ต้องบอกว่า “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กับ “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” เหยียบกล่องดวงใจกันอยู่น้าน..นาน
มาบัดนี้,มีรายการเชื่อมสัมพันธไมตรี ผ่าน “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม คนใหม่
มีการลิ้งก์ ชงลูกผ่าน “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ฟ้าก็เปิด กลับมาสดใส
เมื่อ “ซุเปอร์ป๋า” และ “ฮีโร่แม้ว” เริ่มจอยความคิดกันได้ การปรองดองที่ขมุกขมัว ก็เช้งวับ
ไทยเสียโอกาสจนยุ่ย....หันหน้ากลับมาคุย?...ดีกว่ามาลุยกันเอง ไม่เข้าเรื่องหรอกครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++
หนี้ท่วมท้น อย่างระเนระนาด
ยกรักแร้เชียร์ “คุณพี่ฉลาด ขามช่วง” สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานการแก้ไขหนี้สินแห่งชาติ
มองการณ์ไกล เพื่อ “ปลดหนี้สิน” ให้กับเกษตรกร ชาวนา-ชาวไร่ ได้รับประโยชน์
โดยจะ “ปลดล็อค” ลดดอกเบี้ย ที่กินท่วมต้น ท่วมดอก ทั้งจากหนี้ในระบบ หนี้นอกระบบ และหนี้จากการกู้เงินขอสหกรณ์ ที่ทำให้เป็นหนี้ ชั่วนาตาปี ใช้ไม่มีวันหมด
เมื่อลด “ดอกเบี้ย”ได้บานตะโก้แห้ว...ย่อมสามารถชำระหนี้ “เงินต้น”ลงมาบานพะเรอ
ทำงานอย่างแข่งขัน....โอกาสเป็นรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล....ใกล้เข้ามาทุกวันสิเธอ
++++++++++++++++++++++++++++++++
“ชิงดำ”กันสูสี
เลือกตั้ง “นายกฯ อบจ. อุดรธานี”
ให้จับตาดู “ดร.แดง” ณัฐยศ ผาจวง แกนนำเสื้อแดง ผู้ติดคุก ๙ เดือน ร่วมกับ นปช. ผู้รักประชาธิปไตย
แรงดี มีคนสนับสนุนเนื่องแน่น , ได้ “พ.ต.ท.สุรทิน วิมานเมฆินทร์” สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย หนุนให้กำลังใจ
ถึงเจอกระดูกเบอร์ใหญ่ อย่าง “หาญชัย ทีฆธนานนท์”, “โชคสมาน ลีลาวงศ์” และ “สุรชาติ ชำนาญศิลป์” ๓ นักการเมืองใหญ่ ที่เป็นคู่แข่ง ก็ไม่น่ากลัว
เพราะ “ดร.แดง” ณัชยศ ผาจวง...สร้างผลงานเอาไว้อย่างใหญ่หลวง...ย่อมโชติช่วงชัชวาล แน่สิทูนหัว
+++++++++++++++++++++++++++++++
“ยาเสพติด ต้องปราบให้หมด
กฎหมายลงโทษ, ต้องใช้กันอย่างโหด..โหด
เห็นด้วยกับแนวคิด การเพิ่มโทษ “ผู้ค้ายาเสพติด” ให้ประหารชีวิต
ลุยเลย “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย” อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่จะทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์
เหมือนกับความคิดบุคคลชั้นสูง ที่ดำริอยากให้ “ประหารชีวิต” ผู้ค้ายาเสพติด ที่ทำลายชาติอย่างย่อยยับ
“ประหาร”ไม่ให้พวกนี้ทำลายชาติ...ต้องตัดวงจรอุบาทว์?...มีแต่มาตรการเฉียบขาด ด้านนี้เท่านั้นแหละครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++
“ขี้”อยู่บนมือมองไม่เห็น
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฝากผลงานว่าทำงานไม่เป็น
ความผิดของ “กษิต ภิรมย์” ที่ท่านจับยัดมาเป็น “รมว.ต่างประเทศ” ฉกาจฉกรรจ์มากกว่า
ไหนถึงตำหนิ “นลินี ทวีสิน” รมต.ประจำสำนักนายกฯคนใหม่ป้ายแดง อย่างไม่ไว้หน้า
แบล็กลิสต์ ที่สหรัฐอเมริกา ไม่ยอมขี้หน้าใคร ก็จับชื่อเขาแขวนตามอำเภอใจถูกที่ไหน...แต่กลับ “กษิต ภิรมย์” ถูกหมายว่ายึดสนามบิน ท่านกับแต่งตั้ง ให้นั่งตำแหน่งใหญ่โต
ไม่ปกป้องคนไทย....ไม่รักษาเกียรติพวกเดียวกันไว้?....สักวันเราต้องเสียค่าโง่??
ที่มา.คอลัมน์ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////////
วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2555
วีรกรรม 9 รัฐมนตรีหน้าใหม่ บัญชีดำอเมริกา บัญชีแดงทักษิณ !!?
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยมีการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ 16 ตำแหน่ง เป็นการสลับตำแหน่ง 6 คน และมีการปรับรัฐมนตรีเข้าใหม่ 10 คน
9 ใน 10 คน เป็นบุคคลที่อยู่ในโควตาของพรรคเพื่อไทย ที่ล้วนแล้วแต่มีสายสัมพันธ์กับตระกูล "ชินวัตร" ทั้งในทางตรงและทางอ้อม
และอีกหลายคนมีจุดด่าง-รอยดำ เป็นแผล "ตำหนิ" ที่สังคมยังรอคอยฟังคำอธิบายความเหล่านั้น
"ประชาชาติธุรกิจ" ได้ประมวลประวัติ-ผลงาน-สายสัมพันธ์ของ 10 รัฐมนตรีหน้าใหม่ ที่จะเข้าร่วมงานใน "ครม.ปู 2" ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร สามารถติดตามอ่านได้จากบรรทัดต่อจากนี้
"นลินี ทวีสิน" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีต ส.ว.ปี 2549 แต่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน ทำให้ถูกเพิกถอนตำแหน่ง สุดท้ายจึงผันตัวมาเล่นการเมืองในสังกัดพรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย ในที่สุด
นอกจากตระกูล "ทวีสิน" ยังเป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศ เธอยังมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับ "คุณหญิงณฐนนท ทวีสิน" อดีตปลัด กทม.ที่ถูกปลดออก ในช่วงที่มีคดีรถดับเพลิงฉาว และยังถูก ป.ป.ช. สอบสวนด้วยข้อหาร่ำรวยผิดปกติ
ทั้งนี้ "นลินี" เป็นหนึ่งในคนไทยที่ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2551 โดยสำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติของกระทรวงการคลังระบุว่า เธอเป็น
นักธุรกิจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลของนายโรเบิร์ต มูกาเบ ผู้นำซิมบับเว ที่ถูกอเมริการะบุว่าเป็นบุคคลอันตรายในเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และคอร์รัปชั่นในประเทศ
"นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จบการศึกษาคณะศึกษาศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) เข้าสู่วงการเมืองด้วยการลงเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2554
ในช่วงสรรหา "ครม.ปู 1" เขาเคยถูกคาดการณ์ให้เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นมือประสานสิบทิศให้กับรัฐบาล สุดท้ายถูกกันตัวไว้ให้อยู่ในโควตา ส.ส.เพื่อคอยควบคุมเกมการเมืองและบริหารงานในสภาแทน
อดีตเคยเป็นประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน), รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือชิน คอร์ปอเรชั่น (ชินคอร์ป) รับผิดชอบงานด้านภาพลักษณ์และกิจกรรมสัมพันธ์, ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และดูแลบริษัท ชินวัตร ไดเร็คทอรี่ส์ จำกัด, บริษัท มูฟวิ่งซาวน์ด จำกัด, บริษัท ชินวัตร แซทเทลไลท์ จำกัด และบริษัท เอสซี แมทช์บ็อกซ์ จำกัด
"ทนุศักดิ์ เล็กอุทัย" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง อดีตนายกเทศมนตรี จังหวัดอุตรดิตถ์ ก่อนที่จะผันลงมาเล่นการเมือง สังกัดพรรคประชากรไทย ในปี 2539 จนกระทั่งปัจจุบันสังกัดพรรคเพื่อไทย เป็น ส.ส.มาแล้ว 5 สมัยติดต่อกัน
"ทนุศักดิ์" เป็น 1 ใน 8 ส.ส.ที่พรรคประชาธิปัตย์ยื่นถอดถอนความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 62 เพราะเข้าไปดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพ
"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์พีทีวี และผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้
เริ่มเล่นการเมืองสังกัดพรรคชาติพัฒนา กระทั่งพรรคยุบรวมกับพรรคไทยรักไทย จึงได้ร่วมทีมปราศรัยล่วงหน้าของ พ.ต.ท.ทักษิณ จนได้รับแต่งตั้งเป็นหนึ่งในคณะทำงานโฆษกพรรคไทยรักไทย
ในช่วงรัฐประหาร 19 กันยายน เขาร่วมต่อสู้ในนาม "แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)" กระทั่งมวลชนได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็น "กลุ่มคนเสื้อแดง" ในที่สุด
และด้วยสาเหตุที่เป็น "แกนนำเสื้อแดง" ปัจจุบันยังมีข้อกล่าวหาที่อยู่ในกระบวนการของตำรวจและอัยการ โดยเมื่อปี 2551 อัยการฝ่ายคดีอาญาได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง "ณัฐวุฒิ" และพวก รวม 4 คน ในข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย ก่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง และร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยใช้กำลังขู่เข็ญ
ปี 2553 ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ออกมาเปิดเผยเอกสาร "แผนผังขบวนการล้มเจ้า" ซึ่งหนึ่งในขบวนการที่ถูกกล่าวหานั้นมีชื่อ "ณัฐวุฒิ" ร่วมด้วย ทำให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต้องเรียกเขา และพร้อมไปรับฟังข้อกล่าวหา
ในปีเดียวกันนี้เอง พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษก็ได้นำสำนวนมีความเห็นสั่งฟ้อง "ณัฐวุฒิ" และพวกรวม 19 คน ที่เป็นแกนนำ นปช.เป็นจำเลยต่อศาลอาญารัชดา ในข้อหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิดหรือสนับสนุนให้มีการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135 รวม 3 กระทง
"จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ข้าราชการพันธุ์แท้ ที่ไต่เต้าตำแหน่งมาตั้งแต่ปลัดอำเภอ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ปลัดกระทรวงแรงงาน โดยหลังเกษียณอายุราชการแล้วได้รับตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ตั้งแต่ปี 2539-2553 กระทั่งมาถึงการเป็นรัฐมนตรีในที่สุด
สุดท้ายตัดสินใจเข้าสู่สนามการเมือง สังกัดพรรคพลังประชาชน-เพื่อไทย จนได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการพรรค กระทั่งหลังเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เขาได้รับการไว้วางใจให้เป็น "ผู้จัดการรัฐบาล" ในการประสานงานสิบทิศกับพรรคร่วมทั้งหมด
ผลงานของเขามาโดดเด่นที่สุดในช่วงเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา เขารับบทบาทเดินสายเจรจาหาข้อยุติศึกเรื่องน้ำระหว่างประชาชน รัฐบาล และท้องถิ่น ในฐานะ "ประธานคณะกรรมการจัดการชาวบ้านที่รื้อกระสอบทรายในแต่ละพื้นที่"
"ชัชชาติ สิทธิพันธุ์" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จบการศึกษาเกียรตินิยมอันดับ 1 สาขาวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท สาขาวิศวกรรมโครงสร้าง จาก Massachusetts Institute of Technology และปริญญาเอก สาขาวิศวกรรมโครงสร้าง จาก University of Illinois at Urbana-Champaign
เขามักได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้ที่มีความรู้ด้านวิศวกรรมให้กับพรรคอยู่เสมอ จากอดีตที่มีความใกล้ชิดกับแกนนำพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่การเป็นที่ปรึกษาให้ "พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล" อดีตรองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย กระทั่งเลือกตั้งครั้งล่าสุด เขาก็ได้รับเลือกให้เป็นที่ปรึกษาให้กับ พล.อ.อ. สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม ที่เพิ่งถูกปรับให้เป็น รมว.กลาโหม ในที่สุด
"ชัชชาติ" เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท วิทยุการบิน จำกัด กรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย และกรรมการบริษัท ขนส่ง จำกัด ผู้ช่วยอธิการบดี (สำนักงานจัดการทรัพย์สิน) จุฬาฯ ผู้อำนวยการศูนย์บริการวิชาการ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าศูนย์วิจัยเพื่อความปลอดภัยจากอัคคีภัย คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ
"อารักษ์ ชลธาร์นนท์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน จบการศึกษา Electronic Engineering จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ประธานกรรมการบริหารสายธุรกิจ ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์, กรรมการบริหารบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), กรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ชินวัตร อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้อำนวยการบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ "บุญคลี ปลั่งศิริ" อดีตประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บุคคลที่ พ.ต.ท.ทักษิณมอบอำนาจให้ดูแลธุรกิจแทนตลอดมา
"สุชาติ ธาดาธำรงเวช" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตเคยเป็นรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เริ่มทำงานการเมืองโดยการเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีในปี 2546 เป็น รมว.คลัง 2 รัฐบาล ทั้งสมัย
นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อีกทั้งยังเคยดำรงตำแหน่งเป็น "หัวหน้าพรรคเพื่อไทย" สมัยที่พรรคพลังประชาชนยังไม่โดนยุบ รวมการเข้าร่วมชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อปี พ.ศ. 2553 พร้อมกล่าวโจมตีรัฐบาลในขณะนั้นอีกด้วย
เขาจบการศึกษาเศรษฐศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโท เศรษฐศาสตร์ The London School of Economics and Political Science สหราชอาณาจักร ปริญญาเอก เศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมคมาสเตอร์ ประเทศแคนาดา ปริญญาบัตรหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน รุ่นที่ 1 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
"ศักดา คงเพชร" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เข้ามาดำรงตำแหน่งในโควตาภาคอีสาน เขาเป็นหนึ่งในผู้เปิดโปง "แก๊ง ออฟ โฟร์" ของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช
และเป็นเจ้าของวาทกรรม "หักหลังทักษิณ" ทำให้กลุ่ม "เพื่อนเนวิน" และนายเนวิน ชิดชอบ ถอยทัพไปตั้งพรรคภูมิใจไทย และร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ ในที่สุด
เขาจบปริญญาตรี ด้านบริหารการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด เป็นอดีตสมาชิกสภาจังหวัดร้อยเอ็ด และ ส.ส.ร้อยเอ็ด 4 สมัย ถือเป็นหนึ่งในแกนนำกลุ่มอีสานพัฒนา ในพรรคพลังประชาชน ร่วมกับไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม และปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
"ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม จบการศึกษาปริญญาตรี Computer Science Southeast Missouri State University ปริญญาโท Industrial Management University of Central Missouri และ Public Policy & Management Harvard University ปัจจุบันเป็นคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม วิทยาลัยนวัตกรรมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ปี 2543-2547 เขาดำรงตำแหน่งเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวางแผนพัฒนาและเทคโนโลยี ปี 2541-2543 รองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคลและกฎหมาย และปี 2538-2541 ผู้อำนวยการสถาบัน ประมวลข้อมูลเพื่อการศึกษาและการพัฒนา
นอกจากนี้ ยังเคยเป็นกรรมการสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศและนิเทศศาสตร์ ในคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ อนุกรรมการวางแผนอุดมศึกษา ในคณะกรรมการการอุดมศึกษา และอนุกรรมการประเมินผล สถาบันวิทยาการการเรียนรู้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555
เรื่อง ม.112 ใครเห็นด้วยยกมือขึ้น !!?
ประเทศเราอ่อนไหวเหลือเกิน กับความขัดแย้ง เราเสแสร้งกันเหลือเกินแล้ว ผมไม่อยากจะใช้คำที่รุนแรงไปกว่านี้ ขอความกรุณาเถิดว่าเลิกเสแสร้ง ความขัดแย้งในสังคมประชาธิปไตยเป็นของธรรมดา เป็นของสามัญอย่างยิ่ง ขอเพียงให้คนที่เห็นต่างกันมีโอกาสพูด มีโอกาสเสนอความเห็นอย่างตรงไปตรงมา อย่าไปไล่เขา อย่าไปบอกให้เขาไปอยู่ที่อื่น อย่าไปบอกให้เขาต้องเปลี่ยนสัญชาติ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ในกรอบของกฎหมายทั้งปวง”
นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ แถลงถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขประ-มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) เพื่อรวบรวมรายชื่อบุคคลให้ได้ 10,000 คน เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ (อ่านเพิ่มเติมหน้า 6) ท่ามกลางผู้ร่วมฟังนับหมื่นจนล้นห้องประชุมศรีบูรพา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งรายชื่อแรกที่ร่วมรณรงค์คือ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะที่นายชาญวิทย์ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คโดยตั้งหัวข้อว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ ม.112 ของ “สยาม” vs “ไทย” ถอยหลังหรือเดินหน้าเข้าคลอง” โดยสรุปว่า แต่เดิม “ราชอาณาจักรสยาม” (สมัยโบราณ) เคยมี “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่มีโทษจำคุกระหว่าง 3-7 ปี แต่ “ราชอาณาจักรไทย” (สมัยใหม่) มี “กฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ขึ้นมาแทน และมีโทษจำคุกสูงกว่าคือระหว่าง 3-15 ปี (นับได้ว่าสูงสุดในมาตรฐานสากลและนานาอารย ประเทศโลก และ “ราชอาณาจักรไทย” สมัยใหม่ของเราก็มีคดีขึ้นโรงศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในระดับมาตรฐานสากลของนานาอารยประเทศเช่นกัน)
จาก “กึ่งเสรี” เป็น “ไม่เสรี”
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะตัวแทน ครก.112 อ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า นับแต่การรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา สถิติการจับกุมด้วยมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะปี 2553 มีการฟ้องร้องถึง 478 ข้อหา นอกจากนี้ความ “จงรักภักดี” ยังกลายเป็นอาวุธสำหรับข่มขู่คุกคามและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ความอ่อนไหวต่อมาตรา 112 จึงมักทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกกระทำอย่างไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่อนุญาตให้ประกันตน ดำเนินการไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ และยังถูกกดดันจากสังคมรอบข้างอย่างมาก อย่างกรณี “ขบวนล่าแม่มด”
นอกจากนี้มาตรา 112 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประเทศไทยตกต่ำอย่างถึงที่สุด โดยรายงานปี 2554 องค์กรฟรีดอมเฮาส์เปลี่ยนสถานะเสรีภาพของไทยจาก “กึ่งเสรี” เป็น “ไม่เสรี” เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา โซมาเลีย และปากีสถาน
7 ข้อเสนอ “นิติราษฎร์”
โดยเฉพาะกรณีคดี “อากง” และนายโจ กอร์ดอน สัญชาติไทย-อเมริกัน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดังกระหึ่มไปทั่วโลก เพราะสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และประเทศต่างๆแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 112 ขณะที่ภายในประเทศก็มีการเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ เพื่อให้สังคมร่วมกันพิจารณาในสาระสำคัญคือ
1.ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร
2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี สำหรับพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้นแทนพระองค์
“นิธิ” ชี้ต้องแก้กฎหมายฉ้อฉล
นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ให้เหตุผลที่ร่วมรณรงค์ให้แก้ไขมาตรา 112 ว่า ปัจจุบันไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย ซึ่งระบอบกษัตริย์ที่ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในหลายประเทศทั่วโลกล้วนเป็นระบอบกษัตริย์ที่อนุวัตตามระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะสัดส่วนการลงโทษความผิดมาตรา 112 เป็นข้อบังคับแน่นอนตายตัว ไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความผิดที่กระทำคือ หากศาลพิ-พากษาว่ามีความผิดก็ต้องถูกจำคุก 3 ปีเป็นอย่างต่ำ และ 15 ปีเป็นอย่างสูง เมื่อเทียบกับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาจึงแตกต่างและรุนแรงกว่ากันมาก เพราะเหตุเอามาตรา 112 ไปอยู่ในหมวด “ความมั่นคงของรัฐ”
ขณะที่อำนาจในการกล่าวหาฟ้องร้องก็ให้ทุกคนมีสิทธิที่จะฟ้องร้องอย่างไรก็ได้ จนมาตรา 112 ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อและเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือแม้แต่ไม่ชอบหน้าใครก็สามารถนำไปฟ้องร้องกล่าวโทษได้ การตัดสินใจจะดำเนินคดีหรือไม่จึงต้องใช้การพิจารณามากกว่าข้อบัญญัติของกฎหมาย เพราะบางครั้งการไม่ดำเนินคดีอาจเป็นผลดีต่อสถาบันมากกว่า ไม่ใช่ใครก็สามารถฟ้องร้องได้
“เมื่อใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลภายใต้วัฒนธรรมและการเมืองที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งทำให้การใช้กฎหมายฉ้อฉลมากขึ้นไปอีก เช่น เจ้าหน้าที่ไม่กล้าตัดสินใจไม่ฟ้อง ดังนั้น จึงต้องแก้ที่ตัวกฎหมายเพื่อให้ในทางปฏิบัติจะไม่มีใครนำมาตรานี้ไปใช้อย่างฉ้อฉลได้”
กลุ่มต่อต้านเคลื่อนไหวตอบโต้
ด้านกลุ่มต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ก็ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างคึกคักเช่นกัน ไม่ใช่แค่ “ขาประจำ” ของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ที่จัดกิจกรรมตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น แต่ยังมีพรรคประชาธิปัตย์เจ้าเก่าที่ออกมาคัดค้าน โดยใช้เหตุผลเดิมๆที่กล่าวหากลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวว่าไม่จงรักภักดี แทนที่จะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเหตุผลทางหลักกฎหมายและวิชาการมาโต้แย้งและชี้แจงกับประชาชน มิใช่เอาแต่โจมตีด้วยวาทกรรมซ้ำซากอย่างนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่แถลงว่า มาตรา 112 ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่เมื่อมีกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อสถาบันออกมาเคลื่อนไหวจึงทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น จึงจะนำกฎหมายฉบับนี้แยกออกจากความมั่นคงของชาติไม่ได้ เพราะความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์คือความมั่นคงของไทย
“สยามประชาภิวัฒน์” จัดหนัก
แต่กลุ่มนักวิชาการที่ออกมาร่วมคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 และถูกจับตามองอย่างมากคือ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” นำโดยนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของนักวิชาการ 5 สถาบันอุดมศึกษา ประมาณ 20 คน แม้จะระบุว่าไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อชนกับคณะนิติราษฎร์ แต่ก็แถลงเหตุผลการคัดค้านแก้ไขมาตรา 112 และแก้รัฐธรรมนูญว่า ต้องให้คุณค่ากับสังคมไทย ไม่ใช่ไปเอาแบบสังคมตะวันตก สังคมไทยให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นตัวตั้งของสังคมไทย
ขณะที่นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หนึ่งในกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตและเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องแก้มาตรา 112 เช่น ความผิดความมั่นคงแห่งรัฐถือเป็นการวางหลักปกป้องคุ้มครองประ- มุขของรัฐ ซึ่งแทบทุกประเทศก็มีกฎหมายลักษณะนี้ ส่วนข้ออ้างว่ามีการนำไปใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองนั้นก็ทำได้แทบทุกลักษณะความผิด ไม่ใช่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น มาตรา 112 จึงไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่แสดงความคิดเห็นเกินขอบเขตจนไปล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นคือสถาบัน
8 ราชนิกุลหนุนแก้มาตรา 112
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือราชนิกุลผู้มีชื่อเสียงจำนวน 8 คน ได้ลงนามในจดหมายที่ส่งไปถึง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2555 เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้นำมาตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 12 มกราคมว่า ราชนิกุลผู้มีชื่อเสียง 8 คน ได้แก่ หม่อมราชวงศ์สายสวัสดี สวัสดิวัตน์ (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ หรือท่านชิ้น) หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ ศิริบุตร (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์) หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ (ธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) นายวรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (อดีตเอกอัครราชทูต) พลเอกหม่อมราชวงศ์กฤษต กฤดากร, หม่อม ราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (ธิดาในหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง) หม่อมราชวงศ์โอภาส กาญจนะวิชัย และนายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา
เนื้อหาในจดหมายระบุว่า จำนวนคดีหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญในช่วงเวลา 7 ปี จากจำนวน 0 คดีในปี 2545 เพิ่มมาเป็น 165 คดีในปี 2552 ซึ่งคดีความถูกรายงานไปทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
จดหมายยังอ้างถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ซึ่งทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าการลงโทษจับกุมคุมขังบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันนั้นมีแต่จะก่อปัญหาให้แก่พระองค์เอง และระบุว่า นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสดังกล่าว มีรัฐบาลหลายชุดหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่มีรัฐบาลชุดใดที่จะริเริ่มดำเนินการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ขณะที่นายสุเมธให้สัมภาษณ์ว่า พวกเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย แต่คิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งต้องแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและปกป้องสถาบัน ซึ่งถือเป็นการเอาใจใส่ต่อความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสังคมไทยกำลังแตกแยก ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายอย่างสุดขั้ว รัฐบาลจึงควรให้ความสนใจกับคำแนะนำของในหลวง
“ที่สำคัญสุดเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราต้องการให้มีการคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายมาตราดังกล่าว”
คอป. เสนอแนวทางแก้ ม.112
เช่นเดียวกับนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ถึงนายกรัฐมนตรี เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 โดยอ้างการศึกษาถึงพื้นฐานความแตกต่างในสังคมประชาธิปไตยในต่างประเทศกับสังคมไทย พบว่าในประเทศประชาธิปไตยคนในกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นเสรีนิยมสูง แต่คนในกระบวนการยุติธรรมของไทยมีความเป็นอำนาจนิยมสูง ทำให้เกิดการโต้เถียงและขัดแย้งกันอย่างมาก แต่ คอป. ก็ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกมาตรา 112
คอป. จึงให้รัฐบาลเสนอแก้ไขมาตรา 112 ต่อรัฐสภาว่า ใครหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งความผิดต้องให้อำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับอำนาจจากสำนักราชเลขาธิการ
กดดันสภา-ผู้อาวุโส?
ส่วนนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ที่รณรงค์เรื่อง “ฝ่ามืออากง” ได้ชวนให้สนับสนุนคณะนิติราษฎร์โดยถ่ายภาพฝ่ามือที่มีข้อความว่า “นิติราษฎร์” แม้จะยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังกับการขับเคลื่อนของคณะนิติราษฎร์ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ทำให้สังคมไทยตาสว่างเห็นปัญหาของมาตรา 112
ขณะที่อาจารย์สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ ยอมรับว่า การเสนอร่างหรือล่ารายชื่ออย่างเดียวอาจไม่มีอะไรมาก แต่จะต้องคอยกดดันตลอดว่ามาตรา 112 มีปัญหา แม้แต่การรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ที่รวบรวมรายชื่อประชาชน 10,000 ชื่อ ก็เป็นเพียงการผลักดันให้ร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่สภา หลังจากนั้นต้องพยายามขับเคลื่อนในเชิงสังคมไปพร้อมๆกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลขยับเรื่องนี้
แต่สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มเรียกร้องให้คนที่มีเสียงในบ้านเมือง อย่างนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยออกมาพูดว่ามาตรา 112 มีปัญหา แต่ไม่ได้บอกว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อ จึงต้องพยายามเรียกร้องให้นายอานันท์บอกว่าแล้วต้องทำอะไรต่อ พยายามเรียกร้องให้มานั่งคุยกันว่าสุดท้ายมาตรา 112 จะถูกปฏิรูปหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร หรือจะยกเลิก เชื่อว่าเรื่องนี้คุยกันได้ เพราะถึงเวลาที่จะต้องมาคุยกันแล้ว
112 วัดใจ ส.ส.เพื่อไทย?
แต่ ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำกลุ่มสันติประชาธรรม เตือนว่า แม้จะมีกระแสต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงให้แก้ไขได้ “ดิฉันเตือนว่ายิ่งมีการใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างรุนแรงมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อในลำดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว ทั้งที่เรื่องสิทธิเสรีภาพในด้านอื่นๆมีการขยายตัวอย่างมาก ประเทศไทยมีความเจริญทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่เรื่องทางการเมืองขณะนี้กลับถดถอยตกต่ำ แล้วยังมาเจอกฎหมายที่ลงโทษคนด้วยการส่งข้อความ SMS อย่างกรณีของอากง ถือเป็นกรณีที่ช็อกความรู้สึกผู้คนเป็นจำนวนมาก”
อาจารย์พวงทองฝากถึงรัฐบาลเพื่อไทยว่า การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศจะไม่แก้ไขมาตรา 112 ทั้งยังเดินหน้าปราบเว็บไซต์หมิ่นฯอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามีความจงรักภักดีในรูปแบบต่างๆ ทำให้ประชาชนที่เลือกเข้ามาในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมารู้สึกว่ากำลังถูกพรรคเพื่อไทยหักหลัง และกำลังทำร้ายประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
“ดิฉันขอเตือนว่าสิ่งเหล่านี้ประชาชนจะไม่ลืมง่ายๆ และในที่สุดแล้วคนที่จะสูญเสียนอกจากประชาชนที่ถูกพวกคุณกดทับเรื่องสิทธิเสรีภาพแล้ว พรรคเพื่อไทยเองก็จะไม่ได้อะไรจากครั้งนี้เลย”
ดังนั้น แม้พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพยายามหลบเลี่ยงไม่แก้ไขมาตรา 112 แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่าทำไมจึงไม่แก้ไขมาตรา 112 ทั้งที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเข้าชื่อเพื่อขอแก้ไขกฎหมายแล้ว หรือแท้จริงกำลังต้องการเกี๊ยะเซียะกับระบอบอำนาจนิยม อย่างที่นายแฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพการแสดงออกของสหประชาชาติ กล่าวถึงการเรียกร้องให้ประเทศไทยยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนว่า
“ไม่ใช่เป็นการแทรกแซง เนื่องจากสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องในทางระหว่างประเทศ และเป็นความรับผิดชอบของประเทศที่ทันสมัย มีอารยะ และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่ประเทศที่ต้องการจะกลับไปสู่ระบอบอำนาจนิยม ไร้อารยะ และไม่ตามครรลองประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะปฏิเสธหลักสิทธิมนุษยชน”
การเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเป็นเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” โดยแท้
ไม่ใช่ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่กลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่รายล้อมและอิงแอบแนบชิดพยายามประดิษฐ์สรรหาวาทกรรมใหม่ๆ อาทิ “ทุนนิยมสามานย์” หรือ “เผด็จ การทุนนิยม” มาบิดเบือนให้คนไทยเข้าใจผิดและลืม “ความเป็นมนุษย์” ของตนไปโดยมิทันรู้ตัว
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) หนึ่งในคณะนิติราษฎร์ แถลงถึงการจัดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขประ-มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และเปิดตัวคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 (ครก.112) เพื่อรวบรวมรายชื่อบุคคลให้ได้ 10,000 คน เพื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 112 ตามข้อเสนอคณะนิติราษฎร์ (อ่านเพิ่มเติมหน้า 6) ท่ามกลางผู้ร่วมฟังนับหมื่นจนล้นห้องประชุมศรีบูรพา เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งรายชื่อแรกที่ร่วมรณรงค์คือ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ขณะที่นายชาญวิทย์ให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คโดยตั้งหัวข้อว่า “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ ม.112 ของ “สยาม” vs “ไทย” ถอยหลังหรือเดินหน้าเข้าคลอง” โดยสรุปว่า แต่เดิม “ราชอาณาจักรสยาม” (สมัยโบราณ) เคยมี “กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ” ที่มีโทษจำคุกระหว่าง 3-7 ปี แต่ “ราชอาณาจักรไทย” (สมัยใหม่) มี “กฎหมายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย” ขึ้นมาแทน และมีโทษจำคุกสูงกว่าคือระหว่าง 3-15 ปี (นับได้ว่าสูงสุดในมาตรฐานสากลและนานาอารย ประเทศโลก และ “ราชอาณาจักรไทย” สมัยใหม่ของเราก็มีคดีขึ้นโรงศาลมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในระดับมาตรฐานสากลของนานาอารยประเทศเช่นกัน)
จาก “กึ่งเสรี” เป็น “ไม่เสรี”
รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะตัวแทน ครก.112 อ่านแถลงการณ์ตอนหนึ่งว่า นับแต่การรัฐประหาร 2549 เป็นต้นมา สถิติการจับกุมด้วยมาตรา 112 เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เฉพาะปี 2553 มีการฟ้องร้องถึง 478 ข้อหา นอกจากนี้ความ “จงรักภักดี” ยังกลายเป็นอาวุธสำหรับข่มขู่คุกคามและสร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน ความอ่อนไหวต่อมาตรา 112 จึงมักทำให้ผู้ถูกกล่าวหาถูกกระทำอย่างไม่เคารพสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ไม่อนุญาตให้ประกันตน ดำเนินการไต่สวนด้วยวิธีปิดลับ และยังถูกกดดันจากสังคมรอบข้างอย่างมาก อย่างกรณี “ขบวนล่าแม่มด”
นอกจากนี้มาตรา 112 ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สถานการณ์สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประเทศไทยตกต่ำอย่างถึงที่สุด โดยรายงานปี 2554 องค์กรฟรีดอมเฮาส์เปลี่ยนสถานะเสรีภาพของไทยจาก “กึ่งเสรี” เป็น “ไม่เสรี” เช่นเดียวกับเกาหลีเหนือ พม่า จีน คิวบา โซมาเลีย และปากีสถาน
7 ข้อเสนอ “นิติราษฎร์”
โดยเฉพาะกรณีคดี “อากง” และนายโจ กอร์ดอน สัญชาติไทย-อเมริกัน ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยดังกระหึ่มไปทั่วโลก เพราะสหประชาชาติ องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และประเทศต่างๆแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 112 ขณะที่ภายในประเทศก็มีการเคลื่อนไหวให้แก้ไขมาตรา 112 ซึ่งหนึ่งในนั้นคือกลุ่มนักวิชาการคณะนิติราษฎร์ เพื่อให้สังคมร่วมกันพิจารณาในสาระสำคัญคือ
1.ให้ยกเลิกมาตรา 112 ออกจากลักษณะว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของราชอาณาจักร
2.เพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
3.แบ่งแยกการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ออกจากการคุ้มครองสำหรับตำแหน่งพระ ราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
4.เปลี่ยนบทกำหนดโทษ โดยไม่มีอัตราโทษขั้นต่ำ แต่กำหนดเพดานโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 3 ปี สำหรับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และไม่เกิน 2 ปี สำหรับพระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
5.เพิ่มเหตุยกเว้นความผิด กรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต
6.เพิ่มเหตุยกเว้นโทษ กรณีข้อความที่กล่าวหานั้นได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
7.ห้ามบุคคลทั่วไปกล่าวโทษผู้ที่ทำความผิด ให้สำนักราชเลขาธิการมีอำนาจเป็นผู้กล่าวโทษเท่านั้นแทนพระองค์
“นิธิ” ชี้ต้องแก้กฎหมายฉ้อฉล
นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ให้เหตุผลที่ร่วมรณรงค์ให้แก้ไขมาตรา 112 ว่า ปัจจุบันไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้สถาบันกษัตริย์เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตย ซึ่งระบอบกษัตริย์ที่ดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงในหลายประเทศทั่วโลกล้วนเป็นระบอบกษัตริย์ที่อนุวัตตามระบอบประชาธิปไตย
โดยเฉพาะสัดส่วนการลงโทษความผิดมาตรา 112 เป็นข้อบังคับแน่นอนตายตัว ไม่มีทางเลือกอื่น ซึ่งไม่สอดคล้องกับความผิดที่กระทำคือ หากศาลพิ-พากษาว่ามีความผิดก็ต้องถูกจำคุก 3 ปีเป็นอย่างต่ำ และ 15 ปีเป็นอย่างสูง เมื่อเทียบกับการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาจึงแตกต่างและรุนแรงกว่ากันมาก เพราะเหตุเอามาตรา 112 ไปอยู่ในหมวด “ความมั่นคงของรัฐ”
ขณะที่อำนาจในการกล่าวหาฟ้องร้องก็ให้ทุกคนมีสิทธิที่จะฟ้องร้องอย่างไรก็ได้ จนมาตรา 112 ถูกใช้อย่างพร่ำเพรื่อและเป็นเครื่องมือทางการเมือง หรือแม้แต่ไม่ชอบหน้าใครก็สามารถนำไปฟ้องร้องกล่าวโทษได้ การตัดสินใจจะดำเนินคดีหรือไม่จึงต้องใช้การพิจารณามากกว่าข้อบัญญัติของกฎหมาย เพราะบางครั้งการไม่ดำเนินคดีอาจเป็นผลดีต่อสถาบันมากกว่า ไม่ใช่ใครก็สามารถฟ้องร้องได้
“เมื่อใช้กฎหมายอย่างฉ้อฉลภายใต้วัฒนธรรมและการเมืองที่เป็นเช่นทุกวันนี้ ก็ยิ่งทำให้การใช้กฎหมายฉ้อฉลมากขึ้นไปอีก เช่น เจ้าหน้าที่ไม่กล้าตัดสินใจไม่ฟ้อง ดังนั้น จึงต้องแก้ที่ตัวกฎหมายเพื่อให้ในทางปฏิบัติจะไม่มีใครนำมาตรานี้ไปใช้อย่างฉ้อฉลได้”
กลุ่มต่อต้านเคลื่อนไหวตอบโต้
ด้านกลุ่มต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 ก็ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้อย่างคึกคักเช่นกัน ไม่ใช่แค่ “ขาประจำ” ของ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มเสื้อหลากสี ที่จัดกิจกรรมตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อผู้ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขมาตรา 112 เท่านั้น แต่ยังมีพรรคประชาธิปัตย์เจ้าเก่าที่ออกมาคัดค้าน โดยใช้เหตุผลเดิมๆที่กล่าวหากลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวว่าไม่จงรักภักดี แทนที่จะนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเหตุผลทางหลักกฎหมายและวิชาการมาโต้แย้งและชี้แจงกับประชาชน มิใช่เอาแต่โจมตีด้วยวาทกรรมซ้ำซากอย่างนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่แถลงว่า มาตรา 112 ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่เมื่อมีกลุ่มที่มุ่งร้ายต่อสถาบันออกมาเคลื่อนไหวจึงทำให้มีปัญหาเกิดขึ้น จึงจะนำกฎหมายฉบับนี้แยกออกจากความมั่นคงของชาติไม่ได้ เพราะความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์คือความมั่นคงของไทย
“สยามประชาภิวัฒน์” จัดหนัก
แต่กลุ่มนักวิชาการที่ออกมาร่วมคัดค้านการแก้ไขมาตรา 112 และถูกจับตามองอย่างมากคือ “กลุ่มสยามประชาภิวัฒน์” นำโดยนายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของนักวิชาการ 5 สถาบันอุดมศึกษา ประมาณ 20 คน แม้จะระบุว่าไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อชนกับคณะนิติราษฎร์ แต่ก็แถลงเหตุผลการคัดค้านแก้ไขมาตรา 112 และแก้รัฐธรรมนูญว่า ต้องให้คุณค่ากับสังคมไทย ไม่ใช่ไปเอาแบบสังคมตะวันตก สังคมไทยให้ความสำคัญกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะเป็นตัวตั้งของสังคมไทย
ขณะที่นายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หนึ่งในกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ได้ตั้งข้อสังเกตและเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องแก้มาตรา 112 เช่น ความผิดความมั่นคงแห่งรัฐถือเป็นการวางหลักปกป้องคุ้มครองประ- มุขของรัฐ ซึ่งแทบทุกประเทศก็มีกฎหมายลักษณะนี้ ส่วนข้ออ้างว่ามีการนำไปใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองนั้นก็ทำได้แทบทุกลักษณะความผิด ไม่ใช่เฉพาะมาตรา 112 เท่านั้น มาตรา 112 จึงไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่แสดงความคิดเห็นเกินขอบเขตจนไปล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นคือสถาบัน
8 ราชนิกุลหนุนแก้มาตรา 112
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งคือราชนิกุลผู้มีชื่อเสียงจำนวน 8 คน ได้ลงนามในจดหมายที่ส่งไปถึง น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันเสาร์ที่ 7 มกราคม 2555 เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ได้นำมาตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 12 มกราคมว่า ราชนิกุลผู้มีชื่อเสียง 8 คน ได้แก่ หม่อมราชวงศ์สายสวัสดี สวัสดิวัตน์ (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ หรือท่านชิ้น) หม่อมราชวงศ์สายสิงห์ ศิริบุตร (ธิดาในหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์) หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ (ธิดาในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์) นายวรพจน์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (อดีตเอกอัครราชทูต) พลเอกหม่อมราชวงศ์กฤษต กฤดากร, หม่อม ราชวงศ์ภวรี สุชีวะ (ธิดาในหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง) หม่อมราชวงศ์โอภาส กาญจนะวิชัย และนายสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา
เนื้อหาในจดหมายระบุว่า จำนวนคดีหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างสำคัญในช่วงเวลา 7 ปี จากจำนวน 0 คดีในปี 2545 เพิ่มมาเป็น 165 คดีในปี 2552 ซึ่งคดีความถูกรายงานไปทั่วโลก และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
จดหมายยังอ้างถึงพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ซึ่งทรงมีพระราชกระแสรับสั่งว่าการลงโทษจับกุมคุมขังบุคคลผู้วิพากษ์วิจารณ์สถาบันนั้นมีแต่จะก่อปัญหาให้แก่พระองค์เอง และระบุว่า นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสดังกล่าว มีรัฐบาลหลายชุดหมุนเวียนกันเข้ามาบริหารประเทศ แต่ไม่มีรัฐบาลชุดใดที่จะริเริ่มดำเนินการแก้ไขกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมทั้งรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ขณะที่นายสุเมธให้สัมภาษณ์ว่า พวกเราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย แต่คิดว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลซึ่งต้องแสวงหาหนทางแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและปกป้องสถาบัน ซึ่งถือเป็นการเอาใจใส่ต่อความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะสังคมไทยกำลังแตกแยก ประชาชนแบ่งออกเป็นฝักฝ่ายอย่างสุดขั้ว รัฐบาลจึงควรให้ความสนใจกับคำแนะนำของในหลวง
“ที่สำคัญสุดเหนือสิ่งอื่นใด พวกเราต้องการให้มีการคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายมาตราดังกล่าว”
คอป. เสนอแนวทางแก้ ม.112
เช่นเดียวกับนายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ถึงนายกรัฐมนตรี เสนอให้แก้ไขมาตรา 112 โดยอ้างการศึกษาถึงพื้นฐานความแตกต่างในสังคมประชาธิปไตยในต่างประเทศกับสังคมไทย พบว่าในประเทศประชาธิปไตยคนในกระบวนการยุติธรรมมีความเป็นเสรีนิยมสูง แต่คนในกระบวนการยุติธรรมของไทยมีความเป็นอำนาจนิยมสูง ทำให้เกิดการโต้เถียงและขัดแย้งกันอย่างมาก แต่ คอป. ก็ไม่เห็นด้วยที่จะยกเลิกมาตรา 112
คอป. จึงให้รัฐบาลเสนอแก้ไขมาตรา 112 ต่อรัฐสภาว่า ใครหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งความผิดต้องให้อำนาจในการสอบสวนดำเนินคดีจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับอำนาจจากสำนักราชเลขาธิการ
กดดันสภา-ผู้อาวุโส?
ส่วนนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ที่รณรงค์เรื่อง “ฝ่ามืออากง” ได้ชวนให้สนับสนุนคณะนิติราษฎร์โดยถ่ายภาพฝ่ามือที่มีข้อความว่า “นิติราษฎร์” แม้จะยอมรับว่าไม่ได้คาดหวังกับการขับเคลื่อนของคณะนิติราษฎร์ว่าจะไปได้ไกลแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็ทำให้สังคมไทยตาสว่างเห็นปัญหาของมาตรา 112
ขณะที่อาจารย์สาวตรี สุขศรี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในแกนนำคณะนิติราษฎร์ ยอมรับว่า การเสนอร่างหรือล่ารายชื่ออย่างเดียวอาจไม่มีอะไรมาก แต่จะต้องคอยกดดันตลอดว่ามาตรา 112 มีปัญหา แม้แต่การรณรงค์แก้ไขมาตรา 112 ที่รวบรวมรายชื่อประชาชน 10,000 ชื่อ ก็เป็นเพียงการผลักดันให้ร่างแก้ไขมาตรา 112 เข้าสู่สภา หลังจากนั้นต้องพยายามขับเคลื่อนในเชิงสังคมไปพร้อมๆกันเพื่อกดดันให้รัฐบาลขยับเรื่องนี้
แต่สิ่งสำคัญคือต้องเริ่มเรียกร้องให้คนที่มีเสียงในบ้านเมือง อย่างนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยออกมาพูดว่ามาตรา 112 มีปัญหา แต่ไม่ได้บอกว่าแล้วจะทำอย่างไรต่อ จึงต้องพยายามเรียกร้องให้นายอานันท์บอกว่าแล้วต้องทำอะไรต่อ พยายามเรียกร้องให้มานั่งคุยกันว่าสุดท้ายมาตรา 112 จะถูกปฏิรูปหรือไม่ จะแก้ไขอย่างไร หรือจะยกเลิก เชื่อว่าเรื่องนี้คุยกันได้ เพราะถึงเวลาที่จะต้องมาคุยกันแล้ว
112 วัดใจ ส.ส.เพื่อไทย?
แต่ ผศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแกนนำกลุ่มสันติประชาธรรม เตือนว่า แม้จะมีกระแสต่อต้านการแก้ไขมาตรา 112 มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงให้แก้ไขได้ “ดิฉันเตือนว่ายิ่งมีการใช้กฎหมายมาตรา 112 อย่างรุนแรงมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อในลำดับต้นๆของโลกเลยทีเดียว ทั้งที่เรื่องสิทธิเสรีภาพในด้านอื่นๆมีการขยายตัวอย่างมาก ประเทศไทยมีความเจริญทางเศรษฐกิจมากขึ้น แต่เรื่องทางการเมืองขณะนี้กลับถดถอยตกต่ำ แล้วยังมาเจอกฎหมายที่ลงโทษคนด้วยการส่งข้อความ SMS อย่างกรณีของอากง ถือเป็นกรณีที่ช็อกความรู้สึกผู้คนเป็นจำนวนมาก”
อาจารย์พวงทองฝากถึงรัฐบาลเพื่อไทยว่า การที่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศจะไม่แก้ไขมาตรา 112 ทั้งยังเดินหน้าปราบเว็บไซต์หมิ่นฯอย่างหนักเพื่อพิสูจน์ตัวเองว่ามีความจงรักภักดีในรูปแบบต่างๆ ทำให้ประชาชนที่เลือกเข้ามาในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมารู้สึกว่ากำลังถูกพรรคเพื่อไทยหักหลัง และกำลังทำร้ายประชาชนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทย
“ดิฉันขอเตือนว่าสิ่งเหล่านี้ประชาชนจะไม่ลืมง่ายๆ และในที่สุดแล้วคนที่จะสูญเสียนอกจากประชาชนที่ถูกพวกคุณกดทับเรื่องสิทธิเสรีภาพแล้ว พรรคเพื่อไทยเองก็จะไม่ได้อะไรจากครั้งนี้เลย”
ดังนั้น แม้พรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์จะพยายามหลบเลี่ยงไม่แก้ไขมาตรา 112 แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็ต้องตอบคำถามประชาชนให้ได้ว่าทำไมจึงไม่แก้ไขมาตรา 112 ทั้งที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเข้าชื่อเพื่อขอแก้ไขกฎหมายแล้ว หรือแท้จริงกำลังต้องการเกี๊ยะเซียะกับระบอบอำนาจนิยม อย่างที่นายแฟรงค์ ลา รู ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพการแสดงออกของสหประชาชาติ กล่าวถึงการเรียกร้องให้ประเทศไทยยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชนว่า
“ไม่ใช่เป็นการแทรกแซง เนื่องจากสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องในทางระหว่างประเทศ และเป็นความรับผิดชอบของประเทศที่ทันสมัย มีอารยะ และเป็นประชาธิปไตย ซึ่งมีแต่ประเทศที่ต้องการจะกลับไปสู่ระบอบอำนาจนิยม ไร้อารยะ และไม่ตามครรลองประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะปฏิเสธหลักสิทธิมนุษยชน”
การเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงเป็นเรื่องของ “สิทธิมนุษยชน” โดยแท้
ไม่ใช่ “ขบวนการล้มเจ้า” ที่กลุ่มผลประโยชน์ที่อยู่รายล้อมและอิงแอบแนบชิดพยายามประดิษฐ์สรรหาวาทกรรมใหม่ๆ อาทิ “ทุนนิยมสามานย์” หรือ “เผด็จ การทุนนิยม” มาบิดเบือนให้คนไทยเข้าใจผิดและลืม “ความเป็นมนุษย์” ของตนไปโดยมิทันรู้ตัว
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
นายกฯ รมว.กลาโหม ผบ.สส.ชม กริพเพน !!?
นายกรัฐมนตรี พร้อมรมว.กลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ ชมการสาธิตการใช้กำลังทางอากาศของเครื่องบิน"กริพเพน"
น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกเสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเอก ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเรือเอก สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ และ พลเอก ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รองผู้บัญชาการทหารบก ร่วมเดินทางชมการแสดงสาธิตการใช้กำลังทางอากาศ ในการแข่งขันการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธีในโอกาสนี้ใด้มีการแสดงของเครื่องบิน"กริพเพน" อีกด้วย โดยมี พลอากาศเอก อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ให้การต้อนรับ ณ สนามฝึกใช้อาวุธทางอากาศ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี
ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ได้ยกเลิกการเดินทางไปร่วมงานโดยล่าสุดมีการปรับเปลี่ยนกำหนดการ เนื่องจาก ผู้บัญชาการทหารบก ติดภารกิจที่ จ.ลำปาง จึงได้มอบหมายให้ พลเอก ดาว์พงษ์ เข้าร่วมงานแทน
สำหรับกำหนดการ นายกรัฐมนตรี จะเดินทางกลับจาก จังหวัดลพบุรี ในเวลา 10.45 น. จากนั้นเวลา 12.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงครั้งที่ 1 ประจำปี พ.ศ.2555 ห้องประชุมสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ชั้น 1 อาคารสำนักข่าวกรองแห่งชาติ เวลา 14.30 น. เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรภูฏาน ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี เพื่ออำลา ที่ ทำเนียบรัฐบาล และเวลา 17.30 น. นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้าฯเข้าเฝ้าฝ่าละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณตน ก่อนเข้ารับหน้าที่ใหม่ ที่ อาคารเฉลิมพระเกียรติ ชั้น 14 โรงพยาบาลศิริราช
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555
เมื่อเค้าสงครามอิหร่านก่อตัว !!?
โดย:ไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ
การเผชิญหน้าระหว่างอิหร่านกับสหรัฐและอิสราเอล ที่สืบเนื่องจากการลอบสังหาร นายมุสตาฟา อาห์มาดี-โรชาน นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่าน ซึ่งเป็นรายที่สี่นับตั้งแต่มีการวางระเบิดสังหารรถยนต์สังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านตั้งแต่ปี 2553 ทำให้มีความกังวลว่าจะนำไปสู่การทำสงครามระหว่างกัน
ความขัดแย้งนี้สืบเนื่องจากการพัฒนาโครงการโรงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของอิหร่านที่ Bushehr สหรัฐและอิสราเอลเชื่อว่าอิหร่านต้องการใช้สำหรับพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ต่อมาค้นพบโรงงานไฟฟ้าปรมาณูอีก 2 แห่งที่ Arak และ Natanz ทำให้มีข้อสงสัยมากขึ้น ด้านอิหร่านได้ลงนามในสนธิสัญญาป้องกันแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ (Nonproliferation Treaty) หรือ NPT ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและยืนยันสิทธิของรัฐในจุดยืนที่ถูกต้อง ในการพัฒนาพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ รวมทั้งไม่มีหลักฐานว่าอิหร่าน ได้ละเมิดสนธิสัญญา NPT
โครงการโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์อิร่าน อาจจะเป้าหมายแฝงเร้นในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เหมือนที่ นอม ชอมสกี้ กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยคำพูดของ Martin van Creveld นักประวัติศาสตร์การทหารอิสราเอลชั้นนำคนหนึ่งว่า หลังจากสหรัฐรุกรานอิรักแล้ว “ถ้าอิหร่านไม่พยายามสร้างอาวุธนิวเคลียร์ พวกเขาต้องเป็นพวกบ้าบอ” [1]
ในการทำความเข้าใจถึงการพัฒนาและความซับซ้อนของสถานการณ์นี้ จะเริ่มจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Bushehr และอีกสองแห่งของอิหร่าน ที่รวบรวมโดย Mark Gaffney นักวิจัยและนักเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม
เตาปฏิกรณ์ที่ Bushehr
โรงงานไฟฟ้าปรมาณู Bushehr มีประวัติยาวนาน โครงการนี้เริ่มต้นเมื่อปี 2517 โดยชาห์ เรซา ปาลาวี แผนงานดั้งเดิมเป็นการก่อสร้างเตาปฏิกรณ์ขนาด 1200 - 1300 เมกกะวัตต์ทางชายฝั่งทะเลทางใต้ ผู้รับเหมา คือ บริษัทซีเมนต์ ที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน เมื่อเกิดการปฏิวัติอิหร่านในปี 2522 โครงการได้เสร็จสิ้นไปประมาณ 85% และโครงงานนี้ต้องหยุดชะงักจากการเปลี่ยนแปลงอำนาจการปกครองจากการปฏิวัติครั้งนี้ ต่อมาช่วงระหว่างสงครามกับอิรัก เตาปฏิกรณ์ที่สร้างไม่เสร็จนี้ ได้ถูกทิ้งระเบิดซ้ำและเสียหายอย่างรุนแรง หลังจากสงครามยุติอิหร่านพยายามเรียกบริษัทซีเมนต์ มาทำการก่อสร้างให้เสร็จสิ้น แต่ไม่สำเร็จ เนื่องจากสหรัฐเข้ามาขัดขวางและกดดันอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลเยอรมัน
จนกระทั่งปี 2538 อิหร่านได้ลงนามสัญญามูลค่า 800 ล้านเหรียญกับ Minatom ของรัสเซียในการสร้างเตาปฏิกรณ์ - 1 และได้ทำงานที่โรงงานตั้งแต่นั้นมา โครงการพบปัญหาทางเทคนิคและล่าช้า วิศวกรรัสเซียถูกบังคับให้ ปรับปรุงการออกแบบเดิมของเยอรมัน แต่ปัญหาทั้งหมดได้ปรากฏออกมา เตาปฏิกรณ์ - 1 ได้ลดขนาดลงเล็กน้อยเป็น 1000 เมกกะวัตต์ และเสร็จสมบูรณ์ โดยจะสามารถเดินเครื่องได้ในเดือนธันวาคม 2546 เตาปฏิกรณ์ - 1 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น อิหร่านมีแผนเพิ่มเตาปฏิกรณ์ขนาด 1000 เมกกะวัตต์อีก 5 ชุด อิหร่านได้รับเทคโนโลยีนิวเคลียร์จาก จีน รัสเซีย และชาติอื่นๆ อีกหลายชาติ แต่รัสเซียเป็นผู้ส่งมอบหลักตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990
รัสเซียต่อต้านความกดดันของสหรัฐที่ให้ยกเลิกโครงการ รัสเซียอ้างว่าต้องการเงินตราต่างประเทศ เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งของ Minatom อ้างว่า โครงการนี้สร้างงานให้ชาวรัสเซีย 20,000 คนตามสัญญาที่จะมีมากขึ้น รัสเซียมุ่งไปสู่การขยายความสัมพันธ์ด้านนิวเคลียร์และปฏิเสธคำเรียกร้องของสหรัฐ โดยรัสเซียจะให้ความเคารพอย่างชัดเจนกับการค้ากับอิหร่าน ในฐานะชาติที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี
รัสเซียปฏิเสธความต้องการของสหรัฐสำหรับการตรวจสอบพิเศษด้วย รัสเซียชี้ว่าเตาปฏิกรณ์จะได้รับการตรวจสอบ จากสำนักงานพลังงานปรมาณูนานาชาติ (International Atomic Energy Agency หรือ IAEA) IAEA เยี่ยม Bushehr และสถานที่สงสัยอื่นหลังจากสงครามอ่าวครั้งแรก และล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2546 พร้อมกับรายงานว่าไม่มีการละเมิด แต่สหรัฐยังไม่ยอมรับ IAEA จึงต้องการตรวจสอบโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ของอิหร่านเพิ่มเติม แต่อิหร่านปฏิเสธ
ขณะที่ รัสเซียเห็นด้วยกับการตัดวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ของข้อตกลงในการถ่ายทอดเทคโนโลยี gas centrifuge โดยใช้เตาปฏิกรณ์ light water ที่จะใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมเสริมสมรรถนะต่ำ (low enriched uranium) หรือ LEU ที่ส่งมอบโดยรัสเซีย เชื้อเพลิง LEU ไม่เหมาะสมกับการสร้างระเบิด รัสเซียมีอีกข้อเสนอ คือ ส่งคืนเตาปฏิกรณ์เดิมไปเก็บไว้ในรัสเซีย นี่จะเป็นการลดความเสี่ยงของแพร่กระจายพลูโตเนียม (Christine Kucia, “Russia, Iran Finalize Spent Fuel Agreement,” Arms Control Today, January/February 2003)
ขณะที่ รัสเซียเห็นด้วยกับการตัดวัตถุประสงค์ส่วนใหญ่ของข้อตกลงในการถ่ายทอดเทคโนโลยี gas centrifuge โดยใช้เตาปฏิกรณ์ light water ที่จะใช้เชื้อเพลิงยูเรเนียมเสริมสมรรถนะต่ำ (low enriched uranium) หรือ LEU ที่ส่งมอบโดยรัสเซีย เชื้อเพลิง LEU ไม่เหมาะสมกับการสร้างระเบิด รัสเซียมีอีกข้อเสนอ คือ ส่งคืนเตาปฏิกรณ์เดิมไปเก็บไว้ในรัสเซีย นี่จะเป็นการลดความเสี่ยงของแพร่กระจายพลูโตเนียม (Christine Kucia, “Russia, Iran Finalize Spent Fuel Agreement,” Arms Control Today, January/February 2003)
ตั้งแต่การรื้อฟื้นโครงการนี้ในปี 2538 อิหร่านต้องตอบโต้กับข้อสงสัยในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ประธานาธิบดีอิหร่าน อาลี อักบา ราฟซันจานี บอกกับสำนักข่าว ABC ว่าอิหร่านไม่ได้แสวงหาอาวุธนิวเคลียร์ ราฟซันจานีท้าทายผู้วิจารณ์ให้เสนอหลักฐานโครงการระเบิดลับ จนกระทั่งเดือนธันวาคม 2545 ประธานาธิบดีอิหร่าน โมฮัมหมัด คาตามิ ระบุว่าประเทศของเขามีความมุ่งหวังในการเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิง ไปยังรัสเซียเพื่อแสดงความเชื่อมั่นที่ดี และแสดงว่าประเทศของเขาไม่มีความมุ่งมั่นในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ เจ้าหนาที่อิหร่านเน้นหนักว่า เตาปฏิกรณ์ Bushehr เป็นความจำเป็นเร่งด่วนในเสริมความขาดแคลนกำลังการผลิตไฟฟ้า อิหร่านเหมือนกับประเทศอื่น ที่ต้องการไฟฟ้าสำหรับการพัฒนา
อิสราเอลและสหรัฐไม่ได้ระงับโทสะ เจ้าหน้าที่อิสราเอลตั้งคำถามว่า ทำไมอิหร่าน ซึ่งมีน้ำมันอย่างเหลือเฟือ จึงต้องการเตาปฏิกรณ์ในการผลิตไฟฟ้า ถ้าพวกเขาเชื่อว่า พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบในระยะยาวสำหรับความจำเป็นของเขา พลังงานนิวเคลียร์ไม่มีความเหมาะสมกับอิหร่าน ด้วยเหตุผลเดียวกันว่า ไม่มีความเหมาะสมกับรัฐใดๆ รวมถึงสหรัฐ ทั้งนี้รวมถึงความเสี่ยงของอุบัติเหตุ และการก่อการร้าย ปัญหาการจำกัดกากนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงปรมาณูสามารถดัดแปลงสำหรับกระบวนการใหม่และการสร้างระเบิด อิหร่านจำเป็นต้องเข้าใจว่าความเบี่ยงเบนเช่นนี้จะนำไปสู่การคุกคาม
อิสราเอลและสหรัฐไม่ได้ระงับโทสะ เจ้าหน้าที่อิสราเอลตั้งคำถามว่า ทำไมอิหร่าน ซึ่งมีน้ำมันอย่างเหลือเฟือ จึงต้องการเตาปฏิกรณ์ในการผลิตไฟฟ้า ถ้าพวกเขาเชื่อว่า พลังงานนิวเคลียร์เป็นคำตอบในระยะยาวสำหรับความจำเป็นของเขา พลังงานนิวเคลียร์ไม่มีความเหมาะสมกับอิหร่าน ด้วยเหตุผลเดียวกันว่า ไม่มีความเหมาะสมกับรัฐใดๆ รวมถึงสหรัฐ ทั้งนี้รวมถึงความเสี่ยงของอุบัติเหตุ และการก่อการร้าย ปัญหาการจำกัดกากนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม เชื้อเพลิงปรมาณูสามารถดัดแปลงสำหรับกระบวนการใหม่และการสร้างระเบิด อิหร่านจำเป็นต้องเข้าใจว่าความเบี่ยงเบนเช่นนี้จะนำไปสู่การคุกคาม
Arak และ Natanz
หลายวันต่อมา เจ้าหน้าที่อิหร่านยอมรับสถานที่นั้น พวกเขาแถลงว่าเป็นแผนระยะยาว สำหรับการผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ครบวงจร ในอีกความหมาย อิหร่านมุ่งมั่นในการพัฒนาสมรรถนะกระบวนการเชื้อเพลิงของตัวเอง ประเทศนี้มีแร่ยูเรเนียมดิบมากมาย ในเดือนมีนาคม 2546 เจ้าหน้าที่อิหร่านแถลงว่า โรงงานผลิตเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ Natanz ใกล้ Esfahan เสร็จแล้ว และจะเริ่มการผลิตในไม่ช้า (Paul Kerr, “IAEA ‘Taken Aback’ By Speed Of Iran's Nuclear Program,” Arms Control Today, April 2003)
ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความมุ่งมั่นด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน heavy-water ใช้เป็นตัวกลางของเตาปฏิกรณ์บางประเภท ปัญหาคือ เตาปฏิกรณ์ประเภทนี้ใช้ในการผลิตพลูโตเนียมสำหรับการสร้างระเบิดได้ อิสราเอลทราบถึงการสร้างพลูโตเนียมสำหรับปืนใหญ่นิวเคลียร์จากเตาปฏิกรณ์ประเภทนี้ ขณะที่ เตาปฏิกรณ์ที่ Bushehr ได้รับการออกแบบพิเศษเพื่อใช้ light-water เพื่อทำให้การฟื้นเป็นพลูโตเนียมยากขึ้น ทำไมอิหร่านยังมีความต้องการ heavy-water เมื่อเตาปฏิกรณ์ light-water สามารถให้ไฟฟ้าตามความต้องการได้โปร่งใสกว่า? โรงงาน heavy-water แสดงนัยว่ามีเตาปฏิกรณ์ heavy-water เพียงแต่ยังไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน
เช่นเดียวกัน ทำไมอิหร่านต้องการโรงงานยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ ในขณะที่รัสเซียจะให้เชื้อเพลิง LEU สำหรับเตาปฏิกรณ์ Bushehr และสามารถทำแบบเดียวกันกับเตาปฏิกรณ์ในอนาคต? ทำไมการสร้างที่ Natanz เป็นการสร้างใต้ดิน? ทำไมพวกเขาเสริมความแข็งแรง? ความจริง คือ ถ้าอิหร่านกำลังสร้างโรงงานยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ หมายความว่าอิหร่านมีเทคโนโลยี gas centrifuge แล้วใครเป็นผู้ส่งมอบ?
ขณะที่ไม่มีหลักฐานว่าอิหร่านละเมิดสนธิสัญญา NPT แต่ความจริง NPT กำหนดให้ผู้ลงนามแต่ละรายต้องทำตามกฎของ IAEA สถานที่ตั้งนิวเคลียร์ทั้งสองที่เปิดเผยจึงเป็นเป้าหมายในการตรวจสอบของ IAEA อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงกับอิหร่าน IAEA ไม่ต้องการตรวจสอบโรงงานใหม่จนกระทั่ง 6 เดือนก่อนที่วัตถุดิบนิวเคลียร์มาถึงครั้งแรก โรงงานที่ Arak และ Natanz ยังห่างจากการสร้างเสร็จสมบูรณ์มากกว่า 6 เดือนในขณะที่เป็นข่าวออกมา ดังนั้น จึงไม่เป็นละเมิดข้อตกลงนี้ แต่ยังคงมีคำถามว่า ทำไมอิหร่านไม่รายงานให้ IAEA เกี่ยวกับโรงงานเหล่านี้ แต่มาจาก NCRI ความจริงถ้าอิหร่านมุ่งสู่การสร้าง LEU ด้วยตัวเองจะสร้างความโปร่งใสมากกว่าปัญหา ถึงแม้ว่า Natanz ได้รับการตรวจตามปกติ อะไรจะหยุดอิหร่านจากพัฒนายูเรเนียมเสริมสมรรถนะเป็นระดับอาวุธได้ เช่น มากกว่า 90% อยู่ในสถานที่ซ่อนเร้น? ผู้นำอิหร่านกำลังเล่นเกมอันตรายอย่างชัดเจนที่ยืนอยู่ตามตัวอักษรของ NPT แต่กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ ที่สามารถใช้สร้างระเบิดได้ในอนาคต [2]
เช่นเดียวกัน ทำไมอิหร่านต้องการโรงงานยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ ในขณะที่รัสเซียจะให้เชื้อเพลิง LEU สำหรับเตาปฏิกรณ์ Bushehr และสามารถทำแบบเดียวกันกับเตาปฏิกรณ์ในอนาคต? ทำไมการสร้างที่ Natanz เป็นการสร้างใต้ดิน? ทำไมพวกเขาเสริมความแข็งแรง? ความจริง คือ ถ้าอิหร่านกำลังสร้างโรงงานยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ หมายความว่าอิหร่านมีเทคโนโลยี gas centrifuge แล้วใครเป็นผู้ส่งมอบ?
ขณะที่ไม่มีหลักฐานว่าอิหร่านละเมิดสนธิสัญญา NPT แต่ความจริง NPT กำหนดให้ผู้ลงนามแต่ละรายต้องทำตามกฎของ IAEA สถานที่ตั้งนิวเคลียร์ทั้งสองที่เปิดเผยจึงเป็นเป้าหมายในการตรวจสอบของ IAEA อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงกับอิหร่าน IAEA ไม่ต้องการตรวจสอบโรงงานใหม่จนกระทั่ง 6 เดือนก่อนที่วัตถุดิบนิวเคลียร์มาถึงครั้งแรก โรงงานที่ Arak และ Natanz ยังห่างจากการสร้างเสร็จสมบูรณ์มากกว่า 6 เดือนในขณะที่เป็นข่าวออกมา ดังนั้น จึงไม่เป็นละเมิดข้อตกลงนี้ แต่ยังคงมีคำถามว่า ทำไมอิหร่านไม่รายงานให้ IAEA เกี่ยวกับโรงงานเหล่านี้ แต่มาจาก NCRI ความจริงถ้าอิหร่านมุ่งสู่การสร้าง LEU ด้วยตัวเองจะสร้างความโปร่งใสมากกว่าปัญหา ถึงแม้ว่า Natanz ได้รับการตรวจตามปกติ อะไรจะหยุดอิหร่านจากพัฒนายูเรเนียมเสริมสมรรถนะเป็นระดับอาวุธได้ เช่น มากกว่า 90% อยู่ในสถานที่ซ่อนเร้น? ผู้นำอิหร่านกำลังเล่นเกมอันตรายอย่างชัดเจนที่ยืนอยู่ตามตัวอักษรของ NPT แต่กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ ที่สามารถใช้สร้างระเบิดได้ในอนาคต [2]
ความพยายามโจมตีทางทหารของอิสราเอล
อิสราเอลเป็นชาติที่ระเบิดนิวเคลียร์มากถึง 100 - 200 ลูกในปี 2546 ซึ่งมากกว่าฝรั่งเศสและอังกฤษ ระบบการโจมตี ได้แก่ เครื่องบิน F-15 และ F-16 ขีปนาวุธพื้นดิน Jericho และขีปนาวุธ Harpoon จากเรือดำน้ำ นักวิจัยตะวันตกประมาณว่า อิสราเอลมีขีปนาวุธ Harpoon 120 ลูกที่สามารถยิงจากเรือดำน้ำ จึงมีความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ต่อชาติอาหรับ
12 ตุลาคม 2546 สำนักข่าว Haaretz อ้างข้อมูลจาก Der Spiegel ฉบับ 10 ตุลาคม 2546 ที่รายงานว่า อิสราเอลเตรียมตัวโจมตีอิหร่านต่อสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ในโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศ ตามรายงานนี้กล่าวว่า เจ้าหน้าอิสราเอลกลัวว่า โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านได้มีการวิจัยในระดับสูง และหน่วยพิเศษ Mossad ได้รับคำสั่งให้จัดทำแผนการโจมตี โรงงานของโครงการอาวุธนิวเคลียร์ในอิหร่านตามรายงาน Mossad เชื่อว่า อิหร่านมีความสามารถผลิตอาวุธระดับ ยูเรเนียม และได้สั่งหน่วยพิเศษเมื่อ 2 เดือนก่อนในเตรียมแผนด้านลึก และรายละเอียดสำหรับการโจมตี นิตยสารได้อ้างคำพูดของนักบินเครื่องบินรบ บอกว่า ภารกิจมีซับซ้อน แต่ทางเทคนิคเป็นไปได้ รายงานได้กล่าวอีกว่า อิสราเอลมีสารสนเทศเกี่ยวกับ โรงงานนิวเคลียร์ 6 แห่งในอิหร่าน ซึ่ง 3 แห่งไม่เคยทราบมาก่อน และแผนเป็นการใช้เครื่องบิน F16 โจมตีโรงงานทุกแห่งพร้อมกัน [3]
อิสราเอลเคยทิ้งระเบิดทำลายโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Osirak ใกล้กรุงแบกแดด ในอิรัก ในปี 2524 ด้วยความกังวลต่อการนำไปพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงไม่น่าแปลกใจถ้าอิสราเอลจะใช้ปฏิบัติการทางทหารกับอิหร่าน
ภายหลังการทดลองขีปนาวุธ Shahab-3 พิสัย 1,250 ไมล์ของอิหร่าน Rupert Cornwell ของ The Independent อังกฤษ เสนอบทวิเคราะห์ในเดือนกรกฎาคม 2551 มีความเป็นได้ว่า อิสราเอลอาจจะโจมตีในช่วงปลายปี เนื่องจากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี Ehud Olmert กำลังเผชิญกับข้อหาคอร์รัปชัน การโจมตีอิหร่านอาจจะเป็นทางออก [4]
ปัจจุบัน รัฐบาลของ Benjamin Netanyahu กำลังเผชิญกับท้าทายของประชาชนอิสราเอลอย่างรุนแรง ในเดือนกรกฎาคม 2554 มีการเดินขบวนและชุมนุมที่จัดทั่วประเทศในประเด็นความยุติธรรมของสังคมที่ได้ดึงประชาชนหลายแสนคนมาบนท้องถนนในหลายเมือง มีการชุมนุมและปักหลักตั้งเต็นท์ยืดเยื้อประมาณ 5 สัปดาห์ และยุติลงเนื่องจาก การโจมตี Eilat ทางภาคใต้ของฉนวนกาซา จึงเกรงว่าการตั้งเต็นท์ประท้วงต่อไปอาจจะไม่ปลอดภัย [5]
ในเดือนกันยายน ชาวอิสราเอลประมาณ 430,000 คนได้ออกมาชุมนุมเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมของสังคม ค่าครองชีพต่ำ และรัฐบาลต้องตอบสนองชัดเจนกับความกังวลที่บีบคั้นชนชั้นกลาง [6] การชุมนุมนี้อาจจะได้รับแรงบันดาลมาจาก “ฤดูใบไม้ผลิในอาหรับ” และ “ฤดูใบไม้ร่วงในชิลี” เพราะแกนการเคลื่อนไหวกลุ่มหนึ่งคือ สหภาพนักศึกษาอิสราเอลแห่งชาติ (National Union of Israeli Students)
ด้านสหรัฐมีปฏิบัติการลับยาวนานในการแทรกแซงอิหร่าน โดยเน้นไปที่กลุ่มชาวคูร์ด (Kurds) อัสซูรี่ (Azeris) ซึ่งเป็นเชื้อสายของ มูซาวี่ ผู้สมัครแข่งขันประธานาธิบดีครั้งที่แล้วที่นำการเคลื่อนไหว “เขียว” และบาลูชิส (Baluchis) ที่เป็นชนกลุ่มน้อยในอิหร่านเพื่อสร้างขบวนการต่อต้านรัฐบาลอิหร่าน [7]
ปฏิบัติการอิหร่านที่ยังไม่เกิดขึ้นมีคำอธิบายว่ามาจากความกังวล “ผลกระทบอิหร่าน” นอม ชอมสกี้ อ้างรายงานการศึกษาของ “ผลกระทบอิหร่าน” โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการก่อการร้าย Peter Bergen และ Paul Cruickshank โดยการใช้ข้อมูลของรัฐบาลและ Rand Corporation การรุกรานอิรักได้นำไปสู่การเพิ่มการก่อการร้าย 7 เท่า “ผลกระทบอิหร่าน” อาจจะผลกระทบมากกว่าและยาวนาน Corelli Barnett นักประวัติศาสตร์การทหารอังกฤษเตือนว่า “การโจมตีอิหร่านจะมีผลทำให้เกิดสงครามโลก” [8]
แต่การโจมตีอิหร่านจะทำให้อิหร่านหยุดยั้งการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้จริงหรือ จากรายงานของผู้ตรวจสอบอาวุธอิรักพิเศษของสหประชาชาติ ภายหลังสงครามอ่าวเปอร์เซีย ปี 2533 กลับพบหลักฐานว่า ซัดดัม ฮุสเซน ได้มีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์อย่างลับๆ ตลอดมา หลังจากอิสราเอลทิ้งระเบิดทำลายโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ในกรณีของอิหร่าน เชื่อว่าไม่สามารถหยุดยั้งได้เช่นกัน
ผลต่อเนื่องจากการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่าน
สำนักข่าว YNET ของอิสราเอลรายงานว่า อิหร่าน กล่าวหาว่า สหรัฐและอิสราเอลเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารครั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน Ali Akbar Salehi กล่าวว่า ประเทศของเขาได้รับ “เอกสารน่าเชื่อถือที่พิสูจน์ว่าการโจมตีครั้งนี้มีการวางแผน ควบคุม และสนับสนุนโดยซีไอเอ” นอกจากนี้ เขาได้ทำหนังสือประท้วงอย่างเป็นทางการต่อสถานทูตสวิสในอิหร่าน ซึ่งดูแลกิจการสหรัฐในพื้นที่นี้
รวมทั้งกล่าวหาอังกฤษว่ามีส่วนร่วม โดยอ้างว่าการลอบสังหารเกิดขึ้นในช่วงอันสั้น หลังจากอังกฤษประกาศเองว่า “ได้เริ่มต้นปฏิบัติการข่าวกรองต่อต้านอิหร่าน...”
ทางด้านสหรัฐ Tommy Vietor โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า สหรัฐ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ นอกจากนี้ Vietor เพิ่มเติมว่า สหรัฐประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ
ประธานาธิบดีอิสราเอล Shimon Peres ได้ให้ความเห็นกับเหตุการณ์นี้ ผ่าน CNN Spanish ว่า ในการรับรู้ของเขา อิสราเอลไม่เกี่ยวข้องกับการลอบสังหาร [9]
สหรัฐเรียกร้องนานาชาติคว่ำบาตรอิหร่านด้านเศรษฐกิจ ด้วยการเลิกซื้อน้ำมันอิหร่าน แต่ประเทศในเอเชีย คือ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ยังไม่มีความกระตือรือร้น
ขณะเดียวกัน สหรัฐยังไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารมากนักที่จะก่อสงคราม ขณะนี้มีเพียง เรือบรรทุกเครื่อง 2 ลำ USS Carl Vinson และ USS John Stennis พร้อมเรือสนับสนุนที่ลาดตระเวนบริเวณนั้น และทหารในคูเวต 15,000 นาย ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำสงครามกับอิหร่าน สงครามอิรักในครั้งที่แล้ว สหรัฐใช้ทหารมากถึง 150,000 นาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านตะวันกลางเห็นว่า อิสราเอลพยายามกระตุ้นให้อิหร่านโกรธและเป็นฝ่ายโจมตีก่อน
Robert Baer อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเออาวุโส ผู้ทำงานในตะวันออกกลางนาน 21 ปี ได้พูดในรายการ “Hardball” ของ MSNBC เมื่อคืนวันที่ 12 มกราคม เขาเชื่อว่าอิสราเอลการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์อิหร่านเป็นความพยายามกระตุ้นอิหร่านให้โจมตีกลับและดึงสหรัฐเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ
ในวันเดียวกัน Baer ได้พูดถึงเรื่องเดียวกันกับ Guardian/UK โดย Baer โต้แย้งว่า ผลกระทบของตัวโครงการนิวเคลียร์เองมีน้อยมาก ไม่น่าจะนำมาสู่เป้าหมายการรณรงค์ลอบสังหาร
“นี่เป็นกระตุ้น” เขากล่าวว่า “ทฤษฎีของผมคือ อิสราเอลไม่สามารถทำให้ทำเนียบขาวเห็นด้วยกับการทิ้งระเบิด นี่ไม่ใช่การแทรกแซงน่าพึงพอใจ ดังนั้น อิสราเอลกำลังพยายามกระตุ้นอิหร่านให้เปิดการโจมตีด้วยขีปนาวุธและเริ่มสงคราม” [10]
ผลกระทบกับประเทศไทย
ประเทศไทย ได้ตอบสนองต่อคำเตือนเรื่องการก่อการร้ายในประเทศไทยของสหรัฐในทันที ร.ต.อ. เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ด้วยการแถลงข่าวจับกุมผู้ก่อการร้ายฮีสบันเลาะห์ ชาวเลบานอน พร้อมกับการขยายผลด้วยการตรวจค้นอาคารเก็บปุ๋ยที่เป็นวัตถุดิบผลิตระเบิด กลุ่มฮีสบันเลาะห์เป็นกลุ่มที่อิหร่านสนับสนุน ปฏิบัติการของกลุ่มย่อมได้รับการประเมินว่าเชื่อมโยงกับอิหร่าน
ข่าวการก่อการร้ายในประเทศไทยเกิดขึ้นในช่วงความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐและอิสราเอลแหลมคม เรื่องนี้อาจจะเป็นส่วนหนึ่ง จึงต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
ประการแรก ชาวเลบานอนไม่ใช่สมาชิกกลุ่มฮิสบันเลาะห์ทุกคน สหรัฐก็มีความสัมพันธ์กับซุนหนี่จิฮัด เลบานอนที่เชื่อมโยงกับอัลกออิด๊ะ (ในรายงานของซีไอเอ) ที่ร่วมมือกันปฏิบัติงานในดินแดนอิหร่านอยู่ด้วยเช่นกัน [11] ถ้าสหรัฐจะส่งกลุ่มนี้มาปฏิบัติการในไทยย่อมเป็นได้เช่นกัน ด้วยจุดมุ่งหมายเพื่อลดความชอบธรรมของอิหร่าน
ประการต่อมา การป้องกันตัวจากการก่อการร้ายนั้น ไม่หลักประกันในความสำเร็จ 100% เรายังพบว่าเกิดระเบิดในยุโรปหลายครั้ง ทั้งที่มีการป้องกันเข้มแข็ง สำหรับกรณีนี้ การป้องกันที่ดีคือ รักษาสมดุลท่ามกลางความขัดแย้ง ดังนั้น ท่าทีควรเป็น “เราไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ดังนั้น ไม่ควรจะมีใครจะมาก่อเหตุในประเทศของเรา”
ภายใต้สถานการณ์ซับซ้อน รัฐบาลควรจะตอบสนองกับสถานการณ์อย่างเหมาะสม แม้กระทั่ง จำเลยของอิหร่าน ยังตอบว่า “ไม่เกี่ยวข้อง” ถ้า ร.ต.อ.เฉลิม ต้องการแสดงบทบาทด้านความมั่นคงแล้ว ไม่ควรจะมีบทบาทในสถานการณ์อันซับซ้อนเช่นนี้ แต่ควรแสดงบทบาทด้านความมั่นคงด้านอื่นที่ไม่ซับซ้อน เช่น ตามจับ “พวกหมิ่นสถาบัน” ก็พอแล้ว
อ้างอิง
[1] Noam Chomsky, "Preemptive War on Iran", 6 April 2007, http://www.tomdispatch.com/index.mhtml?pid=182214
[2] Mark Gaffney, "Will Iran Be Next?", 5 August 2003, http://www.informationclearinghouse.info/article3288.htm
[3] Nathan Guttman, Haaretz Correspondent, "Report: IDF planning to attack nuclear sites in Iran", 12 October 2003, http://www.informationclearinghouse.info/article4956.htm
[4] Rupert Cornwell, The Independent (UK), "Israel hints at pre-emptive attack on Iran", 11 July 2008, http://www.independent.co.uk/news/world/middle-east/israel-hints-at-preemptive-attack-on-iran-865068.html
[5] Harriet Sherwood, "Israel tent protests called off after Eilat attacks", 18 August 2011, http://www.guardian.co.uk/world/2011/aug/18/israel-tent-protests-called-off
[6] Harriet Sherwood, "Israeli protests: 430,000 take to streets to demand social justice", 4 September 2011, http://www.guardian.co.uk/world/2011/sep/04/israel-protests-social-justice
[7] Tom Engelhardt, "Neocons in Cheney's Office Fund al Qaeda-Tied Groups ... and No One Cares?", 17 March 2007, http://www.alternet.org/waroniraq/49275/
[8] Noam Chomsky, อ้างแล้วใน [1]
[9] Common Dreams staff, "Report: US Preparing for an Israeli Strike on Iran", 14 January 2012, http://www.commondreams.org/headline/2012/01/14
[10] Common Dreams staff, "War Clouds Darken: Russia Warns of US Strike on Iran", 12 January 2012, http://www.commondreams.org/headline/2012/01/12-5
[11] Tom Engelhardt, อ้างแล้วใน [7]
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555
สวยแต่งหล่อ ครม. ชินคอร์ป แก้คัน. ที่สุดของ ปู..!!?
กระแสร้อนปรับครม. รอบนี้ เชื่อกันว่า รัฐบาล “ปู 2” น่าจะมีการดึงเอาข้าเก่าเต่าเลี้ยงอย่าง 5 เสือชินคอร์ป อันประกอบด้วย “สมประสงค์ บุญยะชัย”, “นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล”,“ดร.ดำรงค์ เกษมเศรษฐ์”, “นางศิริเพ็ญ สีตสุวรรณ” และ “นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์” ออกมาใช้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
หลังจากที่ผลออกมากลับได้เห็นรายชื่อของ 5 เสือฯ เพียง 2 คน คือนาย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่คณะผู้บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เป็น รมว.พลังงาน ซึ่งซีอีโอคนนี้น่าสนใจมากเพราะนอกจากจะเป็นลูกหม้อชินคอร์ปมาก่อนแล้ว ยังเคยได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ดำรงตำแหน่งแทนดร.ดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ สมัยที่ท่านถอนตัวออกจากไทยคม แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแต่ก็ยังเชื่อว่าท่านอื่นๆ น่าจะยังอยู่เบื้องหลังเป็นกุนซือในการบริหารงานของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ทำให้เชื่อได้ว่าการทำงานของรัฐบาลหลังจากนี้ท่านนายกฯ จะทำได้อย่างสะดวกใจยิ่งขึ้น เพราะมีโอกาสได้แสดงเอง เจ็บเอง..
นับสืบเนื่องมาจากรัฐบาลปู 1 ที่แสดงผลงานออกมาให้นายกฯ หญิงคน แรกของประเทศไทยต้องน้ำตาตกในไม่เว้นแต่ละวัน รายงานจากผู้ใกล้ชิดนายกฯ อย่างคนในกองร้อยน้ำหวานบอดี้การ์ดผู้เคียงข้าง รายงานว่า ต้องเห็นนายกฯ แอบซับน้ำตาอยู่เป็นประจำ
ต้องยอมรับว่าผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ 1” ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมองในด้านใดก็ถูกบริภาษจากกระแสสังคมอย่างหนักหน่วง ทั้งนโยบายประชานิยมที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดต้องมาเจอกับมหาอุทกภัย ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำงาน ของรัฐบาลเองเป็นตัวดิสเครดิตตัวเองก็หนักพออยู่แล้ว ยิ่งต้องมาปะทะกับฝ่ายค้านมหาหินอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ไหน ยังการเมืองภายในของพรรคเพื่อไทยเองอีก..เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลปู 1 หนักจริงๆ
และเมื่อโอกาสมาถึงจากปากของท่านนายกฯ ว่า พอดี “น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ล้มป่วยฉับพลัน ต้องรับการรักษาตัวทุกวัน จึงถือโอกาสนี้ปรับเปลี่ยน ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีกันครั้งใหญ่เพื่อรองรับการทำงาน อย่างไรก็ตาม หากนายกฯ ต้องการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ โดยพิจารณาเลือกมืออาชีพเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีโผรายชื่อการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 โดยโยกย้ายสลับเก้าอี้รวม 16 ตำแหน่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ, พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม, นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ควบ รมว.คลัง,นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว. พาณิชย์,นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว. พลังงาน,นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว. ศึกษาธิการ, ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม, นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ, น.ส.นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรมช. เกษตรฯ, น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช. สาธารณสุข, นายศักดา คงเพชร รมช. ศึกษาธิการ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช. คลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช. คมนาคม ซึ่งนายชัชชาติ เป็นศาสตราจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนผู้ที่คาดว่าจะหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี ประกอบด้วยพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกฯ, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน, น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ อดีต รมช. คมนาคม, นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีตรมช.เกษตรฯ, นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น อดีตรมช.สาธารณสุข และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล อดีตรมช.ศึกษาธิการ
งานนี้ถือว่าการตัดสินใจของนายกฯ ได้รับไฟเขียวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และเป็นการปรับครม. เพื่อให้ทำงานเข้าเป้าซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นักเพราะถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องของการปรับครม.แต่ละครั้งนอกจาก จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการทำงานแล้ว ยังต้องมีเหตุปัจจัยอื่นประกอบ ด้วยเช่นระบบโควตาซึ่งถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติทางการเมืองก่อนจะเข้าสู่โค้งสุดท้าย ที่เตรียมส่งไม้ต่อใน 5-6 เดือนข้างหน้า ให้ กับ “บ้านเลขที่ 111” ในโอกาสกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ารอบนี้พี่ชายยอมน้องสาวมากถึงขนาดยอมให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งเป็นคนของตัวเองหลุดออกไปจากวงโคจรและปล่อยให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งใครก็รู้ดีว่า เป็นสายตรงมาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์มาแต่ ต้นแล้ว เข้ามานั่งควบรมว.คลัง ตามคำขอ ของน้องสาวซึ่งน่าจะมีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง อย่างเต็มที่อีกไม่นานก่อนที่ตัวจริงจะลงสนาม
การปรับครม.รอบนี้แม้จะมองว่า เป็นรัฐบาลชุดขัดตาทัพของบ้านเลขที่ 111 ก็ตามแต่ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของชีวิตลูกผู้หญิงคน หนึ่งที่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย งานนี้ขอเล่นเอง เจ็บเอง ไม่ใช้สแตนด์อินเหมือนที่ผ่านมา โดยมีศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง เป็นเดิมพัน
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หลังจากที่ผลออกมากลับได้เห็นรายชื่อของ 5 เสือฯ เพียง 2 คน คือนาย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ว่าจะได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ และนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่คณะผู้บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เป็น รมว.พลังงาน ซึ่งซีอีโอคนนี้น่าสนใจมากเพราะนอกจากจะเป็นลูกหม้อชินคอร์ปมาก่อนแล้ว ยังเคยได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจให้ดำรงตำแหน่งแทนดร.ดำรงค์ เกษมเศรษฐ์ สมัยที่ท่านถอนตัวออกจากไทยคม แสดงว่าต้องไม่ธรรมดาแต่ก็ยังเชื่อว่าท่านอื่นๆ น่าจะยังอยู่เบื้องหลังเป็นกุนซือในการบริหารงานของ “นายกฯ ยิ่งลักษณ์” ทำให้เชื่อได้ว่าการทำงานของรัฐบาลหลังจากนี้ท่านนายกฯ จะทำได้อย่างสะดวกใจยิ่งขึ้น เพราะมีโอกาสได้แสดงเอง เจ็บเอง..
นับสืบเนื่องมาจากรัฐบาลปู 1 ที่แสดงผลงานออกมาให้นายกฯ หญิงคน แรกของประเทศไทยต้องน้ำตาตกในไม่เว้นแต่ละวัน รายงานจากผู้ใกล้ชิดนายกฯ อย่างคนในกองร้อยน้ำหวานบอดี้การ์ดผู้เคียงข้าง รายงานว่า ต้องเห็นนายกฯ แอบซับน้ำตาอยู่เป็นประจำ
ต้องยอมรับว่าผลงานที่ผ่านมาของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ 1” ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมองในด้านใดก็ถูกบริภาษจากกระแสสังคมอย่างหนักหน่วง ทั้งนโยบายประชานิยมที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัดต้องมาเจอกับมหาอุทกภัย ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำงาน ของรัฐบาลเองเป็นตัวดิสเครดิตตัวเองก็หนักพออยู่แล้ว ยิ่งต้องมาปะทะกับฝ่ายค้านมหาหินอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ไหน ยังการเมืองภายในของพรรคเพื่อไทยเองอีก..เรียกได้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลปู 1 หนักจริงๆ
และเมื่อโอกาสมาถึงจากปากของท่านนายกฯ ว่า พอดี “น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน ล้มป่วยฉับพลัน ต้องรับการรักษาตัวทุกวัน จึงถือโอกาสนี้ปรับเปลี่ยน ตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีกันครั้งใหญ่เพื่อรองรับการทำงาน อย่างไรก็ตาม หากนายกฯ ต้องการเรียกความเชื่อมั่นจากต่างประเทศ โดยพิจารณาเลือกมืออาชีพเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีโผรายชื่อการปรับ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 โดยโยกย้ายสลับเก้าอี้รวม 16 ตำแหน่ง พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ, พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม, นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.คมนาคม, นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ ควบ รมว.คลัง,นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว. พาณิชย์,นายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ รมว. พลังงาน,นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว. ศึกษาธิการ, ม.ร.ว.พงษ์สวัสดิ์ สวัสดิวัตน์ รมว.อุตสาหกรรม, นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.ประจำสำนักนายกฯ, น.ส.นลินี ทวีสิน รมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรมช. เกษตรฯ, น.พ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช. สาธารณสุข, นายศักดา คงเพชร รมช. ศึกษาธิการ,นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช. คลัง และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมช. คมนาคม ซึ่งนายชัชชาติ เป็นศาสตราจารย์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ส่วนผู้ที่คาดว่าจะหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี ประกอบด้วยพล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกฯ, นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง, นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน, น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ, นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ อดีต รมช. คมนาคม, นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ อดีตรมช.เกษตรฯ, นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น อดีตรมช.สาธารณสุข และนายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล อดีตรมช.ศึกษาธิการ
งานนี้ถือว่าการตัดสินใจของนายกฯ ได้รับไฟเขียวจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และเป็นการปรับครม. เพื่อให้ทำงานเข้าเป้าซึ่งก็ต้องยอมรับว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่นักเพราะถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องของการปรับครม.แต่ละครั้งนอกจาก จะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการทำงานแล้ว ยังต้องมีเหตุปัจจัยอื่นประกอบ ด้วยเช่นระบบโควตาซึ่งถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติทางการเมืองก่อนจะเข้าสู่โค้งสุดท้าย ที่เตรียมส่งไม้ต่อใน 5-6 เดือนข้างหน้า ให้ กับ “บ้านเลขที่ 111” ในโอกาสกลับมาทำงานการเมืองอีกครั้ง
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ารอบนี้พี่ชายยอมน้องสาวมากถึงขนาดยอมให้นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ซึ่งเป็นคนของตัวเองหลุดออกไปจากวงโคจรและปล่อยให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ซึ่งใครก็รู้ดีว่า เป็นสายตรงมาจากนายกฯ ยิ่งลักษณ์มาแต่ ต้นแล้ว เข้ามานั่งควบรมว.คลัง ตามคำขอ ของน้องสาวซึ่งน่าจะมีโอกาสพิสูจน์ตัวเอง อย่างเต็มที่อีกไม่นานก่อนที่ตัวจริงจะลงสนาม
การปรับครม.รอบนี้แม้จะมองว่า เป็นรัฐบาลชุดขัดตาทัพของบ้านเลขที่ 111 ก็ตามแต่ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญของชีวิตลูกผู้หญิงคน หนึ่งที่มีโอกาสได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย งานนี้ขอเล่นเอง เจ็บเอง ไม่ใช้สแตนด์อินเหมือนที่ผ่านมา โดยมีศักดิ์ศรีลูกผู้หญิง เป็นเดิมพัน
ที่มา:สยามธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555
บทเรียนจากพม่า !!?
เมื่อต้นเดือนมกราคมนี้ พม่าได้ประกาศนิรโทษกรรมนักโทษการเมืองระดับนำอีก 651 คน
โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของประเทศนั้น...ภายหลังจากทหารยึดอำนาจและปกครองแบบเผด็จการมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
กระบวนปฏิรูประบอบการปกครองของพม่า เริ่มต้นด้วยการเจรจาและปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี ตามด้วยการยอมให้สหภาพแรงงานเป็นองค์กรถูกกฎหมาย กับการลงนามหยุดยิงกับกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ
ผู้ที่ถูกปล่อยตัวครั้งนี้มี “เจ้าทุนโอ” ประธานพรรคสันนิบาติแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกจับพร้อมกับราชวงศ์ไทยใหญ่ทั้งหมดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 เพราะไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการร่างรัฐธรรมนนูญที่มีทหารคอยบงการ
เฉพาะ “เจ้าทุนโอ” ถูกตัดสินจำคุก 93 ปี
อีกคนคืออดีตนายกรัฐมนตรี “ขิ่นยุ่น” ที่ถูกปลดเมื่อปี 2547 และถูกจับข้อหาคอรัปชั่น...ขิ่นยุ่นถูกตัดสินจองจำอยู่ในบ้าน 44 ปี
ความผิดจริงๆ ของเขาคือชักจะมีบารมีแก่กล้ามากเกินไปจนจะเป็นภัยต่อท่านผู้นำในขณะนั้น
การปล่อยตัวนักโทษการเมืองและการปฏิรูปประชาธิปไตยของพม่า ทำให้สหภาพยุโรปพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมือง
สหรัฐประกาศจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูต
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงนามในความตกลงหยุดยิงระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยง ซึ่ง “ขิ่นยี” รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมือง ตัวแทนของฝ่ายพม่า บอกว่า...
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้กล่าวว่า เราเป็นพี่น้อง โกรธกันมา 63 ปีแล้ว ขอให้รัฐบาลพม่าให้ทุกอย่างที่ฝ่ายกะเหรี่ยงต้องการ
คำพูดของเต็งเส่ง ทำให้มีคนนึกถึง เนลสัน แมนเดล่า วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอัฟริกาใต้ ที่เคยกล่าวไว้ว่า...
การประนีประนอมเป็นศิลปะแห่งความเป็นผู้นำ และคุณต้องประนีประนอมกับคู่ต่อสู้ ไม่ใช่กับเพื่อน และในการโต้เถียงทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดแล้ว คุณจะไปถึงจุดที่ไม่มีฝ่ายใดผิดหรือถูก
โดยการประนีประนอม จะเป็นทางเลือกเดียว สำหรับผู้ที่ต้องการสันติภาพและเสถียรภาพอย่างจริงจัง
จริงอยู่ไทยกับพม่า มีสิ่งที่เหมือนกันและต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันคือมีความขัดแย้งแตกแยกและเข่นฆ่ากัน
แต่ของพม่าเป็นสงครามระหว่างชนเผ่าที่แย่งยึดอำนาจการปกครองประเทศ...โดยพม่าต้องการมีอำนาจปกครองฝ่ายเดียว ชนเผ่าอื่นจึงตั้งกองทัพขึ้นมาสู้
ของเราเป็นความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ โดยฝ่ายหนึ่งอยากจะปกครองโดยไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวสอดแทรก อีกฝ่ายต้องการมีสิทธิ์มีเสียงตามสภาพความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์
ภายหลังจากที่มีการเข่นฆ่าปราบปรามจับกุม แต่พลังของฝ่ายประชาธิปไตยกลับเติบใหญ่อย่างหยุดยั้งไม่อยู่ จึงมีการพูดถึงการประนีประนอมปรองดอง และมีการหยิบยกเอากรณีของพม่ามาเป็นกรณีศึกษา
การศึกษาบทเรียนจากพม่าย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นการประนีประนอม แต่นั่นแหละ มันจะต้องตั้งคำถามและถกเถียงกันอย่างจริงจังว่า...
ฝ่ายใดควรจะศึกษาและจะประนีประนอมกันอย่างไร ไม่ใช่ลืมๆ กันเสีย อภัยกันเสีย
มิฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นในประวัติการเมืองโลก
โดย: ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โดยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยของประเทศนั้น...ภายหลังจากทหารยึดอำนาจและปกครองแบบเผด็จการมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
กระบวนปฏิรูประบอบการปกครองของพม่า เริ่มต้นด้วยการเจรจาและปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี ตามด้วยการยอมให้สหภาพแรงงานเป็นองค์กรถูกกฎหมาย กับการลงนามหยุดยิงกับกะเหรี่ยงกลุ่มต่างๆ
ผู้ที่ถูกปล่อยตัวครั้งนี้มี “เจ้าทุนโอ” ประธานพรรคสันนิบาติแห่งชาติรัฐฉานเพื่อประชาธิปไตยที่ถูกจับพร้อมกับราชวงศ์ไทยใหญ่ทั้งหมดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2548 เพราะไม่ยอมเข้าร่วมขบวนการร่างรัฐธรรมนนูญที่มีทหารคอยบงการ
เฉพาะ “เจ้าทุนโอ” ถูกตัดสินจำคุก 93 ปี
อีกคนคืออดีตนายกรัฐมนตรี “ขิ่นยุ่น” ที่ถูกปลดเมื่อปี 2547 และถูกจับข้อหาคอรัปชั่น...ขิ่นยุ่นถูกตัดสินจองจำอยู่ในบ้าน 44 ปี
ความผิดจริงๆ ของเขาคือชักจะมีบารมีแก่กล้ามากเกินไปจนจะเป็นภัยต่อท่านผู้นำในขณะนั้น
การปล่อยตัวนักโทษการเมืองและการปฏิรูปประชาธิปไตยของพม่า ทำให้สหภาพยุโรปพิจารณายกเลิกการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเมือง
สหรัฐประกาศจะยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตขึ้นเป็นระดับเอกอัครราชทูต
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียนที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการลงนามในความตกลงหยุดยิงระหว่างพม่ากับกะเหรี่ยง ซึ่ง “ขิ่นยี” รัฐมนตรีตรวจคนเข้าเมือง ตัวแทนของฝ่ายพม่า บอกว่า...
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ได้กล่าวว่า เราเป็นพี่น้อง โกรธกันมา 63 ปีแล้ว ขอให้รัฐบาลพม่าให้ทุกอย่างที่ฝ่ายกะเหรี่ยงต้องการ
คำพูดของเต็งเส่ง ทำให้มีคนนึกถึง เนลสัน แมนเดล่า วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอัฟริกาใต้ ที่เคยกล่าวไว้ว่า...
การประนีประนอมเป็นศิลปะแห่งความเป็นผู้นำ และคุณต้องประนีประนอมกับคู่ต่อสู้ ไม่ใช่กับเพื่อน และในการโต้เถียงทุกครั้ง เมื่อถึงที่สุดแล้ว คุณจะไปถึงจุดที่ไม่มีฝ่ายใดผิดหรือถูก
โดยการประนีประนอม จะเป็นทางเลือกเดียว สำหรับผู้ที่ต้องการสันติภาพและเสถียรภาพอย่างจริงจัง
จริงอยู่ไทยกับพม่า มีสิ่งที่เหมือนกันและต่างกัน สิ่งที่เหมือนกันคือมีความขัดแย้งแตกแยกและเข่นฆ่ากัน
แต่ของพม่าเป็นสงครามระหว่างชนเผ่าที่แย่งยึดอำนาจการปกครองประเทศ...โดยพม่าต้องการมีอำนาจปกครองฝ่ายเดียว ชนเผ่าอื่นจึงตั้งกองทัพขึ้นมาสู้
ของเราเป็นความขัดแย้งแตกแยกทางความคิดระหว่างประชาธิปไตยกับเผด็จการ โดยฝ่ายหนึ่งอยากจะปกครองโดยไม่มีคนอื่นมายุ่งเกี่ยวสอดแทรก อีกฝ่ายต้องการมีสิทธิ์มีเสียงตามสภาพความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์
ภายหลังจากที่มีการเข่นฆ่าปราบปรามจับกุม แต่พลังของฝ่ายประชาธิปไตยกลับเติบใหญ่อย่างหยุดยั้งไม่อยู่ จึงมีการพูดถึงการประนีประนอมปรองดอง และมีการหยิบยกเอากรณีของพม่ามาเป็นกรณีศึกษา
การศึกษาบทเรียนจากพม่าย่อมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง โดยเฉพาะประเด็นการประนีประนอม แต่นั่นแหละ มันจะต้องตั้งคำถามและถกเถียงกันอย่างจริงจังว่า...
ฝ่ายใดควรจะศึกษาและจะประนีประนอมกันอย่างไร ไม่ใช่ลืมๆ กันเสีย อภัยกันเสีย
มิฉะนั้นมันจะเป็นเรื่องพิลึกพิลั่นในประวัติการเมืองโลก
โดย: ศรี อินทปันตี,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หญิงเหล็ก !!?
ทุ่มเท สละเวลาเพื่องานแห่งแผ่นดิน อย่างเต็มสเป็ก
มีปัญหาตรงไหน บอกกันมา “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับฟังและแก้ไขทันที
เปิดสายโทรศัพท์ พร้อมเซย์ฮัลโล แก้ทุกเรื่องอย่างด่วนจี๋
กระทั่งอยู่ที่บ้าน พร้อมกับสามีและลูกชาย...เมื่อมีโทรศัพท์มือถือเข้ามา “นายกฯยิ่งลักษณ์” ก็กระตือรือร้น รับฟังปัญหาและแก้ไข ให้อย่างเสร็จสรรพ
“นายกฯยิ่งลักษณ์”แก้ปัญหาจนเดินสะดวก...แต่คนใกล้ชิดกลัวเธอหูหนวก?...วานให้จวก สักทีเถิดครับ
+++++++++++++++++++++++++
“ตัวช่วย” เข้ามาอื้อ
เกรงแต่ว่า ความเป็น “รุ่นพี่” จะทำให้ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธ์ศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม เสียชื่อ
ทั้งที่ตัวเอง เป็น “ยอดแห่งพีรามิดแห่งกองทัพ” ผู้นำเหล่าทัพ ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ท่านดอดเข้าไปพบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนติงกันมา
ยิ่งมีข่าวว่า, มีคนพยายามช่วย “บิ๊กอ๊อด” เพื่อให้เป็น “รมว.กลาโหม”ต่อไป โดยไม่ต้องถูกปลด...ด้วยการเรียกใช้บริการ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นตัวช่วย จึงดูเสียศักดิ์ศรี
เป็นรุ่นพี่ที่ยิ่งใหญ่...เรียกใช้รุ่นน้องทำไม?..ดูยังไงก็เสียบารมี
++++++++++++++++++++++++++
มีคิวถูกปรับ
แต่ขอโทษทีมิตรรักนักเพลง..แต่ไม่ใช่ถูกปลดออก..แต่ทว่า,จะยิ่งใหญ่ขึ้นครับ
ก้อ, “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม จะหลุดวงโคจรจาก กระทรวงคมนาคม
แต่จะถูกปรับโยกย้าย ไปนั่งกระทรวงที่ยิ่งใหญ่ กว่ากระทรวงต้นหูกวาง ..ไม่แน่อาจเป็นกระทรวงกลาโหม
ส่วน,รัฐมนตรีต้นหูกวางคนใหม่ ว่ากันว่า มีอักษร “จ.จาน”นำหน้า ก้าวมาใหญ่แทนที่ “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต”...เส้นใหญ่ผงาด?..เรื่องถูกตัดขาดจากรัฐบาลนี้ไม่มี
++++++++++++++++++++++++++
“หมาป่ากับลูกแกะ”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ชื่อว่าเป็น พรรคจอมแขวะ
ตั้งปณิธาน ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ ค้านอย่างมีคุณธรรม..เห็นมีกันที่ไหน
จ้องค้าน เพื่อล้มกระดาน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กันอย่างตั้งอกตั้งใจ
เห็นได้, เมื่อคราว “บิ๊กมาร์ค” เป็นนายกรัฐมนตรี เคยคิดเรื่องเยียวยา จ่ายเงินชดเชยทดแทนต่อเหตุการณ์ต่างๆหรือไม่..พอ “นายกฯยิ่งลักษณ์” เยียวยา กลับโวยวายจนเสียศูนย์
ควรเป็น “ฝ่ายค้าน”มีหลักการแน่น ๆ..อย่าทำตัวเป็น “พรรคฝ่ายแค้น?.วางแผนไม่เข้าท่าอีกเลยนะคุณ
+++++++++++++++++++++++++
คอหอยกับลูกกระเดือก
คนดีพบคนดี เพราะ “คุณพี่อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ท่านมีทางเลือก
ตอนนี้,ระหว่าง “ท่านอุทัย” กับ “ดร.พงษ์ วิเศษไพฑูรย์” คนโตคนใหญ่แห่งกลุ่มซีพี คบกันอย่างสนิทใจ เหมือนกับเงาตามตัว
โดยเฉพาะ ด๊อกเตอร์พงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ได้รับเกียรติ จาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งให้เป็น โปรโมเตอร์ สนามมวยลุมพินีกิตติมหศักดิ์ ด้วยล่ะทูนหัว
ถ้า “คุณพี่อุทัย” จับมือกับ “ซีพี” โดยมี “กองทัพ” หนุนหลัง การเมืองข้างหน้าก็จะพลิก
แต่ที่แน่ๆขอตอกย้ำ.. “คุณพี่อุทัย”ล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่กลับลำลงมาเล่นการเมืองอีก
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
****************************************************
มีปัญหาตรงไหน บอกกันมา “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับฟังและแก้ไขทันที
เปิดสายโทรศัพท์ พร้อมเซย์ฮัลโล แก้ทุกเรื่องอย่างด่วนจี๋
กระทั่งอยู่ที่บ้าน พร้อมกับสามีและลูกชาย...เมื่อมีโทรศัพท์มือถือเข้ามา “นายกฯยิ่งลักษณ์” ก็กระตือรือร้น รับฟังปัญหาและแก้ไข ให้อย่างเสร็จสรรพ
“นายกฯยิ่งลักษณ์”แก้ปัญหาจนเดินสะดวก...แต่คนใกล้ชิดกลัวเธอหูหนวก?...วานให้จวก สักทีเถิดครับ
+++++++++++++++++++++++++
“ตัวช่วย” เข้ามาอื้อ
เกรงแต่ว่า ความเป็น “รุ่นพี่” จะทำให้ “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.ยุทธ์ศักดิ์ ศศิประภา” รมว.กลาโหม เสียชื่อ
ทั้งที่ตัวเอง เป็น “ยอดแห่งพีรามิดแห่งกองทัพ” ผู้นำเหล่าทัพ ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา การที่ท่านดอดเข้าไปพบ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. คนติงกันมา
ยิ่งมีข่าวว่า, มีคนพยายามช่วย “บิ๊กอ๊อด” เพื่อให้เป็น “รมว.กลาโหม”ต่อไป โดยไม่ต้องถูกปลด...ด้วยการเรียกใช้บริการ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เป็นตัวช่วย จึงดูเสียศักดิ์ศรี
เป็นรุ่นพี่ที่ยิ่งใหญ่...เรียกใช้รุ่นน้องทำไม?..ดูยังไงก็เสียบารมี
++++++++++++++++++++++++++
มีคิวถูกปรับ
แต่ขอโทษทีมิตรรักนักเพลง..แต่ไม่ใช่ถูกปลดออก..แต่ทว่า,จะยิ่งใหญ่ขึ้นครับ
ก้อ, “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.คมนาคม จะหลุดวงโคจรจาก กระทรวงคมนาคม
แต่จะถูกปรับโยกย้าย ไปนั่งกระทรวงที่ยิ่งใหญ่ กว่ากระทรวงต้นหูกวาง ..ไม่แน่อาจเป็นกระทรวงกลาโหม
ส่วน,รัฐมนตรีต้นหูกวางคนใหม่ ว่ากันว่า มีอักษร “จ.จาน”นำหน้า ก้าวมาใหญ่แทนที่ “พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต”...เส้นใหญ่ผงาด?..เรื่องถูกตัดขาดจากรัฐบาลนี้ไม่มี
++++++++++++++++++++++++++
“หมาป่ากับลูกแกะ”
“ประชาธิปัตย์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ชื่อว่าเป็น พรรคจอมแขวะ
ตั้งปณิธาน ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ ค้านอย่างมีคุณธรรม..เห็นมีกันที่ไหน
จ้องค้าน เพื่อล้มกระดาน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” กันอย่างตั้งอกตั้งใจ
เห็นได้, เมื่อคราว “บิ๊กมาร์ค” เป็นนายกรัฐมนตรี เคยคิดเรื่องเยียวยา จ่ายเงินชดเชยทดแทนต่อเหตุการณ์ต่างๆหรือไม่..พอ “นายกฯยิ่งลักษณ์” เยียวยา กลับโวยวายจนเสียศูนย์
ควรเป็น “ฝ่ายค้าน”มีหลักการแน่น ๆ..อย่าทำตัวเป็น “พรรคฝ่ายแค้น?.วางแผนไม่เข้าท่าอีกเลยนะคุณ
+++++++++++++++++++++++++
คอหอยกับลูกกระเดือก
คนดีพบคนดี เพราะ “คุณพี่อุทัย พิมพ์ใจชน” อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ท่านมีทางเลือก
ตอนนี้,ระหว่าง “ท่านอุทัย” กับ “ดร.พงษ์ วิเศษไพฑูรย์” คนโตคนใหญ่แห่งกลุ่มซีพี คบกันอย่างสนิทใจ เหมือนกับเงาตามตัว
โดยเฉพาะ ด๊อกเตอร์พงษ์ วิเศษไพฑูรย์ ได้รับเกียรติ จาก “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งให้เป็น โปรโมเตอร์ สนามมวยลุมพินีกิตติมหศักดิ์ ด้วยล่ะทูนหัว
ถ้า “คุณพี่อุทัย” จับมือกับ “ซีพี” โดยมี “กองทัพ” หนุนหลัง การเมืองข้างหน้าก็จะพลิก
แต่ที่แน่ๆขอตอกย้ำ.. “คุณพี่อุทัย”ล้างมือในอ่างทองคำ?..ไม่กลับลำลงมาเล่นการเมืองอีก
คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
****************************************************
ลาสต์ซัปเปอร์ ดรีมทีมเศรษฐกิจ. งานเลี้ยง-คำสั่งเสีย สัญญาณสุดท้าย ระทึกก่อน ยิ่งลักษณ์. ปรับ ครม.ที่บ้านเกิด !!?
วาระแรก คือ การพิจารณาอนุมัติโครงการระดับท้องถิ่นในกรอบวงเงินกว่า 4 แสนล้านบาท
วาระสอง คือ รับทราบข้อเสนอแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญของ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
แต่วาระที่สำคัญที่สุด ที่รัฐมนตรีทั้ง 35 คน และ ส.ส.เกือบทั้งสภาผู้แทนราษฎร ให้ความสนใจเป็นพิเศษ ไม่พ้น "วาระปรับ ครม."
งานเลี้ยงการเมืองมื้อสุดท้ายของผู้มีรายชื่อในโผที่จะถูก "ปรับออก" จึงพะอืดพะอม เกินกว่าจะรู้รสอาหารที่ถูกจัดมาอย่างพิเศษและอลังการ
ที่เกิดเหตุ ในบริเวณบ้านพักนายสมชาย-นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ณ หมู่บ้านกรีนวัลเลย์ อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่ จึงคลาคล่ำทั้งคนมีหวังได้ลุ้นโผ ครม.ยิ่งลักษณ์ 2 และคนที่ต้องทำใจจากไปก่อนเวลาอันควร
เหล่าคณะรัฐมนตรี 6 คนที่หายหน้าไปด้วยเหตุผลต่างกรรมต่างวาระ
เฉพาะอย่างยิ่ง ทีมรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่จงใจหายไปจากงานเลี้ยง-ลาสต์ซัปเปอร์ อาทิ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว. พาณิชย์, นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ท่องเที่ยวฯ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง
1 ในรัฐมนตรีที่อยู่ในโผถูกปรับออกอย่าง นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล รมช.ศึกษาธิการ ก็หายตัวไปพร้อมกับ นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์
ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ติดภารกิจเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายในเมืองกรุง
คณะรัฐมนตรีที่อยู่ในงานเลี้ยง จึงได้ร่วมเสพสุขทั้งอาหารตา อาหารใจ อาทิ ก๋วยเตี๋ยวลิ้มเหล่าโหงว ที่ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมช.คลัง ภูมิใจนำเสนอ เสิร์ฟพร้อมเนื้อแกะย่าง ของ นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข และอาหารอีสานและเครื่องดื่ม ของ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข
ปลาทับทิมเผาเกลือ ของ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ, พุทรานมสด ของ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เหมาคนเดียว 3 ซุ้ม
เพื่อเสิร์ฟทั้งอาหาร-ผลไม้พื้นเมืองอย่างครบครัน
โต๊ะอาหารขนาดยาวถูกจัดวางไว้กลางงาน มีจำนวนที่นั่งเพียงพอให้ ครม.ทั้งคณะนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน รอบด้านยังรายล้อมไปด้วยโต๊ะกลมสำหรับข้าราชการ ผู้ติดตามรัฐมนตรี กลุ่มคนเสื้อแดง
นอกเหนือบรรยากาศรื่นรมย์และความเลิศรสของอาหาร ทุกคนในงานต่างจับตาภาษากาย และภาษาพูดของรัฐมนตรีที่ติดโผ ถูกเด้งพ้น ครม.
ชื่อ-เก้าอี้ของ "ธีระ วงศ์สมุทร" รมว.เกษตรและสหกรณ์ ถูกหมายตาว่าเพื่อไทยจะเอาคืน นั่งร่วมวงอยู่กับ "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ" รองนายกรัฐมนตรี ที่ได้แต่นั่งรับประทานอาหารด้วยอาการซึม ๆ สีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้พูดคุยกับใคร
เมื่อถูกถามถึงกระแสการปรับ ครม. "ธีระ" ได้แต่ถอนหายใจ สีหน้าออกอาการเหนื่อยใจ แล้วสวนกลับทันทีว่า "ผมไม่รู้ อย่ามาถามเลย..."
"นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล" รมว. ศึกษาธิการ เลือกไปปรากฏตัวอยู่ข้าง ๆ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ เจ้าแม่วังบัวบาน ที่นั่งอยู่ไม่ห่างจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วรวัจน์-ตอบคำถามเรื่องพ้นตำแหน่งว่า "ไม่เคยมีสัญญาณเรื่องการปรับ ครม. เป็นแค่ข่าวปล่อย นายกรัฐมนตรีไม่เคยส่งสัญญาณ มั่นใจจะได้ทำงานต่อ"
ภาพของทีมเศรษฐกิจ ครม.ปู หลายคนออกอาการวิตกกังวล หวาดระแวง จนเห็นได้ชัด
อาการนี้มีปรากฏอยู่ในสีหน้า "น.พ. วรรณรัตน์ ชาญนุกูล" รมว.อุตสาหกรรม ที่มีปัญหาสุขภาพ สุกงอมพอที่จะพ้นจากตำแหน่ง เขาจึงค่อนข้างเหงาหงอย ได้แต่นั่งจับคู่คุยกับ "วิรุฬ เตชะไพบูลย์" รมช.คลัง ผู้มีโควตาจากสาขาของนาย วราเทพ รัตนากร สาขาเจ้าแม่วังบัวบาน
ด้าน "พิชัย นริพทะพันธุ์" รมว. พลังงาน เจ้าของฉายา "ไอเดียกระฉอก" ที่ปกติมักโลดแล่นติดตามนายกรัฐมนตรีตลอดงาน ครั้งนี้กลับเปลี่ยนไป นั่งรับประทานอาหารอย่างสำรวมราวกับมีเรื่องให้กังวลใจและนั่งประจำโต๊ะอาหารจนงานเลิก โดยไม่ลุกขึ้นไปไหนแม้แต่น้อย
เพราะผลงานตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา แม้จะเปิดตัวด้วยแผนปรับโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ อาทิ การปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง การเริ่มต้นเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันเบนซิน การต่ออายุมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซล รวมไปถึงนโยบายบัตรเครดิตพลังงาน
แต่กลับมีปัญหากับมวลชนเสื้อแดง ในกลุ่มคนขับรถแท็กซี่ ที่รุมประท้วง
เช่นเดียวกับการแจกคูปองส่วนลดเครื่องใช้ไฟฟ้า 2,000 บาท ที่มีเสียงก่นด่าจากม็อบทั่วทุกหัวเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่ม ส.ส.ในพรรคเพื่อไทยด้วยกัน
พิชัย-บอกกับคนใกล้ชิดว่า "เป็นธรรมดา เก้าอี้นี้เป็นที่หมายปองก็ต้องถูกเขย่า อย่าคิดมาก แต่ไม่มั่นใจว่าจะยังอยู่ในตำแหน่งต่อได้หรือไม่ แล้วแต่นายกรัฐมนตรี ให้อยู่ก็อยู่ ไม่ให้อยู่ก็ไม่อยู่ เตรียมใจไว้แล้ว เพราะการเมืองก็คือการเมือง พ้นจากเก้าอี้ก็ดี ตอนนี้โคตรเหนื่อย ไม่เป็นสุข เช้าจดเย็น"
ส่วนหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอย่าง "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ถึงจะมาร่วมงานเลี้ยงไม่ทัน แต่ชื่อของเขาก็มิได้ถูกพรรคพวกถามถึงแต่อย่างใด
แม้ที่ผ่านมาในฐานะเจ้ากระทรวงพาณิชย์ จะมีบทบาทกับการเดินหน้ามาตรการรับจำนำข้าว-มันสำปะหลัง แต่ภาระหน้าที่ที่เด่นชัดที่สุด กลับไปตกอยู่กับการเป็นประธานและรองประธานคณะกรรมการที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์แต่งตั้งขึ้น อาทิ ชุดกลั่นกรองนโยบายเศรษฐกิจ ชุดฟื้นฟูช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)
แต่ผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือการผลักดันร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ทั้ง 4 ฉบับ เพื่อจัดทำระบบบริหารจัดการน้ำ โดยเฉพาะร่าง พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้ เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.....
เมื่อถูกถามถึงกระแสการปรับ ครม. เขาได้แต่ยิ้ม พร้อมยืนยันคำพูดเดิมว่า "แล้วแต่นายกรัฐมนตรีจะเป็นคนตัดสินใจ ไม่ใช่ผม"
ชื่อกิตติรัตน์จึงพลิกจากพ้นโผ เป็นอยู่ในโผ "รมว.คลัง" แทน "นายธีระชัย" รมว.คลัง ที่นับวันภาพของการไม่ลงรอยในทีมเศรษฐกิจยิ่งปรากฏชัดมากขึ้น
ทั้งภารกิจการผลักดันโครงการประชานิยม อาทิ พักชำระหนี้เกษตรกร โครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก และมาตรการลดภาษีนิติบุคคล ยังไม่ชัดเจนเท่าภาพที่เขาตั้งท่า ขัดขา หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ อย่างโจ่งแจ้ง
"ธีระชัย" ไขข้อข้องใจที่ไม่มีใครเห็นเขาในงานเลี้ยงคณะรัฐมนตรี ผ่านเฟซบุ๊กว่า "เมื่อคืนนี้ ท่านรองผู้ว่าการแบงก์ชาติ คุณสรสิทธิ์ สุนทรเกศ ได้พาไปทานอาหารที่ร้านแสนคำ..."
หลังสิ้นสุดการประชุม ครม. เขาเดินทางออกจากที่ประชุมไปด้วยความรวดเร็ว ไม่แม้จะหันหลังกลับมา
เก้าอี้ที่กระทรวงคมนาคม แม้ว่า "พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต" จะไม่กล่าวอะไรทิ้งท้าย แต่รัฐมนตรีช่วยคู่กรณี "กิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์" รมช. เป็นผู้แก้ต่างแทนว่า "ไม่เป็นความจริง การันตี 100% ว่าไม่มีแน่นอน ผมคุยกับรัฐมนตรีหลายคนที่มีรายชื่อถูกปรับออกจาก ครม. ก็ยังหัวเราะกันอยู่"
"ถ้าจะมีการปรับ ครม.ช่วงตรุษจีน ถ้าจะปรับจริง นายกรัฐมนตรีต้องเรียกไปคุยแล้ว แต่ขณะนี้ยังไม่มีใครถูกนายกฯเรียกไปคุยเลย นายกรัฐมนตรีไม่เคยส่งสัญญาณเรื่องนี้ มีแต่สั่งให้เร่งทำงาน"
"ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะปรับ ครม. เพราะเพิ่งทำงานได้แค่ 3 เดือนเท่านั้น ถือว่าเป็นแค่การทดลองงาน ยังไม่สามารถพิสูจน์ผลงานได้"
สุดท้ายเขาก็ยอมรับชะตากรรม "เหตุที่มีข่าวการปรับ รมว.คมนาคม เพราะมีความขัดแย้งกับรัฐมนตรีช่วย ถือว่าขณะนี้ไม่มีปัญหากันแล้ว...แต่หากจะถูกปรับออกก็ยอมรับ ไม่น้อยใจ"
คณะรัฐมนตรีทั้ง 35 คน แทบไม่มีใครรู้ว่า "ทักษิณ ชินวัตร" ผู้กุมชะตากรรมของพวกเขา จะจับเขาไปวางไว้ที่ใด จนกว่าจะมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 2" ออกมา
ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
******************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555
ผมไม่เกี่ยวกับทักษิณ แต่ผมทำเพื่อสำนึกบ้านเมือง !!?
หมายเหตุ : คำต่อคำ “ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน” ประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ในการแถลงข่าวกรณี การแต่งตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่มีเสียงบริภาษว่า เป็นการทำตามแนวทางของพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดง
“การยืนแนวคิดให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 40 คน เป็นข้อเสนอที่แตกต่างกันไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ขอให้เถียงด้วยเหตุผลและสติ วันนี้พูดกันมากว่าข้อเสนอของ คอ.นธ. ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะไม่ทำตามแบบ ส.ส.ร. 2540 แต่ข้อเสียของ ส.ส.ร.มีมาก เพราะต้องมาแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้ง เช่น แก้มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน ขอถามว่าประชากรใน 77 จังหวัดมีจำนวนเท่ากันหรือไม่ จ.ระนอง มี 2 แสนคน กทม. มี 6 ล้านคน แต่ได้จังหวัดละ 1 คน ขัดต่อหลักความเสมอภาคอย่างเห็นได้ชัด”
“ผมถามจริงๆ คุณจะเลือก ส.ส.ร.จากใคร คนที่จะมาแก้รัฐธรรมนูญไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่มาตราเดียว ไปถามวิปรัฐบาลที่เขาเพิ่งประชุมกันก็ได้ ถาม ส.ส. ทั้งหมด 500 คน ว่า คนไหนอ่านรัฐธรรมนูญปี 2550 ปี 2540 ถ้ามีผมจะให้ปริญญาอีกใบ คำตอบ คือ ไม่มี”
“การตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แต่ละครั้ง ไม่ว่า ส.ส.ร.1 ปี 2540 หรือ ส.ส.ร.2 ปี 2550 สิ้นเปลืองงบประมาณครั้งละ 1,000 กว่าล้านบาท แล้ว ส.ส.ร.3 จะเสียอีกเท่าไร พันกว่าล้านหรืออย่างไร แต่วิธีของ คอ.นธ. ที่เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างและทำตุ๊กตารัฐธรรมนูญฉบับใหม่และส่งให้รัฐสภาพิจารณา ก็ทำตามขั้นตอนกฎหมาย”
“เนื่องจากการขอแก้รัฐธรรมนูญทำได้ 3 ทาง คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกรัฐสภา ประชาชน 5 หมื่นคน ที่สามารถเสนอร่างแก้ไขเข้ารัฐสภาได้ และถ้าให้ ครม. เสนอร่างก็ต้องมีผู้ร่างให้ วิธีของ คอ.นธ.ก็เหมือนกับการหาสถาปนิก วิศวกรมืออาชีพมาสร้างบ้านหลังนี้ แต่ถ้าเลือกคนจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัดมาสร้าง แล้วจะสร้างได้ ไหม ที่พูดไม่ได้ดูถูกประชาชน”
“วิธีการของผมไม่เสียงบแผ่นดิน ไม่เสียเวลา กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ ผมจะบอกให้พวกเขาที่มาร่างรัฐธรรมนูญอย่ารับเงินเดือนเลย ควรทำเพื่อชาติ เอาเงินไปช่วยน้ำท่วม ดีกว่า และถ้ารัฐบาลบอกให้เราร่าง 7 วันก็ได้แล้ว และให้รัฐสภาพิจารณา ผมเสนอ 34 คน เพราะ 34 ท่านนี้ผมเห็นว่าเขาสนใจในรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นแค่ตุ๊กตา รัฐบาลจะเอา 60 คน หรือ 99 คนมาก็ได้ แต่ผมมีเงื่อนไข อย่าไปเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาครอบงำ”
“การที่ใครจะครอบงำใครอยู่ที่ประชาชนจะตัดสิน และผมก็จะขอให้มีการถ่ายทอด ทีวี วิทยุ ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญทุกนัด เพื่อให้การศึกษาประชาชนขั้นต้น เมื่อตกผลึกแล้วก็ส่งเข้ารัฐสภาพิจารณารับหลักการเหมือนกฎหมาย และตั้งคณะกรรมาธิการแปรญัตติ ตั้งตามสัดส่วนจากรัฐบาล ส.ส. ส.ว. รัฐบาลก็สามารถตั้งคนนอกเข้ามา เป็นได้อีก”
“การตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับ รู้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งการถ่ายทอดสดการพิจารณา รวมถึงขั้นตอนที่ประชาชนสามารถ เสนอรายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา โดยอาจเสนอมา 5 ฉบับ ฉบับละแสนคนก็ได้ เมื่อเสนอแล้วก็ให้สภารับหลักการ และให้รัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบ โดยใช้ร่างรัฐบาลเป็นหลักในการพิจารณา”
“ตอน ส.ส.ร.ชุด 2540 เขากำหนดว่าเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญเสร็จ ให้รัฐสภา ลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น ซึ่งเป็นการมัดมือมัดเท้า ส.ส.ว่าจะรับรัฐธรรมนูญหรือไม่รับ ทั้งที่ ส.ส.เป็นผู้แทนปวงชน และ ส.ส.ทุกคนก็เป็นสถาปนิกที่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไปโยนหน้าที่นี้ไปให้พี่น้องประชาชน คือ ส.ส.ร. ซึ่งไม่เคยรู้หรือเปิดรัฐธรรมนูญอ่านเลย แล้วจะมาเขียนแบบแปลนบ้านให้เรา”
“อย่างนี้ สส.ก็หนีความรับผิดชอบ อย่าปัดความรับผิดให้กับประชาชนที่เขาจ่ายเงินเดือนมาให้คุณ และ ส.ส.ร.เองเมื่อได้รับเลือกเข้ามา ก็ไม่ได้มาแถลงนโยบาย ว่าเขาจะไปแก้อะไร หลังจากนี้ ผมจะไม่หยุด ผมจะออกทีวีช่อง 11 ตามเวลาที่รัฐบาล ให้ผมไว้ทุกวันพฤหัสฯ ก็จะบอกว่าควรแก้จุดไหนของรัฐธรรมนูญ แล้วต่อไปก็จะจัดหนักกว่านี้ อาจทำเป็นร่างฉบับ คอ.นธ. หลังเรื่องรัฐธรรมนูญเสร็จ”
“ถามว่า เสียหน้าหรือไม่ ถ้านายกฯ ไม่รับข้อเสนอ ผมไม่เสียเลย นายกฯ นั่นแหละเสียหน้า เพราะประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความเห็นของผมจะถูกบันทึกในหอจดหมายเหตุแห่งชาติว่าสิ่งที่ผมพูดถูกหรือไม่ ท่าน (นายกฯ) จะฟังเสียง ส.ส. ซึ่งไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่ทำตามหน้าที่ แล้วก็ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน (ตั้ง ส.ส.ร.) โดยไม่คำนึงถึงภาษีอากรของประชาชน ท่านจะฟังใครให้ท่านเลือกเอา”
“การทำหน้าที่ คอ.นธ.ไม่เคยรับนโยบายนายกฯ คนปัจจุบัน หรืออดีตนายกฯ ตามที่เป็นข่าว ตั้งแต่อยู่ในวงการ ไม่มีใครสั่งอะไรผมได้ ใครบอกสั่งได้ขอให้แสดงตัวมา เมื่อตอนทักษิณ (ชินวัตร) ตั้งผมเป็นประธานกรรมการอิสระส่งเสริมความยุติธรรมภาคใต้ ผมไม่เคยเข้าทำเนียบฯ นายกฯ ทักษิณ เอาคำสั่งแต่งตั้งมาให้ผมที่นี่ ผมก็ไม่เคยรับคำสั่งในทำเนียบรัฐบาล เชิญไปก็ไม่ไป แต่ต้องมาหาผม”
“ผมไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณบอกไม่เอาข้อเสนอนี้ ก็บอกมาทางรัฐบาล บอกทางน้องสาวก็ได้ ถูกไหม ตอนตั้งกรรมการอิสระ ทักษิณก็ไม่ได้ขอผม เมื่อตอนผมเป็นคณบดีนิติศาสตร์ ผมสอนหนังสือ ทักษิณอยู่ปี 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถามจริงๆ เถอะ คนอย่างผมจะไปฟังคำสั่งลูกศิษย์หรือ แล้วทำเพื่ออะไร ไม่มี เงินตอบแทน ชีวิตผมไม่เคยรับเงินประจำตำแหน่ง รถประจำตำแหน่ง ไม่มีการดูงานต่างประเทศทุกอย่างผมพร้อมหมดแล้ว ตั้งแต่ปี 2527 ผมได้สายสะพายสูงสุดมาแล้ว แต่ผมทำเพื่อสำนึกบ้านเมืองมากกว่า”
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////
“การยืนแนวคิดให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 40 คน เป็นข้อเสนอที่แตกต่างกันไม่ใช่สาระสำคัญ แต่ขอให้เถียงด้วยเหตุผลและสติ วันนี้พูดกันมากว่าข้อเสนอของ คอ.นธ. ไม่เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะไม่ทำตามแบบ ส.ส.ร. 2540 แต่ข้อเสียของ ส.ส.ร.มีมาก เพราะต้องมาแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้ง เช่น แก้มาตรา 291 เพื่อตั้ง ส.ส.ร. 77 จังหวัด จังหวัดละ 1 คน ขอถามว่าประชากรใน 77 จังหวัดมีจำนวนเท่ากันหรือไม่ จ.ระนอง มี 2 แสนคน กทม. มี 6 ล้านคน แต่ได้จังหวัดละ 1 คน ขัดต่อหลักความเสมอภาคอย่างเห็นได้ชัด”
“ผมถามจริงๆ คุณจะเลือก ส.ส.ร.จากใคร คนที่จะมาแก้รัฐธรรมนูญไม่เคยอ่านรัฐธรรมนูญเลยแม้แต่มาตราเดียว ไปถามวิปรัฐบาลที่เขาเพิ่งประชุมกันก็ได้ ถาม ส.ส. ทั้งหมด 500 คน ว่า คนไหนอ่านรัฐธรรมนูญปี 2550 ปี 2540 ถ้ามีผมจะให้ปริญญาอีกใบ คำตอบ คือ ไม่มี”
“การตั้ง ส.ส.ร.มายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แต่ละครั้ง ไม่ว่า ส.ส.ร.1 ปี 2540 หรือ ส.ส.ร.2 ปี 2550 สิ้นเปลืองงบประมาณครั้งละ 1,000 กว่าล้านบาท แล้ว ส.ส.ร.3 จะเสียอีกเท่าไร พันกว่าล้านหรืออย่างไร แต่วิธีของ คอ.นธ. ที่เสนอให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการยกร่างและทำตุ๊กตารัฐธรรมนูญฉบับใหม่และส่งให้รัฐสภาพิจารณา ก็ทำตามขั้นตอนกฎหมาย”
“เนื่องจากการขอแก้รัฐธรรมนูญทำได้ 3 ทาง คือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สมาชิกรัฐสภา ประชาชน 5 หมื่นคน ที่สามารถเสนอร่างแก้ไขเข้ารัฐสภาได้ และถ้าให้ ครม. เสนอร่างก็ต้องมีผู้ร่างให้ วิธีของ คอ.นธ.ก็เหมือนกับการหาสถาปนิก วิศวกรมืออาชีพมาสร้างบ้านหลังนี้ แต่ถ้าเลือกคนจากจังหวัดต่างๆ 77 จังหวัดมาสร้าง แล้วจะสร้างได้ ไหม ที่พูดไม่ได้ดูถูกประชาชน”
“วิธีการของผมไม่เสียงบแผ่นดิน ไม่เสียเวลา กะทัดรัด ไม่เยิ่นเย้อ ผมจะบอกให้พวกเขาที่มาร่างรัฐธรรมนูญอย่ารับเงินเดือนเลย ควรทำเพื่อชาติ เอาเงินไปช่วยน้ำท่วม ดีกว่า และถ้ารัฐบาลบอกให้เราร่าง 7 วันก็ได้แล้ว และให้รัฐสภาพิจารณา ผมเสนอ 34 คน เพราะ 34 ท่านนี้ผมเห็นว่าเขาสนใจในรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นแค่ตุ๊กตา รัฐบาลจะเอา 60 คน หรือ 99 คนมาก็ได้ แต่ผมมีเงื่อนไข อย่าไปเลือกกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาครอบงำ”
“การที่ใครจะครอบงำใครอยู่ที่ประชาชนจะตัดสิน และผมก็จะขอให้มีการถ่ายทอด ทีวี วิทยุ ระหว่างการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญทุกนัด เพื่อให้การศึกษาประชาชนขั้นต้น เมื่อตกผลึกแล้วก็ส่งเข้ารัฐสภาพิจารณารับหลักการเหมือนกฎหมาย และตั้งคณะกรรมาธิการแปรญัตติ ตั้งตามสัดส่วนจากรัฐบาล ส.ส. ส.ว. รัฐบาลก็สามารถตั้งคนนอกเข้ามา เป็นได้อีก”
“การตั้งคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับ รู้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งการถ่ายทอดสดการพิจารณา รวมถึงขั้นตอนที่ประชาชนสามารถ เสนอรายชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้าสู่รัฐสภา โดยอาจเสนอมา 5 ฉบับ ฉบับละแสนคนก็ได้ เมื่อเสนอแล้วก็ให้สภารับหลักการ และให้รัฐบาลเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประกบ โดยใช้ร่างรัฐบาลเป็นหลักในการพิจารณา”
“ตอน ส.ส.ร.ชุด 2540 เขากำหนดว่าเมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญเสร็จ ให้รัฐสภา ลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้น ซึ่งเป็นการมัดมือมัดเท้า ส.ส.ว่าจะรับรัฐธรรมนูญหรือไม่รับ ทั้งที่ ส.ส.เป็นผู้แทนปวงชน และ ส.ส.ทุกคนก็เป็นสถาปนิกที่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไปโยนหน้าที่นี้ไปให้พี่น้องประชาชน คือ ส.ส.ร. ซึ่งไม่เคยรู้หรือเปิดรัฐธรรมนูญอ่านเลย แล้วจะมาเขียนแบบแปลนบ้านให้เรา”
“อย่างนี้ สส.ก็หนีความรับผิดชอบ อย่าปัดความรับผิดให้กับประชาชนที่เขาจ่ายเงินเดือนมาให้คุณ และ ส.ส.ร.เองเมื่อได้รับเลือกเข้ามา ก็ไม่ได้มาแถลงนโยบาย ว่าเขาจะไปแก้อะไร หลังจากนี้ ผมจะไม่หยุด ผมจะออกทีวีช่อง 11 ตามเวลาที่รัฐบาล ให้ผมไว้ทุกวันพฤหัสฯ ก็จะบอกว่าควรแก้จุดไหนของรัฐธรรมนูญ แล้วต่อไปก็จะจัดหนักกว่านี้ อาจทำเป็นร่างฉบับ คอ.นธ. หลังเรื่องรัฐธรรมนูญเสร็จ”
“ถามว่า เสียหน้าหรือไม่ ถ้านายกฯ ไม่รับข้อเสนอ ผมไม่เสียเลย นายกฯ นั่นแหละเสียหน้า เพราะประวัติศาสตร์จะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความเห็นของผมจะถูกบันทึกในหอจดหมายเหตุแห่งชาติว่าสิ่งที่ผมพูดถูกหรือไม่ ท่าน (นายกฯ) จะฟังเสียง ส.ส. ซึ่งไม่ได้ทำตามรัฐธรรมนูญ ไม่ทำตามหน้าที่ แล้วก็ใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดิน (ตั้ง ส.ส.ร.) โดยไม่คำนึงถึงภาษีอากรของประชาชน ท่านจะฟังใครให้ท่านเลือกเอา”
“การทำหน้าที่ คอ.นธ.ไม่เคยรับนโยบายนายกฯ คนปัจจุบัน หรืออดีตนายกฯ ตามที่เป็นข่าว ตั้งแต่อยู่ในวงการ ไม่มีใครสั่งอะไรผมได้ ใครบอกสั่งได้ขอให้แสดงตัวมา เมื่อตอนทักษิณ (ชินวัตร) ตั้งผมเป็นประธานกรรมการอิสระส่งเสริมความยุติธรรมภาคใต้ ผมไม่เคยเข้าทำเนียบฯ นายกฯ ทักษิณ เอาคำสั่งแต่งตั้งมาให้ผมที่นี่ ผมก็ไม่เคยรับคำสั่งในทำเนียบรัฐบาล เชิญไปก็ไม่ไป แต่ต้องมาหาผม”
“ผมไม่เกี่ยวกับคุณทักษิณ ถ้าคุณทักษิณบอกไม่เอาข้อเสนอนี้ ก็บอกมาทางรัฐบาล บอกทางน้องสาวก็ได้ ถูกไหม ตอนตั้งกรรมการอิสระ ทักษิณก็ไม่ได้ขอผม เมื่อตอนผมเป็นคณบดีนิติศาสตร์ ผมสอนหนังสือ ทักษิณอยู่ปี 1 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ถามจริงๆ เถอะ คนอย่างผมจะไปฟังคำสั่งลูกศิษย์หรือ แล้วทำเพื่ออะไร ไม่มี เงินตอบแทน ชีวิตผมไม่เคยรับเงินประจำตำแหน่ง รถประจำตำแหน่ง ไม่มีการดูงานต่างประเทศทุกอย่างผมพร้อมหมดแล้ว ตั้งแต่ปี 2527 ผมได้สายสะพายสูงสุดมาแล้ว แต่ผมทำเพื่อสำนึกบ้านเมืองมากกว่า”
ที่มา.สยามธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////
ย้อนรอย:ปฏิบัติการวินาศกรรมสนั่นโลกเฮซบอลเลาะห์ !!?
เวบข่าวอิสระของอิสราเอลเผยเฮซบอลเลาะห์มีแผนโจมตีกรุงเทพฯคล้ายเหตุการณ์โจมตีกว่าสิบจุดพร้อมกันในนครมุมไบของอินเดียเมื่อหลายปีก่อน
เวบไซต์เดบกาไฟล์ ซึ่งเป็นเวบไซต์อิสระของผู้สื่อข่าวกลุ่มหนึ่ง ที่มีความเห็นและบทวิเคราะห์เรื่องการก่อการร้าย ข่าวกรอง ความมั่นคง การทหาร และการเมืองในตะวันออกกลาง เผยพร่แป็นภาษาอังกฤษและฮิบรู ระบุว่า การจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ผู้ต้องสงสัยเป็นสมาชิกเฮซบอลเลาะห์เชื้อสายเลบานอนในไทยเมื่อวันจันทร์ ทำให้สามารถทำลายแผนการก่อเหตุโจมตีโรงแรมในย่านถนนข้าวสารของกรุงเทพฯ
ตามแผนการดังกล่าว จะมีทั้งการจับตัวประกันและระเบิดตึก คล้ายกับเหตุการณ์ที่สมาชิกอัลไกดา ก่อเหตุโจมตีหลายจุดในเวลาไล่เลี่ยกันในนครมุมไบของอินเดียเมื่อปี 2551 ซึ่งเฉพาะการโจมตีที่ศูนย์วัฒนธรรมชาวยิวทำให้มีชาวอิสราเอลและชาวยิวเสียชีวิต 8 คน
นอกจากนี้ เวบไซต์ยังระบุด้วยว่า สมาชิกอีกกลุ่มมีแผนลงมือโจมตีร้านอาหารต่างๆในย่านถนนข้าวสาร ซึ่งเป็นสถานที่นิยมของชาวอิสราเอลและอเมริกัน ถือเป็นครั้งแรกที่หน่วยงานของชาติตะวันตกและอิสราเอล พบหลักฐานที่บ่งชี้ว่า กลุ่มเฮซบอลเลาะห์ มีการฝึกฝนหรือลงมือก่อเหตุในลักษณะเดียวกับแผนก่อการร้ายของอัล-ไกด้า
สำหรับเหตุโจมตีนครมุมไบ เมื่อปี 2551นั้น เริ่มต้นโดยกลุ่มชายลึกลับ 10 คน ที่พกพาอาวุธหนักลักลอบขึ้นฝั่งนครมุมไบอย่างเงียบเชียบและปฏิบัติการสังหารหมู่ชาวอินเดียและชาวต่างประเทศในสถานที่สำคัญๆของมุมไบ เมืองหลวงทางด้านการเงินของอินเดีย และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของชาวต่างประเทศ
เสียงปืนที่ดังระรัวและเสียงระเบิดที่ดังขึ้นในโรงแรมทาช มาฮาล โรงแรมโอเบอรอย-ไทรเดนท์ ร้านกาแฟลีโอโปล ชาบัดเฮ้าส์ หรือศูนย์รวมชุมชนชาวยิวที่นับถือศาสนาคริสตร์นิกายออร์โธดอกซ์ และ สถานีรถไฟหลักของนครมุมไบ และภาพของผู้เสียชีวิต 195 รายในเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มุมไบกลายเป็นขุมนรกขึ้นมาในทันที
การโจมตีนครมุมไบ เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 เมื่อกลุ่มชายฉกรรจ์ 10 คน นำเรือสปีดโบ๊ทลงจากเรือใหญ่ในทะเลนอกนครมุมไบ ในช่วงกลางคืน เพื่อร่วมกับผู้ร่วมปฏิบัติการอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งลงพื้นที่นครมุมไบมาแล้วกว่าเดือน โดยได้ทำหน้าที่สำรวจพื้นที่ปฏิบัติการอย่างละเอียด พร้อมสะสมอาวุธปืน และกระสุนเพื่อเตรียมก่อเหตุ
การโจมตีครั้งแรก เปิดฉากขึ้นที่สถานีรถไฟฉัตรปตี ศิวะจี เมื่อผู้ก่อการร้าย 2 คนกราดยิงและข้าวงระเบิดใส่ฝูงชนที่กำลังเดินทางทำให้มีผู้เสียชีวิต 50 คน ก่อนที่จะหลบหนีไปยังโรงพยาบาลคามา และเปิดฉากกราดยิงใส่ฝูงชนอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้ก็เผชิญกับการตอบโต้จากตำรวจอินเดีย ที่เริ่มเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ทำให้ เฮแมนต์ คาร์คาเร หัวหน้าหน่วยตำรวจต่อต้านการก่อการร้ายของมุมไบ และตำรวจระดับสูงอีก 2 นาย ถูกยิงเสียชีวิตที่นอกโรงพยาบาล
หลังจากนั้น คนร้ายบางคนยึดรถของตำรวจแล้วขับออกไปพร้อมกับกราดยิงไปตามถนน ก่อนจะขับไปยังเป้าหมายหลักอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่งคั่ง และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของมุมไบ คือ โรงแรมทัชมาฮาล และโรงแรมโอเบอรอย-ไทรเดนท์ นอกจากนั้น ยังไปที่ศูนย์ชาวยิว และโรงแรมที่พักของนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลด้วย
สัญญาณแรกที่บรรดาแขก และเจ้าหน้าที่ของโรงแรมทัชมาฮาล รับรู้ว่าเกิดเหตุโจมตี ก็คือ เสียงปืนดังหลายนัด และเสียงระเบิดที่บริเวณสระว่ายน้ำ ก่อนที่ผู้ก่อการร้ายจะคนร้ายก็บุกเข้ามาภายใน และล้อมตัวประกันไว้ในตัวโรแรม พร้อมกับถามหาผู้ถือสัญชาติอเมริกัน และอังกฤษ
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ผู้ก่อการร้ายเป็นกลุ่มชายวัยหนุ่ม สวมเสื้อยืดกางเกงยีนส์ แต่ปฏิบัติการอย่างเหี้ยมโหด ดาราสาวบรู๊ค แซทช์เวล ชาวออสเตรเลียวัย 28 ปี ซึ่งเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตู้เล่าว่า มีคนถูกยิงที่ระเบียง บางคนถูกยิงหน้าห้องน้ำ เป็นภาพที่สยดสยองมาก
หลังจากนั้น หน่วยคอมมานโดก็บุกเข้าไปสู้กับคนร้ายในโรงแรมโดยบุกค้นไปทีละชั้นทีละห้องและเกิดปะทะกับผู้ก่อการร้ายเป็นระยะๆก่อนที่เสียงปืนจะเงียบเสียงลง พร้อมกับไฟที่ลุกโชนท่วมอาคารโรงแรมก็ถูกดับลงในเวลาต่อมา
แต่เหตุการณ์การโจมตีมุมไบยังไม่สิ้นสุด ตลอดวันพฤหัสบดี (27) สถานีโทรทัศน์ของอินเดีย เผยแพร่ภาพเหตุการณ์ในจุดต่างๆ สลับไปมาไม่หยุดหย่อน เมื่อมีข่าวการยิงกันหรือระเบิด, เหตุไฟไหม้ และการบาดเจ็บล้มตายของผู้ที่พักตามโรงแรมต่างๆ ในช่วงเย็น นายมานโมฮาน ซิงห์ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ได้ออกแถลงประกาศจะตอบโต้อย่างหนักหน่วง รวมทั้งได้กล่าวเตือน ศัตรูเก่าแก่ของอินเดีย นั่นคือ ปากีสถานว่าไม่ควรให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย
ต่อมาในช่วงเช้ามืดของวันศุกร์ จุดสนใจของเหตุการณ์ก็ย้ายไปอยู่ที่ศูนย์กลางชาวยิว ซึ่งเป็นทั้งย่านที่พัก และสำนักงาน หน่วยคอมมานโดสวมหน้ากากได้โรยตัวลงจากเฮลิคอปเตอร์ แล้วรวมพลบนหลังคาตึกก่อนบุกจู่โจมผู้ก่อการร้ายจนสามารถยิงคนร้ายตาย 2 รายแต่ก็พบศพชาวยิว 8 ราย ซึ่งรวมทั้งครูสอนศาสนาชาวยิวกับภรรยา ในขณะที่ลูกชาย ซึ่งมีอายุครบสองขวบในวันเสาร์ได้รับความช่วยเหลือจากพี่เลี้ยงชาวอินเดียออกมาได้
ด้านนายยูซุฟ ราซา กิลานี นายกรัฐมนตรีปากีสถานตอบโต้อินเดียว่าปากีสถาน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการโจมตีมุมไบ และรัฐมนตรีต่างประเทศของปากีสถานก็ได้ขอร้องให้รัฐบาลอินเดียไม่หลงติดเข้าไปในเกมการกล่าวหากันที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์โจมตีนครมุมไบเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2551 ถือเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดอันเกิดจากฝีมือผู้ก่อการร้ายหลังจากเหตุวินาศกรรม 11กันยายน 2544 ที่ผู้ก่อการร้ายกลุ่มอัล-ไกด้า ได้จี้เครื่องบิน 4 ลำพุ่งชนสถานที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา เช่น ตึกแฝดเวิล์ดเทรดเซนเตอร์ ในนครนิวยอร์ค และ อาคารเพนตากอน หรือ ที่ทำการกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา รวมทั้งเป้าหมายอีกแห่งหนึ่งที่เชื่อว่าเป็นทำเนียบขาว แต่เครื่องบินลำนั้นเกิดตกเสียก่อนที่จะถึงเป้าหมาย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)