--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554

คลัง ดัน ครม.ยืนยันร่าง กม.บัตรเครดิต !!?

คลัง ดัน ครม.ยืนยันร่าง กม.บัตรเครดิต ธปท.ชิ่งแนะตั้งหน่วยงานเฉพาะดูแลผู้บริโภค...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมครม.วันที่ 27 ก.ย. กระทรวงการคลัง ขอความเห็นชอบร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... เพื่อให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป และขอความเห็นชอบตามความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และให้กระทรวงการคลังแก้ไขปรับปรุงร่างพ.ร.บ.การประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ตามความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา แล้วเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พิจารณาแล้วเห็นว่า ปัจจุบัน ธปท. กำกับดูแลเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ซึ่งเป็น “ผู้ออกบัตร” (Issuers) เนื่องจากเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อระบบการชำระเงิน แต่ในการกำกับดูแลผู้รับบัตรซึ่งเป็นสถานประกอบการร้านค้าต่าง ๆ โดยตรงนั้นจะไม่ตรงตามบทบาทของ ธปท. ที่เป็นผู้กำกับดูแลระบบสถาบันการเงิน ประกอบกับ ธปท. ไม่มีอัตรากำลังเพียงพอ ที่จะกำกับดูแลผู้รับบัตร ที่มีเป็นจำนวนมากทั่วทั้งประเทศ

ทั้งนี้ การดูแลร้านค้าผู้รับบัตรนั้น มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่ง ธปท. ได้เคยหารือประเด็นนี้กับกระทรวงการคลังแล้ว และได้ให้ความเห็นว่าน่าจะมีหน่วยงานเฉพาะที่กำกับดูแลและคุ้มครองผู้บริโภคทางด้านการเงิน (Financial Consumer Protection) ซึ่งในต่างประเทศมีการจัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวแยกจากธนาคารกลาง เช่น Consumer Protection and Market Authority (CPMA) ของ Financial Services Authority (FSA) ประเทศอังกฤษ เป็นต้น

ดังนั้น จึงขอตัดคำว่า “ผู้รับบัตร” ออกจากร่างมาตรา 25 ของร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต พ.ศ. .... ซึ่ง กระทรวงการคลังได้พิจารณาร่าง พ.ร.บ. ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ยืนยันให้ดำเนินการต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ กำหนดให้การประกอบธุรกิจบัตรเครดิตจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีโดยคำแนะนำของ ธปท. และการให้บริการแก่ผู้รับบัตรจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจาก ธปท. ตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. ประกาศกำหนด

นอกจากนี้ ยังกำหนดหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจบัตรเครดิต เช่น การให้บริการแก่ผู้รับบัตร การกำกับดูแลการประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและการให้บริการแก่ผู้รับบัตร และหน้าที่ของผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและการคุ้มครองผู้ถือบัตร

ที่มา: ไทยรัฐ
//////////////////////////////////////////////////////

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

อริสมันต์. เปิดใจ ตอนหลบหนีสลายม็อบแดง !!?

นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้ายเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลนัดพิเศษ ระหว่างแกนนำเสื้อแดง กับรัฐบาลกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่ง นายอริสมันต์ ได้เล่าถึงการหลบหนีระหว่างสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่า เหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ที่มีการสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ พวกเราแกนนำได้ตัดสินใจยุติการชุมนุม เพราะเกรงว่าจะมีคนตายอีกเยอะ ที่ผ่านมา พวกเราไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินไป สำหรับผมเองเมื่อมีการตัดสินใจอย่างนี้ ก็รู้ว่าเราคงไม่อยู่ในประเทศ ผมตัดสินใจไม่ยอมอยู่แล้ว

“วันนั้นผมเดินออกจากที่ชุมนุมออกมาทางประตูน้ำ ซึ่งตรงนั้นทหารเยอะมาก แต่เชื่อมั้ยเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ผมสามารถหลบหนีออกจากโรงแรมเอสซี ปาร์ค และหลังจากนั้น ก็มีคนนำพระมาให้ผม ในสร้อยคอหนึ่งเส้นมี 3 องค์ และผมไม่ชอบแขวนพระ ถ้าสังเกตแกนนำหลายคนแขวนพระกันเต็มคอหมดเลย แต่ผมไม่ชอบแขวนพระ 2 วันผ่านมา มีพระมาเข้าฝันเลยตกใจสะดุ้งตื่นเลย รีบนำพระมาแขวนคอ เพราะในฝันท่านมาบอกว่า “ทำไมมึงไม่แขวนกู” ซึ่งในจำนวนพระ 3 องค์นี้ ผมรู้จักแค่คนเดียว คือ หลวงพ่อฉุย เพราะมันติดตาในฝัน จากนั้นก็รอดแคล้วคลาดมาโดยตลอด ผมก็เล่าเรื่องหลวงพ่อมาเข้าฝันให้พี่แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) ฟัง แต่พี่แดงแกไม่เชื่อ

มาถึงตอนที่ผมจะเดินออกจากม็อบ ผมไปนั่งอยู่ที่หน้าศาลพระพรหมอยู่นานมาก กระทั่งคนขายเสื้อผ้าแถวนั้น มาบอว่า พี่ยอมแพ้ เชื่อผมเถอะ ยังไงพี่ก็ไม่รอด ผมก็กอดคอคนขายเสื้อผ้า แล้วบอกว่า “วันนี้ถ้าชีวิตมันตาย มันก็ต้องตาย น้องก็ได้รู้ว่าพี่ต้องตายวันนี้” จากนั้นผมก็ถอดรองเท้า มันก็เอารองเท้ามาให้ใส่ เป็นรองแตะหูคีบ ถอดเสื้อเปลี่ยนเป็นเสื้อโทรมๆ แล้วเดินออกไป ระหว่างนั้นทหารก็วิ่งสวนมา แต่ก็ผ่านผมไป แล้วผมก็ซื้อฮอล์ล กับบุหรี่ 10 ม้วน แล้วก็สูบบุหรี่ไปเดินไป ก็สวนกับทหารเป็นระยะๆ

พอเลี้ยวขวาตรงห้างบิ๊กซี โอ้โฮ แม่ง คุณรู้ไหมตรงนั้น แม่ง หฤโหดขนาดไหน รถฮัมวี่จอดเป็น 10 คัน กระสุนปืนเป็นแสนนัดว่าอย่างนั้นดีกว่า คงกะว่าถล่มตายหมดน่ะ แล้วเสียงปืนมันดัง เปรี๊ยะๆๆ ตลอด เสียงร้องระงม ก็เดินไปจะเจอสะพานข้ามคลองแสนแสบ เป็นตึกสองข้าง ด้านบนมีสไนเปอร์เป็นร้อย ลูกน้องก็ตะโกนบอกว่าทหารยิงประชาชน พวกทหารมันก็หลบไป เพราะตอนนั้นมันเล็งแล้ว ดูว่าใครเป็นใคร ผมก็รีบวิ่งมาอยู่ใต้สะพาน แล้วรีบวิ่งไปชิดมุมตึกที่ทหารอยู่แบบแนบชิดเลย เพื่อไม่ให้มองเห็น แล้วก็เดินออกไปที่ประตูน้ำคอมเพล็กซ์” นายอริสมันต์ กล่าว

นายอริสมันต์ กล่าวต่อว่า จากนั้น ตนก็จะเดินสวนออกไปทางมักกะสัน “โอ้..โห้.. ทหารมหาศาล เสียงเปรี๊ยะ แป๊ะ ตลอด เชื่อมั้ยคนขายเสื้อที่ออกมาด้วยขาสั่นเลย ร้องไห้ แล้วบอกว่า “ไม่ไหวแล้วๆ ผมไปไม่ไหวแล้ว ผมขออยู่ตรงนี้ หันมาบอกผม พี่ยอมเถอะ บ้านเพื่อนผมอยู่ตรงนี้ พี่ไปแอบได้” ตนคิดว่า ไม่ไหวจริงๆ เพราะร้องไห้ตลอด แต่ก็ฮึดออกมาบอกว่า “ขอไปส่งวีรบุรุษให้ถึงจุดหมายปลายทาง” เขาพูดกับตนอย่างนี้ ในใจคิดคนนี้สุดยอด ไม่มีส่วนได้เสีย แต่มันไปกับเราขนาดนี้

“ขณะที่จะเดินออกจากประตูน้ำคอมเพล็กซ์ ก็มีเสียงปืนวิ่งไปวิ่งมา ดังตลอดเยอะมาก มันมีเสาต้นใหญ่ๆ อยู่ต้นหนึ่ง ผมก็ไปหลบตรงเสา เพราะเสียงปืนมันดัง เราก็ล้มลงนอน เพราะจะดูว่าทหารข้างบนเยอะแค่ไหน ทุกหน้าต่างมีปลายลำกล้องปืนโผล่ออกมาหมด เราถึงรู้ว่าโหดเหี้ยมมาก ทีนี้พอล้มลงนอนมันก็คิดว่าเราถูกยิง มวลชนก็ร้องดังขึ้นไปอีก ทหารก็วิ่งมา มวลชนก็วิ่งหนี ตอนนี้คิดเราจะทำยังไง แม่งเอ้ย..โดนแน่ ตัดสินใจกระโดดลงตรงนั้นจะมีศาลพระภูมิอยู่ ผมก็ไปปัดกวาดเช็ดถูศาล แล้วมือผมมันเลอะก็ใช้มือป้ายที่หน้า หน้าผมมันก็ดำๆ เชื่อมั้ยว่า ก่อนที่เดินออกมามีหลวงพ่อโทร.มาหาผม ไม่รู้ได้เบอร์มาได้ยังไง โทร.บอกว่า “ให้ท่องคาถาพลางตัว” ผมบอกหลวงพ่อไม่มีเวลาแล้วหลวงพ่อ ให้หลวงพ่อท่องเลย ผมจะตั้งสมาธิ เสร็จแล้วผมก็ยกมือไหว้

มาถึงตรงนี้มีมอเตอร์ไซค์รับจ้างจอดอยู่ เขาก็จอดรอคนที่ออกมาใครเรียกเขาก็ไปหมด แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ผมก็นั่งซ้อนท้ายออกไป มาเจอด่านที่มักกะสันเป็นด่านใหญ่ ด่านนี้ผ่านไปได้ ผมก็คิดว่าฟลุ๊กแล้ว และคิดว่า เราจะไปได้ไกลขนาดไหน เพราะด่านใหญ่มาก ตอนนั้นคิดว่าคงไปได้ไม่เกินรัชดา มาเจอด่านที่สองแถวพลาซ่า มักกะสัน ตรงนี้เหมือนเข้าซองม้าแข่งเลย เข้าคิวตรวจเลย ทหารตะโกนบอก “ไม่มีผู้โดยสารไปเร็วๆ ออกไป” แล้วนั่งอยู่ท้ายรถมอร์ไซค์รับจ้าง ซวยแล้วซิ แต่ก็ผ่านมาได้นั่งรถมอร์ไซค์รับจ้างมาถึงซอยพหลโยธิน 24 จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรถยนต์ ออกมาทางปทุมธานี สุพรรณบุรี งานนี้เปลี่ยนรถยนต์เป็น 5-6 คัน แล้วก่อนจะขึ้นถนนมิตรภาพ หลวงพ่อโทร.มาอีกบอกว่า “ถูกยิงตายแล้วไม่ใช่รึ” ผมก็บอกว่ายังอยู่ๆ แล้วก็บอกว่าให้นึกถึงหลวงปู่นาค แล้วก็มาเจอด่านทหารใหญ่ที่ถนนมิตรภาพ ทหารบอกให้รถทุกคันเปิดกระจกทั้งหมด แล้วมันก็ชะโงกเข้ามาดูในรถเรา แต่ก็ผ่านมาได้อีก จากนั้นวิ่งเรื่อยมาถึงชายแดนที่จังหวัดหนองคาย แล้วก็ล่องเรือมาเรื่อยๆ ไหลมาตามน้ำมาแล้วก็มาขึ้นที่กัมพูชา” นายอริสมันต์ กล่าว

ที่มา:บางกอกทูเดย์
//////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2554

เอแบคโพลล์.. เผยความนิยมของ ยิ่งลักษณ์. ดีกว่า อภิสิทธิ์. ทุกกลุ่ม !!?

สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง "เปรียบเทียบความนิยมศรัทธาของสาธารณชนต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" พบว่า ประชาชนร้อยละ 48.5 ไม่นิยมใครเลย ในขณะที่ร้อยละ 38.6 นิยมศรัทธาต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และร้อยละ 12.9 นิยมศรัทธาต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ที่น่าพิจารณาคือ ในกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 40 ปีกว่า ร้อยละ 50 ไม่นิยมใครเลยกล่าวคือ ร้อยละ 51 ของคนที่อายุ 30 - 39 ปี ร้อยละ 50 ของคนที่อายุ 20 - 29 ปี และร้อยละ 52 ของกลุ่มคนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ไม่นิยมศรัทธาใครเลย
เมื่อจำแนกตามเพศ พบความแตกต่างเล็กน้อยโดยผู้ชายร้อยละ 39 ผู้หญิงร้อยละ 37 นิยม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ ผู้ชายร้อยละ 12 และผู้หญิงร้อยละ 13 นิยมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนร้อยละ 47 ของผู้ชายและร้อยละ 49 ของผู้หญิง ไม่นิยมใครเลย

เมื่อจำแนกตามช่วงอายุ พบความแตกต่างอย่างชัดเจนในกลุ่มคนที่นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 40 - 49 ปี ร้อยละ 43 และกลุ่มคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 43 นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ มากกว่ากลุ่มคนอายุระหว่าง 20 - 29 ปีถึงร้อยละ 33 ที่นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์

เมื่อจำแนกตามระดับการศึกษา พบว่า คนที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 39) นิยมชอบน.ส.ยิ่งลักษณ์มากกว่ากลุ่มคนที่มีการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี (ร้อยละ 32)แต่เกือบครึ่งของทุกกลุ่มการศึกษาไม่นิยมศรัทธาใครเลย

ขณะที่การจำแนกตามอาชีพ พบว่า กลุ่มเกษตรกร ร้อยละ 43 พ่อบ้าน/แม่บ้าน ร้อยละ 42 และกลุ่มคนว่างงานไม่มีอาชีพ ร้อยละ 43 เป็นกลุ่มที่นิยมศรัทธาน.ส.ยิ่งลักษณ์มากที่สุด ในขณะที่กลุ่มนักเรียน/นักศึกษากลายเป็นกลุ่มที่มีคนนิยมศรัทธาต่อน.ส.ยิ่งลักษณ์น้อยที่สุดคือร้อยละ 28 และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57 ของกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาไม่นิยมศรัทธาใครเลย

ที่น่าพิจารณาคือ ในกลุ่มข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจร้อยละ 39 นิยมน.ส.ยิ่งลักษณ์ ร้อยละ 16 นิยมนายอภิสิทธิ์ และร้อยละ 44 ไม่นิยมใครเลย เช่นเดียวกับกลุ่มอาชีพค้าขายและธุรกิจส่วนตัวเกินครึ่งหรือร้อยละ 52 ไม่นิยมศรัทธาใครเลย
หากจำแนกตามเขตที่พักอาศัยแล้ว พบความแตกต่างชัดเจนระหว่างคนในเขตเทศบาลกับนอกเขตเทศบาล โดยร้อยละ 43 ของคนนอกเขตเทศบาล และร้อยละ 32 ของคนในเขตเทศบาล นิยมศรัทธาน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในขณะที่ร้อยละ 52 ของคนในเขตเทศบาล และร้อยละ 45 ของคนนอกเขตเทศบาลไม่นิยมศรัทธาใครเลย

สำหรับกลุ่มคนที่นิยมศรัทธา นายอภิสิทธิ์อยู่ในเขตเทศบาล ร้อยละ 14 และนอกเขตเทศบาลร้อยละ 11 เท่านั้น

ที่มา: มติชนออนไลน์

////////////////////////////////////////////////////

ยิ่งลักษณ์. ควง มาร์ค.รวมพลังต่อต้านคอร์รัปชั่น !!?

 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานรวมพลังรณรงค์ "ต่อต้านคอร์รัปชั่น" ที่สวนลุมพินี กรุงเทพฯ ที่จัดขึ้นโดยภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อให้ทุกภาคส่วนของสังคมทั่วประเทศ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการเมือง ภาคประชาชน เยาวชน และสื่อมวลชนทุกแขนง ได้ร่วมกันแสดงพลังต่อต้านคอร์รัปชั่นรวมถึงตระหนัก และเข้าใจถึงผลร้ายของการคอร์รัปชั่น โดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยบรรยากาศภายในงานประชาชนพร้อมใจกันสวมใส่เสื้อยืดต่อต้านคอร์รัปชั่น และได้ร่วมกันยืนไว้อาลัยให้กับนายดุสิต นนทะนาคร อดีตประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น ผู้ริเริ่มโครงการด้วย
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวนำคำปฏิญาณต่อต้านคอร์รัปชั่น พร้อมกล่าวด้วยว่า วันนี้ทุจริตคอร์รัปชั่นเสมือนเป็นโรคร้าย รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น เพื่อให้เกิดพลังธรรมาภิบาลในการต่อต้านคอร์รัปชั่น ทั้งนี้รัฐบาล ประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้าน และทุกภาคส่วนพร้อมแสดงพลัง และเจตนารมณ์ในการสร้างค่านิยมของความซื่อสัตย์สุจริต คุ้มกันจิตใจในการต่อต้านคอร์รัปชั่น
จากนั้นนายกรัฐมนตรีและคณะได้ร่วมเดินขบวนรณรงค์ต่อต้านคอรัปชั่นไปตามถนนสีลม พร้อมทั้งชูธงชาติไทยรณรงค์ต่อต้านคอร์รัปชั่นอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการร่วมงาน นายอภิสิทธิ์ ได้ใช้โอกาสนี้ฝากให้ นายกรัฐมนตรี ดูแลปัญหาน้ำท่วมให้กับประชาชนอย่างทั่วถึงโดยเฉพาะเรื่องเงินประกันรายได้ให้เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรที่ไม่มีผลผลิตเข้าร่วมโครงการจำนำข้าวของรัฐบาล อีกทั้งบางส่วนยังไม่ได้รับเงินชดเชยค่าเสียผลผลิตจำนวน 2,200 บาท/ไร่ ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ของเรียกร้องให้นายกฯ และรัฐบาลทบทวนการปฏิเสธการจ่ายเงินส่วนต่างในโครงการประกันรายได้ ให้แก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนไว้แล้ว โดยรัฐบาลอาจจะปรับเปลี่ยนการดำเนินการงานได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด
ที่มา:เนชั่น
*******************************************************

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

จักรภพ. โผล่พนมเปญ แม่ยกเสื้อแดงห้อมล้อมให้กำลังใจพรึ่บ !!?

ที่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา บรรยากาศกองเชียร์เสื้อแดงเป็นไปอย่างคึกคัก ก่อนการแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรระหว่างทีมวีไอพีรัฐบาลกัมพูชากับทีมส.ส. และแกนนำเสื้อแดงจากรัฐบาลไทย หรือเรดพีซ จะเริ่มขึ้นในเวลา 15.00 น.ที่สนามกีฬาโอลิมปิก สเตเดียม กรุงพนมเปญเป็นเต็มไปด้วยบรรดาคนเสื้อแดงนับหมื่นคน พร้อมใจสวมเสื้อแดง ขนอุปกรณ์การเชียร์ยกขบวนมาร่วมและชมและเชียร์ฟุตบอลนัดสำคัญ โดยใช้ชื่อ “กองเชียร์หัวใจแดง” ซึ่งรัฐบาลกัมพูชาได้จัดเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยแกนนำและกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า เมื่อเวลา 10.00 น. นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช.ที่อยู่ระหว่างหลบหนีคดีในต่างประเทศ ได้เดินทางมายังโรงแรมคัมโบเดียนา กรุงพนมเปญ ท่ามกลางการต้อนรับของบรรดาแม่ยกเสื้อแดงที่ต่างเข้ามาสวมกอดพร้อมขอถ่ายรูปและขอลายเซ็น โดยนายจักรภพ กล่าวว่า ตนเพิ่งเดินทางมาจากเกาะมาเก๊า ประเทศจีน เพื่อมาที่กัมพูชาและช่วงที่ผ่านมาเดินทางไปหลายที่ไม่ได้อยู่ประเทศใดเป็นหลัก แต่ยังทำงานจัดตั้งทางความคิดเป็นหลักเพราะตนเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงทางความคิดจะต้องค่อยเป็นค่อยไปเพราะหากเปลี่ยนทันทีจะทำให้เกิดอาการที่เรียกว่าสำลักทางความคิด

เมื่อถามว่าคิดจะกลับไทยมาต่อสู้คดีหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนเห็นว่าขณะนี้กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยยังอยู่ในสภาพที่ไว้วางใจไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น แม้อยากจะมาต่อสู้แต่เราก็ต้องถามว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ ตอนนี้ทุกคนมีใจที่อยากจะปรองดองแต่ต้องดูว่า 5 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ตนเข้าใจความรู้สึกว่าทุกคนอยากปรองดองแต่การการปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานอนาคตและประชาธิปไตยที่ไม่ถดถอยด้วย เมื่อถามว่าเห็นด้วยกับการตั้ง คอ.นธ. ขึ้นมาดูแลกระบวนการยุติธรรมและกฎหมายหรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ก็ต้องรอดูต่อไป แต่โดยหลักการดีและเห็นด้วย

ที่มา:ข่าวสดออนไลน์
************************************************

ทหารอากาศขาดรัก !!?

แต่ “ทหารอากาศ” เสืออากาศ ยังมีคนเก่งมากส์??
“บิ๊กเฟื่อง” พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ แม่ทัพอากาศ เจ้าพ่อแห่งทุ่งดอนเมือง ผลงานโฉบเฉี่ยว เป็น “เอฟ.๑๖” บินเข้าตาในยุค “พรรคประชาธิปัตย์”เป็นคนตั้ง...
หากเป็นเครื่อง “ซี ๑๓๐ เฮอร์คิวลิส” บินไม่กระฉับ กระเฉง ก็ต้อง “ปลดระวาง”
เหมือนโบราณท่านว่า, แผ่นดินไม่ไร้ใบพุทรา “ผู้มีความสามารถ” ยังมีอีกเป็นตับ!!
ถึง “พล.อ.อ.อิทธิพร”จะเก่งเหมาะสม..แต่สมบัติต้องผลัดกันชม?..อุ้มสมด้วยประการฉะนี้แหละครับ??

++++++++++++++++++++++++++++

“คลอดยากแท้..แท้”!!
โผทหาร ณ. วันที่ ๒๐ กันยายน ยังไม่ผ่านการทำคลอด จากหมอตำแย??
“บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ผู้เป็นจ่าฝูงกองทัพบก จะคัดสรรเพื่อนร่วมรุ่น “ตท. ๑๒” ยกแถวเข้ามายึดแนวหน้า เป็น “๕ เสือ” ช่างมันส์ยกร่อง
ฝ่ายการเมืองของ ขุนศึกหญิงตระกูลหยาง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อยากหนุน ตท.๑๑ รุ่นพี่ และ ตท.๑๓ รุ่นน้อง เข้ามาสู่ไลน์ ในฐานะ “มันสมอง”
อีกหลายถ้าโตพรวด โตพราด ใหญ่ผงาดเพียงลำพัง..ถือเป็นการ “กระชับพื้นที่”กันกลายๆ
แชร์เก้าอี้แม่ทัพและ๕เสือ ให้รุ่นพี่รุ่นน้อง..มีแต่คนยกย่อง?..ยิ่งมอง..ม้อง..มอง อุ้ย,สบายใจ

+++++++++++++++++++++++++++++

เตะ “ตัดขา” กันนัวเนีย!!
ผลงาน เป็นเครื่องหมายการค้า คุณภาพ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ไม่มีอะไรเสีย??
แต่ไฉน เต้าหยินบรมครูกฎหมาย “ มีชัย ฤชุพันธ์” จึงออกหน้าคัดค้านไม่เห็นด้วย
ประสิทธิภาพ เยี่ยมยอด ถ้า “บิ๊กพัลลภ” ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี จะมาคุม “กอ.รมน.” ทุกอย่างก็จะไปได้สวย
“ยาเสพติด” ที่ระบาด.. ปัญหา “๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ..ที่ระเบิดประชาชนตาย-เจ็บระนาว จะได้ถูกแก้ไข “ตรงจุด”!!
“อาจารย์มีชัย”เจ้าขา... “บิ๊กพัลลภ”ทำงานเข้าตา?..หนุนสักคนเถอะหนา คนนี้เก่งสุด ๆ

++++++++++++++++++++++++++++++

ไม่ต้องวิ่งผลัด ๔ คูณร้อย!!
ผลงาน “พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง” จเรตำรวจ ที่จะอัพเกรดไปเป็น “รอง ผบ.ตร.” มีเป็นกุรุส มิใช่น้อย??
หากอีก ๖ เดือนข้างหน้า “พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์” ว่าที่ ผบ.ตร. โหนเถาวัลย์ไปเป็นรัฐมนตรี
จ่อคิวเข้ามาเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่” ส่องกล้อง ..ไม่น่าพ้น “ท่านนี้”
เพราะมีผลงานเป็นที่จับต้องได้ และ “ลูกน้อง” ใต้บังคับบัญชา ต่างรักใคร่ นับถือ!!
เก่งทั้งบู๊และบุ๋น....มีแต่คนหนุน?...ลุ้นกันเยอะ เพราะเชื่อในฝีมือ??

+++++++++++++++++++++++++++++

“กลัว” ประวัติศาสตร์ จะซ้อนรอย!!
ฉะนั้นเมื่อเป็นฉะนี้, อยากจะให้ “ป้องกัน” กันเอาไว้หน่อย??
ยุคแรก ๆ เริ่มต้นเดิมที ที่ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” ก้าวมาเป็นผู้นำประเทศ มีเหตุตูมตามกับเครื่องบินที่จะไปเชียงใหม่
พี่โดนมาแล้ว?.. หวั่นว่าวันเก่า ๆ จะกลับมาอีก โดนกับ “คุณปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯหญิงแห่งเมืองไทย
อะไรที่ป้องกัน “ความชัวร์ได้”ก็ต้องพร้อมทำกันเสร็จสรรพ!!
ควรป้องกันให้เต็มความสามารถ..อย่าได้ประมาท?..พลาดแล้ว ไม่คุ้มกัน นะครับ??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
************************************************

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

เช็คชื่อ.โผทหาร ล่าสุด "เสถียร. นั่งปลัด กห.!!?

เปิดเบื้องหลัง "เสถียร เพิ่มทองอินทร์" ผงาดจ่อเก้าอี้ปลัดกลาโหม ขณะที่โผทหารลงตัว "ธนะศักดิ์" นั่ง ผบ.สส. "ยุทธศ้ักดิ์" ยอมถอย

บัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารระดับนายพลประจำปี 2554 ลงตัวแล้ว ภายหลังการประชุมคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพล ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ที่ผ่านมา

ประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการ 6 คนซึ่งเปรียบเสมือนบอร์ดสูงสุดในการรแต่งตั้งโยกย้ายของทุกเหล่าทัพนั่งหารือกัน คือปัญหาที่รัฐบาลไม่อนุมัติเปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม อัตราจอมพล ตามที่เสนอไป

ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้คงตำแหน่งนี้ไว้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อตำแหน่งอื่น จึงให้ พล.อ.คณิต สาพิทักษ์ (ตท.13) ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมตามเดิม

ส่วนตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวงที่จะเกษียณอายุราชการวันที่ 30 ก.ย.นี้ ได้เสนอชื่อ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ (ตท.11) ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพไทย ตามที่เคยเสนอในการประชุมคณะกรรมการฯเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดย พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ซึ่งนั่งหัวโต๊ะก็เห็นด้วยตามที่ พล.อ.กิตติพงษ์ เสนอ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ได้ขอใช้อำนาจ รมว.กลาโหม เสนอชื่อ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ (ตท.11) รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ล่าสุดก็ยินยอมโดยดี

สาเหตุที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ยอมง่ายๆ เพราะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เรียก พล.อ.ยุทธศักดิ์ เข้าไปพูดคุย และสั่งการให้สนับสนุน พล.อ.เสถียร เนื่องจาก พล.อ.เสถียร ได้รับการผลักดันจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะสายอีสาน ขณะที่ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ก็สนับสนุน พล.อ.เสถียร เนื่องจากไม่ต้องการให้กระทบต่อตำแหน่ง ผบ.สส.ที่ได้เสนอชื่อ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (ตท.12) เสนาธิการทหาร (เสธ.ทหาร) ขึ้นเป็น ผบ.สส.ไว้แล้ว

และสาเหตุที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน พล.อ.เสถียร ก็เนื่องจาก ดร.ณัฐณิชาช์ เพิ่มทองอินทร์ ภรรยาของ พล.อ.เสถียร เป็นนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลคำขวาง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งเป็นหนึ่งในฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยกระทั่งได้รับการเลือกตั้งเข้ามาถึง 7 ที่นั่ง

สำหรับบัญชีรายชื่อในตำแหน่งอื่นๆ เป็นไปตามเดิม คือ พล.อ.ธนะศักดิ์ ขึ้นมา ผบ.สส. พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ (ตท.13) ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.)

ในส่วนกองทัพบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้เสนอให้ขยับ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสนาธิการทหารบก (เสธ.ทบ.) ขึ้นดำรงตำแหน่งรอง ผบ.ทบ. และให้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล รองเสธ.ทบ. ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง เสธ.ทบ. โดยมี พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน (ตท.12) และ พล.อ.โปฎก บุนนาค (ตท.12) เข้าไลน์ 5 เสือ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย ผบ.ทบ.

ตำแหน่งอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ (ตท.11)ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย เป็น ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ (ตท.11) รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ชาตรี ทัตติ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม เป็น รองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.อภิวัฒน์ ศรีวรรธนะ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.ถไมตรี โอรสหงส์ รองเสธ.ทหาร เป็นรองปลัดกลาโหม พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ(ตท.10) ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (ผบ.สปท.) เป็นจเรทหารทั่วไป

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร (ตท.12) เสนาธิการทหาร (เสธ.ทหาร) เป็น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) พล.อ.สกนธ์ สัจจานิตย์ (ตท.12) เจ้ากรมเสมียนตรา เป็น รองผบ.สส. พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม (ตท.12 ) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือ เป็น รองผบ.สส. พล.อ.อ.บุญยฤทธิ์ เกิดสุข (ตท.11)ผช.ผบ.ทอ.เป็น รอง ผบ.สส. พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร (ตท.12)รองเสธ.ทหาร เป็น เสธ.ทหาร พล.อ.อ.สุปรีชา กมลศาสน์ (ตท.10) หน.ฝสธ.ผบ.สส.เป็นประธานคณะที่ปรึกษา บก.ทท.

กองทัพบก พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ (ตท.12) เสธ.ทบ.เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน (ตท.11)ที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. เป็น ผช.ผบ.ทบ พล.อ.โปฎก บุญนาค(ตท.12) ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เป็น ผช.ผบ.ทบ. พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล (ตท.13) รองเสธ.ทบ.เป็น เสธ.ทบ. พล.อ.ยุทธศิลป์ โดยชื่นงาม(ตท.11) ผช.ผบ.ทบ. เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. พล.ท.ชลวิชญ์ เพิ่มทรัพย์ (ตท.12) ปลัดบัญชีทหารบก(ปช.ทบ.) เป็น หัวหน้าฝ่ายเสธ.ประจำ ผบช. พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร (ตท.12) เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก (จก.ยศ.)เป็น ที่ปรึกษาพิเศษทบ. (อัตราพลเอก)

พล.ท.ยุวณัฐ สุริยกุล ณ อยุทธยา(ตท.12) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. เป็นที่ปรึกษาพิเศษกองทัพบก (อัตราพลเอก) พล.ท.อรุณ สมตน (ตท.14 ) ผช.เสธ.ทบ. ฝขว. เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ.(อัตราพลเอก) พล.ท.ฉัตรชัย สาริกัลยะ (ตท.12) ผช.เสธ.ทบ.ฝกบ.เป็น รองเสธ.ทบ. พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ (ตท.12 ) ผช.เสธ.ทบ.ฝกร. เป็นรองเสธ.ท บ. พล.ต.ศุภรัตน์ พัฒนาวิสุทธิ์ (ตท.12 )รอง ผบ.หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (รองผบ.นสศ.)เป็น ผบ.นสศ. พล.ต.อุทิศ สุนทร (ตท.14) รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็น แม่ทัพน้อยที่ 1 พล.ต.พิสิทธิ สิทธสาร ผบ.พล.ร.2 รอ.เป็น ผบ.พล.1 รอ. พล.ต.ภาณุวัชร์ นาควงศ์ ผบ.มทบ.11เป็น ผบ.พล.ร.9 พ.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. เป็น ผบ.พล.ร.2 รอ.

กองทัพเรือ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ (ตท.13 )ที่ปรึกษาพิเศษ ทร. ขึ้นเป็น ผบ.ทร. พล.ร.อ.ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทร. เป็น รองผบ.ทร. พล.ร.อ.วีรพล กิจสมบัติ หน.คณะฝสธ.ประจำ ผบช. เป็น ประธานคณะที่ปรึกษา ทร.(อัตราจอมพล) พล.ร.อ.อมรเทพ ณ บางช้าง ผู้ทรงวุฒิพิเศษ เป็น ผช.ผบ.ทร. พล.ร.ท.พลวัฒน์ สิโรดม รอง เสธ.ทร. เป็น เสธ.ทร. พล.ร.ท.ฆนัท ทองพูล ผบ.กองทัพเรือภาค1 เป็น ผบ.กองเรือยุทธการ

กองทัพอากาศ พล.อ.อ.ศรีเชาวน์ จันทร์เรือง (ตท.12)ผช.ผบ.ทอ. เป็น รอง ผบ.ทอ. พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง เสธ.ทอ. (ตท.13)เป็น ผช.ผบ.ทอ. พล.อ.ท.วินัย เปล่งวิทยา (ตท.12) ผบ.ควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ(คปอ.) เป็น ผช.ผบ.ทอ. และ พล.อ.ท.เพิ่มเกียรติ ลวณะมาลย์ (ตท.13) รองเสธ.ทอ. เป็น เสธ.ทอ.

ที่มา:กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

ไขปริศนาคลิปนายกฯหลุดฮา !!?



คลิปนายกรัฐมนตรีหลุดขำที่มีหลายคนได้ชม และพลอยจะหัวเราะตามนายกฯไปด้วย เป็นคลิปที่ใครหลายคนได้ดู เกิดความคิดผุดขึ้นมาทันทีว่า นายกรัฐมนตรีหญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หัวเราะอะไรขนาดนั้น เธอขำอะไร??

มันมี "คำถาม" อะไรจากสื่อมวลชนที่ทำให้นายกฯปู "หลุดหัวเราะ" ขณะอยู่ในลิฟท์ได้แบบนั้น?

เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นเมื่อวันอังคารที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ขำในลิฟท์ดังกล่าววันนั้นมีประชาชนผู้สนับสนุนนายกฯปูเดินทางมาปักหลักรอให้กำลังใจคราคร่ำกว่า 100 คน รวมไปถึงกองทัพสื่อมวลชนที่ปักหลักรอสัมภาษณ์ประจำวันก็รอกันอยู่ปะปนบริเวณโถงทางเดินข้างล่างของที่ทำการพรรคด้วยเช่นกัน

พลันที่นายกฯปูก้าวเท้าลงจากรถเข้ามาในพรรค บรรดาผู้สนับสนุนแห่แหนกันเข้ารุมล้อมเพื่อจะได้ใกล้ชิดสัมผัสมือพูดคุย แสดงความเป็นห่วงเป็นใยกรี๊ดกร๊าดตามประสา

ส่วนกองทัพสื่อมวลชนก็ยืนออเบียดเสียดปะปนกันไปด้วย นายกฯยิ่งลักษณ์ที่ถูกรุมล้อมยังคงยิ้มแย้มไปตามแบบที่เป็นทุกวัน ค่ะๆคะๆไปตามเรื่อง

ขณะที่ทีมรปภ.นายกฯยังคงทำงานหนักทั้งกันคนให้อยู่ในสเปซที่เหมาะสม เพื่อให้นายกฯเดินไปได้แบบทีละ "ครึ่งก้าว" ผ่านฝูงแฟนคลับมาได้ โดยระหว่างนั้นสื่อมวลชนจำนวนมากก็ไม่คอยท่า เตรียมปฏิบัติหน้าที่รอเสียบไมโครโฟนสัมภาษณ์ด้วยเช่นกัน

กระนั้นนายกฯก็ยังต้องเจอคุณป้าที่เอาทุเรียนทอดมามอบให้นายกฯอีกด่านหนึ่ง !?!

หลังผ่านด่านทุเรียนทอดมาแล้ว สื่อก็พยายามที่จะเข้าไปรุมตามรูปแบบการทำงานที่จะสัมภาษณ์ทั่นผู้นำให้ได้ ซึ่งก็เป็นลักษณะถามไปตอบไป เดินกันไปทีละครึ่งก้าว (เช่นเคย)

จากถามเรื่องน้ำท่วมไล่เรียงมาจนถึงการแต่งตั้งโยกย้าย นายกฯหญิงก็เดิน (ครึ่งก้าว) มาจนถึงหน้าลิฟท์ตัวประจำที่เป็นปราการด่านสุดท้าย คั่นกลางระหว่างนายกฯกับสื่อ ก้าวเข้าลิฟท์เมื่อไหร่เป็นอันจบสิ้น!

ก็ให้เผอิญว่าหลังผ่านการ "ดัน" กันตั้งแต่ทางเดินเข้ามาพรรค เจอแฟนคลับ เจอป้าทุเรียนทอด จนมาเจอนักข่าวหลายสิบชีวิตเข้ามารุมกรูกัน ฝ่ายทีมรปภ. นายกฯก็ยังปฏิบัติหน้าที่ "กัน" คนเพื่อไม่ให้เข้ามาในสเปซเล็กๆประชิดตัวนายกฯจนเกินไป

ขณะกระจอกข่าวปฏิบัติหน้าที่ดันเพื่อถามให้ได้ เพราะนายกฯก็ตอบให้ทีละเล็กละน้อย

ผลคือรปภ.กันไปกันมา จนถึงหน้าลิฟท์เกิดความอลวลอลเวง จนมีกระจอกข่าวสาวนางหนึ่งหลุดรอดวงแขน ทีมรปภ. จนเข้าไปประชิดนายกฯแบบที่กระจอกข่าวก็ยังงงว่าหลุดเข้าไปอยู่ร่วมวงวี.ไอ.พี.ด้วยได้ยังไง เมื่อนายกฯเองเห็นเช่นนั้นจึงขำขึ้นมา

นั่นเป็นที่มาของอาการ "หลุดขำ" ของนายกฯยิ่งลักษณ์

เป็นการหลุดขำใส่สถานการณ์อลเวงหน้าลิฟท์--ลิฟท์ที่เป็นด่านสุดท้ายก่อนจะเข้าสู่ความเป็นส่วนตัวในพรรคเพื่อไทย

 ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
********************************************************

เฉลิม. รับลูก นปช.ร้องเคลียร์ปมดับ 91 ศพ..!!?

"เฉลิม" รับลูก นปช. ร้องเคลียร์ปมดับ 91 ศพ เผยดีเอสไอชี้ดชัด 13 ศพเสื้อแดงฝีมือเจ้าหน้าที่ กางกฎหมายฟ้องเจ้าหน้าที่ได้รับการคุ้มครอง ขู่ฟ่อนักการเมืองคนสั่งการไม่รอด จ่อชง ป.ป.ช.เชือดต่อ ดักคอ "มาร์ค-เทือก" อย่าโวย รบ.ปูกลั่นแกล้ง ...

วันที่ 22 กันยายน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)เกี่ยวกับกรณีที่ญาติพี่น้องเสียชีวิตจากการชุมนุม แต่การดำเนินคดีไม่คืบหน้า ตนจึงได้อธิบายให้ฟังว่า อีกไม่นานจะมีการไต่สวนการตายโดยศาล ซึ่งจะทำให้เรารู้ว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน อย่างไร และใครเป็นคนทำให้ตาย เมื่อศาลไต่สวนเสร็จเรียบร้อย จะส่งเรื่องกลับมาให้อัยการ ก็ต้องส่งเรื่องกลับมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ หลังจากนั้นสำนวนไต่สวนชันสูตรพลิกศพจะต้องร่วมกับสำนวนการสอบสวนคดีอาญา ซึ่งจะทำให้การสอบสวนทำได้ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น รวมทั้งใครก็ปกปิดไม่ได้

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า เวลาที่ประชาชนร้องทุกข์ ไม่ว่าจะร้องกับกองปราบปราม เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือ ดีเอสไอ ที่ผ่านมารัฐบาลชุดที่แล้วไม่ทำความชัดเจน เพราะถ้าการสอบสวนปรากฏว่า มีนักการเมืองเกี่ยวข้อง ต้องส่งให้ ป.ป.ช.ดำเนินการภายใน 30 วัน เพราะตามขั้นตอนแล้ว เมื่อป.ป.ช.ได้สำนวนการไต่สวนชันสูตรพลิกศพจากศาลมา ก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่ที่ผ่านมากลับมีการชันสูตรพลิกศพแบบธรรมดา โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้เป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่ แต่วันนี้ดีเอสไอยืนยันแล้วว่า กรณีที่ตาย 13 ศพ เป็นการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งเข้าข่าย ป.วิอาญา ม. 150 วรรคสาม ซึ่งเท่าที่ตนตรวจสอบในเบื้องต้น ข้าราชการผู้ปฏิบัติหน้าที่จะปลอดภัย เพราะจากประมวลกฎหมายอาญา ม. 62 และม. 70 คุ้มครองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งตาม ม.70 นั้นหากเจ้าพนักงาน ผู้มีอำนาจสั่งการและผู้รับคำสั่ง เชื่อโดยสุจริตว่าคำสั่งที่เจ้าหนักงานสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เขาก็พ้นผิด อย่างที่บอกว่ามีชายชุดดำ เผาบ้านเผาเมือง มีกองกำลังเจ้าหน้าที่เขาก็เชื่อ อย่างนั้นเจ้าหน้าที่เขาก็ไม่ผิด แต่คนสั่งต้องรับผิดชอบ

เมื่อถามว่า ภายในปีนี้คดี 91 ศพ และ 13 ศพ จะสามารถคลี่คลายและทำให้เกิดความชัดเจนได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถ้าศาลไต่สวนเร็ว ความชัดเจนก็จะเกิดขึ้นเร็ว และเป็นการไต่สวนเปิดเผย เวลาไต่สวนตนเชื่อว่าห้องพิจารณาคงจะแน่นเอี๊ยด เพราะทุกคนอยากฟัง วันนี้รัฐบาลมาถูกทางแล้ว เมื่อถามว่า นักการเมืองที่สั่งการหากผิดจริงจะต้องรับโทษสถานใด ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนยังไม่กล้าพูด ต้องค่อยเป็นค่อยไป แต่ยืนยันว่าถ้ายังให้ตนดูแลงานตรงนี้การกลั่นแกล้ง ใส่ร้าย สร้างพยานหลักฐานเท็จไม่มีเด็ดขาด ตรงไปตรงมา เมื่อถามว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง จะอ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งล้างแค้นได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ยืนยันว่าไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเมื่อไต่สวนในชั้นศาลแล้ว ใครจะไปสั่งศาลได้ ถ้าเป็นในชั้นของตำรวจ คนอาจมองว่าไปสั่งได้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็สั่งไม่ได้เช่นเดียวกัน ตนกลัวว่า เมื่อพ้นหน้าที่ไปแล้วจะติดคุกตอนแก่ ตนไม่ทำ หลักฐานถึงแค่ไหนก็แค่นั้น

เมื่อถามถึง กรณีที่กระทรวงยุติธรรมเสนอของบประมาณ 8,000 ล้าน เพื่อใช้เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์รุนแรงทางการเมือง และความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เป็นข้อเสนอของคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ง ชาติ(คอป.) แต่ทาง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม บอกว่า ยังไม่มีงบประมาณในส่วนนี้ เมื่อยังไม่มีก็ต้องมาคิดว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะการเยียวยาไม่ใช่เฉพาะคนเสื้อแดงเท่านั้น แต่เยียวยาทั้งหมดในภาพรวมทั้งหมดที่ได้รับผลกระทบและไม่ได้รับความเป็นธรรม และได้รับมอบหมายให้นาย ยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯและ รมว.มหาดไทยเป็นประธาน และเท่าที่ทราบเขาก็เริ่มลงมือทำงานแล้ว ส่วนงบ 8,000 ล้านบาท จะเพียงพอหรือไม่ ตนก็ยังไม่รู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ขณะเพียงแต่ตั้งกรอบเอาไว้ก่อน.

ที่มา:ไทยรัฐออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

การเมือง กินเมือง ทาส-พสุธา แดงทั้งแผ่นดิน..ขยับเข้าใกล้ปชต.เต็มใบ..!!?

กระแสการก่อตั้งหมู่บ้านแดง 80,000 หมู่บ้านทั่วประเทศเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา.. หลังจากการเมืองภาคประชาชนที่ฝักใฝ่ฝ่ายแดงได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการสนับสนุน “พรรคเพื่อไทย” ให้เข้ามาบริหารประเทศ..กระแสดังกล่าวนับว่าเป็นจุดเริ่มของการสร้างประชาธิปไตยอย่างแท้จริงให้เกิดขึ้นในผืนแผ่นดินแห่งนี้..เมื่อฝ่ายการเมืองจับมืออย่างเหนียวแน่นกับภาคประชาชนได้แล้ว..ในทางกลับกันความสัมพันธ์ดังกล่าวย่อมเป็นการทำลายระบบบางอย่างที่ฝังรากลึกมาอย่างยาว นานหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อครั้ง พ.ศ.2475..

ระบบที่ผูกขาดอำนาจของประเทศไทยอย่าง “ระบบอุปถัมภ์” ผ่านตัวแทนกลุ่มอำมาตย์จะถูกเขี่ยให้พ้นไปจากเส้นทางประชาธิปไตยหลังจากนี้ ร่องรอยการ “ตัดหางปล่อยวัด” กลุ่มผู้มีอำนาจในเครือข่ายอำมาตย์ เริ่มต้นจากการที่ “กองทัพ” ได้กลับตัวกลับใจหันมายืนเคียงข้างประชาชนมากขึ้น..ปรากฏการณ์ที่ “ผบ.เหล่าทัพ” หันหลังให้กับ “บ้านหลายเสา” จึงเป็นบทสะท้อนให้สังคมได้เห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ควรจะเป็น..“มือที่มองไม่เห็น” จะเกิดขึ้นได้ยาก เมื่อประชาชนในยุค 3G สามารถเข้าถึงข้อมูล ข้อเท็จจริงแห่งวงจรอำนาจที่ผ่านมาและการอ่อนแรงลงของ “อำนาจนอกระบบ” ดังกล่าวก็เป็นผลพวงมาจากพลังของประชาชนที่เข้มแข็งขึ้น..

กรณีเหตุการณ์ 14 ตุลา วันมหาวิปโยคเมื่อปี 2516 หรือกรณีการล้อมปราบนิสิต นักศึกษาอย่างโหดเหี้ยมเมื่อ 6 ต.ค.2519 ล้วนถือกำเนิดมาจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ทั้งสิ้น..แต่หากพินิจพิเคราะห์สัญลักษณ์ “สีแดง” ในยุคนี้ให้ถ่องแท้..ใช่ว่าสีดังกล่าวจะสื่อ ถึงพวก “ฝ่ายซ้าย” เหมือนเช่นในอดีต..ในทางกลับกัน “มวลชนคนเสื้อแดง” เลือกที่จะใช้สีแดงเพื่อแสดงออกถึงการ เรียกร้อง “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริงให้กับบ้านนี้เมืองนี้..วันนี้ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้ว่าประชาธิปไตยบ้านเราเป็นดั่ง “พีระมิดกลับหัว” เพียงแต่ ปชต.เริ่มส่อเค้าที่จะหันหัวมาถูกทาง เพราะขบวนการประชาชนที่เข้มแข็งขึ้นและรู้เท่าทันกลุ่มอำนาจเก่า...

หลังจาก “สีเขียว” ซึ่งเป็นกลุ่มคนบางกลุ่มที่มีสิทธิ์ “ถือปืน” โดยชอบธรรม..เริ่มเข้าใจสภาพความเป็นจริงใน “พลังของประชาชน”ดังนั้น ภาพรวมของ “กองทัพ” หลังจากนี้เป็นต้นไปจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่..หากอำนาจแฝงจากกลุ่มอำมาตย์ล่มสลายลง..ประชาชนคนไทยจะได้สัมผัส “ทหารอาชีพ” อย่างแท้จริง.. เกียรติยศชายชาติทหารไทย..จะกลับมาเป็นที่พึ่งที่หวังให้กับผู้คนภายในชาติอีกครั้งหนึ่ง..หันกลับมามองความอัปยศครั้งล่าสุด..คือ..การทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ซึ่ง เป็นการกระทำของกลุ่มอนุรักษนิยมเพียงไม่กี่คน แต่กลับนำพาคนไทยทั้งประเทศกว่า 65 ล้านคน ต้องตกนรกหมกไหม้ตามไปด้วย..

ถามต่อว่า “กองทัพ” เป็นต้นคิดในการยึดอำนาจรัฐด้วยหรือไม่???สำหรับคำตอบของการทำรัฐประหารแต่ละครั้ง..ทุกคนคงจะทราบเหตุผลที่มาที่ไป และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการฉีกรัฐธรรมนูญครั้งล่าสุดว่าเกิดจากน้ำมือผู้ใด???การหยิบเอาประเด็น “ล้มล้างสถาบันฯ” ซึ่งเป็นข้ออ้างสุดฮิตเข้ามาสร้างความ ชอบธรรมในการยึดอำนาจ ยังคงจะมีต่อไปเรื่อยๆ หากภาคประชาชนอ่อนแอ และไม่รู้เท่าทันกลุ่มอำมาตย์ต้องมองด้วยตรรกะที่เป็นกลางและเป็นธรรม..รัฐประหารคือตัวบ่อนทำลายประชาธิปไตย..วันนี้สังคมไทยลุกขึ้นต่อต้านการทำรัฐประหารกันอย่างพร้อมเพรียง..และมีทีท่าว่า จะร่วมกันสังคายนาการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย. 49 ที่เป็นผู้ทำคลอดรัฐธรรมนูญ ปี 2550 (รธน.ฉบับ คมช.)

หากเหตุการณ์อัปยศ 19 ก.ย. ไม่ชอบธรรม..“รธน.ปี 50” ผลพวงการยึดอำนาจ ย่อมไม่ชอบธรรมด้วยเช่นกัน..การปลุกกระแสให้มีการยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2550 โดยให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับใหม่ที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วม กลับเป็นสิ่งที่ “กลุ่มอำนาจดึกดำบรรพ์” ในประเทศแห่งนี้อึดอัดจนอกแทบจะระเบิด..กลุ่มอำมาตย์ที่ใช้ รธน.50 ในการรักษาฐานอำนาจตนเองไว้ในขณะนี้ คงดาหน้าออกมาปกป้อง “เครื่องมือ” ชิ้นนี้ไว้ดังไข่ในหิน..ดังนั้น การต่อกรระหว่างอำมาตย์กับประชาชนยังคงดำเนินต่อไป..แต่การเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นหรือไม่??? ขึ้นอยู่กับว่า..กลุ่มคนเสื้อแดงหรือสีเสื้ออื่นๆ ต้องการ ประชาธิปไตยครึ่งใบหรือว่าเต็มใบ?!?!

ที่มา.สยามธุรกิจ
******************************************************

วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

กู้กัน.. อย่างนรกแตก !!?

เงินกู้ ๑.๔ ล้านล้านบาท ยุครัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” งาบกันแหลก??
สงสาร,“อดีตนายกฯมาร์ค”เป็นหนังหน้าไฟ
บริษัทที่ปรึกษาการเงิน “ชักค่าต๋ง” ๑.๕ เปอร์เซ็นต์ จากเม็ดเงิน ๑.๔ ล้านล้าน ในการให้คำแนะนำ..และมีบางคน อยู่หลังฉาก?..รวยสะดือปลิ้น อย่าบอกใคร
เงินก้อนนี้, เห็นไปนอนแอ้งแม่ง อยู่ที่ “เกาะคีย์แมน”ดินแดนฟอกเงิน!!!
คน ปชป.รู้ว่าใครกินเงินนี้ไป...จึงสาปแช่งกันใหญ่?..อยากให้ท้องแตก เหลือเกิน??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ใช้แผน “บันได ๒ ขั้น”!!
ยอมรับ “เสี่ยโย่ง-ยีราฟ” กรณ์ จาติกวณิช อดีตขุนคลัง หัวสมองไบร์ท อยู่เหมือนกัน??
มองข้ามช็อท, ผลักดัน “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ฉายาพี่มีแต่ให้ ..ก้าวขึ้นเป็นเลขาธิการพรรค
อยู่ในช่วงพรรคเสียฟอร์มแพ้เลือกตั้ง ให้ “ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จึงไม่อยากทำศึก แตกหัก
นั่นเป็นบันไดก้าวแรก..ที่ทำให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่มี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นตัวช่วย...หากบริหารพรรคผิดพลาด คราวนี้ “คุณมาร์ค” ก็ต้องถอนสมอ ออกไป!!!
ไม่มี “เทพเทือก” เป็นเลขาฯ...เก้าอี้หัวหน้า?..ก็ต้องตกลงมา ที่ “เสี่ยกรณ์”ใช่หรือไม่??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วอร์รูมย่อย ๆ ใน “พรรคประชาธิปัตย์”!!
พากันตำหนิ..และบางรายถึงขั้นกัด “อดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ถึงเลือดสาด??
ที่ออกมาตอแย ให้ “ข้าราชการ” ที่ถูกย้าย พากันแข็งข้อ..ทำให้พรรคหมดท่า
เปรียบไปแล้ว ช่วงนี้เหมือนช่วงเทศกาลเก็บผลไม้...เพราะเป็นช่วงโยกย้าย “ข้าราชการ” จึงเป็นสิทธิ์ชอบธรรม ที่ “รัฐบาลปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำได้ ตามกติกา
ไม่สมควรที่ “อภิสิทธิ์” จะออกมาโวยมาวาย...ทั้งนี้เพราะ “บรรหาร ศิลปอาชา”, “เนวิน ชิดชอบ” เตือนแล้วอย่าเพิ่งยุบสภาฯ..ให้โยกย้ายเดือนตุลาฯผ่านไปก่อน ถึงชิงกันยุบเสร็จสรรพ
ฉะนั้น,”อภิสิทธิ์”ไม่ควรล้งเล้ง...ควรจะด่าตัวเอง?..เพราะเล็งการณ์ไกลผิดไงล่ะขอรับ??

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ถ้าคิด “ก้าวข้าม”ความขัดแย้ง!!
เห็นที, “นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องใช้ยาแรง??
ใครสั่งฆ่า สังหารประชาชน ๙๑ ศพ เจ็บระนาว ๒ พันกว่าคน ต้องลากตัวมาลงโทษ
ไป “ปรองดอง” กับคนใจทมิฬ ฆ่าประชาชนไม่ยั้ง..เป็นเรื่องไม่เกิดประโยชน์
ใครผิดก็ว่ากันตามผิด...ใครไม่ผิดก็ให้อิสระ ทำหน้าที่ได้อย่างเสรี!!
แต่นี่.ปล่อยให้ “ฆาตกร”...ที่สั่งราษฎร?..มาไล่ต้อนรัฐบาล คนเขาจึงไม่แฮปปี้??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“รัฐบาลปู” ทำงานไม่ถึงเดือน!!
แต่ความมือไม่ถึง รัฐมนตรีสาวโสด “กฤษณา สีหลักษณ์” ผู้คุมสื่อ ทำให้รัฐบาลสะเทือน?
ปล่อยให้ “จอมเสี้ยม” พิธีกรข่าวหน้าจอ ล่อรัฐบาลจนเอียง
“นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จะหลุดพ้นตำแหน่งไร้เก้าอี้ ก่อน ๓ เดือน ๖ เดือน..ก็เพราะฝีมือ “รัฐมนตรีหญิงกฤษณา”..ฉะนั้น, อย่าลอยหน้า มาเถียง
การให้อิสรเสรีภาพ แก่สื่อสารมวลชนทีวี โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นสิ่งที่ดี..แต่การให้ความเท็จ ให้ข้อมูลอันเป็นการโกหกประชาชน “รัฐมนตรีกฤษณา” นั่งอยู่ได้อย่างไร!!
ท่านอย่ามัวนั่งตัวลีบ...ถ้าไม่มีน้ำยา ก็คลุมปี๊บ?...รีบสละเก้าอี้ ลาออกไป??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
///////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

รำลึก ๑๙ กันยา : ศาลไทยกับการประหารประชารัฐ !!?

รำลึก ๑๙ กันยา: ศาลไทยกับการประหารประชารัฐ โดย วีรพัฒน์ ปริยวงศ์

“จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”

ถ้อยคำตอนหนึ่งของคำถวายสัตย์ที่ตุลาการไทยต้องปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพลงชาติสอนให้เราเชื่อว่าประเทศไทยเป็นประชารัฐ แต่ประชารัฐกลับถูกประหารมาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดก็เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ แม้วันนี้ผ่านมาได้ ๕ ปี แต่คราบเลือดและรอยแผลยังมีให้พบเห็นได้ทั่วไป ไม่เว้นแต่ในหน้าของรัฐธรรมนูญและอีกหลายหน้าของราชกิจจานุเบกษา

คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๑/๒๕๕๐ (“คดีที่ดินรัชดาฯ”) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๒๖ ก
ในหน้าที่ ๘-๙ ศาลฎีกา กล่าวว่า

“เห็นว่า ในการทำรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจการปกครองประเทศในแต่ละครั้งนั้น ผู้ทำการรัฐประหารมีความประสงค์ที่จะยึดอำนาจอธิปไตยที่ใช้ในการปกครองประเทศ ซึ่งก็คือ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ มารวมไว้โดยให้มีผู้ใช้อำนาจดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวหรือคณะบุคคลคณะเดียวเท่านั้น มิได้มีความประสงค์ที่จะล้มล้างระบบกฎหมายของประเทศทั้งระบบแต่อย่างใด”

“แม้แต่อำนาจตุลาการซึ่งเป็นอำนาจหนึ่งในอำนาจอธิปไตยก็ยังปรากฏเป็นข้อที่รับรู้กันทั่วไปว่าตามปกติผู้ทำการรัฐประหารจะยังคงให้อำนาจตุลาการโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีต่อไปได้ คงยึดอำนาจไว้แต่เฉพาะอำนาจนิตบัญญัติและอำนาจบริหารเท่านั้น”

“ในการทำปฏิวัติรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็เช่นกัน เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจในการปกครองประเทศได้เรียบร้อยแล้ว คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขก็ออกประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓ มีใจความสำคัญว่า ให้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ สิ้นสุดลง วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญ”

“ส่วนศาลทั้งหลาย นอกจากศาลรัฐธรรมนูญคงมีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย แสดงว่าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขยึดอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารมารวมไว้ที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนอำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมใช้อำนาจพิจารณาพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมายต่อไป”

(ลงชื่อ นายทองหล่อ โฉมงาม นายสมชาย พงษธา นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย นายสมศักดิ์ เนตรมัย นายวัฒนชัย โชติชูตระกูล นายประพันธ์ ทรัพย์แสง นายพิชิต คำแฝง นายธีระวัฒน์ ภัทรานวัช และนายเกรียงชัย จึงจตุรพิธ องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกา)

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๕/๒๕๕๑ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๐๗ ก
หน้าที่ ๓๒ และ ๓๕ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เป็นคำสั่งของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจการปกครองประเทศได้เป็นผลสำเร็จ คณะรัฐประหารจึงเป็นรัฏฐาธิปัตย์ซึ่งมีอำนาจสูงสุด คำสั่งของคณะรัฐประหารดังกล่าว จึงเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเพื่อประเทศชาติจะตั้งอยู่ได้ในความสงบต่อไป”

“โดยที่เหตุการณ์ก่อนการรัฐประหารบ้านเมืองอยู่ในสภาวะแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย ประกอบกับมีข้อเท็จจริงที่สนับสนุนให้เห็นถึงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อันเป็นสาเหตุแห่งการรัฐประหาร คณะรัฐประหารจึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบขึ้นมาทำหน้าที่ตรวจสอบการกระทำอันเป็นเหตุการณ์ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติจึงจำต้องให้อำนาจแก่คณะกรรมการตรวจสอบเพื่อให้การดำเนินการตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ”

“แต่ประการสำคัญยังมีการตรวจสอบถ่วงดุลโดยอัยการสูงสุด และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบถ่วงดุลและการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแล้วแต่กรณี อันเป็นไปตามหลักการแห่งการปกครองโดยกฎหมาย หรือหลักนิติธรรม (Rule of Law) แล้ว”

(ลงชื่อ นายชัช ชลวร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๓๘-๓๙ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประเทศไทยถูกคุกคามและบ่อนทำลายให้เสื่อมโทรมด้วยปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐมาโดยตลอด เป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหาความยากจนและคุณภาพชีวิตที่ตกต่ำของประชาชนส่วนใหญ่ ทั้งยังขัดขวางและเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน ปัญหาดังกล่าวนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยระบบงานยุติธรรมปกติที่ออกแบบมาสำหรับอาชญากรรมสามัญทั่วไปได้ โดยเฉพาะในขั้นตอนสืบสวน สอบสวน ก่อนการพิจารณาคดีของฝ่ายตุลาการ ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ยังไม่มีอิสระและอำนาจเพียงพอที่จะตรวจสอบหรือดำเนินคดีต่อผู้มีฐานะและอำนาจระดับสูงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

“สภาพปัญหาดังกล่าวทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดที่อาจกระทบต่อความมั่นคงและความอยู่รอดของประเทศ นับว่าเป็นปัญหาเฉพาะสำหรับประเทศไทยที่จำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเป็นพิเศษขึ้นเพื่อแก้ไข ซึ่งประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ก็เป็นมาตรการหนึ่งที่จำเป็นต้องมี ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมของประเทศสามารถทำหน้าที่ได้ตามวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศได้จริง”

“ประกาศคณะปฏิรูปฉบับดังกล่าวมุ่งเน้นที่การตรวจสอบในขั้นตอนก่อนการพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น มิได้มีเนื้อหาส่วนใดก้าวก่ายหรือแทรกแซงการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลเลยผู้ที่ถูกตรวจสอบและดำเนินคดีตามกฎหมายฉบับนี้ยังคงมีสิทธิต่อสู้คดีในชั้นศาลได้อย่างเต็มที่ทั้งในการตรวจสอบการใช้อำนาจหรือการทุจริตประพฤติมิชอบของบุคคลตามประกาศนี้จะกระทำได้ในกรณีที่มีเหตุอันควรสงสัยเท่านั้น กระบวนการตรวจสอบในชั้นก่อนฟ้องตามประกาศดังกล่าวจึงมิได้ฝ่าฝืนหรือขัดแย้งต่อหลักนิติธรรม หรือสิทธิมนุษยชนแต่ประการใด…”
(ลงชื่อ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๔๔ นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“…การใช้อำนาจอธิปไตยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้อำนาจของคณะปฏิรูปฯ เช่นกัน ดังนั้น ประกาศคณะปฏิรูปฯ ฉบับที่ ๓๐ จึงมีฐานะ มีศักดิ์และมีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย”
“เมื่อคณะปฏิรูปฯ เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยในขณะนั้น ใช้อำนาจออกประกาศฉบับนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าคณะปฏิรูปฯ มีวัตถุประสงค์จะให้มีองค์กรทางบริหารที่มีอำนาจหน้าที่เสริมและผสานการใช้อำนาจซึ่งแบ่งแยกอยู่ใน ๓ องค์กรดังกล่าวมาบูรณาการให้คณะกรรมการตรวจสอบใช้อำนาจหน้าที่ทางบริหารของทั้ง ๓ องค์กรนี้ด้วย เพื่อตรวจสอบและสอบสวนเรื่องที่มีเหตุอันควรสงสัยว่ามีการกระทำการทุจริตต่อประเทศชาติตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งต้องกระทำโดยเร็วและภายในกรอบระยะเวลา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างเหมาะสมกับลักษณะของการกระทำผิดที่มีความร้ายแรงต่อประเทศชาติ”
(ลงชื่อ นายจรูญ อินทจาร ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๔๘ นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่าประกาศ คปค. ๓๐ มีสถานะเป็นกฎหมาย เพราะออกโดยผู้ที่เป็นรัฏฐาธิปัตย์อยู่ในขณะนั้น ดังที่ศาลฎีกาเคยพิพากษาไว้ ตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕/๒๔๙๖, ๑๖๖๓/๒๕๐๕ และ ๖๔๑๑/๒๕๓๔ และประกาศ คปค. ดังกล่าวย่อมมีสถานะเป็นกฎหมายอยู่ตราบเท่าที่ยังไม่มีกฎหมาย ที่มีศักดิ์เดียวกันมายกเลิก (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๓๔/๒๕๒๓)”

(ลงชื่อ นายเฉลิมพล เอกอุรุ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)



ในหน้าที่ ๕๓ นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่อง การตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ซึ่งประกาศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ประกาศดังกล่าวเป็นประกาศที่มีสถานะเป็น “กฎหมาย” ระดับพระราชบัญญัติ เพราะการปฏิวัติยึดอำนาจการปกครองประเทศหัวหน้าคณะปฏิวัติหรือหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ย่อมเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองประเทศ ข้อความใดที่หัวหน้าคณะปฏิรูปสั่งให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติก็ต้องถือว่าเป็นกฎหมาย”

(ลงชื่อ นายนุรักษ์ มาประณีต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๕๖ นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๓๐ เรื่องการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ (ประกาศ คปค. ฉบับที่ ๓๐) เป็นคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ได้ยึดและได้ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศย่อมมีอำนาจสูงสุดในประเทศในฐานะเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์คือเป็นผู้มีอำนาจตรากฎหมาย บังคับให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย และลงโทษผู้ฝ่าฝืนกฎหมายได้หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการแต่ผู้เดียว ดังนั้นคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองดังกล่าวจึงถือเป็นกฎหมายมีผลใช้บังคับ”

(ลงชื่อ นายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)



ในหน้าที่ ๕๙-๖๐ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“เห็นว่า เมื่อมีบุคคลหรือคณะบุคคลใดเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศได้สำเร็จ บุคคลนั้นหรือหัวหน้าคณะบุคคลเช่นว่านั้น ไม่ว่าจะเรียกตนเองว่าอะไรย่อมได้ไปซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ และมีอำนาจออกประกาศหรือออกคำสั่งอันมีผลเป็นกฎหมายใช้บังคับแก่ประชาชนได้ ทำนองเดียวกับพระบรมราชโองการของพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ย่อมมีผลเป็นกฎหมาย ดังนั้น การที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ คปค. ย่อมมีอำนาจในการปกครองประเทศและมีอำนาจออกประกาศ หรือคำสั่งต่าง ๆ ให้มีผลเป็นกฎหมาย หลักเกณฑ์เช่นนี้ยึดถือกันมาจนเป็นปกติประเพณีแล้ว”

(ลงชื่อ นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๖๓-๖๔ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:

“ภายหลังจากการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ เรื่อยมา ศาลและนักนิติศาสตร์ไทยให้การยอมรับการทำรัฐประหารที่สำเร็จ โดยวินิจฉัยเสมอมาจนปัจจุบันว่าคณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์ คำสั่งของคณะรัฐประหารจึงเป็นกฎหมายและเป็นได้แม้รัฐธรรมนูญ…”
“คณะปฏิรูป ฯ ได้เล็งเห็นปัญหาการทุจริตคอรัปชันในรัฐบาลชุดที่แล้ว จึงได้กระทำการยึดอำนาจ ฯ และเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีความต่อเนื่องและเพื่อดำรงสถานะของรัฐ อำนาจอธิปไตย ตลอดจนการบริหารราชการแผ่นดินมิให้สะดุดหยุดลง เพื่อกฎหมายฉบับเดิมที่อาจถูกยกเลิกตามกฎหมายใหม่ ยังมีผลใช้บังคับต่อไปได้ เป็นการกระทำ เท่าที่จำ เป็น ได้สัดส่วนและไม่กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น ฉะนั้นจึงเห็นว่าไม่เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพ และไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐”

(ลงชื่อ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)

ในหน้าที่ ๖๗ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความเห็นส่วนตน ตอนหนึ่งความว่า:
“…ถือว่าประกาศและคำสั่งทั้งหลายข้างต้นเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฏฐาธิปัตย์ ใช้บังคับได้ ตามประเพณีการปกครองและเป็นนิติประเพณีของการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ที่ประชาชนและประเทศไทยยึดถือเป็นหลักในการปกครองประเทศตลอดมา ซึ่งต้องสอดคล้องและอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติธรรม ตามที่บัญญัติไว้เป็นหลักการและเหตุผลในคำปรารภของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ ว่า เหตุที่ทำ การยึดอำนาจและประกาศให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยเสียนั้นก็โดยปรารถนาจะแก้ไขความเสื่อมศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน…”

(ลงชื่อ นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ)
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม. ๙/๒๕๕๒ (“คดีนายยงยุทธ ติยะไพรัช”) ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๐ ก
นายกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา ได้แสดงความเห็นแย้ง ความบางส่วนปรากฏว่า
“เห็นว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ศาลเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นของประชาชน…นอกจากนี้ศาลควรมีบทบาทในการพิทักษ์ความชอบด้วยกฎหมายรวมถึงพันธกรณีในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนจากการใช้อำนาจโดยมิชอบและพันธกรณีในการปกปักรักษาประชาธิปไตยด้วย”
“การได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย กล่าวคือการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยความไม่ยินยอมพร้อมใจจากประชาชนส่วนใหญ่ เท่ากับเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๓ ย่อมเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตย”

“หากศาลรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์แล้ว เท่ากับศาลไม่ได้รับใช้ประชาชน จากการใช้อำนาจโดยมิชอบและเพิกเฉยต่อการปกปักรักษาประชาธิปไตยดังกล่าวมาข้างต้น ทั้งเป็นการละเลยหลักยุติธรรมตามธรรมชาติที่ว่าบุคคลใดจะรับประโยชน์จากความฉ้อฉลหรือความผิดของตนเองหาได้ไม่ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นวงจรอุบาทว์อยู่ร่ำไป ยิ่งกว่านั้นยังเป็นช่องทางให้บุคคลหรือคณะบุคคลดังกล่าวยืมมือกฎหมายเข้ามาจัดการสิ่งต่างๆ”

“ข้อเท็จจริงเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า ปัจจุบันอยู่ในกระแสโลกาภิวัตน์ นานาอารยะประเทศส่วนใหญ่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งไม่ยอมรับอำนาจที่ได้มาจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร ฉะนั้นเมื่อกาละและเทศะในปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้วจากอดีต ศาลจึงไม่อาจที่จะรับรองอำนาจของบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหารว่าเป็นรัฎฐาธิปัตย์”

“ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปเช่นกันว่า ผู้ร้องประกอบด้วยคณะกรรมการที่เป็นผลพวงของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (คปค.) แต่ คปค. เป็นคณะบุคคลที่ทำการปฏิวัติหรือรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๓ จึงเป็นการได้อำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางของระบอบประชาธิปไตยดังเหตุผลข้างต้น ย่อมไม่อาจถือได้ว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แม้จะได้รับการนิรโทษกรรมภายหลังก็ตาม หาก่อให้เกิดอำนาจที่จะสั่งการหรือกระทำการใดอย่างรัฏฐาธิปัตย์…”

(ลงชื่อ นายกีรติ กาญจนรินทร์ ผู้พิพากษาศาลฎีกา)

อ่านความเห็นได้ที่ http://www.supremecourt.or.th/file/criminal/keerati%209-52.pdf
ผู้พิพากษาตุลาการไทยทุกท่านก็ไม่ต่างไปจากท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณว่า
“จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายทุกประการ”
แต่ผมอดสงสัยไม่ได้ว่า หากวันหนึ่งประชารัฐถูกประหารอีกครั้ง จะมีผู้พิพากษาและตุลาการไทยกี่ท่านที่พร้อมจะยึดมั่นในคำถวายสัตย์เฉกเช่นที่ท่านกีรติ กาญจนรินทร์ ได้ประกาศไว้?


ที่มา:Siam Intelligence Unit

////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////