--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ฮอนดูรัส อิหร่าน อัฟริกาใต้ และไทย การต่อสู้ทางชนชั้นที่นำ โดยนักการเมืองนายทุน


เขียนโดย ลั่นทมขาว

นักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายในไทยต้องศึกษาและเปรียบเทียบปรากฏการณ์สมัยใหม่ที่กำลัง เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะที่ฮอนดูรัส อิหร่าน และ อัฟริกาใต้... เพราะมันมีบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศไทยที่เราต้องมาสรุปเป็นคลังความรู้ของ ทฤษฏีมาร์คซิสต์

จุดร่วมของทั้งสี่ประเทศที่กล่าวถึงคือ เรากำลังเห็นการต่อสู้ทางชนชั้น ระหว่างชนชั้นนายทุนซึ่งเป็นชนชั้นปกครอง และ ชนชั้นที่ถูกกดขี่ขูดรีด คือกรรมาชีพและคนจน แต่ที่น่าสนใจและแปลกคือในบริบทที่พรรคฝ่ายซ้ายอ่อนแอ หรือไม่ยอมนำการต่อสู้(กรณีอัฟริกาใต้) นักการเมืองนายทุนสามารถเข้ามานำกรรมาชีพและคนจนมาเป็นพวก เพื่อสู้กับอีกซีกหนึ่งของชนชั้นปกครองภายใต้นโยบายประชานิยม และเมื่อเราเข้าใจตรงนี้ว่ามันเป็นการต่อสู้ทางชนชั้นชนิดหนึ่ง เราต้องตัดสินใจว่านักสังคมนิยมจะมีท่าทีอย่างไรในรูปธรรม เพื่อผลักดันการต่อสู้ไปในทิศทางก้าวหน้า

ในฮอนดูรัส ประธานาธิบดี เซลายา ที่พึ่งถูกล้มในรัฐประหาร เป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยม Liberal ซึ่งเป็นพรรคนายทุนเก่าแก่ ไม่ใช่พรรคฝ่ายซ้าย แต่ตัว เซลายา เองได้เปลี่ยนจุดยืนมาเข้าข้างคนจนและคนพื้นเมืองที่ถูกกีดกันจากอำนาจและ ทรัพยากรมาตลอด พร้อมกันนั้น เซลายา ก็สร้างมิตรภาพกับ ฮูโกชาเวส ในเวนเนสเวลาด้วย และเขาต้องการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยแท้ เพราะรัฐธรรมนูญเดิมสร้างอำนาจผูกขาดให้อภิสิทธิ์ชน นี่คือสาเหตุที่มีการทำรัฐประหารโดยฝ่ายอภิสิทธิ์ชน และพวกที่ทำลายประชาธิปไตยก็ใช้ข้ออ้างที่คุ้นหูคือ “คนจนไม่มีวุฒิภาวะที่จะลงคะแนนเสียง เขาไม่เข้าใจประชาธิปไตย เราต้องมีรัฐประหารเพื่อปกป้องประชาธิปไตย” ในกรณีนี้ฝ่ายซ้ายมีทางเลือกสองทางคือ ร่วมกับมวลชนที่สนับสนุนเซลายา หรือใช้จุดยืน “สองไม่เอา” เพื่อรักษาความบริสุทธิ์และนอนอยู่บ้าน

ใน ช่วงนี้ดูเหมือน เซลายา กำลังประนีประนอมกับทหารผ่านการพูดคุยกับรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ความฝันที่จะสร้างประชาธิปไตยแท้ที่มีความเป็นธรรมทางสังคมหมด หายไป มันคล้ายไทยไหม? แล้วจะทำอย่างไร?

ใน อิหร่าน เราเห็นการต่อสู้ระหว่างสองซีกของชนชั้นปกครอง คือซีกอนุรักษ์นิยมของ อามาดินจาดกับคะเมนี่ และซีกปฏิรูปของ มุซาวิ สิ่งที่น่าสนใจคือ การที่มวลชนชั้นล่างออกมาสนับสนุนทั้งสองซีก มันสะท้อนความไม่พอใจทางชนชั้นของคนธรรมดาในหลายรูปแบบคือ ฝ่าย อามาดินจาด มีนโยบายบางอย่างที่ช่วยคนจน และฝ่าย มุซาวี มีจุดยืนขยายประชาธิปไตยตามความต้องการของนักศึกษา ขบวนการสตรี และขบวนการแรงงาน ความขัดแย้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจและการตกงานที่ อามาดินจาดและมุสซาวีไม่อยากแก้เต็มที่เพราะสนับสนุนแนวเสรีนิยมกลไกตลาด ในสถานการณ์แบบนี้ฝ่ายซ้ายกลุ่มที่ออกมาอยู่นอกประเทศอิหร่านมาเป็นสิบๆปี ก็ได้แต่ท่องสูตรนามธรรมว่า “กรรมกรต้องสู้เพื่อสังคมนิยม” โดยไม่พยายามเชื่อมติดกับมวลชนแต่อย่างใด ดูเหมือนแค่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ แต่ฝ่ายซ้ายอีกส่วน คลุกคลีกับมวลชนของ มุสซาวี และพยายามหาทางดึงคนจนที่อาจเคยชื่นชม อามาดินจาด มาเป็นพวกภายใต้ข้อเรียกร้องรูปธรรมเกี่ยวกับการแก้ปัญหาการตกงานและความยาก จน พร้อมๆ กับการชูประเด็นสิทธิเสรีภาพ

ในอัฟริกาใต้ มีพรรคฝ่ายซ้ายที่ใหญ่โตคือพรรคคอมมิวนิสต์ SACP แต่พรรคนี้ใช้นโยบายสร้างแนวร่วมกับนักการเมืองนายทุนในพรรค African National Congress (ANC) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของคนผิวดำ ส.ส.ของพรรคคอมมิวนิสต์ถึงกับลงสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรค ANC นี่คือตัวอย่างคลาสสิกของแนวร่วมข้ามชนชั้นของพรรคแนว สตาลิน... ในไทย พ.ค.ท. เคยพยายามทำแนวร่วมกับสฤษดิ์! ผลของแนวร่วมแบบนี้คือการยับยั้งการต่อสู้ของคนชั้นล่างเพื่อรักษาความสัมพันธ์กับนักการเมืองนายทุน มันเป็นแนวร่วมฉวยโอกาส

ปัญหาคือรัฐบาลANC หลังยุค เนลสัน แมนเดลา ใช้นโยบายเสรีนิยมกลไกตลาดสุดขั้ว ซึ่งทำให้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยสูงมาก และคนจนในอัฟริกาใต้คือคนผิวดำ แต่เมื่อต้นปีนี้ ANC ทำท่าว่าจะเปลี่ยนทิศทางภายใต้ผู้นำพรรคและประธานาธิบดีใหม่คือ ซูมา (Zuma) ซูมา ชนะเพราะสัญญาว่าจะใช้นโยบายที่ช่วยคนจน และคนจนจำนวนมากก็ไปลงคะแนนเสียงให้ ประเด็นสำคัญสำหรับฝ่ายซ้ายที่ยังอยากสู้เพื่อสังคมนิยมและไม่ได้ประนี ประนอมกับทุนนิยมแบบผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์คือ คุณจะมีท่าทีอย่างไรต่อ ซูมา คุณจะด่าซูมาว่ากำลังจะหักหลังคนจน (ซึ่งจริง) และด่ามวลชนจำนวนมากที่ฝากความหวังใน ซูมา ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนบริสุทธิ์ หรือคุณจะวิจารณ์ ซูมา พร้อมๆ กับทำงานแนวร่วมกับคนจนที่เลือกเขา เพื่อสร้างพลังการต่อสู้ในขบวนการแรงงานที่คัดค้านนโยบายการแปรรูปรัฐ วิสาหกิจและการตัดสวัสดิการที่รัฐบาล ซูมา จะนำมาใช้?

พอ ถึงจุดนี้คงต้องดึงอีกประเทศหนึ่งเข้ามาเป็นตัวอย่างคือ อินโดนีเซีย ซึ่งพึ่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรก ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ฝ่ายซ้าย PRD นำโดย ดีทา สารี เลือกที่จะทำแนวร่วมกับนักการเมืองนายทุนอย่าง เมกะวัทที และนายพลวิรานโต้ ซึ่งวิรานโต้มีผลงานในการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างหนัก และ เมกะวัททีก็พยายามปราบปรามฝ่ายซ้ายในอดีต การทำแนวร่วมแบบนี้ของ PRD เป็น “แนวร่วมฉวยโอกาส” เพราะ PRD มองว่าตนเองอ่อนแอเกินไปที่จะรักษาจุดยืนอิสระ จุดจบคือการไม่มีอุดมการณ์เลย และในไม่ช้าพวกนี้คงจะยุบองค์กรและเข้าไปในพรรคนายทุน

ประเด็น ที่นักมาร์คซิสต์ต้องเข้าใจคือ การต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างคนจนกับคนรวย หรือกรรมาชีพ/เกษตรกรกับนายทุน/อำมาตย์ ไม่เคยหายไป แต่ในโลกจริงรูปแบบมันอาจออกมาแปลกๆ โดยเฉพาะถ้าฝ่ายซ้ายอ่อนแอหรือไม่ยอมนำการต่อสู้ ในสถานการณ์แบบนี้เราต้องเลือกข้างเมื่อมวลชนออกมาสู้เพื่อผลประโยชน์ของคน จนหรือประชาธิปไตย การยืนอยู่บนเนินเขาเพื่อท่องสูตรความบริสุทธิ์เป็นการละทิ้งหน้าที่ในการ ต่อสู้เคียงข้างคนจนเพื่อสังคมนิยม ในขณะเดียวกันเราต้องไม่สลายองค์กรมาร์คซิสต์เพื่อไปเข้าพรรคนายทุนภายใต้ แนวร่วมฉวยโอกาส

เล นิน นักปฏิวัติรัสเซีย มักจะวิจารณ์ฝ่ายซ้ายที่หาข้ออ้าง “ความบริสุทธิ์” เพื่อไม่ร่วมสู้กับมวลชน (ดูงาน “ฝ่ายซ้ายไร้เดียงสา”) ในขณะเดียวกัน เลนิน ให้ความสำคัญในการสร้างและปกป้องพรรคสังคมนิยมและอุดมการณ์ของพรรค พวกฝ่ายซ้าย “สองไม่เอา” ในไทยที่ไม่ยอมเข้ากับมวลชนเสื้อแดง แต่พร้อมจะท่องสูตรบอลเชวิค กำลังหันหลังกับการต่อสู้ทางชนชั้น และกำลังหันหลังกับการช่วงชิงการนำในขบวนการเสื้อแดงอีกด้วย เพราะในขณะที่ วีระ กับ ทักษิณ กำลังหาทางประนีประนอมกับอำมาตย์ ซึ่งจะทำให้เราไปไม่ถึงประชาธิปไตยแท้ โดยอ้างว่าเสื้อแดงสู้ตรงๆ ไม่ได้ เราที่เข้าไปในขบวนการคนเสื้อแดงมีสิทธิ์ที่จะเถียงกับมวลชนว่านั้นไม่ใช่ แนวทางที่ถูกต้อง เราต้องขยายแนวคิดเสื้อแดงไปสู่ขบวนการแรงงานอันมีพลังซ่อนเร้น แต่ถ้าคุณไม่ใช่คนเสื้อแดงคุณก็หมดสิทธิ์แสดงความเห็น เพราะคุณไม่ได้พิสูจน์ว่าคุณจริงใจในการสู้กับอำมาตย์ในรูปธรรม

ฝ่าย ซ้ายสองไม่เอา เป็นคนที่ไม่สนใจการสร้างพรรคอย่างจริงจัง ไม่สนใจการจัดกลุ่มศึกษาเพื่อเข้าใจประเด็นชนชั้นที่ซับซ้อน ไม่สนใจการขายหนังสือพิมพ์ฯลฯ หรือการขยายสมาชิกไปสู่พลเมืองธรรมดา เพราะพอใจที่จะเป็นกลุ่มเล็กๆ มือสะอาดบริสุทธิ์ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับเลี้ยวซ้ายที่เข้าใจว่าเราต้องสร้างพรรคมาร์คซิสต์ เพราะมันเป็นเครื่องมือในการเข้าไปร่วมสู้และช่วงชิงการนำในขบวนการคนจนและกรรมาชีพ... คนเสื้อแดงนั้นเอง

อดสู

ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย....."นายกฯนำครม. คณะบุคคลต่างๆ ในทำเนียบรัฐบาล ร้องเพลงชาติ ตอน 6 โมงเย็นวันศุกร์ประเดิมโครงการ"ไทยสามัคคี-ไทยเข้มแข็ง"แต่รุ่งขึ้นคนไทยเปิดศึกทำร้ายกันเอง ถึงเลือด ถึงเนื้อน่าอดสูสุดๆ!!

เรื่องของเรื่องเนื่องจากกลุ่มพันธมิตรนำม็อบบุกไปเขาพระวิหารเพื่อทวงคืนดินแดนจากเขมรเกิดปะทะกับชาวบ้านในพื้นที่บาดเจ็บสาหัสหลายสิบคนใครถูก ใครผิด ต้องว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมายแต่ภาพพจน์ประเทศในสายตาชาวโลก ที่เสียหายอยู่แล้วยิ่งยับเยินป่นปี้วิกฤตความขัดแย้งแตกแยกของคนในประเทศ

ที่ยากเกินเยียวยาก็ยิ่งโคม่ามากกว่าเก่าไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็งกันอีท่าไหน ครับพี่น้อง?จนถึงวันนี้กลุ่มพันธมิตรยังเชื่อ ยังฝังใจไทยได้เสียดินแดนบริเวณเขาพระวิหารให้กับเขมรเรียบร้อยทั้งๆที่วันนี้มีนายกฯชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีรมว.ต่างประเทศชื่อ กษิต ภิรมย์มีรักษาการผบ.ตร.ชื่อ ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ซึ่งยืนยันหลายครั้งหลายหน ยังไม่เสียอะไรใดๆ แม้แต่ตารางนิ้วเดียวหรือพันธมิตรไม่เชื่อถือบุคคลเหล่านี้แล้ว??ไม่เพียงเท่านั้น

ทหารทุกเหล่าทัพ ราชการทุกกรมกองประชาชนคนไทยอีกกว่า 60 ล้านคนต่างก็รักชาติ รักแผ่นดินทุกคนพร้อม "สละเลือดทุกหยาด เป็นชาติพลี" ไม่น้อยไปกว่าพันธมิตร?เพียงแต่ทุกอย่างต้องว่าตามเหตุผล ข้อเท็จจริงยึดระบบระเบียบ กระบวนการตามมาตรฐานสากลยิ่งเป็นเรื่องระหว่างประเทศ ยิ่งต้องละเอียดอ่อน สุขุม รอบคอบใช้สติปัญญามากๆ อารมณ์ความรู้สึกน้อยๆ

ไม่ใช้เลยยิ่งดีมิฉะนั้นจากรักชาติจะกลายเป็นคลั่งชาติ!ส่งผลเสียหายอย่างที่เคยเกิดกับหลายๆ กรณีปัญหา"ไทยนี้รักสงบ แต่รบไม่ขลาด" ก็จริงแต่ไม่ควรคิดเอง เออเอง สรุปเอง เป็นอย่างนั้น อย่างนี้?แล้วอาศัยช่องว่างระดับ "สติปัญญา" "วุฒิภาวะ" ของคนยุยงปลุกปั่นสร้างเรื่อง

สร้างสถานการณ์มันน่าอดสู!?

พันธมิตรฯจัดทัพใหญ่ 5 แกนนำเตรียมถกทวงคืนที่ทับซ้อนพระวิหาร


5 แกนนำพันธมิตรฯยืนยันไม่ได้ลอยแพ “วีระ” ให้สู้โดดเดี่ยวในการเคลื่อนไหวทวงคืนพื้นที่ทับซ้อน เตรียมประชุมเพื่อกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวใหญ่เร็วๆนี้ จี้รัฐบาลพูดให้ชัดมีวิธีปฏิบัติและกรอบเวลาอย่างไร อย่าดีแต่อ้างอยู่ระหว่างเจรจากับเขมรแต่ไม่มีผลคืบหน้า “อภิสิทธิ์” ระบุเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ข้อมูลบางเรื่องเปิดเผยไม่ได้เพราะจะทำให้ไทยเสียเปรียบ ลูกพรรค ปชป. แนะพันธมิตรฯถามข้อมูลจาก “กษิต” ด้าน “บุญยอด” ปูดทีมแพทย์เชี่ยวชาญโรคมะเร็ง 5 คนบินไปดูไบเพื่อรักษาอดีตนายกฯ แกนนำเสื้อแดงเผยรอดูผลคดีสำคัญที่จะทยอยตัดสินกันในเดือน ก.ย. ถึงต้น ต.ค. เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนกำหนดแนวทางเคลื่อนไหวอีกครั้ง

การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดินที่ผ่านพ้นไปด้วยดี และการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จังหวัดศรีสะเกษที่เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับชาวบ้านจนมีผู้บาดเจ็บ

“มาร์ค” ย้ำเน้นเจรจาแก้ปัญหาพระวิหาร
เกี่ยวกับเรื่องนี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่อยากให้คนไทยมีปัญหากันเอง และไม่อยากเห็นการปะทะเกิดขึ้นอีก ส่วนแนวทางแก้ปัญหาพิพาทกับกัมพูชานั้นจะเน้นการเจรจา แม้จะมีการส่งกำลังเข้าไปแต่ไม่อยากให้เกิดการปะทะ เพราะจะกลายเป็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศ
ไม่เสียสิทธิ-ไม่เพลี่ยงพล้ำแน่นอน

“ผมขอให้ความมั่นใจว่าเราไม่เสียสิทธิ์ ไม่เพลี่ยงพล้ำ และรัฐบาลไม่มีอะไรแอบแฝงหรือซ่อนเร้น แต่มีเจตนาที่จะรักษาดินแดน” นายอภิสิทธิ์กล่าวพร้อมอ้างว่ามีหลายเรื่องที่ไม่สามารถพูดในที่สาธารณะได้เพราะมีความละเอียดอ่อนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และจะกระทบความได้เปรียบเสียเปรียบของไทย

“สุเทพ” ยันม็อบตีกันจัดการตามกฎหมาย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปะทะกันที่ศรีสะเกษต้องดำเนินการไปตามกฎหมาย และไม่ขอวิจารณ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯที่มักมีความรุนแรงเพราะไม่อยากสร้างเงื่อนไขอะไรขึ้นมาอีก ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็ต้องขอบคุณที่อยู่ในกรอบกฎหมาย ทำให้ผ่านพ้นไปด้วยดี
แฉหมอมะเร็งบินไปรักษา “ทักษิณ”

นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม. และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างว่ามีเพื่อนที่รู้จักกับแพทย์ของโรงพยาบาลพระราม 9 บอกให้ฟังว่าแพทย์ของโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญเรื่องโรคมะเร็ง 5 คนได้เดินทางไปที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้มีคำถามว่าไปเพื่อรักษาอาการป่วยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือไม่

ท้าอดีตนายกฯโชว์ผิวหนัง-เสยผม
“ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ป่วยก็ขออย่าใส่เสื้อแขนยาว และขอให้ปัดผมให้ดูหน่อย เพราะมีคนตั้งข้อสังเกตว่า พ.ต.ท.ทักษิณใส่วิกและใส่เสื้อแขนยาวปกปิดผิวหนัง” นายบุญยอดกล่าวและว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากอย่างที่เคยมีข่าวออกมาก่อนหน้านี้

จี้พันธมิตรฯดูข้อมูลพระวิหารที่ “กษิต”
นายสาธิต ปิตุเตชะ กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้พันธมิตรฯสอบถามข้อมูลเรื่องเขาพระวิหารจากนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีความใกล้ชิดกัน ซึ่งดีกว่าการชุมนุมเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน

นายสาธิตปฏิเสธด้วยว่า รัฐบาลไม่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรฯจัดชุมนุมเพื่อดึงความสนใจของประชาชนออกจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างที่ถูกกล่าวหา เข้าใจว่าแกนนำพันธมิตรฯบางส่วนที่รู้ข้อมูลก็เข้าใจรัฐบาลดี และไม่เห็นด้วยกับการชุมนุม

ตร. ไม่พบเสื้อแดง-“แม้ว” พาดพิงใคร
พ.ต.อ.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์ปฏิบัติการกองบัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวว่า จากการติดตามการปราศรัยของแกนนำคนเสื้อแดงและการวิดีโอลิ้งค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เบื้องต้นยังไม่พบว่าพาดพิงให้บุคคลใดได้รับความเสียหาย แต่จะต้องตรวจสอบรายละเอียดจากเทปที่บันทึกไว้อีกครั้งหนึ่ง
แกนนำเสื้อแดงหยุดประเมินสถานการณ์

นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า หลังการชุมนุมใหญ่วันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมาจะยุติการชุมนุมชั่วคราว แต่อาจมีการชุมย่อยบ้างตามต่างจังหวัด เพื่อทำกิจกรรมร่วมกับคนเสื้อแดงในพื้นที่
“ช่วงนี้ต้องหยุดรอดูเพื่อประเมินสถานการณ์ก่อน เพราะหลังจากนี้จะมีการตัดสินคดีความสำคัญๆต่างๆหลายคดี จึงต้องการรอดูผลคดีก่อน จากนั้นจึงจะประเมินสถานการณ์อีกครั้ง” นายจตุพรกล่าว
อัดรัฐตื่นตูมผลาญงบรักษาความมั่นคง

นายจตุพรกล่าวอีกว่า การชุมนุมที่ผ่านมาคนเสื้อแดงได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธตามสิทธิในรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอย่างไร แต่รัฐบาลกลับตื่นตูม ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงฯ และนำกำลังตำรวจ ทหารออกมาจำนวนมาก ทำให้เสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น เพราะตำรวจ ทหารที่ออกมามีเบี้ยเลี้ยงวันละ 180-240 บาท ใช้กำลังตั้ง 66 กองร้อย คิดดูเองว่าหมดเงินไปเท่าไร
พันธมิตรฯขึ้นผามออีแดงอ่านแถลงการณ์

ด้านการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯในวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมาได้ส่งตัวแทน 30 คนขึ้นไปอ่านแถลงการณ์ที่ผามออีแดง จังหวัดศรีสะเกษ

นายวีระ สมความคิด แกนนำผู้ชุมนุม อ่านแถลงการณ์ในนามภาคีเครือข่ายประชาชนทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหาร ฉบับที่ 1 มีข้อเรียกร้องหลัก 2 ข้อคือ จะมีการดำเนินการทุกวิถีทางตามกรอบกฎหมายทวงคืนแผ่นดินไทยรอบปราสาทพระวิหารให้กลับคืนมาเป็นของราชอาณาจักรไทยดังเดิมทั้งในทางพฤตินัยและนิตินัย และดำเนินการเอาผู้กระทำความผิดที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือสมรู้ร่วมคิดทำให้ดินแดนไทยต้องถูกรุกล้ำ หรือเสียดินแดนมารับโทษทางกฎหมายจนถึงที่สุด
ยันแกนนำ 5 คนไม่ได้ทอดทิ้ง “วีระ”

นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า การเคลื่อนไหวของประชาชนทวงคืนพื้นที่เขาพระวิหารแม้ไม่ได้ทำตามมติของแกนนำพันธมิตรฯทั้ง 5 คน แต่ถือว่าเป็นสิทธิและหน้าที่ของคนไทยที่ต้องพิทักษ์และหวงแหนอธิปไตยของชาติ ซึ่งสมควรได้รับการคุ้มครองจากเจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ

อ้างรัฐปลุกระดมจนเกิดปะทะ
“การชุมนุมจะไม่มีความรุนแรงหากไม่มีคนของรัฐไปบิดเบือนข้อมูลปลุกระดมมวลชนมาขัดขวาง” นายสุริยะใสกล่าวพร้อมยืนยันว่า แกนนำพันธมิตรฯไม่ได้ลอยแพนายวีระอย่างที่สื่อบางแขนงเสนอข่าว แม้เรื่องนี้จะไม่ใช่มติของ 5 แกนนำ แต่เครือข่ายพันธมิตรฯทั่วประเทศมีอิสระในการตัดสินใจเข้าร่วมการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะนายวีระสนใจติดตามเรื่องเขาพระวิหารมาตลอด ซึ่งแกนนำทั้ง 5 คนก็เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลผลักดันชาวกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพวกเราเห็นด้วยกับการเจรจาไม่สนับสนุนการทำสงคราม แต่รัฐบาลต้องกำหนดกรอบเวลาและแนวทางปฏิบัติให้ชัดเจน ไม่ใช่อ้างว่าอยู่ระหว่างเจรจาแต่ไม่มีความคืบหน้า ซ้ำร้ายการเจรจายังมีเงื่อนงำเรื่องผลประโยชน์ด้านพลังงานเข้ามาปะปนด้วย

5 แกนนำเตรียมถกเคลื่อนไหวใหญ่
“แกนนำทั้ง 5 คนให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้มาโดยตลอด และจะหาทางเคลื่อนไหวต่อไปเพื่อทวงคืนอธิปไตยของชาติกลับคืนมา ซึ่งเร็วๆนี้คงมีการหารือกันในที่ประชุม 5 แกนนำถึงมาตรการและแนวทางในการเคลื่อนไหวใหญ่” นายสุริยะใสกล่าว

โพลไม่เชื่อร้องเพลงชาติทำให้คนรักกัน
ด้านสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อโครงการ “ไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง” หลังจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน นำคณะรัฐมนตรีร่วมกันร้องเพลงชาติไทยในเวลา 18.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เปิดโครงการเพื่อลดบรรยากาศความตึงเครียดทางการเมือง

ผลสำรวจพบว่าแม้ผู้ตอบแบบสอบถามจะเห็นว่าเป็นโครงการที่ดี ทำให้ภูมิใจในความเป็นคนไทย แต่เสียงส่วนใหญ่ร้อยละ 36.49 ไม่แน่ใจว่าโครงการนี้จะทำให้เกิดความรักความสามัคคีได้จริงหรือไม่ ร้อยละ 32.85 เชื่อว่าจะทำให้มีความสามัคคีมากขึ้น และร้อยละ 30.66 ไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดความสามัคคีเพิ่มขึ้น

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวิตร"เสียใจพันธมิตรฯปะทะชาวศรีสะเกษ

ไทยรัฐ : รมว.กลาโหม เผย เสียใจ กลุ่มพันธมิตรฯปะทะชาวบ้านศรีสะเกษ เชื่อมั่นไทย-กัมพูชาเข้าใจสถานการณ์ดีไม่มีปัญหา จี้แม่ทัพภาค 2-ผู้ว่าฯเร่งหาทางป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ปะทะซ้ำซ้อน …
วันนี้ (21ก.ย.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์การปะทะกันของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กับประชาชนในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมาว่า ไม่อยากให้เหตุการณ์ลักษณะนั้นเกิดขึ้นอีก รู้สึกเสียใจที่คนไทยต้องมาทะเลาะกันเอง รัฐบาลต้องดูแลทุกอย่างในการรักษาอธิปไตยของประเทศ โดยเฉพาะด้านความมั่นคงได้พยายามทำตามขั้นตอน ซึ่งคณะกรรมการทุกระดับกำลังดำเนินการอยู่โดยเฉพาะคณะกรรมการปักปันเขตแดน หากมีปัญหาก็ต้องพูดคุยกัน ส่วนกลุ่มคนที่ขึ้นไปท้วงคืนปราสาทเขาพระวิหาร จนปะทะกับชาวบ้านนั้นตนไม่อยากให้เกิดขึ้นเพราะทุกฝ่ายก็รักชาติและรักษา อธิปไตยด้วยกันทุกฝ่าย ตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เจ้าหน้าที่ต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน

เมื่อถามว่า มีมาตรการป้องกันอย่างไรเพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่ปะทะกับกลุ่มที่มาประท้วง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า พล.ท.วิบูลย์ศักดิ์ หนีพาล แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องดูแลและประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ และผู้ว่าราชการจังหวัดต้องช่วยกันเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนทางผู้ใหญ่ของประเทศกัมพูชานั้นมีความเข้าใจดีโดยเราพูดจากับผู้ใหญ่ ฝ่ายกัมพูชาตลอด เมื่อถามว่า ได้โทรศัพท์คุยกับ พล.อ.เตีย บัณห์ รมว.กลาโหม เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เรื่องนี้ตนดูแลได้ไม่มีปัญหาทางเขาก็เข้าใจ เมื่อถามว่า กังวลกับปัญหาที่เกิดขึ้นหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้กังวลใจ เพราะมีขั้นมีตอนในการทำงานของผู้บริหารในทุกระดับไม่มีปัญหาอะไร และขณะนี้ไม่จำเป็นต้องเสริมกำลังทหารเพราะแม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาการตำรวจผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องพูดคุยกันถึงมาตรการป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อน

ศาลฏีกาฯเริ่มอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตกล้ายางฯจำเลยทั้ง 44 มาครบขาดเพียง "อดิศัย"เพียงคนเดียว

ทรงศักดิ์"ปัด"เนวิน"ได้สัญญาณพิเศษ บอกที่ไม่หนีเพราะเชื่อกระบวนการยุติธรรม คนสนิทดาหน้าโต้ข่าวเตรียมฉลอง ชี้เป็นไปไม่ได้รู้คำตัดสินก่อน เชื่อข่าวปล่อยหวังทำลายความเชื่อมั่นตุลาการ "ชวรัตน์"บอกแค่งานเลี้ยงสังสรรค์ส.ส.ของพรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 21 กันยายน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท เป็นครั้งที่ 2 หลังจากเลื่อนอ่านคำพิพากษาจากวันที่ 17 สิงหาคมนั้น ปรากฏว่า จำเลย รวม 44 คน ประกอบด้วย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสรอรรถ กลิ่นปทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ ขาดเพียง นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่ไม่ได้เดินทางมาร่วมฟังคำพิพาษา ในครั้งแรก และในครั้งนี้ด้วย

"ชวรัตน์"ปัดจัดงานฉลอง"เนวิน"หลุดคดีกล้ายาง อ้างเลี้ยงสังสรรค์ส.ส.

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนที่ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีการอ่านคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในผู้ต้องหา มีนาย เนวิน ชิดชอบ และนาย สรอรรถ กลิ่นประทุม แกนนำพรรคภูมิใจไทย รวมอยู่ด้วย ว่า ตนจะไปเป็นกำลังใจให้นายเนวินที่ศาล ส่วนลูกพรรคคนอื่นจะไปหรือไม่นั้น แล้วแต่สะดวกของแต่ละคน เมื่อถามว่า มีความมั่นใจว่า นายเนวินสามารถฝ่าพ้นวิกฤตตนนี้ไปได้หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องตั้งความหวังกับทางศาลยุติธรรม แต่โดยส่วนตัวเชื่อในความบริสุทธิ์ของนายเนวิน

เมื่อถามว่า ถ้านายเนวินพ้นวิกฤตตรงนี้ไปได้แล้ว จะเป็นครูใหญ่ที่สามารถเป็นแกนนำพรรคภูมิใจไทยที่มีประสิทธิภาพได้หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า นายเนวินสามารถช่วยได้มาก เพราะท่านมีความรู้ทางการเมืองมาก คลุกคลีกับการเมืองมานาน ท่านรู้เรื่องการเมืองดีกว่าตนมาก ตนได้ลาราชการไปให้กำลังใจด้วยตัวเอง ส่วนที่ในวันที่ 22 ก.ย.จะมีงานเลี้ยงของพรรคภูมิใจไทยนั้น ไม่เกี่ยวกับกรณีคำตัดสินของนายเนวิน เป็นการเลี้ยงสังสรรค์ ส.ส.ไม่ใช่การเลี้ยงฉลองอะไร อย่าได้เข้าใจผิด มันฉลองอะไรไม่ได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังการเปิดงานเสวนาวิชาการ "พลังงานไฟฟ้ากับสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน" ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายชวรัตน์ จะเดินทางไปลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้ทรงหายต่อพระอาการประชวร ที่โรงพยาบาลศิริราช จากนั้นจะเดินทางไปให้กำลังใจนายเนวิน ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

"ทรงศักดิ์"ปัด"เนวิน"ได้สัญญาณพิเศษ ชี้คำพิพากษาเป็นความลับนายทรงศักดิ์ ทองศรี อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กลุ่มเพื่อนเนวิน ยืนยันว่า ในวันนี้นายเนวิน ชิดชอบ จะเดินทางไปรับฟังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อฟังคำพิพากษาคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท ซึ่งสภาพจิตใจของนายเนวินยังเป็นปกติ ไม่ได้หวั่นวิตกกับคำตัดสิน

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุที่ทำให้นายเนวินมั่นใจและไม่หนีคดี เพราะได้รับสัญญาณพิเศษบางอย่างมาก่อนหน้านี้ นายทรงศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง เพราะคำพิพากษาของศาลถือเป็นความลับ เป็นเรื่องยากมากที่นายเนวินจะรู้มาก่อน แต่การที่นายเนวินไม่คิดหลบหนี เพราะเคารพในคำตัดสินของศาล และยอมรับกระบวนการยุติธรรม

เผยไม่มีจำเลยกล้ายางขอเลื่อน
ก่อนหน้านี้ นายธนากร แหวกวารี ทนายความกลุ่มคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จำเลยร่วมคดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้นมูลค่า 1,440 ล้านบาท กล่าวว่า วันที่ 21 กันยายน เวลา 14.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาครั้งที่สอง หลังจากเลื่อนอ่านคำพิพากษาจากวันที่ 17 สิงหาคมนั้น จำเลยกลุ่ม คชก. จะเดินทางไปฟังคำพิพากษาอย่างแน่นอน ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับแจ้งจากจำเลยกลุ่มใดว่าจะยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ส่วนที่มีข่าวลือว่าจะมีจำเลยกลุ่มข้าราชการะดับอธิบดี และกลุ่มบริษัทเอกชนจะยื่นคำร้องขอเลื่อนนั้น ตนไม่ทราบข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หากจะมีจำเลยคนใดใช้สิทธิยื่นคำร้องขอเลื่อน ก็ต้องเป็นดุลพินิจของศาล ว่าจะอนุญาตหรือไม่ แต่การเลื่อนนัดครั้งที่ผ่านมาศาลได้กำชับให้จำเลยมาฟังคำพิพากษาอยู่แล้วด้าน นายเจษฎา อนุจารีย์ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการสภาทนายความ ทนายความผู้รับผิดชอบคดีให้ ป.ป.ช. โจทก์ที่ยื่นฟ้องคดีนี้ กล่าวว่า ยังไม่ทราบข่าวว่าจะมีจำเลยกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดยื่นคำร้องขอเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบที่ศาลฎีกาฯ วันศุกร์ที่ 18 กันยายน ยังไม่ปรากฏว่า มีทนายความจำเลยมายื่นคำร้องขอเลื่อน แต่อย่างไรตาม เนื่องจากศาลฎีกาฯนัดอ่านคำพิพากษาในที่ 21 กันยายน เวลา 14.00 น. จึงทำให้ยังมีเวลาที่ทนายความจะยื่นคำร้องขอเลื่อนได้ในช่วงเช้าก่อนถึงเวลาอ่านคำพิพากษา ซึ่งการนัดฟังคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำเลยที่ 5 ให้ทนายความยื่นคำร้องอ่านคำพิพากษาลับหลัง โดยอ้างเหตุเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง ที่สหรัฐอเมริกา แต่ศาลพิจารณาแล้วให้ปรับนายประกัน 1 ล้านบาท และออกหมายจับมาฟังคำพิพากษาเนื่องจากเห็นว่า มีพฤติการณ์จงใจหลบเลี่ยงเดินทางมาฟังคำพิพากษาที่กำหนดนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว

ชี้เป็นดุลพินิจของศาลอ่านคำตัดสิน
ดังนั้น หากนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 กันยายน ยังไม่ได้ตัวนายอดิศัยมาฟังคำพิพากษา หลังจากออกหมายจับและเลื่อนอ่านคำพิพากษาแล้ว 1 เดือน โดยที่ไม่มีจำเลยคนใดขอเลื่อนอีก องค์คณะสามารถอ่านคำพิพากษาได้ทันทีตามวิธีการที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2542 มาตรา 32 วรรคสอง ซึ่งหลังจากที่ศาลออกหมายจับนายอดิศัยแล้ว ยังไม่ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ติดตามจับตัวนายอดิศัย อย่างไรก็ตาม หากในวันที่ 21 กันยายน มีจำเลยคนอื่น ยื่นคำร้องขอเลื่อนนัดฟังพิพากษาอีกก็เป็นดุลพินิจขององค์คณะผู้พิพากษาที่จะร่วมกันพิจารณาว่าจะออกหมายจับปรับนายประกันจำเลยนั้นและต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาอีกหรือไม่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง ของกรมวิชาการเกษตรนั้น ป.ป.ช.ยื่นฟ้องจำเลย รวม 44 คนประกอบด้วยอดีตรัฐมนตรี อาทิ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสรอรรถ กลิ่นปทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมทั้งผู้บริหารบริษัทเอกชนที่เกี่ยวข้อง

"เนวิน"โอดถูกปล่อยข่าวทำลาย

นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ได้รับมอบหมายจาก นายเนวิน ชิดชอบ หัวหน้ากลุ่มเพื่อนเนวิน ให้ทำความเข้าใจ กรณีกระแสข่าวพรรคภูมิใจไทยเตรียมเลี้ยงฉลอง หลังทราบข่าวว่า นายเนวิน จะหลุดจากคดีทุจริตกล้ายาง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาจะตัดสินในวันที่ 21 ก.ย. นี้ว่า เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เป็นการปล่อยข่าวจากผู้ที่มีเจตนาร้ายกับนายเนวิน และมีเจตนาร้ายต่อสถาบันตุลาการ เพราะคำพิพากษาคดีทุกคดีไม่เฉพาะคดีนี้ เป็นความลับ ผู้ที่ตกเป็นจำเลยไม่มีทางล่วงรู้ผลการพิพากษา และนายเนวิน ได้เจียมเนื้อเจียมตัว และยืนยันมาตลอดว่ายอมรับคำตัดสินของศาล ข่าวที่ออกมาต้องการที่จะทำลายความเชื่อมั่นของสถาบันตุลาการ และเอานายเนวิน มาเป็นเหยื่อ ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่ปล่อยข่าวยุติเรื่องนี้ เพราะจะมีแต่ทำให้เกิดความเสียหาย อย่าเอาคดีนี้มาเป็นเครื่องมือในการทำลายกัน

"อนุทิน"แก้ต่าง"เนวิน"ไม่เคยพูด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีข่าวนายเนวิน ชิดชอบ เตรียมเลี้ยงฉลองหลุดคดีกล้ายาง และมีการประกาศกับคนในพรรคภูมิใจไทยว่าหลุดคดีแน่ ว่า ไม่มีการจัดงานเลี้ยงไม่ว่าในกรณีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลในการเลี้ยงฉลอง เพราะต่อให้หลุดคดีกล้ายางจริง ซึ่งยังไม่ทราบว่า เป็นอย่างไร ยังมีเรื่องของคดีหวยบนดิน ที่มีการนัดในวันที่ 30 ก.ย.นี้อีก นอกจากนี้ เรื่องคดีของนายเนวินไม่มีการพูดคุยกันในพรรคภูมิใจไทยเลย โดยแกนนำทุกคนไม่มีใครถามนายเนวิน ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ เพราะทราบดีว่าทุกคนที่ต้องขึ้นศาลย่อมมีความหนักใจ และคงอึดอัดใจที่ต้องตอบคำถาม อีกทั้งเป็นเรื่องของศาล ที่ไม่มีใครทราบว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า สำหรับตัวนายเนวิน ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้กับคนในพรรค ส่วนตนนั้น แม้นายเนวิน จะไปขึ้นศาลในวันที่ 21 ก.ย.นี้ แล้วก็ไม่คิดจะถาม นายเนวิน เพราะเห็นว่า ในเมื่อนายเนวิน พร้อมที่จะน้อมรับคำตัดสินของศาล และนายเนวิน ยืนยันจะไปศาลแน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความคิดเห็นใดๆ ในเรื่องนี้ ดังนั้น ข่าวที่ออกมาไม่เป็นไม่เป็นธรรม ตั้งใจให้เห็นว่า ท้าทายอำนาจศาล ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เด็จพี่ร้อง ปปช.สอบมาร์ค-ชวรัตน์ เอื้อ บ.ชิโนไทย

ข่าวสด : เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 ก.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย และ นายสงวน พงษ์มณี ส.ส.ลำพูนพรรคเพื่อไทย ยื่นเอกสารร้องป.ป.ช.เพื่อให้สอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ในกรณีที่เอื้อประโยชน์และประโยชน์ทับซ้อน และผลประโยชน์ขัดกันของกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 267 ประกอบ 265 และกฎหมายป.ป.ช. มาตรา 100 (1),(3),(4) กรณีที่มีมติครม.เมื่อวันที่ 10 มี.ค. 2552 ที่อนุมัติให้มีการลงทุนโครงการแอร์พอร์ตลิงก์ วงเงิน 408 ล้าน และ 98 ล้านที่ทางสำนักงบประมาณท้วงติงไว้ว่าน่าจะมีการลงทุนร่วมกัน แต่ที่สุดครม.ก็มีการอนุมัติ ซึ่งเรื่องนี้ตนได้มีข้อเท็จจริงอยู่ในเอกสารที่ยื่นให้ป.ป.ช. ไปแล้ว

นายพร้อมพงษ์ กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า บ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น นั้นมีผู้ถือหุ้น ประกอบด้วยบุตรและครอบครัวของนายชวรัตน์ แต่ยังได้รับการอนุมัติให้รับสัมปทานโครงการของรัฐตามมติครม.ของนายอภิสิทธิ์ด้วยทั้งที่กฎหมายระบุว่าคนที่เป็นรัฐมนตรี ข้าราชการเมือง ต้องไม่มีผลประโยชน์ขัดกันทางกฎหมาย หรือเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวและญาติ จึงต้องการให้ป.ป.ช.สอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้เพื่อเอาผิดนายอภิสิทธิ์ และนายชวรัตน์ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมต้องตรวจสอบ เพื่อให้เห็นว่าเป็นเหมือนกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ 50 เช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเอกสารที่นายพร้อมพงษ์ยื่นให้ป.ป.ช.แผ่นหนึ่งเป็นตารางโครงข่ายที่ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างนายชวรัตน์ กับพรรคภูมิใจไทย รวมถึงกระทรวงต่างๆในความรับผิดชอบของพรรคภูมิใจไทย ที่ล้วนแต่มีเมกะโปรเจ็กต์แล้วเชื่อมโยงต่อไปยังบ.ซิโน-ไทยฯ ซึ่งมีภรรยาและครอบครัวชาญวีรกูล ของนายชวรัตน์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ทั้งสิ้น เช่น นางสนองนุช นายอนุทิน นายมาศถวิน น.ส.อนิลรัตน์

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

ทักษิณ โฟนอินบอกอยู่ใกล้ไทย-ไว้อาลัยแท็กซี่ฮีโร่ผูกคอตาย 19 ก.ย.ยอมไม่ได้ครอบครัว คนยืนข้างถูกกลั่นแกล้ง



มติชน : ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 19 กันยายน ที่ลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ในเวทีคนเสื้อแดงจัดงานรำลึก 3 ปีรัฐประหารโค่นล้มอำนาจพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีประชาชนคนเสื้อแดงเดินทางเข้าร่วมจำนวนมาก จากนั้นพ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามากล่าวว่า ตอนนี้อยู่ใกล้เสียงชัดดี ก่อนจะกล่าวถึง นายนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่ที่ฆ่าตัวตายด้วยการผูกคอตายใต้สะพานลอยถนนวิภาวดีรังสิตต่อต้านการรัฐประหารและขอให้คนเสื้อแดงยืนไว้อาลัย นายนวมทองที่ยอมเสียสละชีวิตเพื่อรักษาประชาธิปไตย เห็นว่าอำนาจเผด็จการเป็นสิ่งเลวร้ายต่อแผ่นดิน ควรภูมิใจที่นายนวมทองได้เสียสละชีวิต ไม่มีใครเสียสละชีวิตเพื่อประชาธิปไตยและขอยืนไว้อาลัยให้กับนายนวมทอง และขอบริจาคเงินให้แก่ภรรยาลุงนวมทองเล็กน้อย จำนวน 5 หมื่นบาท

ขณะที่เวทีคนเสื้อแดงได้มอบเงินจำนวน 5 หมื่นบาทให้กับภรรยานายนวมทองถึงกับเป็นลม จนต้องหามลงจากเวที

วันนี้เป็นวันที่ครบ 3 ปีการปฏิวัติรัฐประหารศตวรรษที่ 21 คนทั้งโลกมองว่าประเทศไทยได้พัฒนาตัวเองเกือบจะพัฒนาแล้ว และได้ถอยหลังเข้าคลองสู่เผด็จการรัฐประหาร ผมเป็นห่วงคนทั้งประเทศบอบช้ำ การที่พยายามจะขจัดกันโดยอยู่ระบอบนอกประชาธิปไตย การต่อสู้ซึ่งสามารถที่จะใช้การพูดจาก็จบแต่ใช้อาวุธมากมายแม้แต่อาวุธนิวเคลียร์ก็ต้องใช้แล้วถูกสารกัมมันภาพรังสีตายไปเอง” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ถ้าถูกกลั่นแกล้งยอมไม่ได้ วันนี้ครอบครัว เสื้อแดงพรรคที่ยืนข้างผมถูกยุบแล้วยุบอีก

10 เหตุผลที่เราต้องขอบคุณ คณะรัฐประหาร 19 กันยา

ที่มา thaifreenews
แปลและเรียบเรียงจาก “10 Reasons to be Thankful to the 19 September, 2006 Coup Makers in Thailand.”
โดย ประวิตร โรจนพฤกษ์

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก วันนี้เป็นวันครบครอบสามปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีใครบ้างไหมที่คิดถึงวันวานเก่าๆ ของการออกไปมอบดอกไม้แก่ทหารและถ่ายรูปคู่กับรถถัง และคงมีอีกหลายๆ คนที่อย่างน้อยก็อยากจะมองในแง่ดีและขอบคุณต่อเหล่านายพลผู้ก่อรัฐประหาร ที่มอบบริการอันประมาณค่ามิได้แก่ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”

1. ขอบคุณเหล่านายพลผู้ก่อรัฐประหาร ที่ช่วยปลุกให้เราตระหนักถึงความเป็นจริงที่ว่า การเมืองไทยยังหนีไม่พ้นการรัฐประหารและระบบอุปถัมภ์

2. ขอบคุณเหล่านายพลที่ช่วยทำให้เรารู้ว่า มีผู้นิยมชมชอบระบอบ “ประชาธิปไตยแบบตามใจฉัน” มากแค่ไหน (เช่น เหล่านักวิชาการ เอ็นจีโอ สื่อกระแสหลัก และนักการเมือง)

3. ขอบคุณเหล่านายพล ที่ช่วยเตือนเรารู้ว่า รัฐประหารนั้นยังเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในระบอบ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”

4. ขอบคุณเหล่านายพลที่รัก ผู้ช่วยทำให้เหล่าอำมาตย์ไทยกลายเป็นตัวตลกของนานาชาติ -- ในยุคที่การรัฐประหารเปรียบเสมือนโบราณวัตถุ และเป็นเรื่องตลกทางการเมืองในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

5. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ทำให้เราตระหนักว่า การมีรัฐธรรมนูญฉบับปากกระบอกปืน เป็นสิ่งสำคัญมากแค่ไหน

6. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ทำให้รู้ว่า สิ่งใดหายไปจากระบอบประชาธิปไตยของไทย

7. ขอบคุณเหล่านายพลผู้ช่วยให้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงตัวตนของขั้วตรงข้ามทางการเมืองของทักษิณ และยังทำให้เราเห็นว่า คนบางกลุ่มนั้นพร้อมจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง

8. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ที่บอกเราอย่างจริงใจตั้งแต่ในวันแรกว่า พวกคุณทำรัฐประหารเพื่อใคร

9. ขอบคุณเหล่านายพล ผู้ที่ได้ทำให้ความยากลำบากในการต่อสู้ทางชนชั้นเป็นที่ปรากฏ

10. และขอบคุณเหล่านายพลอีกครั้ง ที่ทำให้เราตระหนักว่า ไม่ใช่ทุกผลลัพธ์ที่จะทำให้ “วิธีการ” ถูกต้อง และในขณะเดียวกัน “ผลลัพธ์” นั้นเองก็ไม่สามารถทำให้คำโกหกเป็นเรื่องถูกต้องได้ด้วย

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ขอให้คนไทยไม่ใช้กำลังเคลื่อนไหว เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและทหารไทย

คณะกรรมการปฏิบัติการจิตวิทยาแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย ขอให้คนไทยไม่ใช้กำลังเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและทหารไทย ผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชา ออกไปจากบริเวณเขาพระวิหาร อาจกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ตามที่เครือข่ายประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยให้คนไทย เข้าร่วมการชุมชนเรียกร้องให้รัฐบาลไทย และทหารไทย ผลักดันทหาร และประชาชนชาวกัมพูชา ออกจากบริเวณพื้นที่เขาพระวิหาร อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ

ซึ่งการเคลื่อนไหวในลักษณะที่รุนแรง อาจเกิดกระทบกระทั่งกับทหารและประชาชนชาวกัมพูชาในพื้นที่ อาจบานปลายเป็นเงื่อนไขที่กระทบต่อความสัมพันธ์ ระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเขตแดน ทุกฝ่ายควรยอมรับในหลักการที่ว่าการรักษาอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดน เป็นเรื่องสำคัญที่รัฐบาลทุกประเทศต้องยึดถือเป็นสำคัญ ด้วยการใช้คณะกรรมการซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้ง2 ฝ่าย เป็นผู้เจรจาหาข้อยุติ

ไม่ใช่จะมุ่งใช้อำนาจทางทหารกดดันหรือบีบบังคับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้ยินยอมตามที่ตนต้องการเพราะเท่ากับเป็นการสร้างศัตรูก่อสงครามละเมิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศและไม่เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ความรักชาติและรักแผ่นดินถิ่นเกิดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ควรระมัดระวังไม่ให้การแสดงออกซึ่งความรักชาติ ด้วยวิธีการอันไม่ถูกต้องหรือด้วยการใช้อารมณ์โดยไร้เหตุผลซึ่งจะกลายเป็นเงื่อนไขส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน

พธม.ลุยฝ่าด่าน ปะทะเดือด บุกผามออีแดง

ไทยรัฐ : กลุ่มพันธมิตรฯ ตะลุยฝ่าด่านเจ้าหน้าที่่ พยายามขึ้นไปยังผามออีแดง ทำให้ปะทะกันกับชาวบ้าน จนได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก แต่คนละเล็กละน้อย และมีเสียงดังเป็นระยะ …

เมื่อเวลาประมาณ 13.05 น. วันนี้ (19 ก.ย.) ทีมข่าวไทยรัฐที่ปักหลักอยู่ที่ทางขึ้นผามออีแดง อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ได้รายงานว่า หลังจากที่นายวีระ สมความคิด เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ และพลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้เข้าเจรจากับ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 นายระพี ผ่องบุพกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พล.ต.ต.สมพงษ์ ทองวีระประเสริฐ ผบก.ภ.จ.ศรีสะเกษ และ พ.อ.ชัยนันท์ คำชุ่ม ผบ.กรมทหาราบที่ 16 เพื่อขอนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่เดินทางมาประมาณ 3,000 คน ขึ้นไปปักหลักบนผามออีแดงไม่เป็นผลสำเร็จ แกนนำของพันธมิตรฯ ก็ได้กลับไปบอกกับสมัครพรรคพวก ให้ช่วยกันตะลุยฝ่าด่านของกำลังฝ่ายปกครอง ซึ่งประกอบไปด้วยกำลัง อส. และ ตำรวจ ในพื้นที่ส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นผลสำเร็จ เนื่องจาก กำลังของฝ่ายเจ้าหน้าที่มีน้อยกว่า เป็นเหตุให้ตำรวจ และ อส. ที่ตรึงกำลังอยู่ในด่านแรกได้รับบาดเจ็บกันคนละเล็กคนละน้อย

ในการลุยฝ่าด่านแรกเข้าไป กลุ่มพันธมิตรฯ ได้ยกรถยนต์สำหรับขังผู้ต้องหา ที่จอดเรียงรายกีดขวางอยู่จำนวน 4 คัน ลงไปไว้ข้างถนน แล้วขับรถยนต์ลุยประชิดเข้าไปยังด่านที่สองเป็นขบวน เป็นเหตุให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งอยู่ด้านในกำแพงวัดภูมิซรอล และตามสองข้างทาง เกิดความไม่พอใจ ขว้างปาก้อนหินเข้าใส่กลุ่มพันธมิตรฯ บางคนศีรษะแตกเลือดไหลอาบ และ เกิดไล่ตีกัน และมีเสียงปะทัดดังขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็พยายามที่จะพากันลุยไปปักหลักบนผามออีแดงให้ได้ ซึ่งยังจะต้องฝ่าด่านของเจ้าหน้าที่ และประชาชนไปอีกถึง 4 ด่านด้วยกัน โดยมีผู้บาดเจ็บหลายคน และมีผู้สื่อข่าวของสถานีเอเอสทีวีด้วย

ต่อมาเวลา 14.00 น. กลุ่มพันธมิตรก็สามารถตะลุยฝ่าด่านทั้ง 4 ชั้น ของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านภูมิซรอล เป็นผลสำเร็จ ซึ่งระยะทางจากด่านที่ตั้งไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร ทางขึ้นผามออีแดง หน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ในช่วงที่กลุ่มพันธมิตรใช้รถยนต์ และการ์ดนำหน้าลุยฝ่าด่าน มีชาวบ้านภูมิซรอล ซึ่งส่วนมากเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่ใช้ผ้าขาวม้าคาดหน้า ปาก้อนหิน ค้อน หนังสติ๊กและ ระเบิดขวด จากสองข้างทาง เข้าใส่กลุ่มพันธมิตรเป็นระยะๆ โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไล่จับกุม เมื่อตำรวจไปอีกทาง ก็พากันวิ่งไปปาอีกทาง จนกลุ่มพันธมิตรฯ ต้องใช้เต็นท์ที่ยกออกจากพื้นถนน เป็นโล่กำบัง และในที่สุดกลุ่มชาวบ้าน 5 ตำบล ที่รวมตัวกันตั้งด่าน โดยการนำของ นายวีระยุทธ ดวงแก้ว ต้องพากันถอนร่นเข้าไปในวัดภูมิซรอล ปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ผ่านด่านเข้าไปอย่างง่ายดาย มีเพียงการต่อต้านของกลุ่มวัยรุ่น ที่ซุ่มโจมตีอยู่สองข้างทางเป็นระยะ ๆ จนไปถึงด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร และพากันหยุดรวมพล ณ จุดนั้น

จากการปะทะกันของกลุ่มพันธมิตร และชาวบ้านภูมิซรอลครั้งนี้ เป็นเหตุให้การ์ดของพันธมิตรฯ ได้รับบาดเจ็บหลายคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้นำตัวส่งไปรักษาที่โรงพยาบาลกันทรลักษ์ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลรักษาความปลอดภัย เนื่องจาก เกรงว่าจะถูกชาวบ้านเข้ามาทำร้าย ชาวบ้านภูมิซรอลรายหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยนาม กล่าวว่า พวกตนไม่พอใจกับการกระทำของกลุ่มพันธมิตร เพราะคนพวกนี้เข้ามาสร้างปัญหา แล้วก็พากันกลับไป ในขณะที่พวกตนเป็นคนในพื้นที่ กลับต้องมาได้รับผลกระทบจากการกระทำของคนนอกพื้นที่ พวกตนเคยอยู่กันมาอย่างสงบสุข ก็ต้องพากันเดือดร้อน เคยทำมาค้าขาย ก็ทำไม่ได้ เคยเข้าไปหาของป่ามาขายก็ทำไม่ได้ พากันเดือดร้อนไปหมด ปัญหาเรื่องเขาพระวิหารควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่หน้าที่ของคนกลุ่มนี้ ที่เข้ามาสร้างปัญหาให้กับพวกตน

ล่าสุด กลุ่มพันธมิตร ได้พากันใช้รถยนต์มาจอดเรียงรายเป็นหน้ากระดาน 4 แถว หน้าด่านสุดท้าย ซึ่งเป็นด่านของทหาร โดยชั้นแรกเป็นกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบจลาจล จาก จ.ศีรสะเกษ จ.สุรินทร์ และ จ.อุบลราชธานี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ต.อำนวย มหาผล รอง ผบช.ภ.3 ชั้นที่สองเป็นขดลวดหนามที่วางกั้นไว้อย่างหนาแน่น และชั้นที่สาม เป็นกำลังของทหาร จากกรมทหารราบที่ 16 ทางทางฝ่ายทหารได้ประกาศห้าม มิให้กลุ่มพันธมิตรฝ่าด่านนี้ขึ้นไปบนผามออีแดงโดยเด็ดขาด และกลุ่มพันธมิตรได้ส่ง พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ นายทหารนอกราชการ เข้าไปเจรจากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อ ภายในที่ทำการของอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร และ ที่หน้าด่านสุดท้ายนี้ ได้มี นายตายแน่ มุ่งมาจน กองกำลังฝ่ายข่าว FMTV ของกองทัพธรรม ซึ่งถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก จนหน้าผากแตกเลือดอาบหน้า มารอฟังผลการเจรจาอยู่ด้วย โดยไม่ยอมไปทำแผลตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ ซึ่งการเจรจาครั้งนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ แต่ทางฝ่ายทหารก็ยืนยันว่าไม่ยอมให้กลุ่มพันธมิตรเคลื่อนตัวขึ้นไปชุมนุมบนผามออีแดงอย่างเด็ดขาด

บรรทัดฐานใหม่


ที่มา ข่าวสด
คอลัมน์ เหล็กใน
ไม่น่าเชื่อว่าเวลาไม่ถึงปีที่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ จะสร้างบรรทัดฐานใหม่ๆ ให้การเมืองไทย และบริหารราชการแผ่นดินชนิด สุดกึ๋นข้อแรกสุดที่ต้องจดจารึกเอาไว้ และเชื่อว่าในอนาคตจะกลายเป็นบ่วงมามัดคอพรรคประชาธิปัตย์เมื่อต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน

รวมไปถึงบรรดากลุ่มการเมืองข้างถนนคือการออกพ.ร.บ.ป้องกันการชุมนุมของประชาชน ก่อนที่จะเกิดการชุมนุมขึ้นจริงจะหาข้ออ้างที่สวยหรูอย่างไรก็ตาม แต่นี่คือครั้งแรกที่รัฐบาลจากการเลือกตั้งกระทำการแบบนี้ทั้งที่น่าจะสุ่มเสี่ยงว่าจะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ

เรื่องสิทธิ์ในการชุมนุมของประชาชนเชื่อว่าต่อไปรัฐบาลอื่นๆ คงใช้บรรทัดฐานเดียวกันพรรคประชาธิปัตย์ และม็อบพันธมิตรฯ ที่อาจจะออกมาอาละวาดอีกในอนาคต หากไม่ได้ดังใจก็อย่าโอดครวญบรรทัดฐานต่อมาคือการบริหารข้าราชการแบบ "เด็กดื้อ" หรือ "เด็กเอาแต่ใจ"ชัดเจนกรณีศึก "ผบ.ตร." ที่ไม่เคยเป็นเรื่องใหญ่เลยในอดีต

ก็สามารถทำให้กลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้ในสมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่ากันว่ามีอำนาจเหลือเฟือ ยังไม่กล้าดันคนที่ตนสนับสนุนเพราะติดขัดเรื่องอาวุโส และความเหมาะสมบางประการไม่เช่นนั้นวงการตำรวจคงมีผบ.ตร.ที่ชื่อ "พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์" แทน "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" แล้วแต่บรรทัดฐานที่น่ากลัวที่สุด

ซึ่งรัฐบาลนี้จารึกเอาไว้ คือการใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งความต้องการของตนพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุรรณ ผบ.ตร. ถูกเตะโด่งไปจีน ลงใต้ จนถูกย้ายมาช่วยราชการใน 2 ครั้งแรกตั้งพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี รองผบ.ตร. ขึ้นมารักษาการ ก่อนพยายามเข้าไปรื้อโผการแต่งตั้ง แต่ไม่สำเร็จหนสุดท้ายเลือกพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ขึ้นมารักษาการ

เจตนาเพื่อให้ช่วยออกเสียงในก.ต.ช.เลือกผบ.ตร.ใหม่ความพยายามเล่นงานก.ต.ช.ที่ไม่เอาด้วยกับนายกฯ ทั้งการขุดเรื่องเก่าขึ้นมา หรือถือโอกาสส่งไปทำงานต่างประเทศ แล้วตั้งคนที่คิดว่าคุมได้ขึ้นมาทำหน้าที่แทนทั้งหมดนี้เพื่อหวังชัยชนะในการเลือกผบ.ตร.แต่ท้ายที่สุดก็หงายท้องเป็นครั้งที่ 2 เพราะเจอ "ข้อมูลสำคัญ"

ทำให้คนที่ตั้งขึ้นมาแทนคนเก่าเพื่อหวังคะแนนเสียงตีกรรเชียงหนีไปดื้อๆที่น่ากังวลอีกประการคือบรรทัดฐานขององค์กรอิสระ นักวิชาการ รวมไปถึงนักคิดทางการเมืองทั้งหลายที่ไม่เคยมีปากมีเสียง หรือเคลื่อนไหวอะไรกับพฤติกรรมของรัฐบาลนี้ในอนาคตหากมีรัฐบาลอื่น ใช้อำนาจลักษณะเดียวกับรัฐบาลนี้ ซึ่งเชื่อว่ามีแน่ๆพวกท่านทั้งหลายจะกล้าออกมาเคลื่อนไหว ให้คนเขาถอนหงอกเล่นหรือ!?

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

ป้องกันไว้ ...ไม่เสียหลาย


ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่...ทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม “คนเสื้อแดง” รวมถึงเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจที่คอยเฝ้าระวังรักษาความปลอดภัยไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง ในวัน นปช. ชุมนุมใหญ่ 19 ก.ย. 52“เทคโนโลยีใหม่” ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เตรียมนำมาเพื่อทำการ “สลายชุมนุม”หากเกิดเหตุรุนแรง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “เครื่องทำหูดับ”เป็น

เครื่องมือสำหรับสร้างคลื่นเสียงที่มีความถี่สูง...ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อร่างกาย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ “ระบบประสาท”หากผู้ใช้ไม่มีความชำนาญเพียงพอ หรือ ผู้ได้รับคลื่นเสียงในความถี่ที่สูงมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิด “อันตราย” ต่อร่างกายดังนั้น...จึงควรหาวิธีป้องกันหากรู้ว่า ร่างกายรับไม่ไหว หรือ เกินขีดจำกัด

อันเป็นผลเสียต่อร่างกายและสุขภาพในอนาคตเครื่อง LRAD มีชื่อเต็มว่า Long Range Acoustic Device หลักการทำงานคือการใช้จานส่งคลื่นเสียงความถี่ 2.5 กิโลเฮิร์ตซ์ ด้วยเชิงมุม 30 องศาสามารถทำให้เกิดเสียงดังระดับ 146 เดซิเบล ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อยู่ในระยะ1 เมตรสามารถสูญเสียการได้ยิน “อย่างถาวร”เนื่องจากแก้วหูถูกทำลาย!สำหรับระยะ 300 เมตร ระดับเสียงจะดังประมาณ 90 เดซิเบลลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงของเครื่องตรวจจับควันไฟ

แต่หวีดแหลมและดังกว่ามากๆโดยอุปกรณ์หลักในการสร้างคลื่นชนิดนี้คือ Piezoceramic Transducersซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนความถี่ของกระแสไฟฟ้าให้กลายเป็นคลื่นเสียงสำหรับ “วิธีป้องกัน” สามารถปฏิบัติได้โดย1. ใช้ Ear-plugs หรือที่อุดหู ควรเลือกชนิดที่ป้องกันเสียงได้สูงสุด เช่น Ear-Plugs สำหรับงานช่าง หรือ สำหรับซ้อมยิงปืน2. ถ้าไม่มี Ear-Plugs ควรประยุกต์สร้างอุปกรณ์อุดหูด้วยวัสดุที่ช่วยลดระดับเสียง เช่น กระดาษทิชชู หรือ ก้นบุหรี่ชุบน้ำให้หมาดหรือ เหลาจุกคอร์กให้มีขนาดที่เหมาะสม แล้วใช้แทน Ear-Plugs3. ตัดเล็บนิ้วมือให้สั้น โดยเฉพาะนิ้วก้อย เพราะถ้าไม่มี Ear-Plugs หรืออุปกรณ์ใดๆ ก็ให้ใช้นิ้วก้อยอุดช่องหูให้แน่นที่สุด ผิวหนังของมนุษย์สามารถดูดซับให้คลื่นเสียงอ่อนกำลังลง4. ควรเตรียมหน้ากากสำหรับ “สะท้อนแนวคลื่น” ด้วยการใช้แผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ตัดให้มีขนาดความยาวพอที่จะพันรอบศีรษะได้เจาะรูรูปสามเหลี่ยม...

สำหรับให้จมูกโผล่ออกมาเพื่อหายใจ เจาะรูตำแหน่งดวงตาเพื่อให้สามารถมองเห็น
เวลาที่ต้องการนำมาใช้ ให้แนบจมูกและดวงตาตรงกับตำแหน่งที่เจาะรูไว้ กดและขยำปลายแผ่นฟอยล์ให้แนบกับด้านหลัง-ด้านบน-ด้านข้าง ของศีรษะ โดยด้านที่มันเงาของแผ่นฟอยล์จะต้องอยู่ภายนอก เพื่อให้เกิดการสะท้อนและหักเหของคลื่นนี่เป็นวิธีป้องกันตนเองแบบง่ายๆ ซึ่งสามารถช่วยลด “ความเสี่ยง” ต่ออันตรายในร่างกายที่อาจเกิดขึ้นเพราะไม่ว่ากลุ่มผู้ชุมนุม หรือ เจ้าหน้าที่ ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้เกิด“ประสิทธิภาพสูงสุด”ผู้ชุมนุม...มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองภายใต้กรอบและ

กฎเกณฑ์ของกฎหมายเจ้าหน้าที่...มีสิทธิ์เข้าทำการ “สลายการชุมนุม” หากเกิดเหตุรุนแรงซึ่งต้องใช้วิธีปฏิบัติในการ “ไม่ละเมิดสิทธิ” ของผู้ชุมนุมอย่างเคร่งครัด3 ปีแห่งการ “รัฐประหาร” เป็นความสุขของ “ผู้มีอำนาจ” ที่ได้สร้างความเจ็บปวดภายในจิตใจของประชาชนคนไทยทั่วทั้งแผ่นดินสิ่งที่รองนายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” พูดขึ้นเมื่อวานก่อนที่จะมีการชุมนุม “หากมีความเป็นไปได้ ตนอยากจุดธูปเทียนกราบไหว้กลุ่มคนเสื้อแดงว่าอย่ามาชุมนุม”“คุณสุเทพ” เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่รู้ทุกเรื่องราว...รู้ความเป็นไปในบ้านเมืองและรู้อยู่แก่ใจว่า...ประเทศชาติมัน “ขัดแย้ง” เดินมาไกลจนกว่าจะถอยหลังย้อนกลับ การชุมนุมของ “มหาประชาชน” ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มใด หรือพรรคพวกใดจะยังคงดำเนินต่อไป...

ท่ามกลางสภาวะสังคมและการเมืองในประเทศที่ ไม่มีการปกครองด้วยความเป็นธรรมประชาชนเหล่านี้มิใช่หรือที่ถูก “ผู้มีอำนาจ” กดขี่กดหัวจนมิอาจ“ลืมตาอ้าปาก” และเห็น “แสงสว่าง” แห่งความปกติสุขพวกเขาต้องการที่จะ “เปลี่ยนแปลง” ประเทศนี้ให้กลายเป็นดินแดนที่มีความ“ถูกต้อง” และ “เป็นธรรม” ไม่ใช่เป็นเช่น “รอยยิ้ม” อันไม่จริงใจของผู้มีอำนาจประเทศนี้ไม่ได้ถูกปกครองด้วย “กลุ่มอำนาจใดอำนาจหนึ่ง” แต่ต้องเป็นการปกครองโดย “มหาประชาชน” ซึ่งบรรพบุรุษได้สร้างสิ่งมีค่าให้พวกเขา “ดำรงชีพ” สืบอยู่“คุณสุเทพ”

ไม่จำเป็นต้องมา จุดธูปเทียนกราบไหว้ คนเสื้อแดงให้เสียเวลา...เพียงแค่เอ่ยปากไหว้วานบอกไปถึง “ผู้มีอำนาจ” ...เมื่อใดจะหยุดทำร้ายประเทศชาติเสียที!โดยเฉพาะ “ผู้มีอำนาจ” เหล่านั้น...ต้องมา “ก้มกราบขอโทษ”ต่อมหาประชาชน ซึ่งได้ทำความชั่วความเลวไว้มากเขาทำผิดต่อแผ่นดินที่ยืนอยู่...และทำผิดต่อประชาชนซึ่งเป็น“ผู้ใต้ปกครอง” อย่างมิน่าให้อภัยแต่ในฐานะ “คนไทย” คนทำผิดต้องให้โอกาส...กราบขอโทษงามๆแล้วประชาชนทั้งหลายจะให้อภัย!! ■