--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สุดซวย....พ่นพิษ.คนเริ่มมองหาทางเลือกที่ 3 !!?



สุดซอย.. ออกอาการ  สุดซวย... อย่างที่ได้เตือนเอาไว้จริงๆ

เพราะวันนี้ไม่ได้มีแค่บรรดาขาประจำเจ้าเก่าเท่านั้น แต่กำลังบานสะพรั่งขยายวงต่อต้านการนิรโทษกรรมเหมาเข่งออกไปทั่วหมดทุกหัวระแหงแล้ว

คงต้องถามพรรคเพื่อไทยแล้วว่า การที่เปิดฉากแลกแบบล่อนจ้อนหมดเช่นนี้ เป็นการเดิมพันที่เกินเค้ามากเกินไปหรือเปล่า???

จริงๆ การที่ปล่อยให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่ต่อล้อต่อเถียงทางการเมือง จนอยู่มาได้ครบ 2 ปี แล้ว ถือว่ากำลังเดินมาถูกทาง

และกำลังจะมีเดิมพัน 2 ล้านล้านบาทให้สร้างผลงานอมตะ อภิมหาอลังการงานสร้าง จ่อลุ้นเป็นเดิมพันสำคัญอยู่ ซึ่งหากค่อยๆเล่นไปเรื่อยๆ ครั้งละล้าน 2 ล้าน ก็สามารถเล่นไปได้ 40-50 ปี โดยที่คู่แข่งทางการเมืองจะหมดสภาพไปเอง เพราแพ้ซ้ำซาก

ที่ผ่านมาการที่จะชนะประชาธิปัตย์ในสนามการเมืองไม่ใช่เรื่องยาก เพราะของมันเคยชนะกันมาตลอด หากอนาคตจะชนะไปอีกเรื่อยๆจะแปลกตรงไหน จุดนี้แหละที่ทุกคนไม่เข้าใจ ทำไมพรรคเพื่อไทยอุตริทุ่มเดิมพันชนิดหมดตัวเช่นนี้

ในเกม 2 ปีที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์แทบจะหมดเค้าเล่น กระจองอแงตีรวนไปเรื่อยๆ รือเสา รือพื้น รื้อผนังพังหลังคา เล่นเสงาะแสงะไปตามเรื่อง แบบไม่มีเค้าไม่มีเดินพันจะเอาชนะ

ยิ่งที่ผ่านมาประชาชนเองก็เบื่อหน่ายกับการเล่นการเมืองแบบมวยคู่อาฆาต ที่มุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ใช่ผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก ทำให้กระแสของประชาธิปัตย์นับตั้งแต่ไปละทิ้งหลักการ โดดขึ้นเป็นรัฐบาลจากผลพวงของการัฐประหาร จึงยิ่งทำให้คนเห็นธาตุแท้มากขึ้น

เกมแบบนี้ เพื่อไทยชนะเห็นๆอยู่แล้ว นายกฯยิ่งลักษณ์ควรสร้างประวัติการณ์เป็นายกหญิงคนแรก แล้วก็เป็นนายกฯที่อยู่ครบเทอม 4 ปีได้ไม่ยาก... แต่พอมาเดิมพันแบบไม่ฉลาดเช่นนี้เลยเสียของอย่างน่าเสียดาย

ทั้งๆที่ต่อให้ชนะก็งั้นๆ

ในขณะที่หากพลาดพลั้งแพ้ ก็มีสิทธิพังครืนได้ง่ายๆ ก็ไม่รู้ว่าถูกใครวางยาให้ทุ่มเค้าเดิมพันแบบมึนๆ จนออกมาในรูปนี้

ที่สำคัญถ้าแพ้เพราะแรงของประชาชนจริงๆ นอกจากจะหมดเดิมพันแล้ว จะไม่ใช่แค่รัฐบาล หรือแค่พรรคเพื่อไทยเท่านั้นที่จะต้องไป แม้แต่ตัวบุคคลก็พลอยเสี่ยงสูงไปด้วย

เพราะหากทำได้ เขากะเล่นกันยกตระกูล ให้อยู่เมืองไทยไม่ได้กันเลยด้วยซ้ำ... ไม่รู้จริงๆหรือ?
ถามจริงๆ มันคุ้มกันหรือไม่กับการเดิมพันเสี่ยงๆครั้งนี้

เดิมพันที่เล่นเอาบรรดากองเชียร์อกสั่นขวัญแขวน เล่นพิเรนทร์แบบนี้ ถามว่า ขณะนี้เดือดร้อนอะไรมากมายนักหรือ จึงต้องเทเค้าจนหมดตัวล่อนจ้อนแบบนี้

ยิ่งถ้าจะเล่นเพื่อความมันของคนชื่อ “ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” แล้วเอาลูกเอาหลานของุกคนมาเสี่ยงด้วยแบบนี้ สะใจมากใช่ไหมประยุทธ์!!!

อย่ามาอ้างให้เหม็นขี้ฟันเลยว่า ต้องการสร้างความปรองดอง ต้องการทำเพื่อสมานฉันท์
ใช้สมองส่วนไหนคิดว่า จะสร้างความปรองดองได้บนความขัดแย้ง
ลำพังไม่ได้มีร่างกฎหมายชนวนระเบิดฉบับนี้ คู่อาฆาตขั้วตรงข้ามทางการเมืองก็ถล่มกันเละจนไม่มีทางปรองดองได้ง่ายแล้ว

มามีกฎหมายฉบับวางยา เหมาเข่งเพื่อความสะใจเข้าให้เช่นนี้ ไหนล่ะความปรองดอง
มีแต่จะฆ่ากันตายล่ะไม่ว่า... จะตะบี้ตะบันหลอกลวงผู้คน หลอกลวงสังคมไปทำไมว่าสิ่งที่ทำจะสร้างความปรองดองได้ หลอกได้อย่างเก่งก็แค่หลอกตัวเองไปวันๆเท่านั้นแหละ

แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ ที่คิดว่าจะได้จารึกว่าเป็นผู้สร้างความปรองดอง จะได้เป็นรัฐมนตรี ระวังจะถูกจารึกในประวัติศาสตร์ว่าเป็นคนที่ทำให้คนไทยลุกขึ้นมาฆ่าฟันกัน... ถึงวันนั้นจะรับผิดชอบไหวหรือ
รับได้หรือกับการที่จะถูกจารึกชื่อนามสกุลในฐานะคนบาป ที่ทำลายความปรองดอง
ใครก็ตามที่คิดเล่นเกมแบบนี้ได้ ต้องถือว่า Stupid สิ้นดีจริงๆ!!!

ฉะนั้นไม่แปลกที่วันนี้ คนส่วนหนึ่งในสังคม แถมทำท่าว่าจะเป็นคนส่วนใหญ่เสียด้วย เริ่มที่จะเบื่อหน่ายสภาพคู่กัดทางการเมือง จนเอือมระอาทั้งพรรคเพื่อไทย และเซ็งสุดๆกับพรรคประชาธิปัตย์ จนขยับมองหาทางเลือกใหม่ ทางออกใหม่กันบ้างแล้ว

กลายเป็นโอกาสทองของพรรคทางเลือกที่ 3 ไปในทันที

หลายคนพูดชัดอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ในเมื่อเห็นอยู่แล้วว่า ไม่ว่าจะเลือกเพื่อไทยหรือเลือกประชาธิปัตย์ ใครขึ้นเป็นรัฐบาล ก็ต้องถูกอีกฝ่ายถล่มแน่นอน ซึ่งหากปล่อยให้ฟัดกันไปเรื่อยๆเป็นมวยคู่อาฆาตทางการเมืองเช่นนี้

บาปเคราะห์ก็จะตกอยู่กับประเทศชาติ ตกอยู่กับลูกหลานไทยในอนาคต
แค่ทุกวันนี้การเมืองไม่ได้สำนึกเลยว่า การที่สารพัดผลสำรวจออกมาว่า ประเทศไทยล้าหลัง หรือที่เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรั่ม สำรวจว่าการศึกษาของไทยเป็นอันดับที่ 8 ในกลุ่มอาเซียน 10 ประเทศนั้น การเมืองไม่ได้รู้สึกอับอายบ้างเลยงั้นหรือ?

นักการเมืองเคยสำนึกบ้างหรือไม่ว่า ประเทศไทยนั้นดีทุกอย่าง ไม่ว่าสภาพภูมิอากาศ หรือทรัพยากรธรรมชาติ ที่ไม่ดีมีแค่อย่างเดียยวคือนักการเมืองที่เล่นการเมืองแบบห่วยๆ จนประเทศชาติตกต่ำนั่นแหละ

ทุกวันนี้ที่ประเทศชาติจมปลักติดอยู่ในภาวะวิบัติ ก็เพราะการเมืองอ่อนแอ คิดแบบโง่ว่าผู้คนในประเทศโง่เขลา หลอกลวงให้อยู่กับรูปแบบเดิมๆได้ไม่อยากอย่างนั้นใช่หรือไม่
เชื่อจริงๆหรือว่า ผู้คนมองอะไรไม่เห็นนอกจากเห็นแค่หัวแม่เท้าตนเองใช่มั้ย

ถ้านักการเมืองเก่าๆคิดได้แค่นี้ก็สมควรจะต้องสูญพันธุ์แล้ว เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้ยอมก้มหน้ารับชะตากรรม โดยมองแค่หัวแม่เท้าอีกต่อไป แต่คนรุ่นใหม่เริ่มกล้าคิดกล้าแสดงออก และกล้าที่จะมีปฏิกริยา
อย่างน้อยที่ออกมาพรึ่บเต็มถนนในเวลานี้ ที่ไม่ใช่พวกหน้าเก่าเจ้าประจำ ก็น่าจะทำให้นัการเมืองสำนึกได้บ้างแล้วว่า

ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว!!!

คนรุ่นใหม่ๆคิดเป็น และจะไม่เลือกอดีตที่ฟัดกันไม่เลิกอีกต่อไปอย่างแน่นอน
หากมีทางเลือกที่ 3 ที่หน้าตาดีๆ ประวัติดีๆ คุณภาพดีๆ ออกมาเป็นทางลเอกให้กับประชาชนแล้ว รับรองได้ว่าทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์นั่นแหละจะหนาว!!!

ซึ่งพรรคทางเลือกที่ 3 อาจจะไม่ต้องมีนโยบายอะไรให้มากมายเหมือนพรรคการเมืองในอดีตเลยก็ได้ เพราะผู้คนเอียนกับนโยบายที่สวยหรู แต่หลอกลวงไปเรื่อยๆ จนผู้คนเอือมระอาและเบื่อหน่ายที่จะฟังกันแล้ว เพราะฟังกันมาตลอด

ขอแค่พรรคทางเลือกที่ 3 มีแค่นโยบายหลักข้อเดียว คือ หากใครคอรัปชั่น ก็ยึดทรัพย์ และติดคุกตลอดชีวิต
แค่ลงโทษนักการเมืองเลวๆอย่างจริงจัง
รับรองได้ว่า พรรคการเมืองที่ยึดนโยบายข้อนี้ชนะชัวร์

ที่มา.บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////

คุณคัดค้านนิรโทษกรรมแบบไหน !!?

สัปดาห์นี้ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ต้องออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม หลายคนตัดสินใจออกมาชุมนุมกับกลุ่มต่างๆ มีไม่น้อยที่แสดงออกผ่านทางโซเชียลมีเดียโดยเปลี่ยนภาพในเฟซบุคขึ้นข้อความ “คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม” บรรยากาศการเมืองในจังหวะนี้ เรียกได้ว่า แม้แต่คนที่คิดต่างกันเรื่องการเมืองตลอดมา ต่างก็หันมาพูดเรื่องเดียวกัน
 
อย่างไรก็ดี ภายใต้การคัดค้านเหมือนกัน ทว่าเหตุผลของแต่ละฝ่ายก็แตกต่างกันอยู่มาก
 
“จุดพีค” ของเรื่องนี้เกิดตอนตีสี่ของวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2556 เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเร่งผ่านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับที่กรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ด้วยคะแนนเสียง 310 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง โดยที่ส.ส.ฝ่ายค้านพากันวอล์คเอาท์จากที่ประชุม
 
ปัญหาสำคัญของเรื่องอยู่ที่มาตรา 3 ของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากหลักการที่ให้ไว้ในการประชุมวาระแรก เพราะในวาระแรกสภาผู้แทนฯ รับหลักการร่างกฎหมายที่มีใจความสำคัญว่าจะเป็นกฎหมายที่นิรโทษกรรมให้แก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมือง ทว่า เมื่อร่างผ่านการแก้ไขจากกรรมาธิการ เนื้อหาก็ถูกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพิ่มเติมการนิรโทษกรรมให้กับบุคคลอีกหลายกลุ่ม ดังที่เรียกกันว่าเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ “เหมาเข่ง” 
 
 
ก่อนกรรมาธิการหลังกรรมาธิการ

มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่วันที่ 19 กันยายน 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้การนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
 
การกระทำในวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว
มาตรา 3 ให้บรรดาการกระทำใดๆ ของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่กระทำการนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใด เพื่อเรียกร้องให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการชุมนุมการประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใดๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิตร่างกาย อนามัย ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น ซึ่งเป็นเหตุการณ์สืบเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง ตั้งแต่ หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่19 กันยายน 2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่างพ.2547 ถึงวันที่10 พฤษภาคม 2554 ไม่เป็นความผิดต่อไปและให้การนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำ 8สิงหาคม .. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำการในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากวามผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
การกระทำในตามวรรคหนึ่ง ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าวผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
 
ร่าง พ.ร.บ.เหมาเข่งจึงนำมาสู่กระแสคัดค้านของมวลชนหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีจุดยืนการคัดค้านที่แตกต่างกัน ลองสำรวจตัวคุณเองว่า คุณเชื่อแบบไหน และสอดคล้องกับกลุ่มใด
 
 ค้านนิรโทษกรรมให้ผู้สั่งการฆ่าประชาชน และแกนนำ
แม้ตอนแรกร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เสนอเข้าสู่สภาจะมีวรรคหนึ่งเขียนย้ำว่า การนิรโทษกรรมนี้ “ไม่รวมถึง” การกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจหรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งหมายความว่าจะไม่รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือทหารผู้มีอำนาจสั่งการในเหตุการณ์สลายการชุมนุม และไม่รวมถึงแกนนำสีเสื้อต่างๆ แต่ปรากฏว่าเนื้อหาส่วนนี้ถูกแก้จากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเดิมที่เขียนว่า “ไม่” นิรโทษกรรม ก็แก้ไขเป็น “ให้” นิรโทษกรรม
 
กลุ่มที่คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เพราะไม่เห็นด้วยที่จะนิรโทษกรรมให้ผู้สั่งการให้ล้อมปราบและใช้อาวุธกับประชาชน เช่น กลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ซึ่งนำโดย บ.ก.ลายจุด, คณะนิติราษฎร์, บางส่วนของกลุ่มญาติผู้เสียหายฯ จากเหตุการณ์ปี 53, นักศึกษากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย, เครือข่ายกล้าคิด ซึ่งประกอบด้วยนักกิจกรรมนักศึกษาจาก7 สถาบันการศึกษา ภาคใต้, องค์การนักศึกษาและสภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, คณะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กลุ่มแดงเสรีชนอิสระ (คนเสื้อแดงกลุ่มจากเชียงใหม่-ลำพูน), สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน, ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.), เครือข่ายนักวิชาการรับใช้สังคมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) 
 
ค้านนิรโทษกรรม ไม่เอาทักษิณ
ก่อนหน้านี้ ในสังคมไทยมีข้อเสนอต่อร่างกฎหมายสองแบบ คือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ และร่าง พ.ร.บ.การปรองดองฯ เนื้อหาสำนวนการเขียนกฎหมายของสองเรื่องค่อนข้างคล้ายคลึงกัน แต่ความต่างของสองเรื่องนี้คือ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เน้นการยกเว้นความผิดให้คนจากเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ มีลักษณะเหมาเข่งที่ให้นิรโทษกรรมให้ทุกฝ่ายตั้งแต่เริ่มต้นวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง รวมถึงนิรโทษกรรมให้ในคดีทุจริตของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีด้วย ขณะที่ร่าง พ.ร.บ.การปรองดองฯ ยังไม่เคยถูกสภาหยิบมาพิจารณา
 
เมื่อร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เข้าสภา แม้ในวาระรับหลักการจะเน้นที่การนิรโทษกรรมให้ประชาชน แต่เมื่อเข้าสู่ชั้นกรรมาธิการแล้ว ได้มีการคัดลอกข้อความจากร่าง พ.ร.บ.ปรองดองฯ เข้ามา โดยเขียนว่า "บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ให้พ้นจากความผิดได้"
 
ความหมายของประโยคนี้ ส่งผลให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งถูกดำเนินคดีโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 และต่อมาถูกศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่ามีความผิดฐานทุจริตคอรัปชั่น พ้นจากความรับผิดไปด้วย
 
กลุ่มที่ออกมาค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ด้วยเหตุผลเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน เช่น องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันประเทศไทย, คณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งนำโดยอธิการบดี, สภาการหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย, เครือข่าย มอ.รักชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่, กลุ่มรวมพลคนรักชาติ เมืองช้าง จังหวัดสุรินทร์, ม็อบสามเสน ซึ่งนำโดยพรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น กลุ่มนักธุรกิจย่านสีลม กลุ่มคนจันท์รักชาติ, กลุ่มแดงเสรีชนอิสระ (คนเสื้อแดงกลุ่มจากเชียงใหม่-ลำพูน), คณะผู้บริหารจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, เครือข่ายนักวิชาการรับใช้สังคมลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา, คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.), คณาจารย์และบุคลากร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย จาก 24 สถาบันการศึกษา
 
 
ค้านนิรโทษทักษิณ ให้ทักษิณกลับมาสู้คดีตามปกติ
นอกจากนี้ ยังมีบางกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมให้กับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่มีเหตุผลในรายละเอียดต่างกัน เช่น คณะนิติราษฎร์ เพราะเแม้คณะนิติราษฎร์เคยเสนอไว้ว่า ต้องลบล้างผลหรือมติที่เกิดขึ้นจากองค์กรที่ตั้งขึ้นโดยคณะรัฐประหาร แต่คณะนิติราษฎร์เห็นว่า เรื่องดังกล่าวอยู่ในแนวทางแก้ไขเพื่อลบล้างผลพวงของการรัฐประหารซึ่งต้องแก้เป็นระบบ ไม่ใช่การแต่งเติมมาอยู่ในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกัน ทั้งนี้ กลุ่มที่สนับสนุนแนวคิดนี้ร่วมกับคณะนิติราษฎร์ เช่น ศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พ.ค. 53 (ศปช.)
 
 
 
 
 
 
นิรโทษกรรม อย่าลืมคดี 112 
ช่วงแรกของข้อเสนอเรื่องร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ จะมีข้อถกเถียงที่ตีความกันอย่างมากว่า นิยามของคำว่า ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองนั้น จะรวมถึงผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ ด้วยหรือไม่ สุดท้าย ร่างที่ผ่านออกมานั้น พรรคเพื่อไทยซึ่งมีเสียงข้างมากเล่นบทปลอดภัยไว้ก่อนโดยการพยายามแสดงตัวว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับคดีมาตรา 112 และระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในร่างเลยว่า การนิรโทษกรรมครั้งนี้ ไม่รวมถึงคดีมาตรา 112
 
ประเด็นนี้นำมาสู่เสียงค้านของนักเคลื่อนไหวและนักวิชาการจำนวนหนึ่ง เพราะเห็นว่าคดีมาตรา 112 จำนวนมากเป็นผลจากการแสดงออกจากความขัดแย้งทางการเมืองอย่างชัดเจนโดยไม่จำเป็นต้องตีความ กลุ่มที่แสดงท่าทีชัดเจนออกมาคัดค้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ เพราะเลือกปฏิบัติ ไม่รวมคดีมาตรา 112 เช่น คณะนิติราษฎร์, เครือข่ายกล้าคิด (กลุ่มนักกิจกรรมนักศึกษาจาก7สถาบันการศึกษา ภาคใต้), นักศึกษากลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย 
 
 
ค้านนิรโทษกรรม เสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง
ใจความหลักของการนิรโทษกรรมครั้งนี้ คือการนิรโทษกรรมให้แก่ผู้ชุมนุมไม่ว่าสีเสื้อใด ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่มีคดีปิดสนามบิน ประชาชนที่ออกมาชุมนุมทั่วประเทศในปี 2553 และอีกหลายๆ เหตุการณ์ ได้รับอานิสงส์จากการนิรโทษกรรมไปด้วย 
 
แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ต้องการเห็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ มีผลให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่ออกมาชุมนุมในเหตุการณ์เมื่อปี 2553 โดยเห็นว่าเป็นพวกเผาบ้านเผาเมือง กลุ่มที่คัดค้านนิรโทษกรรมในลักษณะนี้ ปรากฏให้เห็นได้ในบางส่วนของการปราศรัยที่ม็อบสามเสน, กลุ่มรวมพลคนรักชาติ เมืองช้าง จังหวัดสุรินทร์ รวมถึงบางส่วนของการปราศรัยในม็อบของพรรคประชาธิปัตย์ตามจังหวัดต่างๆ 
 
 
ค้านนิรโทษกรรม เกลียดนักการเมืองในสภา
ด้วยโอกาสของการปฏิบัติหน้าที่กับความอุบาทว์ของเหล่านักการเมืองเสียงข้างมากในสภาอันทรงเกียรติ ที่เร่งผ่านกฎหมายโดยไม่ฟังเสียงประชาชน ส่วนฝ่ายค้านเองก็มีเสียงไม่พอที่จะไปสร้างแรงถ่วงดุลอะไรได้ ผลการปฏิบัติงานครั้งนี้จึงนำมาสู่กระแสลุกฮือของมวลชน ที่ใช้เรื่องการค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ มาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อต้านรัฐบาล 
กลุ่มที่มีจุดยืนลักษณะนี้ เช่น กลุ่มนักวิชาการประชาชนหาดใหญ่, แฟตเรดิโอ
 
การแก้ไขเนื้อหาร่างแล้วรวบรัดผ่านกฎหมายอย่างน่าแปลกประหลาดของส.ส.พรรคเพื่อไทยครั้งนี้ สร้างกระแส “คัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ” ให้ลุกขึ้นอย่างมีนัยสำคัญบนถนนประวัติศาสตร์การเมืองไทย โดยเกมนี้คนใส่สูทในสภามีประชาชนที่นอนอยู่ในคุกเป็นตัวประกัน น่าหวั่นเป็นอย่างยิ่งว่า กระแสการคัดค้านเกมการเมืองเรื่องนิรโทษกรรมครั้งนี้ จะทำให้การเรียกร้องหาความจริง และการเรียกร้องอิสรภาพของ “นักโทษการเมือง” จำนวนมากอันเป็นสาระสำคัญของเรื่องการนิรโทษกรรม กลายเป็นเสียงที่ริบหรี่ กว่าเสียงใดๆ
 
ที่มา.http://ilaw.or.th/
/////////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สรรพากร ปิ๊งไอเดีย เก็บภาษีแอพพ์มือถือ !!?

สรรพากรอินเทรนด์สุดสุด สั่งศึกษาหาช่องเก็บภาษีอัพโหลดแอพพ์มือถือ ชี้แนวโน้มมูลค่าตลาดสูง บ่นอุบแบงก์ไม่ให้ความร่วมมือ ปิดบังข้อมูลลูกค้า ทำไล่บี้ดึงเข้าระบบเสียภาษีลำบาก ′ไพร้ซฯ′ระบุทำยาก ชี้คนทำแอพพ์อยู่นอกประเทศ มีอนุสัญญาภาษีซ้อนขวางอยู่

นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากรเปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้สำนักแผนภาษีไปศึกษาแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับธุรกิจ การอัพโหลดแอพพลิเคชั่นบนโทรศัพท์มือถือ เพราะเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการตลาดสูง และมีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ซึ่งจะเป็นหนึ่งในช่องทางเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพราะในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 กรมจัดเก็บรายได้อย่างศุลกากรและสรรพสามิตจะมีบทบาทน้อยลง กรมสรรพากรต้องเพิ่มบทบาทและเป็นกรมหลักในอนาคตข้างหน้า

นายสุทธิชัยกล่าวว่า แผนการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจการให้บริการแอพพลิเคชั่น ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งมีแนวโน้มรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีมูลค่าสูงมาก แต่ยังไม่ได้มีการแสดงรายการเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยขณะนี้กำลังดูว่าธุรกิจดังกล่าวมีการเสียภาษีในรูปแบบใดได้บ้าง เพราะผู้ให้บริการส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ การเก็บภาษีจะมีความยาก โดยจะต้องหารือกันในเวทีสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งไทยจะยกขึ้นเป็นประเด็นเพื่อหารือด้วย เพราะในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการจัดเก็บภาษีดังกล่าวแล้ว แต่ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมกับไทย

"ผมเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่กรมสรรพากรมีปัญหาเรื่องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกเท็จ จึงต้องพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ในการพัฒนาองค์กรให้มีภาพลักษณ์ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจในการเสียภาษี ปรับปรุงให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี โดยการปรับปรุงกฎหมายภาษีอากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่และ การเข้าสู่เออีซีถือเป็นโจทย์สำคัญ" นายสุทธิชัยกล่าว

นายสุทธิชัยกล่าวว่า ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังทำวิจัยว่า การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% มาเป็น 23% และจะเหลือ 20% นั้นผลตอบรับเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการตื่นตัวกับรายได้ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ มีการแสดงรายได้ตามข้อเท็จจริงหรือยังมีการหลบเลี่ยงรายได้อยู่ ซึ่งในส่วนของคนที่หลบ แล้วไม่แสดงรายได้ที่แท้จริง จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข้มงวด

"ขณะนี้เราไม่ทราบว่า คนที่ยื่นแสดงรายได้กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้แท้จริง ถ้าเราตั้งเป้าจะแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ พัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการชำระเงิน และเป็นประเทศที่มีคอร์รัปชั่นน้อย เพราะมีทุกคนแสดงรายได้ที่ชัดเจน ไม่มีใต้โต๊ะ ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่ปัจจุบัน เราจะเห็นได้ว่า ธนาคารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของลูกค้า เพราะกลัวสูญเสียลูกค้า แต่ที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายบังคับ ซึ่งถ้าเราไม่ช่วยกัน เราจะทำประเทศให้โปร่งใสยาก" นายสุทธิชัยกล่าว

นายพีรพัฒน์ โปษยานนท์ หุ้นส่วนในบริษัท ไพร้ซ วอเตอร์เฮ้าส์ คูเปอร์ส ประเทศไทยกล่าวว่า การจัดเก็บภาษีบนธุรกรรมการอัพโหลดแอพพลิเคชั่นนั้น จะต้องมีการหารือในวงกว้าง เพราะธุรกรรมเกิดขึ้นในประเทศ แต่ผู้ให้บริการอยู่ต่างประเทศ ซึ่งปกติแล้วอนุสัญญาภาษีซ้อนจะครอบคลุมเฉพาะการจัดเก็บภาษีบนฐานรายได้ แต่ฐานการบริโภคดังกล่าวนั้น ยังไม่มีข้อตกลงระหว่างกัน

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
------------------------------------

ลือ ล็อบบี้ ส.ว.ผ่านร่าง ก.ม.นิรโทษกรรม !!?

ไพบูลย์ นิติตะวัน ปูดรัฐเดินเกมล็อบบี้ส.ว.ให้รีบผ่านร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม หวังปิดจ๊อบทันสมัยประชุมนี้

สมาชิกวุฒิสภากลุ่ม 40 ส.ว. ระบุว่าเริ่มมีความพยายามล็อบบี้จากทางฝั่งรัฐบาลเพื่อให้วุฒิสภาเร่งผ่านร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... หรือร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภาปลายเดือนนี้ หลังจากร่าง พ.ร.บ.ผ่านการลงมติวาระ 3 จากสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา

นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ส.ว.ชลบุรี ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา (วิปวุฒิสภา) กล่าวเมื่อวานนี้ (2 พ.ย.) ว่า ในการประชุมวิปวุฒิสภาวันที่ 6 พ.ย. จะมีการพิจารณาการบรรจุร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุมวุฒิสภา โดยจะเชิญนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้เสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ เข้าให้ข้อมูลด้วย

นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้ส่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี และ นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ร่วมชี้แจงต่อวิปวุฒิสภาหากมีประเด็นซักถาม สำหรับขั้นตอนดังกล่าวคาดว่าจะใชัเวลาไม่เกิน 1 ชั่วโมง จากนั้นวิปวุฒิสภาจะหารือเรื่องการกำหนดวันพิจารณาวาระแรก

ส่วนที่ นายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ให้ตัวเลือกไว้ 2 วัน คือ วันที่ 8 พ.ย. หรือ วันที่ 11 พ.ย.นั้น นายสุรชัย กล่าวว่า ตามวิธีปฏิบัติปกติ วุฒิสภาจะนัดประชุมวันจันทร์กับอังคาร แต่หากจะนัดพิเศษเพิ่มเติมต้องให้เหตุผลที่ชัดเจน และไม่เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติงานในพื้นที่ของสมาชิก โดยส่วนตัวเชื่อว่านายนิคมจะให้เกียรติต่อการตัดสินใจของวิปวุฒิสภา

สำหรับการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นั้น เบื้องต้นจะมาจากตัวแทนของคณะกรรมาธิการสามัญ 22 คณะ คณะละ 1 คน วิปวุฒิสภา 3 คน และจาก กมธ.ของสภา 3 คน โดยคาดว่าจะทราบชื่อ ส.ว.ที่เป็น กมธ.ทั้งหมดอย่างช้าวันที่ 8 พ ย.นี้

ปูดรัฐล็อบบี้ ส.ว.รับร่างนิรโทษ

นายสมชาติ พรรณพัฒน์ ส.ว.นครปฐม กล่าวว่า คาดว่าจะมีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวันที่ 8 พ.ย.เพียงวันเดียว แล้วลงมติรับหลักการทันที จากนั้นจะกำหนดวันแปรญัตติ 7 วัน และ กมธ.พิจารณาไม่เกิน 20 วัน เสร็จแล้วนำเสนอให้ที่ประชุมวุฒิสภาพพิจารณาวาระ 2-3 ก่อนปิดสมัยประชุมนี้ในวันที่ 28 พ.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ท่าทีของ ส.ว.ต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เบื้องต้นคาดว่าจะมีการนำร่างเข้าสู่การพิจารณาวาระแรกในสัปดาห์หน้า โดยรัฐบาลพยายามล็อบบี้ให้ ส.ว.ที่ยังมีความเห็นกลางๆ ให้ร่วมสนับสนุน โดยมีข้อเสนอเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทนให้พิจารณาด้วย

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา ยอมรับว่ามีการล็อบบี้จริง แต่ไม่ทราบว่ามีการเสนอผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่ โดยแนะให้จับตาดูกลุ่มที่ยังไม่มีความเห็น ทั้งนี้จุดยืนของกลุ่ม 40 ส.ว. ยืนยันจะคัดค้านตั้งแต่ชั้นรับหลักการ โดยในการพิจารณาวาระหนึ่งเชื่อว่าจะมีผู้คัดค้านขออภิปรายใช้เวลานานหรืออาจจะข้ามวันข้ามคืนก่อนลงมติ นอกจากนี้ทางกลุ่ม 40 ส.ว.จะเดินสายพูดคุยกับ ส.ว.กลุ่มที่ยังมีความเห็นกลางๆ และอธิบายเหตุผลว่าเหตุใดจึงไม่ควรรับไว้พิจารณา

ส.ว.เลือกตั้งเสียงแตก-ปัดหวังต่อรอง

ขณะที่ความเห็นของ ส.ว.สายเลือกตั้ง ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะลงมติรับหลักการหรือไม่ ถือได้ว่าเสียงแตก ไม่มีความเป็นเอกภาพ โดยมีกระแสข่าวว่าการที่ยังไม่ตัดสินใจเพราะต้องการต่อรองกับรัฐบาล

อย่างไรก็ดี นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง ส.ว.อุทัยธานี ปฏิเสธว่า แม้จะยังไม่ตัดสินใจชัดเจนในขณะนี้ แต่ก็ไม่ใช่เพราะหวังผลที่จะต่อรองอะไรกับรัฐบาล แต่เนื่องจากมองว่าการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ผิดไปจากร่างเดิมของ นายวรชัย เหมะ เป็นสิ่งที่ต้องคิดและประเมินสถานการณ์ก่อน

"เท่าที่ได้คุยกับเพื่อน ส.ว. ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะเครียดที่ต้องตัดสินใจระหว่างสำนึกความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง กับบุคคลที่ชื่นชอบเพราะเคยทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง"

ด้าน นายกฤช อาทิตย์แก้ว ส.ว.กำแพงเพชร กล่าวว่า ส่วนตัวยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพราะยังไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียด แต่โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับหลักการที่จะให้นิรโทษกรรม โดยยึดหลักการให้อภัยเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ และเห็นด้วยกับการให้อภัยคนทั้งหมด เนื่องจากสมัยที่รับราชการและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการนิรโทษกรรมตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 (สมัยคอมมิวนิสต์) เมื่อมีคำสั่งดังกล่าวออกมาทำให้เกิดความสงบ ดังนั้นจึงสนับสนุนเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า

คปท.เล็งยื่นหนังสือ-ปิดถนนกดดัน ส.ว.

วันเดียวกัน นายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงานเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) แถลงว่า หลังจากที่ คปท.ออกแถลงการณ์ต่อต้านการตราร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบวาระสามของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาในวาระรับหลักการในสัปดาห์หน้า ทาง คปท.เตรียมการเคลื่อนไหวกดดันการพิจารณาของวุฒิสภาพ เบื้องต้นอาจมีการออกแถลงการณ์หรือยื่นหนังสือต่อ ส.ว.และอาจมีการปิดการจราจรพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพื่อเป็นการกดดัน ส.ว.ด้วย แต่รายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้

ส่วนการชุมนุมของ คปท.จะมีนิสิตนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยรังสิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง และกลุ่มอาชีวศึกษาเข้าร่วม ดังนั้นขอให้จับตาการยกระดับการชุมนุมตั้งแต่วันที่ 3 พ.ย.เป็นต้นไป

เลขาฯ"กรณ์"โดนตีหัว-เจ้าตัวบอกยังสู้

นายพัสณช เหาตะวานิช เลขานุการส่วนตัวของ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางรักว่า ถูกทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดเวลา 03.00 น.ของวันที่ 2 พ.ย. โดยคนร้ายใช้ของแข็งตีศีรษะได้รับบาดเจ็บระหว่างนั่งรับประทานอาหารในร้านก๋วยจั๊บ ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสันสีลม หลังเดินทางกลับจากการชุมนุมต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่สถานีรถไฟสามเสน หลังเกิดเหตุได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว

ต่อมา นายพัสณช ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Noch Hautavanija" ระบุว่า ถูกคนร้ายตีศีรษะ 3 ครั้ง บริเวณใต้ตาขวา หลังหัวซ้าย และที่ตาอีก 1 ครั้ง โดยหลังก่อเหตุ ผู้เห็นเหตุการณ์ได้พยายามช่วยจับคนร้าย แต่คนร้ายได้ขึ้นรถยนต์โตโยต้า สีทอง ทะเบียน กข 5272 หลบหนีไป

"โดนแค่นี้สบาย สู้เต็มที่อยู่แล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่สามเสนเหมือนเดิมนะครับ" นายพัสณช ระบุ

มีรายงานว่าตำรวจ สน.บางรัก กำลังเร่งตรวจสอบรถยนต์โตโยต้าหมายเลขทะเบียนดังกล่าวซึ่งไม่ทราบหมวดจังหวัด ปรากฏว่ามีรถที่ใช้หมายเลขทะเบียนนี้หลายคัน ทั้งกรุงเทพฯและต่างจังหวัด

เวทีต้านนิรโทษคึก-แกนนำ3ม็อบหารือ

สำหรับบรรยากาศเวทีต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่บริเวณหลังสถานีรถไฟสามเสน เริ่มคึกคักขึ้นในช่วงเย็นและค่ำ หลังจากที่ตลอดทั้งวันเป็นไปด้วยความเงียบเหงา เนื่องจากอากาศร้อน

มีรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าวันที่ 2 พ.ย. แกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มต่างๆ ที่มีจุดยืนต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ทั้งกลุ่มสวนลุมพินี กลุ่มอุรุพงษ์ และกลุ่มอดีตแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ได้หารือร่วมกันเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์และแนวทางการเคลื่อนไหว เบื้องต้นเห็นตรงกันว่าขณะนี้ให้แต่ละกลุ่มทำกิจกรรมและจัดเวทีของตัวเองไปก่อน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมก็จะมารวมตัวกัน

ทั้งนี้ วันที่ 3 พ.ย.กลุ่มเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัดที่เดินทางเข้าร่วมชุมนุมที่สวนลุมพินีตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย. จะแถลงจุดยืนและแนวทางการเคลื่อนไหวด้วย ขณะที่สำนักสันติอโศกได้ประชาสัมพันธ์ให้ศิษย์เก่าทุกรุ่นรวมตัวกันที่สวนลุมพินีวันที่ 6 พ.ย.

"กรณ์"โพสต์เฟซบุ๊คชวนต้าน กม.ล้างผิด

นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊คเชิญชวนประชาชนร่วมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย โดยระบุว่า ขอเชิญชวนให้ชาวสีลมที่ไม่เห็นด้วยกับการออกกฎหมายล้างผิดให้คนโกง ออกมาเป่านกหวีดพร้อมกัน 1 นาที วันจันทร์นี้ (4 พ.ย.) เวลา 12.34 น. นกหวีดถ้ามีก็เอามาเอง ถ้าไม่มีก็ไปรับแจกหน้างาน

"ผู้จัดบอกให้ยืนตรงไหนก็ได้ระหว่างธนาคารกรุงเทพ กับสถานีบีทีเอสศาลาแดง วันจันทร์นี้กฎหมายไปถึงวุฒิสภา ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชันไปยื่นหนังสือถึงประธานสภาฯ มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากปักหลักอยู่เวทีต่อต้านต่างๆ" นายกรณ์ ระบุ

สำหรับกิจกรรมเป่านกหวัด จัดโดยชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ซึ่ง นายสมเกียรติ หอมละออ แกนนำชมรมนักธุรกิจเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยและประชาสัมพันธ์เรื่องนี้ที่เวทีหลังสถานีรถไฟสามเสนด้วย พร้อมย้ำว่าจะจัดกิจกรรมทุกวันจันทร์จนกว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะถูกยกเลิกไป

"สาทิตย์-ศุภชัย"ลาออก กก.บห.พรรค

ภายหลังจากที่รองหัวหน้าภาคของพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ทั้ง 4 คน และกรรมการบริหารพรรคอีก 4 คน ได้ลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเคลื่อนไหวและปราศรัยบนเวทีต่อต้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของรัฐบาลนั้น ล่าสุดได้มีคณะกรรมการบริหารพรรคทำหนังสือลาออกจากตำแหน่งเพิ่มอีก 2 คน คือ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ตรัง และ นายศุภชัย ศรีหล้า ส.ส.อุบลราชธานี ในฐานะรองเลขาธิการพรรค

เวทีต้านนิรโทษที่เชียงรายหวิดปะทะ

ที่ จ.เชียงราย กลุ่มพลังมวลชนเชียงราย 56 จำนวนกว่า 100 คน ได้ไปรวมตัวชุมนุมคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่ลานข้างอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ภายในเขตเทศบาลนครเชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย โดยกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำรถติดตั้งเครื่องขยายเสียงไปเปิด และมีแกนนำขึ้นกล่าวปราศรัยโจมตี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เห็นชอบให้ร่าง พรบ.นิรโทษกรรม ผ่านสภา

อย่างไรก็ดี ขณะที่กลุ่มผู้คัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม รวมตัวกันอยู่นั้น ได้มีกลุ่มเสื้อแดงเชียงรายกว่า 200 คนไปรวมตัวชุมนุมด้วย และมีการตั้งเวทีเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็ด่าทอกันไปมา กระทั่งทั้งสองฝ่ายมีการขว้างปาสิ่งของเข้าใส่กัน ทำให้ พ.ต.อ.ชูวิทย์ กองแก้ว ผู้กำกับการ สภ.เมืองเชียงราย ต้องเรียกตำรวจชุดสลายฝูงชนเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
----------------------------------------------

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

จากนิติราษฎร์ถึงนิรโทษกรรม


ความเห็นต่อร่างพรบ.นิรโทษกรรมของคณะกรรมการฯ

ความเห็นต่อร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. และข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร

ตามที่นายวรชัย เหมะ กับคณะได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. …. เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร



พื้นที่ใช้กระสุนจริง ภาพจาก regist53.blogspot.com

โดยมีหลักการและเหตุผลคือ ให้นิรโทษกรรมแก่ประชาชนที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมือง เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ประชาชนซึ่งเป็นพลเมืองของประเทศ รักษาและคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ รวมทั้งส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง อันจะเป็นรากฐานที่ดีของการลดความขัดแย้ง และสร้างความปรองดอง และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติในวาระที่หนึ่งรับหลักการร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว

หลังจากนั้นสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นคณะหนึ่งเพื่อพิจารณา คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาและมีมติแก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว โดยขยายการนิรโทษกรรมครอบคลุมไปถึง

“บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง ความขัดแย้งทางการเมือง หรือที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙

รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมา ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมาย ก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง” แต่ไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒…

เมื่อพิจารณาจากร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระที่หนึ่งแล้ว พบว่าสภาผู้แทนราษฎรนิรโทษกรรมเฉพาะแก่

“บุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง หรือการแสดงออกทางการเมือง หรือบุคคลซึ่งไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมทางการเมือง แต่การกระทำนั้นมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง

โดยการกล่าวด้วยวาจาหรือโฆษณาด้วยวิธีการใดเพื่อเรียกร้องหรือให้มีการต่อต้านรัฐ การป้องกันตน การต่อสู้ขัดขืนการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการชุมนุม การประท้วง หรือการแสดงออกด้วยวิธีการใด ๆ อันอาจเป็นการกระทบต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดของบุคคลอื่น”
จากถ้อยคำดังกล่าว เมื่อพิจารณาประกอบกับหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ที่ถูกเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร จะเห็นได้ว่า สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการให้นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนผู้กระทำการตามที่กล่าวข้างต้นเท่านั้น โดยไม่นิรโทษกรรมให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุม ทั้งไม่นิรโทษกรรมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่อย่างใด

และเมื่อพิจารณาประกอบกับชื่อของร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวที่ใช้ชื่อว่า


“ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง และการแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ….” แล้ว

ยิ่งทำให้เห็นประจักษ์ชัดว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนเท่านั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯได้แก้ไขร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ให้รวมถึงบุคคลอื่นนอกจากประชาชน จึงเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมที่ขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่หนึ่ง

อันเป็นการต้องห้ามตามข้อ ๑๑๗ วรรคสามแห่งข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่งทำให้กระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ เพราะข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่ห้ามมิให้การแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติในวาระที่สองขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญ

นอกจากประเด็นปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว คณะนิติราษฎร์เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ยังมีปัญหาในประการต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

๑) การนิรโทษกรรมตามที่ปรากฏในร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ซึ่งครอบคลุมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมอันนำไปสู่การบาดเจ็บล้มตายของประชาชนที่เข้าร่วมในการชุมนุมนั้น นอกจากจะไม่เป็นธรรมต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมแล้ว ยังขัดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights : ICCPR)

การปล่อยให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งกระทำการละเมิดสิทธิในชีวิตและร่างกายของประชาชนรอดพ้นจากความรับผิดดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาในอดีตนอกจากจะเป็นการตอกย้ำบรรทัดฐานที่เลวร้ายให้ดำรงอยู่ต่อไปแล้ว ยังสร้างความเคยชินให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหาร ในการปฏิบัติต่อประชาชนในลักษณะดังกล่าวข้างต้นโดยไม่ต้องกังวลว่าตนจะต้องรับผิดในทางกฎหมายในอนาคต

๒) ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมาข้างต้นนั้น กำหนดยกเว้นไม่นิรโทษกรรมให้แก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ถึงแม้ว่าการกระทำความผิดของบุคคลนั้นจะเป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองก็ตาม

การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ย่อมขัดหรือแย้งกับหลักแห่งความเสมอภาคที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๓๐ เนื่องจากหลักดังกล่าวเรียกร้องให้รัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกัน ให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกันให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆ

การนิรโทษกรรมตามความมุ่งหมายของร่างพระราชบัญญัตินี้มีสาระสำคัญอยู่ที่การยกเว้นความผิดให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่คำนึงว่าการกระทำนั้นจะเป็นความผิดฐานใด

ดังนั้น การที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตัดมิให้ผู้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่ได้กระทำไปโดยมีความเกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ได้รับประโยชน์จากการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัตินี้ จึงเป็นการปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระอย่างเดียวกันให้แตกต่างกัน และขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญ



ภาพจาก regist53.blogspot.com

๓) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในครั้งนี้ มีผลกับการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗ ถึงวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งครอบคลุมเหตุการณ์จำนวนมาก มีบุคคลที่อาจได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้หลายกลุ่ม และบุคคลดังกล่าวถูกดำเนินคดีในขั้นตอนที่แตกต่างกัน

จากเหตุหลายประการดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความซับซ้อนจนหลายกรณีไม่อาจระบุลงไปให้แน่ชัดได้ว่าบุคคลใดบ้างเข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ในขณะที่ร่างพระราชบัญญัติฯ กำหนดให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล แล้วแต่กรณี มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว จึงอาจทำให้การวินิจฉัยไม่เป็นเอกภาพ ส่งผลให้เกิดความไม่เสมอภาคในชั้นของการบังคับใช้กฎหมายในท้ายที่สุด

๔) ถึงแม้ว่ากระบวนการกล่าวหาบุคคลที่เกิดขึ้นโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ จะดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรม และบุคคลที่ถูกกล่าวหาและถูกพิพากษาว่ามีความผิดสมควรได้รับคืนความเป็นธรรมก็ตาม แต่โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้มุ่งหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลที่กระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งมีสภาพและลักษณะของเรื่องแตกต่างไปจากการกระทำของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ว่าก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ

ประการสำคัญ ในสภาวการณ์ความขัดแย้งของสังคมขณะนี้ การเสนอให้นิรโทษกรรมแก่บุคคลดังกล่าวอาจเหนี่ยวรั้งให้การหาฉันทามติในการนิรโทษกรรมแก่ประชาชนเป็นไปอย่างล่าช้า หรือไม่อาจเกิดขึ้นได้เลย ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความไม่เป็นธรรมให้กับบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการทำรัฐประหารสมควรกระทำด้วยการลบล้างผลพวงของรัฐประหารตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์

๕) มีข้อสังเกตว่า ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมให้กับการกระทำความผิดใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติที่ผ่านการรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ซึ่งนิรโทษกรรมให้แก่การกระทำใด ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึงวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔

การกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นของการนิรโทษกรรมตั้งแต่พ.ศ. ๒๕๔๗ อาจส่งผลให้มีเหตุการณ์หรือการกระทำความผิดบางอย่างที่ไม่สมควรได้รับการนิรโทษกรรม เพราะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกับการรัฐประหารเมื่อวันที่ วันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ได้รับประโยชน์จากร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้ด้วย

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตด้วยว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฯ ฉบับนี้กำหนดให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบต่อเนื่องมา ไม่ว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวจะได้กระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้

หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงนั้น เมื่อพิจารณาจากคดีที่ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิงย่อมทำให้รัฐต้องคืนสิทธิให้แก่ผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรม เช่น ในคดีร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ได้รับนิรโทษกรรมแล้ว รัฐมีหน้าที่ต้องคืนทรัพย์สินที่ยึดมาตามคำพิพากษาให้แก่ผู้ถูกกล่าวหา

ถึงแม้ว่าคณะนิติราษฎร์จะเห็นว่าบุคคลที่ถูกกล่าวหาหรือถูกพิพากษาว่ากระทำความผิดโดยองค์กรหรือคณะบุคคลที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร มีความชอบธรรมอย่างเต็มที่ในการที่จะได้รับคืนทรัพย์สินที่ถูกยึดไปโดยกระบวนการทางกฎหมายที่เชื่อมโยงกับการทำรัฐประหาร แต่การที่จะได้รับคืนทรัพย์สินดังกล่าวนั้นควรจะต้องเป็นไปโดยหนทางของการลบล้างคำพิพากษาตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร มิใช่โดยการนิรโทษกรรมตามร่างพระราชบัญญัติฯ นี้

ข้อเสนอคณะนิติราษฎร์

โดยเหตุที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ มีปัญหาบางประการดังกล่าวมาข้างต้นคณะนิติราษฎร์ จึงขอเสนอแนวทางแก้ปัญหา ดังต่อไปนี้

๑) ต้องแยกบุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง ออกจากบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙

๒) ให้ดำเนินการนิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง ตลอดจนบุคคลที่ไม่ได้เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองแต่กระทำความผิดโดยมีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่นิรโทษกรรมให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ชุมนุมประท้วง ตลอดจนการสลายการชุมนุมไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใด ๆ ทั้งนี้ ตามร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยนิรโทษกรรมและการขจัดความขัดแย้ง ที่คณะนิติราษฎร์ได้เคยเสนอไว้



ภาพจาก regist53.blogspot.com

๓) สำหรับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ลบล้างคำพิพากษา คำวินิจฉัย ตลอดจนการดำเนินกระบวนพิจารณาในทุกขั้นตอนที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการทำรัฐประหาร ทั้งนี้ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ว่าด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร

๔) อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่ข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ ไม่ได้รับการพิจารณานำไปปฏิบัติจากผู้เกี่ยวข้อง ประกอบกับขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการนิรโทษกรรมอยู่ในระหว่างการพิจารณาในวาระที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้การนิรโทษกรรมแก่ประชาชนซึ่งกระทำความผิดหรือถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอันเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมืองเป็นไปโดยรวดเร็วภายใต้ข้อจำกัดที่เป็นอยู่ คณะนิติราษฎร์จึงเสนอให้พิจารณาดำเนินการดังต่อไปนี้

๔.๑ เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้แก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติฯ จนขัดกับหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติฯ ที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีมติรับหลักการในวาระที่หนึ่ง ทำให้มีปัญหาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ จึงไม่สามารถใช้เป็นฐานในการพิจารณาในวาระที่สองได้ ด้วยเหตุนี้ สภาผู้แทนราษฎรจึงสมควรแก้ไขความบกพร่องดังกล่าวโดยการลงมติว่ากระบวนการตราพระราชบัญญัติฯ นี้ขัดกับข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อ ๑๑๗ วรรคสาม เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติฯ ของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ตกไป

๔.๒ ให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติยกเลิกคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ชุดเดิม และมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเต็มสภาเพื่อเริ่มพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ในวาระที่สองใหม่

คณะนิติราษฎร์: นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////