อากาศระหว่างธันวาคม 2557 มาถึงเดือนมกราคม 2558 ปีนี้ เย็นลงผิดปกติ ยิ่งขึ้นไปทางเหนือและทางภาคอีสานอุณหภูมิยิ่งลดลงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดบรรยากาศเย็นสบาย ช่วงเทศกาลปีใหม่มีวันหยุดหลายวัน จึงเห็นคนกรุงเทพฯขึ้นไปทางเหนือทางอีสานกันมาก ประกอบกับคนที่ลงมาทำงานอยู่กรุงเทพฯก็เดินทางกลับบ้าน กรุงเทพฯจึงหลวม โหรงเหรง จะขับรถไปไหนก็สะดวก ที่เคยใช้เวลา 2 ชั่วโมงในชั่วโมงเร่งด่วนก็ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีเป็นอย่างมาก หลายคนอยากให้เป็นอย่างนี้นานๆ คนกรุงเทพฯคงมีความสุขโดยไม่ต้องมีใครเอาความสุขมาคืนให้
ทุกวันนี้พวกเราประชาชนเป็นเหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถม ที่ทุกวันศุกร์และวันจันทร์จะมีครูใหญ่ลุกขึ้นมาอบรมสั่งสอนให้รู้จักรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้รู้จักหน้าที่ อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าคลั่งประชาธิปไตยนัก บ้านเมืองที่เป็นอยู่เพราะเราคลั่งประชาธิปไตยจนเกินไป อยู่เฉยๆ แล้วจะนำความสุขมาให้
บรรยากาศของฤดูหนาว บรรยากาศของวันหยุดยาว แม้จะเป็นบรรยากาศที่ไม่แออัด เบียดเสียด หลวมๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งพร้อมๆ กันไป คือบรรยากาศทางการเมืองและบรรยากาศทางเศรษฐกิจ
ความซบเซาทางเศรษฐกิจ พักนี้ผู้คนทุกระดับชั้นสามารถรู้สึกได้ ยกเว้นแต่มนุษย์เงินเดือนที่ยังคงรับเงินเดือนตามปกติ แต่ก็มีความรู้สึกว่าบริษัทที่ตนทำงานอยู่ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าปี 2558 นี้ ฐานะหรือผลการดำเนินงานของบริษัทอาจจะไม่ดีเท่าปีที่ผ่านมา เพราะบริษัทเริ่มรณรงค์ให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ การรับพนักงานเพิ่มคงจะไม่มี มีแต่จะสนับสนุนให้เกษียณก่อนกำหนด เริ่มมีป้ายปิดประกาศให้ประหยัดไฟประหยัดน้ำกันบ้างแล้ว บรรยากาศเช่นว่านี้เริ่มเกิดขึ้น ฝ่ายการตลาดต้องเข้ามารายงานยอดขายในการประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการถี่ขึ้น ต้องวางแผนการตลาดตั้งเป้าหมายยอดขายให้ทะมัดทะแมงขึ้น โดยไม่ต้องมาของบประมาณค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจะเห็นว่ากระเช้าของขวัญก็ดี ของชำร่วยก็ดี ปีใหม่ปีนี้ลดน้อยลงค่อนข้างมาก
ในชนบท บรรยากาศของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นรถปิกอัพ รถยนต์นั่ง จักรยานยนต์ ปริมาณการซื้อขายลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง หลายคนอาจจะโทษนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลที่แล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้คนรีบซื้อรถยนต์เพื่อจะได้ลดภาษี แต่มันก็ผ่านไป 2 ปีแล้วภาวะตลาดก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ดีที่ตลาดส่งออกยังพอไปได้ แต่บรรยากาศตลาดในประเทศเงียบเหงา
ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะประเมิน แต่ก็เชื่อได้ว่าบรรยากาศก็คงจะเงียบเหงาซบเซาเหมือนๆ กันเพราะความถี่ของการโฆษณามีน้อยลง
ที่เป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันแล้ว เพราะรายได้ของครัวเรือนทั้งในชนบทและในเมืองลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะราคาสินค้าเกษตรหลักของเราพร้อมหน้าพร้อมตากันลดลง แม้แต่ราคาน้ำมันดิบที่เคยมีราคาสูงกว่า 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงมาเหลือเพียง 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคายางพารา ราคาอ้อยและน้ำตาล ราคามันสำปะหลังและราคาข้าว ยังมองไม่เห็นว่าจะฟื้นตัวอย่างไร ถ้าราคาน้ำมันยังอยู่ที่พื้นอย่างนี้
มิหนำซ้ำ สหภาพยุโรป ซึ่งตั้งเป้าอยู่แล้วว่าจะตัดสิทธิการลดภาษีศุลกากรของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย เราจึงเร่งเจรจาสนธิสัญญาเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับยุโรปให้ทันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2558 แต่บังเอิญเรามีการรัฐประหาร ทำให้เราไม่เป็นประเทศประชาธิปไตย เขาเลยไม่เจรจาด้วย คงจะเสียหายไปหลายหมื่นล้านเหรียญ สินค้าที่จะกระทบหนักก็คงจะได้แก่ กุ้งแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก หมูแฮม อาหารกระป๋อง ซึ่งเป็นสินค้าจากภาคอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากภาคเกษตร โรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ โรงงานเหล่านี้ใช้แรงงานค่อนข้างมากเสียด้วย จะมีผลกระทบต่อการว่างงานหรือไม่ก็ต้องคอยดู แต่ก็ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไปเลย
ที่เห็นชัดอีกอันหนึ่งก็คือ การก่อสร้างหรือภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เงียบเหงา สังเกตได้จากแรงงานพม่าเริ่มอพยพกลับประเทศ เพราะงานในเมืองไทยน้อยลง แต่งานก่อสร้างในพม่ากำลังคึกคัก
เมื่อภาคเกษตรในชนบท การประมงในต่างจังหวัด ซบเซาไม่คึกคัก กำลังซื้อลดลง ก็คงจะพาให้ภาคการผลิตอย่างอื่นอันได้แก่ภาคอุตสาหกรรมและภาคพาณิชยกรรม การค้าปลีกค้าส่งพลอยซบเซาไปด้วย เคยไปเดินเล่นที่ตลาดนัด 2-3 แห่ง รวมทั้งตลาดนัดจตุจักร บรรยากาศก็ฟ้องเหมือนกันว่าเงียบเหงาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สอบถามพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดนัดจตุจักรก็ได้ความว่ายอดขายลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ลูกค้าคนไทยลดลง ลูกค้าต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ ก็ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ แม่ค้าพ่อค้าโอดครวญว่ายังไม่เคยเห็นเศรษฐกิจซบเซาอย่างนี้มาก่อนในรอบหลายปี
สำหรับบรรยากาศทางการเมืองยิ่งรู้สึกโหวงเหวง ว่างเปล่า เพราะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจจะกำหนดมาให้ปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ดูทีวีก็ดูแต่ละคร ละครจบแล้วก็จบ จะดูข่าวก็ดูไปอย่างนั้น ไม่รู้สึกว่าตนจะต้องไปยุ่งเกี่ยว วิพากษ์วิจารณ์ก็คงไม่ได้
เมื่อฟังว่าจีนจะได้สัมปทานทำรถไฟรางคู่ไปหนองคาย ไปเชียงใหม่ ญี่ปุ่นจะทำจากมาบตาพุดไปทวาย จะมีการประมูลหรือไม่ก็ไม่ทราบ ราคาเท่าไหร่ก็ยังไม่ทราบ ราคาที่พูดจะถูกหรือแพงก็ไม่ทราบ เพราะดูเหมือนจะไม่มีประมูลระหว่างประเทศ อยู่ๆ จีนก็โชคดีไป โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ก็รับทราบ ไม่มีความเห็นจากใคร ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนหรือใครก็ตาม
รัฐธรรมนูญที่กำลังร่าง ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ใครทราบว่าหน้าตาจะออกมาอย่างไร หลายคนเชื่อว่าร่างไว้เสร็จแล้ว แต่แกล้งปล่อยข่าวให้ฮือฮากันก่อนแก้เหงา เห็นเชิญทูตเยอรมันไปชี้แจง เชิญอาจารย์รัฐศาสตร์ที่เรียนมาจากเยอรมันมาชี้แจงว่า ระบบการเลือกตั้งเยอรมันดี ก็ไม่มีใครเข้าใจว่ามันดีอย่างไร ไม่เข้าใจวิธีการเลือกตั้งว่าเป็นแบบไหน อย่างไร ดูคนจะสนใจน้อยมาก ในสภากาแฟ ในวงเหล้า ถ้าจะพูดกันเรื่องรัฐธรรมนูญเห็นจะวงแตกเพราะไม่มีใครรู้ว่าตนต้องการแบบไหนเพราะไม่ได้สนใจ
จะเขียนอย่างไรก็ตามใจ อย่าให้ระบอบที่แล้วกลับมาอีกก็แล้วกัน ซึ่งก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี อยากเขียนอะไรก็เขียนไป เพราะคงใช้ไม่ได้นาน เพราะจะเป็นรัฐธรรมนูญแปลกๆ ตลกๆ แบบไทยๆ
ยิ่งเรื่องการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ยิ่งไปกันใหญ่ ผู้คนยังไม่รู้ว่ามีความจำเป็นอะไรต้องปฏิรูป ดูสภาปฏิรูปก็เป็นผู้คนประเภทเดียวกันกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งสิ้น แล้วจะปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปรูปแบบของรัฐ จากรัฐเดี่ยวเป็นสภารัฐ หรือจากระบอบรัฐสภาเป็นระบอบเลือกหัวหน้ารัฐบาลโดยตรงโดยไม่ต้องมาจากรัฐสภาแล้วก็แยกอำนาจกันเด็ดขาด ต่อมาก็บอกว่าไม่เอา จะเอาอย่างเก่า แต่ขนาดของสภาผู้แทนราษฎรต้องเล็กลง วุฒิสภาต้องใหญ่ขึ้น วุฒิสภามีทั้งแต่งตั้งและเลือกตั้ง ส่วนนายกรัฐมนตรีอาจจะต้องมีคุณสมบัติแปลกๆ เพื่อไม่ให้นักการเมืองเก่ากลับมาอีก เหมือนกับเคยคิดเคยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2517 ที่พยายามจะกันไม่ให้ทหารกลับมาทำรัฐประหารพาประเทศถอยหลังเข้าคลองอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ตอนนั้นผู้คนกระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมในทางการเมือง ผู้คนมีความหวังว่าประเทศจะพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ
ไม่เหมือนตอนนี้ ผู้คนในกรุงเทพฯหมดความสนใจเรื่องการเมือง เรื่องรัฐบาล เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องพรรคการเมือง สื่อมวลชนก็เห็นดีเห็นงามกับระบอบการปกครองโดยทหาร การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การใช้กฎอัยการศึก ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว อยู่อย่างนี้นานๆ ก็ยิ่งดี จะมีรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งไปทำไม แม้แต่ชาวชนบท ราคายางจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ ราคาข้าว ราคาอ้อย ราคากุ้ง ราคาสินค้าจะเป็นอย่างไรก็ได้ ไม่คึกคัก เหมือนเมื่อก่อน
น่าจะเป็นโอกาสดีของทหารที่ผู้คนสงบเงียบ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่มีคนค้าน ไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ สื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ เงียบหมด เพราะกลัวตาย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเก่งกว่านี้มาก ดังนั้นโครงการใหญ่ๆ ที่เมื่อก่อนพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชนเคยขัดแข้งขัดขา บัดนี้ไม่มีแล้ว โครงการเหล่านั้นก็ควรจะได้สร้างให้สำเร็จเสียที จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลมากกว่า
ส่วนการปฏิรูป ปฏิวัติ ปฏิสังขรณ์ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก
ที่มา.มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น