--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

หนี้แห่งชีวิต

เป็นได้ยังไง..จากเหตุการณ์ “ขอพื้นที่คืน” จาก รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา “คนบาดเจ็บ” ไม่ต้องพูดถึงว่ามีจำนวนเท่าใด..แต่ “คนตาย” เป็นเบือ!!เล่นจริง/โดนจริง/ตายจริง...ไม่มีการใช้ “แสตนด์อิน” หรือ ใช้ “หุ่น” เหมือนการแสดงหนังพระสวดศพกันจริง ท่ามกลางเสียงร้องไห้

คร่ำครวญของบรรดา ญาติของผู้เสียชีวิตจริงๆไม่มีการรับจ้างมา“ร้องไห้หน้าศพ” แบบรัฐมนตรีบางคนที่เราเคยเห็นมีการ“แห่ศพ”ให้พี่น้อง ทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ได้รับรู้..ขบวนแห่ศพยิ่งใหญ่มหาศาล ยิ่งกว่าแห่ “โฆษณาคอนเสิร์ต” ลูกทุ่งปิดวิกตามต่างจังหวัดซะอีกแปลกแต่จริง.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” กลับทำหน้างง-งง แกมสงสัยว่า มีอะไรเกิดขึ้นวะเนี่ย??แถมยังทำเป็น“สะดุ้ง” เมื่อรู้ว่ามี ทหารเสียชีวิตในครั้งนั้น..“ตั้งหลักสลบ”อยู่ในราบ 11 อีกห้าวันเต็มๆต่อเมื่อ “ลูกหาบ”

คิดมุกได้ จึงได้ ออกมาปรากฏตัวแถมประกาศต่อมาว่า มี “ผู้ก่อการร้าย” ที่ซ่อนตัวมากับฝูงชนของ “คนเสื้อแดง”!!ทั้งๆ ที่บรรดา “ทูต”เกือบทั่วโลกรุดไปพิสูจน์ด้วยตัวเองที่ “ราชประสงค์” จึงได้เห็นผู้ก่อการร้ายซึ่งมี อายุตั้งแต่ 1 ขวบ ถึง 90 ปี..อนิจจัง!!จากนั้น.. “อภิสิทธิ์” จึงควง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ไปโชว์ตัวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย..เหมือนจะบอกว่า..ขอให้เชื่อมั่นเถอะว่า “รัฐบาล” พร้อมจะ “ยิงคนไทย” ได้ทุกเมื่อ??เรียกว่า ของเก่าจะเบี้ยวไม่

ชดใช้ พร้อมจะสร้างหนี้ชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม “ออง ซาน ซูจี” สัญลักษณ์ ประชาธิปไตย ของพม่า กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดหลัก ประชาธิปไตยเหมือนกัน64 ปี อายุของ “ออง ซาน”ที่เกิด กับ ประชาธิปัตย์ ที่เริ่มตั้งพรรคเท่ากันแต่..หลักการแห่งความเป็น “ประชาธิปไตย”ห่างกันเหมือนฟ้ากับเหว!!
คอลัมน์. ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
************************************************

“ตัวช่วย”??

๐การเมืองไทย ไม่เหมือนใครในโลก ไม่มีใน ตำราทุกเล่มของฝรั่ง? ไม่แปลกที่ เสาหลักปักแน่นของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในยามก่อสงครามรอบตัว?? มี บัญญัติ บรรทัดฐาน นี่แหละคอยเป็น “ตัวช่วย”?? อีกไม่นาน สุเทพ เทือกสุบรรณ อาจต้องตะโกนในใจ “ทำไมมันถึงห้าวอย่างนี้วะ??......

๐ “กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอก ทูเดย์ ยึดมั่นความเป็นกลาง เสนอทุกข่าวบนความจริง ไม่อิงกระแส ในมือท่านฉบับนี้ ประจำวันพุธที่ 28 เมษายน 2553......

๐ ถึงจะพูดกันติดปาก มาร์คอภิสิทธิ์ เป็นแค่ “นายกฯ กุมาร” แต่มีคนกระซิบบอก! ลองมอง “แววตามาร์ค” ดีๆ จะเห็นความ “แข็งกร้าว” ดุดันกว่าหัวหน้าพรรคร่วมบางคนที่ทำท่า “เก่งแต่ปาก” เอาเข้าจริง ปอดแหก ไม่กล้าเผชิญหน้า.!!.....

๐ ดังไปทั้งโลกคือ “ม็อบเสื้อแดง” ฝรั่งรายงานข่าวใช้คำว่า “Bloody Shirt” น่ากลัวกว่า “เสื้อแดง” เป็นไหนๆ ?? เพราะมันแปลว่า “เสื้อสีเลือด” สามแกนนำ วีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพร รับทราบไว้ก็ดี......

๐ แต่ที่ฝรั่งเรียกผิด คิดว่า...กรุงเทพฯ เมืองฟ้าเมืองอมร คือ angeles city ทั้งที่มันกำลังจะเป็น “เมืองนรก” เพราะกากเดนสงครามที่จ้อง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง ทุกวัน??.....

๐ ประเทศไทยวันนี้ มี “ทารกสามคน” กุมบังเหียนประเทศ พอบ้านเมืองยุ่งเหยิงได้ที่ คนที่ออกมาแสดงท่าเป็น “พระเอกขี่ม้าแกลบ” กลับกลายเป็น “กุมารกลายพันธุ์” เฒ่าวัย 78 อาบน้ำวันละ 5 ขัน โดดก๋า ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึก เพื่อปราบเสื้อแดงให้ได้ใน 2 ชั่วโมง?? ต้องถือว่าตาเฒ่าคนนี้ “บ้าได้ที่แล้ว”!!......

๐ ไม่ต้องมาลือกันมากความ?? “กุหลาบพิษ” ยืนยันตอนนี้ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ระหว่างเยือนมอนเตเนโกร ชาติแถบทะเลอะเดรียติค หาลู่ทางการลงทุน ในฐานะพลเมืองชาวมอนเตเนโกร ชนิดเต็มร้อย! เพราะมอนเตเนโกร ก็เป็นประเทศของ “ทักษิณ” ตอนนี้ก็ถือหนังสือเดินทางของประเทศนี้อยู่.....

๐ อดีตนายกฯไทย ยืนยันเจตนารมย์เดิม จะยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับ “คนเสื้อแดง” เรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมให้ได้!!......

๐ กษิต ภิรมย์!! เอ๊ย!! อย่าไปรบกวนประเทศมอนเตเนโกร ให้ส่ง ทักษิณ ชินวัตร กลับไทยเสียให้ยากเลย?? เพราะที่นั่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน!! เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต้องฉลาดกว่านี้และไม่ใช้อารมณ์ในการทำงานอย่างที่เห็น.....

๐ อนิจจา วะตะสังขารา จนบัดนี้ ยังไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตัวจริง เป็นได้แค่รักษาการ มานานหลายเดือนจนตอนนี้ขาดสิทธิ์-ขาดคุณสมบัติที่จะแต่งตั้ง! แต่ อนิจจา!! เพราะคำว่า “ตำรวจเกียร์ว่าง” คำเดียวแท้ๆ นายกฯ ราบ 11 ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คิดจะเปลี่ยนตัว “แม่ทัพตำรวจ” เสียใหม่ จาก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ มาเป็นใครก็ไม่รู้?? ก.ตร.ก็จ้องดู ว่า “มาร์คจะเอาใคร?” ตำรวจไทยจะได้มี ผบ.ตร.ตัวจริง ตัวเป็นๆ เสียที.......

๐ “สนธิบัง” ทำเท่อีกแล้ว?? คืนก่อนออกรายการ “VOICE TV” ยืนยันกับ จอม แก้วประดับ ตอนนี้ การปฏิวัติยังไม่ถึงเวลา!! เพราะรัฐบาลยังไม่มีปัญหา......

๐ แปลไทยเป็นไทยว่า บ้านเมืองยุ่งเหยิงขนาดไหน จะไม่มีใครออกมา “ปฏิวัติ” เพราะรัฐบาลชุดนี้ คือ รากเหง้าของ “ป.ว.49” แล้ว พล.อ.สนธิ บุญยกลิน ก็พูดเหมือนจำมาจาก ผบ.ทบ. รุ่นน้อง “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ที่ย้ำตลอดเวลา... “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”!!......๐

คอลัมน์. บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
................................................

เหตุแห่งสงคราม

ไม่มีการเจรจา..ก็แปลว่า จะใช้ แพ้ใช้ชนะในการแก้ไขปัญหา..ความขัดแย้งของการเมืองในประเทศไทยการเมืองนั้นเป็นเรื่องของการเจรจา..สงครามต่างหากเป็นเรื่องของการแพ้และชนะ แต่เมื่อนักการเมือง ทั้งสองฟากทั้งสองฝ่าย ต่างสนใจแต่จะแพ้ชนะกันด้วยสงคราม..มันก็เป็นประวัติศาสตร์ตอนเศร้าของประเทศ

ไทยเพราะสงครามเป็นเรื่องของไฟกับศพว่ากันไปแล้ว..ฝ่ายรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้เปิดทางกว้างถ่างทางออกให้อย่างเต็มที่ กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม..เรียกร้องการยุบสภาเวลา ระหว่าง เก้าเดือนและยังต่อรองได้...น่าจะนำไปสู่การเจรจา..แต่น่าเสียดายที่ ฝ่ายผู้ชุมนุมได้ปฏิเสธการเจรจาในวาระสาม..ทางออกของวิกฤติการณ์จึงถูกปิดและนำไปสู่การสูญเสียของประชาชนและทหาร..โดยไม่จำเป็นและยิ่งเมื่อฝ่ายผู้ชุมนุม..เรียกร้องให้รัฐบาลลา

ออกในทันทีและให้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ เดินทางไปต่างประเทศนั้นนั่นคือการยื่นคำขอในสิ่งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้สังคมใหญ่ของคนไทยทั่วไป..จึงเริ่มสงสัย ความสงสัยนี้เป็นเรื่องอันตรายกับฝ่ายเรียกร้อง..และเป็นคุณกับฝ่ายรัฐบาล..เพราะสังคมส่วนใหญ่..เป็นพลังของเหตุและผล..เหตุผลที่ว่า...การชุมนุมเช่นนี้ จะอยู่ยั้งยืนยาวจนปราศจากวันจบไม่ได้..มันจะต้องเปลี่ยนแปลงและยุติลงไม่แบบใดก็แบบหนึ่งในวัน

หนึ่งวัดใดและจะต้องไม่นานจนเกินกว่าเหตุรัฐบาลกำลังได้เปรียบในส่วนนี้..และรัฐบาลกำลังขยายผล..และสะสมความชอบธรรมให้กับการล้อมปราบครั้งใหม่..คำว่าผู้ก่อการร้ายจึงเกิดขึ้นนับจากวันนี้..ฝ่ายตั้งรับจะกลับไปเป็นของฝ่ายผู้ชุมนุมเรียกร้อง..มวลชนเริ่มอ่อนเปลี้ย..ทันทีที่สบโอกาส..รัฐบาลจะส่งกำลังเข้าล้อมปราบ..นั่นคือวันที่สงครามได้เริ่มต้น..ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตาย..จะทำให้การต่อสู้ด้วยเหตุและผลกลับกลาย..กรือแซะและตากใบ..สร้างสงครามใต้อย่าง

ไร..ตายและเจ็บของผู้ชุมนุม..จะสร้างสงครามใหม่..จงกลับไปสู่โต๊ะเจรจา..ในขณะที่เวลายังมีอยู่..ถอยหลังกันคนละก้าว..แล้วเราจะมองเห็นแสงสว่างที่ไม่เคยมองเห็น ผู้ชุมนุมต้องให้เวลากับรัฐบาล..รัฐบาลต้องหยุดกระเหี้ยนกระหือรือที่จะล้อมปราบ..จงกลับไปที่โต๊ะเจรจา..เพราะทันทีที่สงครามเริ่ม..ประเทศจะย่อยยับ..จงกลับไปที่เวทีแห่งการเจรจา..แพ้ชนะกันที่ผลประโยชน์ของชาติ..หรือไม่ก็พินาศลงไปด้วยกัน

โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
................................................

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ทหาร ก็เกียร์ว่าง!

เพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆเลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ.เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐเป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรสำนวนไทยที่ว่า “ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เหมือนลิงแก้แห” ดูเหมือนว่า จะสะท้อนภาพที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)เพราะแหที่ลิงพยายามแก้ พยายามดึงนั้น ยิ่งพันยุ่งเหยิงและมัดตัวลิงมากยิ่งขึ้นได้แต่เป็นห่วงว่า สุดท้ายจะไม่จบเหมือนใน

นิทานภาษิตสอนใจ ที่แหพันตัวลิงจนดิ้นตกน้ำ ช่วยตัวเองไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าซึ่งความต้องการของการใช้ กลไก ศอฉ. เป็นเครื่องมือหลักในการที่จะสลายการชุมนุม ทวงคืนพื้นที่ราชประสงค์คืนจากผู้ชุมนุมเสื้อแดงให้ได้นั้น กำลังกลายเป็นสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาอีรุงตุงนังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆที่น่ากลัวที่สุดคือ ยิ่งทำยิ่งกลายเป็นการแบ่งแตกแยกขั้วในสังคมไทยมากขึ้นหรือไม่???ตรงนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่น

คง และ 2 โฆษกสำคัญของ ศอฉ. คือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และ นายปณิธาน วัฒนายากรทั้งหมดควรจะตั้งสติให้มากๆ และใคร่ครวญไตร่ตรองให้จงหนัก ว่า การสลายการชุมนุมแล้ว จะสามารถยุติปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองได้จริงๆ หรือการยึดคืนพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ โดยไม่ให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ หรือว่าเกิดการสูญเสียของฝ่ายใดๆ ก็ตามซ้ำรอย 10 เมษายนนั้น เป็นไปได้จริงๆ หรือหากเกิดการสูญเสียชีวิตไม่ว่าจะกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง กลุ่มทหารตำรวจเจ้า

หน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมไปทั้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ นั้น ไม่เพียงแค่คำถามว่า “รัฐบาล และ ศอฉ. รับผิดชอบไหวหรือ?” เท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยคำถามที่ว่าจะยุติความแตกแยกได้อย่างไร?!?มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ เพราะทั้ง นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันนี้ก็ยืนยันว่า เป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาล และ ศอฉ. ก็บอกว่าต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ โดยกฎหมายที่ต้องการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ แต่บังเอิญดันเป็น พ.ร.ก.การบริหาร

สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย จะไม่ถือว่าเป็นกฎหมายลักษณะนี้ เป็นกฎหมายพื้นฐานตามสิทธิมนุษยชนเสียด้วยนี่แหละที่บอกว่า ยิ่งทำยิ่งยุ่งเหมือนลิงแก้แห เพราะไปตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าประกาศใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉิน ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว ทุกอย่างต้องยุติได้ด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษบังเอิญมาเกิดขึ้นในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูไปทั่วโลกแล้ว อำนาจกฎหมายติดหนวดในอดีตจึงไม่เป็นที่เกรงขามของกลุ่มผู้ชุมนุมทวง

คืนประชาธิปไตย ซึ่งมั่นใจว่า เป็นการใช้สิทธิตามวิถีทางประชาธิปไตย สุดท้าย ก็เลย“ยุ่งตายห่ะ” เหมือนสำนวนของนักการเมืองอาวุโส อดีตประธานสภาผู้วายชนม์ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เคยพูดติดปากไว้ไม่มีผิดเสียดายว่า นายอภิสิทธิ์ อาจจะเกิดไม่ทัน จึงไม่มีภูมิความรู้ทางการเมืองในเรื่องนี้เพียงพอ ในขณะที่นายสุเทพ แม้จะเกิดทัน แต่ในภาวะที่ไม่ปกติจนหน้าเคร่งเครียดไม่เว้นแต่ละวัน จึงอาจจะลืมเลือน เลยไม่ได้เตือนนายอภิสิทธิ์ ในประเด็นที่ว่า ยิ่งดึงดันจะยิ่ง

ยุ่งเพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆ เลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ. เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐ

เป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่หากสามารถแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกจากกลุ่มที่ติดอาวุธได้ อย่างนั้นทหารก็พร้อมทำหน้าที่ “วันนี้รัฐบาลควรแก้ปัญหาให้สถานการณ์ของประเทศยุติความรุนแรงให้ได้ก่อนสิ่งที่รัฐบาลพยายามพูดว่าต้องรักษานิติรัฐ แต่ขณะนี้มีคนตายจำนวนมากทั้งเสื้อแดง ทหาร และคน

หลากสี ไม่รู้ว่าจะรอให้เกิดมิคสัญญีก่อนหรือถึงจะหาทางยุติปัญหา” คือความรู้สึกของนายทหารที่ นายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างควรที่จะรับฟังบ้างเพราะในความเป็นจริงที่ต้องยอมรับสำหรับสถานการณ์ขณะนี้ บรรดาผบ.เหล่าทัพเห็นตรงกันว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การเจรจา รัฐบาลต้องยอมเสียสละ (บ้าง) เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้โดยเร็ว กรอบเจรจาจะกำหนดเงื่อนไขยุบสภาภายในกี่เดือนก็ต้องหารือกันไป รัฐบาลไม่ควรรีบปฏิเสธการหา

ทางออกร่วมกันตามที่แกนนำเสื้อแดงเสนอ แต่สามารถต่อรองกรอบเวลาให้ชัดเจน และรัฐบาลต้องยอมเสียสละบ้าง เพื่อให้คลี่คลายปัญหาบ้านเมืองเวลานี้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การกระทำของรัฐบาล และ ศอฉ. คือ การอ้างแต่ว่าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายภาวะฉุกเฉินทั้งๆ ที่หากยกเลิกกฎหมายภาวะฉุกเฉินที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เสียให้หมด ใช้เพียงกฎหมายพื้นฐานตามประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลเองก็จะไม่รู้สึกกดดันว่าต้องทำอะไรเพื่อรักษาหน้า

รักษากฎหมายของตัวเองก็ขนาดที่มีข่าวหลุดออกมาว่า ขณะนี้แม้แต่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. ยังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการที่จะให้จัดการกับผู้ชุมนุม หรือสลายการชุมนุมนั้น จะต้องทำหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนอีกหรือว่า ทั้ง ผบ.ทบ. และ รรท.ผบ.ตร. อึดอัดกับวิธีคิดว่า จะต้องสลายการชุมนุมเพราะด้วยประสบการณ์ในหน้าที่ราชการที่กว่าจะขึ้นมาสู่จุดสูง จนใกล้จะเกษียณอายุราชการในสิ้น

เดือนกันยายนนี้ของคนทั้งคู่แล้วย่อมรู้ดีว่า สลายการชุมนุมเมื่อไหร่ ก็ต้องมีการสูญเสียเมื่อนั้นที่สำคัญเมื่อหัวใจไม่ยอมรับ หัวใจไม่ยอมสยบ อย่าได้หวังเลยว่าการชุมนุมจะยุติดีไม่ดีหากบาดเจ็บล้มตายมากๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะลงใต้ดินเล่นไม่เลิก หรือไม่เช่นนั้นก็จะมีการแปลงรูปจากเสื้อสีแดงไปเป็นสีอื่นใดก็ได้ เพราะกลยุทธ์เช่นนี้ไม่ใช่กลยุทธ์แปลกใหม่ใดๆ เลยเสื้อหลากสี ในวันนี้ ก็แปลงรูปมาจากม็อบพันธมิตรเดิมนั่นเอง เพราะ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์

เป็นหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากเป็น ม็อบพันธมิตรเก่าเสื้อสีน้ำเงิน ที่เชื่อกันว่า เป็นกลไกของ นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกเว้นวรรคทางการเมืองแต่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกรูปแบบ ซึ่งมีภาพปรากฏชัดเมื่อครั้งนายเนวิน ไปบัญชาการและตรวจสอบปฏิบัติการที่พัทยา มาในวันนี้เสื้อสีน้ำเงินก็แปลงรูปไปแฝงในฝูงชนแล้วเช่นกันแม้แต่ม็อบพันธมิตรอีกส่วนหนึ่งยังแปลงรูปไปเป็นพรรคการเมืองใหม่เลยดังนั้นนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และแกนนำ ศอฉ. เคยคิดเรื่องการแปลงรูป

แปลงสีเสื้อแต่ยังคงต่อสู้ด้วยอุดมการณ์เดิมบ้างหรือไม่???หากยังไม่คิดก็คิดเสียเถิด เพราะยังไม่สายเกินไปที่จะกลับลำการที่ดึงดันจะสลายการชุมนุม ได้ลากให้เกิดภาพสะท้อนที่กระทบไปทั่วแล้วในเวลานี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็พยายามย้ำมาตลอดว่า รัฐบาลไม่ควรพยายามสร้างภาพผูกขาดการจงรักภักดีเอาไว้เฉพาะกลุ่ม แล้วกล่าวหาว่ากลุ่มโน้นกลุ่มนั้นไม่จงรักภักดีต่อสถาบันจิตวิทยาลักษณะนี้แหละที่คงต้องขอเตือนสติรัฐบาลว่า หมิ่นเหม่ต่อการกระทบกับสถาบันสูงสุด

ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สังคมไทยเกิดการขัดแย้ง เกิดการแตกแยกหนักขึ้นกว่านี้ไปอีกเชื่อว่าในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงไม่มีความสุขกับภาพการเผชิญหน้ากันเองของคนไทย ระหว่าง ผู้ชุมนุมกับทหารตำรวจ ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มชาวสีลม ซึ่งทั้ง 2 กรณีเกิดความสูญเสียไปแล้วและมาวันนี้ กลุ่มคนเสื้อหลากสี กำลังได้รับการกระตุ้นจากน.พ.ตุลย์ ให้ออกมาแสดงพลังกันให้ได้เป็นหลักหมื่นหลักแสนนายอภิสิทธิ์ จะสบายใจได้หรือ หากมีการปะทะกันขึ้นมาระหว่างคน

เสื้อต่างสี แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้นวันนี้ยังไม่สายที่หยุดการแตกแยกในสังคมไทย เพียงแค่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ยอมเสียสละและเจรจา อย่างที่บรรดานายทหารในกองทัพอยากเห็นรวมทั้งอย่างที่บรรดาคณะทูต 29 ประเทศทั่วโลก ก็เห็นพ้องกันว่า ต้องเจรจาให้ได้ข้อยุติสโลแกนที่ว่า “วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?” คงต้องเปลี่ยนเป็น “วันนี้คุณจะเสียสละได้หรือยัง?”แล้วล่ะ จึงจะหยุดวิกฤติบ้านเมืองแตกแยกได้อย่างถาวร

ที่มาบางกอกทูเดย์
..................................................

อำนาจรัฐ! ต้องหยุด‘คุกคามสื่อ’

บทบาทหน้าที่ของ “อาชีพสื่อมวลชน” คือ ตะเกียงส่องทางให้กับสังคม...เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน...เป็นยามเฝ้าแผ่นดิน...คอยสอดส่องดูแลและทำหน้าที่รายงานข่าวสารตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ หรือ วิทยุ ล้วนแต่เป็น “สื่อมวลชน” ที่ไม่สามารถเลือกปฏิบัติหน้าที่ได้ แม้จะต้องทำงานในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบสุขเกิดภาวะศึกสงคราม...ทุกคนก็จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อนำข่าวสารต่างๆ มาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ติดตามและได้รับรู้ถึง

ความเป็นจริงในสถานการณ์ แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสื่อมวลชน? เพราะข้อเท็จจริง...สื่อมวลชนถูกฝ่ายการเมืองสั่งการ “เซ็นเซอร์” ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปเสียเองมิหน่ำซ้ำ...ยังมีคำสั่งให้ปิดบังการนำเสนอข้อเท็จจริง จนการรายงานข่าวนั้นเกิดความ “ไม่เป็นกลาง” และ “ไม่เป็นธรรม”เช่นนั้นแล้ว...จรรณยาบรรณของวิชาชีพนี้จะมีคุณค่าอะไร...ในเมื่อถูกผู้มีอำนาจ “เหยียบย่ำ” จนบางครั้งสื่อมวลชนยังรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีค่า ในวิชาชีพนี้โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวัน

ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา...ควรถูกยกขึ้นมาเป็น “อุทาหรณ์สอนใจ” กับการชุมนุนมที่บริเวณถนนสีลม ซึ่งได้มีเหตุรุนแรงโดยมือดียิงระบิด M 79 จำนวน 5 ครั้ง...ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บกว่า 80 คน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นโศกนาฏกรรมต่อเนื่องจากวันที่ 10 เมษา ที่ประชาชนและทหารถูกมือที่ 3 หรือ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ปั่นป่วนเข้าสร้างสถานการณ์...จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่การสื่อสารในวันนั้นเราต้องยอมรับว่า...มันกว้าง

เกินไปสำหรับการแสดงความคิดเห็น...กระทั่งไปพบข้อความหนึ่งของ “ฐปณีย์ เอียดศรีไชย” ผู้สื่อข่าวรายการข่าว3 มิติ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยข้อความนั้นระบุว่า... “นี่คือ ข้อเท็จจริงจากปากคำตำรวจยอมรับไล่กลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คน ที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลังแนวทหาร แต่กลับถูกทหารเอาปืนจ่อหัวบอกไม่ต้องตามไป” ซึ่งข้อความนี้...เป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะเธอเป็นคนรายงานข่าวในคืนที่ 22 เมษานั่นเอง “ฐปณีย์” ได้รายงานข่าวโดยสวมหมวก

กันน็อคที่เสื้อมีรอยเปื้อน...ซึ่งบ่งบอกด้วยการชมในตอนนั้นว่า...ผู้สื่อข่าวคนนี้กำลังเข้าไปคลุกวงใน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อรายงานจบเราก็แทบไม่รู้ชะตากรรมของเธอว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร?โดยเฉพาะเมื่อได้อ่านข้อความในทวิตเตอร์ของ “ฐปณีย์” ใครหลายคนคงไม่ได้สนใจว่าทหารจะเอาปืนจ่อหัวตำรวจจริงหรือไม่? แต่ความรู้สึกมันบ่งบอกว่า “ฐปณีย์” และผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กำลังใช้สองมือกำ “เผือกร้อน” เอาไว้แน่นเพราะ

อำนาจรัฐจะเข้าไปจัดการกับความเห็นที่ส่งผลเสียต่อการทำงานของรัฐบาลหลังจากนั้นไม่นาน “ฐปณีย์” ก็ได้ออกมาแถลงเป็นข้อความผ่านทวิตเตอร์...ทำให้รู้ทันทีว่าเธอโดนเล่นงานจากอำนาจ “ในมุมมืด” ในที่สุด เธอก็โดนสั่งระงับไม่ให้รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง! ถามว่า...ประสบการณ์การทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปีของเธอ...ซึ่งรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง...แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจต้านทานต่อ “แรงอิทธิพล” ทางอำนาจ วันนี้ในฐานะ “สื่อมวลชน” ทุกคนรู้ดีว่า

อะไรเป็นอะไร...แต่ถ้าจะให้พูด “ปากเปียกปากแฉะ” ก็คงฝากบอกไปถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ให้ท่านรู้จักและเข้าใจถึงคำว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”เพราะอาชีพสื่อมวลชนคือ...การเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาและไม่ใช่อาชีพที่มีไว้เพื่อให้นักการเมืองเยียบย่ำหรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เห็นได้ชัดว่า...ตราบใดที่ยังมีการปิดกั้นสื่อก็แสดงให้เห็นว่า...สงครามระหว่างรัฐบาลกับประชาชนจะยังไม่จบสิ้น!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................

ปชป.ลืมแล้วหรือ? ช้านักมัก‘เสียการใหญ่’

ถามว่า...รัฐบาลนี้จะไปกันได้ “ตลอดรอดฝั่ง” หรือไม่?ในเมื่อทั้งศึกในและศึกนอกยังเป็นสิ่งที่ท้าทายผู้บริหารภายในพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะยังคงแก้ไขปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูกไปถึงอีกเมื่อไหร่เพราะหลายครั้งหลายคราที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เล่นมุกตลกแต่ไม่ชวนขำ “ลับ ลวง พราง” ใส่บรรดาพรรคร่วมทั้ง ภูมิใจไทย ชาติไทยพัฒนา รวมใจไทยชาติพัฒนา เพื่อแผ่นดิน กิจสังคม เรียกว่า...สับขาหลอกจนไม่รู้ว่า ฝ่ายไหนเป็นผู้ที่โดนหลอกกันแน่ดูได้จากการประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อเร็วๆ นี้...ซึ่งใช้เวลาในการประชุมยาวนานถึง 5 ชั่วโมง โดยสองแกนนำหนังเหนียว คือ “ชวน หลีกภัย” ประธานที่ปรึกษาพรรค

และ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” กรรมการสภาที่ปรึกษา...ออกมาเบรกตัวโก่ง ห้ามแก้รัฐธรรมนูญ 2 มาตรา โดยให้เหตุผลแบบหล่อๆ สไตล์พรรคประชาธิปัตย์ว่า...เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ งานนี้คนที่ตกอับคงไม่ใช่ใครนอกจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่สัญญากับ “พรรคร่วมรัฐบาล” พวกเรา “จูบปาก” ขึ้นเป็นรัฐบาลก็เพราะเรื่องนี้มิใช่หรือ?การเสนอแก้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้...ในใจพรรคร่วมก็รู้อยู่เต็มอกว่า...ความเป็นไปได้นั้นมีไม่

มาก...แต่ก็ยังพยามหวังลึกๆ ว่า “พรรคประชาธิปัตย์” จะยึดมั่นในคำสัญญาแต่พรรคร่วมคงลืมไปกระมัง “สัญญาใจ” ที่ว่า...พรรคประชาธิปัตย์ลืมบอกไปเหมือนกันว่าพวกท่านต้องออกแรงลงไปงมหากันเอาใน “มหาสมุทร” สัญญานั้นพวกเรามีให้...แต่จะให้เท่า “ก้อนกรวด” ในมหาสมุทรก็คงไม่มีใครว่า!เหตุผลที่พรรคประชาธิปัตย์ “ท้องอืด” คล้ายจะเป็นลม...ไม่สนในคำร้องขอของพรรคร่วมคงมีเหตุผลสำคัญอยู่อย่างเดียว คือ เลือกตั้งครั้งหน้า “พวกกูตายแน่”ยิ่งถ้าแก้รัฐ

ธรรมนูญ...ยิ่งไปกันใหญ่ เผลอๆ ความฝันที่จะได้ถึง 280 ที่นั่งอาจหล่นมาเหลือ 99 ที่นั่ง...เพราะอยู่ในช่วงลดกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์...เพราะแค่ประเมินด้วยสถานการณ็วันนี้ก็สามารถมองได้ทะลุปรุโปร่งว่า “พรรคเพื่อไทย” จะต้องวิ่งเข้าวิน..ในขณะที่ประชาธิปัตย์เดินต้วมเตี้ยมเป็น “เต่าสี่ขา”เหตผลุที่ไม้แก้รัฐธรรมก็ไม่มีอะไรนอกจาก “ทิ้งเพื่อน” เอาตัวรอด...รักษาสมาชิกสถาผู้แทนราษฎร “หลักร้อย” เอาไว้เพื่อจับขั้วตั้งรัฐบาลใหม่ อย่างนี้น่าคบจริงๆ แต่การเมืองในวันนี้

ปัญหาใหญ่มันอยู่ที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่สามารถหาทางออกในเรื่องนี้ได้ โดยเฉพาะ “การแถลงข่าวรายวัน” ไม่ได้มีประโยชณ์อะไรกับประชาชนเลยแม้แต่น้อย หาก “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เลือกที่จะแก้ปัญหาการชุมนุมแทนการแถลงข่าวตอบโต้รายวัน...ปัญหามันคงไม่ลามมาถึงขั้นนี้นั่นก็แสดงให้เห็นว่า...รัฐบาลทำอะไรไม่ได้! ประเทศชาติจะเป็นอย่างไร...ช่วยกันหาทางออกที่รอมชอมจะดีกว่าไหม...ละเว้นไว้สักระยะสำหรับ

การ “ยึดติดอำนาจ” เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในภายภาคหน้า จะลาออก หรือ ยุบสภา หรือจะอยู่กันไปวันๆ แบบนี้ แต่ขอบอกอย่างหนึ่งว่า...ถึงวันนี้ประชาชนทั้งประเทศพวกเขากำลัง “เสี้ยนใจจะขาด” เพราะความกระตือรือร้นที่อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าไม่เช่นนั้นจะมี “บรรดาม็อบเกือบทุกสี” ที่ออกมาแสดงสิทธิ์ แสดงพลังในการขับเคลื่อนเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปอย่างนี้หรือ...โดยพวกเขาเน้นย้ำว่าต้องเป็นการเดินหน้าอย่างมีสติและการเมืองใน

ประเทศนี้ต้องดีขึ้นสังคมนี้ต้องการคนเสียสละ...เพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอด...ถึงนาทีนี้คงพึ่งใครไม่ได้อีกแล้วสำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ซึ่งต้องพึ่งสองรูจมูกของตนเองหายใจยังไม่สายหากคิด “ล้างไพ่” เลือกตั้งใหม่...เริ่มต้นใหม่...ภายในระบอบพรรคการเมืองที่ปราศจาก “มืออีแอบ” ที่มองไม่เห็นหากช้านานไปกว่านี้...ใครบางคนในพรรคประชาธิปัตย์คงไม่วายออกไปเดินกลางถนน...แล้วถูกประชาชนรุมทัณฑ์ “ตายหยั่งเขียด”

ที่มา.บางกอกทูเดย์
.....................................................

ผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่า ปรากฏการณ์ “ไพร่ทาสเฉื่อยงานกับข้าราชการเกียร์ว่าง"


ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มองการเมืองไทย ทะลุมาตั้งแต่พ.ศ. 2475 เขามองปรากฎการณ์ของ ไพร่ อำมาตย์ และทหาร ได้ลึกกว่าใคร "บทสัมภาษณ์ ดร. ชาญวิทย์ ในบรรยากาศอึมครึมก่อนมีพายุใหญ่

@แนวโน้มเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
ภาพรวมคิดว่า น่าจะจบด้วย 1) นายกฯยุบสภาหรือลาออก 2) นองเลือดแล้ว หลังจากนั้น ขบวนการเสื้อแดงมุดลงดินกับขึ้นไปในโลกไซเบอร์ และ 3) เป็นปรากฏการณ์ที่คนไทยมองเรื่อง “กฤษดาภินิหาร” อย่างเช่นหนังสือที่ มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เขียนไว้ “กฤษดาภินิหารอันบดบังมิได้ของกรมพระนเรศ” (พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเศรวรวรฤทธิ์ พระนามเดิม พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร พระราชโอรสองค์ที่ 17 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์บวรเดช เจ้าอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหารนำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสานล้มล้างการปกครองของรัฐบาล อันเป็นเหตุการณ์ “กบฏบวรเดช” เกิดขึ้นในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476)

@ เท่ากับว่าพัฒนาการประชาธิปไตยไม่คืบหน้าหรือเปล่า

มันอยู่ที่คนกลุ่มไหนเป็นคนมอง บางคนอาจหมดหวังกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่บางคนก็อาจจะมองว่ามันกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าถึงจุดที่ดีกว่าเดิม เป็นที่มาของประโยคประเภทที่ว่า “กลียุคเป็นบ่อเกิดแห่งเสรีภาพ”

@ ฝ่ายไหนได้เปรียบเสียเปรียบกว่ากัน

มองยากว่าใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบ เพราะบางคนก็คิดว่าถึงทางตัน แต่ความจริงแล้วสังคมก็เดินของมันไป

@ ขณะนี้รัฐบาลเตรียมจัดการกับผู้ก่อการร้าย

ผู้ก่อการร้ายเป็นวาทกรรมที่ซับซ้อนมากๆ ภาษาไทยแปลมาจากคำในสมัยยุค sixty-seventy (ยุคค.ศ.1960 ค.ศ. 1970) ในสมัยสงครามเย็น สมัยความขัดแย้งของลัทธิ เป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างมาต่อต้านคอมมิวนิสต์ เป็น insurgency หรือ insurgent ซึ่งหมายถึงคน ผู้ก่อการร้ายสมัยสงครามอินโดจีนสมัยไทยร่วมเป็นพันธมิตรกับอเมริกา

แต่คำว่าผู้ก่อการร้ายในปัจจุบันน่าจะหมายถึง terrorist หมายถึงคนที่เป็นผู้ก่อการร้าย กับคำว่า terror อันนี้เป็นศัพท์ที่มาจากความขัดแย้งของโลกตะวันตกกับโลกมุสลิม มาจากเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด ใน ค.ศ. 2001 แปลว่าเป็นเรื่องระดับสากลมากๆ ฉะนั้น การที่รัฐบาลใช้คำนี้เป็นการใช้คำที่กำกวมและเกินเลยต่อสภาพของความเป็นจริง เป็นการใช้ในความหมายแบบเก่าครึ่งหนึ่ง หมายถึงผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ มีนัยยะครอบคลุมคอมมิวนิสต์และฝ่ายซ้ายเก่าในยุคหลัง 6ตุลา 2519 และใช้ในความหมายที่คลุมไปถึงการก่อการร้ายในปัจจุบันคือเรื่อของการถล่มตึกเวิลด์เทรด เรื่องของประเทศอิรัก เรื่องบินลาเดน เรื่องของอัฟกานิสถาน รวมทั้งนัยยะของเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

ในด้านหนึ่งเป็นการยกสถานะความขัดแย้งจากถนนราชดำเนิน หรือแยกราชประสงค์ให้เป็นระดับอินเตอร์ เพื่อให้ประเทศต่างๆ ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมันอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ แต่ผมคิดว่าปัญหาของเรามัน local มากกว่า มันเป็นเรื่องท้องถิ่นมากๆ ฝ่ายแดงมีปลาร้า โคมลอย ทอดแห ไม้ไผ่ปลายแหลม บั้งไฟ แม้เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. จะไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการปะทะกันนั้นมีอาวุธร้ายแรง แต่โดยภาพรวมของฝ่ายแดงมันก็ดู local อยู่ดี

@ เชื่อว่าใช้คำแบบนี้เพื่อพร้อมปราบปราม

แน่นอน เพราะคำว่าผู้ก่อการร้าย แปลว่า ฆ่าได้ เหมือนอย่างที่เคยฆ่ามาแล้ว สร้างความชอบธรรมให้การประหัตประหาร

@ ปัญหาของการใช้คำกำกวม

วาทกรรมของรัฐบาลอาจไม่ได้ผล เพราะคำเช่นนี้เคยใช้ในสมัย 14 ตุลา 2516 พฤษภา 2535 ก็ไม่ได้ผล ใช้คำว่าผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ บ่อนทำลายประเทศชาติ ไม่สามารถทำให้คนที่อยู่ตรงกลาง(ระหว่างคนที่พร้อมจะเชื่อรัฐบาลกับคนที่ไม่เชื่อรัฐบาล) เชื่อรัฐบาลขึ้นมาได้ ซึ่งคนพวกนี้มีจำนวนมาก และการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์บางฉบับ เช่น ไทยรัฐหน้า 3 และการ์ตูนการเมือง เกาเหลาชามเล็กในมติชน ก็เอามาล้อเลียนเป็นเรื่องตลก ทำให้ความขลังของอำนาจ(รัฐบาล)พังพินาศลงถูกหัวเราะ แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่า การปราบปรามจะสำเร็จไหม หรือจะเป็นบูมเบอแรงเหมือนวันที่ 10 เมษา หรือไม่ เช่น แม่ทัพถูกเด็ด อาวุธยุทธโธปกรณ์ถูกทำลาย

@ หลังวันที่ 10 เม.ย. ก็ไม่ได้สะเทือนอำนาจของรัฐบาล

- ผมคิดว่าสะเทือน มันถึงได้คาราคาซังไง จากวันที่ 10 เมษา มาถึงวันนี้ กว่า 10 วัน ไม่มีอะไรคืบหน้า มันเหมือนกับเป็น “เกมรอ” เป็น “waiting game” เกมมันลากยาวมากเพราะสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครมีความได้เปรียบที่แท้จริงแต่มันยันกันอยู่หมดเลย ไม่งั้นมันจบเร็วๆไปแล้ว แต่ความจริงคือมันยังยันกันอยู่

@ การที่รัฐบาลยังอยู่ในตำแหน่ง ไม่ได้แปลว่าชนะ

ผมกลับมองว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อยู่ในฐานะลำบากมาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหาทางจบเกมไม่ได้ ณ เวลานี้นะครับ แต่สถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ณ เวลาที่ฝุ่นตลบ อีก 1 ชั่วโมงสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปก็ได้ พูดยากมาก

@ การชุมนุมตึงเครียดมีความหวาดระแวง

ม็อบยังไม่ชนะหรอกครับ แต่การชุมนุมมาเดือนกว่านี้ ฝ่ายเสื้อแดงเก็บคะแนนมาตลอด เพียงแต่ถูกตัดแขนขา เพราะต้องต่อสู้กับผู้กุมอำนาจรัฐประกอบด้วยตำรวจ ทหาร เผลอๆ มีตุลาการอีกด้วย แถมยังมีกองกำลังเสริม(ฝ่ายรัฐบาล)อยู่เป็นระยะๆ แต่ฝ่ายกุมอำนาจรัฐและผู้สนับสนุนก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้

@ ปัญหาทหารตำรวจเกียร์ว่าง เพราะไม่แน่ใจว่าอำนาจจะพลิกไปทางไหน

ผมว่าในยุคที่การเมืองเสื้อเหลืองออกมาต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็มีข้าราชการเกียร์ว่าง แต่มันไม่ชัดเจนเท่าคราวนี้ ที่เสื้อแดงต่อต้านรัฐบาลแล้วกลไกของรัฐนั้นกลายเป็นง่อยไปเลย เป็นปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะปกติกลไกรัฐต้องทำตามเจ้านายสั่ง แต่คราวนี้เจ้านายไม่สามารถจะสั่งได้ เหมือนกับ ผู้นำทหารจำนวนหนึ่งอาจจะคิดว่าเนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาแขวนคอ ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลนายสมัคร รัฐบาลนายสมชายสั่ง เขาก็ไมทำ ส่วนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์สั่ง เขาก็ไม่อยากทำ แต่ถ้าคุณมีambition สูง(ความทะเยอทะยาน) อยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ตอนนี้ถ้าทหารยึดอำนาจแล้วก็ไม่ได้เป็นนายกฯ แล้วจะไปยึดอำนาจทำไม(หัวเราะ) ยึดอำนาจแล้วก็ซวยถูกด่าอีกต่างหาก รัฐบาลมาก็เปลี่ยนตัว แต่สถาบันตำรวจทหารนั้น มันขึ้นอยู่กับผู้คุมสถาบันทหารตำรวจจะเอาตัวเข้าแลกหรือเปล่า

ในสมัยอยุธยา มีไพร่ ใช้วิธีการต่อสู้โดยการ “เฉื่อยงาน” เช่นว่า ไพร่ถูกเกณฑ์มาขุดคลอง ถางหญ้า สร้างกำแพง มันไม่ชอบ มันไม่อยากทำ มันก็เฉื่อยงาน มันทำให้งานช้า งานไม่สำเร็จ การเฉื่อยงานเป็นเรื่องปกติในสังคมโบราณ ซึ่งเกิดในระดับล่างของคนที่เป็นไพร่ เป็นทาส แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับไปเกิดในกลุ่มข้าราชการของรัฐ “เกียร์ว่าง” ซึ่งเป็นคำศัพท์ใหม่ ก็คือ “เฉื่อยงาน” ซึ่งเป็นคำศัพท์สมัยเก่า

ตอนที่รัฐบาลนายสมัคร-นายสมชาย หรือรัฐบาลปัจจุบันสั่งให้ ผบ.ทบ.ทำ...ก็ไม่ทำ เป็นปรากฏการณ์ของสังคมไทยที่ข้าราชการเฉื่อยงานตามแบบของพวกไพร่ในสมัยอยุธยา

ในพงศาวดารอยุธยา หรือในพงศาวดารจีน ก็ปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ กลุ่มต่างๆ ก็ช่วงชิงความได้เปรียบ เหมือนว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดช่องว่างทางอำนาจ หรืออีกด้านหนึ่งคือ “ไม่มีใครมีอำนาจอย่างแท้จริงที่เห็นได้ชัด”

@ความแตกแยกในกองทัพ

สิ่งที่น่าเสียดาย คือในวงวิชาการไม่มีนักวิชาการที่รู้เรื่องกองทัพการทหาร ทำให้ไม่สามารถอธิบายการเมืองไทยได้ อาจจะมีคนเดียวคือ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข แต่นักวิชาการส่วนใหญ่ก็ไม่รู้เรื่องกองทัพ หรืออาจจะมีนักข่าวที่รู้อย่างคุณวาสนา นาน่วม แต่สิ่งที่นักรัฐศาสตร์ไทย “กลวง” คือ ไม่รู้เรื่องว่าใครเป็นใครในกองทัพ ไม่มีการทำงานวิจัยจริงจัง คณะรัฐศาสตร์จุฬา-ธรรมศาสตร์ล้าหลัง เพราะการจะเข้าใจการเมืองประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็ต้องเข้าใจว่าสถาบันองค์กรเหล่านั้นเป็นอย่างไร งานวิจัยจริงจังมีน้อยมาก ทำให้นักวิชาการนักรัฐศาสตร์ใช้แต่คอมมอนเซนส์

กรณีที่เกิดขึ้นกับนายทหารระดับสูง(ถูกทำร้ายด้วยอาวุธ) ในวันที่ 10 เม.ย. เป็นเรื่องใหญ่มาก ผมไม่คิดว่าจะมีปรากฏการณ์อันนี้กลางกรุงด้วยซ้ำไป เห็นแล้วเราก็มึนงง ถ้าเราดูจากสื่อกระแสหลัก ทีวี โทรทัศน์ เราจะไม่มีทางเข้าใจ เรื่องที่เกิดขึ้นกับระดับพันเอก เป็นเรื่องที่น่าตกใจ อีกด้านเป็นสัญญาณให้เราเห็นว่า ความขัดแย้งต้องสูงมาก เรื่องแบบนี้พลเรือนโดยทั่วๆ ไป ทำไม่ได้หรอก เพราะเป็นเรื่องเทคนิค การสงคราม อาวุธยุทโธปกรณ์ระดับสูง เหตุการณ์มันเกินเลยจินตนาการของเรา ว่าจะเป็นอย่างงี้ แต่มันก็เป็น ฉะนั้น สิ่งที่คนจำนวนมากพูดถึงสงครามกลางเมือง พูดถึงกาลียุค ก็อาจจะเป็นไปได้ ฉะนั้น เป็นสัญญาณหนึ่ง ลางบอกเหตุ

@ กรณีอดีต 2 นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แถลงแนวทาง “ขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเพื่อคลี่คลายปัญหา”

ผมไม่ค่อยคิดว่าเป็นปัญหานั้น เพราะถ้าเรามองกลับไปมีตัวอย่างที่เห็นชัด ทำไม “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” (ผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516) เคลื่อนขบวนจากพระบรมรูปทรงม้าไปสวนจิตรลดา ในประวัติของ 14 ตุลาฯ ใช้คำว่า “เพื่อไปขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง” แสดงว่า คุณชวลิต(พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ) กับคุณสมชาย นี่ทำตามตามแบบ “เสกสรรค์” ปี 2516 เพื่อขอพระบารมีเป็นที่พึ่ง ผมก็เลยไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่ 2 อดีตนายกฯ ไปขอเข้าเฝ้าฯ

@ ไม่คิดว่าขัดแย้งในแง่การอธิบายความคิดทางการเมืองเพราะฝ่ายนี้เคยแสดงความไม่เห็นด้วยเมื่อครั้ง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขอพระราชทานนายกฯตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 7

ไม่หรอกครับ เพราะภาษาไทยมีคำที่ผมชอบและไม่รู้จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร คำที่ว่า “คนละเรื่องเดียวกัน”

@ เป็นอีกตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าการเมืองไทยซับซ้อนมาก

ซับซ้อนครับ ถึงจบได้ยาก ลงตัวได้ยาก ต่อให้ยุบสภาก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้ลาออกก็ไม่จบได้ง่ายๆ ต่อให้นองเลือดก็ไม่จบง่ายๆ เกมนี้ยาวมากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านที่ยาวมากกินเวลาเป็น100ปี ตัวอย่างที่สำคัญคือ ปี ค.ศ. 1776 เกิดการปฏิวัติอเมริกา ให้เป็น democracy เพื่อต่อสู้กับ monarchy ของอังกฤษ จบด้วยdemocracy American ชนะ เมื่อแนวคิดว่าด้วยประชาธิปไตยเกิดขึ้นในโลกสมัยใหม่ กลายเป็นกระแสใหญ่ระบาดไปทั่วโลก ถ้าจะเข้าใจปรากฏการณ์สังคมไทยต้องเข้าใจ “ชาติกับชาตินิยม” “ชาติกับประชาธิปไตย” เป็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านจากสังคมเก่าไปสู่สังคมสมัยใหม่ จาก traditional society ไปสู่ modern society ถ้าปรับตัวได้ก็จะทำให้ทั้ง 2 อย่างกลมกลืนไปอย่างประเทศอังกฤษ แต่ขณะที่ในประเทศฝรั่งเศสมันแตกหัก ตรงนี้สำคัญเพราะเมืองไทยกำลังพิสูจน์ว่าเราจะสร้างสังคมใหม่โดยมีประเพณีเก่าไปด้วยกันได้หรือไม่ ซึ่งยุ่งยากซับซ้อน

@ ถ้าเกิดเหตุคล้ายๆ 6ตุลาฯ หรือพฤษภา35 เราจะย่ำอยู่กับที่แบบนั้นไหม

ผมว่ามันไม่ใช่แล้ว เวลาเราพูดถึง พฤษภา35 ตอนนั้นอินเตอร์เนทก็ยังไม่แพร่หลายเลย เพราะยุคพฤษภา ก็มีแต่กล้องวีดีโอกับแฟกซ์ ส่วนโทรศัพท์มือถือก็ราคาเป็นแสนบาท คนที่มีโทรศัพท์มือถือก็มีไม่กี่คน แต่วันนี้คนที่มาจากต่างจังหวัดก็มีมือถือใช้แล้ว ณ ปัจจุบัน เราต้องคิดถึงอินเตอร์เนท โทรศัพท์มือถือ มอเตอร์ไซต์ ส่วน 14 ตุลาฯ กับ 6 ตุลาฯ นักศึกษาที่ต่อสู้ ยังต้องใช้กระป๋องนมผูกเชือกส่งข้อมูลให้กันจากตึก อมธ.(องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) แต่เดี๋ยวนี้มีตัวเปลี่ยนโลก คือ 1) อินเตอร์เนท 2) โทรศัพท์มือถือและ 3) มอเตอร์ไซต์ เดี๋ยวนี้ไม่ใช้คำว่า “เดินขบวน” แต่ใช้คำว่า “เคลื่อนขบวน” ไปแป๊บเดี๋ยวถึง ราบ11 ไปแป๊บเดียวถึงราชประสงค์ ส่วนผู้ดีมีสกุลอยากดูการชุมนุมก็ขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสไป โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ

@ แม้จะมีสงครามคลิป แต่ก็ไม่ได้แตกต่างจากเดิมที่ทุกฝ่ายต่างช่วงชิงอธิบายว่าอะไรคือความจริง

การช่วงชิงอธิบายความจริง ในโลกปัจจุบันนี้ รัฐและผู้คุมอำนาจรัฐ ไม่สามารถผูกขาดข้อมูลได้อีกต่อไปแล้ว

@ มีสติ๊กเกอร์ที่ยังไม่รู้ว่าใครทำข้อความ “รัฐไทยใหม่” “ประธานาธิบดีทักษิณ”

มันอาจจะใช้สติ๊กเกอร์แบบใหม่ แต่ message ข้อความ ยังเป็นแบบเก่า เหมือนจ้างคนไปตะโกนในโรงหนังว่า “ปรีดี ฆ่าในหลวง” ก็แบบเดียวกัน คนที่เชื่อก็เชื่ออยู่แล้ว แต่คนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ ตอนนี้จึงอยู่ที่การวัดดวง!!!
การผูกขาดข้อมูลทำไม่ได้อีกแล้ว ถ้า elite ไม่สามารถเจรจาตกลงเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็จะทำให้เหตุการณ์ไปไกลถึงปราบปรามนองเลือด แล้วหลังจากนั้น เสื้อแดงส่วนหนึ่งก็จะลงใต้ดินหรือขึ้นไปในโลกไซเบอร์ รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพอย่างจีน ปักกิ่งยังไม่สามารถปิดการใช้อินเตอร์เนทได้เลย ถ้ากลายเป็น “นักรบในไซเบอร์สเปซ” จะน่ากลัว เพราะไม่จำเป็นต้องจับปืนจับอาวุธ แต่อยู่ที่ข้อมูลข่าวสารสร้างวาทกรรมให้คนเชื่ออะไร ผมว่าสำคัญมาก

@ สรุปแล้วหากคุณทักษิณสามารถเกี้ยเซี๊ยกับอีกฝ่ายหนึ่ง จะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
โดยปกติคนที่อยู่ชั้นนำของสังคม กลุ่ม elite มักจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันประสานผลประโยชน์กันแบ่งกันกิน แต่ถ้าฝ่ายใดจะเอาหมดมันก็ทะเลาะกัน เอาเข้าจริงตรงนี้ elite มันฟัดกันทะเลาะกัน มันรบกันก็ไปหาพวก โดยที่พวกหนึ่งก็ไปหาพวกใส่เสื้อสีเหลือง พวกหนึ่งไปหาเสื้อสีแดง อีกพวกไปหาพวกเสื้อสีชมพู ถ้าไม่ประนีประนอมเกี้ยเซี๊ย ก็ต้องรบกัน โดยธรรมชาติ elite มักจะยอมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของกันและกัน

@ ถ้าอย่างงั้นมวลชนที่ถูกปลุกอารมณ์มาเสียขนาดนี้ ก็เป็นธรรมชาติที่ต้องผิดหวัง

- ก็เป็นธรรมชาติ เพราะเขาต้องหาพวก แต่ละพวกก็ต้องหาพวก ทีนี้ถ้าหาพวกแล้วสามารถต่อรองกันได้ ก็จบ แต่ ณ จุดนี้ ดูเหมือนกับเขาไม่อยากต่อรองเพราะต่างฝ่ายต่างเอาจุดตัวเอง... การเมืองมันคล้ายๆกับการช๊อปปิ้ง มีคนซื้อ-คนขาย ถ้ามันอยากซื้อจริงๆ มันก็ต้องยอมจ่าย หรือคนอยากขายก็ต้องยอมลดราคา แต่ถ้าจะเอาที่ตัวเองตั้งราคาเท่านั้น ในที่สุดก็ตกลงกันไม่ได้ แต่สิ่งแตกต่างกันคือในการเมืองมันไม่ใช่แค่คนสองคน เพราะมันกลายเป็นคนอื่นเดือดร้อนอีกต่างหาก

@ มวลชนบางส่วนอยากจะ “แตกหัก” แต่ถ้าชนชั้นนำเกี้ยเซี๊ยกันได้ ก็กลายเป็น “อกหัก”ไหม

ในการเมือง มีคน “อกหัก” อยู่เรื่อยๆ(หัวเราะ) ผมเห็นเพื่อนนักวิชาการของผมก็อกหักกันเยอะแยะ ตั้งแต่ 14 ตุลา 6ตุลา พฤษภาฯ อกหักกันเยอะเลย มีคำถามว่า เอ๊ะ! ทำไมคนนั้นได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการโน้นกรรมการนี่ คนนี้ได้เป็นบอร์ดไอ้โน่นบอร์ดไอ้นี่ มีนักวิชาการในหมู่ของผม ผมอยากให้เขียนลงไปด้วย มันตกรถไฟเยอะเลยครับ พยายามขึ้นรถไฟมันก็ตกรถไฟ น่าสงสารมาก บางคนตกรถไฟตลอดเพราะขึ้นไม่ทัน หรือรถไฟมันมาไม่ถึงหน้าบ้าน ดอกเตอร์ทั้งหลายตกรถไฟไปเยอะเลย ไม่ได้(ตำแหน่ง)อะไรตั้งแต่ 14 ตุลาฯจนถึง 19 กันยาฯ กูก็ไม่ได้อีก..โอ้...น่าสงสาร(หัวเราะ) บางคนแก่จะตายก็ยังไม่ยอมเลิก น่าสงสารนะคนที่มันทะเลาะกัน เผลอๆ อายุ70 up เป็นขิงแก่ทั้งนั้น

@ อาจารย์มองทุกเรื่องแบบปลงได้ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรต่อไป

ผมอายุหกสิบกว่าปีแล้ว อะไรที่ผมอยากทำ ผมก็ทำมาหมดแล้ว ผมไม่ต้องแคร์อะไรอีกแล้ว สิ่งที่ผมอยากเรียกร้อง ผมก็ได้เรียกร้องไปแล้ว เหมือนครั้งนี้ถ้านายกฯอภิสิทธิ์ ไม่ยุบสภา ต่อไปเขาอาจจะมาคิดย้อนหลังว่านี่เป็นความผิดพลาด เมื่อครั้งที่ผมลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมก็ไม่ได้คิดว่าผมแพ้ ผมกลับคิดว่าการตัดสินใจนั้นถูกต้องแล้ว ไม่ได้รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นและรู้สึกเหนือกว่าบางคนด้วยซ้ำ และผมสามารถมองตาทุกคนได้โดยไม่ต้องหลบตา

@ การที่ผู้ชุมนุมยึดราชประสงค์ ขณะนี้

เหมือนไปกุมคอหอยลูกกระเดือก ผมก็ไม่นึกมาก่อน ว่าเขาจะไปยึดราชประสงค์ ผมเคยอยู่ซอยสารสินแต่ก่อนเป็นชานเมือง ตั้งแต่เล็กจนโตก่อนไปซื้อบ้านของตัวเอง... แต่เมื่อ 2 คืนก่อน ผมกลับไปบ้านที่ซอยสารสิน พบว่าเต็มไปด้วย คนอีสานไปตากผ้าโสร่ง กางเกงใน แถวๆบ้านเรา เออ ตรงนี้ก็แปลก หน้าสยามพารากอน ก็มีนุ่งโสร่งไปอาบน้ำ เอากางเกงในไปตาก เป็นภาพที่ประหลาดมาก ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ในเมืองไทยของเรา ในกรุงเทพฯ อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น ส่วนอะไรที่เราเคยได้เห็นมาตลอดชั่วชีวิต ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกต่อไป

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*********************************************************

การเมืองของเสื้อแดง

ดังที่เห็นกันอยู่แล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มาก มีประโยชน์ทั้งต่อหีบบัตรเลือกตั้ง และการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบอื่นๆ จึงไม่แปลกอะไรที่มีคนหลากหลายประเภท กระโดดเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ในบัดนี้ ก็ยอมรับกันแล้วว่า ขบวนการเสื้อแดงไม่ได้เป็น "เนื้อเดียวกัน" กล่าวคือ ประกอบด้วยคนที่มีความฝันทางการเมือง, ความต้องการ, วัตถุประสงค์, ปูมหลัง ฯลฯ หลากหลาย การแบ่งกลุ่มที่ชัดเจนอาจต้องการการวิจัย แต่อย่างน้อยก็น่าจะยอมรับได้ว่าขบวนการเสื้อแดงไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน"

นอกจากไม่ใช่ "เนื้อเดียวกัน" แล้ว ขบวนการเสื้อแดงยังไม่ "สถิต" อีกด้วย หมายความว่ามีการเปลี่ยนแนวทาง, เป้าหมาย, ขยายตัว, หดตัว, การจัดองค์กร, การนำ ฯลฯ อยู่ตลอดเวลา ก็เหมือนขบวนการทางสังคมและการเมืองทั้งหลายในโลกนี้ ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาของแกนนำ

เพราะขาดข้อมูลที่เก็บรวบรวมอย่างเป็นระบบ ผมจึงไม่ต้องการจะชี้ว่า มีใครบ้างที่ประกอบกันขึ้นเป็นขบวนการเสื้อแดงใน พ.ศ.นี้ แต่ผมอยากเสนอแนะให้เห็นว่า มีใครบ้างที่เข้าไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้ เพราะนั่นพอจะมองเห็นได้ง่ายกว่า ทั้งจากเวทีเสื้อแดง, อุบัติการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น, และเวทีของฝ่ายรัฐบาล

1/ คุณทักษิณ ชินวัตร โดยเฉพาะในตอนเริ่มต้นหลังการรัฐประหาร ก่อนที่คุณทักษิณจะมีโทษทางอาญาติดตัว การเคลื่อนไหวของขบวนการเสื้อแดงย่อมเป็นฐานคะแนนเสียงที่ดีของคุณทักษิณ จนกระทั่งปฏิปักษ์ของคุณทักษิณย่อมเลือกจะประนีประนอมกับคุณทักษิณ มากกว่าหักกันจนพินาศไปข้างหนึ่ง แต่หลังจากคุณทักษิณถูกพิพากษาให้จำคุกแล้ว ขบวนการเสื้อแดงจะเป็นประโยชน์ทางการเมืองแก่คุณทักษิณได้ ขบวนการต้องนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ พอที่จะเปิดช่องให้คุณทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมือง เพราะจะนั่งรอให้มีการเลือกตั้งทั่วไปหลังการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว

ที่เหนือกว่าเงินของคุณทักษิณ คือความนิยมอย่างล้นเหลือที่คุณทักษิณได้รับจากประชาชนในชนบท และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงกลายเป็นบันไดสำหรับไต่เข้าสู่วงการเมืองที่ดี โดยเฉพาะเมื่อผู้บริหารพรรค ทรท.ถูกสั่งห้ามเล่นการเมืองแล้ว จึงมีนักการเมืองหลายระดับเข้ามาร่วมกับคนเสื้อแดง เพื่อชูคุณทักษิณสำหรับการเลือกตั้ง

แต่ขบวนการเสื้อแดงขยายตัวอย่างรวดเร็ว ดึงดูดเอาผู้คนเข้ามาร่วมอีกมากมาย รวมทั้งคนที่ไม่ใส่ใจว่าคุณทักษิณจะกลับมามีอำนาจหรือไม่ รวมแม้กระทั่งคนที่ไม่ได้ชื่นชอบคุณทักษิณเองด้วย และดังที่ผมเคยกล่าวไว้ในที่อื่นแล้วว่า คนเหล่านี้คือคนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเลิกเป็นเกษตรกรรายย่อยไปนานแล้ว ฐานการผลิตของเขาอยู่ในตลาดเต็มตัว มีความจำเป็นต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะทุกระดับ แต่มาพบตัวเองอยู่ในโครงสร้างการเมืองที่ไม่เปิดโอกาสให้ตัวได้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง มากกว่าการเลือกตั้ง (ซึ่งก็ถูกทำให้เป็นหมันไปเสียอีก เพราะการรัฐประหารหรือการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร)

ผมอยากเดาว่านี่คือกลุ่มคนที่ใหญ่สุดในขบวนการเสื้อแดง ไม่ใช่ "คนจน" ดักดานที่เป็นแรงงานรับจ้างภาคการเกษตร หรือแรงงานรับจ้างรายวันที่ไม่มีงานทำตลอดปี และไม่ใช่ซาเล้งที่ซุกตัวอยู่ตามสลัมในเมืองใหญ่

และด้วยเหตุดังนั้น ขบวนการเสื้อแดงจึงมีลักษณะ "ปฏิวัติ" มากขึ้น จนกระทั่งหากคุณทักษิณเป็นนายกฯอยู่เอง ก็คงร้องไอ๊หยาเหมือนกัน "ประชาธิปไตย" ที่เขาเรียกร้องจึงแตกต่างจาก "ประชาธิปไตย" ของนักวิชาการและปัญญาชนสาธารณะเป็นส่วนใหญ่ และง่ายที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์

ในขณะเดียวกัน ชื่อของ "ทักษิณ" ก็กลายความหมายจากคนหน้าเหลี่ยม เป็นสัญลักษณ์ของรัฐที่อาทรต่อคนเล็กๆ มากขึ้น และไม่ใช่อาทรในลักษณะสังคมสงเคราะห์ แต่เป็นความอาทรในลักษณะรัฐสวัสดิการ กล่าวคือเป็นสิทธิ ไม่ใช่ความน่าสงสาร

2/ ในฐานะทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่โตขนาดนี้ ไม่แปลกอะไรที่จะมีการช่วงชิงการนำกันอย่างอุตลุด ความแตกร้าวระหว่างกลุ่ม "สามเกลอ" กับ "สายเหยี่ยว" เป็นที่รู้กันดี

ความสำเร็จในการนำการประท้วงในครั้งนี้ ทำให้ "สามเกลอ" พ้นสภาพความเป็นเครื่องมือของใครทั้งสิ้น เขากลายเป็นพลังทางการเมืองในตัวของตัวเอง ซ้ำยังมีมวลชนสนับสนุนจำนวนมาก นำความวิตกแก่คนอื่นที่ต้องการเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้มากขึ้น แม้แต่คุณทักษิณ ชินวัตร เองก็ต้องหมั่นโฟนอินเข้ามาบ่อยเกินความจำเป็น (และไม่เป็นผลดีต่อการประท้วงนัก) เพราะคุณทักษิณเองก็เกรงว่าทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะหลุดมือตนไปเหมือนกัน

กลุ่ม "สายเหยี่ยว" ซึ่งเคยปรามาสไว้ว่า "สันติวิธี" จะไม่นำไปสู่ความสำเร็จใดๆ คงรู้สึกเหมือนกันว่า หากการประท้วงนำไปสู่การยุบสภาได้ ทรัพยากรการเมืองชิ้นนี้จะยิ่งหลุดจากมือของตนมากขึ้น จึงต้องพยายามหาบทบาทบางอย่างอยู่เบื้องหลัง

ในขณะเดียวกัน ความขาดเอกภาพในกองทัพและตำรวจ ทำให้การปฏิบัติตามคำสั่งเป็นไปอย่างลังเล นับตั้งแต่การผ่อนปรนมากกว่าที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ ไปจนถึงอาจจะแทรกเข้ามาเป็น "มือที่สาม" ด้วย

3/ นักการเมืองฝ่ายค้าน ซึ่งเคยเกาะชื่อของคุณทักษิณอย่างเหนียวแน่น คงมาพบด้วยความประหลาดใจว่า ชื่อคุณทักษิณมีความหมายน้อยลงในขบวนการเสื้อแดงที่ทำการประท้วงขณะนี้ จึงเรียงหน้ากันขึ้นเวทีเสื้อแดงอย่างหนาแน่นกว่าทุกครั้ง ขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่สำคัญกว่าคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นอันมาก ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องเกาะเกี่ยวเอาไว้ แต่ในขณะเดียวกันก็ดูจะอึกๆ อักๆ ในการปราศรัย เพราะจับอารมณ์ของประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่ได้

เพราะไม่ใช่ภาพที่ตัวเข้าใจตลอดมา

4/ สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทุกฝ่ายแม้แต่ฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับขบวนการเสื้อแดง คงยอมรับว่าขบวนการเสื้อแดงเป็นทรัพยากรการเมืองที่ใหญ่มหึมา อย่างที่ไม่เคยพบในประเทศไทยมาก่อน อย่านึกแต่จำนวนคนที่เดินทางมาร่วมชุมนุมในกรุงเทพฯ ต้องคิดถึงกองหลังนับตั้งแต่ลูกเมีย (ผัว) ที่อยู่ข้างหลัง เงินและเสบียงกรังที่ส่งลงมาเสริมตลอดเวลา ตลอดจนแรงสนับสนุนอย่างเข้มแข็งทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดของคนอีกจำนวนมาก

แม้จะถูกสลายการชุมนุมลงได้ในที่สุด (ด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีไม่รุนแรงก็ตาม) ทรัพยากรการเมืองนี้ก็จะไม่สลายตัวลง

ปัญหาคือจะใช้ประโยชน์จากทรัพยากรนี้อย่างไร ไม่ว่าจะผ่านหีบบัตรเลือกตั้ง หรือผ่านการโบกธง

น่าประหลาดที่ชนชั้นนำไทยที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นนำตามจารีต หรือชนชั้นนำในระบบทุน มองไม่เห็นช่องทางที่จะใช้ประโยชน์ทางการเมืองกับทรัพยากรนี้เลย กลับมุ่งแต่จะทำลายล้างลงด้วยทรัพยากรที่มีในมือ นับตั้งแต่การใช้สื่อ, การใช้อำนาจรัฐควบคุมสื่อ, การปลุกม็อบขึ้นต่อต้าน, การอ้างอุดมการณ์เดิม (ชาติ, ศาสน์, กษัตริย์) ซึ่งแม้ยังมีความศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็อาจตีความไปได้หลายแง่หลายมุม โดยไม่สำนึกว่าสังคมไทยในปัจจุบันนั้น แม้ยังยึดถืออุดมการณ์เดิม แต่อยู่ในช่วงที่กำลังตีความอุดมการณ์ใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว

ว่าเฉพาะนักการเมืองทั้งในซีกฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลนั้น เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือตามความเปลี่ยนแปลงทางสังคมไม่ทัน และด้วยเหตุดังนั้นจึงคิดว่าขบวนการเสื้อแดงนั้นเป็น "เนื้อเดียวกัน" และ "สถิต" เหมือนกัน ฝ่ายค้านเกาะชื่อทักษิณเพื่อนำไปสู่หีบบัตรเลือกตั้ง ฝ่ายประชาธิปัตย์เกาะชื่อทักษิณ เพื่อเก็บความรังเกียจทักษิณเอาไว้เป็นคะแนนเสียงของตน

อันที่จริง หากมองขบวนการเสื้อแดงเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สลับซับซ้อน และเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ก็จะเห็นได้ว่าเราไม่อาจขจัดขบวนการนี้ลงไปได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีรุนแรงหรือวิธีอื่น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนระบบการเมืองเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงนี้

จริงอย่างที่นักสันติวิธีชอบพูดคือ เราต้องฟังกันให้มากขึ้น แต่ไม่ใช่ฟังแกนนำ หากต้องฟังประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุม ทั้งแดงและเหลือง เราก็จะสามารถจับสำนึกทางการเมืองใหม่ๆ ที่ผลักพวกเขาเข้าร่วมชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่แกนนำปราศรัย เราก็จะเข้าใจความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทยมากขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อคนต่างกลุ่มไม่เหมือนกัน แล้วเราก็จะสามารถจัดระบบให้เกิดการต่อรองที่เท่าเทียมกัน ระหว่างความต้องการที่แตกต่างได้โดยสงบ

โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
**************************************************

ทนายนปช.ยื่นค้านศอฉ.ออกหมายจับกลุ่มหนุนแดงเมินรายงานตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 27 เมษายน ที่ศาลแขวงพระนครเหนือ ถนนรัชดาภิเษก นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการณ์แห่งชาติ (นปช.) ยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงพระนครเหนือ ขอให้ใช้ดุลยพินิจในการออกหมายจับ บุคคล กรณีหากเจ้าหน้าที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะมาขออำนาจศาลออกหมายจับ บุคคลที่มีรายชื่อตามหมายเรียกของ ศอฉ.ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แต่ไม่ยอมเข้าให้ถ้อยคำตามหมายเรียก เนื่องจากเห็นว่าอาจไม่ชอบด้วยกฏหมาย เพราะบางรายยังไม่ได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.

สำหรับ บุคคลที่อ้างว่ายังไม่ได้รับหมายเรียกจาก ศอฉ.ตามคำร้องของ ทนาย นปช.มีทั้งหมด 13 คน อาทิ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีต รมว.กระทรวงพาณิชย์ เจ้าของห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล


ที่มา. มติชนออนไลน์
****************************************************

รถตู้ฉุนม็อบแดงพัทยาชักปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า

พ.ต.ท.กฤศกร ทองอินทร์รอง ผกก.(ปป.)สภ.เมืองพัทยา นำกำลังออกปฏิบัติหน้าที่ในเขตรับผิดชอบ รับแจ้งเหตุคนใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าที่หน้าบริเวณหน้าที่ทำการเมืองพัทยา ถนนพัทยาเหนือ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ห่างจากกลุ่มนปช. ประมาณ 5 เมตร สอบถามนายทวีพล สรอยสาริกา อายุ 29 ปี การด์ นปช. ทราบว่าระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม ประมาณ 200 กว่าคน นั่งชมการถ่ายทอดสดการปราศัยจากเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปลักหลักอยู่ที่ราชประสงค์ได้มีรถตู้สีขาว ทะเบียน นค 7194 ชลบุรี ขับผ่านหน้าบริเวณเต็นท์ที่กลุ่มเสื้อแดงตั้งชุมนุมประมาณ 5 เมตรและใช้อาวุธปืนยิงขึ้นฟ้าหนึ่งนัดแล้วขับรถหลบหนีมุ่งหน้าลงชายหาดเมืองพัทยา

จากการตรวจที่เกิดเหตุพบปลอกกระสุนปืนไม่ทราบขนาดจำนวน 1 ปลอก ตกอยู่ จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไว้เป็นหลักฐานและประสานงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงสกัดจับรถตู้คันดังกล่าวแต่ก็ไร้วี่แวว เจ้าที่ตำรวจจึงจะประสานงานกับเมืองพัทยาเพื่อขอดูกล้องวงจรปิดตามสี่แยกถนนพัทยาเหนือที่คนร้ายใช้หลบหนีต่อไป เบื้องต้นสันนิฐานว่าผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นผู้อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่พอใจกลุ่มนปช.ที่มาชุมนุมกัน ส่วนทางด้านเจ้าหน้าที่จะได้ติดตามตัวหาผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป



ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
*************************************************

ตชด.ภ.1คุม11เสื้อแดงปทุมฝากขังศาลธัญบุรี

เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตชด.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง คุมกลุ่มนปช. 11 คน ขึ้นรถหกล้อลูกกรงเหล็ก โดยมีรถนำขบวนและรถคุ้มกันตามหลัง เดินทางออกจาก ตชด.ภ.1 เพื่อนำตัวผู้ต้องหากลุ่มนปช.ทั้ง 11 คน ส่งฝากขังศาลธัญบุรี อ.ธัญบุรี เพื่อให้พิจารณาดำเนินคดีตามกฎหมาย หลังถูกควบคุมตัวไว้ได้ จากเหตุเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าทำการสลายม็อบกลุ่มนปช.ที่ปิดถนนบริเวณหน้าปากทางเข้าถนนสีขาว เข้าวัดธรรมกาย ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวงเมื่อช่วงเย็นวาน บรรยากาศโดยรอบด้านหน้าตชด.ภ.1 สถานการณ์เป็นปกติ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปราบจลาจล สภ.คลองห้า ได้เตรียมกำลังเพื่อดูแลความเรียบร้อยระหว่างนำตัวออกจาก ตชด.ภ.1 แต่ยังไม่มีกลุ่มแกนนำหรือกลุ่มนปช.มีเพียงผู้สื่อข่าวเข้าบันทึกภาพด้านหน้าประตูป้อมเท่านั้น


ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
**********************************************

'ชวลิต' ประณาม 'อภิสิทธิ์-สุเทพ' เป็นอาชญากร

'ชวลิต' ย้ำไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายและมีสัมพันธ์กับทหารนอกราชการ แต่ต้องการหาทางออกทางการเมืองอย่างสันติ
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธเผยว่า การที่รัฐบาลแถลงข่าวว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ก่อการร้ายหรือมีสัมพันธ์กับทหารนอกราชการอย่างเสธ. แดง ทั้งที่ตนเองช่วยพยายามหาทางออก และยังคงยืนยันว่าสันติวิธีเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับเสื้อแดงนั้น เป็นเพียงประมาณหนึ่งเท่านั้น เพราะต่างคนต่างเดินแต่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน

นอกจากนั้นพลเอกชวลิต ยงใจยุทธได้ประนาม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณว่าเป็นอาชญาการที่สั่งฆ่าพี่น้องประชาชน โดยส่วนตัวเชื่อว่าญาติผู้เสียชีวิตจะทำทุกอย่างเพื่อให้นายกฯได้รับผลการกระทำ ซึ่งแท้จริงแล้ววิกฤตการเมืองครั้งนี้สามารถแก้ปัญหาได้ในชั่วข้ามคืน หากทำไม่ได้ก็ให้ออกไป เดี๋ยวตนเองจะทำให้ดู

Content by VoiceTV
***************************************************