--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ถึงคิวคนขี่เก๋งกัด มาร์ค จมเคี้ยว วิสัยทัศน์โครตๆ



โดย คุณเหล่านั้งเคียวห่วย
ที่มา บอร์ดรัชดา พันทิป21 กรกฎาคม 2552
หมายเหตุ:กระทู้"ผมรักนายกอภิสิทธิ์ เพราะท่านมีวิสัยทัศน์กว้างไกล"เป็นการแซววาทีอย่างเจ็บแสบถึงทรวงของห้องสนทนารัชดา เวบพันทิป
ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางของประเทศที่มีรถยนต์ขับ มีผู้ร่วมแจมความคิดเห็นมากกว่า600ความเห็น ขึ้นเป็นกระทู้แนะนำ และเจ้าของกระทู้ได้รับกิ๊ฟไปท่วมท้น เชิญอ่าน ผมรักนายกอภิสิทธิ์ เพราะท่านมีวิสัยทัศน์กว้างไกล รัฐบาลท่านนายกอภิสิทธิ์ ท่านมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกลกว่าใครจะคาดคิดนะครับ
ประชาชนตัวเล็กตัวน้อยโง่ๆอย่างเราไม่รู้อะไรซะเลย เพราะท่านมีนโยบายทำประเทศไทยให้เป็นเมืองน่าอยู่คือ
1.แก้ไขปัญหารถติด ด้วยการขึ้นภาษีน้ำมัน หรือการนำเงินเข้ากองทุนน้ำมัน
2.ส่งเสริมให้คนไทยทันยุค ทันสมัยต่อเหตุการณ์โลก ดูได้จากไขหวัดใหม่สายพันธุ์ใหม่2009 ประเทศไทยทันสมัยมาก เป็นกับนานาอารยะประเทศ แถมยังก้าวล้ำนำไกล เริ่มมีคนทันสมัยติดโรคเยอะกว่าประเทศอื่นแล้ว
3.ลดจำนวนประชากรในเมืองใหญ่ ไม่ให้กระจุกตัว ด้วยการปล่อยให้มีการแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่2009
4.ให้ประชาชนรู้สำนึก รักบ้านเกิด กลับบ้านกลับช่อง กลับบ้านที่ตนเองเกิด ด้วยการทำให้เศรษฐกิจแย่ลง ไม่มีงานทำ คนที่มาทำงานให้เมืองหลวง จะได้กลับบ้านไปทำไร่ไถนาต่อไป
5.ส่งเสริมการเกษตร เพราะงานเมืองหลวงไม่มีให้ทำแล้ว
6.ส่งเสริมการให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัว เพราะเศรษฐกิจไม่ดี งานไม่มี เงินก็ไม่มา เงินก็ไม่มีเที่ยวตามคาเฟ่ เที่ยวกลางคืนกลับบ้านหาลูกหาเมีย
7.ส่งเสริมให้คนไทยรู้จักความพอเพียง พอกินพอใช้มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น
8.แก้ไขปัญหาการซื้อที่ดินเพื่อเก็งกำไร
9.ส่งเสริมให้คนไทยใช้ของอย่างคุ้มค่า เช่นรถยนต์ใช้ได้ก็ใช้ไป เสียก็ซ่อม เสียบ่อยก็ทนซ่อมเอา เพราะไม่มีเงินไปซื้อรถใหม่
10.ส่งเสริมวิชาชีพ รถเสียก็ซ่อมเอา ซ่อมบ่อยๆเสียแต่เงิน ก็หันมาศึกษาเรียนรู้เอง จะได้ซ่อมเป็น
11.ให้คนไทยรักสิ่งแวดล้อม ลดการใช้รถยนต์ หันมาใช้จักรยาน เพราะ...ไม่มีเงินเติมน้ำมัน
12.ให้คนไทยสุขภาพดี ไม่ขี้เกียจ ไปไหนที่ไม่ไกลนักก็เดินเอา จากเมื่อก่อนแค่300-500เมตร เรียกมอไซค์รับจ้างกันแล้ว แต่เดี๋ยวนี้1กม.เดินเอาก็ได้ แค่นี้เอง
13.รัฐบาลชุดก่อนทำราคาที่ดินสูงกว่าความเป็นจริง ท่านนายกอภิสิทธิ์ท่านจึงทำราคาที่ดินให้ต่ำลง เพื่อที่จะได้ให้คนไทยที่ยังไม่มีที่ดินได้จับจ่ายซื้อกันง่ายยิ่งขึ้น
14.ยังนึกไม่ออก เดี๋ยวค่อยมาต่อ ผู้ร่วมแจมกระทู้รายหนึ่งอภิปรายว่า มาดูตารางของท่าน Mr. NATO (์No action talk only) ดีกว่าครับเมื่อวานนี้ท่าน Mr.NATO ก็เพิ่งไปงาน แซกโซโฟน โลกมา

สมชาย ยิ้มร่าตีกอล์ฟชิงถ้วย"แม้ว"เสนาะ ห่วงนายกฯที่สุด-ปท.อยู่อันเดอร์มหาโจร

มติชนออนไลน์
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552 เวลา 21:30:35 น.

"สมชาย"ยิ้มร่าตีกอล์ฟชิงถ้วย"แม้ว"มีความสุขมาก "เสนาะ"ห่วงนายกฯมาร์คที่สุด-ปท.อยู่อันเดอร์มหาโจร"สมชาย"บอกออกรอบก๊วนกอล์ฟชิงถ้วย"แม้ว"มีความสุขมาก เตรียมนำเงินที่ได้นัดกินข้าวรำลึกความหลังอดีตครม. "เสนาะ"บอกน่าห่วงนายกฯชื่อ"อภิสิทธิ์"ที่สุด ปท.อยู่"อันเดอร์มหาโจร" คนใกล้ชิด"ทักษิณ"แห่ร่วมนับร้อย

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 20 กรกฏาคม ที่สนามกอล์ฟโลตัส วัลเลย์ กอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ กอล์ฟ คลับ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย ได้จัดการแข่งขันกอล์ฟ ชื่องาน "กอล์ฟปาร์ตี้สานสัมพันธ์สามัคคี ครั้งที่ 2 111+37 = เพื่อไทย" โดยมี นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นายพายัพ ชินวัตร ประธานภาคอีสานพรรคเพื่อไทยและน้องชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตหัวหน้ากลุ่มไทยรักไทย นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ อดีตรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย น.พ.พรหมมินทร์ เลิศสุริยเดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ) นายชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ อดีต รมช.พาณิชย์ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ นายอดิศร เพียงเกษ ประธานกรรมการบริหารบริษัทดี สเตชั่น จำกัด เจ้าของสถานีโทรทัศน์เสื้อแดง ดี สเตชั่นและพีเพิ่ล เทเลวิชั่น

นอกจากนี้ยังมี แกนนำและส.ส.พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคไทยรักไทย พร้อมทีมทนายความพ.ต.ท.ทักษิณ นำโดยนายวิชิต ปลั่งศรีสกุล และนายอุดม โปร่งฟ้า รวมทั้ง นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช เข้าร่วมประมาณ 100 คน ทั้งนี้ มีการแบ่งก๊วนออกเป็น 18 ก๊วน

ภายหลังการออกรอบ นายสมชาย กล่าวว่า การออกรอบกอล์ฟวันนี้มีความสุขมาก และคนที่มีความสุขมากที่สุดคือนายเสนาะ เพราะรับทั้งซ้ายและขวา ส่วนในก๊วนนอกจากตนเองและนายเสนาะแล้ว ก็มีนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ซึ่งเงินที่ได้ไม่ใช่การพนันแต่จะเก็บไว้ไปเลี้ยงข้าวกันในเร็วๆ นี้ และจะมีการนัดทานข้าวระหว่างอดีต ครม.ของตนในเร็วๆ นี้ ขอยืนยันว่าระหว่างการออกรอบไม่ได้ทาบทามนายเสนาะ ให้มาร่วมงานกับพรรคเพื่อไทย แต่หากนายเสนาะมาร่วมงาน เชื่อว่าจะทำให้การเมืองดียิ่งขึ้น
"สำหรับผลงานของรัฐบาลนั้น ผมได้ยินมาว่าประชาชนเดือดร้อนมาก โดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจและไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถครองใจประชาชนได้หรือไม่ แต่เท่าที่อ่านข่าวโพลเห็นบอกว่ารัฐบาลสอบตก นอกจากนี้ ทุกวันนี้มีข่าวจำนวนมากถึงการตามล่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้กลับมารับผิดที่ประเทศซึ่งผมดูแล้วเป็นประโยชน์อะไรหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว" นายสมชายกล่าว

นายเสนาะกล่าวบนเวทีสังสรรค์หลังตีกอล์ฟว่า "ในอดีตเราเคยหัวเราะเยาะเขมรว่าประเทศเดียวมีนายกฯ 2 คน แต่นั่นก็เป็นการหาทางออกของประเทศกัมพูชาในภาวะที่เขากำลังเกิดวิกฤตเขมร 3 ฝ่าย แต่ประเทศไทยในขณะนี้ฟันธงได้เลยว่า ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 1-2 ปี อย่างที่รัฐบาลบอกว่าจะอยู่ในตำแหน่งให้ครบวาระนั้น พวกเราไม่รอดแน่ ยิ่งปล่อยให้รัฐบาลอยู่ยาวเท่าไหร่ พวกเรายิ่งอายุสั้นเท่านั้น ประเทศชาติจะอยู่ไม่ได้ ผมอยู่ตรงนี้มานาน อยู่ข้างๆ นายกฯมาหลายคน วันนี้บอกได้เลยว่าคนที่ชื่ออภิสิทธิ์นั้นน่าเป็นห่วงที่สุด เพราะประเทศชาติอยู่ในอันเดอร์ มหาโจร"

กระบอกเสียงผู้ก่อการร้ายรายงานข่าว มาร์คจ่อกวาดล้างสื่อเสื้อแดง

ที่มา เวบไซต์ASTVผู้จัดการ
21 กรกฎาคม 2552

เวบไซต์ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงกลุ่มโจรก่อการร้ายพันธมิตรรายงานเมื่อค่ำวานนี้(20 ก.ค.)อ้าง"ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล"ว่า ได้มีหนังสือ “ลับมาก”รายงานข้อมูลเกี่ยวกับวิทยุชุมชน เว็บไซต์และสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีที่เป็นเครือข่ายของกลุ่มคนเสื้อแดงมาถึงนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยหนังสือลับดังกล่าวได้มีรายชื่อวิทยุชุมชน เว็บไซต์และสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีที่จัดรายการปลุกระดม ยุยงประชาชน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์เคเบิลทีวีได้มีการถ่ายถอดภารกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตลอดทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเป็นการเลียนแบบพระราชกรณียกิจ ทั้งนี้ สถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีช่องดังกล่าวได้ประกอบกิจการอยู่ย่านลาดพร้าวทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการจัดทีมเฉพาะกิจ เพื่อเฝ้าติดตามการถ่ายทอดและการจัดรายการของวิทยุชุมชน รวมทั้งเข้าไปดูความเคลื่อนไหวในเว็บไซต์ตามที่รายงานลับได้ระบุ ทางทีมเฉพาะกิจได้มีการประสานงานกันระหว่างหน่วยเฝ้าฟังมอนิเตอร์ กับทางตำรวจสันติบาล

ซึ่งพบว่า มีการปลุกระดม ยุยงให้ประชาชนเกิดการต่อต้านรัฐบาล รวมทั้งระบอบประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีการแต่งเพลงให้ร้ายโจมตีรัฐบาล ระบอบอำมาตย์และตีชิ่งถึงสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประจำเกือบทุกวัน ทั้งนี้ ข้อมูลทั้งหมดได้ส่งไปถึง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ให้พิจารณาดำเนินการเรื่องดังกล่าวแล้วอย่างไรก็ตาม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพและนายสาทิตย์ ได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทรวงไอซีทีและทีมเฉพาะกิจ เพื่อบุกจับกุมและดำเนินคดีตามหลักฐานที่มีอยู่ในรายงานลับแล้ว โดยรายชื่อวิทยุชุมชน เว็บไซต์และสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวีที่อยู่ในข่ายถูกจับกุมและดำเนินคดีมี
วิทยุชุมชนอุดรคนรู้ใจ คลื่น 87.75 วิทยุชุมชนคนรักไทย คลื่น 95.25 วิทยุชุมชนเชียงใหม่ คลื่น 92.50 วิทยุชุมชนลำปาง คลื่น 90.25 วิทยุชุมชนเชียงราย คลื่น 104 วิทยุชุมชนริมปิง วิทยุชุมชนลำพูน วิทยุชุมชนอุบล และวิทยุชุมชนคนรักแท๊กซี่ คลื่น 92.75สำหรับเว็บไซต์ที่เข้าข่ายถูกจับและดำเนินคดี มีทั้งสิ้น 17 เว็บไซต์ อาทิ www.redthai.org www.chupong.org www.jaonuea.com www.konthaiuk.com www.vod-station.org www.sameskybooks.orgส่วนสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี ที่เข้าข่ายถูกจับกุมและดำเนินคดี คือ MVTV5อย่างไรก็ตามการที่ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงโจรก่อการร้ายไม่ระบุที่มาของแหล่งข่าวที่ชัดเจน

โดยอ้าง"ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล"นั้นสำหรับวงการสื่อมีความหมาย2อย่างคือ1.เป็นข่าวลือข่าวเต้าข่าวปั้นขึ้นเอง เลยไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีแหล่งข่าวชัดเจน2.มีมูลจริง แต่เป็นการโยนหินถามทางก่อนเพื่อดูปฏิกริยา

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ดูไบ

ที่มา บางกอกทูเดย์


“ดูไบ” เมืองนี้เมื่อก่อนคนไทยไม่สู้จะรู้จักนักแม้ระยะหลังเมืองนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ มีความทันสมัยแบบโลกตะวันตกเข้ามาแทนที่ผืนทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาลมากแค่ไหนก็ตามคนไทยก็ยังเฉยๆ กับเมืองนี้จนกระทั่งมีข่าวว่า อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ไปอยู่ที่นี่และมีข่าว “คุณอลงกรณ์ พลบุตร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปตามจับทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่เมืองดูไบจึงเป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้นดูไบคืออะไร?? มีความสำคัญอย่างไร??ทำไม คุณทักษิณ จึงไปอยู่ที่นี่ รัฐบาลอภิสิทธิ์โดยเฉพาะ คุณอลงกรณ์ จะไปจับเขาได้ไหม ต่อไปนี้จะเป็นคำตอบ...เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วผมไปที่นั่นมาไปนั่งกินข้าวกับอดีตนายกฯ มาด้วย 2 มื้อ ทั้งที่บ้านและที่ร้านอาหาร บอกได้คำเดียวว่า...รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่มีทางจับเขาได้ที่จริงผมไป “ดูไบ”

เพราะคำเชิญของบริษัทขายเสื้อผ้าบริษัทหนึ่งที่มาซื้อเสื้อผ้าบ้านเรา เพื่อดูตลาดเสื้อผ้าที่นั่นเมื่อไปแล้วก็อยากไปไต่ถามทุกข์สุขของอดีตผู้นำของเราเพราะมีความคุ้นเคยสนิทสนมกับท่านเป็นการส่วนตัวมานาน ท่านก็ให้ไปพบทั้งที่บ้านและเลี้ยงสเต็กที่แสนอร่อยในร้านดังจะว่าไปอดีตนายกฯ ท่านก็ไม่ได้ลำบากอะไร ท่านซื้อบ้านอยู่ในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่ง มีคนไทยตามไปรับใช้อยู่2-3 คน


แต่ที่สำคัญก็เหมือนกับที่เคยโฟนอินเข้ามาที่สนามหลวงคือ มันเหงา เมื่อมีคนไทยไปเยี่ยมท่านจึงยินดีผมว่าแม้จะเป็นคนที่ไม่ชอบท่านก็ยินดีถ้าเป็นคนไทยเพราะท่านรักคนไทยทุกคน รักเมืองไทยท่านจะคุยให้ฟังว่า ทำไม “ดูไบ” ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่กำลังพัฒนาแบบก้าวกระโดดจึงเจริญ เพราะผู้นำเขาฉลาด มีวิสัยทัศน์ ไม่มัวหาเรื่องทะเลาะกับผู้คนเหมือนผู้นำบางประเทศผู้นำดูไบมีมาตรการทางภาษีที่ดึงดูดนักลงทุนเข้าไปลงทุน โดยเขาทำโครงสร้างพื้นฐานที่ดีที่สุดในโลกไว้ให้หมดทั้งสนามบิน ถนน รถไฟฟ้า ท่าเรือที่ขนทั้งคน

สินค้าและน้ำมันซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญวันนี้ใครไปที่นี่จึงเห็นแต่ความเจริญ...เขาสร้าง โรงแรมรูปเรือใบ ไว้กลางทะเล ที่นักท่องเที่ยวจนๆ อย่างผมไม่มีปัญญาไปนอนขอไปถ่ายรูปร่วมกับนักท่องเที่ยวอีกมาก ที่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าที่พักแต่มีปัญญาถ่ายรูปเหมือนผมเขาทำที่ เล่นสกี ไว้ในห้างสรรพสินค้าให้นักท่องเที่ยวและคนของเขาเล่น และมีตึกที่สูงที่สุดในโลกดึงดูดให้ผู้คนไปดูอดีตนายกฯ ทักษิณ บอกว่า รัฐบาลไทยอย่าตามจับเขาเลย

เพราะไม่ว่าเขาจะอยู่หรือไปที่ไหน รัฐบาลประเทศนั้นๆ ก็ดูแลต้อนรับเขาอย่างดี เหมือนมาเลเซียที่ไปมาเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนนายกฯ มาเลเซีย ก็ส่งคนมาดูแลอย่างดี ทำไมเขาถึงให้เกียรติขนาดนั้น คุณอภิสิทธิ์ คงรู้ หรือไม่รู้ลองไปถามคนชื่อ อันวาร์ อิบราฮิม ดูก็ได้สุดท้าย...ถ้ารัฐบาลนี้ทำอะไรไม่เป็นเหมือนที่ทำอยู่ ให้ไปหาหนังสือภาษาอังกฤษชื่อ Tackling Poverty อ่านซะเผื่อจะทำงานเป็นบ้างไม่ต้องอายหรอก!! แม้จะเขียนโดย “ดร.ทักษิณชินวัตร” ■

การเลือกตั้ง เส้นทางประชาธิปไตยที่คนเสื้อแดงต้องเลือกเดิน

โดย ปูนนก20 กรกฎาคม 2552
คุณจักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...ไม่ว่าจะมองในทางไหนหรือในแง่มุมใด รัฐบาลเทพประทาน มาร์ค ม. 7 ก็ดูท่าจะไปไม่รอด ต่อให้เป็นรัฐบาลเทพอุ้มสม หรือรัฐบาลเทพประทานขนาดไหนก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นและรุมเร้า

รัฐบาลขณะนี้มันยากลำบากรุนแรง และปมเงื่อนมันสลับซับซ้อนเกินกว่าที่จะแก้ไขให้จบสิ้นได้ในเร็ววัน... ไม่ว่าจะเป็นปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รัฐบาลไม่มีปัญญาทำอะไรในการเพิ่มรายได้นอกจากอาศัยเงินกู้ และออกพันธบัตรให้ประชาชนกินดอกเบี้ย ซึ่งที่จริงก็คือเงินของภาษีของตัวเองน่ะิแหละ....ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่นับวันแต่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ....

ปัญหาความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีปัญหากับเขาไปทั่ว.... ปัญหาสาธารณสุขโรคไข้หวัด 2009 ที่กำลังกลายเป็นจุดตายของรัฐบาลที่ล้มเหลวในการบริหารจัดการด้านการป้องกัน... เพราะครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนโดยตรงการเปิดแนวรบเข้าโจมตีกองกำลัง และฐานอำนาจของเผด็จการอมาตย์ในหลายๆ แนวรบ ไม่ว่าจะเป็นการโฟนอินเรื่่องการแก้ไขเศรษฐกิจชาติของท่านนายกทักษิณ...การเข้าชื่อถวายฎีกาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ท่านนายกทักษิณ....

หรือแม้กระทั่งแรงกดดันให้มีการดำเนินคดีข้อหาผู้ก่อการร้ายสากลแ่ก่นายกษิต ภิรมย์ และกลุ่มแกนนำพันธมิตร...เหล่านี้ล้วนส่งผลร้ายจนถึงขั้นพลังอำนาจของเผด็จการอมาตย์ที่เคยมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมสั่นคลอนลงอย่างเห็นได้ชัดรัฐบาลมาร์ค ม. 7 ก็มิได้เป็นรัฐบาลที่เข็มแข็งอะไร เพราะลำพังเสียงในสภาของพรรค ประชาธิปัตย์เอง ก็มีเพียง 164 คนเท่านั้น ถ้าไม่ได้เสียงสนับสนุนจากพรรคงูเห่าของภูมิใจไทยก็ล่มอย่างแน่นอน... และข้อเท็จจริงก็คือ ส.ส. ปัจจุบันในพรรคภูมิใจไทยก็เคยเป็นอดีต ส.ส. ในพรรคพลังประชาชนมาก่อนทั้งสิ้น

แม้ว่าปัจจุบันจะกลายเป็น ส.ส. งูเห่าแตกแยกกันไปกับพรรคเพื่อไทย แต่ถึงอย่างไรก็เหมือนกับ “คนบ้านเดียวกัน...พี่น้องกันทะเลาะกัน” วันหนึ่งก็อาจจะกลับมาคืนดีกันก็ได้เพราะเคยเป็นน้ำเนื้อเดียวกันมาก่อน ซึ่งไม่เหมือนกับการเข้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคนละน้ำคนเนื้อกัน....มีการคาดหมายกันอย่างกว้างขวางว่ารัฐบาลนี้คงมีอายุอยู่ได้ไม่เกินสิ้นปีนี้ จากนั้นจะต้องยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แต่ที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ยังไม่ยอมยุบสภาในขณะนี้ทั้ง ๆ พรก. กู้เงิน800,000 ล้านก็ผ่านไปแล้ว ส่วนสำคัญก็เพราะว่าเหตุการณ์การเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษเป็นตัวอย่างทำให้เกิดความไม่แน่ใจว่า ถ้าเกิดการเลือกตั้งใหญ่ครั้งใหม่จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกหรือเปล่า....

ซึ่งนี่คือความคิดในมุมมองของรัฐบาลเทพประทาน และพรรคร่วมแต่ในส่วนมุมมองของคนเสื้อแดงผู้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยนั้น กลับมีเรื่องที่น่าจะต้องนำมาพิจารณากันอย่างรอบคอบก็คือว่า “ถ้าเกิดการยุบสภาขึ้นในครั้งนี้และมีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้น พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยควรจะไปร่วมเลือกตั้งด้วยหรือไม่?”

ผมมองว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประเด็นที่พึงนำมาพิจารณาเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์กันอย่างเร่งรีบมิใช่น้อย....ก่อนจะมีการเลือกตั้งซ่อมที่จัุงหวัดสกลนคร อาจารย์ชูพงศ์ ถี่ถ้วน ได้เป็นผู้จุดประเด็นเรื่องการ Vote No ในการเลือกตั้งครั้งนั้น โดยให้เหตุผลว่า “การเลือกตั้งในระบอบเผด็จการนั้นไม่มีประโยชน์อันใดเลย เพราะถึงแม้ว่าจะได้เป็นรัฐบาลก็จะยังคงถูกอำนาจเผด็จการนอกรัฐธรรมนูญทำลายอยู่ดี (ดังที่มีตัวอย่างมาแล้ว 2 รัฐบาล) ดังนั้นการใช้เวทีเลือกตั้งลงประชามติให้ประชาชนแสดงความเห็นถึงพิษภัยและอำนาจเผด็จการด้วยการ Vote No คือการปฏิเสธการเลือกตั้งในระบบเผด็จการนี้ จึงเป็นหนทางออกที่ดีที่สุดเพื่อส่งสัญญาณให้เกิดการยอมรับในระดับนานาชาิติ”

การจุดประเด็นในครั้งนั้นเป็นข้อถกเถียงที่ ฮือฮากันมาก จนทำให้คนเสื้อแดงเกือบจะแตกทางความคิดออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ในที่สุด อาจารย์ชูพงศ์ ก็ยอมถอยด้วยการขอถอนความคิดนี้ในการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาโดยให้เหตุผลว่า คนเสื้อแดงก็เหมือนคนที่กำลังเดินทางไปบนถนนเส้นเดียวกัน บางคนอาจจะแวะที่สระบุรี บางคนอาจจะแวะที่พิษณุโลก บางคนอาจจะมีเป้าหมายไปที่เชียงใหม่ ก็ไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด เพราะทุกคนอยู่บนถนนเส้นทางเดียวกัน จากนั้นก็หันมาให้การสนับสนุนผู้สมัครพรรคเพื่อไทยแทน และเมื่อคนเสื้อแดงรวมพลังกันได้ในที่สุดก็ทำให้ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ชนะถล่มทลาย ทั้งที่จังหวัดสกลนคร และที่ศรีสะเกษ...

นั่นคือการเลือกตั้งซ่อมที่ผ่านมาแต่ในการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้ต่างหากที่มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง... เวลานี้ประชาชนไทยโดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่ตามต่างจังหวัดเริ่มมีความเข้าใจถึงอำนาจมืดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้ครอบคลุึมประเทศไทยมาเป็นเวลาช้านานแล้ว พี่น้องเหล่านั้นต้องการต่อสู้ให้ประเทศนี้มีความเป็นประชาธิปไตยและประชาชนทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกัน ไม่เกิด 2 มาตรฐานขึ้นในการบังคับใช้กฎหมาย พี่น้องเหล่านั้นเริ่มมองเห็นแล้วว่า การเลือกตั้งไม่ใช่คำตอบที่จะนำไปสู่การได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตย แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นการต่ออายุให้อำนาจเผด็จการเสียด้วยซ้ำ...

คุณจักรภพ เพ็ญแข ได้มีโอกาสสนทนาเข้ามาทางรายการวิทยุก็พูดในทำนองเดียวกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการไม่ใช่หนทางนำประชาธิปไตยมาสู่ชาติ” และมีหลาย ๆ กระแสเริ่มออกมาแสดงความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน...เป็นความจริงอย่างยิ่งว่า พี่น้องคนเสื้อแดงผู้รักประชาธิปไตยทุก ๆ คนต่างก็ต้องการให้ประเทศนี้ได้มาซึ่งความเป็นประชาธิปไตยขอให้เพียงให้บอกมาแระกันว่าจะต้องทำอย่างไร ก็ยินดีทำตามทั้งสิ้น จะเห็นได้จากการเลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร, ศรีสะเกษ การรวบรวมรายชื่อถวายฎีิกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ท่่านนายกทักษิณ (ซึ่งขณะนี้มีมากกว่าล้านคนแล้ว) ด้วยเหตุนี้การกำหนดยุทธศาสตร์ล่วงหน้าเพื่อนำมาพิจารณาว่า “ถ้าิเกิดยุบสภาเพื่อมีการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้

ประชาชนไทยจะได้อะไรจากการเลือกตั้ง... ควรหรือไม่ที่พี่น้องผู้ต้องการประชาธิปไตยจะ Vote No เพื่อปฏิเ้สธการเลือกตั้งภายใต้ระบอบเผด็จการนี้” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญไม่น้อยในการพิจารณาเพื่อวางแผนกำหนดการต่อสู้กับอำนาจเผด็จการให้เป็นไปตามเป้าหมายประชาิธิปไตย... ถ้าเกิดการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้ โดยภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 นี้ แล้วพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง...ต่อมา กกต. ก็แจกใบแดงให้กับผู้สมัครผู้ได้รับการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย จนเหลือจำนวนไม่ถึงครึ่ง...และเมื่อจัดตั้งรัฐบาลแล้วแม้พรรคเพื่อไทยได้รับเสียงข้างมากแต่ก็ไม่สามารถสั่งการใครได้โดยเฉพาะกองทัพ...

จากนั้นไม่นานก็ถูกตุลาการพิจารณาพิพากษาให้นายกรัฐมนตรีพ้นสภาพ ถูกยุึบพรรค หรือไม่ก็ถูกบีบจากอำนาจภายนอกให้บริหารราชการไม่ได้... ประชาชนก็ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจเผด็จการมืดต่อไป พวกที่ประท้วงเรียกร้องก็เรียกร้องไป พวกที่คอยสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนก็หน้าด้านทำต่อไปโดยไม่สนใจอะไร.....

“แล้วพี่น้องคนไทยจะได้รับอะไรจากการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นนี้” เราจะได้ประชาธิปไตยหรือเปล่า ? การต่อสู้ที่สูญเสียแม้กระทั่งเลือดเนื้อชีวิตจะสูญเปล่าหรือเปล่า ? ถึงเวลาการต่อสู้ขั้นแตกหักระหว่างฝ่ายประชาธิปไตย กับเผด็จการอมาตย์แล้ว ถ้าประเทศนี้ไม่ได้ประชาธิปไตยประชาชนก็จะต้องถูกกดขี่ และถูกสูบเลือดสูบเนื้อจนแห้งตาย.... สมรภูมิที่สำคัญมากชี้เป็นชี้ตายซึ่งกำลังจะมาถึงอันใกล้นี้ก็คือ “การเลือกตั้งใหญ่” ที่จะเกิดขึ้นนี้ เพราะเมื่อเผด็จการอมาตย์กำลังจะสูญสิ้นอำนาจพวกเขาก็จะยุบสภาโดยไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี 50 และยังคงอำนาจเผด็จการอมาตย์เอาไว้...เมื่อถึงเวลานั้นพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยทุกท่านคงจะต้องตัดสินใจร่วมกันว่า “การเลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญเผด็จการนั้นให้ประโยชน์ใดแก่ประชาชนในประเทศชาติบ้าง” และการเลือกตั้งใหญ่จะทำให้ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยได้ประชาธิปไตยตามที่เรียกร้องจริงหรือ?

สอบไม่พบความผิด นปช.

อำมาตย์เร่งเกมส์เร็ว

เย็นไว้..เสื้อแดง...
ยังต้องเย่อกันไปอีก หลายยก ระหว่างศักดินามหาอำมาตย์ กับประชาชนหัวใจสีแดงทั่วทั้งแผ่นดิน ล่าสุดอำมาตย์ส่งสัญญาณเร่งเกมส์เร็ว บี้สมุนออกเดินสายยั่วบาทาไปทั่วเหนือ-อีสานแล้ว หลังจากที่จั่ววืดมาโดยตลอด ทำให้จนแล้วจนรอด ยังเอาเสื้อแดงไม่ลงซักทีงานนี้กะว่ายังไงก็ต้องเผด็จศึกเสื้อแดงให้ได้ในเร็ววัน

พร้อมกันกับที่กุ๊ยกษิตก็เร่งยิกให้ต่างชาติช่วยกันจับทักษิณ ถึงขนาดว่าเอาประเทศเป็นเดิมพันก็ยังทำ ไม่รู้ว่าแผ่นดินขวานทองเล่มนี้ เป็นของพ่อของแม่มันตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะอำมาตย์จับสัญญาณยี้ได้ถี่ยิบ นับตั้งแต่โครงการอภิมหากู้ มาจนถึงหวัดหมูมหากาฬ เสียงถล่มรัฐบาลดังอื้ออึงขึ้นเรื่อยๆ

ในขณะที่เด็กมาร์คยังมะงุมมะงาหรา สนุกกับการแก้ปัญหาอยู่บนโพเดียมตอนที่จั่วไพ่แมลงสาบขึ้นมาใหม่ๆ ก็นึกว่าเจ๋งซะไม่มีแล้ว กะว่าตีไพ่สดๆซิงๆ รูปหล่อพ่อรวยเอาใจแม่ยกไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ขนาดป๋าดันตั้งใจประคบประหงมอย่างดี ไม่มีเกรงใจประชาชน ทั้งหลายทั้งปวง ก็เพราะหวังเต็มที่ให้มันมาช่วยกู้หน้าที่ไหนได้..พอมาถึงมันก็กู้ เอา..กู้เอา แต่แทนที่จะมากู้หน้า มันดันเดินหน้ากู้เงิน เล่นเอาประชาชนร้องจ๊าก ด่าเช็ดลามปามไปถึงโคตรอำมาตย์ โทษฐานที่ยัดเยียดเด็กฝากมาเป็นรัฐบาลขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป

เสื้อแดงไม่ต้องทำอะไร อำมาตย์ก็ต้องตายแหงแก๋ เพราะยิ่งเวลาผ่านไป ขบวนการโป๊งโป๊งๆชึ่ง ก็ยิ่งเสื่อมหนักไม่มีหูรูด เหมือนไม้หลักปักขี้เลน โอนไปเอนมา ไม่มีใครไปทำอะไรมัน ก็เอนล้มลงไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา ยิ่งขยับตัวมากก็ยิ่งเอนมากยิ่งดิ้นเท่าไหร่ ชาวบ้านก็ยิ่งหูตาสว่างมากขึ้นเท่านั้นเวลาไม่คอยท่า นาฬิกามันเดินอย่างกับวิ่งผลัด 4 x 100 ขืนไม่ทำอะไรเลย ก็เท่ากับรอความตายไปวันๆแต่อย่างว่า

คิดแบบอำมาตย์ กี่ปีกี่ชาติก็วนเวียนซ้ำซากอยู่แค่นั้น จากพัทยามาบุรีรัมย์ ข้ามไปภูพิงค์ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้ได้ฮือฮา ยังหากินกับมุกเดิมเด๊ะๆใช้แดงเทียมเป็นไส้ศึก เด้งรับเด้งส่งกับเสื้อน้ำเงิน ป่วนสถานการณ์สร้างความรุนแรง แล้วจัดการซะด้วยตำรวจชุดปราบจลาจล ส่วนแถวสองใช้ทหารถือเอ็ม-16 เตรียมพร้อมตลอดเวลา รอมาร์คประกาศภาวะฉุกเฉินเปิดทางให้เมื่อไหร่ ก็ลุยได้ทันทีจากนั้นก็ถึงทีสื่อชั่วในสังกัดอำมาตย์ ออกมาตามขยี้ซ้ำ เหมือนสงกรานต์ทมิฬเด๊ะๆ ใจคอจะไม่เปลี่ยนมุกเล่นมั่ง ก็ให้มันรู้ไปสำหรับเสื้อแดงขาบู๊ทั้งหลาย คงต้องท่องคาถาเย็นไว้โยม

เอาอีแต๋นไปบี้รถถัง มันจะได้ไม่คุ้มเสีย อย่าลืมว่าขานั้นมันซุปเปอร์เฮฟวี่เวทเรียกพ่อ เจอกร๋องแกร๋งเรียกพี่อย่างมวยรากหญ้า มันจะไปมีอะไรเหลือริจะชกข้ามรุ่นไปเจอมวยใหญ่ มันก็ต้องมีลีลาหน่อย ต้องอาศัยลูกเขี้ยว แย๊ปรบกวนไปเรื่อยๆ เข้าเร็วออกเร็ว ไม่แลกไม่ชน เดี๋ยวมันก็ยุบไปเองเย็นสยบร้อน อ่อนสยบแข็ง ยิ่งมันเร่งเกมส์เร็ว เรายิ่งต้องยื้อเกมส์ช้า อย่าไปบ้าตามมันเป็นอันขาดแต่อย่างว่า การรบยืดเยื้อกำลังใจมันต้องเกินร้อย ไม่เช่นนั้นอาจจะถอดใจได้ง่ายๆเหมือนกัน กระบวนการเติมเต็มกำลังใจ จึงต้องมีไว้อย่าให้พร่อง ไม่ว่าจะโดนเข้าไปเท่าไหร่ ก็ห้ามยอมแพ้เป็นอันขาด

นึกเสียว่า ตราบใดที่ใจยังสู้อยู่ ตราบนั้นก็ยังสะกดคำว่าแพ้ไม่เป็นสื่ออำมาตย์จะโจมตียังไงก็ไม่ต้อง ไปไหวหวั่น เพราะนั่นจะยิ่งตอกย้ำให้ชาวบ้านเขาเกลียดชังพวกมันยิ่งขึ้น ก็ขนาดศึกใหญ่อย่างสงกรานต์ทมิฬ มันโหมฟืนเติมไฟซะขนาดนั้น ขณะที่ใครๆก็แทงเต็งว่าแดงแพ้แน่นอน แต่เรื่องจริงกลับกลายเป็นหนังคนละม้วนยิ่งสื่อโหมโจมตีเท่าไหร่ ก็ยิ่งไปกระตุ้นต่อมสนใจชาวบ้าน ให้หันมาดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ยิ่งไปใส่ไคล้มั่วซั่ว คนเขาก็ยิ่งเอะใจ ว่าอะไรมันจะขนาดนั้น พอดีพอร้ายเลยกลายเป็นไปยั่ว ให้ชาวบ้านที่รักความยุติธรรม

ออกมาสืบสาวราวเรื่องค้นหาความจริงยิ่งขุดลึกก็ยิ่งเจอความเลวของอำมาตย์เยอะแยะ นั่นแหละคือสาเหตุ ที่ทำไมเสื้อแดงถึงได้เพิ่มเอาๆ จนแล้วจนรอด ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเอาไว้อยู่ที่สำคัญคือ แดงแล้วแดงเลย ลงว่าถ้าได้แดงซะแล้ว ต่อให้เอาช้างมาฉุด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนสีได้ ลงว่าถ้าประชาชนมีหัวใจสีแดงซะแล้ว ต่อให้สื่อโจมตียังไงก็ไม่สะเทือน เหมือนเอาหัวชนกำแพง มีแต่จะหัวแตกละไม่ว่าดังนั้น วิธีการที่ดีที่สุดในการสู้กับอำมาตย์ ก็คือการแทรกซึมเข้าหามวลชนให้ถึงรากหญ้า สู้การล้างสมอง ด้วยการเอาความจริงไปขาย ความจริงก็คือความจริง จะพูดร้อยครั้งพันครั้ง มันก็เป็นความจริงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลงความเท็จของอำมาตย์ ยังไงก็ต้องแพ้ความจริงของประชาชนอยู่วันยันค่ำ ปากต่อปากแดงต่อแดงขยายออกไปเรื่อยๆ นานวันเข้าสีแดงจะแดงเถือกไปทั่วแผ่นดิน และที่สำคัญคือ จะเป็นแดงที่ไม่มีวันซีดจาง เพราะว่า...ไม่ใช่ทั้งแดงแท้แดงเทียม..แต่เป็นแดงธรรมชาติ

บทความ:วโรทาห์: 20 ก.ค.52

จุดตายของสนธิ ลิ้มทองกุล

ที่มา ประชาชาติธุรกิจ: ชื่อบทความเดิมคือ เบื้องหลัง ′โกตั๊บ′ กับคดีปลอมแปลงเอกสาร กู้เงินแบงก์กรุงไทยพันล้าน !!เบื้องหลังเอ็มกรุ๊ปของ"สนธิ ลิ้มทองกุล"กู้เงินจากแบงก์กรุงไทย ถูกก.ล.ต.ฟ้องร่วมกันปลอมเอกสารในการทำสัญญาร่วมค้ำประกันการกู้พันล้าน ศาลนัดสืบจำเลยเป็นวันที่ 12 ต.ค.5213 ปีที่แล้ว บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอนจิเนียริง จำกัด(มหาชน) หรือไออีซี ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะ เอ็มกรุ๊ป จำกัด บริษัทมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร จะว่าไป เอ็มกรุ๊ป ก็คือ บริษัทแม่ของไออีซี นั่นเอง ครั้งนั้น เอ็มกรุ๊ปของนายสนธิ กู้เงินจากธนาคารกรุงไทย 1,198 ล้านบาท เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2539 แต่ทางไออีซีไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวให้แก่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ฯนายชัยอนันต์ สมุทวณิช ประธานกรรมการไออีซีในช่วงที่มีการค้ำประกันเงินกู้ออกมาปฏิเสธว่า คณะกรรมการไออีซีไม่เคยอนุมัติให้ค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะ เอ็มกรุ๊ป แต่ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของไออีซีปลอมมติคณะกรรมการต่อมา นายสุรเดช มุขยางกูร กรรมการผู้อำนวยการไออีซี ได้ยอมรับกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ว่า ไออีซีค้ำประกันเงินกู้ให้เดอะ เอ็มกรุ๊ปจริง เดือน ธันวาคม ปี 2542 สำนักงาน ก.ล.ต.ได้กล่าวโทษนายสุรเดช ต่อพนักงานสอบสวนโดยกล่าวหาว่า ปลอมหรือยินยอมให้มีการปลอมสำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทไออีซีเพื่อลวงให้ธนาคารกรุงไทยหลงเชื่อว่า คณะกรรมการบริษัทไออีซีมีมติให้ทำสัญญาค้ำประกันเงินกู้ในนามบริษัท ไออีซี เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 312 ระหว่างโทษจำคุก 5-10 ปี และยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานปลอมแปลงเอกสารด้วยสำนักงาน ก.ล.ต. ในยุคที่ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นเลขาธิการ กลต. ตรวจสอบข้อมูลกรณีดังกล่าวเพิ่มเติม จนกลางเดือนตุลาคม 2543 จึงได้กล่าวโทษ นายสนธิ นายสุรเดช นางสาวเสาวลักษณ์ และนางสาวยุพิน อดีตกรรมการบริษัท ร่วมกันปลอมเอกสารในการทำสัญญาร่วมค้ำประกันการกู้จำนวน 1,073 ล้านบาทให้แก่บริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ปจากธนาคารกรุงไทยโดยคณะกรรมการบริษัทแมเนเจอร์ มิได้รับทราบและมิได้มีการเปิดเผยข้อมูลในงบการเงินของบริษัทแมเนอร์เจอร์ฯการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์มาตรา 307, 311 312 ซึ่งแต่ละกระทง ระวางโทษจำคุก 5-10 ปีและยังมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 และ 268 หลังสำนักงาน ก.ล.ต.กล่าวโทษ ในครั้งนั้นแล้ว เรื่องราวของนายสนธิและบริษัท เดอะเอ็มกรุ๊ปในคดีนี้ก็เงียบหายไป แต่จริง ๆ คดีนี้ค้างอยู่ในศาลอาญา เกือบ 10 ปี โดยคดีนี้ พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสุรเดช มุขยางกูร น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ และ น.ส.ยุพิน จันทนา อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดียกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากนายสนธิ กับพวกซึ่งเป็นกรรมการบริษัท ร่วมกันลงข้อความเท็จในเอกสารของบริษัทแมเนเจอร์ ฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2539-30 เมษายน 2540ล่าสุด ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลนัดสืบจำเลย แต่ทนายจำเลย ขอเลื่อนนัด โดยอ้างว่า นายสนธิอยู่ระหว่างพักรักษาอาการบาดเจ็บจากการผ่าตัดบาดแผลถูกลอบยิงที่ศีรษะ ศาลสั่งเลื่อนคดี เป็นวันที่ 12 ตุลาคม 2552คดีนี้ เดินไปได้อย่างล่าช้า ผ่านห้วงเวลาที่พลิกผันมาหลายครั้ง จากยุคที่นายสนธิ หรือ โกตั๊บ เชียร์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา จนมาถึงวันที่ความสัมพันธ์ระหว่าง โกตั๊บ กับ ทักษิณ ขาดสะบั้น กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต จากวันที่ โกตั๊บ เคยเป็นลูกค้าชั้นดีของ ธนาคารกรุงไทย โดยมี วิโรจน์ นวลแข เป็นเพื่อนรักของ โกตั๊บ ภายในปีนี้ หากสืบพยานฝ่ายจำเลยเสร็จสิ้นลง ศาลอาญาอาจ(จะ)มีคำพิพากษาลงมา ข่าวดี หรือ ข่าวร้าย ยังต้องรอลุ้นกันต่อไปแต่ที่แน่ๆ ใครหลาย ๆคน บอกว่า พฤติกรรมของ นายห้างทักษิณ กับ โกตั๊บ ละม้ายคล้ายกันยิ่งนัก กุนซือใหญ่ ผู้เคยทำงานให้ทั้งสนธิ และ ทักษิณ กล่าวว่า พวกเขาอาจเคยทำกรรมร่วมกันมาในชาติก่อน ทำให้ต้องมาตามล้างกันในชาตินี้กุนซือใหญ่ ผู้หนึ่ง กล่าวว่า "สนธิ เป็นคนศึกษาประวัติศาสตร์ มองเกมมองคนทะลุปรุโปร่ง ส่วนทักษิณ เป็นคนฉลาด แต่พังเพราะบริวารเป็นพิษ" ถ้า ทักษิณ มีคนเสื้อแดง และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นผนังทองแดง สนธิ ก็มี พวกเสื้อเหลือง และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็น กำแพงเหล็กถ้า ทักษิณ ใช้สโลแกน คิดใหม่ ทำใหม่ สนธิ ก็ใช้ การเมืองใหม่ เป็นธงนำความคิดถ้า ทักษิณ มีมูลนิธิไทยคม เสริมภาพลักษณ์เชิงบวก สนธิ ก็มี มูลนิธิ ไชย้ง ลิ้มทองกุล เป็นมูลนิธิเพื่อสังคม ซึ่ง 2 มูลนิธิ ก่อตั้งขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันถ้า ทักษิณ มีทนายคู่บุญคือ ชานนท์ สุวสิน สนธิ ก็มีทนายคู่ใจชื่อ สุวัตร อภัยภักดิ์ ถ้า ทักษิณ เป็นตัวแทนของระบอบประชาธิปไตยที่เน้นย้ำว่า "ผมมาจากการเลือกตั้ง" สนธิ คือผู้ประกาศตัว พิทักษ์สถาบันกษัตริย์ ต่อต้านระบบประธานาธิบดี ถ้า ทักษิณ เคยเฉียดล้มละลาย สนธิ ก็ผ่านการล้มละลายมาแล้ว ถ้า ทักษิณ ต้องคำพิพากษาจำคุก คดีที่ดินรัชดาฯ สนธิ ก็กำลังลุ้นระทึกกับคดีหลายสิบเรื่องในศาลถ้า ทักษิณ มี ชินแซทเทลไลท์ สนธิ ก็เกือบมี ลาวสตาร์ ไว้เชยชม ถ้า ทักษิณ มีพันศักดิ์ วิญญรัตน์ เป็นที่ปรึกษาทางความคิดและไอเดียหลุดโลก สนธิ ก็มี ชัยอนันต์ สมุทวณิช เป็นนักวิชาการผู้ขี่กระแสโลกาภิวัตน์เป็นคู่บารมี ถ้า ทักษิณ เคยถูกลอบสังหารมาแล้ว 3 ครั้ง สนธิ ก็โดนมาแล้ว มากกว่า 3 ถ้า ทักษิณ ใช้บริการนอมินี ไม่ว่าจะเป็น ลูกสาวและลูกชายของตนเอง รวมถึงแก๊งค์คนรับใช้ เช่น นางสาวบุญชู เหรียญประดับ นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี นายวิชัย ช่างเหล็ก ถือหุ้นมูลค่าหลายหมื่นล้าน แทนตัวเอง หรือ ที่เรียกว่า นอมินี สนธิ ก็เรียนรู้วิธีการนี้มาอย่างดี และถ้าทักษิณมี ปมเรื่อง ชินคอร์ป เป็นจุดตาย บางที สนธิ อาจต้องลุ้นกับคดี ไออีซี จนนอนไม่หลับ !!!

นายฯสั่ง กทช.จับตาโฟนอิน แม้ว ผ่าน วิทยุชุมชน

ที่มา MCOT News
รัฐสภา 19 ก.ค. - นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงปลุกระดมต่อต้านการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ว่า การลงพื้นที่ของรัฐมนตรีทุกคนไม่มีลักษณะการยั่วยุหรือสร้างความขัดแย้ง แต่เป็นการลงไปติดตามการทำงาน และขณะนี้รัฐมนตรีทุกคนยังเดินหน้าลงพื้นที่และยังสามารถทำงานได้ ส่วนตัวแล้วจะลงพื้นที่ทุกภาค เพื่อไปพบปะกับประชาชน ซึ่งจังหวัดที่มีการนัดหมายไปแล้ว มีทั้งจังหวัดสงขลา สุโขทัย อุบลราชธานี และจังหวัดเชียงใหม่
ส่วนการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผ่านรายการวิทยุชุมชนนั้น หากพบว่าเข้าข่ายปลุกระดมก็จะประสานให้ทางคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) และหน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าไปสอดส่องดูแล และจะย้ำเรื่องนี้ไปยัง กทช. อีกครั้ง แต่การดำเนินการดังกล่าวต้องใช้ความระมัดระวัง มิเช่นนั้นจะถูกกล่าวหาว่า รัฐบาลปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชน ส่วนการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็เป็นสิทธิ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย หากฝ่าฝืนตำรวจก็ต้องเข้าไปควบคุมดูแล.

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Thai E-News: อุบลเครียดเสื้อแดงฮือล้อม(ไม่)ต้อนรับจ้อน

Thai E-News: อุบลเครียดเสื้อแดงฮือล้อม(ไม่)ต้อนรับจ้อน

กรณีศึกษา ชาตินิยมและเขาพระวิหาร

กรณีศึกษา ชาตินิยมและเขาพระวิหาร

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : "ปราสาทเขาพระวิหาร" กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม พิมพ์บทความนี้
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง
ท่าพระจันทร์ จังหวัดพระนคร สยามประเทศ(ไทย)
20 มิถุนายน 2551

เรื่อง ‘ปราสาทเขาพระวิหาร-กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม’

ถึง นักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกัลยาณมิตร

จาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ

สืบเนื่องจากการที่ประเด็นเรื่องของ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองในการโค่นล้มรัฐบาลของ นรม. สมัคร สุนทรเวช และ ‘ระบอบทักษิณ’ เป็นปัญหาของการเมืองภายในของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชา ด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญและมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจที่มาและที่ไป ของเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางประวัติศาสตร์ และทางรัฐศาสตร์การเมือง ดังนั้น จึงขอบรรยายตามลำดับ ดังต่อไปนี้
(1)
‘ปราสาท เขาพระวิหาร’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประวัติศาสตร์แผลเก่า’ ระหว่าง ‘ชาติไทย’ กับ ‘ชาติ กัมพูชา’ ระหว่าง ‘ลัทธิชาตินิยมไทย’ และ ‘ลัทธิชาตินิยมกัมพูชา’ แม้จะเกิดมานานเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นบาดแผลที่ไม่หายสนิท จะปะทุพุพองขึ้นมาอีก และถูกนำมาใช้ทางการเมื่อไรก็ได้ ในด้านของสยามประเทศ(ไทย) ‘ปราสาท เขาพระวิหาร’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘การเมือง’ และ ‘ลัทธิชาตินิยม’ ในสกุลของ ‘อำมาตยาเสนาธิปไตย’ ที่ถูกปลุกระดมและเคยเฟื่องฟูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และถูกตอกย้ำสมัย ‘สงครามเย็น’ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (และก็ถูกสืบทอดโดยจอมพลถนอม กิตติขจร และบรรดานายพลและอำมาตยาธิปไตยรุ่นต่อๆมา)
(2)
‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ‘บรรพชนของขะแมร์กัมพูชา (ขอม) แต่ โบราณ’ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง ‘ปราสาท’ ด้วยหินทรายและศิลาแลง ต่างกับชนชาติไทย ลาว มอญ พม่าที่สร้าง ‘ปราสาท’ ด้วยอิฐและไม้ ความสามารถและความยิ่งใหญ่ของขะแมร์กัมพูชา เทียบได้กับชมพูทวีป กรีก และอียิปต์ สุดยอดของขะแมร์กัมพูชา คือ Angkor หรือ ‘ศรียโสธรปุระ-นครวัด-นครธม’
ขะแมร์กัมพูชา ก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ ‘ยโสวรมันที่ 1’ ถึง ‘สุริยวรมันที่ 1’ เรื่อยมาจน ‘ชัยวรมันที่ 5-6’ จนกระทั่งท้ายสุด ‘สุริยวรมันที่ 2’ และ ‘ชัยวรมันที่ 7’ จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง)
‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ ‘ศรีศิขเรศร’ เป็น ‘เพชรยอดมงกุฎ’ ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก (‘พนมดงแร็ก’ ในภาษาขะแมร์ แปลว่าภูเขาไม้คาน ซึ่งสูงจากพื้นดินกว่า 500 เมตร และเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 600 เมตร ปัจจุบันตั้งอยุ่ใน (เขต) จังหวัด ‘เปรียะวิเฮียร’ (Preah Vihear) ของกัมพูชา
(3)
‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ น่าจะถูกทิ้งปล่อยให้ร้างไปเมื่อหลังปี พ.ศ. 1974 (ค.ศ. 1431) คือภายหลังที่กรุงศรียโสธรปุระ (นครวัดนครธม) ของกัมพูชา ‘เสียกรุง’ ให้แก่กองทัพของกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยของพระเจ้าสามพระยา) ขะแมร์ กัมพูชาต้องหนีย้ายเมืองหลวงไปอยู่ละแวก อุดงมีชัย และพนมเปญ ตามลำดับ และ ‘หนีเสือไปปะจระเข้’ คือเวียดนามที่ขยายรุกเข้ามาทางใต้ปากแม่น้ำโขง
แต่ประวัติศาสตร์โบราณเรื่องนี้ ไม่ปรากฏมีในตำราประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาฯ ของไทย (หรือของเวียดนาม) ดังนั้นคนในสยามประเทศ(ไทย) ส่วนใหญ่จึงรับรู้แต่เพียงเรื่องการ ‘เสียกรุงศรีอยุธยา’ แก่พม่า (พ.ศ. 2112 และ 2310) แต่ไม่รู้เรื่องของ ‘เสียกรุงศรียโสธรปุระ’ (พ.ศ. 1974) ของกัมพูชา
ทั้งกัมพูชาและสยามประเทศ(ไทย) คงลืมและทิ้งร้าง ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ไปประมาณเกือบ 500 ปี จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาล่าเมืองขึ้นในอุษาคเนย์ ได้ทั้งเวียดนาม ทั้งลาว และกัมพูชา ไปเป็น ‘อาณานิคม’ ของตน และก็พยามยามเขมือบดินแดนของ ‘สยาม’ สมัย ร.ศ. 112 ถึงขนาดใข้กำลังทหารเข้ายึดเมืองจันทบุรี เมืองตราด และเมืองด่านซ้าย (ในจังหวัดเลย) ไว้เป็นเครื่องต่อรองอยู่ 10 กว่าปี
(4)
จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ที่พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จยุโรปเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งที่ทรงแต่งเรื่อง ‘ไกลบ้าน’) จึงได้ทรงลงนามสัตยาบันในสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศส แลกเปลี่ยนยกดินแดนเสียมเรียบ (อันเป็นที่ตั้งของนครวัดนครธมหรือกรุงศรียโสธรปุระ) กับพระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส ทั้งนี้โดยการแลก ‘จันทบุรี ตราด และด่านซ้าย (เลย)’ กลับคืนมา (ครบรอบ 101 ปีในปี 2551 นี้)
เมื่อ ถึงตอนนี้นั่นแหละที่เส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศเรา มีพรมแดนและเส้นเขตแดนติดกัมพูชาและลาวอย่างที่เรารับรู้กันในปัจจุบัน และตัวปราสาทเขาพระวิหาร ก็ถูกขีดเส้นแดนให้ตกเป็นของฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราช จึงอ้างสิทธิในการครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร
กล่าวโดยย่อในสมัยของรัชกาลที่ 5 ที่ มีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นเสนาบดีมหาดไทยนั้น ฝ่าย ‘รัฐบาลราชาธิปไตยสยาม’ ได้ยอมรับเส้นเขตแดนที่ถือว่าปราสาทเขาพระวิหาร ขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะได้อยู่ร่วม กันโดยสันติ และที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อเป็นหลักประกันในการรักษา ‘เอกราชและอธิปไตย’ ส่วนใหญ่ของสยามประเทศเอาไว้
และดังนั้น เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง ‘อภิรัฐมนตรี’ ในสมัยรัฐบาลของรัชกาลที่ 7 เมื่อ ครั้งเสด็จไปทอดพระเนตรทั้งปราสาทเขาพนมรุ้ง และปราสาทเขาพระวิหาร จึงทรงขออนุญาตฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ที่จะขึ้นไปทอดพระเนตร ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ที่อยู่ภายใต้ธงไตรรงค์ของฝรั่งเศส (และนี่ ก็คือหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ ม.จ. วงษ์ มหิป ชยางกูร ทนายและผู้แทนของฝ่ายรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่อ่อนแอข้อมูลและหลักฐานจดหมายเหตุ ต้องแพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อ 15 มิถุนายน 2505)
(5)
กาลเวลาล่วงไปจนถึงสมัยสิ้นสุดระบอบ ‘ราชาธิปไตย’ ภายหลังการปฏิวัติ 2475 เรื่องของ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นประเด็นครุกรุ่นทางการเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง (ก่อนครั้งที่ 3 ของการ ‘โค่นรัฐบาลสมัคร’ ในสมัยนี้) คือครั้งแรก สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ปีกขวาของคณะราษฎร) และครั้งที่สอง สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยุคสงครามเย็น (ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และต่อต้านนโยบายเป็นกลางของกัมพูชาสมัยพระเจ้านโรดม สีหนุ)
ในครั้งแรก สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475 ซึ่ง เมื่อ ‘คณะราษฎร’ ยึดอำนาจได้แล้วแม้จะโดยปราศจากความรุนแรงและนองเลือดในปีแรกก็ตาม แต่ก็ประสบปัญหาในการบริหารปกครองประเทศอย่างมาก เพราะเพียง 1 ปีต่อมาก็เกิด ‘กบฏบวรเดช’ พ.ศ. 2476 (ที่นำด้วยพระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกลาโหมของรัชกาลที่ 7 และพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ ผู้เป็นตาของพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์) เกิดการนองเลือดเป็น ‘สงครามกลางเมือง’ และส่งผลให้รัชกาลที่ 7 ถึงกับสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 และประทับอยู่ที่อังกฤษจนสิ้นพระชนม์
ในท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองนั้น รัฐบาลพิบูลสงคราม หันไปพึ่ง ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ ปลุกระดมวาทกรรม ‘การเสียดินแดน 13 ครั้ง’ ให้เกิดความ ‘รักชาติ’ ด้วยมาตรการต่างๆ เช่น

- 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลเปลี่ยนนามประเทศจาก ‘สยาม’ เป็น ‘ไทย’

- Siam เป็น Thailand

- (แล้วเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรให้เป็น ‘ไทยๆ’ ซึ่งรวมทั้ง

- พระไทยเทวาธิราช -ธนาคารไทยพาณิชย์ -ปูนซิเมนต์ไทย)

รัฐบาลปลุกระดมเรียกร้องดินแดนจากฝรั่งเศส (คือดินแดนที่ได้ตกลงแลกเปลี่ยนกันไปแล้วในสมัยรัชกาลที่
5) ในเดือนตุลาคม 2483 ผลักดันให้นิสิตนักศึกษาทั้งจุฬาฯ และ มธก. เดินขบวนเรียกร้องดินแดน ‘มณฑลบูรพา’ และ ‘ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง’
จน ในที่สุดก็เกิดสงครามชายแดน รัฐบาลส่ง ‘กองกำลังบูรพา’ ไปรบกับฝรั่งเศส ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่น ‘มหามิตรใหม่’ เข้ามาไกล่เกลี่ยบีบให้ฝรั่งเศส (ซึ่งตอนนั้นเมืองแม่หรือปารีสในยุโรปอ่อนเปลี้ยถูกเยอรมนียึดครองไปเรียบร้อยแล้ว) จำต้องยอมยกดินแดนให้ ‘ไทย’ สมัยพิบูลสงคราม (ทำให้นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม กระโดดข้ามยศพลโท-พลเอก กลายเป็นจอมพลคนแรกในยุคหลัง 2475)
และนี่ก็เป็นที่มาที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดินแดนทั้งเสียมเรียบ (ที่ถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า จังหวัดพิบูลสงคราม) พระตะบอง ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ (ซึ่งรวมทั้งที่อยู่ในลาว และอยู่ในบริเวณพนมดงรัก เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และเมืองจอมกระสาน) ตลอดจนถึงไซยะบูลี (จังหวัดนี้อยู่ตรงข้ามหลวงพระบาง และถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ คือ จังหวัดลานช้าง คำว่า ‘ลาน’ ในสมัยนั้นยังไม่มีไม้โท)
และ ก็ในตอนนี้นั่นแหละที่ทั้งปราสาทและเขาพระวิหาร กลับมาสู่ความสนใจและความรับรู้ของคนไทย รัฐบาลพิบูลสงคราม ดำเนินการให้กรมศิลปากร (ซึ่งในสมัยหลังการปฏิวัติ 2475 ได้หลวงวิจิตรวาทการ นักอำมาตยาเสนาชาตินิยม มือขวาของจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นอธิบดี หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) ทั้งพูด ทั้งเขียน ทั้งแต่งเพลงแต่งละคร ปลุกใจให้รักชาติ) ได้จัดการขึ้นทะเบียนให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานของไทย โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2483 (เราไม่ทราบได้ว่าในตอนนั้น ฝรั่งเศสในอินโดจีนจะทราบเรื่องนี้ หรือประท้วงเรื่องนี้หรือไม่)
ในสมัยดังกล่าวนี้แหละ ที่รัฐบาลพิบูลสงคราม ชี้แจงต่อประชาชนว่า ‘ได้ปราสาทเขาพระวิหาร’ มา ดังหลักฐานในหนังสือ ‘ประเทศไทยเรื่องการได้ดินแดนคืน’ ของกองโฆษณาการงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484 สมัยนั้น มีรูปปราสาทเขาพระวิหารพิมพ์อยู่ด้วย พร้อมด้วยคำอธิบายภาพว่า ‘ปราสาท หินเขาพระวิหาร ซึ่งไทยได้คืนมาคราวปรับปรุงเส้นเขตแดนด้านอินโดจีนฝรั่งเศส และทางการกำลังจัดการบูรณะให้สง่างามสมกับที่เป็นโบราณสถานสำคัญ’
(6)
สงครามโลกครั้งที่ 2 จบ ลงด้วย ‘มหามิตรญี่ปุ่น’ ปราชัยอย่างย่อยยับ รัฐบาลพิบูลสงครามก็ล้ม ซึ่งก็หมายถึงว่า ‘ไทย’ จะต้องถูกปรับเป็นประเทศแพ้สงครามด้วย ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษที่เสียทั้งดินแดนและผลประโยชน์ให้กับไทย ก็ต้องการ ‘ปรับ’ และเอาคืน
โชคดีของสยามประเทศ(ไทย) (ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อในภาษาอังกฤษกลับเป็น Siam ได้ชั่วคราว) ที่ มีทั้งมหาอำนาจใหม่ คือ สหรัฐฯ สนับสนุน และมีทั้ง ‘ขบวนการเสรีไทย’ ภายใต้การนำของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ที่กู้สถานการณ์เจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร ให้การประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น กลายเป็นโมฆะหรือ ‘เจ๊า’ กับ ‘เสมอตัว’ ไม่ต้องถูกปรับมากมายหรือถูกยึดเป็นเมืองขึ้นอย่างญี่ปุ่นหรือเยอรมนี
แต่รัฐบาลใหม่ของไทยที่เป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (ค่ายปรีดี พนมยงค์) ก็ ต้องคืนดินแดนที่ไปยึดครองมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสที่กล่าวข้างต้น แต่ยังรวมถึงเมืองขึ้นของอังกฤษที่รัฐบาลพิบูลสงครามยึดครองและรับมอบมา เช่น เมืองเชียงตุง เมืองพานในพม่า หรือ 4 รัฐมลายู (ที่เคยถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ อย่างสวยหรูชั่วคราวว่า ‘สัฐมาลัย’ คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส และเคดะห์)
แต่ ก็ในตอนนี้อีกนั่นแหละที่ระเบิดเวลา ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ถูกวางไว้อย่างเงียบๆ กล่าวคือ ตัวปราสาทหาได้ถูกคืนไปไม่ และต่อมารัฐบาลอำมาตยาเสนาธิปไตยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งคืนชีพมาด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของพลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วยช่วยกันจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายควง อภัยวงศ์) ได้ส่งกองทหารไทยให้กลับขึ้นไปตั้งมั่นและชักธงไตรรงค์อยุ่บนนั้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 (1954)
กล่าว ได้ว่า ความห่างไกลและความกันดารของทั้งตัวภูเขาและตัวปราสาทในสมัยนั้น และเพราะการที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ต้องพะวงกับสู้รบปราบปรามขบวนการกู้ชาติของเวียดนาม กัมพูชา และลาว ก็ไม่ทำให้เรื่องของปราสาทเขาพระวิหารเป็นข่าว หรืออยู่ในความรับรู้ของผู้คนโดยทั่วๆไป
(7)
ระเบิดเวลาลูกนี้ระเบิดขึ้น เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 (1953) อีก 6 ปี ต่อมา พระเจ้านโรดมสีหนุซึ่งทรงเป็นทั้ง ‘กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช’ และ ‘นักราชาชาตินิยม’ ของกัมพูชา ก็ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 (1959)
รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ที่ทำปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม) แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นทนายสู้ความ รัฐบาลสฤษดิ์ ปลุกระดมให้ประชาชน ‘รักชาติ’ บริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อสู้คดี (เข้าใจว่าเมื่อจบคดีอาจจะมีเงินหลงเหลืออยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดประมาณ 3 ล้านบาท ค่าของเงินในสมัยนั้น เทียบได้กับก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ท่าพระจันทร์ตอนนั้น ชามละ 3 บาท (ตอนนี้ 30 บาท) ตอนนั้นทองคำหนัก 1 บาทราคาเท่ากับ 500 บาท (ตอนนี้ 1.4 หมื่นบาท)
ศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 3 ปี และลงมติเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 (1962) ตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ตกเป็นของกัมพูชา และให้รัฐบาลไทยถอนทหาร ตำรวจ ยามและเจ้าหน้าที่ออกนอกบริเวณ ศาลโลกครั้งนั้นประกอบด้วยผู้พิพากษา 12 นาย จาก 12 ประเทศ 9 ประเทศที่ออกเสียงให้กัมพูชาชนะคดี คือ โปแลนด์ ปานามา ฝรั่งเศส สหสาธารณรัฐอาหรับ อังกฤษ สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น เปรู และอิตาลี
ส่วนอีก 3 ประเทศ ที่ออกเสียงให้ไทย คือ อาร์เจนตินา จีน ออสเตรเลีย น่าสังเกตว่าอาร์เจนตินา คือ ประเทศที่พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ถูกเกมคณะปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ส่งไปเป็นทูต (ลี้ภัยการเมือง) และ มีส่วนวิ่งเต้นให้อาร์เจนตินาออกเสียงให้ฝ่ายไทย ส่วนจีนนั้น คือ จีนคณะชาติ หรือไต้หวันของนายพลเจียงไคเช็ค หาใช่จีนแผ่นดินใหญ่ของเหมาเจ๋อตุงไม่ ดังนั้น ก็ต้องออกเสียงอยู่ในฝ่ายค่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์สมัยสงครามเย็น
ว่า ไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่น เอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอินโดจีนของ ฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ หรือทางขึ้นไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และ สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ ‘กฎหมายปิดปาก’ ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง (โปรดดูสรุปย่อคำพิพากษาของศาลโลกเป็นภาษาอังกฤษได้จาก http://www.icj-cij.org/docket/files/45/12821.pdf
(8)
กล่าวโดยย่อ ปราสาทเขาพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาทั้งจากทางด้านประวัติศาสตร์ ทางด้านนิติศาสตร์ ข้ออ้างของฝ่ายไทยเราทางด้านภูมิศาสตร์ คือ ทางขึ้นหรือสันปันน้ำ นั้นหาได้รับการรับรองจากศาลโลกไม่ แต่คดีปราสาทเขาพระวิหาร ก็มีผลกระทบอย่างประเมินมิได้ต่อจิตวิทยาของคนไทย ที่ถูกปลุกระดมด้วยวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’
ขอกล่าวขยายความไว้ตรงนี้ว่าวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’
ถูก สร้างและ ‘ถูกผลิตซ้ำ’ มายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เริ่มด้วยกระบวนการสร้างจิตสำนึกใหม่ว่าเขาและปราสาทพระวิหารเป็น ‘ของไทย’ หรือขยายความการตีความประวัติศาสตร์ ให้ไทยมีความชอบธรรมในการครอบครองเขาพระวิหารยิ่งขึ้น มีการเสนอความคิดว่า ‘ขอมไม่ใช่เขมร’ ดังนั้น เมื่อ ‘ขอม’ มิได้เป็นบรรพบุรุษของเขมรหรือขะแมร์กัมพูชา ประเทศนั้นก็ไม่ควรมีสิทธิจะครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร
วิธีการตีความประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดจิตสำนึกว่าเป็น ‘ของไทย’ แบบนี้ จะพบในงานเขียนมากมายของยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานของ ปรีดา ศรีชลาลัย, น. ณ ปากน้ำ, พลูหลวง รวม ทั้งของบุคคลสำคัญที่มีงานเขียนเชิงโฆษณาชวนเชื่อ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ เช่น ‘นายหนหวย’ เป็นต้น และยังถูกถ่ายทอดต่อมาในวงการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณคดีของหลายสถาบัน รวมทั้งปรากฏอยู่เป็นประจำในงานสื่อสารมวลชน นสพ. รายวัน รายการวิทยุและทีวีโดยทั่วๆไปอีกด้วย
(9)

สรุป
เราจะเห็นได้ว่าวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’ นั้นถูกสร้าง ถูกปลุกระดม ถูกผลิตซ้ำมาเป็นระยะเวลา 3-4 ชั่วอายุคน ฝังรากลึกมาก ดังนั้นประเด็นนี้จึงกลายเป็น ‘ร้อนแรง-ดุเดือด-เลือดพล่าน’ จุดปุ๊บติดปั๊บขึ้นมาทันที ‘5 พันธมิตรฯ’ ดูจะได้อาวุธใหม่และพรรคพวกเพิ่มในอันที่จะรุกรบให้แพ้ชนะกันให้เด็ดขาด นำเอาเวอร์ชั่นของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ มาคลุกผสมกับ ‘ ‘ราชาชาตินิยม’ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลสมัคร (ที่เป็นนอมินีทั้งของทักษิณ และเป็นนอมินีของอีกหลายๆฝ่ายหลายๆสถาบัน ที่เรามักจะคิดไม่ถึงหรือมองข้ามไป) ก็ดูจะขาดความสุขุมรอบคอบและความละเอียดอ่อนทางการทูตในการบริหารจัดการกับปัญหากรณีเกี่ยวกับเรื่องปราสาทและเขาพระวิหาร
ดังนั้น ในเมื่อเขาพระวิหารได้ถูกทำให้กลายเป็นการเมืองร้อนแรงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล คำถามของเราในที่นี้ คือ
ในแง่ของการเมืองภายใน

-รัฐบาลสมัครจะล้มหรือไม่

-รัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่

-พันธมิตรจะรุกต่อหรือต้องถอย

-จะเกิดการนองเลือดหรือไม่

-ทหารจะปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอีกหรือไม่

หรือจะ ‘เกี้ยเซี้ย’ รักสามัคคี สมานฉันท์ แตกต่าง หลากสีกันได้ ไม่มีเพียงแค่สีเหลือง กับสีแดง

คนไทยได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งที่วิปโยคและปลื้มปิติกันมาแล้วเป็นเวลากว่า 70 ปี

ทั้งการปฏิวัติ 2475

ทั้งกบฏบวรเดช 2476

ทั้งรัฐประหาร 2490

ทั้งปฏิวัติ 2500-2501

ทั้งการลุกฮือ 14 ตุลาคม 2516

ทั้งการรัฐประหารนองเลือด 6 ตุลาคม 2519

ทั้งพฤษภาเลือด (ไม่ใช่ทมิฬ) 2535

และท้ายสุดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ประสบการณ์และเหตุการณ์ดังกล่าวพอจะเป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียนได้หรือไม่

หรือจะต้องรอให้สึนามิทางการเมืองถล่มทับสยามประเทศ(ไทย)ของเราให้ย่อยยับลงไป

ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ

เรื่องของเขาและปราสาทพระวิหาร

จะบานปลายไปเป็นการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่

รุนแรงจนขั้นแบบเผาสถานทูตหรือไม่

จะมีการปิดการค้าชายแดนหรือไม่

จะกลายเป็นประเด็นสาดโคลนการเมืองภายในของกัมพูชา

(ที่จะมีการเลือกตั้ง 27 กรกฏานี้) หรือไม่

หรือว่า

ทั้งไทยกับกัมพูชา จะตระหนักว่าต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ

ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนยาว 800 กม. เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน

จะตกลงเสนอทั้งปราสาทและทั้งเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกร่วมกัน

บริหารจัดการและ (เอี่ยว) แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

ทั้ง นี้ทั้งนั้นเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อคนไทย คนกัมพูชา คนลาว คนกูย คนขะแมร์อีสานใต้ คนกำหมุ คนแต้จิ๋ว คนไหหลำ คนฮกเกี้ยน คนกวางตุ้ง คนปาทาน ฯลฯ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นประชากรอันหลากหลายของรัฐชาติบนผืนแผ่นดินใหญ่อุษาคเน ย์นี้

คำตอบไม่น่าจะอยู่ในสายลม มิใช่หรือ
…..

ที่มา

‘ปราสาทเขาพระวิหาร- กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม’(www.charnvitkasetsiri.com - 20 มิถุนายน 2551

เพลงเพื่อชีวิต วิบัตร

เพลงเพื่อชีวิต วิบัตร
จดหมายถึงศิลปินเพื่อชีวิต: จงหยัดยืนเพื่อเผด็จการ? พิมพ์บทความนี้

สมสุริยะ ทองสุกใส

สวัสดีพี่หงา พี่หว่อง พี่วงซูซู พี่จิระนันท์ พี่เนาวรัตน์ พี่คมทวน พี่วสันต์ ลุงอังคารและพี่ๆ วงดนตรีเพื่อชีวิต

ผม เป็นคนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากบทเพลงเพื่อชีวิต กวีเพื่อชีวิตของพวกพี่ๆ ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป จากการใช้ชีวิตวัยรุ่น สำมะเลเทเมา ไร้สาระไปวันๆ และผมคิดว่าเพื่อนๆผมหลายคนก็คงไม่ต่างจากผม

บท กวีบทเพลงของพวกพี่ๆ ได้ทำให้ผมเข้าใจปัญหาสังคม รักความยุติธรรมและรักชาติรักประชาธิปไตยนับยีสิบปีได้ที่ผมฟังบทเพลงบทกวี ของพวกพี่ๆด้วยความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวพี่อย่างไม่มีข้อสงสัย

บท เพลงบทกวีของพวกพี่ ทำให้ผมรู้คุณค่าของประชาธิปไตยและจิตใจที่เสียสละแม้กระทั่งชีวิตเพื่อ ประชาธิปไตย รู้จักเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ 2475 , 14 ตุลาคม 16 , 6 ตุลา 19 และพฤษภาทมิฬ

บทเพลงบทกวีของพวกพี่ ทำให้ผมรู้จัก จิตร ภูมิศักดิ์ อัศนีย์ พลจันทร์ ปรีดี พนมยงค์ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เจริญ วัดอักษร และอีกหลายคน

บทเพลงบทกวีของพวกพี่ ทำให้รู้จักชีวิตของผู้ต่ำต้อยด้อยค่าของผู้ใช้แรงงาน แต่เป็นพลังสร้างสรรค์โลกใบนี้

ผมจึงเชื่อมั่นศรัทธาในตัวพี่ๆ

แต่ ณ วินาทีนี้ ผมไม่มั่นใจในสิ่งที่ผมเชื่อเสียแล้วครับ

ถึง ที่สุด ผมเข้าใจแล้วว่า พวกพี่ เป็นเพียงศิลปินที่มีอารมณ์ความรู้สึกเป็นที่ตั้ง เมื่อพบเจอกับความสลับซับซ้อนทางเศรษฐกิจสังคมการเมือง พวกพี่ก็ตกเป็นหมากเบี้ยตัวหนึ่งส่วนหนึ่งเพื่อความชอบธรรมของเกมการเมือง ขณะนี้ โดยเอาพวกพี่ขึ้นเวทีพันธมิตรเพื่อรัฐประหาร แต่พวกพี่อาจคิดว่าตัวเองปรารถนาดี ทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง

ผม รู้สึกเศร้าใจ ทุกครั้งเมื่อบทเพลงบทกวีดีๆ ของพวกพี่ ถูกนำขึ้นเวทีที่กำลังฉุดลากสังคมไทยถอยหลัง ถอยหลังจากกงล้อประวัติศาสตร์แทนที่จะช่วยกันผลักดันกงล้อประวัติศาสตร์ไป ข้างหน้า

หรือ ว่า ผมอาจจะต้องเข้าใจใหม่เสียที ว่าพวกพี่ศิลปินทั้งหลาย มักชอบแสดงออก มักชอบความเป็นฮีโร่ ชอบเด่นชอบดัง ชอบเอาหน้า เท่านั้นฤา?

เมื่อ มีพรรคพวกคนรู้จักกัน คนกันเอง เชิญขึ้นเวทีให้แสดงออก พวกพี่ศิลปินก็กระโดดขึ้นทันทีโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้รอบด้านว่า เวทีนั้นดึงศิลปินเพื่อชีวิตมาสร้างความชอบธรรมให้พวกเขาเท่านั้นเอง เป็นส่วนประกอบของบทเพลงของเพลงหลักบนเวที “บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ ปกป้องบ้านเมืองคุ้มบ้าน เสียเลือดเสียเนื้อมิใช่เบา หน้าที่เรารักษาสืบไป”

ซึ่ง ขัดกับบทเพลงบทวีของพวกพี่ ที่เคยสอนเตือนใจให้ ผมมีความรักชาติ มิใช่คลั่งชาติ สอนให้ผมรักประชาชน มิใช่ดูถูกเหยียดหยามเกลียดชังคนคิดต่าง

ผมได้แต่หวังเล็กๆว่า พวกพี่คงไม่แต่งเพลงบทกวีที่ปลุกเร้า เรียกร้องให้ทหารออกมาทำการรัฐประหารในครั้งนี้ด้วย

หรือว่าพวกพี่เป็นเพียงพวกฉวยโอกาสเอาศิลปะมาหากินหาชื่อเสียง (ศิลปิน = ศิลปะ+หากิน+หาชื่อเสียงให้ตน)

เท่านั้นเอง......