดังนั้น การทำหน้าที่ผู้ค้ำประกันตามสัญญา ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ผู้ลงทุนเชื่อมั่นต่อธนาคารไทย การเพิกเฉยในการทำหน้าที่ดังกล่าว จึงถือเป็นความเสี่ยงต่อความน่าเชื่อถือของธนาคารกรุงเทพเอง

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
-----------------------------------------------

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

ไทยย้ำเวทีเอเปก มุ่งร่วมมือทุกเขตเศรษฐกิจ มั่งคั่งที่สมดุลยั่งยืน....

พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ช่วงที่ 1 (First Leaders’ Retreat) ภายใต้หัวข้อความท้าทายต่อการค้าเสรีและการลงทุนในบริบทโลกปัจจุบัน ณ ศูนย์การประชุม Lima Convention Center กรุงลิมา สาธารณรัฐเปรู โดยรองนายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เข้าร่วมการประชุมที่สำคัญยิ่งครั้งนี้ ซึ่งเป็นการประชุมที่ผู้นำจากเขตเศรษฐกิจที่มีพลวัตรอันโดดเด่น และมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลกได้มาร่วมหารือกัน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอขอบคุณต่อน้ำใจและความปรารถนาดีต่อปวงชนชาวไทย อนึ่งการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้นำมาซึ่งความเศร้าสลดของปวงชนชาวไทยทั้งชาติ ความเห็นใจจากทุกท่านถือเป็นกำลังใจที่สำคัญยิ่ง อย่างไรก็ตาม เห็นว่าการบูรณาการทางเศรษฐกิจนั้นคือหนทางที่นำพาเอเชีย-แปซิฟิกไปสู่ความมั่งคั่งและความมั่นคง ทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม ทั้งนี้ระบอบการค้าของโลกย่อมต้องมีการปรับให้สอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของโลก การรวมตัวกันทุกปีของ 21 เขตเศรษฐกิจเป็นเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญถึงความเชื่อมั่นต่อระบอบการค้าพหุภาคี และความมุ่งมั่นที่จะรักษาระบอบดังกล่าว

พล.อ.อ.ประจิน ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญ 2 ประการ คือ 1.การได้รับประโยชน์จากการค้าเสรีและการบูรณาการทางเศรษฐกิจไม่ทั่วถึง โอกาสและการเข้าถึงทรัพยากรจะต้องถูกกระจายอย่างทั่วถึงเพื่อสร้างความมั่งคั่งและการเติบโตอย่างครอบคลุม จะต้องปฏิรูปโครงสร้างทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจจะต้องมีการปรับปรุงเพื่อลดภาระของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยที่มีข้อจำกัดทางด้านเงินทุน ทรัพยากรบุคคล และเวลาในการดำเนินการ อีกทั้งการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับ SMEs และ ผู้ประกอบการรายใหม่ (Start-Ups) ซึ่งเอเปคจะต้องให้ความสำคัญต่อการเสริมสร้างความสามารถ เนื่องจากยังคงมีความแตกต่างด้านความรู้ ความเชี่ยวชาญและเทคโนโลยีระหว่างประเทศพัฒนาและประเทศกำลังพัฒนา

2. การบูรณาการด้านเศรษฐกิจในภูมิภาค มีการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกว่า 44 ฉบับ ซึ่งนับเป็นจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของ FTA ที่ได้จัดทำมาทั่วโลก ประเทศไทยสนับสนุนการจัดทำ ความตกลงเขตการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (FTAAP) ซึ่งเป็นวาระหลักของเอเปคช่วงหลังปี 2020 อย่างไรก็ตามเราคำนึงว่าเราได้ใช้ประโยชน์จากความตกลงก่อน ๆ ที่เคยจัดทำขึ้นมากน้อยเพียงใด และความตกลงเหล่านี้ตอบสนองความต้องการของสมาชิกอย่างแท้จริงหรือไม่

ทั้งนี้ไทยยืนยันบทบาทในการประสานความต้องการของเขตเศรษฐกิจที่มีความหลากหลายดังที่ไทยได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องในเวทีต่าง ๆ รองนายกรัฐมนตรีเห็นว่าจะต้องพิจารณาทิศทางของเอเปคเพื่อกำหนดวิสัยทัศน์หลังปี 2020 ที่สอดคล้องกับบริบทโลกที่เปลี่ยนไป รวมถึงเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งเราจะต้องร่วมกันบรรลุในปี 2030 ไทยในฐานะหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งเอเปค ขอยืนยันความมุ่งมั่นของไทยในการร่วมมือกับทุกเขตเศรษฐกิจเพื่อบรรลุความมั่งคั่งที่สมดุล ครอบคลุมและยั่งยืน

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วีซ่า เผย ความปลอดภัยคือกุญแจหลักใช้จ่ายด้วย Mobile Wallet ในไทย !!!

คนไทยถึงสามในห้า (61 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าวันหนึ่งระบบการชำระเงินผ่านมือถือ หรือ mobile payment จะมาแทนที่การใช้จ่ายผ่านบัตรและเงินสดในชีวิตประจำวัน

จากผลการสำรวจฉบับล่าสุดของวีซ่า พบว่า คนไทยให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัยมากกว่าความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชำระเงินด้วยบัตรแบบไร้สัมผัส (contactless card) หรือ โมบาย วอลเล็ต (mobile wallet) และมีแนวโน้มที่จะเลือกใช้วิธีชำระเงินผ่านระบบไร้สัมผัสมากขึ้นเมื่อพวกเขามั่นใจว่ามีมาตราการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูงมากพอ

การศึกษาเรื่องวิธีการชำระเงินแบบไร้สัมผัสและกระเป๋าสตางค์ดิจิตอล (digital wallet) ของวีซ่านั้น พบว่าคนไทยส่วนมาก (82 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าความปลอดภัยมีความสำคัญมากกว่าความสะดวกสบายเมื่อนึกถึงการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือระบบไร้สัมผัส[1] ด้วยการเติบโตอันรวดเร็วในด้านเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ ฟินเทค (FinTech) ที่ภาครัฐบาลและเอกชนกำลังใช้แนวทางต่างๆ เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเมื่อมีการทำธุรกรรมทางเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่

คนไทยใช้เวลาอยู่กับอุปกรณ์เคลื่อนที่ต่างๆอย่างสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตประมาณ 160 นาทีต่อวัน[2] ซึ่งภายในสิ้นปี พ.ศ. 2559 นี้ คาดว่าจะมีจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนประมาณ 20 ล้านคนในประเทศไทยและคาดว่าจะสูงขึ้นถึง 24.5 ล้านคนภายในปี พ.ศ. 2562[3] แม้ว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและการเป็นเจ้าของอุปกรณ์เคลื่อนที่สำหรับคนไทยอยู่ในอัตราที่สูง แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับบริการทางการเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ยังค่อยเป็นค่อยไป โดยส่วนหนึ่งเกิดจากผู้บริโภคชาวไทยยังไม่ตระหนักถึงความก้าวหน้าของความปลอดภัยในโลกออนไลน์และเทคโนโลยีเท่าที่ควร

นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ผู้จัดการวีซ่า ประจำประเทศไทย กล่าวว่า “เมื่อดูจากผลสำรวจของเราแล้ว พบว่า ยิ่งระบบการชำระเงินผ่านมือถือมีความปลอดภัยมาก คนไทยก็จะมีความเชื่อมั่นและเต็มใจที่จะชำระเงินผ่านระบบดังกล่าวมากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นด้วยระบบความปลอดภัยทางการเงินที่แน่นหนาหลายชั้นของวีซ่า เราจึงมั่นใจว่าเราจะเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มจำนวนการทำธุรกรรมผ่านมือถือในการประเทศไทยได้อย่างแน่นอน”

นอกจากนี้ รายงานการศึกษาที่จัดทำโดย ยูโกฟ (YouGov) ในนามของวีซ่า ถึง ทัศนคติของคนไทย ควบคู่ไปกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง สิงคโปร์และมาเลเซีย ต่อการทำธุรกรรมการเงินผ่านมือถือและระบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) ยังพบว่า สิ่งที่คนในกลุ่มประเทศนี้โดยเฉพาะในประเทศไทยยังกลัวมากที่สุดในการชำระเงินด้วย mobile wallet คือ กลัวว่าจะมีการแฮ็คมือถือมากถึง 73 เปอร์เซ็นต์ ถูกขโมยโทรศัพท์มือถือ 65 เปอร์เซ็นต์ และกลัวว่าจะถูกเรียกเก็บเงินจากรายการที่ไม่ต้องการจะจ่ายอีก 63 เปอร์เซ็นต์

“ในจำนวนผู้ทำแบบสอบถามทั้งหมด พบว่า มีเพียง 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เลือกพิจารณาการใช้ mobile wallet จากเครือข่ายบุคคลที่สาม ซึ่งในกลุ่มที่พิจารณาใช้นี้ พบว่ากว่า 74 เปอร์เซ็นต์ทราบว่า encrypted token หรือ ‘โทเค็น’ นวัตกรรมรหัสล็อคข้อมูลซึ่งสามารถตัดความเสี่ยงของการโดนโจรกรรมข้อมูลได้” นายสุริพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม

บริการ Visa Token Service (VTS) ถูกออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าวีซ่ามั่นใจได้ว่าการชำระเงินแบบไร้สัมผัส (contactless payment) และบนสมาร์ทโฟนนั้นทั้งปลอดภัยและง่ายต่อการใช้งาน ระบบ VTS นั้นจะใช้รหัส โทเค็น แบบใช้ครั้งเดียวในการชำระเงินแทนข้อมูลของผู้ถือบัตร ฉะนั้นผู้ใช้ mobile wallet จึงสามารถชำระเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องเผยรายละเอียดของบัญชีและเลขหน้าบัตร 16 หลัก หรือวันหมดอายุของบัตร เป็นต้น

กระบวนการแปลงข้อมูลแบบให้เป็น โทเค็น นี้เรียกว่า Tokenization ซึ่งจะทำหน้าที่ซ่อนข้อมูลที่สำคัญของผู้บริโภคในระหว่างการทำธุรกรรมการเงินแบบดิจิตอล เมื่ออาชญากรขโมยโทเค็นไปก็ไม่สามรถนำข้อมูลไปใช้ได้จากผลการสำรวจเผยให้เห็นว่าคนไทยประมาณ 55 เปอร์เซ็นต์คุ้นเคยกับรูปแบบการบริการ VTS เป็นอย่างดี ในขณะที่กลุ่มที่รับรู้สูงที่สุดในหมู่คนเหล่านี้ยังคุ้นเคยกับเทคโนโลยีในรูปแบบ mobile wallet อีกด้วย

คนไทยเกือบครึ่ง (46 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าการชำระเงินผ่านอุปกรณ์พกพานั้นปลอดภัยเทียบเท่ากับการชำระเงินผ่านบัตรโดยตรง และมีแนวโน้มว่าตัวเลขนี้จะสูงขึ้นในอนาคตเพราะคนเริ่มคุ้นเคยกับระบบการชำระเงินผ่าน มือถือที่มีความก้าวหน้าและทันสมัยของวีซ่า

นอกจากนี้คนไทยสามในห้า (61 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าในวันหนึ่งข้างหน้าพวกเขาไม่จำเป็นต้องพกเงินสดหรือบัตรพลาสติกในการใช้ชีวิตประจำวันอีกต่อไป และจะถูกแทนที่ด้วยการชำระเงินในรูปแบบ mobile wallet ผ่านสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เคลื่อนที่ของพวกเขา

“เมื่อคนไทยเริ่มคุ้นเคยกับมาตรการรักษาความปลอดภัยด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างนวัตกรรมโทเค็นของวีซ่า เมื่อนั้นพวกเขาจะเริ่มเห็นเรื่องการชำระเงินผ่านโทรศัพท์หรือการชำระเงินแบบไร้สัมผัสเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวันของพวกเขามากยิ่งขึ้น”

ที่มา:สยามธุรกิจ
*************************************************

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

พัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เก็บไข่หลายฟองในตะกร้าหลายใบ ....

โดย อรรถวันท์ เกตุดาว

รัฐบาลประเทศไทยให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ควบคู่ไปกับการสานต่อ "วิถีไทย" อันเป็นความสงบสุขร่มเย็นของปวงชนชาวไทยที่สืบทอดกันมายาวนานทุกยุคทุกสมัย และยังคงดำรงต่อไป

อย่างไรก็ดี การมีความหลากหลายในทางปฏิบัติเพื่อพัฒนาประเทศ ย่อมดีกว่า การมีหนทางเพียงหนทางเดียว เพราะไทยเราถึงแม้จะมีนโยบายดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้ทันกระแสโลก กระนั้นเราก็ยังคงมีวิถีชีวิตแบบไทย ๆ เอาไว้ เพราะนี่คือ "เสน่ห์วิถีไทย" ที่ผู้คนทั่วโลกสืบเสาะแสวงหา เป็นความสงบสุขร่มเย็นแห่งจิตใจ นอกจากนี้แล้วประเทศไทยยังเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ที่ชนทั่วโลกต่างยอมรับ ซึ่งเป็นที่น่ายินดียิ่งกับการยกย่องในระดับโลกเช่นนี้ แต่เราชาวไทยเองก็ต้องเน้นในเชิงประพฤติปฏิบัติด้วย จึงจะเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้

ธรรมะค้ำจุนโลก มีผลให้จิตใจของประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชน เห็นความสำคัญ และธรรมะยังเป็นแกนสำคัญในการหล่อหลอมจิตใจให้เด็กและเยาวชนเติบโตเป็นกำลังของชาติที่มีคุณภาพ การพัฒนากำลังคนทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมาย จะเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจและสังคม ส่งผลให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี อยู่ดีกินดี มีการศึกษา และสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศชาติได้ ความจริงข้อนี้ก็เป็นที่ยอมรับ

การที่รัฐบาลเน้นพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อความเจริญก้าวหน้าของเศรษฐกิจก็จริงอยู่ แต่ต้องพัฒนาไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาชีวิตจิตใจ และการพัฒนาเชิงเกษตรและอุตสาหกรรมด้วย เสมือนการเก็บไข่หลายฟองไว้ในตะกร้าหลายใบ จะทำให้เราเสี่ยงต่อความล้มเหลวน้อยลง

เพราะหากไข่ในตะกร้าใบไหนต้องสูญเสียหรือถูกทำลายไป ก็ยังมีไข่ในตะกร้าใบอื่น ๆ สำรอง ทำให้ส่งผลกระทบกระเทือนได้น้อยลง ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หากเราทั้งหลายร่วมแรงร่วมใจกันทำเพื่อชาติอย่างแท้จริง

ศาสนาเป็นรากเหง้าแห่งชีวิต ทำให้ชีวิตเติบโตไปในทิศทางที่ดี กำหนดให้สอดคล้องกับนโยบายของชาติได้โดยไม่ต้องมาแบ่งแยกให้เกิดความแปลกแยกทางความคิด เพราะทุกประเด็นมีผลต่อการเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติทั้งสิ้น ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

กำหนดจิตให้เป็นเอกภาพเดียวกัน คือ ความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า 5-6 ปีที่ผ่านมา กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ อำนวยความสะดวกให้เยาวชน โดยมีการสอบเป็นเชิงปฐมภูมิ (Standard Technology Testing) ฯลฯ ประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งด้านการพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็ทำได้พอสมควร มีกองทุนนวัตกรรม (Fund Innovation Policy) เกิดขึ้น ตรงไหนแจ้งเกิดแล้ว โตได้เร็ว มีความพร้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีคุณูปการมากทางด้านผลิตผลทางการเกษตรและอาหาร ทำให้ประเทศไทยมีความคล่องตัวทางด้านอาหาร มี Feasibility ครบวงจร เติบโตจากพื้นฐานที่ดี มีอินฟราสตรักเจอร์ สามารถเนรมิตโดยใช้ของที่มีอยู่ นำไปแจ้งเกิดแล้วต่อยอด ควรที่จะมีการทดลองใหม่ ๆ แล้วนำไปผ่านการทดสอบที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะมีเครือข่ายของมหาวิทยาลัยเพื่อมีส่วนร่วมกับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในการพัฒนาต่อยอดทางด้านนวัตกรรม

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีก็มีความเห็นว่า เรามี 40 ผลงานจากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) มีนวัตกรรม แต่ยังไม่ได้นำไปใช้ประโยชน์ให้เกิดอย่างเต็มที่ในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น ให้ไปทำบัญชีภาครัฐมาดูว่า ซื้อของมากี่มากน้อย และเรามีนวัตกรรมไทยอะไรบ้าง หรือนวัตกรรมอะไรบ้างที่สามารถทำงานร่วมกันกับภาคเอกชนหรือเป็นของเอกชน

ความคิดเห็นของนายกรัฐมนตรีคือทำอย่างไรจะมีนวัตกรรมไทยเอาไปรองรับการเข้าสู่อาเซียนได้ สามารถนำนวัตกรรมไทยไปขยายผลต่อให้ภาครัฐ ซึ่งจะทำให้นวัตกรรมไทยพุ่งปรี๊ดเลย รายละเอียด ขั้นตอน ระเบียบ กฎหมาย รัฐบาลได้ทำให้สอดคล้องและปลดล็อกให้รัฐและเอกชนทำงานร่วมกันได้แล้ว แต่ละชิ้นงานทั้งวงจรชีวิต ตลอดจนถึงการนำไปใช้

ดังนั้น ณ วันนี้เราบ่นว่าเด็กของเราเรียนโดยท่องจำ แต่หากเราเปิดโรงงานให้เด็กของเราเข้าไปทำงานได้ตั้งแต่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ทำงานทั้งปีในโรงงานเป็นหลัก Mentor นักศึกษาจะรู้สึกว่าเขามีความหมาย

สุดท้ายแล้วเราจะสามารถพัฒนากำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ได้ง่ายขึ้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
--------------------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559

สัญญานดี เวิลด์แบงค์ ขยับจีดีพีไทย 2.5%






คนไทยชักมีความหวัง หลังจากรัฐบาลส่งซิกเศรษฐกิจกำลังจะโตมานาน แต่ก็ยังไม่สนิทใจนัก หนนี้แบงก์โลกเคาะเปรี้ยงกับมือ จีดีพีไทยปีนี้มีแววสดใสให้เห็น
 ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ บอกมาว่า ธนาคารโลกได้วิเคราะห์แล้ว เห็นควรปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2559 นี้เพิ่มเป็น 2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโตแค่ 2%

ที่ว่าแบบนี้ก็เพราถะว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของไทยใสปิ๊งๆจริงๆ ดีเกินคาดถึง 3.2% และทั้ง 3 ปัจจัยนี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน แบงก์โลกก็มีคาดกการณ์ประเทศอื่นๆในอาเซียนไปด้วย โดยประเทศที่เติบโตมากสุดคือ พม่า 7.8% รองลงมาคือ เวียดนาม 6.2% อินโดนีเซีย 5.1% มาเลเซีย 4.4%

ดูๆจากตัวเลขนี้ นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทยบอกว่าที่ไทยได้ปรับขึ้นจาก 2% เป็น 2.5% ขึ้นมา 0.5% นี้ ถือว่าอัตราการขยายมากสุด แต่ตัวเลขการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน ซึ่งสะท้อนได้ว่า เศรษฐกิจไทยเป็นแบบค่อยๆฟื้นอย่างช้าๆ ก็เป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยนั่นเอง

โตช้าแบบสโลว์บัทชัวร์หรือไม่..ให้ระวังความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจจะทำให้นโยบายการคลังในครึ่งปีหลัง อาจจะมีประสิทธิภาพลดน้อยถอยลงได้ แล้วก็มีเรื่องเศรษฐกิจจีนที่ยักแย่ยักยันอยู่ เพราะเราผูกกับจีนไว้เยอะ สัดส่วนการค้าขายกับจีนถึง 12% ไปจนถึงเรื่องสินค้าเกษตรที่โตติดลบมานาน สุดท้ายคือภัยธรรมชาติ

ทั้งหมดคือปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง แต่ยังมีเรื่องน่าห่วงอีกหนึ่ง คือสังคมสูงวัย “แก่ก่อนรวย” ที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ พบว่าขณะนี้ประชากรวัยทำงานไทยในปี 2583 หรือ 24 ปีข้างหน้า จะลดลงอีก 11% คือจาก 49 ล้านคน เหลือ 40.5 ล้านคน อันนี้ต้องระวัง ต้องเร่งรับมือและปฏิรูปหลายด้าน ทั้งเรื่องบำนาญ การดูแลสุขภาพ การดูแลในระยะยาว จะทำยังไง เพราะประเทศอื่นๆเจอกันมาเยอะแล้วทั้งสิงคโปร์ ญี่ปุ่น

ที่มา.สยามธุรกิจ
-------------------------------------------------------

วันพุธที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เตือนประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง...!!?


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กระทรวงสาธารณสุข
โดย. ฐานเศรษฐกิจ

กรมควบคุมโรค เตือนประชาชนดูแลสุขภาพช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง เน้น 6 โรคสำคัญช่วงฤดูหนาว ชี้หนาวที่แล้วมีผู้ป่วยรวมกว่า 5.2 แสนราย

นายแพทย์เจษฎา  โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงอากาศเปลี่ยนแปลง ในหลายพื้นที่สภาพอากาศเริ่มเย็นลงและบางพื้นที่ยังมีฝนตกอยู่ ซึ่งอากาศที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงความชื้นและความหนาวเย็นจะทำให้เชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดี มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานขึ้น กรมควบคุมโรคจึงขอประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ประชาชนในการดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคที่พบบ่อยในฤดูหนาว ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดบวม โรคหัด โรคสุกใส โรคมือ เท้า ปาก และโรคอุจจาระร่วง เฉพาะช่วงฤดูหนาวที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2558 – กุมภาพันธ์ 2559 มีรายงานผู้ป่วย 6 โรคฤดูหนาวรวม 526,291 ราย เสียชีวิต 141 ราย โดยโรคที่มีความรุนแรงมากที่สุดคือ โรคปอดบวม พบผู้ป่วย 78,628 ราย เสียชีวิต 133 ราย ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่พบผู้ป่วย 43,622 ราย เสียชีวิต 1 ราย โรคอุจจาระร่วงพบผู้ป่วย 374,403 ราย เสียชีวิต 7 ราย โรคสุกใสป่วย 38,343 ราย โรคมือ เท้า ปาก ป่วย 14,166 ราย และโรคหัดพบผู้ป่วย 313 ราย

กลุ่มเสี่ยงที่อาจป่วยได้ง่ายในช่วงนี้คือ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เป็นต้น เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จึงติดเชื้อง่ายและอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่มีความเสี่ยงป่วยง่ายไม่คลุกคลีใกล้ชิดและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด ไอ จาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ขอให้เพิ่มการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ

สำหรับโรคไข้หวัดใหญ่ จะติดต่อได้ง่ายโดยการหายใจเอาเชื้อที่ฟุ้งกระจายในอากาศ และแพร่กระจายได้กว้างขวางในที่ๆคนอยู่แออัด  หากป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องพักผ่อนให้มากๆ หยุดเรียน หยุดทำงาน สวมหน้ากากอนามัย หากไข้ไม่ลดลงภายใน 2 วัน เสี่ยงมีอาการแทรกซ้อนให้รีบไปพบแพทย์ ในกลุ่มเด็กเล็กหากมีอาการไข้สูง หายใจหอบ เด็กเล็กจะซึม ไม่ดูดน้ำ ไม่ดูดนม  หายใจเสียงดัง บางรายหายใจหอบจนชายโครงบุ๋ม

โรคหัด เป็นไข้ออกผื่น ที่มักพบได้บ่อยในช่วงฤดูหนาว พบได้ทุกวัย แต่ที่พบบ่อยคือในเด็กเล็ก และสามารถติดต่อกันได้ง่าย โดยการไอ จาม หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด อาการของโรคหัด เริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ และกลัวแสง อาการต่างๆจะมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้น การป้องกันโรคหัด ทำได้โดยการแยกผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโรคหัด หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย และฉีดวัคซีนป้องกัน

นอกจากนี้ ในช่วงฤดูหนาวมักพบเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ป่วยด้วยโรคอุจจาระร่วง ซึ่งโรคนี้ติดต่อโดยการดื่มน้ำและกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน อาการจะเริ่มด้วยไข้หวัดก่อนแล้วมีอาการถ่ายเหลว โดยทั่วไปอาการจะไม่รุนแรงแต่อาจทำให้การเจริญเติบโตของเด็กหยุดชะงักไประยะหนึ่ง ด้านโรคมือ เท้า ปาก ส่วนใหญ่พบผู้ป่วยในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล สถานรับเลี้ยงเด็ก การติดต่อเกิดจากการได้รับเชื้อที่ปนเปื้อนในจากอุจจาระ หรือฝอยละออง น้ำมูกน้ำลาย น้ำในตุ่มพองหรือแผลของผู้ป่วยเข้าสู่ปาก

การป้องกันการเจ็บป่วยจากโรคต่างๆในฤดูหนาว สามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หมั่นออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง ดื่มน้ำสะอาด กินอาหารปรุงสุกใหม่ไม่มีแมลงวันตอม ใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อกินอาหารร่วมกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อยๆด้วยน้ำและสบู่หรือใช้แอลกอฮอล์เจลทำความสะอาดมือเพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงกินอาหารที่มีประโยชน์และเพิ่มผัก ผลไม้สดจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานโรคได้ และต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ไม่หักโหมทำงานหามรุ่งหามค่ำเนื่องจากจะทำให้เกิดความอ่อนเพลีย ควรอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก หลีกเลี่ยงสถานที่มีคนแออัด นอกจากนี้ควรสวมเสื้อผ้าหนาๆหรือสวมเสื้อหลายๆชั้น เพื่อรักษาร่างกายให้อบอุ่น ที่สำคัญหากป่วยแล้วอาการไม่ดีขึ้นให้รีบพบแพทย์ หากประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422

ที่มา.นสพ. ฐานเศรษฐกิจ
*******************************************************

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

มหาเศรษฐีจีน เตือน..ฟองสบู่ครั้งประวัติศาสตร์...!!?


จากที่เศรษฐกิจจีนอยู่ในภาวะชะลอตัว พร้อม ๆ กับแผนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เติบโตด้วยความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งล่าสุดธนาคารโลกคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของจีนปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ราว 6.7% และลดลงมาที่ 6.5% ในปีหน้า และ 6.3% ในปี 2560

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว "หวัง เจี้ยนหลิง" มหาเศรษฐีอันดับต้น ๆ ของจีน ประธานกลุ่ม "ต้าเหลียนหวันต๋า" ที่ร่ำรวยมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ช่วงหลังได้ขยายการลงทุนไปที่สหรัฐอเมริกา ให้สัมภาษณ์กับ "ซีเอ็นเอ็น" ว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนในเวลานี้เรียกว่าเป็น "ฟองสบู่ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน" และเกินจะควบคุม โดยสถานการณ์ฟองสบู่หนักขึ้นเรื่อย ๆ

หลังจากปีที่แล้วเกิดวิกฤต "ฟองสบู่ตลาดหุ้นจีนแตก" ทำให้บรรดานักลงทุนรายย่อยเสียหายไปจำนวนมาก และปัจจุบันวิกฤตเศรษฐกิจก็เริ่มหันมาเกิดกับภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน

นายหวังกล่าวว่า "ปัญหาใหญ่ที่สุดของธุรกิจภาคอสังหาฯ คือราคาบ้าน ที่ดินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเขตเมืองใหญ่เช่น เซี่ยงไฮ้ แต่ในเมืองเล็กราคากลับร่วงลงเนื่องจากมีบ้านใหม่ขายไม่ออกจำนวนมาก แม้รัฐบาลจะใช้มาตรการทุกอย่าง ทั้งจำกัดการซื้ออสังหาฯ และการปล่อยสินเชื่อ เพื่อชะลอความร้อนแรงแต่ก็ไม่สัมฤทธิผล และยังไม่เห็นทางออกที่ดีสำหรับปัญหานี้"

ทั้งนี้ 6 เดือนแรกของปีนี้ธนาคารจีนมีการปล่อยสินเชื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 24 ล้านล้านหยวน แย่ไปกว่านั้นในช่วงขาลงของเศรษฐกิจ ขณะที่หนี้สาธารณะต่อจีดีพีของประเทศจีนสูงถึง 247%

นี่เป็นปัญหาใหญ่มาของจีนเวลานี้ในเวลาที่เศรษฐกิจจีนเติบโตชะลอตัวและมีหนี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่สำนักสถิติแห่งชาติจีนเผยว่าราคาบ้านใน 70 เมืองหลัก ๆ ของจีน ในเดือนสิงหาคมพุ่งขึ้นถึง 9.2% เมื่อเทียบจากปีก่อน นอกจากนี้ ข้อมูลยังระบุว่าราคาบ้านชั้นใน ของเมืองเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเพิ่มขึ้น 31.2% และ 23.5% ตามลำดับ ขณะที่ราคาบ้านเขตนอกเมืองเซียะเหมินและเหอเฟยได้กำไรเพิ่มขึ้นอย่างมากจากราคาที่เพิ่มขึ้นถึง 43.8% และ 40.3% ตามลำดับ หรือในบางเมืองขึ้นสูงถึง 50%

โดยก่อนหน้านี้มหาเศรษฐีรายนี้ออกมาเตือนถึงปัญหาฟองสบู่อสังหาฯ มาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่กลุ่ม "ต้าเหลียนหวันต๋า" ซึ่งทำธุรกิจอสังหาฯ ประเภทห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงานทั่วประเทศจีน ที่ผ่านมาก็ได้ค่อย ๆ ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจอสังหาฯแล้ว

ปัญหาคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ถ้าเรายกเลิกมาตรการต่าง ๆ เร็วเกินไป ก็อาจทำให้เศรษฐกิจบอบช้ำต่อไป ดังนั้นเราต้องรอจนกว่าเศรษฐกิจจะฟื้นกลับมาปกติ หมายความเราจะต้องค่อย ๆ ลดหนี้และลดมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ"

อย่างไรก็ตาม นายหวังปิดท้ายว่า แม้สถานการณ์จะมีทิศทางดิ่งลง แต่ไม่คิดว่าเศรษฐกิจจีนจะเกิดปัญหา "ฮาร์ดแลนดิ้ง"

สอดคล้องกับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ "ไอเอ็มเอฟ" ให้ความเห็นว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจจีนจะช้าลงเรื่อย ๆ แต่จะยังคงสูงเมื่อเทียบกับบรรทัดฐานเศรษฐกิจทั่วโลก การขยายตัวของจีดีพีถูกคาดการณ์ไว้ที่ 6.6% ปีนี้ และ 6.2% ในปี 2560

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

อังค์ถัด.ชี้ปีอันตราย แนะยกระดับการค้าภูมิภาค.......!!?


สหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ "อังค์ถัด" ระบุในรายงานการค้าและการพัฒนาประจำปี 2559 เน้นย้ำว่า ภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เป็นปัจจัยฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจโลก และในประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ ดำเนินนโยบายการคลังที่ "เข้มงวด" ทำให้การฟื้นตัวจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ "อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์" พร้อมระบุว่าถึงเวลายกเครื่องนโยบายเศรษฐกิจโลกหลังตกต่ำต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ปี

และสถานการณ์เหล่านี้ก็ส่งผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาที่ชะลอตัวลงเช่นกัน ทำให้เกิดความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ของอังค์ถัดคาดการณ์ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปีนี้จะต่ำกว่า 2.5% ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับปี 2557 และ 2558 

ขณะที่การค้าโลกเติบโตลดลงเหลือแค่ 1.5% ต่ำกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกอังค์ถัดชี้ว่าหากผู้กำหนดนโยบายไม่สามารถจัดการผลกระทบทางลบจากการปล่อยกลไกตลาดเสรี และหันไปใช้นโยบาย "กีดกันทางการค้า" จะยิ่งทำให้นำไปสู่วงจรแห่งความเลวร้าย ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อทุกคน 

โดยที่อังค์ถัดมองว่า ตลาดในระดับภูมิภาคและการค้าระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน ยังเปิดโอกาสสำหรับการส่งออกใหม่ ๆ แต่ต้องมีการวางกลยุทธ์เชิงนโยบายที่สมดุลเพื่อส่งเสริมตลาดภายในประเทศไปพร้อมกัน

ด้านสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (ITD) ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ และคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ยูเอ็นเอสแคป) จัดเวทีการประชุมระดับภูมิภาคว่าด้วยการค้าและการพัฒนาประจำปี 2559 ภายใต้หัวข้อ "การค้าและการลงทุนอย่างยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย : เวลาแห่งการปฏิบัติการ" เพื่อร่วมพูดคุยสถานการณ์และทิศทางการยกระดับเศรษฐกิจภูมิภาคภายใต้กรอบ "ข้อตกลงไนโรบี"

นายสมชิต อินทมิต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า สปป.ลาว กล่าวว่า ปัจจุบันโลกมีความซับซ้อน และไม่เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม จากเป้าหมายนำพาประเทศพ้นจากสภาวะประเทศที่มีรายได้น้อยภายในปี 2563 ทาง สปป.ลาวจึงมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลายประการ ทั้งการกำจัดการทุจริตภาษีนำเข้าและส่งออก เน้นให้เกิดการพัฒนาจากเอกชนมากขึ้น รวมไปถึงการจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติอำนวยความสะดวกทางการค้า และการจัดตั้งเว็บไซต์ www.laotradeportal.gov.la เพื่อให้ศูนย์กลางของผู้นำเข้าและส่งออกสามารถพูดคุยกันได้โดยตรง 

อย่างไรก็ตาม สปป.ลาวมีข้อจำกัดจากที่ไม่มีพรมแดนติดทะเล ดังนั้นจึงเน้นพัฒนาด้านบริการท่องเที่ยว และเปิดรับการลงทุนจากนอกประเทศเป็นสำคัญ ซึ่งปัจจุบันก็มีสายการบินต่างชาติเข้ามาลงทุน เช่น แอร์เอเชียและนกแอร์ ซึ่งจะเป็นหนทางเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจ แต่สำคัญที่สุดในการยกระดับเศรษฐกิจก็คือความร่วมมือระดับภูมิภาคและสนับสนุนการเป็นหุ้นส่วนทางการค้า

สอดคล้องกับความเห็นของ นายซิม โสเค็ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประเทศกัมพูชา ที่ว่าความร่วมมือระดับภูมิภาคเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ขณะเดียวกันกัมพูชาจะเน้นส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น และจะพยายามทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีในระดับทวิภาคี รวมถึงการส่งเสริมการค้าการบริการ ที่ไม่ใช่เพียงบริการด้านท่องเที่ยวเท่านั้น แต่รวมไปถึงภาคการธนาคาร โทรคมนาคม ขนส่งโลจิสติกส์ ที่จะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งกัมพูชาก็มีความมุ่งมั่นที่จะพ้นจากการเป็นประเทศที่มีรายได้น้อยภายในปี 2563 เช่นเดียวกัน

ขณะที่ นางซูซาน เอฟ. สโตน ผู้แทนจากยูเอ็นเอสเคป มองว่า ภูมิภาคอาเซียนมีพลังที่จะเพิ่มห่วงโซ่คุณค่า โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญคือการกำหนดนโยบายลงทุนที่โปร่งใส และนำเอกชนมาร่วมลงทุนในตลาดโลก และแม้ สปป.ลาวและกัมพูชาจะมีรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวเป็นรายได้หลัก แต่ต้องไม่มองข้ามการพัฒนาด้านไอซีที เพราะจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการพัฒนาการค้าและบริการอื่น ๆ ต่อไป

สำหรับไทยในฐานะประเทศที่มีรายได้ปานกลาง นายไพศาล หรูพาณิชย์กิจ รองอธิบดีกรมความร่วมมือระหว่างประเทศ ระบุถึงความช่วยเหลือที่มีต่อประเทศเพื่อนบ้านว่า ไทยสามารถช่วยได้ในด้านความรู้ด้านเทคโนโลยีและโนว์ฮาวที่เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงที่สอดคล้องกับกรอบการพัฒนาอย่างยั่งยืน เหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจด้านการเกษตรอย่างยิ่ง

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานขานรับนโยบายรัฐบาล ชวนผู้ประกอบการกู้เงินไปใช้พัฒนาฝีมือแรงงานใน 7 สาขา...

กรมพัฒนาฝีมือแรงงานขานรับนโยบายรัฐบาล ตีปี๊บชวนผู้ประกอบการกู้เงินไปใช้พัฒนาฝีมือแรงงานใน 7 สาขา ขยายวงเงินกู้เป็น 1 ล้านจากเดิม 3 แสนบาท แถมปลอดดอกเบี้ย 1 ปี

นายกรีฑา สพโชค อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ให้สัมภาษณ์ว่า เพื่อสนับสนุน และส่งเสริมให้สถานประกอบกิจการ ได้ดำเนินการพัฒนาทักษะของลูกจ้าง ให้สอดคล้องกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาล ให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งมี ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธาน จึงเห็นชอบขยายเพดานวงเงินกู้ยืมจากกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยให้ผู้ประกอบการกู้ไปฝึกอบรมฝีมือแรงงาน หรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานม จากเดิมไม่เกิน 3 แสนบาทต่อครั้ง เพิ่มเป็นไม่เกิน 1 ล้านบาท นอกจากนั้น ยังลดดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เหลือร้อยละศูนย์ จากเดิมร้อยละ 3 ต่อปี แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ประกอบการต้องทำสัญญาไม่เกินวันที่ 12 มกราคม 2560 โดยมี กำหนดชำระคืนไม่เกิน 12 เดือน

 สำหรับสาขาอาชีพที่จะดำเนินการฝึกอบรมฝีมือแรงงาน หรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานต้องเป็นสาขาอาชีพ ที่จะส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน ตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด มาตรา 7 (1) คือ 1.สาขาอาชีพช่างก่อสร้าง 2.สาขาอาชีพช่างอุตสาหการ 3.สาขาอาชีพช่างเครื่องกล 4.สาขาอาชีพช่างไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ 5.สาขาอาชีพช่างอุตสาหกรรมศิลป์ 6.สาขาอาชีพเกษตรอุตสาหกรรม และ 7.สาขาอาชีพภาคบริการ โดยภาคบริการนี้ครอบคลุม ทั้งกิจการโรงแรม ร้านอาหาร และโลจิสติกส์ด้วย

การส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นบทบาทของ กพร. ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ.2545 ซึ่งมีภารกิจสำคัญ 2 ส่วน คือ 1.เก็บเงินสมทบจากสถานประกอบกิจการที่จัดฝึกอบรมพนักงาน/ลูกจ้าง ไม่ถึงร้อยละ 50 ของจำนวนลูกจ้างที่มีอยู่ในแต่ละปีเข้ากองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน และ 2.ให้สถานประกอบกิจการกู้ยืมเงินกองทุนพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานภายในสถานประกอบกิจการนั้น ๆ หรือส่งพนักงาน/ลูกจ้างไปฝึกอบรมกับหน่วยงานภายนอก หรือทดสอบกับศูนย์ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติที่ได้รับการรับรองจาก กพร.

การฝึกอบรมทักษะและพัฒนาฝีมือแรงงานในสถานประกอบกิจการต่าง ๆ เป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต ลดต้นทุน ลดการสูญเสียทรัพยากร รวมทั้งทำให้แรงงานมีศักยภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งในปีงบประมาณ 2559 กพร. ได้พัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน และ ทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ไปจำนวน 243,372 คน สามารถส่งเสริมสถานประกอบกิจการในการพัฒนาทักษะลูกจ้างและนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีมากกว่า 8,000 แห่ง สามารถพัฒนากำลังแรงงานได้กว่า 3.3 ล้านคน

ที่มา.สยามรัฐออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

สัญญานดีมาอีกหนึ่ง แบงค์โลกขยับจีดีพีไทย 2.5% ....

 คนไทยชักมีความหวัง หลังจากรัฐบาลส่งซิกเศรษฐกิจกำลังจะโตมานาน แต่ก็ยังไม่สนิทใจนัก หนนี้แบงก์โลกเคาะเปรี้ยงกับมือ จีดีพีไทยปีนี้มีแววสดใสให้เห็น

งานนี้นายอูริค ซาเกา ผู้อำนวยการธนาคารโลก ประจำภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ บอกมาว่า ธนาคารโลกได้วิเคราะห์แล้ว เห็นควรปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2559 นี้เพิ่มเป็น 2.5% จากเดิมที่คาดว่าจะโตแค่ 2%

ที่ว่าแบบนี้ก็เพราถะว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของไทยใสปิ๊งๆจริงๆ ดีเกินคาดถึง 3.2% และทั้ง 3 ปัจจัยนี้ยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก ของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะเดียวกัน แบงก์โลกก็มีคาดกการณ์ประเทศอื่นๆในอาเซียนไปด้วย โดยประเทศที่เติบโตมากสุดคือ พม่า 7.8% รองลงมาคือ เวียดนาม 6.2% อินโดนีเซีย 5.1% มาเลเซีย 4.4%

ดูๆจากตัวเลขนี้ นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ประจำประเทศไทยบอกว่าที่ไทยได้ปรับขึ้นจาก 2% เป็น 2.5% ขึ้นมา 0.5% นี้ ถือว่าอัตราการขยายมากสุด แต่ตัวเลขการเติบโตต่ำสุดในอาเซียน ซึ่งสะท้อนได้ว่า เศรษฐกิจไทยเป็นแบบค่อยๆฟื้นอย่างช้าๆ ก็เป็นผลมาจากที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยนั่นเอง

โตช้าแบบสโลว์บัทชัวร์หรือไม่!ให้ระวังความไม่แน่นอนทางการเมือง ที่อาจจะทำให้นโยบายการคลังในครึ่งปีหลัง อาจจะมีประสิทธิภาพลดน้อยถอยลงได้ แล้วก็มีเรื่องเศรษฐกิจจีนที่ยักแย่ยักยันอยู่ เพราะเราผูกกับจีนไว้เยอะ สัดส่วนการค้าขายกับจีนถึง 12% ไปจนถึงเรื่องสินค้าเกษตรที่โตติดลบมานาน สุดท้ายคือภัยธรรมชาติ

ทั้งหมดคือปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระวัง แต่ยังมีเรื่องน่าห่วงอีกหนึ่ง คือสังคมสูงวัย “แก่ก่อนรวย” ที่อาจจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าได้ พบว่าขณะนี้ประชากรวัยทำงานไทยในปี 2583 หรือ 24 ปีข้างหน้า จะลดลงอีก 11% คือจาก 49 ล้านคน เหลือ 40.5 ล้านคน อันนี้ต้องระวัง ต้องเร่งรับมือและปฏิรูปหลายด้าน ทั้งเรื่องบำนาญ การดุแลบสุขภาพ การดูแลในระยะยาว จะทำยังไง เพราะประเทศอื่นๆเจอกันมาเยอะแล้วทั้งสิงคโปร์ ญี่ปุ่น

ขนาดเตรียมตัวมาดียังมีปัญหา แล้วถ้าเราไม่เตรียมตัว จะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากนึกเลยเชียว

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร...!!?

อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...

การฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำหรือไม่ และเราควรจะทำอย่างไรดี

บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป

ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด

เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน

 ขอขอบคุณเจ้าของ คุณหมอจักรแก้ว กัลยาณมิตร
บทความจาก  http://www.rimnam.com

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

อวสานพลังงานปัจจุบัน.....!?

โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยได้จัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ และได้เชิญ โทนี่ เซบา มาเป็นผู้แสดงปาฐกถา ในหัวข้อ “พลังงานสะอาด : ทำไมพลังงานและระบบขนส่งปัจจุบันจะถึงการอวสานราวๆ ปี ค.ศ.2030” หรือ “Clean Disruption : Why Current Energy and Transportation Systems Will Be Obsolete by 2030”

หัวข้อปาฐกถาเป็นหัวข้อที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะปี 2030 นั้นอยู่ไม่ไกลจากปัจจุบันแล้ว เหลืออีกเพียง 15 ปีก็จะถึงแล้ว โทนี่ เซบา กล่าวคำพูดนี้ครั้งแรกเมื่อปี 2011

โทนี่ เซบา เป็นนักอนาคตศาสตร์ หรือ Futurist ทำงานวิจัยในเรื่องเกี่ยวกับตลาดพลังงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนแนวของตลาดพลังงาน รวมทั้งพลังงานจากแสงอาทิตย์ หรือ Solar energy

จากงานวิจัยตลาดพลังงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นถ่านหิน น้ำมันและแก๊สปิโตรเลียม พลังงานปรมาณู รวมทั้งพลังงานชีวมวล ผลงานวิจัยของเขาสรุปได้ว่าเทคโนโลยีทางด้านพลังงานได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนคาดการณ์ได้ว่าน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ นิวเคลียร์ ถ่านหิน อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องรถยนต์สันดาปภายในที่ใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จะพ้นสมัยไปทั้งหมดราวๆ ค.ศ.2030

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเทคโนโลยีในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งพลังงานลม ถ้าสามารถตั้งกังหันลมในที่สูงๆ เป็นกิโลเมตร (กม.) ได้ ซึ่งเชื่อมต่อกับความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีในการเก็บรักษาพลังงานที่มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยการใช้สารโพแทสเซียมเพื่อเก็บรักษาความร้อน อัตราการสูญเสียเพียง 1% ในระยะเวลานาน 24 ชั่วโมง (ชม.) สามารถเก็บรักษาความร้อนได้เป็นเวลานานมากขึ้น ทำให้เราสามารถใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอดเวลา 24 ชม. ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน กลางคืน ตอนฝนตก ฟ้ามืดครึ้มจากหมอกเมฆ

การที่มีระบบสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ทำให้เราสามารถส่งไฟฟ้าในขณะที่กำลังผลิตออกไปเป็นจำนวนมากๆ เพื่อใช้ในเวลากลางวัน อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้ในเครื่องมือที่ใช้เก็บพลังงานในห้องขนาดใหญ่ที่บรรจุก๊าซโพแทสเซียม ซึ่งสามารถเก็บความร้อนได้ถึง 99% ในเวลา 24 ชม. เพื่อนำออกใช้ในอัตราเดียวกับตอนกลางคืน ตอนฟ้ามืดครึ้มหรือตอนฝนตก

ขณะที่ราคาค่าใช้จ่ายในการสำรวจ การขุดเจาะ รวมทั้งพื้นที่ที่สูญเสียเพื่อใช้ในการขุดเจาะบนพื้นดิน ต้องใช้พื้นที่มากกว่าพื้นที่ในการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้ราคาพลังงานที่ได้จากถ่านหินก็ดี จากน้ำมันก็ดี จากก๊าซธรรมชาติก็ดี จากอุปกรณ์พลังงานนิวเคลียร์ก็ดี มีราคาแพงขึ้นตามลำดับ

สำหรับพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซกัมมันตภาพรังสีเป็นเชื้อเพลิง ขณะนี้ก็มีราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะมีความต้องการใช้ทดแทนพลังงานจากปิโตรเลียมมากขึ้นตามลำดับ ขณะเดียวกันก็มีปัญหาจากแรงต่อต้านการใช้พลังงานปรมาณูมากขึ้น เยอรมนีประกาศเลิกใช้ปรมาณูอย่างเด็ดขาดในอนาคต

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจากเหตุแผ่นดินไหว เกิดโศกนาฏกรรมจากเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่วที่ฟุคุชิมา ประเทศญี่ปุ่น อันตรายที่เกิดจากการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีที่เมืองเชอร์โนบิล ในประเทศรัสเซีย ทำให้เกิดการต่อต้านการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์มากขึ้นตามลำดับ รวมทั้งประเทศไทยด้วย การต่อต้านค่อนข้างรุนแรง โอกาสที่จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คงเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์เป็นสัดส่วนที่มากที่สุดเพราะมีราคาถูก กล่าวคือไฟฟ้ากว่าร้อยละ 70 ผลิตจากพลังงานนิวเคลียร์ แต่ก็กำลังจะถูกต่อต้านให้เปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างอื่นแทนพลังงานนิวเคลียร์

ในอนาคตอีกไม่นาน ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการเก็บความร้อนไว้ผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชม. ก็จะต่ำกว่าต้นทุนต่อหน่วยจากการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานปรมาณู โรงไฟฟ้าที่ใช้พลังงานปรมาณูก็ไม่มีเหตุผลที่จะดำรงอยู่ต่อไป จะถูกทดแทนโดยโรงไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ไปในที่สุด เพราะเป็นพลังงานที่สะอาดและราคาถูกกว่า

การที่สหรัฐอเมริกาค้นพบเทคโนโลยีในการเจาะพื้นพิภพ สามารถดูดก๊าซธรรมชาติและน้ำมันขึ้นมาใช้ได้ในราคาถูก ทำให้การสกัดน้ำมันจากหินทรายและหินกาบของแคนาดาราคาลดลงจนไม่คุ้มที่จะผลิตต่อไป ในขณะเดียวกันถ่านหินซึ่งเป็นเชื้อเพลิงที่สกปรกเพราะพ่นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก ขณะนี้ราคาถ่านหินจากเหมืองหลายแห่ง เช่น ที่อินโดนีเซีย เวียดนาม และที่อื่นๆ ไม่มีราคา ถ่านหินมีราคาเพียงเท่ากับค่าขนส่งเท่านั้น และกำลังจะมีราคาต่ำกว่าค่าใช้จ่ายในการผลิต

ซาอุดีอาระเบียเป็นประเทศที่มีน้ำมันดิบมากที่สุด ประกาศนโยบายจะเสาะหาน้ำมันดิบออกมาขายให้มากที่สุด เพื่อนำเงินมาลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ใช้ผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าแทนการใช้น้ำมันมากขึ้น สาเหตุสำคัญที่จะทำให้การใช้พลังงานน้อยลงก็ดี เทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไร้คนขับได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว เพราะการพัฒนาแบตเตอรี่ ลิเธียมไอออน หรือ Li-ion ซึ่งสามารถเก็บไฟไว้ในแบตเตอรี่เพื่อให้รถยนต์วิ่งได้ไกลถึง 285 กม. ด้วยความเร็วเท่ากับรถยนต์ปกติ รวมทั้งกำลังทดลองรถยนต์ไร้คนขับ เพื่อให้มีต้นทุนการผลิตที่ราคาถูกลง ซึ่งจะได้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น เครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าไม่ยุ่งยากเท่าเครื่องยนต์สันดาปภายใน ค่าบำรุงรักษาจะน้อยลง อะไหล่ที่ต้องเปลี่ยนมีน้อยลง ต่อไปโรงซ่อมรถยนต์ก็จะน้อยลงหรือหมดไป

จากงานวิจัยของโทนี่ เซบา บอกต่อไปว่า ต้นทุนการผลิตพลังงานจากฟอสซิล หรือพลังงานจากถ่านหินน้ำมันและก๊าซมีแต่จะแพงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะค้นพบเทคโนโลยีในการเจาะลงใต้พื้นพิภพลึกกว่า 10 กม. และอัดน้ำมันลงไปไล่ให้ก๊าซและน้ำมันไหลออกมา นอกจากค่าขุดเจาะจะแพงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว การขนส่งลำเลียงน้ำเข้ามาในพื้นที่หลุมขุดเจาะก็มีต้นทุนสูง นอกจากนั้นก๊าซธรรมชาติก็ขนส่งออกไปในสภาพเพื่อการส่งออกไม่ได้ ต้องอัดด้วยความดันสูงให้เป็นของเหลวเพื่อจะขนส่งทางท่อได้ซึ่งก็คือต้นทุนที่สูงขึ้น

ส่วนพลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยวิธีตั้งแผงที่เรียกว่า solar photovoltaic หรือ PV จะมีราคาถูกลงเรื่อยๆ อัตราการลดลงของราคาต่อหน่วยของการผลิตไฟฟ้าโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์จะลดลง ไม่ใช่ในอัตราทบต้นและจะลดลงในอัตราเร่งที่เร็ว ดังนั้น ในระยะเวลาไม่เกินปี ค.ศ.2030 พลังงานจากถ่านหินก็ดี จากน้ำมันก็ดี จากก๊าซธรรมชาติก็ดีจะหมดยุคสมัยไป จะมีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตไฟฟ้าจากพลังแสงอาทิตย์มากขึ้น และค่าไฟฟ้าก็จะมีราคาลดลงตามลำดับ

แต่อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ ยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพราะค่าใช้จ่ายในการลงทุนในระยะสั้นจะสูงเพื่อผลประโยชน์ในระยะยาว เป็นภาระหนักสำหรับประเทศกำลังพัฒนา เมื่อเทียบกับภาระของประเทศที่พัฒนาแล้วในเงินทุนจำนวนเดียวกันต่อกิโลวัตต์/ชม. ดังนั้นประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้ประโยชน์ก่อนในการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในตลาดพลังงานของโลก

ถ้าการคาดการณ์ของโทนี่ เซบา เป็นจริง แม้ว่าไม่ทั้งหมด ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก อาจจะเท่าๆ กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ซึ่งเกิดจากการค้นพบเครื่องจักรไอน้ำที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนรถไฟบนราง การผลิตไฟฟ้าด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจากพลังไอน้ำ การค้นพบน้ำมัน ทำให้เกิดอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ในอนาคตจะเกิดโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่สามารถผลิตและมีไฟฟ้าใช้ทั้ง 24 ชม. รถยนต์เปลี่ยนเป็นรถไฟฟ้า และต่อไปถึงรถยนต์ไร้คนขับ รวมถึงมีอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้มากมายที่มีแบตเตอรี่อายุยาว และอาจจะใช้แสงอาทิตย์หรือแสงไฟฟ้าธรรมดาเป็นพลังงาน ยานอวกาศก็สามารถเดินทางไปไกลๆ ได้โดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ โครงสร้างอุตสาหกรรม ระบบการเงินคงเปลี่ยนไปไกล การเมืองระหว่างประเทศก็คงเปลี่ยนไป

ทั้งหมดเป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น อย่าเพิ่งเชื่อมากนัก

ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************************

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

เงินหยวน กับ ข่าวลือ.....!!?

โดย : วีรพงษ์ รามางกูร

ตั้งแต่โลกของเรามีการใช้โซเชียลมีเดียการปล่อยข่าวลือที่มักจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอนั้น จึงมีความรวดเร็วตามมาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกที่ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญต่อการซื้อขายล่วงหน้า ที่เป็นการซื้อขายกระดาษกันเท่านั้น ตลาดทุกวันนี้ไม่ว่าจะเป็นตลาดสินค้าและบริการ ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงินและตลาดทุน ผสมกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้การซื้อขายล่วงหน้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว จึงเกิดเป็นตลาดล่วงหน้าที่มีมูลค่ามหาศาลขึ้น การเคลื่อนไหวของตลาดล่วงหน้านั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลข่าวสาร จึงเป็นโอกาสดีสำหรับนักเก็งกำไรที่ไวต่อข้อมูลข่าวสาร เพราะผู้ที่ได้ข่าวสารก่อนคนอื่นในตลาดย่อมจะกระทำการซื้อหรือขายล่วงหน้าได้ก่อนที่ตลาดจริงจะเคลื่อนไหว สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล หากตนเองสามารถได้ข้อมูลข่าวสารก่อนคนอื่น

ในทางกลับกัน การเก็งกำไรก็ก่อให้เกิดการ "สร้างข่าว" ขึ้นเพื่อ "ปั่นราคา" สินค้าและบริการ หรือตราสารทางการเงินให้ขึ้นหรือลงได้โดยอาศัยความฉับไวของสื่อสมัยใหม่ที่เรียกว่า โซเชียลมีเดีย ข่าวที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียมีทั้งข่าวจริง ข่าวเท็จ ข่าวบิดเบือน หรือข่าวจริงเพียงบางส่วน แต่ก็มีผลต่อการเคลื่อนไหวของ "ราคา" ในตลาดได้

ตามปกติถ้าเป็นข่าวเท็จ ข่าวบิดเบือน หรือข่าวที่จริงเป็นบางส่วน ก็เป็นหน้าที่ของหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลจะออกมาแถลงข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้ทราบ เช่น ถ้าเป็นข่าวเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ก็เป็นหน้าที่ของธนาคารกลาง หรือหน่วยงานที่ดูแลการเคลื่อนย้ายของเงินทุน ถ้าเป็นเรื่องผลประกอบการของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. แล้วแต่กรณีที่จะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงว่าข่าวลือเช่นว่านั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ หรือข่าวบิดเบือน เพื่อให้ผู้ซื้อขายหรือผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับข้อมูลข่าวสารพร้อมกันทั้งตลาด เพื่อป้องกันการปล่อยข่าวลือ ซึ่งมักจะมาพร้อม ๆ กับการสร้างราคาหรือการปั่นราคา เพื่อสร้างกำไรเอาเปรียบผู้อื่นที่ไม่ทราบข้อเท็จจริง และอาจจะหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อก่อนนี้ก็รู้สึกจะค่อนข้างเข้มแข็ง จนตลาดหลักทรัพย์ฯของเราได้รับความเชื่อถือจากประชาชนและจากสถาบันทั้งในและต่างประเทศ แต่ระยะหลัง ๆ มีหลายคนตั้งข้อสงสัยและตั้งคำถาม ทั้งที่ออกมาพูดอย่างเปิดเผย และที่ตั้งคำถามอยู่ในใจไม่น้อย ตลาดและสำนักงานอาจจะไม่ทราบ แต่มีคำครหาอยู่ไม่น้อยโดยเฉพาะระยะเวลาที่หุ้นในหมวดสื่อสารมีการขึ้นลงจากข่าวลืออยู่มาก แต่ประชาชนที่เกี่ยวข้องไม่ได้รับทราบอย่างฉับพลันว่า ข่าวลือนั้นเป็นข่าวจริงหรือข่าวเท็จ จนเวลาผ่านไปหลายวันจึงทราบข้อเท็จจริง ซึ่งก็สายไปเสียแล้ว โดยไม่ทราบต้นตอของข่าวลือเหตุการณ์เช่นนี้นอกจากไม่เป็นธรรมกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุนที่ซื้อขายในตลาดแล้วยังบั่นทอนความน่าเชื่อถือของตลาดรวมทั้งหน่วยงานที่เป็นผู้กำกับกิจการโทรคมนาคมด้วย เพราะมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากตลอดเวลา

การสร้างข่าวลือเพื่อหาประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดการเงิน ซึ่งประกอบด้วยตลาดเงินและตลาดทุนนั้นมีอยู่ทุกประเทศ และสำนักงานที่มีหน้าที่กำกับดูแล หรือที่เรียกรวม ๆ ว่า "Regulator" เท่านั้น แม้แต่ตลาดการเงินระหว่างประเทศก็มีนักเก็งกำไรระดับโลก หรือระดับระหว่างประเทศด้วย แม้ว่าการสร้างราคาระดับโลกจะต้องใช้เงินทุนอย่างมหาศาล แต่ทุกวันนี้โลกเรามีเงินออมจำนวนมหาศาล ซึ่งกลายเป็นเงินทุนจำนวนมหาศาลที่ผู้จัดการเงินออมหรือกองทุนต่าง ๆ จะนำเอาเงินออมหรือเงินทุนเหล่านี้ไปบริหารจัดการหากำไร โดยการลงทุน การเก็งกำไร แล้วก็เลยเถิดไปสร้างข่าวลือเพื่อแสวงหากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาตราสารทางการเงิน เพื่อเงินโบนัสหรือส่วนแบ่งกำไรให้กับผู้จัดการกองทุนต่าง ๆ เหล่านั้น

ในบรรดาตราสารทางการเงิน ตราสารทางการเงินที่กำหนดราคาเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐจะมีจำนวนมากที่สุด ผู้ที่ถือเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งปกติย่อมไม่ถือดอลลาร์เป็นเงินสด เพราะเงินสดไม่ให้ดอกเบี้ยเป็นค่าตอบแทน และยังยุ่งยากในการจัดเก็บแต่จะถือดอลลาร์ในรูปของเงินฝากธนาคาร หรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ หรือหุ้นกู้ของบริษัทเอกชน หรือสถาบันการเงินของเอกชน โดยมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อที่สำคัญ คือ บริษัทมูดีส์ฯ และบริษัท เอส แอนด์ พีฯ เป็นต้น ค่าตอบแทนสูงหรือต่ำ ก็แล้วแต่อันดับความน่าเชื่อถือ

อัตราแลกเปลี่ยนของเงินสกุลต่าง ๆ ก็มักจะเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ และอาจจะขึ้นลงตามภาวะตลาดของเงินตรานั้น ๆ ในกรณีที่ประเทศนั้นใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเสรีอย่างเช่น ประเทศไทย หากทางการจะทำการแทรกแซงเพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน ก็นำเอาเงินดอลลาร์ออกมาขายในตลาด เพื่อให้ราคาเงินดอลลาร์อ่อนลงหรือค่าเงินของตนแข็งขึ้น หรือนำเงินสกุลท้องถิ่นมาซื้อดอลลาร์ไปเก็บไว้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ เพื่อให้ค่าเงินดอลลาร์แพงขึ้น หรือทำให้ค่าเงินสกุลของตนมีค่าอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีข่าวลือที่แพร่สะพัดอยู่ 2 ข่าว ซึ่งถ้าใช้สามัญสำนึกง่าย ๆ ก็จะรู้ทันทีว่าเป็นข่าวเท็จ เป็นข่าวปล่อยเพื่อจะโจมตีค่าเงินหยวนของจีนและเงินดอลลาร์ฮ่องกง

ข่าวแรกก็คือ ธนาคารกลางของจีนจะกำหนดค่าเงินหยวนกับทองคำ กับอีกข่าวหนึ่งที่ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะลดลง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับเงินหยวน เพราะธนาคารกลางหรือธนาคารประชาชนจีนจะทุ่มเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ออกขายในตลาด

สำหรับข่าวลืออันแรก คือลือว่าจีนจะเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน จากการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน จากที่เคยกำหนดกับตะกร้าของเงินที่เงินดอลลาร์มีน้ำหนักมากที่สุดมาเป็นการกำหนดค่าเงินหยวนกับทองคำ ซึ่งเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ทั่วโลกไม่มีใครทำได้แล้ว เงินปอนด์สเตอร์ลิง เงินดอลลาร์สหรัฐเคยกำหนดค่าเงินของตนกับทองคำ  ซึ่งเราเรียกระบบอัตราแลกเปลี่ยนอย่างนี้ว่า ระบบ "มาตรฐานทองคำ" ซึ่งมีความยุ่งยากมากหากธนาคารกลางจีนจะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนกับทองคำ แต่ในที่สุดก็ปรากฏข่าวว่าจีนอยากจะเปิดตลาดซื้อขายทองคำที่นครเซี่ยงไฮ้ คงอยากจะแข่งกับตลาดทองคำที่ฮ่องกง แต่คงจะทำไม่สำเร็จหรอก เพราะจีนยังไม่ได้เปิดเสรีทางการเงิน ยังเป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟตามมาตรา 14 ยังไม่กล้าหาญเท่ากับประเทศไทยที่เป็นสมาชิกไอเอ็มเอฟตามมาตรา 8 ตั้งนานแล้ว ทั้งหมดจึงเป็นข่าวลือ

ข่าวลือข่าวที่ 2 ก็คือ จีนจะทุ่มเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากทุนสำรอง ซึ่งขณะนี้มีราว ๆ 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ จากที่จีนเคยมีทุนสำรองมากถึง 4.0 ล้านล้านดอลลาร์ หรือตราสารหนี้ในรูปดอลลาร์ คำถามที่ต้องถามคนปล่อยข่าวลือก็คือ จีนจะทุ่มดอลลาร์ออกมาซื้ออะไร เพราะถ้าการทุ่มเงินจำนวน 2 ล้านล้านดอลลาร์ไปแลกกับทองคำ ใครจะขายทองคำให้จีน ถ้าจีนทำอย่างนั้นทองคำเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์ก็จะต้องแพงขึ้นตามกฎของตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงินตราต่างประเทศหรือตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะทองคำมี 2 สถานะ คือ เป็นเงินตราต่างประเทศ พร้อม ๆ กับเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปก็ไม่เห็นว่าราคาทองคำในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้น แสดงว่าไม่มีใครเชื่อข่าวลืออันนี้ ถ้าทุ่มเงิน 2 ล้านล้านดอลลาร์ออกไปเพื่อซื้อสินค้าอื่น เช่น น้ำมัน ก็จะทุ่มซื้อทำไมเพราะราคาน้ำมันกำลังลง ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้จึงเป็นข่าวลือนั่นเอง

มีอีก 2-3 เรื่องที่เมื่อเปลี่ยนรัฐบาลก็มักจะมีคนไปเสนอรัฐบาลให้เจรจาทำสัญญาการค้าต่างตอบแทน เช่น ทำสัญญากับจีนเอาสินค้าเกษตรแลกกับรถไฟ ทำการค้ากับประเทศอาหรับก็เอาข้าวแลกกับน้ำมัน เป็นต้น การค้าต่างตอบแทนเป็นรูปแบบการค้าของสหภาพโซเวียตกับประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกัน ที่ทั้งคู่ไม่มีเงินดอลลาร์ด้วยกัน ในที่สุดก็ล้มเหลวเพราะสินค้าแต่ละอย่างมีเรื่องคุณภาพ มีเรื่องชนิด เรื่องอื่น ๆ มากมาย หากจะมาตกลงแลกกันก็ไม่รู้จะตั้งราคาแลกเปลี่ยนกันอย่างไร

อีกเรื่องของการค้าโดยการแลกเปลี่ยนที่ฟังดูดีแต่ปฏิบัติไม่ได้เช่นข้าวแลกกับน้ำมันหรืออย่างอื่น นับเป็นการหลีกเลี่ยงกลไกตลาด หรือหลีกเลี่ยงการใช้เงินที่เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน

ข่าวลือต่าง ๆ ในทางการค้าและการเงินในตลาดโลกมักจะมีอยู่เสมอ หากผู้ใดหลงเชื่อก็มักจะตกเป็นเหยื่อ เช่น ต้องจ่ายค่าเดินทาง ค่าโรงแรม ค่าเบี้ยเลี้ยงให้กับผู้ที่ขันอาสาเดินทางไปเจรจา บางทีก็เป็น 10 ล้านบาทโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็เป็นกลอุบายที่ใช้ได้เสมอ เหมือนกับกรณีเก็บทองหนัก 10 บาทแล้วจะขอแลกกับทองหนักบาทเดียวได้

เรื่องอย่างนี้มีอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นระดับประเทศหรือระดับระหว่างประเทศ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันเสาร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ส่งออก.. ลดฮวบทั่วเอเชีย แห่ปรับโมเดล เศรษฐกิจ พึ่งดีมานด์..ภายใน !!?

ประเทศ ในเอเชียส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาการส่งออกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และตลาดส่งออกสำคัญก็หนีไม่พ้นจีน พี่ใหญ่ของภูมิภาค การชะลอตัวของเศรษฐกิจแดนมังกรจึงส่งผลกระทบอย่างหนัก แม้หลายประเทศจะพยายามปรับเปลี่ยนโครงสร้างด้วยการหันไปพึ่งดีมานด์ภายในประเทศ แต่กลับไม่ประสบผลมากนัก

วอลล์ สตรีต เจอร์นัล ระบุว่า ยอดส่งออกไม่รวมสินค้าน้ำมันในเดือนมกราคมที่ผ่านมาของสิงคโปร์ลดลงอย่าง เหนือความคาดหมายถึง 9.9% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงเกือบเท่ากับช่วงวิกฤตการเงินโลกเมื่อ 8 ปีก่อน และร่วงมากกว่าเดือนธันวาคมปีกลายที่ติดลบ 7.2%

และถ้าเจาะเฉพาะตัว เลขการส่งออกไปยังจีน คู่ค้าใหญ่อันดับหนึ่งของสิงคโปร์จะพบว่ายอดส่งออกร่วงหนักถึง 25.2% สะท้อนถึงผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลงในจีน ที่ปี 2558 มีอัตราการขยายตัวต่ำสุดในรอบ 25 ปี

สถานการณ์ในสิงคโปร์ไม่ต่างจาก หลายประเทศในเอเชียที่เน้นใช้ "การผลิตเพื่อส่งออก" อาทิ เกาหลีใต้ที่ยอดการส่งออกเดือนที่แล้วติดลบ 18.8% เป็นการลดลงมากที่สุดนับจากสิงหาคม 2552 เช่นเดียวกับอินโดนีเซีย ผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ที่ตัวเลขการส่งสินค้าไปขายต่างประเทศใน เดือนดังกล่าวหดตัว 20.7% แม้แต่อินเดียที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับหนึ่งของ โลก การส่งออกเดือนมกราคมก็ลดลง 13.6% เป็นการติดลบเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน

ไม่น่าประหลาดใจที่ตัวเลขการส่งออกของหลายประเทศข้างต้น ทรุดหนัก เมื่อหันกลับมาดูการส่งออกและนำเข้าของจีนในเดือนแรกของปี 2559 ที่ลดลง 11.2% และ 18.8% ตามลำดับ เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าขั้นกลางจากทั่วโลกเพื่อนำมา ผลิตเป็นสินค้าขั้นสุดท้าย แล้วส่งออกอีกต่อหนึ่ง หากจีนส่งออกได้น้อยลงก็ย่อมนำเข้าลดลงตามไปด้วย

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจจีนแล้ว อีกปัจจัยที่ฉุดการส่งออกในเอเชียคือ กระแสการค้าโลกที่ซบเซาลง ปรากฏการณ์ ดังกล่าวเริ่มต้นจากการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ที่ชะลอตัว ลุกลามไปสู่สินค้าประเภทอื่น อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในหลายประเทศที่แผ่วลงกดดันให้ผู้บริโภคและภาค ธุรกิจระมัดระวังการใช้จ่าย แม้แต่ในประเทศที่ไม่ได้อาศัยรายได้จากสินค้าโภคภัณฑ์มากนักอย่างอินเดียก็ เริ่มเห็นสัญญาณการใช้จ่ายภาคครัวเรือนที่ลดลง

ยิ่งไปกว่านั้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปถูกขับเคลื่อนด้วยภาคบริการภายในประเทศ เหล่านั้น ไม่ใช่การนำเข้าสินค้าจากฝั่งเอเชีย ประเทศตลาดเกิดใหม่ จึงไม่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวในประเทศตะวันตกมากนัก ในทางตรงข้าม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐกลับผลักดันให้เงินทุนไหล ออกจากประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น

หลายประเทศในเอเชียพยายามลดการพึ่งพา การส่งออกและหันไปให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น เช่น อินโดนีเซียและไทยที่ผลักดันการใช้จ่ายภาครัฐโดยเฉพาะในโครงการ "เมกะโปรเจ็กต์" เพื่อกระตุ้นการเติบโต หรือกรณีของเกาหลีใต้ที่ภาครัฐอัดฉีดมาตรการกระตุ้นแบบเข้มข้นเพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสเมอร์ส

แต่ปรับ เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจจากการพึ่งพาดีมานด์ภายนอกมาสู่ดีมานด์ภายในต้อง อาศัยเวลาและเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างที่จีนกำลังประสบในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีอุปสรรคเชิงโครงสร้าง อาทิ สัดส่วนหนี้ต่อครัวเรือนที่สูง กฎหมายที่ปกป้องและให้สิทธิพิเศษแก่รัฐวิสาหกิจ ทำให้ยากจะเกิดการแข่งขันอย่างเสรี ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการบริโภคภายใน บางประเทศอาจไม่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ได้สำเร็จและต้องล้มแผนกลางคัน

การหันมาพึ่งพาดีมานด์ภายในของหลายประเทศในเอเชียทำให้นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ ว่าจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมในเร็ว ๆ นี้ เพื่อกระตุ้นการเติบโตและการใช้จ่าย เครดิต สวิสมองว่า ประเทศที่อยู่ในข่าย ได้แก่ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ไทย อินโดนีเซีย อินเดีย และจีน

ส่วนสิงคโปร์ยังไม่มีแผนจะลดการพึ่งการส่งออก แต่ใช้วิธียกระดับสินค้าส่งออกไปสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนามากขึ้น  ปรับเปลี่ยนจากโมเดล "Re-export" ที่ใช้มาอย่างยาวนาน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พาณิชย์..ขอ งบ 1.5 พันล้านบาท ดันวิสาหกิจชุมชน....!!?

กระทรวงพาณิชย์ เตรียมของบประมาณจากรัฐบาลวงเงินรวม 1,500 ล้านบาท ดันวิสาหกิจชุมชนสู่อี-คอมเมิร์ซและต่อยอดเอสเอ็มอีสู่ตลาดโลก

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การกระทรวงพาณิชย์จะขอใช้งบกลางวงเงิน 1,500 ล้านบาทต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้าในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจจากภายในประเทศผ่านโครงการประชารัฐ 2 ระดับ ได้แก่ 1. Local Economy โดยจะผลักดันกลุ่มวิสาหกิจชุมชนให้ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ และขยายตลาดไปสู่อี-คอมเมิร์ซใช้งบประมาณส่วนนี้ 620 ล้านบาท ในการสนับสนุนกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตข้าวและมันสำปะหลัง รวมทั้งผลักดันการขึ้นทะเบียนสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ตลอดจนนำร่อง 10 หมู่บ้านทำมาค้าขาย, เปิด 5 ตลาดกลางครบวงจร และ 3 ศูนย์กระจายสินค้าไปยังกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และประชาชนในการสร้างอำนาจต่อรองให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทย ตั้งเป้าให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และมูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 ภายใน 1 ปี

ส่วนโครงการที่ 2 ได้แก่ Global Economy เป็นการผลักดันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสู่ตลาดโลก โดยจะทำการตลาดเชิงลึกแต่ละประเทศ ซึ่งจะมีการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญ ประสานความร่วมมือกับองค์กรเจโทรแห่งญี่ปุ่นและร่วมมือกับมหาวิทยาลัยไทยในการสร้างองค์ความรู้เฉพาะประเทศนั้น ๆ ลักษณะ 1 มหาวิทยาลัย 1 ประเทศในกลุ่ม CLMV นอกจากนี้ ยังจะทำแบรนด์ดิ้งสินค้าไทย ตลอดจนเพิ่มนวัตกรรมเข้าไปในตัวสินค้าและมุ่งเน้นส่งเสริมธุรกิจในภาคบริการมากขึ้น กำหนดเป้าหมายให้มีการขยายมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 และขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ภายใน 1 ปี รวมทั้งเพิ่มจำนวนเอสเอ็มอีเข้าสู่ตลาดอี-คอมเมิร์ซ 100,000 ราย ภายใน 3 ปี และ 200,000 รายภายใน 5 ปี ใช้งบประมาณส่วนนี้ 860 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวนายกรัฐมนตรีเห็นชอบแล้ว

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

บริษัทยักษ์ใหญ่มีสะเทือน ครม.ไฟเขียวปรับปรุงพ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า แก้ธุรกิจผูกขาด...!!?

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ครม.เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การแข่งขันทางการค้า พ.ศ. ....เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าให้มีความเป็นอิสระ และปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้เกิดการแข่งขันเป็นธรรมและเสมอภาค  โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรีผ่านความเห็นชอบจากครม. จำนวน 7 คน คุณสมบัติอายุ 45-60 ปี วาระดำรงตำแหน่ง 6 ปี ติดต่อไม่เกิน 2 วาระ โดยตั้งขึ้นเป็นสำนักงานในหน่วยงานของรัฐ มีฐานะเป็นนิติบุคคลที่มีความอิสระ ซึ่งงบประมาณสำหรับการจัดตั้งในปีแรกรัฐบาลจะเป็นผู้สนับสนุน สำหรับปีต่อไปให้ใช้เงินงบประมาณจากค่าจดทะเบียนทางการค้า โดยหักมา 10 % เป็นค่าใช้จ่ายของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า โดยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจทุกประเภทตั้งอยู่ภายใต้การบังคับตาม พ.ร.บ.ดังกล่าว ยกเว้นมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ รักษาผลประโยชน์ส่วนรวม หรือจัดให้มีสาธารณูปโภค

นอกจากนี้ยังปรับปรุงนิยามของคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจ” ให้ครอบคลุมถึงบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในเครือเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการผูกขาดทางธุรกิจ และเพิ่มนิยามคำว่า “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนิติบุคคลในเครือเดียวกัน” และ ปรับปรุงนิยามคำว่า ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด โดยให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้าเป็นผู้มีอำนาจในการออกประกาศ หลักเกณฑการเป็นผู้ประกอบการธุรกิจซึ่งมีอำนาจเหนือตลาด รวมทั้งเพิ่มเติมบทนิยามคำว่า ปัจจัยสภาพการแข่งขันของตลาด

“การควบรวมกิจการทั้งหลายของบริษัทต่อไปนี้ จะต้องขออนุญาต เช่น ห้างสรรพสินค้า A ขายสินค้าชนิดหนึ่ง ห้างสรรพสินค้า B ก็ขายสินค้าชนิดเดียวกัน วันหนึ่งห้างสรรพสินค้า A B C มารวมกัน อย่างนี้เรียกว่าเริ่มจะมีการผูกขาดทางการตลาดแล้ว โดยจะมีการทบทวนกับผู้ประกอบการธุรกิจทุก ๆ 5 ปี ตามพ.ร.บ.ทบทวนกฎหมาย ว่าลีลา ท่าทางแบบไหนที่เป็นการบ่งชี้ว่ามีอำนาจเหนือตลาดหรือผูกขาด เพราะปัจจุบันต้องยอมรับความเป็นจริงว่าธุรกิจมีชั้นเชิงที่จะสร้างการผูกขาดหลากหลายรูปแบบ”

ทั้งนี้มีข้อคิดเห็นจากสำนักอัยการสูงสุดว่าการให้อำนาจคณะกรรมการ ฯสามารถยกเลิกโทษจำคุกในการควบรวมธุรกิจเพื่อดำเนินการให้เกิดการผูกขาด อาจจะทำให้ก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม จึงให้กฤษฎีกาพิจาณาทบทวนอีกครั้งและขอความคิดเห็นจาอภาคเอกชนด้วย

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////