--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตลาดหุ้นของจีน !!?

โดย : วีรพงษ์ รามางกูร
ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา จีนกลายเป็นหัวรถจักรเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลกก็ว่าได้ เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและของยุโรปได้พัฒนาขึ้นไปจนไม่สามารถแข่งขันกับประเทศรายได้ปานกลางและประเทศที่เกิดใหม่ได้เพราะค่าแรง ฐานะความเป็นอยู่ สูงเกินกว่าจะรับค่าแรงที่ไม่สามารถดำรงความเป็นอยู่ของความเป็นประเทศที่พัฒนาได้

จีนจึงกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ล่าสุดที่มีความสามารถในการแข่งขันในเวทีการค้าโลกได้โดยอาศัยความที่มีจำนวนประชากรในวัยทำงานสูง ค่าแรงที่แท้จริงจึงต่ำ แรงงานมีคุณภาพ แม้ว่าอินเดียและบราซิล รัสเซีย จะมีลักษณะหลายประการคล้ายคลึงกับจีน แต่ประชากรจีนมีคุณภาพมากกว่า ทั้งเรื่องความขยันขันแข็ง อดทน สู้งานและไวต่อการเรียนรู้ เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนเปลี่ยนนโยบายเปิดเสรีทางด้านเศรษฐกิจ เศรษฐกิจของจีนจึงเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด ขยายตัวขึ้นในอัตราที่สูงกว่าตัวเลข 2 หลักมาเป็นเวลานานกว่า 2 ทศวรรษ

การที่เศรษฐกิจของจีนขยายตัวในอัตราที่สูงเป็นเวลานาน การจ้างคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราการว่างงานลดลงอยู่ตลอดเวลา ประกอบกับนโยบายการมีบุตรคนเดียวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งการใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามฐานะทางเศรษฐกิจของประชาชน

ขณะเดียวกัน การที่จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย มีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้สหรัฐอเมริกาและยุโรปขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดจำนวนมากขึ้นและเป็นระยะเวลาที่ยาวนานการที่สหรัฐอเมริกาและยุโรปขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นเวลายาวนาน เพราะความสามารถในการแข่งขันต่ำกว่าประเทศเหล่านี้ จึงทำให้อัตราการว่างงานสูงขึ้นเรื่อยๆ

ในที่สุดกำลังซื้อของประเทศเหล่านี้ก็อ่อนตัวลง ซึ่งทำให้ตลาดส่งออกของจีนอ่อนตัวลง อัตราการขยายตัวของการส่งออกของจีนจึงขยายตัวในอัตราที่ช้าลงมาเรื่อยๆ เป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เคยเป็นตัวเลข 2 หลักก็ลดลงมาเรื่อยๆ จนบัดนี้ทางการจีนประกาศเป้าหมายของการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2558 นี้ไว้ที่ 7 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ยังเป็นอัตราการขยายตัวที่สูงที่สุดในโลกอยู่

แต่อัตราเช่นว่านี้จีนคงจะรักษาไว้ไม่ได้ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเช่นว่าคงจะลดลงเรื่อยๆ

ในขณะที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนลดลงจีนจึงพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายในการบริโภคให้มากขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย ขณะเดียวกันก็ลดภาษีขาเข้า ส่งเสริมให้มีการนำเข้าสินค้าเพื่ออุปโภคและบริโภคมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนให้คนจีนเดินทางทั้งในประเทศและต่างประเทศมากขึ้น เพื่อลดการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและลดความกดดันให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้น

ในขณะที่เศรษฐกิจของจีนขยายตัวในอัตราที่สูงอีกด้านหนึ่งของภาคเศรษฐกิจก็คือภาคการเงิน ตลาดการเงินทั้งตลาดเงินและตลาดทุนก็ขยายตัวในอัตราที่สูง สูงยิ่งกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตลาดเงินและตลาดทุนอันได้แก่สินเชื่อ ราคาหุ้นและราคาตราสารหนี้ ทั้งของรัฐบาล ของรัฐวิสาหกิจและของเอกชนก็ขยายเพิ่มสูงขึ้น แม้ว่าจีนจะยังไม่ยอมเปิดเสรีทางการเงิน ทั้งการเคลื่อนย้ายเงินทุนกับต่างประเทศก็ดี การปริวรรตเงินตราต่างประเทศก็ดี รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ธุรกรรมต่างๆ เหล่านี้ยังอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของทางการ แม้ว่าจีนจะเกินดุลมาเป็นเวลานานและได้รับความกดดันจากไอเอ็มเอฟและสหรัฐให้เปิดเสรีทางการเงินและยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งขึ้นก็ตามจีนอ้างว่าหากทำเช่นนั้นแล้วเศรษฐกิจจีนก็จะกลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ อย่างเดียวกับที่อังกฤษ อิตาลี สเปน ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ประเทศไทย และประเทศอื่นๆ เคยประสบมาแล้ว

เศรษฐกิจฟองสบู่มักจะเริ่มจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ แล้วก็จะลุกลามไปที่ตลาดเงินและตลาดทุน ส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เงินทุนจากต่างประเทศก็จะไหลเข้ามาเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหุ้นตลาดพันธบัตรและตลาดตราสารหนี้ปั่นราคากันขึ้นไปแล้วในที่สุดฟองสบู่ก็จะแตก เงินจะไหลออก ค่าเงินตกต่ำ ธุรกิจล้มละลาย กว่าจะฟื้นต้องใช้เวลานานเป็นทศวรรษ กรณีญี่ปุ่นฟองสบู่แตกเมื่อปี 2538 จนบัดนี้ก็ยังไม่ฟื้นตัวกลับไปที่เดิม

จีนจึงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเศรษฐกิจจีนเริ่มจะเป็นฟองสบู่ เพราะเริ่มมีการเก็งกำไรที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ และลามไปที่ตลาดหุ้น จีนก็รีบดำเนินการตั้งแต่เนิ่นๆ โดยการจำกัดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ จำกัดการซื้อเพื่อเก็งกำไร ห้ามต่างชาติเข้ามาซื้อ รวมทั้งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ลดความร้อนแรงลง

ในขณะเดียวกัน ดัชนีราคาหุ้นในตลาดหุ้นทั้ง 3 ตลาดหลักของจีนคือ เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง ปักกิ่ง แม้แต่ตลาดเล็กอย่างเสินเจิ้น ต่างก็ล้วนถีบตัวสูงขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดของจีนคือตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ กล่าวคือ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้เคยถีบตัวสูงขึ้นจนถึง 5,166 จุด เมื่อเร็วๆ นี้ และลดลงอย่างรวดเร็วมาอยู่ที่ 3,507 จุดเท่านั้นเอง ส่วนในกรณีของฮ่องกง ดัชนีฮั่งเส็งเคยขึ้นสูงสุด 28,440 ก็ลงมาอยู่ที่ประมาณ 24,350 จุดในขณะนี้

เมื่อจีนเห็นว่าสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มเป็นฟองสบู่ โดยกำลังจะลุกลามจากภาคอสังหาริมทรัพย์มาที่ภาคการเงินโดยเฉพาะ ทางการจีนจึงใช้มาตรการสกัดฟองสบู่ที่แรงมาก เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นว่า จนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงิน

มาตรการที่ทางการจีนใช้สกัดฟองสบู่ทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้นก็คือ 1) ห้ามมิให้ผู้ใดที่ถือหุ้นบริษัทใดบริษัทหนึ่งเกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียนขายหุ้นบริษัทนั้นเป็นเวลา 6 เดือน 2) ห้ามผู้ที่มีตำแหน่งบริหารในบริษัทขายหุ้นของบริษัทตนเอง 3) เพิ่มสัดส่วนของเงินฝากต่อสินเชื่อหรือ margin สำหรับพวกที่ขายและซื้อล่วงหน้าหรือ short sell เพื่อลดการเก็งกำไรในการซื้อขายหุ้น 4) เมื่อตลาดมีความร้อนแรงขึ้นถึงจุดหนึ่ง แทนที่จะให้ตลาดหยุดทำการซื้อขายชั่วคราวทั้งตลาด หรือ circuit break แบบที่ทำในประเทศอื่นๆ แต่ใช้วิธีให้หยุดทำการซื้อขายหุ้นบางตัวที่มีการซื้อขายอย่างรุนแรง และ 5) จัดตั้งกองทุนพยุงแบบเดียวกับที่ประเทศไทยเราเคยทำ โดยให้บริษัทนายหน้าซื้อขายหุ้นหรือ brokers ลงขันกัน ขณะเดียวกันทางการก็ได้จัดสภาพคล่องหรือสินเชื่อให้สำหรับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ถือหุ้นเกินกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ของทุนจดทะเบียน รวมทั้งผู้บริหารของบริษัท เจ้าของหุ้น ในการซื้อหุ้นมาเก็บไว้เป็นการลงทุนระยะยาว

มาตรการรุนแรงดังกล่าวย่อมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านจากนักเก็งกำไรโดยเฉพาะพวกกองทุนต่างๆ ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เพราะการคาดการณ์ของนักเก็งกำไรผิดหมด การเคลื่อนย้ายเงินทุนเพื่อเก็งกำไรค่าเงินและราคาหุ้นกลายเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก หรืออาจจะทำไม่ได้ เพราะทางการจีนยังคงควบคุมอยู่ ยังไม่มีการเปิดเสรีทางการเงิน

การที่จีนจะพยายามทำให้เงินหยวนเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นเงินสกุลของธนาคารกลางต่างๆของโลก เช่นเดียวกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินยูโรของยุโรป เงินเยนของญี่ปุ่น จึงเป็นไปได้ค่อนข้างยาก เพราะการควบคุมของทางการจีนทำให้กลไกตลาดการเงินของเงินหยวนทำงานไม่ได้ การที่กลไกตลาดทำงานไม่ได้ นักการเงินถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่ง เป็นความเสี่ยงทางการเมืองหรือความเสี่ยงจากนโยบาย ซึ่งตลาดคาดการณ์ไม่ได้ ความหวังที่จีนจะให้เงินของตนเป็น reserve currency จึงเป็นไปได้ยาก เพราะจะทำให้ค่าเงินหยวนและตลาดการเงินผันผวน เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมือง

จีนคงจะดำรงการควบคุมตลาดการเงินต่อไป
ที่มา : นสพ.มติชน
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ลมหายใจค้าปลีก ทีซีซี แลนด์ รีเทล !!?

โดย วิรัตน์ แสงทองคำ

ไทยเจริญ และ เจริญ สิริวัฒนภักดี กับธุรกิจค้าปลีก เริ่มต้นง่าย ๆ จากโอกาสธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลายกรณีเป็นเรื่องยากในการเรียนรู้และปรับตัวเข้ากับธุรกิจที่ซับซ้อนและแข่งขันสูง

ความจริงแล้วธุรกิจค้าปลีกของกลุ่มไทยเจริญเพิ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างจากการปรับโครงสร้างทีซีซีแลนด์ฯเมื่อปี 2555 หลังจากปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่เมื่อกลุ่มไทยเจริญได้ซื้อหุ้น 40% ในทีซีซี แลนด์ฯคืนจาก Capital Land แห่งสิงคโปร์ จากนั้นทีซีซี แลนด์ฯได้ดำเนินแผนการเชิงรุกอย่างซับซ้อนมากขึ้น

ภาพยิ่งชัดเจนซ้อนทับอยู่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือกลุ่มธุรกิจค้าปลีกใหม่ที่มีเครือข่ายมากพอสมควรทีเดียวเชื่อกันว่าจะกลายเป็นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่ทั้งนี้ มีความพยายามแบ่งกลุ่มธุรกิจย่อย สร้างความเป็นแบรนด์เฉพาะตัวที่สำคัญได้เกิดขึ้นแล้ว

แต่ก็ดูเหมือนว่าการปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกยังคงดำเนินต่อไป ทั้งโครงสร้างการบริหารและโมเดลธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นโมเดลธุรกิจดั้งเดิมที่ดำเนินมานานนับสิบปี หรือโมเดลใหม่ที่เปิดตัวไปเพียงไม่กี่ปี ทั้งนี้ เชื่อว่ามาจากข้อจำกัดตามแนวคิดที่นำเสนอคร่าว ๆ ไว้ในตอนที่แล้ว "มาจากการซื้อที่ดิน หรือที่ดินรวมสิ่งปลูกสร้าง ภายใต้เจตจำนงกว้าง ๆ โดยไม่คาดคิดว่าจะเชื่อมโยงกับธุรกิจค้าปลีก ย่อมมีข้อจำกัดว่าด้วยทำเล ขนาดที่ดิน และสิ่งก่อสร้างในรูปแบบเดิม"



กลุ่มไทยเจริญกำลังเผชิญสิ่งท้าทายกับโมเดลธุรกิจค้าปลีกที่ดูเหมือนจะยังไม่ลงตัวท่ามกลางสถานการณ์ธุรกิจค้าปลีกไทยพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

หนึ่ง-กรณีธุรกิจดั้งเดิม--พันธุ์ทิพย์พลาซาดูเหมือนว่ากลุ่มไทยเจริญเชื่อมั่นในโมเดลธุรกิจ ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

"เมื่อช่วงปี 2534-2535 เป็นช่วงที่เครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก พันธุ์ทิพย์ พลาซา ประตูน้ำได้ก้าวเข้ามาเป็นศูนย์กลางการค้าขายคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบอันดับหนึ่งของเมืองไทย และเมื่อสินค้าขายดีประกอบกับเพิ่มจำนวนของร้านค้า ราคาเช่าพื้นที่ก็เพิ่มขึ้น"(http://www.pantipplaza.com/) นั่นคือจุดเริ่มต้นโมเดลธุรกิจที่ถือว่ามีบุคลิกเฉพาะ และเป็นความชำนาญเฉพาะตัวของกลุ่มไทยเจริญ แต่เมื่อมาถึงเวลาหนึ่ง ความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน

พันธุ์ทิพย์ พลาซา จำต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับบทวิเคราะห์ใหม่ โดยทีมงานใหม่กลุ่มไทยเจริญว่าด้วยสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตามคำแถลงของผู้บริหารใหม่ระบุว่า กำลังดำเนินแผนการใหญ่ปรับโฉมพันธุ์ทิพย์ พลาซา จากโมเดล ศูนย์การค้าไอที ให้มีความหมายที่กว้างขึ้นเป็น ศูนย์เทคโนโลยี ซึ่งก็ยังไม่มีภาพให้เห็นชัดเจนตามโมเดลใหม่ ตามแผนการคาดว่าการปรับโฉมใหม่จะแล้วเสร็จในปีหน้า

โมเดลห้างสรรพสินค้าไอทีกำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่อันเนื่องมาจากธุรกิจสื่อสารและไอทีกลายเป็นธุรกิจใหญ่ทรงอิทธิพล และเป็นเครือข่ายธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในสังคมไทย สามารถเข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้น โมเดลธุรกิจจึงมีลักษณะคล้ายเครือข่ายค้าปลีกขนาดเล็ก เปิดศูนย์ธุรกิจและบริการโดยเข้ายึดพื้นที่ค้าปลีกที่สำคัญกระจายอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ ปรากฏการณ์ดังกล่าวย่อมสั่นสะเทือนศูนย์การค้าไอทีดั้งเดิมที่มีเครือข่ายจำกัด

การปรับตัว ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต ล่าสุดเป็นภาพสะท้อนหนึ่งในนั้นด้วย

ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต สร้างมาตั้งแต่ปี 2537 และพัฒนาสู่ความเป็นศูนย์ไอทีและอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2543 กำลังเดินแผนปรับตัวครั้งใหญ่เช่นกันด้วยขยายพื้นที่อีกนับแสนตาราง(Digitainment) แห่งเรียนรู้เทคโนโลยีรูปแบบใหม่ที่มาพร้อมกับความสนุกสนาน" (คำอธิบายนี้ยังปรากฏใน http://www.tccland.com/)
แต่แล้วในอีกไม่กี่ปีถัดมา ต้องปรับโมเดลธุรกิจอีกครั้ง Digital Gateway เปลี่ยนชื่อเป็น Center Point @ Siam square โดยเพิ่งเปิดตัวเมื่อไม่มานมานี้ เปลี่ยนคอนเซ็ปต์จาก IT Mall ซึ่งมีแนวโน้มข้อจำกัดมากขึ้นตามที่กล่าวมาแล้วไปสู่โมเดลที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในกรุงเทพฯช่วงไม่ถึงทศวรรษมานี้--LifeStyle Mall

สอง-โมเดลใหม่ยังไม่ลงตัว

ศูนย์การค้า Gateway Ekamai เปิดตัวไปเมื่อปี 2555

"ศูนย์การค้าเกตเวย์ เอกมัย ตอบสนองวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ด้วยเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากศูนย์การค้าชุมชนที่ผุดอยู่ทั่วไป แตกต่างด้วยบรรยากาศที่นำเอากลิ่นอายของสุนทรียรสแบบญี่ปุ่น นำเสนอให้แก่ลูกค้า ประสานไปกับสถานที่ตั้งที่อยู่ใจกลางของย่านเอกมัย ชุมทางของแหล่งธุรกิจและที่อยู่อาศัย ด้วยขนาดพื้นที่ทั้งหมด 93,000 กว่าตารางเมตร ชูคอนเซ็ปต์ที่รวมวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของชาวญี่ปุ่นไว้ทั้งหมด โดยมีจุดขายหลักกับโซน Japan Town พบกับร้านอาหารจากประเทศญี่ปุ่นที่มาเปิดในไทยเป็นสาขาแรก" นี่คือแนวคิดดั้งเดิม(http://www.gatewayekamai.com/) ศูนย์การค้าแห่งใหญ่ แบรนด์ใหม่ล่าสุดของกลุ่มไทยเจริญ

ถือเป็นโครงการแรก มาพร้อมกับการก่อตั้งกลุ่มธุรกิจค้าปลีกให้แยกออกต่างหาก สะท้อนความเชื่อมั่นในธุรกิจค้าปลีก ประเดิมด้วยโครงการที่เชื่อมมาจากแนวคิดที่หลักแหลมและชัดเจน มาจากการวิเคราะห์อย่างไตร่ตรองเกี่ยวกับสถานการณ์และแนวโน้มใหม่ ๆ ในช่วงเวลานั้น

"กระแสคลื่นธุรกิจญี่ปุ่นลูกใหม่ กำลังถาโถมเข้าสู่วิถีชีวิตของปัจเจกในเมืองหลวงและหัวเมืองอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน" ผมเคยนำเสนอปรากฏการณ์สำคัญไว้ (จากเรื่อง JAPAN CONNECTION ตีพิมพ์ใน "ประชาชาติธุรกิจ" ช่วงปลายปี 2556 ต่อต้นปี 2557) โดยอ้างอิงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ก่อเป็นกระแสครึกโครมในเวลาต่อมา

กลุ่มเซ็นทรัล เป็นผู้บุกเบิกนำร้านอาหารญี่ปุ่นส่งตรงจากญี่ปุ่นเข้ามาตลาดเมืองไทยตั้งแต่ปี 2548 เป็นปรากฏการณ์ต่อเนื่องจากเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากภายในเองมาก่อนหน้า ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่อง

--Fuji เป็นผู้บุกเบิก ค่อย ๆ สร้างเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่น โดยชาวญี่ปุ่นที่ปักหลักอยู่เมืองไทย ใช้เวลาถึง 3 ทศวรรษ

--Oishi ตำนานอันโลดโผน โดยตัน ภาสกรนที เพียงทศวรรษเดียว ต่อมาในปี 2549 ขายกิจการให้กลุ่มไทยเจริญ --ไทยเบฟเวอเรจ จึงกลายเป็นเจ้าของเครือข่ายร้านอาหารญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย

กระแสร้านอาหารญี่ปุ่นเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงปี2550-2554เฉพาะกลุ่มเซ็นทรัลเองนำเข้ามาอีกหลายแบรนด์

ในเวลาเดียวกันนั้น (2554) เครือข่ายร้านเสื้อผ้า Uniqlo แบรนด์ญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วในระดับโลก ถือว่าเทียบเคียงกับแบรนด์อย่าง Mark & Spencer อังกฤษ H&M สวีเดน และ Zara ของสเปน ก็มาเปิดที่เมืองไทย

และแล้วเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกแบบ Convenience Store จากญี่ปุ่น พร้อมใจกันพาเหรดเข้ามาเมืองไทย จากที่มีอยู่เดิมก็ขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ Family Mart ประกาศร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลในปลายปี 2555 Lawsonเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในปี 2556 โดยรวมมือกับสหกรุ๊ป

ปรากฏการณ์ที่สำคัญเกิดขึ้นในปี 2556 กรณีธนาคารญี่ปุ่น-Bank of Tokyo-Mitsubishi UFJ (BTMU) เข้าครอบงำธนาคารไทย-ธนาคารกรุงศรีอยุธยาผมเองเคยอรรถาธิบายเป็นยุทธศาสตร์ธุรกิจญี่ปุ่นในความพยายามเชื่อมสังคมไทยให้แนบแน่นยิ่งขึ้น แม้ว่าญี่ปุ่นประเทศที่ลงทุนมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทยมานาน ครอบคลุมในหลายธุรกิจโดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ธนาคารญี่ปุ่นเข้ามาในเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบ หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วธนาคารกรุงศรีอยุธยาคือธนาคารที่ให้ความสำคัญและมีเครือข่ายลูกค้ารายย่อยมากที่สุด

"จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตามกระแสญี่ปุ่นมาแรงยิ่งขึ้นตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2556 จากมาตรการยกเว้นวีซ่าเข้าญี่ปุ่นให้คนไทยสามารถพำนักได้ 15 วัน จากนั้น Social Media ก็เต็มไปด้วยเรื่องและภาพไลฟ์สไตล์ญี่ปุ่น" ผมเคยสรุปในตอนนั้น

Gateway Ekamai เกิดขึ้นในฐานะ Japan Town ในตอนนั้น เป็นยุทธศาสตร์ธุรกิจที่โอกาสเปิดกว้างจริง ๆ

แต่แล้วผ่านมาเพียง 2 ปี Gateway Ekamai ต้องปรับตัวพอสมควร โดยมีคำอธิบายใหม่ที่กว้างกว่าเดิม "Gateway Ekamai ภาพลักษณ์และรูปแบบใหม่ ภายใต้แนวคิด "Community Shopping Center และเพิ่มเติมด้วย Urban Lifestyle รวบรวมร้านค้าที่หลากหลายเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ชีวิตคนเมืองให้เป็นศูนย์รวมความสุขครบรสสำหรับทุกคนในครอบครัว"

นี่คงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกใหม่จำเป็นต้องข้ามผ่านเมตร เรียกว่า "The Hub" ให้เป็นศูนย์ค้าส่งที่ใหญ่ที่สุดในย่านรังสิต

โครงการที่ดู "คาบลูกคาบดอก" อีกโครงการหนึ่งของไทยเจริญ เกิดขึ้นจากโอกาสที่แตกต่างออกไป แต่ก็มาสู่บทสรุปใกล้เคียงกัน

ในปี 2552 ทีซีซี แลนด์ฯชนะประมูลเข้าพัฒนาพื้นที่เดิมที่เรียกว่า เซ็นเตอร์พอยต์ ในสยามสแควร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นปรับโฉมเปลี่ยนชื่อเป็น"Digital Gateway" เข้าใจว่าพยายามสร้างโมเดลใหม่อย่างผสมผสาน อ้างอิงกับทั้งโมเดลธุรกิจเก่า ศูนย์การค้าไอที และแบรนด์ใหม่ ซึ่งเปิดตัวในเวลาเดียวกันนั้น "Gateway Ekamai" เป็นโมเดลธุรกิจใหม่ที่อ้างว่า "ดิจิเทนเมนต์

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

มองข้ามวิกฤตกรีซดีไหม จีนต่างหากของจริง จับตาฟองสบู่แตก เสี่ยงลามทั้งโลก !!?

ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับตาวิกฤตเงินกู้และสถานการณ์ขัดแย้งของกรีซและสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิดอีกฟากหนึ่งนั้นในภูมิภาคเอเชียกลับมีสถานการณ์ที่ถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆเมื่อในช่วงที่ผ่านมาปรากฎข่าวที่เกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจของจีนที่กำลังเริ่มเผชิญปัญหาหนักอย่างต่อเนื่องและยังมีทีท่าว่าจะยืดเยื้อออกไป

สถานการณ์นี้ทำให้เกจิผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินได้เริ่มออกมาเตือนแล้วว่าความเคลื่อนไหวนี้ต่างหากเป็นสิ่งที่โลกควรจับตาโดยหากส่งผลกระทบต่อโลกเมื่อไหร่วิกฤตกรีซที่หลายคนกำลังให้ความสนใจกันอยู่จะไม่มีทางเทียบได้เลยหากประเมินถึงความจริงที่ว่า จีนคือชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก และมีจีดีพีใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลก เป็นปัจจัยพื้นฐาน!

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า สิ่งที่ทั่วโลกควรให้ความสนใจอย่างแท้จริงตอนนี้ คือ ตลาดหุ้นจีน หาใช่วิกฤตเงินกู้ของกรีซ ที่จริงๆ แล้วมีจีดีพีเพียงเล็กน้อยเทียบได้เท่ากับแค่เศรษฐกิจของคาซัคสถาน อัลจีเรีย หรือกาตาร์เท่านั้น ขณะที่จีดีพีของจีน มีมูลค่าสูงเป็น"อันดับ 1"ของโลก จากการบริโภคของประชากรจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน โดยภาวะที่ตลาดหุ้นจีนกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้คือ ภาวะฟองสบู่ ที่หลายฝ่ายกำลังกังวลหนักกว่ามีสิทธิจะแตกระเบิด และมันจะแพร่ผลกระทบไปทั่วโลก และจะฉุดให้เศรษฐกิจทั่วโลกดิ่งไปตาม ๆ กัน จากผลกระทบของความเป็นยักษ์ใหญ่ผู้บริโภคของจีน

สถานการณ์นั่นคือ ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนได้เกิดพฤติกรรมกระตุ้นตลาดและการเก็งกำไรกันอย่างผิด ๆ โดยปรากฎว่า ประชาชนได้แห่"กู้เงิน"เพื่อซื้อหุ้นในตลาดเซี่ยงไฮ้และตลาดเซิ่นเจิ้น ในช่วงที่รัฐบาลจีนต้องการให้ประชาชนแห่เข้ามาลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ที่รัฐบาลสนับสนุน และปรากฎว่า ภาวะแห่ซื้อหุ้นดังกล่าวได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนและราคาหุ้นเพิ่มสูงอย่างมาก เพราะความคึกคักของตลาดที่มาจากแรงซื้อ(ผิดๆ)ของนักลงทุน ซึ่งก็คือประชาชนจีน ทำให้ตลาดหุ้นกลายเป็นอยู่ในภาวะฟองสบู่ ที่เติบโตอย่างล่อแหลม

ก่อนที่เมื่อเดือนที่แล้ว จะปรากฎสัญญาณร้ายขึ้น เมื่อตลาดหุ้นจีนเริ่มตก และทำให้ประชาชนหรือนักลงทุนทั้งหลายต่างรีบเทขายหุ้นของตัวเอง เพื่อนำเงินไปจ่ายคืนหนี้ที่กู้มาซื้อหุ้นเล่น และภาวะแห่เทขายหุ้นทิ้งดังกล่าวขยายตัวบานปลายฉุดให้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ดิ่งตกอย่างหนัก ขณะที่ว่ากันว่าการที่บรรดาโบรกเกอร์ของบริษัทหลักทรัพย์จีนตั้งคงตั้งหน้าตั้งตากระตุ้นการขายหุ้นให้แก่ประชาชนในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซิ่นเจิ้นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะฟองสบู่ดังกล่าวขึ้น

โดยตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกหากคิดตามมูลค่าของบริษัทได้ตกฮวบถึง 30 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิ.ย.เข้าสู่ภาวะหุ้นหมี ส่วนตลาดเซิ่นเจิ้นที่มีขนาดเล็กกว่า ปรากฎว่าตกหนักเช่นกันและยังหนักกว่า หรือ 31 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเดียวกัน ภาวะหุ้นตกนี้ถือว่าสวนทางเมื่อช่วงต้นปีที่ตลาดหุ้นจีนกำลังเพิ่มมูลค่าของตลาดอย่างมหาศาล ขณะที่ภาวะฟองสบู่มีเค้าว่าจะแย่หนักขึ้นหากนักลงทุนตื่นตระหนกเพราะตระหนักว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทต่าง ๆ



นายไมเคิล เพ็นโต้ ประธานและผู่ก่อตั้งหน่วยบริหารพอร์ตลงทุน"เพ็นโต"บอกว่า การขยายตัวของตลาดหุ้นจีน ไม่ได้ถูกสนับสนุนจากแรงซื้อพื้นฐานที่ถูกต้อง แต่มาจากการกู้ยืมอย่างต่อเนื่องของภาครัฐและพฤติกรรมเก็งกำไรของนักลงทุน ขณะที่นายไล่ หม่า ผู้เชี่ยวชาญแห่งมหาวิทยาลัยวอร์วิค บิสสิเนส ของสหราชอาณาจักร บอกว่า เขาวิตกว่า รัฐบาลจีนอาจเข้าแทรกแซงตลาดด้วยการซื้อหุ้นของบริษัทใหญ่เพื่อให้มูลค่าหุ้นบริษัทเหล่านี้อยู่ในระดับสูงแต่ปล่อยทิ้งไม่สนใจบริษัทที่มีขนาดเล็กกว่าโดยที่ผ่านมาภาวะดังกล่าวจะทำให้เกิดการหลั่งไหลของเงินทุนที่เข้าสนับสนุนบริษัทของรัฐที่มีขนาดใหญ่

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสาเหตุที่เศรษฐกิจจีนทรุดเพราะฟองสบู่แตกจะกระทบต่อโลกภายนอกนั้นก็เหมือนกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 2008 และปี 2000โดยปัจจุบันจีนซึ่งเป็นชาติเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก และเป็นชาติคู่ค้ารายใหญ่อันดับ 2 ของยุโรปและสหรัฐฯ หากเศรษฐกิจจีนทรุด ก็ย่อมกระทบสองชาติคู่ค้าหลักนี้ไปด้วย โดยเฉพาะสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ที่ต่างก็มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ปรากฎว่าธนาคารของสหรัฐฯเข้าไปเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนอย่างมากมาย หรือมากกว่ากรีซถึง 10 เท่า

โดยแรงสะเทือนแรกที่จะเกิดขึ้นก็คือ ปฎิกิริยาของตลาดหุ้นเอเชียจะพากันร่วงดิ่งตกก่อนใครเพื่อน หากจีนยังไม่สามารถยับยั้งภาวะ"เลือดไหลออก"นี้ได้ นอกจากนี้ อีกประการหนึ่ง ก็คือ จีนเป็นประเทศผู้บริโภคสินค้าอุปโภคหลายใหญ่ของโลก หากเศรษฐกิจจีนได้รับผลกระทบ จีนก็จะลดปริมาณการบริโภคดังกล่าว ซึ่งนั่นจะผลกระทบต่อเศรษฐกิจของตลาดนอกประเทศ และส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกด้วย

ขณะที่มาตรการแก้ปัญหาล่าสุดของจีนขณะนี้เพื่อพยุงตลาดก็คือ 1.การให้ธนาคารกลางอัดฉีดเงินทุนเข้าไปยังตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายการซื้อหุ้นแบบมาร์จิ้น ไฟแนนซ์ แต่หากลงทุนผิดพลาดหรือขาดทุน นักลงทุนก็จะต้องถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่คืนอย่างรวดเร็ว 2.บริษัทโบรกเก่อร 21 บริษัทรับปากที่จะใช้เงินกว่า 1,930 ล้านดอลลาร์ ช่วยกันซื้อหุ้นเพื่อพยุงตลาด โดยมีเป้าหมายจะดันให้ดัชนีของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ทะลุ 4,500 จุด ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อเดือนมิ.ย. ก่อนหุ้นดิ่งตก

3.บริษัทที่จดทะเบียนใหม่ 28 บริษัท ได้ระงับการเข้าตลาดชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์ของตลาดหลักทรัพย์และนิ่งและมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้การเข้าตลาดของกลุ่มผลักดันให้ตลาดหุ้นจีน ปั่นป่วนขึ้นไปอีก จากการแห่ซื้อหุ้นจดทะเบียนของบริษัทน้องใหม่เหล่านี้

คงต้องจับตากันว่า มาตรการเหล่านี้จะสามารถฉุดให้จีนพ้นจากวิกฤตฟองสบู่แตกได้หรือไม่ และเชื่อว่านับแต่นี้ไปหลายฝ่ายต้องจับตาดูจีนว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของตัวเองได้อย่างรอดปลอดภัยได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเศรษฐกิจโลกอย่างแน่นอน!

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ระวัง วิกฤตการเงินไทยรอบ 2 !!?

คอลัมน์ : ทิศทางเศรษฐกิจ
โดย อ.พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ

ผ่านพ้นครึ่งปีแรก 2558 ไปอย่างทุลักทุเล เศรษฐกิจการเงินไทยเผชิญปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ มากมายทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในโลกยุคโลกาภิวัตน์ขณะนี้ สถานการณ์วิกฤตในต่างประเทศ ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจการเงินไทยอย่างมาก

หลากหลายปัญหาถาโถมเข้ามาดังนี้ 1) วิกฤตราคาน้ำมันดิบร่วงลงแรงจาก 100 เหรียญสหรัฐ เหลือ 42 เหรียญสหรัฐ แล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาเป็น 60 เหรียญสหรัฐ กดดันให้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานปิโตรเคมีร่วงลงมาก ลากหุ้นไทยอ่อนตัวลงจาก 1,575 จุด ลงมาเหลือเพียง 1,500-1,520 จุด ขณะนี้ที่สำคัญราคาน้ำมันได้ลากราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ลงตามมามาก เช่น ข้าว, ยางพารา, อ้อย, น้ำตาล, มันสำปะหลัง, ทำให้รายได้ของเกษตรกรและผู้ส่งออกลดลงมาก

2) วิกฤตหนี้สินของกรีซ 350,000 ล้านยูโร กดดันให้ตลาดหุ้นยุโรป ค่าเงินยูโรลดลงอย่างมาก ดัชนี DAX เยอรมนีร่วงลงแรงจาก 12,350 จุด ลงมาเหลือเพียง 11,000-11,400 จุด ค่าเงินยูโรไหลลงมาจาก 1.38 เหรียญสหรัฐ/1 ยูโร เหลือเพียง 1.05 เหรียญสหรัฐ/1 ยูโร แล้วเพิ่งจะขยับขึ้นมาเป็น 1.10-1.14 เหรียญสหรัฐ/1 ยูโร ยิ่งกว่านั้นการเจรจาเพื่อขอเงินกู้ก้อนใหม่อีก 7,200 ล้านยูโรก็ยังไม่สำเร็จ อาจส่งผลให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ (Default) และต้องออกจากยูโรโซน ต้องดู 30 มิ.ย.จะตกลงกันได้หรือไม่ ?

ถ้าตกลงกับ EU, IMF, ECB ไม่ได้ อาจก่อให้เกิดวิกฤตการเงินของโลกรอบใหม่กระทบตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกได้

3) วิกฤตเศรษฐกิจ-การเงินไทยรอบ 2 ขณะนี้ในเชิงเทคนิคด้านเศรษฐศาสตร์ถือว่าประเทศไทยสุ่มเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจการเงินรอบ 2 ขึ้นมาใหม่ได้ เพราะมีปัจจัยเสี่ยง (Risk Factors) เข้ามามากมาย ซึ่งล้วนส่งผลลบรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยทั้งสิ้น ได้แก่

3.1 วิกฤตภัยแล้งหนักจากอากาศแล้งจัดผิดปกติ และการบริหารน้ำที่ผิดพลาดใหญ่หลวงของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรฯ และ กฟผ. ทำให้เกิดขาดแคลนน้ำครั้งใหญ่สุดในรอบ 30 ปี น้ำน้อยกว่า 20-30% ของเขื่อนที่ไม่สามารถทำนาปีตามปกติได้, กฟผ.อาจต้องลดการผลิตไฟฟ้าลงเพราะน้ำไม่เพียงพอ อาจเกิดปัญหาน้ำประปาไม่เพียงพอด้วย ส่งผลลบใหญ่หลวงต่อ GDP ซึ่งกระทรวงการคลังแจ้งว่าจะกด GDP ให้ลดลงมา 0.5% แต่ผมว่าจะลดลงมากถึง 0.8-1.0% เลยทีเดียว นั่นหมายถึง GDP ไทย ปี′58 จะลดจาก +3.0 ลงมาเหลือแค่ +2.0 ถึง 2.0%

3.2 ยอดการส่งออกยังคงลดลงต่อเนื่อง สืบเนื่องจากการกดดันบีบคั้นและรังแกโดยสหรัฐอเมริกาและกลุ่ม EU ต่อรัฐบาลทหารของไทย โดยกดดันมาหลายเรื่องดังต่อไปนี้

3.2.1 บีบไทยเข้าสู่ Tier 3 แรงงานประมงไทย หาว่าเป็นแรงงานทาส และขู่จะงดซื้อสินค้าประมงไทย ซึ่งจะเสียหายหนักเพราะไทยส่งออกปีละราวเกือบ 3 แสนล้านบาท (10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) ยังไม่ยอมลดราวาศอกเลย

3.2.2 บีบไทยผ่าน ICAO หาว่ามาตรฐานความปลอดภัย SSM ของไทยต่ำกว่ามาตรฐาน ล่าสุดก็มาปักธงแดงใน Website การบินของไทย บีบไทยด้านสนามบิน, สายการบินต่าง ๆ ของไทย และจะส่งผลกระทบทางลบต่อการท่องเที่ยว, การขนส่งสินค้าทางอากาศ Logistics ของไทย การกระทำของสหรัฐและยุโรปแย่มากที่ต้องการบีบรัฐบาลทหารไทย แต่มาส่งผลเสีย-ผลลบต่อการส่งออก การท่องเที่ยว การขนส่ง และเศรษฐกิจการเงิน การค้าระหว่างประเทศของไทย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจต่อคนไทย การบริหารของไทยอย่างใหญ่หลวงที่สุด

3.2.3 บีบไทยเรื่องผู้หนีภัยโรฮีนจา แทนที่จะไปบีบรัฐบาลพม่าซึ่งเป็นต้นเหตุที่ไม่ยอมรับชาวโรฮีนจาเป็นพลเมืองพม่า แล้วยังฉวยโอกาสอย่างน่าเกลียด ส่งเครื่องบินรบและเรือรบเข้ามาในไทย โดยอ้างว่าจะมาลาดตระเวนช่วยผู้ลี้ภัยโรฮีนจา ซึ่งเป็นการละเมิดอธิปไตยไทยชัดเจน

3.3 ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้น และหนี้เสีย NPL เริ่มสูงขึ้นมาก เราต้องเตือนพี่น้องคนไทยให้บริหารเงิน บริหารการลงทุนให้ดี เพราะครึ่งปีหลังปี′58 จะลำบากยากแค้นมากขึ้น ชาวนา, เกษตรกรสาหัสแน่ เพราะทำนาปลูกพืชผักผลไม้ไม่ได้ น้ำน้อย แล้งจัด รายได้ของเขาก็ต้องลดลงมากแน่ ๆ ธุรกิจ SMEs ก็ต้องระวังให้มาก และต้องเผื่อสภาพคล่องให้ดี ระวังอย่าให้สะดุด ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงให้มากที่สุด แสวงหารายได้เพิ่มขึ้นให้มากในหลาย ๆ ทาง อย่าพึ่งรายได้เพียงแหล่งเดียว จะต้องแสวงหารายได้จากหลาย ๆ แหล่ง และต้องพยายามแสวงหาตลาดใหม่ ๆ, ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พันธบัตรใหม่ ๆ ทั้งด้านการตลาด การเงิน และเครือข่ายใหม่ ๆ

ยอดขายโดยรวมของธุรกิจอาจลดลงเฉลี่ย 10-30%

ดังนั้น ท่านต้องทำงานให้หนักขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ ขยายสู่ผลิตภัณฑ์บริการใหม่ ๆ และลู่ทางทำการค้าการลงทุนใหม่ ๆ รวมทั้งพันธมิตร จึงจะอยู่รอดและเติบโตต่อไปได้

ผมไม่อยากจะเตือนอะไรแรงกว่านี้ เพียงแต่เห็นว่าครึ่งปีหลังปี′58 จะไม่ค่อยสดใส และถ้ารัฐบาลบริหารงานเศรษฐกิจไม่เข้มแข็งพอ จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจการเงินไทยไหลลงสู่หุบเหวอันตราย !

กองทุนฝรั่งเลว ๆ จำนวนมากยังคงจ้องมองทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยที่มีถึง 165,000 ล้านเหรียญสหรัฐตาเป็นมัน ฝรั่งแย่ ๆ เหล่านี้อาจกลับมาโจมตีค่าเงินบาทของไทยได้ทุกเมื่อ รวมทั้งจ้องจะกลับมาซื้อหนี้เสีย NPL ของไทยราคาถูก ๆ แล้วมาตามทวงหนี้แบบมหาโหดเหมือนที่เคยทำเมื่อปี 2540-2542

เราควรแก้ไขกฎหมายของชาติ 11 ฉบับโดยเร็ว เพื่อคืนความเป็นธรรมให้ลูกหนี้คนไทย ควบคุมดอกเบี้ยและการติดตามทวงหนี้มหาโหดของบริษัทบริหารสินทรัพย์ต่างชาติ อย่าให้มาทำร้ายคนไทยอีกต่อไป !

อเมริกาและยุโรปอยู่เบื้องหลังเรื่อง Tier 3, ICAO, โรฮีนจา และอีกหลายเรื่องที่บีบไทยอยู่ในขณะนี้ครับ !

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

แบงก์อ่วมแห่ตัดขาย หนี้เสีย กดราคา หลักประกันต่ำ50 เปอร์เซนต์


แบงก์อ่วมเอ็นพีแอลท่วมหัว แห่ขนหนี้เสียออกมาเทกระจาด ดันซัพพลายล้น จุกซ้ำโดนกดราคาหลักทรัพย์เหลือไม่ถึง 50% SAM ประเมินปีนี้แบงก์ตัดขายหนี้เสีย 4-5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเกือบเท่าตัว เผย "บ้าน-โรงงาน" ยอดฮิต

แหล่งข่าวจากฝ่ายปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคารพาณิชย์เปิดเผยว่า ปัจจุบันจากปัญหาคุณภาพสินเชื่อที่แย่ลงส่งผลให้หนี้กล่าวถึงเป็นพิเศษ (สเปเชียล แมนชั่น) และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในระบบธนาคารพาณิชย์ยังปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การบริหารจัดการหนี้ทำได้ยากลำบากขึ้น เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้ในกลุ่มสินเชื่อเอสเอ็มอีและสินเชื่อรายย่อย โดยแนวทางการบริหารจัดการมีทั้งการปรับโครงสร้างหนี้และตัดขายออกบางส่วน

ทั้งยอมรับว่า การตัดขายหนี้ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ในระยะหลังได้ราคาที่ค่อนข้างต่ำ จากเดิมที่เคยขายในราคาประมาณ 60% ของราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน แต่ปัจจุบันปรับลดลงต่ำกว่านั้นมาก และบางรายอาจขายได้เพียง 40% กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งบางธนาคารไม่มีทางเลือกต้องยอมขายเพราะไม่ต้องการให้ปริมาณหนี้อยู่ในระดับที่สูงเกินไป

"ตอนนี้ขายหนี้ได้ราคาต่ำมาก เพราะซัพพลายในตลาดมีมากกว่าดีมานด์เยอะ ซึ่ง AMC ก็แบกรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเพราะต้องกอดหนี้ไว้นานขึ้น ผลจากที่เศรษฐกิจไม่ดีอาจทำให้คนไม่เชื่อมั่นก็ไม่ค่อยมีใครอยากซื้อ ไม่ว่าจะนำไปทำประโยชน์เองหรือเก็งกำไรก็ตาม" แหล่งข่าวกล่าว

ตัดขายหนี้เสียปีนี้ 4-5 หมื่น ล.

นายชูเกียรติ จิตติไมตรีสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีแรกมีสถาบันการเงิน 5-6 รายนำทรัพย์ทั้งในส่วนของหนี้เอ็นพีแอลและทรัพย์สินรอการขาย (เอ็นพีเอ) เฉพาะส่วนที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันออกมาขายในตลาดสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท เทียบเคียงได้กับการนำทรัพย์ออกมาขายปี 2557 ทั้งปีอยู่ที่ 2-3 หมื่นล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีการนำทรัพย์ออกมาขายไม่น้อยกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ ทรัพย์ที่นำออกมาขายส่วนใหญ่จะเป็นที่ดินและที่อยู่อาศัย คาดว่าจะเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงและปัญหายังลากยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้สภาพคล่องของผู้บริโภคและผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอ่อนกำลังลง

"ส่วนใหญ่การขายทรัพย์ในช่วงครึ่งปีแรกจะเป็นกลุ่มเอสเอ็มอีและรายย่อย ส่วนรายใหญ่น้อยมาก และแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปีนี้น่าจะเห็นการนำทรัพย์ออกมาขายใกล้เคียงหรือมากกว่าครึ่งปีแรก" นายชูเกียรติกล่าว

ขณะที่ราคาหนี้จากเดิมที่บริษัทเคยรับซื้อประมาณ 50-70% ของราคาหลักทรัพย์ค้ำประกัน ก็ปรับลดลงเล็กน้อยประมาณ 1-5% แม้ปริมาณหนี้เสียในระบบจะมากขึ้น แต่คุณภาพหนี้โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ส่วนที่สถาบันการเงินต้องทยอยตัดขายทรัพย์ออกมาก็เพื่อรักษาระดับเอ็นพีแอลให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และสามารถดึงสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญกลับมาเป็นกำไรได้โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ารับซื้อทรัพย์เข้ามาบริหารประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อหนี้เข้ามาบริหารเพิ่ม ซึ่งได้เจรจากับสถาบันการเงินในหลักการเรียบร้อยแล้ว แต่รูปแบบการชำระเงินอาจเปลี่ยนเป็นการแบ่งชำระเป็นงวด ๆ จากเดิมที่จ่ายเป็นเงินสด

SCB-KTB ทยอยตัดขายหนี้

ขณะที่นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในไตรมาส 1/2558 เอ็นพีแอลของธนาคารอยู่ที่ 2.13% ถือเป็นระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่การบริหารจัดการต้องพิจารณาอย่างละเอียดมากขึ้น

"เราต้องดูอย่างละเอียดว่าหนี้ส่วนไหนที่จะขายหรือส่วนไหนที่จะเก็บไว้บริหารเอง ที่ขายออกไปมีเยอะ ทั้งกลุ่มโรงงาน บ้าน เป็นต้น ส่วนสินเชื่อใหม่ต้องระวังมากขึ้นเพื่อให้ของที่อยู่ในบุ๊กมีตำหนิน้อยที่สุด ซึ่งบางกลุ่มก็ยังเหนื่อย บางกลุ่มดีขึ้น แต่โดยภาพรวมหนี้เสียน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว" นายญนน์กล่าว

ด้านนายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารได้ขายหนี้ออกไปบางส่วนแล้ว แต่มีสัดส่วนไม่มาก เนื่องจากธนาคารจะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเองมากกว่า ในส่วนของราคาต้องยอมรับว่าตอนนี้มีซัพพลายในตลาดมากกว่าดีมานด์ค่อนข้างมาก

"แบงก์มีการขายออกบ้าง ถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการของแบงก์พาณิชย์ เพราะการขายออกจะทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวลดลงทันที แต่วัฒนธรรมของเราคือต้องพยายามช่วยเหลือลูกค้าให้ถึงที่สุดก่อน โดยหนี้ที่แบงก์ขายหลากหลายแต่ถ้าเป็นหนี้รายใหญ่จะได้ราคาดี" นายวรภัคกล่าว

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ปริมาณหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1/2557 ขณะที่ทิศทางไตรมาส 2/2558 น่าจะชะลอลงบ้าง ซึ่งที่ผ่านมาธนาคารเข้าไปให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างเต็มที่ โดยการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอล เพื่อให้ลูกค้ายังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ แต่หากไม่สามารถบริหารจัดการได้แล้วธนาคารต้องตัดขายออก ซึ่งธนาคารจะต้องประเมินว่าจะบริหารจัดการเองหรือตัดขาย ส่วนไหนจะได้รับผลตอบแทนมากกว่า โดยปัจจุบันเอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับประมาณ 2.8-3% และคาดว่าจะปรับลดลงในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้

เอสเอ็มอีแบงก์ขายหนี้หมื่นล้าน

นายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ในปี 2558 ธนาคารมีแผนจะตัดหนี้สูญรวม 3,500 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาได้ตัดหนี้สูญไปแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท จากลูกหนี้ประมาณ 900 ราย ทั้งยังมีแผนขายหนี้เอ็นพีแอลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์รวม 7,000 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้มีการขายหนี้ไปแล้วกว่า 2,600 ล้านบาท และล่าสุดเพิ่งลงนามกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชยการ จำกัด (บสก.) อีก 1,150 ล้านบาท

โดยการตัดขายหนี้ดังกล่าวเป็นไปตามแผนที่ต้องการลดเอ็นพีแอลในพอร์ตให้เหลือ 2 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปีนี้ หรือประมาณ 20% จาก ณ สิ้นเดือน พ.ค.อยู่ที่ 2.87 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 33.29%

ด้านนางพรนิภา หาชัยภูมิ กรรมการและผู้จัดการ บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.) กล่าวว่า บตท.มีแผนขายหนี้เอ็นพีแอลให้บริษัทบริหารสินทรัพย์ประมาณ 200 ล้านบาท โดยจะต้องมีการเจรจาเรื่องราคาซื้อขายกันอีกที แต่เชื่อว่าราคาน่าจะยังดี เพราะเป็นหนี้ที่อยู่อาศัยที่มีหลักประกันคุ้มค่า

ทั้งนี้ สำหรับผลดำเนินงาน 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า สภาพตลาดปีนี้คนกู้สินเชื่อได้น้อยลง แบงก์ก็ระมัดระวังในการปล่อยกู้ และลูกหนี้ที่อยู่ในพอร์ตก็มีอัตราหนี้เสียเพิ่มขึ้น โดยเท่าที่เห็นไม่ได้ขึ้นจากพอร์ตใดพอร์ตหนึ่ง แต่มาจากทุกธนาคารกระจายตัว

นอกจากนี้ เมื่อ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมาทางธนาคารธนชาต ได้ลงนามโอนสิทธิเรียกร้องหนี้ด้อยคุณภาพของสินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิตและเช่าซื้อรถยนต์ มูลค่า 3,819 ล้านบาท ให้กับ บริษัทบริหารสินทรัพย์เจ จำกัด บริษัทย่อยของบริษัทเจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน)

Q2 เอ็นพีแอลแบงก์พุ่งหมื่น ล.

นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) ประเมินช่วงไตรมาส 2/58 ผลประกอบการกลุ่มธนาคารพาณิชย์จะยังคงไม่ดีนัก เนื่องจากคาดว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ทั้งระบบน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกราว 1 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสที่ 1/58 ที่มีการปรับเพิ่มขึ้นราว 2 หมื่นล้านบาท ทำให้ยอดเอ็นพีแอลไตรมาส 2/58 ของทั้งอุตสาหกรรมขยับตัวขึ้นมาอยู่ที่ราว 3.1% ของยอดสินเชื่อ จากไตรมาส 1/58 อยู่ที่ระดับ 3%

ขณะเดียวกันธนาคารยังได้รับปัจจัยลบทางตรงจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จึงส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของทั้งอุตสาหกรรมในไตรมาส 2/58 น่าจะปรับตัวลดลงเหลือราว 2.95% จากไตรมาส 1/58 อยู่ที่ 3% ทำให้ภาพรวมของกลุ่มธนาคารในไตรมาส 2 ยังคงไม่ดีนัก และคาดว่าเอ็นพีแอลก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปีนี้

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////