--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

คงสงบยาก !!?



โดย: พระพยอม กัลยาโณ

คำว่า “เสียของ” หรือ “เสียเวลาเปล่า” แต่ละเรื่องราว แต่ละครั้ง มักจะเกิดขึ้นเสมอ ความหวังที่ตั้งเป้าหมายมักจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดความต่อเนื่องมีเรื่องที่ต้องขยายความ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกันมากขึ้น โดยเฉพาะการถอดถอนคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ บางคนบอกว่าไม่มีใครเคลื่อนไหว ไม่มีใครกล้าสู้ปากกระบอกปืน แต่ลึกๆยังมีคำวิจารณ์ออกมาจากทั้ง 2 ฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งวิจารณ์อย่างนั้นอย่างนี้ อีกฝ่ายหนึ่งก็ทำท่าทำทีไม่ค่อยดี ตอบกันไปโต้กันมา ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามกับช่องแดงมักพูดแสลงใจ โดยบอกว่าย้อนรำลึกไปเมื่อตอนอยู่ในม็อบ เห็นหน้านายกฯปูแล้วอยากไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ซึ่งคำเหล่านี้ยังออกอากาศกันอยู่ แล้วทางนี้ก็เริ่มพูดกันว่าปรองดองยากแล้ว จะไม่ยอมปรองดองกับใคร ทำท่าว่าเรื่องที่เดินมาจะเหน็ดเหนื่อยเปล่า

คำว่า “ปรองดอง” หันหลังกลับไปอยู่ตรงไหนไม่รู้ จะเริ่มต้นเดินหน้ากันยังไงในเมื่อต่างฝ่ายต่างอัดใส่กันชนิดตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ยังมีสวรรค์รำไรมาให้เห็นบ้าง อย่างคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเป็นประชาธิปไตยฉายแสงออกมาหลังจากนายกฯปูถูกชี้มูลความผิดไปแล้ว ที่ทางฝ่ายโน้นบอกอย่าชี้แจงเลย กลัวจะเป็นการปลุกระดมกันขึ้นมา คุณอภิสิทธิ์บอกว่าไม่เห็นด้วยกับการที่จะไม่ให้โอกาสชี้แจง

แต่ยังชะลออารมณ์คนได้นิดหนึ่ง ที่ปล่อยคุณนิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา กับคุณสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา ถ้าถอดถอนหมดน่ากลัวอารมณ์น่าจะกระพือมากกว่านี้ ตอนนี้เห็นว่ามี 2-3 ช่องเริ่มเหมือนจะท้ากันอยู่ เหยียบย่ำซ้ำเติมกัน ฝ่ายที่ชนะมักเยาะเย้ย ถากถาง ระเริงเหลิงหลง ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต้องเลียแผล เคียดแค้น อยากจะเอาคืน ถ้าไม่เอาคืนก็ต้องเรียกว่าหวานอมขมกลืน แม้จะยอมสงบ

แต่ลึกๆของจิตใจไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร เผลอๆอาจจะแรงกว่าเก่า ถ้าเป็นอย่างนี้ความสงบ ความเจริญก้าวหน้าคงเกิดยาก ความปรองดองอาจเป็นอย่างที่เรียกกันว่า “เลือดท่วมท้องช้าง” คนจะได้สติกลับมาคุยกันหลังเกิดมิคสัญญี พอคนเป็นทุกข์เป็นร้อน ล้มหายตายจาก ก็จะมานั่งคิดว่าเราไม่น่ารุกเร้ากันถึงขนาดนี้ เรียกว่าต้องรอให้ธรรมชาติสอน

ตอนนี้จะเอาศาสนา เอาธรรมะ มาสอนมันยากไปหมดแล้ว ที่สำคัญการที่จะให้เกิดความปรองดอง แต่ไม่เป็นธรรม จะทำให้รู้สึกอึดอัด ขอฝากว่า จะถอดถอนอะไรก็ขอให้ทำอย่างทั่วถึง ไม่ใช่ทำข้างหนึ่งแต่อีกข้างหนึ่งไม่ทำ จะเกิดจี้อารมณ์กันได้ จี้ไปจี้มาจะระเบิดขึ้นมาอีก คราวนี้น่าจะไม่มีคำว่าเงียบง่าย จบเร็ว แต่จะยืดเยื้อรื้อรังอย่างชนิดที่เกินคาด เกินคิดก็ได้ ช่วยกันระงับ ระวังกันหน่อย อย่าปล่อยให้บ้านเมืองบอบช้ำมากไปกว่านี้เลย

เจริญพร

คอลัมน์ : สำนักข่าวพระพยอม
///////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2558

บรรยากาศเหงาและเงียบ !!?


โดย.วีรพงษ์ รามางกูร

อากาศระหว่างธันวาคม 2557 มาถึงเดือนมกราคม 2558 ปีนี้ เย็นลงผิดปกติ ยิ่งขึ้นไปทางเหนือและทางภาคอีสานอุณหภูมิยิ่งลดลงมากกว่าปกติ ทำให้เกิดบรรยากาศเย็นสบาย ช่วงเทศกาลปีใหม่มีวันหยุดหลายวัน จึงเห็นคนกรุงเทพฯขึ้นไปทางเหนือทางอีสานกันมาก ประกอบกับคนที่ลงมาทำงานอยู่กรุงเทพฯก็เดินทางกลับบ้าน กรุงเทพฯจึงหลวม โหรงเหรง จะขับรถไปไหนก็สะดวก ที่เคยใช้เวลา 2 ชั่วโมงในชั่วโมงเร่งด่วนก็ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีเป็นอย่างมาก หลายคนอยากให้เป็นอย่างนี้นานๆ คนกรุงเทพฯคงมีความสุขโดยไม่ต้องมีใครเอาความสุขมาคืนให้

ทุกวันนี้พวกเราประชาชนเป็นเหมือนเด็กนักเรียนชั้นประถม ที่ทุกวันศุกร์และวันจันทร์จะมีครูใหญ่ลุกขึ้นมาอบรมสั่งสอนให้รู้จักรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ให้รู้จักหน้าที่ อย่าทะเลาะเบาะแว้ง อย่าคลั่งประชาธิปไตยนัก บ้านเมืองที่เป็นอยู่เพราะเราคลั่งประชาธิปไตยจนเกินไป อยู่เฉยๆ แล้วจะนำความสุขมาให้

บรรยากาศของฤดูหนาว บรรยากาศของวันหยุดยาว แม้จะเป็นบรรยากาศที่ไม่แออัด เบียดเสียด หลวมๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งพร้อมๆ กันไป คือบรรยากาศทางการเมืองและบรรยากาศทางเศรษฐกิจ

ความซบเซาทางเศรษฐกิจ พักนี้ผู้คนทุกระดับชั้นสามารถรู้สึกได้ ยกเว้นแต่มนุษย์เงินเดือนที่ยังคงรับเงินเดือนตามปกติ แต่ก็มีความรู้สึกว่าบริษัทที่ตนทำงานอยู่ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าปี 2558 นี้ ฐานะหรือผลการดำเนินงานของบริษัทอาจจะไม่ดีเท่าปีที่ผ่านมา เพราะบริษัทเริ่มรณรงค์ให้ประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ การรับพนักงานเพิ่มคงจะไม่มี มีแต่จะสนับสนุนให้เกษียณก่อนกำหนด เริ่มมีป้ายปิดประกาศให้ประหยัดไฟประหยัดน้ำกันบ้างแล้ว บรรยากาศเช่นว่านี้เริ่มเกิดขึ้น ฝ่ายการตลาดต้องเข้ามารายงานยอดขายในการประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการถี่ขึ้น ต้องวางแผนการตลาดตั้งเป้าหมายยอดขายให้ทะมัดทะแมงขึ้น โดยไม่ต้องมาของบประมาณค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนั้นเราจะเห็นว่ากระเช้าของขวัญก็ดี ของชำร่วยก็ดี ปีใหม่ปีนี้ลดน้อยลงค่อนข้างมาก

ในชนบท บรรยากาศของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค ไม่ว่าจะเป็นรถปิกอัพ รถยนต์นั่ง จักรยานยนต์ ปริมาณการซื้อขายลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง หลายคนอาจจะโทษนโยบายรถยนต์คันแรกของรัฐบาลที่แล้วเมื่อ 2 ปีก่อน ทำให้คนรีบซื้อรถยนต์เพื่อจะได้ลดภาษี แต่มันก็ผ่านไป 2 ปีแล้วภาวะตลาดก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติ ดีที่ตลาดส่งออกยังพอไปได้ แต่บรรยากาศตลาดในประเทศเงียบเหงา

ส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ทีวี เครื่องคอมพิวเตอร์ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ อาจจะยังเร็วเกินไปที่จะประเมิน แต่ก็เชื่อได้ว่าบรรยากาศก็คงจะเงียบเหงาซบเซาเหมือนๆ กันเพราะความถี่ของการโฆษณามีน้อยลง

ที่เป็นเช่นนี้ก็คงจะไม่ต้องอธิบายกันแล้ว เพราะรายได้ของครัวเรือนทั้งในชนบทและในเมืองลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะราคาสินค้าเกษตรหลักของเราพร้อมหน้าพร้อมตากันลดลง แม้แต่ราคาน้ำมันดิบที่เคยมีราคาสูงกว่า 115 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงมาเหลือเพียง 48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคายางพารา ราคาอ้อยและน้ำตาล ราคามันสำปะหลังและราคาข้าว ยังมองไม่เห็นว่าจะฟื้นตัวอย่างไร ถ้าราคาน้ำมันยังอยู่ที่พื้นอย่างนี้

มิหนำซ้ำ สหภาพยุโรป ซึ่งตั้งเป้าอยู่แล้วว่าจะตัดสิทธิการลดภาษีศุลกากรของสินค้าเกษตรและอาหารของไทย เราจึงเร่งเจรจาสนธิสัญญาเขตการค้าเสรี หรือ FTA กับยุโรปให้ทันก่อนวันที่ 1 มกราคม 2558 แต่บังเอิญเรามีการรัฐประหาร ทำให้เราไม่เป็นประเทศประชาธิปไตย เขาเลยไม่เจรจาด้วย คงจะเสียหายไปหลายหมื่นล้านเหรียญ สินค้าที่จะกระทบหนักก็คงจะได้แก่ กุ้งแช่แข็ง ไก่สดแช่แข็ง อาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก หมูแฮม อาหารกระป๋อง ซึ่งเป็นสินค้าจากภาคอุตสาหกรรมที่ต่อเนื่องจากภาคเกษตร โรงงานชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ โรงงานเหล่านี้ใช้แรงงานค่อนข้างมากเสียด้วย จะมีผลกระทบต่อการว่างงานหรือไม่ก็ต้องคอยดู แต่ก็ทำให้บรรยากาศเงียบเหงาไปเลย

ที่เห็นชัดอีกอันหนึ่งก็คือ การก่อสร้างหรือภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เงียบเหงา สังเกตได้จากแรงงานพม่าเริ่มอพยพกลับประเทศ เพราะงานในเมืองไทยน้อยลง แต่งานก่อสร้างในพม่ากำลังคึกคัก

เมื่อภาคเกษตรในชนบท การประมงในต่างจังหวัด ซบเซาไม่คึกคัก กำลังซื้อลดลง ก็คงจะพาให้ภาคการผลิตอย่างอื่นอันได้แก่ภาคอุตสาหกรรมและภาคพาณิชยกรรม การค้าปลีกค้าส่งพลอยซบเซาไปด้วย เคยไปเดินเล่นที่ตลาดนัด 2-3 แห่ง รวมทั้งตลาดนัดจตุจักร บรรยากาศก็ฟ้องเหมือนกันว่าเงียบเหงาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

สอบถามพ่อค้าแม่ค้าที่ตลาดนัดจตุจักรก็ได้ความว่ายอดขายลดลงประมาณครึ่งหนึ่ง ลูกค้าคนไทยลดลง ลูกค้าต่างชาติ เช่น จีน อินเดีย บังกลาเทศ ก็ลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ แม่ค้าพ่อค้าโอดครวญว่ายังไม่เคยเห็นเศรษฐกิจซบเซาอย่างนี้มาก่อนในรอบหลายปี

สำหรับบรรยากาศทางการเมืองยิ่งรู้สึกโหวงเหวง ว่างเปล่า เพราะไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องของเรา เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจจะกำหนดมาให้ปฏิบัติ ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่ดูทีวีก็ดูแต่ละคร ละครจบแล้วก็จบ จะดูข่าวก็ดูไปอย่างนั้น ไม่รู้สึกว่าตนจะต้องไปยุ่งเกี่ยว วิพากษ์วิจารณ์ก็คงไม่ได้

เมื่อฟังว่าจีนจะได้สัมปทานทำรถไฟรางคู่ไปหนองคาย ไปเชียงใหม่ ญี่ปุ่นจะทำจากมาบตาพุดไปทวาย จะมีการประมูลหรือไม่ก็ไม่ทราบ ราคาเท่าไหร่ก็ยังไม่ทราบ ราคาที่พูดจะถูกหรือแพงก็ไม่ทราบ เพราะดูเหมือนจะไม่มีประมูลระหว่างประเทศ อยู่ๆ จีนก็โชคดีไป โครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิระยะที่ 2 ก็รับทราบ ไม่มีความเห็นจากใคร ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชนหรือใครก็ตาม

รัฐธรรมนูญที่กำลังร่าง ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครรู้ใครทราบว่าหน้าตาจะออกมาอย่างไร หลายคนเชื่อว่าร่างไว้เสร็จแล้ว แต่แกล้งปล่อยข่าวให้ฮือฮากันก่อนแก้เหงา เห็นเชิญทูตเยอรมันไปชี้แจง เชิญอาจารย์รัฐศาสตร์ที่เรียนมาจากเยอรมันมาชี้แจงว่า ระบบการเลือกตั้งเยอรมันดี ก็ไม่มีใครเข้าใจว่ามันดีอย่างไร ไม่เข้าใจวิธีการเลือกตั้งว่าเป็นแบบไหน อย่างไร ดูคนจะสนใจน้อยมาก ในสภากาแฟ ในวงเหล้า ถ้าจะพูดกันเรื่องรัฐธรรมนูญเห็นจะวงแตกเพราะไม่มีใครรู้ว่าตนต้องการแบบไหนเพราะไม่ได้สนใจ

จะเขียนอย่างไรก็ตามใจ อย่าให้ระบอบที่แล้วกลับมาอีกก็แล้วกัน ซึ่งก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเขียนอย่างไรดี อยากเขียนอะไรก็เขียนไป เพราะคงใช้ไม่ได้นาน เพราะจะเป็นรัฐธรรมนูญแปลกๆ ตลกๆ แบบไทยๆ

ยิ่งเรื่องการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ยิ่งไปกันใหญ่ ผู้คนยังไม่รู้ว่ามีความจำเป็นอะไรต้องปฏิรูป ดูสภาปฏิรูปก็เป็นผู้คนประเภทเดียวกันกับผู้ร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ทั้งสิ้น แล้วจะปฏิรูปกฎหมาย ปฏิรูปรูปแบบของรัฐ จากรัฐเดี่ยวเป็นสภารัฐ หรือจากระบอบรัฐสภาเป็นระบอบเลือกหัวหน้ารัฐบาลโดยตรงโดยไม่ต้องมาจากรัฐสภาแล้วก็แยกอำนาจกันเด็ดขาด ต่อมาก็บอกว่าไม่เอา จะเอาอย่างเก่า แต่ขนาดของสภาผู้แทนราษฎรต้องเล็กลง วุฒิสภาต้องใหญ่ขึ้น วุฒิสภามีทั้งแต่งตั้งและเลือกตั้ง ส่วนนายกรัฐมนตรีอาจจะต้องมีคุณสมบัติแปลกๆ เพื่อไม่ให้นักการเมืองเก่ากลับมาอีก เหมือนกับเคยคิดเคยเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2517 ที่พยายามจะกันไม่ให้ทหารกลับมาทำรัฐประหารพาประเทศถอยหลังเข้าคลองอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ตอนนั้นผู้คนกระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมในทางการเมือง ผู้คนมีความหวังว่าประเทศจะพัฒนาไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม เทียบเท่ากับนานาอารยประเทศ

ไม่เหมือนตอนนี้ ผู้คนในกรุงเทพฯหมดความสนใจเรื่องการเมือง เรื่องรัฐบาล เรื่องรัฐธรรมนูญ เรื่องพรรคการเมือง สื่อมวลชนก็เห็นดีเห็นงามกับระบอบการปกครองโดยทหาร การจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การใช้กฎอัยการศึก ไม่เห็นมีใครเดือดร้อน บ้านเมืองสงบเรียบร้อยดีแล้ว อยู่อย่างนี้นานๆ ก็ยิ่งดี จะมีรัฐบาลที่มาจากเลือกตั้งไปทำไม แม้แต่ชาวชนบท ราคายางจะเป็นเท่าไหร่ก็ได้ ราคาข้าว ราคาอ้อย ราคากุ้ง ราคาสินค้าจะเป็นอย่างไรก็ได้ ไม่คึกคัก เหมือนเมื่อก่อน

น่าจะเป็นโอกาสดีของทหารที่ผู้คนสงบเงียบ อยากทำอะไรก็ทำได้ ไม่มีคนค้าน ไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์ สื่อมวลชน หนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เว็บไซต์ เงียบหมด เพราะกลัวตาย ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเก่งกว่านี้มาก ดังนั้นโครงการใหญ่ๆ ที่เมื่อก่อนพรรคฝ่ายค้านและสื่อมวลชนเคยขัดแข้งขัดขา บัดนี้ไม่มีแล้ว โครงการเหล่านั้นก็ควรจะได้สร้างให้สำเร็จเสียที จะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาลมากกว่า

ส่วนการปฏิรูป ปฏิวัติ ปฏิสังขรณ์ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ไม่มีใครว่าอะไรหรอก

ที่มา.มติชน
/////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

บทเรียนจากปี 2557 !!?


โดย. วีรพงษ์ รามางกูร

ปี 2557 ที่ผ่านไป เราได้เรียนรู้อะไรมากมายหลายอย่างสำหรับสังคมไทย ระบบการเมืองไทย ระบบคุณค่าของสังคมไทย ซึ่งบางครั้งเราหลงผิดคิดเอาเองว่า คนไทยหรือสังคมไทยได้พัฒนาไปไกลแล้ว ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรม และอื่นๆ

ความจริงแล้วการพัฒนาของประเทศไทยคงจะมีเพียงการพัฒนาทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ในด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านสังคม การเมือง วัฒนธรรม ยังคงย่ำอยู่กับที่ แม้ว่าสังคมไทยในขณะนี้เป็นสังคมของคนรุ่นใหม่ เป็นสังคมโลกาภิวัตน์ เป็นสังคมไร้พรมแดน เป็นสังคมที่ข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลเข้า-ออกไปมาระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว เป็นสังคมที่ให้แสดงออกได้อย่างเปิดเผย ไม่สามารถห้ามการแสดงออกได้เหมือนในอดีต

เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การชุมนุมของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลชุดที่แล้ว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 และยืดเยื้อมาจนกระทั่งเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งหัวหน้าคณะรัฐประหารได้ตอบรับแล้วว่าได้เตรียมการมานาน ได้เข้าทำการปกครองแผ่นดินด้วยกฎอัยการศึกมาจนปัจจุบันนี้ ปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ให้บทเรียนหลายอย่าง บอกได้แม้กระทั่งว่า การปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่สิ่งที่ล้าสมัยในสังคมไทย การปกครองโดยรัฐบาลทหารคนไทยยังคงรับได้ ทั้งๆ ที่ระบอบเช่นว่านี้เกือบจะไม่มีในโลกนี้แล้ว

ประการแรก ที่เห็นก็คือความขัดแย้งระหว่างชนชั้น กล่าวคือ ชนชั้นสูงที่มีอำนาจในการล้มล้างรัฐบาลยังคงดำรงความมีอำนาจเช่นว่านั้นอยู่ กลุ่มชนชั้นเหล่านี้แม้จะมีจำนวนน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เป็นผู้กุมอำนาจทางเศรษฐกิจ อยู่กันในเมืองหลวง ในเขตเมืองของจังหวัดต่างๆ มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีการศึกษาสูง ในขณะเดียวกันก็มีจิตสำนึกของการเป็นชนชั้นสูงอยู่อย่างมาก หลายครั้งในระหว่างการชุมนุมได้ประกาศไม่ยอมรับความเท่าเทียมกันทางการเมืองของชนชั้นล่างได้

สังคมคนชั้นสูงจึงมีความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยน้อยมากการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ ไม่ได้ช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยเลย มิหนำซ้ำระดับการศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม กลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ความรู้สึกเรื่องชนชั้นในทางลบรุนแรงยิ่งขึ้น

ประการที่สอง สังคมไทยให้ความสำคัญหรือยึดมั่นในระบบน้อยมาก เนื่องจากประชาธิปไตยเป็นระบบของความคิดที่ยึดมั่นในหลักการเรื่องสิทธิเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะเป็น "นามธรรม" สังคมไทยจึงไม่เข้าใจ ทำให้ถูกบิดเบือนได้ง่าย เพราะความสามารถใช้เหตุใช้ผลของสังคมไทยมีน้อย จะเห็นได้จากการเชื่อข่าวลือโดยไม่มีเหตุผล การปลุกกระแสให้เกิดอารมณ์โกรธเกลียดสามารถทำได้ง่าย และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้หายไปได้ สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ยังเป็นเด็ก ยังเป็นสังคมที่ยังไม่โตพอที่จะแยกแยะผลดีผลเสียในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้

ประการที่สามคนไทยยังไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในโลกโลกาภิวัตน์อย่างเพียงพอ ความเป็นประชากรโลกในปัจจุบัน ไม่มีประเทศไหนจะปิดตัวเองอยู่ตามลำพังแบบเดียวกับพม่า หรือประเทศในค่ายคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามเย็นได้

พลังเศรษฐกิจ พลังตลาด การค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ มีพลังมหาศาลเกินกว่าประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มประเทศใดกลุ่มประเทศหนึ่งจะขัดขวางหรือทวนกระแสนี้ได้

การที่ประเทศต่างๆ ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของตลาดโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ทำให้เกิด "ประชาคมโลก" หรือ "world community" เมื่อเกิดประชาคมโลก สมาชิกของประชาคมโลกก็ต้องยอมรับและปฏิบัติตามกติกา กฎระเบียบ และคุณค่าทางวัฒนธรรม การเมือง สังคม สิทธิมนุษยชน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาคมโลกด้วย

ระบบการปกครองที่สอดคล้องกับความเชื่อของประชาคมโลกในปัจจุบันก็คือสิทธิการปกครองแบบประชาธิปไตยซึ่งมีอยู่ 2 แบบ แบบแรกคือประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนตามแบบตะวันตก กับประชาธิปไตยรวมศูนย์ของสมาชิก อันได้แก่ประชาธิปไตยรวมศูนย์ของประเทศสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เดิมเท่านั้น

ประการที่สี่ ประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ในปัจจุบันทางสื่อมวลชน ระหว่างนักวิชาการก็ดี ระหว่างสมาชิกสภาปฏิรูปก็ดี ระหว่างกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญก็ดี แสดงถึงความสับสนทางความคิดของชนชั้นนำของสังคมไทย ด้านหนึ่งก็ไม่เชื่อในระบบความคิดแบบประชาธิปไตยอันได้แก่สิทธิเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ จะด้วยต้องการรักษาสถานภาพได้เปรียบของตนในวงสังคม หรือความรู้สึกไม่มั่นคงในสถานภาพของตนที่อาจจะถูกท้าทายโดยคนชั้นล่างที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ความรู้สึกเช่นว่านี้ยังไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย ยังคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา

ประการที่ห้า ความตื่นตัวของประชาชนระดับรากหญ้า ตลอดครึ่งแรกของปี 2557 แสดงให้เห็นว่ามีสูงขึ้นเป็นอันมากทั้งปริมาณและลักษณะการแสดงออก ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและกายภาพ การคมนาคม การขนส่ง รวมทั้งระบบสื่อสารมวลชน ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ทำให้การรับรู้ข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว

ความจริงดังกล่าวอาจจะขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่22 พฤษภาคม เพราะทุกอย่างเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย เกินคาด ไม่มีเรื่องต่อต้าน ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากชนชั้นสูงและชนชั้นกลางในเมืองรวมทั้งสื่อมวลชนเป็นส่วนใหญ่

ความเห็นในเรื่องนี้แบ่งออกเป็น2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งคิดว่าที่สถานการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยสงบเงียบก็เพราะว่าทุกฝ่ายรอให้มีการเลือกตั้ง เพราะเชื่อว่าถ้ามีการเลือกตั้งเมื่อใด ตนก็คงจะชนะการเลือกตั้ง จึงไม่จำเป็นต้องดิ้นรนเรียกร้อง เพราะเสี่ยงกับการถูกปราบปราม เสียเลือดเนื้อ

อีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐอยู่ในปัจจุบันก็มีความรู้สึกอย่างเดียวกันกล่าวคือ ถ้ามีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ฝ่ายตนไม่ต้องการก็ยังจะชนะการเลือกตั้ง ดังนั้น การคงระบอบการปกครองโดยกฎอัยการศึกก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น แม้ภายหลังการเลือกตั้งแล้วก็ตาม ส่วนจะดำรงอยู่ยั่งยืนหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ประการที่หก เท่าที่สดับตรับฟังในวงสนทนาทั้ง 2 ฝ่าย ฝ่ายที่ถืออำนาจรัฐอยู่ ไม่ว่าจะเป็น สปช. สนช. หรือกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ โจทย์ใหญ่คือจะกำจัดอำนาจของฝ่ายการเมืองหรือพรรคการเมืองที่จะชนะการเลือกตั้งอย่างไร ความคิดเช่นว่านี้จึงทำให้รัฐธรรมนูญที่จะคลอดออกมาไม่เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองในระบอบประชาธิปไตยทำให้ตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะร่างอย่างไรแบบไหน ส่วนเมื่อประกาศใช้แล้วจะจีรังยั่งยืนมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ประเด็นในขณะนี้

ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเห็นว่า ในขณะนี้ไม่ต้องทำอะไร เหตุการณ์จะพาไปเอง เพราะระบอบการปกครองที่เป็นอยู่จะไม่สามารถรับกับภาวะเศรษฐกิจที่เลวร้ายลง เพราะประเทศไทยจะมีปัญหาในเรื่องการส่งออกมากขึ้นเรื่อยๆ จากการกีดกันการค้าจากประเทศตะวันตก รวมทั้งญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เพราะประเทศไทยมีระบอบการปกครองไม่สอดคล้องกับ "ประชาคมโลก" การกีดกันการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวจะมีผลในปี 2558 นี้ จึงคาดการณ์ได้ว่าเศรษฐกิจของเราในปี 2558 จะเป็นปีที่ย่ำแย่พอๆ หรือมากกว่าปี 2557

ประการที่เจ็ด ความรู้สึกไม่แน่นอน ความรู้สึกหวั่นไหวต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และทางเศรษฐกิจจะมีอยู่ตลอดเวลา การท้าทายอำนาจรัฐจะมีมากขึ้น ความรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกไม่แน่นอนต่อการเปลี่ยนแปลงไม่น่าจะมีน้อยลงในปี 2558 น่าจะมีมากขึ้นเสียด้วยซ้ำไป แต่ก็ไม่มีใครให้ความสนใจ เพราะสังคมไทยให้ความสนใจเรื่องอนาคตน้อยกว่าปัจจุบันมาก

ปีใหม่ปีนี้ แม้ว่าราคาน้ำมันจะลดลง แม้ว่าภาวะต่างๆ น่าจะลดลง เงินเฟ้อน่าจะลดลง แต่บรรยากาศเหงาๆ ซึมๆ ชอบกล

คงเพราะความวิตกกังวลในความไม่แน่นอน

ที่มา.มติชน
////////////////////////////////////////////////////////

เจาะลึกเส้นทางสายไหม R3A (2) กงสุลใหญ่จีน แนะคนไทยลงทุน...ยูนนาน !!?


วันนี้เส้นทาง R3A กำลังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เพราะเป็นจุดผ่านที่จีนจะสามารถทะลุเข้าถึงกลุ่มอาเซียนได้ก่อนที่รถไฟทางคู่คุนหมิง-กรุงเทพฯจะกำเนิดขึ้น "เฉา เสี่ยวเหลียง"กงสุลใหญ่แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ เบอร์หนึ่งของจีนในภาคเหนือ ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ R3A หลังจากที่ได้นั่งรถบัสจากชายแดนฝั่งไทย ที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ข้ามแม่น้ำโขงที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) เข้าสู่ดินแดนเมืองห้วยทราย สปป.ลาว ลัดเลาะหุบเขาคดโค้งที่มีปลายทางคือ นครคุนหมิง มณฑลยูนนานรวมระยะทางราว 1,047 กิโลเมตร

- มองศักยภาพของเส้นทาง R3A อย่างไรบ้าง

R3A เป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญตามเส้นทางแม่น้ำโขง และเป็นเส้นทางสำคัญสู่อาเซียน โดยมีจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อคือ กรุงเทพมหานคร ซึ่งเราได้เห็นการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนชัดเจนมากบนเส้นทางนี้และเติบโตขึ้นมาก โดยเฉพาะด้านโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า และใช้ถนน R3A เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าเข้าสู่ไทย อาเซียน รวมถึงตลาดโลกการเติบโตขึ้นอย่างมากของเศรษฐกิจจีนส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้ามาลาวและไทยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และในปี 2558 ที่จะเข้าสู่ AEC รวมถึงการค้าเสรีจีน-อาเซียน ความสำคัญของถนน R3A ก็จะยิ่งทวีขึ้น

- มีอุปสรรคอะไรหรือไม่สำหรับเส้นทางนี้

เท่าที่ดูและเห็นชัดเจนมาก คงเป็นเรื่องความสะดวกในการผ่านด่านแต่ละด่านที่ใช้เวลานานเกี่ยวกับพิธีการทางศุลกากร และตรวจคนเข้าเมืองที่ยังไม่ค่อยคล่องตัวเท่าที่ควร เช่น รถบรรทุกสินค้าต้องเปลี่ยนหัวรถหลายครั้งเมื่อจะต้องเข้าสู่อีกประเทศหนึ่ง ทำให้รถจอดรอกันจำนวนมากบริเวณด่าน เช่นเดียวกับขั้นตอนของการตรวจคนเข้าเมือง ที่มีกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ค่อนข้างล่าช้า ปัญหาเหล่านี้หน่วยงานรัฐของทั้ง 3 ประเทศควรจะแก้ไขเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการใช้บริการทุกรูปแบบบนเส้นทางนี้ให้เป็นไปอย่างคล่องตัวมากที่สุด

- การลงทุนของจีนเติบโตขึ้นมาก แล้วนักลงทุนไทยมีโอกาสมากแค่ไหน

ผมมองว่านักลงทุนไทยมีโอกาสในด้านการค้าการลงทุนบนเส้นทาง R3A ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะทุกเมืองของจีนมีนโยบายที่เปิดกว้างรับทุนไทย รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละเมืองให้สิทธิพิเศษค่อนข้างมากกับนักลงทุนต่างชาติ แต่ปริมาณทุนไทยยังมีค่อนข้างน้อย สิ่งสำคัญต้องดูศักยภาพของธุรกิจที่จะเข้าไปลงทุนว่าเหมาะกับตลาดไหนอย่างไร เราจะเข้าไปลงทุนในเมืองนั้น ๆ เพื่อเจาะตลาดคนจีน หรือลงทุนในแง่ของการเป็นฐานการผลิต ก็สามารถทำได้ทั้งสองรูปแบบ และการมีพาร์ตเนอร์ที่เป็นคนท้องถิ่นนั้น ๆ ก็สำคัญมากเช่นกัน

อย่างที่เมืองคุนหมิงจะมีเฉพาะวิสาหกิจขนาดใหญ่หลายกลุ่มที่เข้าไปลงทุน เช่น TCC Group ที่ได้เข้าไปซื้อกิจการโรงแรม 2 แห่งในเมืองคุนหมิง หรือที่เมืองผูเอ่อร์ เราก็พบว่ามีนักท่องเที่ยวเข้าไปท่องเที่ยวจำนวนมาก รวมถึงนักธุรกิจไทยที่เข้ามาดูลู่ทางธุรกิจหลายครั้ง ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนไทยที่เข้ามาลงทุนประมาณ 1-2 รายในอุตสาหกรรมชา มาทำไร่ชาอู่หลง รวมถึงนักลงทุนไต้หวันก็เข้ามาทำไร่ชาอู่หลงที่เมืองผูเอ่อร์

- จีนวางยุทธศาสตร์อย่างไรกับถนนสายนี้

ในการเดินทางครั้งนี้ เราได้เห็นสภาพและความเป็นไปบนถนน R3A ค่อนข้างเชิงลึกมาก ทำให้ผมมองถึงประเด็นสำคัญประเด็นหนึ่งที่สถานกงสุลใหญ่จีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ต้องวางเป็นยุทธศาสตร์นั่นก็คือ การส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจีนในทุกเมืองของมณฑลยูนนานเดินทางมายังเส้นทาง R3A เพื่อเข้ามาท่องเที่ยวในภาคเหนือของไทยให้มากขึ้น โดยจะประสานกับรัฐบาลท้องถิ่นทุกเมือง ซึ่งไม่ใช่ประเทศใดประเทศหนึ่งได้ประโยชน์ แต่เป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจของทั้ง 3 ประเทศสำคัญที่สุดคือ การรักษาความสัมพันธ์ทางความร่วมมือ โดยเราจะพยายามรักษาสิทธิ์ของนักท่องเที่ยวจีนให้เขารู้สึกว่าเข้ามาเที่ยวในเส้นทางนี้มีความปลอดภัยโดยเฉพาะปลายทางที่คนจีนอยากมามากที่สุดคือ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ หรือหลาย ๆ จังหวัดในภาคเหนือ จะต้องเพิ่มเติมป้ายภาษาจีนตามแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ กล่าวได้ว่าเส้นทาง R3A เริ่มเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีนมากขึ้น เพราะตลอดทางผมได้เห็นรถบัสของนักท่องเที่ยวจีนสวนทางมามาก

ตอนนี้สถานกงสุลจีน ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ออกวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวคนไทยในภาคเหนือ เพื่อไปเที่ยวยังประเทศจีน เดือนละประมาณ 2-3 พันคน ซึ่งจำนวนหนึ่งของนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวในเส้นทาง R3A และเชื่อว่าถ้าเราเร่งส่งเสริมยุทธศาสตร์นี้ก็จะทำให้การท่องเที่ยวข้ามประเทศของทั้ง 3 ประเทศเติบโตขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต

ย้ำชัดประโยคสุดท้ายของการสนทนา จากมุมมองเบอร์หนึ่งของจีนในภาคเหนือ "เฉา เสี่ยวเหลียง" ว่า ทั้ง 3 ประเทศคือ ไทย ลาว และจีน ที่ร่วมมือกันพัฒนามีโอกาสด้วยกันทุกด้าน และมั่นใจว่าในอนาคตความสำคัญของเส้นทางนี้จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2558

มองเศรษฐกิจไทยปี 2558 อย่างไร !!?


หมายเหตุ : นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ได้เปิดโอกาสให้ "มติชน" สัมภาษณ์พิเศษต่อมุมมองทางเศรษฐกิจ 2558 และข้อเสนอแนะต่อการผลักดันการส่งออกและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตามที่รัฐบาลกำหนดไว้ 4%

เป็นโจทย์ที่ยาก ยังเห็นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558 อาการหนักอยู่ สถานการณ์คล้ายกับช่วงเกิดปัญหาต้มยำกุ้ง คนระดับล่างมีปัญหา รายได้ลดลง เงินไม่พอใช้ การว่างงานแยะ ตอนนั้นคนไทยต้องต่อสู้อย่างหนัก

เสาหลักค้ำยันเศรษฐกิจไทยก็ทำงานไม่เต็มที่ เรื่องแรก การส่งออกก็ยังมีปัญหา จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจหลายประเทศก็ยังไม่ชัดเจน ตลาดญี่ปุ่นก็ไม่ค่อยดี นายชินโสะ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นพยายามลดค่าเงินเยน จาก 80 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 100-120 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ยังเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 3% เงินเยนยิ่งอ่อนลง ทำให้กระทบต่อนำเข้าสินค้าไทยที่มีราคาแพงขึ้น แข่งขันได้ยากขึ้น โดยเยนอ่อนไม่ได้กระทบกับการลงทุนมากนัก เพราะญี่ปุ่นมีการผลักดันลงทุนนอกประเทศต่อเนื่อง ตลาดยุโรปคงไม่ฟื้นเร็วๆ นี้ อาจมีเพียงบางประเทศที่ยังดี

ตลาดสหรัฐอเมริกาน่าจะดีขึ้นแต่ยังไม่ชัดเจน อัตราว่างงานยังสูง กำลังซื้อเริ่มดีขึ้น ยังมีปัญหาขัดแย้งการเมืองอยู่กับรัสเซีย ส่วนจีน น่าจะเป็นตลาดที่ดี เช่นเดียวกับตลาดอาเซียนที่กำลังเป็นตลาดที่เข้ามาแทนที่ตลาดใหม่ ทั้งตะวันออกกลางและแอฟริกา ก็ต้องดูไปพร้อมกับตลาดอื่นๆ

อีกเรื่องใหญ่ที่ยังเป็นปัญหา คือ ราคาสินค้าเกษตรที่ยังไม่ดี ทั้งยางพารา ข้าว มีปัญหา ไม่รู้ว่าจะแก้ไขกันอย่างไร ราคาเกษตรไม่ดี ส่งออกได้ลดลง ทำให้รายได้เข้าประเทศไม่ค่อยดี เมื่อคนกลุ่มนี้ไม่มีรายได้ การใช้จ่ายก็ไม่มี ดูจากยอดขายมาม่า (บะหมี่สำเร็จรูป) แบบซองยอดขายไม่ขึ้นเลย และจากสำรวจตลาดรวมบะหมี่สำเร็จรูปพบว่าทุกยี่ห้ออื่นก็ไม่โตเหมือนกัน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้น เป็นเรื่องน่าห่วงมาก ราคา 4-5 บาทยังยอดขายตก แล้วสินค้าอื่นจะเป็นอย่างไร

เรื่องต่อมาที่เป็นปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจ คือปัญหาค่าเงิน ตอนนี้ค่าบาทไทยยังแข็งค่าเกินไป เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค ไทยห่างกว่า 10% สมัยก่อนการส่งออกไทยตลาดหลักคือสหรัฐ ต้องพึ่งพาเงินเหรียญสหรัฐ แต่ตอนนี้เราค้าขายกับประเทศในอาเซียนและจีนเป็นตลาดสำคัญ ก็ต้องปรับค่าเงินให้สอดคล้องกับตลาดนี้มากขึ้น

อีกอย่าง หลังการปฏิวัติก็คาดหวังเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐได้สะดวกขึ้น แต่ก็ยังพบความล่าช้ากว่าแผนที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ เดิมเงินนอกระบบเยอะ รากหญ้าก็มีเงินใช้แยะ แต่หลังการปฏิวัติการเมือง ก็มีการปราบปราม เงินนอกระบบก็ลดลง จึงยากที่เศรษฐกิจไทยจะโตสูง เพราะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจประเทศสำคัญยังเปราะบางและตกเร็วเกินไป เมื่อสินค้าโภคภัณฑ์ไม่ดี ทั้งข้าว ยาง น่าจะดี ทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันลดลง

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยที่ไม่แน่นอนอีก ในเรื่องความขัดแย้งและสงครามนอกประเทศ อย่างรัสเซียกับยูเครน และสหรัฐกับรัสเซีย หากเกิดสงครามหรือขัดแย้งรุนแรงขึ้นอีกก็จะมีผลต่อราคาน้ำมันโลก กำลังซื้อ กระทบการเดินทาง เศรษฐกิจก็จะเสียหายมากขึ้นอีก สงครามนอกประเทศยังเป็นเรื่องน่าห่วงอยู่

ปัญหาภัยแล้งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องจับตามอง เพราะกระทบต่อผลผลิตและราคาสินค้า เรื่องราคาน้ำมันถูกลง คนใช้อาจแฮปปี้ แต่ธุรกิจค้าน้ำมันกระทบต่อรายได้เขา

ข่าวลือในประเทศก็เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจในประเทศ เพราะอาจสร้างความวิตกทางธุรกิจและอารมณ์การใช้จ่ายของคน

ส่วนการเมืองในประเทศก็มีเสถียรภาพมากขึ้นแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรรุนแรงอีก ก็เหลือแต่ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองนอกประเทศ

จะมีแนวทางอย่างไรที่จะช่วยผลักดันเศรษฐกิจไทยปี 2558 ให้ฟื้นตัว และสามารถขยายตัวได้ 4% ตามที่รัฐบาลตั้งเป้าหมายไว้

นโยบายการลงทุนก็ต้องใช้เวลา มีขั้นตอนมาก หรือการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐบาลก็ต้องใช้เวลา ก็เหลือการส่งออก ดังนั้นต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้เงินถึงมือระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นกลุ่มใช้จ่ายสำคัญ ผมเห็นว่าวิธีการที่ดีที่สุดต่อการเพิ่มเงินในระบบเศรษฐกิจ คือ การทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงอีก โดยคิดบนพื้นฐานใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตอนนี้เราแข็งค่ากว่าถึง 4 บาท ตอนนี้ค่าบาทอยู่ที่ 32-33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็น่าจะอ่อนถึง 36-37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เงินบาทอ่อนค่าควรนำมาใช้เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น ซึ่งทุกบาทที่อ่อนค่าจะมีผลต่อการเพิ่มเงินเข้าระบบเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท

"ค่าเงินแข็ง คนได้ประโยชน์คือคนระดับบน แต่เงินอ่อน คนได้ประโยชน์คือคนระดับรากหญ้า เมื่อเขามีเงินเพิ่มเขาก็จะใช้จ่ายทันที เศรษฐกิจก็จะฟื้นตัวเร็ว ตอนนี้คนรวยก็รวย แต่ไม่ใช่เงิน แต่คนจนก็จนแบบไม่มีเงินเลย หากช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ได้จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้มาก"

ส่วนวิธีการแก้ค่าเงินอ่อนต้องไปคิดหาวิธี ซึ่งนายแบงก์เขาจะมีวิธีการคิดคำนวณ เหมือนเมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้ง ธนาคารกลางสหรัฐก็แนะนำใช้เงินอ่อนในการเพิ่มเงินระบบเศรษฐกิจ

เงินอ่อน ตัวเลขขาดทุนสำรองเงินระหว่างประเทศก็จะไปโชว์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เงินทุนสำรองเงินระหว่างประเทศลดลง แต่ก็สามารถปรับตัวเลขได้ แต่เงินบาทจากส่งออกได้เพิ่มขึ้นจะช่วยกระจายไปถึงมือรากหญ้า ประโยชน์จะเกิดกับคนจำนวนมากกว่า บาทแข็งทำให้ดูเงินสำรองแยะ นโยบายที่ผ่านมาจึงนิยมใช้

ตอนนี้ไทยเสียเปรียบอินโดนีเซีย ที่ลดค่าเงินรูเปีย เสียเปรียบมาเลเซีย ลดค่าเงินริงกิต ซึ่งเขาใช้นโยบายเงินอ่อน หลายประเทศก็เริ่มทำเงินอ่อน หากยังแตกต่างกันมาก ระยะยาวส่งออกไทยก็เสียเปรียบ และจะใช้นโยบายบาทอ่อน ยิ่งทำให้บาทห่างเพื่อนบ้านไปเรื่อยๆ ผมเชื่อว่าแบงก์ชาติก็มีสูตรในการคำนวณและมาตรการรองรับ

ในแผนปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศไทยจะเสนออะไรบ้าง

เห็นด้วยในเรื่องการเร่งรัดลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ทำรางคู่ขนาน เพื่อลดค่าขนส่งผู้ประกอบการและการเดินทาง อีกเรื่องคือผลักดันส่งเสริมให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ให้อยู่รอด รัฐต้องสร้างบรรยากาศให้อยากทำค้าขาย เดิมนั้นไทยมีแต่การผลิตและเกษตร ตอนนี้ภาคบริการมีจำนวนเพิ่มขึ้น และมีโอกาสขยายตัวได้มาก จะให้ขยายตัวได้เร็วก็ต้องปรับเงินเดือนขั้นต่ำ และภาคบริการ น่าจะมีชดเชยรายได้ที่หายไปจากภาคการเกษตร ภาคเกษตรยังจะมีปัญหายาวไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไรถึงปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าอาจล้นตลาด ดังนั้น บาทอ่อนอย่างที่ได้กล่าวไว้ รัฐบาลก็ไม่ต้องอุดหนุน

นอกจากนี้จะต้องดูนโยบายที่สอดคล้องกัน ไม่ขัดความรู้สึก อย่างตอนนี้ราคาน้ำมันลดลง แต่ปล่อยให้ปรับเพิ่มค่ามิเตอร์แท็กซี่ หรือ แนวคิดว่าจะมีการปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ซึ่งล้วนส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนรากหญ้า คนมีรายได้น้อย

"ผมยังเห็นว่าปี 2558 ทุกข์ยากกว่าปี 2557 รัฐบาลอาจไม่เห็นด้วย หากพูดไปอย่างนี้ก็เห็นแค่แนวทางควบคุมค่าบาทให้อยู่ในระดับอ่อน เพื่อให้การส่งออกได้เงินบาทเพิ่มขึ้น เหมือนรัฐบาลในอาเซียนหลายประเทศทำกัน ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 4% ผมว่าขยายตัวได้ 2% ก็ยากแล้ว"

จะเสนออะไรเพิ่มเติมให้รัฐบาลผลักดันเศรษฐกิจ เพราะมองว่าไทยกำลังเป็นเสือทะยาน

หลายปีที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีของไทยไม่ค่อยรู้ด้านเศรษฐกิจที่ลึกซึ้ง ขณะนี้นายกรัฐมนตรีหลายประเทศในอาเซียนและประเทศคู่ค้าไทย รู้ด้านเศรษฐศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ อย่างอินโดนีเซีย หรือญี่ปุ่น ซึ่งก็ใช้นโยบายค่าเงินในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจและเพิ่มกำลังซื้อ

ทำให้ที่ผ่านมาคุยกับ ธปท.ไม่รู้เรื่อง อย่างเรื่องค่าบาทอ่อนที่ได้นำเสนอ เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาที่เร็วที่สุด หากคุยกับแบงก์ชาติหรือ ธปท.และกระทรวงการคลังได้ ก็จะง่ายขึ้น

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยดีและกำลังซื้อยังไม่ฟื้น ในฐานะผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของประเทศ สหพัฒน์จะปรับตัวอย่างไร

คงทำธุรกิจแบบโลว์โปรไฟล์ ไม่หวือหวาอะไร พยายามทำธุรกิจให้มั่นคงมากกว่าจะมุ่งขยายตัวสูงๆ คงไม่มีการลงทุนใหญ่ๆ เน้นรักษาระดับยอดขายของปี 2558 ให้ใกล้เคียงปี 2557 ประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท ตอนนี้การทำธุรกิจจะมีการขยายตัวไม่ได้มากนัก การจะใช้ประโยชน์จากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ก็ต้องศึกษาว่าเหมาะสมแค่ไหน ซึ่งอาจใช้ไทยเป็นทางผ่านเท่านั้น

ส่วนเขตเศรษฐกิจพิเศษต้องใช้เวลา ทำให้เอกชนเข้าใจว่าจะใช้ประโยชน์เต็มที่ได้อย่างไร ต้องใช้เวลา ไม่น่าจะทำได้ปีหรือ 2 ปี

สำหรับบริษัทยังมองการลงทุนนอกประเทศ ทั้งในอาเซียนและนอกอาเซียน แต่ดูตามความเหมาะสม การทำธุรกิจ บริษัทยึดหลัก "คนดี สินค้าดี สังคมดี" เราเชื่อว่ายึดหลักการทำธุรกิจอย่างนี้ สังคมยอมรับ สินค้าก็จะขายได้

ที่มา : นสพ.มติชน

///////////////////////////////////////////////////////////////////