--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2554

สามัคคีคือพลัง

ทำชาติให้สงบ..สถานการณ์กลับมาปกติสุข ถือว่า, เป็นเรื่องที่น่าดีใจจัง??
เมื่อ ๒ คนดัง, “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” กับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” มาเป็นทองแผ่นเดียวกันได้
ไม่มี “เสื้อแดง” และ “เสื้อเหลือง” ทุกอย่าง ก็กลับมาสดใส
ยิ่งถ้า “ซุเปอร์ป๋า” เข้าร่วมวงศ์ไพบูลย์ด้วยอีกคนแล้ว...ปัญหาของชาติ ก็จะไม่ต้องวุ่น!!
โกรธเกลียดกันจนวันตาย....เป็นเรื่องดีเสียที่ไหน?...รักกันเข้าไว้ ดีจริงๆ นะคุณ??
////////////////////////////////
เชื่อมั่นใน “ศักยภาพ”!!
ถึงนาทีนี้ “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” ยังคิดแง่บวก ตัวเอง จะได้เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม” หรือไม่ก็ “รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง” ขอรับ??
ด้วยความเป็นรุ่นพี่ “จปร.๗” เชื่อว่า คุมเหล่าทัพอยู่ในแถว ได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับ “พล.ต.จำลอง ศรีเมือง” , “พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ๒ เพื่อนรักหนุนหลังอย่างเต็มที่
ปัญหาทหารแข็งข้อ หรือคิด จะออกมาเอ็กเซอร์ไซด์ คงจะไม่มีให้เห็น!!
“บิ๊กพัลลภ”นั้นสมองไบร์ท....เรื่องที่จะให้ใครมาลบลาย?...คงยอมไม่ได้ นี่มิใช่ล้อเล่น?
////////////////////////////////
ยิ่งสูงยิ่งหนาว,ใครก็รู้ดี!!
มีข่าวว่า, “บิ๊กน้อย” พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. จะไขก๊อกลาออก ก่อนเกษียณในเดือนกันยาฯนี้??
โดย “บิ๊กน้อย” ใช้กำลังภายใน เพื่อผลักดัน “พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต” รองผบ.ตร. (ปป.๑)เพื่อนร่วมรุ่น ให้เข้ามาโซ้ย ตำแหน่ง นั่งเก้าอี้แทนที่
แต่คงไม่สมใจนึกบางลำพู ที่ได้วาดฝัน เอาไว้ดอกคุณพี่
ต้องขอบอกว่า “พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต” เหมือนคนมีบุญแต่กรรมมาบัง?..เพราะสมัยหนึ่งมีชื่อถูกเสนอเป็น “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” แต่ก็ถูก “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตีชื่อร่วง อดเป็นอย่างน่าเสียดาย!!!
ผิดหวังตั้งสองครั้งติด...เป็นใครก็ต้องหงุดหงิด?...ก็ต้องคิดมากเหมือนกันล่ะเจ้านาย??
///////////////////////////////
ถี่รอดตาช้าง ห่างรอดตาเลน!!
สร้างหนี้เอาไว้ชาติบักโกรก ทีหยั่งงี้ “นายกฯมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองไม่เห็น??
แต่ตัวเองกลับมาจับประเด็น, เน้น อย่าให้ “ว่าที่นายกฯปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นชูชกเที่ยวขอทาน กู้เงินเขาไปเรื่อย
ที่ชาติวิกฤติ ก็เพราะผลงาน ของ “นายกฯมาร์ค” ก่อหนี้ไว้บานตะไท จนชาวบ้านเหนื่อย
ท่านอย่ามาอวดดี ว่ามีวินัยการคลัง...จงหันไปดู “รัฐบาลมาร์ค” กู้เงินมาละลายแม่น้ำจมกระเบื้อง ทีหยั่งงี้หุบปาก ไม่ยอมแถลงให้ชาวบ้านได้ยิน
ทางที่ดีทุกเช้า..ท่านควรส่องกระจกชะโงกดูเงา?...ไอ้ที่ด่าเขา ตัวเองทำมาทั้งสิ้น???
//////////////////////////////
เล็ก ๆ ไม่..แต่ใหญ่ ๆ เอา!!
“กรณ์ จาติกวณิชย์” ขุนคลังก้านยาว???
หมายปองตำแหน่งหนึ่งเดียว คือการได้เป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์”ที่อยากเป็นจนตัวสั่น
ก้อ,เพื่อเป้าหมายสูงสุด ในการไต่บันไดลิง ขึ้นไปเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไงล่ะท่าน
แต่โอกาสได้นั่งแท่น เป็น “หัวหน้าพรรค” นั้น...ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ.. พอหมดสมัย “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไร้คนอุปถัมภ์เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว...ท่านก็ต้องไปชิงดำ กับ “คุณพี่สุรินทร์ พิศสุวรรณ” เลขาธิการอาเซียนที่ใกล้หมดวาระเต็มแก่!!!
สู้กับ “คุณพี่สุรินทร์”วันใด.... “ขุนคลังกรณ์”ไม่มีวันได้ชัย?...ดูยังไงท่านก็ต้องแพ้??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ส่งเพื่อไทยถึงฝั่งครองอำนาจรัฐแล้ว วันนี้วันที่ต้องกลับสู่โลกความเป็นจริงเสื้อแดงแท้ต้องดูแลตัวเอง

 
ถึงฝั่ง-รัฐบาลยิ่งลักษณ์จัดตั้งครม.ปู1แล้ว โดยไม่มีแกนนำเสื้อแดงเป็นรัฐมนตรี ภารกิจสำคัญแรกๆที่ประกาศคือจัดงานเทิดพระเกียรติในหลวง และราชินีในวาระมหามิ่งมงคล และแก้ปัญหาปากท้องประชาชนที่รออยู่..ส่วนประเด็นความยุติธรรม ยังไม่มีใครพูดถึง คนเสื้อแดงต้องช่วยกันดูแลตัวเอง
คนเสื้อแดงตื่นมาในเช้าวันพุธที่ 10 สิงหาคม 2554 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 16 เดือนเหตุการณ์ 10 เมษา 53 เพื่อที่จะพบว่า พวกเขาได้ส่งพรรคเพื่อไทยถึงฝั่งฝันในการยึดครองอำนาจรัฐ ด้วยการประนีประนอมกับอำนาจเก่าแก่ แลกกับการไม่ยินยอมให้มีแม้แต่เก้าอี้รัฐมนตรีสักตัวในรัฐบาลใหม่ และคนเสื้อแดงแท้ก็ต้อง"ดูแลตัวเอง"
ข้อเสนอเร่งด่วนผมต่อพรรคเพื่อไทย และ นปช.คือวันนี้ต้องยื่นประกันผู้หญิงคนนี้ ผู้ถูกกล่าวหาว่ายิงฮ.ที่โปรยแก๊สน้ำตา วันที่ ๑๐ เมษา ๕๓ "จ๋า นฤมล !" และขอเชิญท่านที่สะดวกร่วมให้กำลังใจเธอในวันฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดพระโขนง ๐๙.๐๐ น.
เป็นข้อความจากอานนท์ นำภา ทนายความที่อาสาว่าความให้นักโทษเสื้อแดง และคดี112


แต่สำหรับ"ผู้หญิงยิงฮ.แล้ว"เธอบอกว่า อยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฟังคำพิพากษาคดีของเธอ และพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรมในประเทศไทย ขณะเดียวกันเธอประณามฝ่ายที่จับกุมเธออย่างดุดันว่าดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ พร้อมระบุไม่หวังกับนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดนอกจากพลังของประชาชนด้วยกันเอง

"ผู้หญิงยิงฮ."หรือนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ จะถูกศาลพระโขนงพิพากษาในเวลา 9 โมงเช้าวันนี้ พร้อมกับพวกอีก 2 คนเป็นจำเลยคือ สุรชัย นิลโสภา อายุ 33 ปี อาชีพขับแท็กซี่ และ ชาตรี ศรีจินดา อายุ 28 ปี อาชีพทำสวน

เปิดปม ก่อนพิพากษาคดี “ผู้หญิง ยิง ฮ. (10 เมษา)

ประชาไท รายงานว่า ในการสืบพยานโจทก์ พยานปากหนึ่งระบุว่า เห็นนำปืนไปใช้ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหาร เมื่อวันที่ 10 เม.ย. จำเลยทั้ง 3 ก็อยู่ในเรือนจำมาปีกว่า โดยไม่ได้รับการประกันตัว แม้จะยื่นประกันตัวถึง 3 ครั้ง จนเมื่อเรื่องนี้เป็นที่รับรู้เพราะอาจารย์ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช.เข้าเยี่ยม มีการเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตอย่างกว้างขวาง คนจึงเรียกกันติดปากว่า “คดีผู้หญิงยิง ฮ.”

ในคำฟ้องระบุว่า เจ้าหน้าที่จับกุมตัวทั้งสามได้ เมื่อวันที่ 3 พ.ค.53 จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา จำเลยว่า
“ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้ และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และร่วมกันมีเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม"
รายการอาวุธแนบท้ายคำฟ้องที่ระบุว่าจับได้มี ปืนเล็กกล AK47 จำนวน 5 กระบอก, ปืนเล็กกล M16 จำนวน 1 กระบอก ระเบิดสารพัดชนิดเกือบ 20 ลูก กระสุนปืนแบบต่างๆ เกือบพันลูก ไม่นับตะไล ปืนคาร์ไบน์ ระเบิดเพลิง

ในสืบพยาน มีพยานโจทก์ปากหนึ่งระบุว่า ในวันที่ 10 เม.ย.53 ประมาณเกือบ 17.00 น. เห็นกลุ่มคน 4 คน นั่งรถฮอนด้า ซีอาร์วี มาจอดบริเวณซอยแถวแยกมหานาค ซึ่งอยู่ในระยะที่มองเห็นได้ชัดเจน เห็นชาย 2 คนถืออาวุธปืน คนหนึ่งในนั้นถืออาวุธปืนไม่ทราบชนิด ยิงเฮลิคอปเตอร์ของทหารที่บินผ่าน ประมาณ 3 วินาที ก่อนจะขึ้นรถขับออกไปจากบริเวณเกิดเหตุ ซึ่งใกล้กันนั้นมีผู้ชุมนุมกำลังชุมนุมกันอยู่ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ได้โทรแจ้งยังกรุงเทพมหานคร หมายเลข 1555 และ 191 จากนั้นเมื่อเห็นข่าวทหารบาดเจ็บจากการโดนยิงเฮลิคอปเตอร์จึงไปเยี่ยมเพื่อบอกว่ายินยอมเป็นพยานให้ในคดีนี้ เพราะรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เวลาดังกล่าวใกล้เคียงกับช่วงเวลาที่มีปฏิบัติการทิ้งแก๊สน้ำตา ก่อนจะเกิดโศกนาฏกรรมบริเวณสี่แยกคอกวัว และหน้าโรงเรียนสตรีวิทย์ ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิต 26 คน เป็นทหาร 5 คน และพลเรือน 21 คน ในจำนวนนั้นเป็นนักข่าวชาวญี่ปุ่น 1 คน

ความพิลึกของคดีผู้หญิงยิงฮ. แฉถูกขังในร.11ขู่เผาทั้งเป็นก่อนยัดคุกปีเศษ
สำหรับ ‘จ๋า’ เป็นหญิงห้าวแห่งสนามหลวง เธอออกมาประท้วงรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 โดยรวมกลุ่มกับ ‘กุล่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ’ เพราะเธอชื่นชอบนโยบายของพรรคไทยรักไทย และเกลียดชังการรัฐประหาร อาชีพเดิมเคยเป็นแม่ค้าขายผัก มีนิสัยตรงไปตรงมา โผงผาง ใจดี แต่ค่อนข้างปากร้าย เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มบอกกล่าว จากนั้นแม้กลุ่มจะสลายหายไปแล้ว แต่จ๋ายังคงวนเวียนอยู่กับการชุมนุมโดยตลอด อาศัยรายได้จากการขายสมุนไพร และทำแชมพูสำหรับสุนัข เนื่องจากเธอเป็นคนรักสุนักเหมือนลูกแท้ๆ เธออยู่กับลูกๆ 7 ตัวเพียงลำพัง สามีของเธอที่เป็นนายตำรวจเสียชีวิตไปในปี 2535

จ๋าเล่าขณะติดคุกอยู่ทัณฑสถานหญิงกลางว่า รู้จักกับสุรชัย จำเลยที่ 1 จากการชุมนุมเมื่อปี 2552 เพราะเป็นแท็กซี่เสื้อแดง จากนั้นจึงว่าจ้างมารับส่งในการชุมนุมมาโดยตลอด จนเป็นเพื่อนสนิทกัน ขณะที่รู้จักกับจำเลยที่ 3 หรือชาตรีในการชุมนุมปี 52 เช่นกัน ขณะเขากำลังขายเสื้อผ้าหมาและเธอเดินซือเสื้อผ้าหมา ทั้งหมดมาเจอกันอีกที่การชุมนุมปีถัดมา

ในวันที่โดนจับ คืนนั้นกว่าจะกลับมาถึงบ้านของจ๋าก็ตีสี่ครึ่ง สุรชัยและชาตรีจึงงีบหลับที่บ้านจ๋าก่อนกลับบ้านในตอนเช้า

จากนั้นเวลาประมาณ 9.00 น. เจ้าหน้าที่ทหารประมาณ 30 คน อาวุธครบมือได้บุกเข้ามาในบ้าน และจับกุมทั้งสามคน นำตัวขึ้นรถแยกคนละคัน ทั้งสามให้การตรงกันว่า เมื่อคุมตัวสักพักก็ขับรถวนไปวนมาพักใหญ่ก่อนกลับมาที่บ้านพักที่จับกุม

สุชัย บอกว่า ขณะอยู่บนรถก่อนจะถึงที่บ้านพักของจ๋า เจ้าหน้าที่ก็ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่เอามือทุบหน้าอกของเขา และถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธอยู่ที่ไหน เขาก็ตอบว่าไม่รู้ เจ้าหน้าที่ถามพร้อมกับทุบที่หน้าอกของเขาสลับไปมาประมาณ 20 ครั้ง

เมื่อรถวิ่งมาถึงบ้านที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาไปที่ห้องนอน ตอนที่จะเดินไปในห้องนอน ก็ปรากฎว่ามีอาวุธกองอยู่ในบ้านจำนวนเยอะมาก มีปืนอาก้า ระเบิด กระสุนเป็นถุง ๆ

เจ้าหน้าที่ถามเขาอีกครั้งว่า อาวุธ อยู่ไหน เขาก็ตอบอีกครั้งว่า เขาไม่รู้ หลังจากนั้น เขาก็โดนเจ้าหน้าที่เตะเข้าที่ลำตัว จนเขาล้มทั้งยืน และเขาถูกกุญแจมือไขว่หลัง พอเขาล้มลงก็กระทืบเขาทั้งหน้าและหลังหลายครั้ง

หลังจากนั้นก็พาเขาออกมาจากห้อง แล้วก็ใส่กุญแจมือให้เขาใหม่ โดยเอากุญแจมือใส่ที่ด้านหน้า และจากนั้นก็ให้เขาถือกระป๋องแก๊สน้ำตา แล้วถ่ายรูปเขา ก่อนจะให้ชี้ไปที่กองอาวุธและถ่ายรูปเขาไว้อีกครั้ง

เขาเล่าว่าตลอดเวลานั้น เขาไม่มีโอกาสคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่มีโอกาสถามว่าทำไมมาจับเขาและตรวจค้นเขา เขาไม่ทราบด้วยว่าเจ้าหน้าที่ มีหมายจับและหมายค้นหรือไม่ แต่ไม่เห็นเจ้าหน้าที่แสดงหมายใดๆ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้บอกว่า เขาสามารถติดต่อเพื่อน ญาติ หรือทนายได้ แต่ถึงให้ติดต่อ เขาไม่อยากติดต่อเพราะกลัวว่าญาติพี่น้องจะเดือดร้อน

ยิ่งไปกว่านั้น สุรชัยยังระบุว่าเขาทั้งสามถูกนำตัวไปยัง กองพันทหารราบที่ 11 ในช่วงเย็น โดยถูกแยกขังคนละแห่งเพื่อทำการสอบสวน
ห้องที่เขาถูกนำไปสอบสวนเหมือนเป็นโกดังเก็บถังน้ำมัน มีถังน้ำมัน 200 ลิตร ตั้งเรียงรายอยู่ ประมาณ 20 ถัง กลิ่นน้ำมันคลุ้งไปหมด มีเจ้าหน้าที่สอบสวนนั่งในห้องเขาประมาณ 3-4 คน มีคนถาม 1 คน และมีคนจดบันทึก 2 คน

เจ้าหน้าที่ในราบ 11 ถามเขาว่า อาวุธอยู่ที่ไหน และข่มขู่ว่าหากเขาไม่ยอมรับจะจับเขาไปใส่ถังน้ำมัน 200 ลิตร เอาผ้าปิดปาก แล้วเอาน้ำมันราดเมื่อเขาโดนขู่เขาจึงตอบคำถามทั้งหมดเรื่องไหนไม่รู้ก็พยายามตอบๆ ไป เพื่อจะไม่ถูกทำร้าย แต่บางเรื่องเขาก็ตอบตามจริง เช่นการปลอมทะเบียนรถ เนื่องจากตอนที่ชุมนุมนั้นมีข่าวว่า มีคนจดทะเบียนรถยนต์คนเสื้อแดงแล้วจะไปตามทำร้ายจึงทำให้เขาต้องปลอมทะเบียนรถยนต์เพื่อความปลอดภัย จากนั้นเจ้าหน้าที่จึงให้มีการเซ็นเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาไม่มีโอกาสได้อ่าน แล้วค่อยนำตัวไปให้ดีเอสไอในตอนกลางคืน
ขณะที่ผู้ใช้นามแฝงในโลกอินเตอร์เน็ตว่า “ป้านินจา” อดีตสมาชิกกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ ตั้งข้อสังเกตว่า จากการสอบถามกับจ๋าในเรือนจำ พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารเอาปืนขู่ชาวบ้านที่ออกมาดูเหตุการณ์ให้กลับเข้าบ้านจนหมด จึงไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่นบ้าง มีการเอาตัวจำเลยทั้งหมดออกจากบ้านไป แล้วจากนั้นจึงนำกลับมาพร้อมกับบอกว่าพบอาวุธปืนและกระสุนปืนจำนวนมากใส่ไว้ในถุงกอล์ฟซ่อนอยู่ในท่อระบายน้ำที่นอกตัวบ้าน ซึ่งในความเป็นจริงท่อระบายน้ำดังกล่าวกว้างเพียง 14 เซ็นติเมตร ไม่มีทางจะนำถุงกอล์ฟยัดลงไปได้

“เท่าที่มีการสืบพยาน ลายนิ้วมือแฝงบนอาวุธก็ไม่มีเลย พยานคนเดียวที่บอกว่าเห็นก็เบิกความว่าพี่จ๋าผมยาวประบ่า ทั้งที่จริงๆ แกตัดผมสั้นตลอด”
“คดีนี้ไม่มีใครช่วยเลย วอล์กอินไปที่ไหนเขาก็กระโดดหนีหมด เพราะกลัวจะถูกโยงมาเกี่ยวพัน คดีมันหนัก โทษหนัก แต่ที่สุดก็มีทนายพรรคมาช่วย แล้วก็ได้ทนายอาวุโสอีกคนที่เขาอาสามาช่วยในช่วงหลังเพราะสงสาร ญาติๆ เขาก็รวมเงินให้ทนายไปไม่กี่พันบาท” ป้านินจากล่าว 
"ถ้าพี่จ๋าไม่โดนจับเสียก่อน แล้วอยู่รอดจนเขาสลายการชุมนุม ต้องโดนยิงตายแน่ๆ เพราะแกต้องวิ่งไปอยู่ด่านหน้าอย่างแน่นอน" ป้านินจากล่าว

ขณะที่เจ้าหน้าที่จากศูนย์ข้อมูลประชานผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณี เม.ย.- พ.ค.53 หรือ ศปช. ซึ่งติดตามการพิจารณาคดีมาโดยตลอด ตั้งข้อสังเกตว่า การตั้งข้อหานั้นตั้งเรื่องการครอบครองอาวุธสงคราม แต่ดูเหมือนในการสืบพยานโจทก์จะเน้นไปสู่เรื่องการยิงเฮลิคอปเตอร์ เพื่อทำให้เห็นแรงจูงใจในการครอบครองอาวุธเสียมากกว่า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็น่าแปลกที่ไม่มีการตั้งข้อหาพยายามฆ่า และไม่มีการเบิกตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาให้การแต่อย่างใด

สำหรับจ๋าที่ใช้ชีวิตอยู่ในทัณฑสถานหญิงกลาง 1 ปี กับ 3 เดือนกว่า เธอบอกก่อนจะมีการตัดสินคดีในไม่กี่วัน หลังจากเรื่องของเธอถูกเผยแพร่ในโลกอินเตอร์เน็ตว่า เธออยากเชิญชวนให้ทุกคนมาฟังคำพิพากษาคดีของเธอ และพร้อมจะเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันเพื่อพิสูจน์ความเป็นธรรมในประเทศไทย ขณะเดียวกันเธอประณามฝ่ายที่จับกุมเธออย่างดุดันว่าดีแต่รังแกคนไม่มีทางสู้ พร้อมระบุไม่หวังกับนักการเมืองไม่ว่าฝ่ายใดนอกจากพลังของประชาชนด้วยกันเอง

จดหมายจากคุกที่คนเสื้อแดงต้องอ่าน


นักโทษเสื้อแดงรายหนึ่งได้เขียนจดหมายจากคุกถึงทนายอานนท์ นำภา เมื่อวันที่ 26 กรกาคม 2554 เล่าสภาพที่นักโทษการเมือง"คนรากหญ้าต้องเจอ"หลังจากที่ทนายอานนท์นำคนเสื้อแดงจัดกิจกรรม"ของขวัญเสื้อแดงแด่นักโทษเสื้อแดง"เพื่อให้กำลังใจนักโทษการเมืองในคุก เนื้อความสะท้อนสภาพที่เป็นจริงถึงสาเหตุการติดคุก และสภาพที่ต้องเผชิญ และการไร้การแลเหลียว แม้พวกเขาได้เอาตัวอุทิศเข้าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยก็ตาม ดังรายละเอียดต่อปนี้

เรียน คุณอานนท์และทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนาม

กระผม พศิน แสนจิตต์ แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ผู้ต้องหาคดีพรบ.อาวุธปืนและรับของโจร, ข้อหาเสื้อแดง, ก่อการร้ายเหมือนพี่น้องทั้งหลายที่มีอุดมการณ์เหมือนพี่น้องเรา

พอมีโอกาสได้รู้จักคุณหนุ่ม (ธันย์ฐวุฒิ) และครอบครัวบ้าน112 และชาวรากหญ้า(รากหญ้าจริงๆ หลายคนหลายชีวิต ช่วยกันกับคุณหนุ่มเก็บรายละเอียดของทุกคนทีละเล็กละน้อย ซึ่งกว่าจะได้ยากมากเพราะอยู่ในคุกคนละแดน ส่งจดหมายของรายละเอียด ความเป็นมา สารทุกข์สุขดิบ อันใหนพอแบ่งกันได้ในข้อกฎหมาย ของกินของใช้ เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เพราะแต่ละคนมาคนละทิศละทาง

บางคนคิดนี่หรือคือเหยื่อของสงครามการเมือง
การถูกขังในกรงนาน มนุษย์เป็นสัตว์แม้จะประเสริฐกว่าสัตว์เดรัจฉานแต่มันคือสัตว์โลก แต่ด้วยโดนขังโดยที่ตัวเองไม่ผิด จากการต่อสู้พวกเขาจุดจบต้องเป็นแบบนี้หรือ!!

คืนวันฟังไฮปาร์คมีเสียงเพลงขับกล่อม ยกตีนตบขึ้นลงตามแกนนำบอกซ้ายไปซ้าย บอกขวาไปขวา เฮไปใหนไปกัน ขอกำลังเสริมตรงนั้นทีตรงโน้นที
 
“จับมือกันไว้พี่น้อง ตั้งกำแพงไว้ มันไม่กล้าทำอะไรหรอก”
“มหาสารคามมาอีกหนึ่งรถบัสไปรับหน่อยเร็ว”
ทุกคำพูดมันวนเวียนไปมาตลอดเวลา แม๊เฮกันไป พอถูกสลายจริงๆไม่รู้ใครเป็นใครจนถูกจับ ความรู้สึกต่อต้านโดยจิตสำนึก ความเครียด ความหดหู่เพิ่มขึ้นไปตามวันเวลาสะสมไปทุกๆวัน

ต้องการใครก็ได้ให้ความหวังว่ายังมีใครสักคนห่วงเราอยู่ ก็เพิ่งได้รับน้ำใจจากพวกคุณๆพี่ๆทั้งหลายมาให้กำลังใจ ข้าวของเครื่องใช้จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน การได้ออกมาเยี่ยมพร้อมหน้าพร้อมตา แม้ไม่รู้จักกัน แต่ความรู้สึกอบอุ่นการมีพวกพ้อง ยังไงเราก็มีกันและไม่ทิ้งกัน เดินออกมาจากแดนขังแต่ละแดน เดินไปคุยกันไป
“ใครเข้ามาเยี่ยมพวกเรา” “แล้วเราจะพูดอะไรกับพวกพี่ๆเขาดีหล่ะ”
“เขาจะรังเกียจเราไหมเรามีคดีลักทรัพย์” “แต่เราเป็นเสื้อแดงนะแดงจริงๆ” 
หลากหลายคำพูดตื่นเต้น ดีใจคุยกันไป เหมือนมีพลังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาหลากหลายของรากหญ้าแท้ๆบางคนมีอาชีพเป็นยาม พอออกเวรยามก็มานั่งฟังปราศรัย บางคนทำงานโรงงานออกกะก็รวมกลุ่มกันมา บางคนโดยเฉพาะ”ยัยเปิ้ล”(อาทิตย์ เบ้าสุวรรณ) แดน4ที่บ้านเป็นคนทรงเจ้าอุตส่าห์มากะเขา เขาเคยเข้าไปช่วยคนไฟไหม้ชั้น2เซนทรัลเวิลด์กลับถูกจับข้อหาเผาห้างฯ
กรณีของสุรชัย(ปลา) ชาตรี และนฤมล(จ๋า) วิ่งเข้าออกเวทีรู้จักกันดีกับแกนนำ มันเป็นตลกร้ายทางการเมืองหาเสียงทางทีวี วันสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง(3ก.ค.54) เอาชีวิตเอาตัวเป็นๆมาติดคุก โดนตำรวจซ้อม โดนทหารเอาไปขังในค่ายทหารไอ้ค่ายที่เรีกยว่าราบ11(ศอฉ.) เอาไปขังข้างถังน้ำมัน เอาถัง200ลิตรมาตั้ง ผูกตากะจะเผาทั้งเป็นๆให้รับสารภาพ จนสูญสิ้นอิสรภาพมาทุกวันนี้ มันป็นนิยายการเมือง

แต่คนถูกกระทำมันไม่ใช่ ยื่นประกันครั้งแล้วครั้งเล่า ขายสวนขายไร่ขายนามาเป็นบ้าเป็นหลังทั้งบ้านทั้งหมู่บ้าน ศาลก็ค้านครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกัน ทั้งที่คดีเหมือนกันได้ !!
ผมเองอาวุโสกว่าน้องๆทั้งหลายคอยปลอบคอยโยนเท่าที่ทำได้
“เอาน่าเค้าไม่ทิ้งพวกเราหรอก” “มาด้วยการเมืองไปด้วยการเมือง”
พยายามพูดให้ท่ออาไว้ เช่นคดีของสุรชัย(ปลา) โทษสูงถึงตลอดชีวิตก็พยายามเปรียบให้ฟัง กบฏบวรฯยังไม่ประหารเลย มีหลายชีวิตเขาได้โอกาส จะเอาเขียนมาเล่าสู่กันฟังอีก

พอยามบ่ายกลับมาจากห้องเยี่ยมก็ถามกันแกได้อะไรบ้าง ชั้นได้โน่นเราได้นี่ตามประสา บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง ผมเองแอบนั่งทำตาแดงๆคนเดียว…..ขอบคุณ ขอบคุญจริงๆสำหรับบุญอันยิ่งใหญ่นี้ จิตใจไม่ท้อสู้ต่อไป คุยกับคุณหนุ่มตื้นตันใจจนพูดกันไม่ออก ได้แต่มองหน้ากันไปมา มาม่าหนึ่งลังบางคนต้มกินกับข้าวเปล่าไปได้หลายอาทิตย์

พยายามสื่อสารกับพวกพี่ๆแกนนำทั้งผอ.นิสิต คุณจตุพร อ.สุรชัย คุณสมยศ ทุกวันที่เสวนากันพี่ๆก็บอกตามระบบ เลือกนายกฯ รัฐบาล เจ้ากระทรวง กรมสิทธิฯ

แต่สภาพการเป็นอยู่มันต่างกัน รากหญ้าก็เป็นรากหญ้า

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีเหตุการณ์ดีดีแบบนี้ จากท่านๆพี่ๆทั้งหลายที่ทำให้พวกเรารู้ว่ายังมีคนห่วงเราว่าเราไม่ได้เดินหลงทางคนเดียว ยังมีคนนำพา ประคับประคองเดินไปสู่จุดหมายปลายทางของเราต่อไปด้วยใจมั่น

กราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยใจ

พศิน
 
ที่มา.ไทยอีนิวส์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โผ ครม.ปู เริ่มนิ่งแล้วกระทรวงใหญ่ เกรดเอ.ครบ ยิ่งลักษณ์คุมเศรษฐกิจเอง กระจาย รมช.ให้ส.ส. !!?

ข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ว่า สำหรับรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ล่าสุดภายหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่าได้เสร็จเรียบร้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และจะเร่งดำเนินการนำขึ้นทูลเกล้าฯภายใน 1-2 วันนั้น ทำให้เกิดความชัดเจนในหลายตำแหน่ง โดยรองนายกรัฐมนตรียังมีชื่อ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ทำหน้าที่กำกับดูแลงานด้านความมั่นคง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ดูแลงานด้านสังคมและกฎหมาย ซึ่งเบื้องต้นหากแกนนำพรรคไม่สามารถประสานนักธุรกิจหรือมือเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงมารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจได้ เนื่องจากติดปัญหาหลายคนปฏิเสธไปก่อนหน้านี้ ก็มีแกนนำพรรคเพื่อไทยเสนอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ กำกับดูแลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วยตัวเองไปเลย โดยจะมีทีมที่ปรึกษาคอยให้การช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง เนื่องจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์มีภาพของนักธุรกิจติดตัวอย่างชัดเจนอยู่แล้ว สำหรับ รมว.มหาดไทยนั้นนิ่งมาตลอดคือชื่อ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย

รายงานข่าว เปิดเผยว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต จเรทหารทั่วไป เตรียมทหารรุ่น 10 เพื่อนสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมารับตำแหน่ง รมว.คมนาคม นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ลงตัวที่เก้าอี้ รมว.คลัง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยังมีชื่อในเก้าอี้ รมว.แรงงาน แต่ล่าสุดชื่อของนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่บางกระแสระบุว่าถูกโยกมานั่งในตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ก็ยังปรากฏอยู่ที่ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยในส่วนที่กระทรวงการต่างประเทศ ยังเป็นชื่อนายวิกรม คุ้มไพโรจน์ อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน โดยชื่อที่แรงมากขึ้นคือนายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ส.ส.นครปฐม พรรคเพื่อไทย เป็นแคนดิเดตขึ้นมาในช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีชื่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

ในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ ที่ตลอดมาชื่อแกว่งไปมาหลายตลบนั้น ล่าสุดก็ยังเป็นชื่อของนายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา เป็น รมว.พาณิชย์ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ใกล้ชิด คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ มาเป็น รมว.พลังงาน โดยที่ตำแหน่ง รมว.ยุติธรรมซึ่งเป็นที่หมายปองของแกนนำพรรคเพื่อไทยหลายคน แต่เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณต้องการให้ได้นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด โดย พล.อ.สมทัต อัตนันทน์ อดีต ผบ.ทบ. กลายเป็นชื่อแคนดิเดตที่แรงที่สุดในช่วงหลัง

ด้านกระทรวงศึกษาธิการนั้น แน่นอนแล้วว่า พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำคนเสื้อแดง จะมาเป็น รมว.ศึกษาธิการ โดยชื่อนายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธานภาค กทม. ยังอยู่ที่ รมว.สาธารณสุข สำหรับตำแหน่ง รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่หมายปองของกลุ่มวังบัวบานของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ และภาค กทม. ที่มีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ คอยให้การสนับสนุนนั้น ล่าสุดชื่อนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ส.ส.เชียงใหม่ ใกล้ชิดนางเยาวภา มีชื่อเป็นแคนดิเดตคนสำคัญ

ส่วนตำแหน่งที่รายชื่อยังไม่นิ่งนั้น เนื่องจาก ส.ส.หลายกลุ่มของพรรคเพื่อไทยพยายามล็อบบี้อย่างหนักในช่วงโค้งสุดท้าย เพื่อแกนนำพรรคสนับสนุนให้ตัวเองและแกนนำกลุ่มของตัวเองได้เป็นตำแหน่งรัฐมนตรี โดยเฉพาะกระทรวงขนาดกลางและขนาดเล็กหลายกระทรวง ทำให้เก้าอี้ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รมช.คมนาคม รมช.เกษตรและสหกรณ์ รมช.ศึกษาธิการ และ รมช.มหาดไทย ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะ ส.ส.ภาคอีสาน ที่พยายามกดดันไปยัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เพิ่มโควตารัฐมนตรีให้กับ ส.ส.ภาคอีสาน ซึ่งทำให้มีชื่อ ส.ส.หลายคนร่วมเป็นแคนดิเดต ทั้งนายภูมิ สาระผล ส.ส.ขอนแก่น นายพรศักดิ์ เจริญประเสริฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. นางบุญรื่น ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ส.ส.เลย และนายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.อุบลราชธานี ซึ่งแกนนำพรรคเพื่อไทยจะตัดสินใจใส่ชื่อลงในช่วงโค้งสุดท้ายและสลับสับเปลี่ยนกระทรวง ก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ

ที่มา: มติชนออนไลน์

เหตุจลาจลในอังกฤษ ลามถึงเบอร์มิ่งแฮม !!?

ได้เกิดความรุนแรงและการปล้นสะดม ลุกลามเข้าไปในพื้นที่ใหม่ ๆ ในกรุงลอนดอนของอังกฤษเมื่อวันจันทร์ รวมถึงเมืองใหญ่อันดับที่สอง ซึ่งร้านค้าหลายแห่งและรถยนต์หลายคันถูกจุดไฟเผา ขณะที่ทางการพยายามหาทางรับมือกับสถานการณ์ที่ล่วงเข้าสู่วันที่ 3 แล้ว ทำให้หลายพื้นที่เต็มไปด้วยอาคาร รถยนต์และถังขยะที่ถูกจุดไฟเผาทำลาย ร้านค้าถูกปล้นสะดมภ์ ตำรวจถูกขว้างปาด้วยขวดและดอกไม้ไฟ ขณะที่พวกวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้ออกอาละวาดไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วเมืองหลวง เจ้าหน้าที่ดับเพลิงได้พยายามควบคุมเพลิงที่กำลังลุกลามไปยังร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์เก่าแก่ ซึ่งเป็นกิจการของครอบครัวหนึ่งที่สืบทอดกันมานับร้อยปีในย่านครอยดอน ทางใต้ของลอนดอน ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในตามบ้านใกล้เคียงต้องอพยพหนีไฟ ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สองของประเทศ พบว่า มีผู้ก่อเหตุหลายร้อยคน บุกเข้าไปตามร้านค้าในย่านค้าปลีกทำให้เหตุการณ์ความไม่สงบขยายตัวออกนอกกรุงลอนดอน เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เกิดเหตุรุนแรงเมื่อคืนวันเสาร์

พวกปล้นสะดมภ์ยังได้บุกโจมตีในย่านช็อปปิ้งชั้นสูง แคลปแฮม จังชั่น ซึ่งคับคั่งไปด้วยสถานีรถไฟที่มีคนใช้บริการมากที่สุดแห่งหนึ่งของอีงกฤษ ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่ง เปิดเผยต่อสถานีโทรทัศน์สกาย นิวส์ ว่า เห็นการปล้นสะดมภ์นานประมาณชั่วโมงครึ่ง โดยปราศจากการขัดขวางของตำรวจ และที่สำคัญคือ พวกที่ร่วมปล้นสะดมภ์และทุบทำลายหน้าต่าง มีเด็กอายุประมาณ 13 และ 14 ปี รวมอยู่ด้วย นายกรัฐมนตรีเดวิด คาเมรอน ได้ลดเวลาการไปพักร้อนที่อิตาลีลง และจะเรียกประชุมคณะกรรมการแก้วิกฤติในรัฐบาล ในวันนี้ เพื่อหามาตรการที่แข็งกร้าวรับมือกับเหตุรุนแรงที่ขยายขึ้นเรื่อย ๆ

. เหตุการณ์รุนแรงนี้ ได้เริ่มที่เขตท็อตแน่ม ทางตอนเหนือของกรุงลอนดอน เมื่อวันเสาร์ หลังการประท้วงโดยสันติ เพื่อแสดงความไม่พอใจที่ตำรวจยิงชายคนหนึ่ง และเรื่องได้บานปลายกลายเป็นความรุนแรง ทำให้พื้นที่หลายแห่งในย่านชั้นสูงถูกเผาและร้านค้าถูกปล้นสะดมภ์

มีบางคนเชื่อว่า เหตุที่ทำให้สถานการณ์ลุกลาม ได้มาจากปัญหาการว่างงาน จากการที่นโยบายของรัฐบาลบไม่ได้รัดเข็มขัดของรัฐบาล สร้างความไม่พอใจให้คนทั่วประเทศ เนื่องจากจะนำไปสู่การตัดงบด้านการบริการสังคมและสวัสดิการต่าง ๆ ขณะที่ตำรวจ 1,700 นาย ที่ประจำการอยู่ทั่วกรุงลอนดอน ได้พยายามเข้าระงับเหตุแต่ไม่สำเร็จ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ได้ร้องขอให้ตำรวจใช้สายดับเพลิงฉีดใส่ผู้ก่อเหตุ หรือไม่ก็ขอกำลังจากทหารมาช่วยระงับเหตุ

ผู้เห็นเหตุการณ์ในหลายพื้นที่ ระบุว่า ตำรวจรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างล่าช้า ในขณะที่ความรุนแรงได้ขยายตัวไปยังหลายชุมชน ทั้งทางตะวันออกและทางใต้ของกรุงลอนดอน ซึ่งไม่เคยสัมผัสกับความรุนแรงมาก่อน ซึ่งพบว่า พวกวัยรุ่นพากันจุดไฟเผาและลักขโมยของในย่านหรูกันอย่างคึกคะนอง โดยพวกวัยรุ่นเหล่านี้ ที่เป็นกลุ่มย่อย ๆ ส่วนใหญ่คลุมศีรษะและใบหน้าได้ใช้การส่งข้อความทางโทรศัพท์มือถือ หรือ SMS , การส่งข้อความทางแบล็คเบอร์รี่ และใช้หน้าสังคมออนไลน์ เช่น ทวิตเตอร์ ในการประสานการโจมตีหรือลวงตำรวจให้หลงกล

ที่มา.เนชั่น
*******************************

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทหารตำรวจประชาธิปไตย 54 ว่อน คำสั่ง ศอฉ. สุเทพไม่ปฏิเสธ แต่ยันผิดวันที่ผิดบริบท !!?

ตามที่หนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 6 ส.ค.54 รายงานอ้างเว็บไซต์หลายแห่งเผยแพร่แถลงการณ์ของกลุ่มที่ใช้ชื่อ "ทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554" ฉบับที่ 3 ซึ่งเปิดเผยเอกสารที่อ้างว่าออกมาจาก ศอฉ. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 เป็นเอกสารลับมาก ถึงผู้รับปฏิบัติ ใจความว่า

ข้อ 2. ตามที่นรม.สั่งการให้ศอฉ.ทำการผลักดันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอคืนพื้นที่และพื้นผิวการจราจร บริเวณสะพานผ่านฟ้าและพื้นที่ใกล้เคียง ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย.53 เวลา 13.30 น. เป็นต้นไป

ข้อ 2.7 นปพ.ทบ.จัดชุดปฏิบัติการพิเศษ ปฏิบัติภารกิจร่วมกับหน่วยบินเฉพาะกิจศอฉ.ในการตรวจการณ์และการใช้แก๊สน้ำตาทางอากาศเพื่อสนับสนุนภารกิจของทภ.1/กกล.รส.ทภ.1 บริเวณพื้นที่ชุมนุมตามขั้นตอนของกฎการใช้กำลัง

นอกจากนี้ กลุ่มทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554 ยังเผยแพร่เอกสารลับของศอฉ.อีกฉบับ อ้างว่าเป็นคำสั่งด่วนภายในลงวันที่ 13 เม.ย.53 จากศอฉ.ถึงผู้รับปฏิบัติ ใจความว่า

ข้อ 2. เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจของศอฉ.เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ จึงให้หน่วยพิจารณาใช้ปืนลูกซอง ซึ่งเป็นอาวุธที่ไม่ร้ายแรงและสามารถควบคุมการยิงได้ ในการป้องกันตนเองของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยกำหนดแนวทางในการใช้ ดังนี้

2.1 ใช้อาวุธทำการยิงเมื่อปรากฏภัยคุกคาม หรือกลุ่มติดอาวุธที่มีท่าทีคุกคามต่อชีวิตเจ้าหน้าที่หรือประชาชนผู้บริสุทธิ์

2.2 ให้ใช้อาวุธต่อเป้าหมาย ตามข้อ 2.1 ในระยะ 30-50 เมตร ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมวิถีกระสุนและควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ให้สมควรแก่เหตุและห้ามใช้อาวุธต่อเป้าหมายที่เป็นผู้หญิงและเด็ก

2.3 การใช้อาวุธ ให้ดำเนินการโดยไม่มุ่งประสงค์ต่อชีวิตของเป้าหมาย ดังนั้นจึงให้เล็งส่วนล่างของร่างกาย(ตั้งแต่เข่าลงมา) เพื่อระงับ ยับยั้ง การกระทำของกลุ่มติดอาวุธซึ่งมีท่าทีคุมความต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์

กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 54 นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ผอ.ศูนย์อำนวยแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงชี้แจงกรณีการเสนอข่าวเอกสารลับ ศอฉ. มีคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธปืนยิงประชาชนชุมนุมวันที่ 10 เม.ย.ว่า ไม่รู้เจตนาผู้เสนอข่าว แต่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดต่อผู้สั่งการและเจ้าหน้าที่ จึงขอชี้แจงให้เข้าใจถูกต้องดังนี้

1.สำเนาเอกสารคำสั่งที่หนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งนำมาแสดงนั้น ได้ตัดวันที่สั่งการออกไป ซึ่งความจริงแล้วคำสั่งปฏิบัติการที่นำมาแสดงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เป็นคำสั่งลงวันที่ 13 เม.ย.2553 ไม่ใช่วันที่ 10 เม.ย.2553 สั่งการหลังเกิดกลุ่มคนชุดดำแฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม นำอาวุธสงครามมายิงเจ้าหน้าที่ ประชาชน มีผู้เสียชีวิต 26 คน บาดเจ็บ 800 คน ศอฉ.จึงจำเป็นต้องยับยั้งไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก

นายสุเทพ กล่าวต่อว่า แต่ปรากฎว่า หลังวันที่ 10 เม.ย.2553 เหตุรุนแรงยังไม่ยุติ คนชุดดำยังถืออาวุธร้ายแรงก่อเหตุร้ายต่อเนื่องแทบทุกวัน ศอฉ.จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ใช้ปืนลูกซองซึ่งเป็นอาวุธไม่ร้ายแรง สามารถควบคุมการยิงได้ เพื่อป้องกันตัวเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้รอดพ้นภัยคุกคามของคนชุดดำ ซึ่งคำสั่งนี้ระบุเรื่องการควบคุมวิถีกระสุน ไม่มุ่งต่อชีวิตเป้าหมาย จึงมีคำสั่งชัดเจนว่า การใช้อาวุธให้เล็งยิงส่วนล่างของร่างกายตั้งแต่เข่าลงมา ยืนยันว่า สำเนาคำสั่งที่พาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง ในหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว เป็นคำสั่งการวันที่ 13 เม.ย.ไม่ใช่วันที่ 10 เม.ย.ตามที่พยายามจะให้ผู้อ่านเข้าใจผิด

2.ส่วนที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวนำสำเนาคำสั่งวันที่ 10 เม.ย. และ 13 เม.ย.มาลงตีพิมพ์ในหน้า 14 ของหนังสือพิมพ์ อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดว่า เป็นคำสั่งการในเหตุการณ์เดียวกันนั้น ขอชี้แจงว่า วันที่ 9 เม.ย.กลุ่มผู้ชุมนุมนับหมื่นคนได้บุกโจมตีสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว ทำร้ายเจ้าหน้าที่บาดเจ็บนับ 100 คน และยึดอาวุธปืนไปจำนวนมาก ก่อให้เกิดความกังวลว่า อาจนำอาวุธนั้นมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ ศอฉ.จึงมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธได้ เพื่อป้องกันตนเองและประชาชน โดยให้ใช้กรณีมีผู้กระทำผิดซึ่งหน้า และป้องกันอันตรายใกล้ตัวที่อาจเป็นอันตรายต่อเจ้าหน้าที่และประชาชน ที่สำคัญหากจำเป็นต้องใช้อาวุธให้ทำตามขั้นตอน คือ 1.แจ้งเตือนด้วยวาจา 2.ยิงเตือนขึ้นฟ้า หรือในทิศทางที่ปลอดภัย 3.ใช้อาวุธตามหลักเกณฑ์โดยชอบด้วยกฎหมายและสมควรแก่เหตุ

"ขอยืนยันว่า ศอฉ.ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ไม่มีเจตนาร้ายต่อประชาชน ขณะนี้เหตุการณ์ร้ายได้ผ่านมาปีเศษแล้ว และมีรัฐบาลชุดใหม่ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบรรดาผู้ก่อเหตุ และผู้ต้องหาก่อการร้ายบางคนได้เป็น ส.ส.พรรครัฐบาล บางคนอาจได้เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลชุดนี้ ในฐานะที่รัฐบาลเป็นผู้กุมอำนาจรัฐจะสั่งการให้สอบสวนหรือดำเนินคดีกับผมที่เป็นผู้รับผิดชอบสั่งการในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมพร้อมพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนตัวเชื่อว่า มีกระบวนการไล่เช็คบิลผม แต่พร้อมจะพิสูจน์ข้อเท็จจริง ไม่รู้สึกหนักใจ เพราะทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่คิดหนีไปต่างประเทศ ส่วนจะฟ้องกลับหนังสือพิมพ์หรือไม่ ขอดูก่อน ถ้าจำเป็นเพื่อให้เกิดการพิสูจน์ข้อเท็จจริง ก็อาจต้องดำเนินการ" นายสุเทพ กล่าว

ทั้งนี้ กลุ่มทหารตำรวจประชาธิปไตย 2554 ยังระบุด้วยว่า เร็วๆ นี้จะเผยแพร่เอกสารลับของศอฉ.ชุดใหม่ตามมาอีก

ที่มา: เรียบเรียงจากหนังสือพิมพ์ข่าวสด และมติชนออนไลน์
////////////////////////////////////////////////

(ว่าที่) รมต.คลัง โต้ กรณ์ อดีต รมต.คลังกรณีกล่าวหาช่วยเหลือยิ่งลักษณ์ คดีซุกหุ้น !!?

 หมายเหตุ – คุณ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เป็นอดีตเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งพึ่งลาออกจากตำแหน่ง เพื่อมีชื่อได้รับการเสนอชื่อพิจารณาเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ส่วนข้อพิพาท ดูรายละเอียด ที่นี่ ประกอบ
ตามที่ คุณกรณ์ อดีต รมว คลัง ได้พาดพิงว่า ผมดำเนินการตรวจสอบกรณีคุณยิ่งลักษณ์ โดยหวังผลตอบแทน เป็นการกล่าวหาว่าการทำงานของ ก.ล.ต. ไม่ถูกต้องตรงไปตรงมานั้น

ผมขอชี้แจงเรื่องนี้ว่า ก.ล.ต. ได้ดำเนินการเรื่องนี้ ตามหลักเกณฑ์ปกติ
เมื่อ แรกที่มีการจัดตั้ง ก.ล.ต. นั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ตระหนักดีว่า ทุกๆ เรื่องที่ ก.ล.ต. จะต้องดำเนินการนั้น จะเกี่ยวข้องกับเงินและผลประโยชน์จำนวนมาก และหลายบริษัทก็จะมีนักการเมืองหนุนหลังอยู่ จึงต้องออกแบบการทำงานให้เข้มงวดกว่าองค์กรอื่นๆ
ดังนั้น การทำงานจึงจำเป็นต้องออกแบบขั้นตอน ให้มีการถ่วงดุลระหว่าง เลขาธิการ (ซึ่งแต่งตั้งโดยภาคการเมือง) กับ พนักงานภายใน ก.ล.ต. ไว้อย่างหนาแน่น แบบอัตโนมัติ
(ว่าที่) รมต.คลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
(ว่าที่) รมต.คลัง ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล

ระบบงานที่ออกแบบไว้นั้น กรณีหาก เลขาธิการ อยากจะบิดเบือนเรื่อง จะมีด่านป้องกันถึง 5 ชั้น ชั้นที่หนึ่ง เจ้าหน้าที่ที่ทำการตรวจสอบรวบรวมข้อเท็จจริงนั้นกฎหมายจะให้อำนาจเจ้า หน้าที่ไว้โดยตรงเต็มที่ โดยเลขาธิการไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ชั้นที่สอง เมื่อรวบรวมข้อเท็จจริงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะนำเข้าพิจารณาใน Enforcement Committee ซึ่งประกอบด้วยผู้อำนวยการฝ่ายงาน line function ทุกฝ่ายงานมาประชุมร่วมกัน โดยมีรองเลขาธิการ ก.ล.ต. เป็นประธาน ซึ่งในขั้นนี้ เลขาธิการยังไม่เข้าไปร่วม
ขั้นที่สาม ต่อเมื่อ Enforcement Committee มีการลงมติตัดสินเรื่องแล้ว จึงจะมีการเสนอเรื่องต่อเลขาธิการ โดยจะต้องเสนอตามสายงาน ผ่านหลายระดับ หากใครเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็ต้องบันทึกความเห็นเอาไว้
ขั้นที่สี่ เมื่อ เลขาธิการ สั่งการไปแล้ว ฝ่ายตรวจสอบกิจการภายในก็มีการสุ่มตรวจเรื่องตามหลังอีกครั้ง
ขั้น ที่ห้า หากเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ เช่นกรณีของคุณยิ่งลักษณ์ ก็จะมีการนำเสนอให้ บอร์ด ก.ล.ต. รับทราบด้วย เพื่อรับฟังข้อเสนอแนะและความเห็นจากบอร์ด
สำหรับเรื่องที่เกี่ยวข้อง กับกลุ่มบริษัท ชินคอร์ป นั้น ยังมีการตรวจสอบซ้ำพิเศษอีกหนึ่งชั้นด้วย โดยคณะกรรมการ คตส. ซึ่งเป็นคณะกรรมการตั้งขึ้นภายหลังการปฏิวัติรัฐประหาร เท่ากับมีการถ่วงดุลตรวจสอบกันถึงหกชั้น
อดีต รมต.คลัง กรณ์ จาติกวณิช ที่ก่อนพ้นจากตำแหน่งเคยให้ตรวจสอบคดีซุกหุ้นอีกครั้ง
อดีต รมต.คลัง กรณ์ จาติกวณิช ที่ก่อนพ้นจากตำแหน่งเคยให้ตรวจสอบคดีซุกหุ้นอีกครั้ง
การคิดว่า เลขาธิการ ก.ล.ต. สามารถจะบิดเบือนเรื่อง เพื่อหาประโยชน์ทางการเมืองนั้น เป็นการไม่ให้เกียรติพนักงาน ก.ล.ต.
หากผมมีการฝืนหรือบังคับใจเจ้าหน้าที่ คงจะมีใครไปฟ้องสื่อมวลชนไปแล้วละครับ
แต่ ที่สำคัญ จะเป็นการไม่ให้เกียรติ คุณนวพร เรืองสกุล ซึ่งเป็นบุคคลที่นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีคลังได้เลือกเฟ้นด้วยตนเอง และคัดหามากับมือ ให้เป็นประธาน ก.ล.ต. เรียกว่าเป็นบุคคลที่ท่านคัดแล้วคัดอีก
อีกทั้งนายกรณ์ยังเคยออกมาพูด ผ่านสื่อ รับรองสรรพคุณของคุณนวพร เป็นพิเศษด้วย ซึ่งผมก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งว่าคุณนวพร เป็นผู้ที่เที่ยงธรรม และมีความรู้ความสามารถ
และยังจะเป็นการไม่ให้เกียรติ ดร. ประสาร ไตรรัตนวรกุล ซึ่งเป็นบุคคลที่นายกรณ์ ได้เลือกเฟ้น และแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการแบงค์
ชาติ ด้วยตัวเอง ซึ่ง ดร.ประสารนี้ ท่านก็เป็นหนึ่งในบอร์ด ก.ล.ต. อีกด้วย
และ ยังจะเป็นการไม่ให้เกียรติ คุณอารีพงศ์ ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งก็เป็นผู้ที่ท่านคัดเลือกเอง อีกเช่นกัน และ ท่านก็เป็นหนึ่งในบอร์ด ก.ล.ต. ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอดีตปลัดกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย อดีตคณบดีคณะกฎหมาย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตผู้ว่าการ สตง. ที่นั่งอยู่ใน บอร์ด ก.ล.ต. อีกด้วย
ที่พูดเช่นนี้ เนื่องจากผมได้นำเรื่องเกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์ ซึ่งได้ผ่านการคัดกรอง 4 ขั้นตอนดังกล่าวข้างต้นแล้ว นำเสนอต่อ บอร์ด ก.ล.ต. ในการประชุมเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2554 โดยมีการชี้แจงให้ บอร์ด ทราบอย่างละเอียด
ผลการประชุมปรากฏว่า บอร์ด ก.ล.ต. ได้รับทราบ โดยไม่มีผู้ใดเสนอแนะให้ดำเนินการใดๆ ที่แตกต่างไปจากที่ผมได้ทำไว้แม้แต่ผู้เดียว
ซึ่ง จากข้อชี้แจงข้างต้นนี้ จะเห็นได้ว่า บอร์ด ก.ล.ต. ล้วนเป็นผู้ที่มีความรู้และประสบการณ์สูงทั้งนั้น แล มีบุคคลผู้ได้รับการแต่งตั้งจากนายกรณ์ ถึง 3 ท่าน แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่ให้ความเห็นแตกต่างไปจากที่ผมดำเนินการไปเลยครับ
ผมจึงขอยืนยันว่าการดำเนินการเกี่ยวกับกรณีคุณยิ่งลักษณ์นั้น ได้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาเสมอ
จึงขอชี้แจงให้ทราบโดยทั่วกันครับ

ที่มา: facebook ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
****************************************

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

เกิดการจลาจลในอังกฤษ หลังไม่พอใจตำรวจยิงพลเรือน

อังกฤษต้องส่งตำรวจปราบจลาจลเข้าแก้ไขสถานการณ์การจลาจลของประชาชนราว 300 คน ที่ขยายตัวมากขึ้นในย่านทางเหนือของกรุงลอนดอนเมื่อวาน หลังกลุ่มผู้ก่อจลาจลได้เผารถลาดตระเวนของตำรวจ 2 คัน รถบัส 2 ชั้น 1 คัน และร้านค้าอีก 1 ร้าน โดยมีสาเหตุมาจากความไม่พอใจที่ตำรวจไปยิงชายคนหนึ่ง

เหตุการณ์เผารถเกิดที่ด้านนอกสถานีตำรวจที่ไฮโร๊ด ซึ่งเป็นย่านที่มีผู้คนจอแจของเมืองท็อตแน่ม นอกจากนั้น ร้านค้าอีกหลายร้านก็ถูกทุบกระจก และมีการฉกฉวยเอาทรัพย์สินจากร้านค้าเหล่านี้ นอกจากนั้น กลุ่มผู้ก่อจลาจลก็ยังมีการส่งข้อความทางทวิตเตอร์ ระดมกำลังประชาชนให้ออกมาร่วมในการจลาจลมากขึ้นด้วย

สำหรับรถตำรวจที่ถูกเผานั้น จอดอยู่ห่างจากสถานีตำรวจราว 200 เมตร ประชาชนยึดเอารถไปได้ ระหว่างที่ตำรวจลงไปอำนวยความสะดวกให้กับการจราจร โดยกลุ่มผู้ก่อจลาจลได้ขว้างปาระเบิดขวดเข้าใส่รถตำรวจ หลังเกิดเหตุ มีการส่งกำลังตำรวจมายังพื้นที่ทางเหนือและใต้ของสถานีตำรวจเพื่อขับไล่กลุ่มผู้ก่อจลาจล

การจลาจลเริ่มขึ้นหลังจากการเดินขบวนมาจากย่าน " บรอดวอเตอร์ ฟาร์ม " ของกลุ่มประชาชนราว 100 คน ผู้ไม่พอใจที่ผู้โดยสารรถแท็กซี่วัย 29 ปีคนหนึ่งถูกตำรวจของเมืองนี้ยิงตายเมื่อวันพฤหัสบดี หลังจากที่เขายิงปะทะกับตำรวจ งานนี้ ตำรวจเองก็ได้รับบาดเจ็บด้วย

ที่มา.เนชั่น
************************************

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2554

พบสุสานพระเจ้าตากสินในประเทศจีน

เนติบริกร แนะ ยิ่งลักษณ์ อย่าทวนเข็มนาฬิกา ปฏิวัติ 49 !!?

สัมภาษณ์พิเศษ


อาชีพให้บริการทางเนติ ยังติดตัว "วิษณุ เครืองาม"

ทุกครั้งที่สังคมใคร่รู้เรื่องปัญหากฎหมาย ชื่อ "วิษณุ" เป็นชื่อแรกที่ถูกนึกถึง

ทุกครั้งที่เกิดการจัดตั้งรัฐบาล ชื่อ "วิษณุ" ถูกถามหา ให้ไขปัญหาขั้นตอน-พิธีการระหว่างรัฐบาลกับราชสำนัก

รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ต่างไปจากรัฐบาลที่ผ่านมาอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อ "พ.ต.ท.ทักษิณ" อย่างไร "วิษณุ"ไขคำตอบไว้แล้ว

- ดูลักษณะการบริหารของรัฐบาลใหม่ โดยเฉพาะวาระแห่งชาติ แต่อาจมีคดีค้างเก่า เช่น คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ต้องแยกให้ออกว่า ถ้าเป็นเรื่องของคุณทักษิณก็ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล รัฐบาลก็ไม่ควรกระโดดเข้าไปแก้ไข ถ้าจะแก้ไขก็ต้องเป็นประโยชน์แก่คน อื่น ๆ ด้วย ส่วนจะทำอย่างไร อยู่ที่ปัญหาคืออะไร จึงต้องแก้ให้ถูกจุด ต้องตอบคำถามประชาชนว่าแก้ทำไม 2 ข้อ คือ เรื่องอะไร และแก้ทำไม เพราะการแก้บางเรื่องขึ้นอยู่กับรัฐบาล บางเรื่องขึ้นอยู่กับสภา

- พรรคเพื่อไทยค่อนข้างพูดเยอะว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่มีอำนาจในการจัดการในสิ่งที่ผ่านมา และสิ่งที่ คตส.เป็นโมฆะทำได้หรือไม่

ณ สถานะในวันนี้พูดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะคำพิพากษาหลายฉบับวินิจฉัยยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าทำได้ และมีอำนาจ การโต้แย้งทำได้ แย้งทีไรศาลก็ไม่เห็นด้วย และยังเห็นว่ามีอำนาจใน ทุกคดีเสมอมา เพราะฉะนั้นจะบอกว่าไม่มีอำนาจก็เหมือนกับปากแข็ง

แต่ถ้าทำให้สถานะเปลี่ยนไปมากำหนดให้ คตส.ไม่มีอำนาจ แต่สิ่งใดที่ คตส.ทำไปถือว่าใช้ไม่ได้ โดยหลัก ให้มีผลตั้งแต่วันนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะ คตส.ไม่มีอีกแล้วในวันนี้ แต่จะย้อนกลับไปบอกว่าสิ่งที่ คตส.ทำเสมือนหนึ่งไม่มี คตส.อยู่เลย ผมคิดว่าจะมีปัญหาทางกฎหมาย และเป็นปัญหาในทาง การจัดการ เพราะหลายเรื่อง คตส. บอกไม่ผิด และบางเรื่องบอกว่าผิดพอกลับไปสู่ศูนย์เสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส. ก็คือที่เคยบอกว่าผิดก็ไม่เคยเป็นความผิด ที่บอกว่าไม่ผิดก็ยังไม่แน่ว่าไม่ผิด ทีนี้จะยุ่งกันใหญ่ ซึ่งมีการท้าทายให้ฟ้องใหม่

และเราไม่เคยทำประเภทที่ศาล เคยตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด โดยเฉพาะศาลนั้นคือศาลฎีกา และมาบอกว่าเสมือนหนึ่งไม่เคยมี คตส.อยู่เลยคงยาก และตรงนี้จะทำให้เกิดการโต้เถียงกันมาก จะมีปัญหาคือ 1.คนที่คิดอย่างนี้จะบริหารประเทศโดยไม่ปกติสุข 2.จะเกิดความแตกแยกครั้งใหญ่ในบ้านเมือง

การจะหมุนเวลากลับไปจะกระทบ อีกหลายเรื่อง เพราะจะมีปัญหาว่า การจัดตั้งรัฐบาลในเวลาต่อมาจะเป็นอย่างไร ส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ชาวบ้านอีกหลายเรื่อง หากเลือกเอาเฉพาะเรื่องที่ได้ ไม่เอาเรื่องที่เสียก็เจาะเอาบางเรื่อง เลือกในส่วนที่กระทบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือกระทบกับรัฐบาล แต่ไม่ใช่ระบุว่าคดีนั้นคดีนี้

- ถือว่าเป็นเดิมพันของคุณทักษิณและพวก คือหากกลับไปแก้ปัญหากฎหมายบางส่วนอาจทำให้เงิน 4.6 หมื่นล้านบาทได้คืนมา

ถ้าเป็นเดิมพันสำหรับคนคนเดียว ประเทศก็ชุลมุนในเรื่องนี้เรื่องเดียว จะทำอย่างไรให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนทั้งประเทศ ความจริงเราก็เคยทำในอดีตที่ประเทศชุลมุนอยู่กับเรื่องใดเรื่องเดียว แต่ครั้งนั้นคนทั้งประเทศเห็นด้วยสมัยจอมพลถนอม (กิตติขจร) ยึดอำนาจในปี 2514 คุณอุทัย พิมพ์ใจชน ฟ้องจอมพลถนอม คณะปฏิวัติเลยสั่งจำคุกคุณอุทัยและพวกอีก 2 คน พอติดคุกไปแล้วจะปล่อยตัวทีหลังก็ไม่ใช่แค่ไขกุญแจแล้วเปิดประตูให้เดินออกมา เพราะถูกจำคุกโดยคำสั่งคณะปฏิวัติ จึงต้องเกิดพระราชบัญญัติ เพื่อที่จะทำให้คุณอุทัยและพวกเดินออกมาจากคุกได้โดยที่ไม่มีความผิด นั่นทำให้ทั้งสภาทั้งหมดมาชุลมุนกับการออกกฎหมาย

แต่นั่นก็เป็นความต้องการ และเข้าใจว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรม ทำอย่างไรให้กรณีของคุณทักษิณเกิดความรู้สึกอย่างนั้นขึ้นมาแก่คนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่ ส.ส. เท่านั้น ในครั้งนั้นก็มีคนถามว่า เราจะมาออกกฎหมายแค่คน 2-3 คนนั้นเท่านั้นหรือ ซึ่งต้องถามว่าเรื่องนั้นเป็นธรรมหรือไม่ หากคิดว่าไม่เป็นธรรมก็คงไม่มีทางอื่น นอกจากปฏิวัติอีกทีแล้วค่อยปล่อยคุณอุทัย ในเหตุการณ์ปกติคิดว่ามีหนทางเดียวก็ต้องใช้วิธีนี้

คำถามนั้นต้องถามตอนนี้ว่า การที่จะออก พ.ร.บ. ทำให้คุณทักษิณได้ประโยชน์อย่างเดิม เป็นความรู้สึกที่ถูกต้องและเป็นธรรมหรือไม่ที่คุณทักษิณโดนอย่างนั้น ถ้าคิดว่าไม่ถูกต้องก็ออกกฎหมายมา แต่กรณีคุณทักษิณจะซับซ้อนกว่าของคุณอุทัย เพราะสุดท้ายก็จบในเรื่องเดียว แต่ของคุณทักษิณจะมีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีก

ครั้งนั้นข้อกฎหมายระบุ "ใครโดน ให้ปล่อยหมด" ซึ่งไม่ได้ระบุชื่อคุณอุทัย ทำให้เหมือนมีคนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ ครั้งนี้ก็เช่นกัน "ใครโดน ปล่อยหมด" ทำให้เหมือนอีกหมื่นคนได้ประโยชน์ แต่จริง ๆ มีอยู่คนเดียว ดังนั้นต้องพูดกับประชาชนให้เข้าใจ

- เสียงโหวตทั่วประเทศจะนำมารองรับว่าเป็นคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่

การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง คนลงคะแนนด้วยเหตุต่าง ๆ กัน เช่น ค่าจ้าง 300 บาท เพราะสงสารคุณทักษิณ เพราะเงินเดือน 15,000 บาท ต้องการให้คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ฯลฯ ดังนั้น บางทีก็ต้องนำเรื่องทางนิตินัยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เราจะมาบอกว่าคนกี่ล้านคนเลือกเพราะต้องการอย่างนี้ ในทางนิตินัยก็พูดยาก เพราะแม้แต่บางคนเลือกพรรคเพื่อไทย ก็เพราะว่าหมั่นไส้ประชาธิปัตย์เท่านั้น ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น

- ประเด็นปัญหากฎหมายที่ทำให้ รัฐบาลวุ่นวายมีเรื่องอะไรบ้าง

กฎหมายมี 2 ชนิด คือข้อกฎหมายจร และกฎหมายที่ตั้งหลักเข้ามาทำข้อกฎหมายที่ตั้งหลักอาจจะมีหลายเรื่อง อย่างเรื่องสถานภาพ เรื่องยึดทรัพย์

กฎหมายจร คือเรื่องที่ไม่ได้เป็นหลักที่จะเข้ามาทำ แต่เข้ามาถึงตัวแล้วต้องทำ เช่น เรื่องงบประมาณ กฎหมายกระทรวงต่าง ๆ ที่อั้นอยู่ และอีกหลายอย่างที่พรรคเพื่อไทยประกาศไว้ ซึ่งบางเรื่องต้องมีกฎหมายรองรับไว้

ผมพูดกับทุกรัฐบาลเสมอว่า ผมเชื่อว่าท่านเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็มีเจตนาฝันอยากจะทำอะไรบ้าง แต่ในที่สุดท่านจะได้ทำตามที่คิดหรือฝันอยู่ถึง 50% ก็บุญแล้ว เพราะที่เหลือ ท่านจะเสียเวลาไปกับเรื่องเงินทองงบประมาณ สมอง และคนไปกับเรื่องที่ท่านไม่คิดว่าจะทำ นั่นคือปัญหาที่จรเข้ามา

ท่านอานันท์ (ปันยารชุน) ต้องมาเสียเวลาไปกับปัญหาศึกตุลาการ ครึ่งหนึ่งของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหานี้

ท่านสุรยุทธ์ (จุลานนท์) ต้องมาเสียงบประมาณ ใช้เวลาไปจำนวนมากกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมใน 48 จังหวัด จนเกือบจะไม่ได้ทำอย่างอื่น

รัฐบาลคุณสมัคร (สุนทรเวช) คุณสมชาย (วงศ์สวัสดิ์) ลงท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร ได้ใช้เงิน เวลา หัวคิด ไปกับการแก้ปัญหาเรื่องม็อบ แม้แต่คุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) ก็ใช้เวลาไปกับการแก้ปัญหานี้ ก็ผลักดันนโยบายออกมาได้บางส่วน

แม้แต่คุณทักษิณเอง เมื่อตอนปลายรัฐบาลมีงบประมาณเหลือมาก มากพอที่จะหยุด ไม่เก็บภาษีประชาชน 1 ปี ต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ชั่วข้ามคืนอย่างสึนามิในภาคใต้ ต้องเอางบประมาณ สมอง เวลาทั้งหมดมาใช้กับการแก้ปัญหานั้น

- ปัญหากฎหมายที่รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

ปัญหากฎหมายที่ผมห่วงมากมาตั้งแต่ครั้งคุณอภิสิทธิ์ แต่คุณอภิสิทธิ์ อาจจะน่ารัก ทำอะไรไปคนก็ไม่ว่า แต่คุณยิ่งลักษณ์อาจไม่น่ารักเท่านั้น รัฐธรรมนูญฉบับนี้เขียนเป็นครั้งแรกในประเทศไทยว่า การปฏิบัติหน้าที่ของของคุณยิ่งลักษณ์, ส.ส., รัฐสภา, คณะรัฐมนตรี, องค์กรตามรัฐธรรมนูญ, ศาล และหน่วยงานองค์กรของรัฐ 20 กระทรวง 148 กรม จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม

มีหลายมาตราที่ระบุว่า "ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ตามหลักธรรมาภิบาล" นี่คือเรื่องในกฎหมาย เป็นสิ่งที่ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้ ถือว่าเป็นความผิดฐานหนึ่งหากไม่ทำ

ดังนั้นรัฐบาลต้องท่องไว้ว่า ต้องยึดหลักนิติธรรม ยึดหลักธรรมาภิบาล จะท่องแบบสวดมนต์ไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วจะมีคนพร้อมที่จะเข้ามาฟ้องว่าไม่ทำตามหลักการบริหารบ้านเมืองที่ดี เขาจะกล่าวหาเอา กล่าวหาในสภาไม่เป็นไร คุณเสียงข้างมากก็ชนะ แต่ถ้ากล่าวหาในสื่อมวลชนคนจะคล้อยตาม กล่าวหาในศาลคุณก็ต้องไปแก้คดี เขาไม่กล่าวหาวันนี้ เขารอให้คุณพ้นไปและฟ้องวันหน้า คุณก็จะซวยวันหน้า ต้องระวังเรื่องนี้ให้มาก มากกว่าคุณทักษิณ เพราะคุณทักษิณอาจจะพลาดบ้างพลั้งบ้าง แต่ไม่มี 2 ข้อหานี้ไว้เล่นงานแก อย่างมากก็มี ม.157

ต่อไปหากไม่ทำตามหลักนิติธรรม หลักธรรมาภิบาล ก็จะนำไปสู่ความผิดอื่น ๆ ตามมาอีกมากโข ความจริงต้องระวังมาตั้งแต่รัฐบาลคุณสมัครคุณสมชาย แต่อย่างที่บอกเวลาแกน้อยมัวแต่ยุ่งเรื่องอื่น ทุกคนชุลมุนเรื่องอื่น และคุณอภิสิทธิ์แกน่ารักคนก็เลยอภัย จนลืมไป วันนี้ประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้าน เขาก็เก่งพอที่จะจับผิดในเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ต้องระวังมาก โอกาสที่จะพลาดพลั้งสะดุดมีมากเหลือเกินผมบอกเลยว่าจะมีทุกวัน

วันนี้คุณยิ่งลักษณ์ยังงามสง่าอยู่ ยิ่งมองยิ่งน่ารัก แต่พอเป็นรัฐบาลเข้าก็จะมีโอกาสพลาดตั้งแต่วันรุ่งขึ้นเป็นต้นไป ด้วยข้อหาเหล่านี้บางทีก็เห็นใจ คุณยิ่งลักษณ์อาจจะถามว่า "แล้วมันคืออะไรล่ะคะ" ก็หาคนอธิบายให้ท่านฟังยาก กลายเป็นว่า "ก็ลองทำดูก่อนสิ แล้วจะบอกให้" นี่ล่ะที่เป็นอันตราย

- ขั้นตอน พิธีการ ของรัฐบาลนายกฯ ผู้หญิง มีอะไรที่แตกต่างจากเก่า

ไม่ใช่เรื่องใหญ่ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับผู้หญิงหรือชาย คือถ้าเป็นคุณยิ่งลักษณ์จริง ท่านอาจจะไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ส.ส.ก็ไม่เคยเป็น รัฐมนตรีก็ไม่เคยเป็น คุณทักษิณกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านก็ผ่านการเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว ดังนั้น สิ่งที่ต้องมีการกระซิบกระซาบแนะนำบอกกล่าวอะไรกันคงมีมากหน่อย ไม่ใช่ความเป็นหญิง แต่เป็นเรื่องของประสบการณ์ทางการเมือง เนื้อหาท่านไปของท่านได้ แต่กระบวนการ วิธีการขั้นตอน อย่างว่าคนเป็นนายกฯ แม้แต่รัฐมนตรีเองก็คงต้องมีการฝึกกันว่า เรื่องใดควรพูด ไม่ควรพูด

หลายเรื่องที่เป็นการทำงานใหญ่ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะรัฐมนตรี จะมีความสำคัญ เพราะคนเหล่านี้จะแนะนำโดยไม่ต้องให้ชาวบ้านรู้ ฉะนั้นสองตำแหน่งนี้ต้องได้คนที่มีประสบการณ์ มีความกล้า รวมทั้งตัวนายกรัฐมนตรีก็ต้องเปิดโอกาสให้ข้อมูลกับคนเหล่านี้ ตรงนี้จะช่วยแก้ปัญหาได้มาก

- ถ้าเลขาฯ ครม.เป็นคนที่สำคัญมาก จำเป็นจะต้องเปลี่ยนเลขาฯ ครม.คนเก่าหรือไม่

นายกรัฐมนตรีที่ดีไม่ควรจะเข้ามา ตั้งต้นลงมือล้างบาง ต่อให้บางนั้นไม่ใช่บางของตัว แต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้บางนั้นกลายเป็นบางของตัว นี่คือยุทธศาสตร์ เพราะหากคุณคิดจะล้างและล้างจนหมด มันจะมีผลมาก เพราะคุณไล่เขาออกไม่ได้ นอกจากสลับที่ และเขาจะไปอยู่ที่อื่นที่อาจเป็นปัญหา

ปัญหาของคุณทักษิณอย่างหนึ่ง ไปดูเถอะว่า คนที่เข้ามามีบทบาทใน การตรวจสอบคุณทักษิณวันนี้ ถ้าไม่ คุณทักษิณเคยมีปัญหากับเขา ก็ต้องคนที่เขาเคยมีปัญหากับคุณทักษิณ หรือแม้แต่คนที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ฉะนั้น "ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง" แต่บางคนใช้วิธีแจกเงินก็ได้ช่วยระยะหนึ่ง

ผมเห็นข้อดีข้อหนึ่งในตัวคุณยิ่งลักษณ์คือ ความนิ่มนวลของผู้หญิง เวลาให้สัมภาษณ์ พูดจาปราศรัย ก็เป็นไปด้วยความนิ่มนวล ตรงนี้ทำให้เอาชนะใจคนได้ นี่คือสิ่งที่คุณทักษิณไม่มี

- แต่ภารกิจแรก ๆ ก็ทำให้คนคิดว่าต้องล้างบางขั้วเก่า

การสลับสับเปลี่ยนได้ คำว่า ล้างบางคือล้างหมดกรุ หากแค่ไม่กี่คนและมีเหตุที่ควรจะทำก็ไม่มีปัญหา ซึ่งใครจะไปก็ต้องให้มีเหตุหน่อย มาก็ต้องมีเหตุหน่อย อย่าให้มาเพราะช่วยตอนหาเสียง

- เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กระบวน การจะเริ่มโดยรัฐบาลใหม่ หรือนำเหตุผลจากรัฐบาลเก่ามาปรับปรุง

ต้องถามว่า เป็นความจำเป็นเร่งด่วนหรือไม่ แต่ผมคิดว่าเมื่อเป็นรัฐบาลคงไม่เป็นเรื่องเร่งด่วน แต่ถ้าเป็นเรื่องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเคลื่อนไหวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะแล้วแต่เสียงข้างมากของสภาที่จะว่ากัน

ถ้ารัฐบาลกระโดดลงไปทำคงไม่เป็นเรื่องฉลาดนัก เช่น นิรโทษกรรม ยังมองไม่เห็นว่าจะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ การทำสิ่งเหล่านั้นจะสวนทางกับความรู้สึกของประชาชน เกิดปัญหากับประเทศ จนกระทั่งการปกครองไม่ปกติสุข

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ยุทธศาสตร์เก่าแก่!!

เพียงแค่, “ประชาธิปัตย์” ยืนเคียงข้างประชาชน เขาก็ได้เป็น “ขวัญใจประชาชน” อย่างแน่..แน่??
แต่ทว่าเดี๋ยวนี้, เขาไม่แคร์ ยืนอยู่มุมเดียวกับ “ปลายกระบอกปืนทหาร” ผิดกับวิญญาณนักการเมืองบรรพบุรุษ ที่กดศรีษะทหารจนอยู่
สัญญาลักษณ์ ระหว่าง “ประชาธิปัตย์” กับ “กองทัพ” เหมือนคู่ปรับ ที่เป็นเหมือนศัตรู
แต่วันนี้, นักการเมืองยุคทศวรรษใหม่ ผลัดใบไม้ ชื่นชม นิยม ยินดี เฮฮาปาร์ตี้ อยู่ข้างทหาร ลืมรากหญ้าที่เป็น รั้วทองแดงกำแพงเหล็ก หนุน “ประชาธิปัตย์” ล้วนเกิดจากพลังชาวบ้าน!!
แต่วันนี้ที่“ประชาธิปัตย์”ถดถอย...เพราะจุดยืนท่านเอนจอย?...คอยรับใช้ “บิ๊กทหาร??
------------------------------
กวนน้ำให้ขุ่น??
“อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีขี้แพ้...ยังกล้าแบกหน้า มาเป็น “หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” อีกหรือคุณ??
พาพรรคแม่ธรณีบีบมวยผม แพ้แบบถล่มทลายให้กับ ดรุณีแรกรุ่น สมัยเดียวที่ลงมาเล่นการเมือง แล้ว “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีหญิง
หัวหน้าแก๊งค์ไอติม “อภิสิทธิ์” ทำท่าว่าจะเป็นสุภาพบุรุษ ที่มีสปิริต จริง
ยอมทิ้งเก้าอี้ “หัวหน้าพรรค” เพื่อให้นักการเมืองรุ่นใหม่-น้ำดี ขึ้นมาสืบสานปณิธาน...แต่สุดท้าย “อภิสิทธิ์” ก็ถ่มน้ำลายรดหน้า ขันอาสากลับมาเป็นหัวหน้าพรรคอีก ในวันที่ ๖ สิงหาฯ!!
ชาวบ้านเขาไม่ได้กินแกลบ...อย่าทำตัวเป็นอีแอบ?....ชะแว๊ปกลับมาหลอกหู หลอกตา??
------------------------------
สงครามไม่เกิด!!!
พี่น้องชายแดนชาวไทย และ ชาวเขมร ถือว่าเป็นสิ่งประเสริฐ??
การได้ “รัฐบาลปู๑” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้ามาดูแลชาติบ้านเมือง นอกจากทำให้คนไทยทั้งชาติมีความสุขกันแล้ว ..พี่น้องชายแดนชาวขะแมร์ ถิ่นแดนปลากรอบ ต่างแฮปปี้
แต่ชิชะ, นักการเมืองพรรคบาง พรรคค่าย ต่างตีปี๊บ ว่า “รัฐบาลปู” จะขายแผ่นดินเสียนี่
ทั้งที่เขาเข้า กับ ประเทศเพื่อนบ้านได้เป็นอย่างดี...เลิกคิดอคติ ด้วยใจอกุศลเสียเหอะ...เพราะบ้านเมืองที่อยู่สงบสุข เป็นสิ่งที่ชาวบ้านทุกคนต้องการ!!!
เลิกโจมตี “ว่าที่นายกฯยิ่งลักษณ์”...เพราะยิ่งโจมตีหนัก?..ท่านจะได้สัญญาลักษณ์ว่าเป็น “ตัวมาร”??
------------------------------
“น้ำ” กับ “น้ำมัน” ที่เข้ากันไม่ได้!!
เพราะ “ตู่” จตุพร พรหมพันธ์ุ อาศัยความเป็นเสื้อแดง กระทบกระแทก จนเกิดเรื่องกินใจ??
ทำให้ “นายพลแม็คอาเธ่อร์” พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี พี่ใหญ่แห่ง จปร. รุ่น ๗ หงุดหงิด
เรื่องเก่าที่ผ่านมา หวังว่า “บิ๊กพัลลภ” กับ “เสื้อแดง” คงไม่เก็บมาคิด
ควรจะจับมือ และ เดินหน้า แก้ปัญหาที่หมักหมม สะสม อมโรค ที่รัฐบาลเก่า ทิ้งเอาไว้อื้อซ่า เถอะนะ!!!!
ถึงจะกระแทกกันหนัก....ก็ยังไม่แตกหัก?...โถ,ยังขอกันกินมาก กว่านี้ไม่ใช่หรือจ๊ะ??
-------------------------------
รู้ไส้ทุกขด??
เมื่อ “ท่านยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก้าวขึ้นมาเป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหมาดไทย” หรือ “มท. ๑” ต่างรู้ไส้ “พรรคประชาธิปัตย์” หมด??
เพราะแต่ก่อนรอนชะไร , “คุณยงยุทธ วิชัยดิษฐ์” ก็เคยเป็นทัพหน้า ทำงานให้กับ “ท่านชวน หลีกภัย” มาเก่าแก่
ปั้นรากฐาน สนามเลือกตั้งที่ภาคใต้ จนพรรคอื่นถูกประชาชนทิ้ง..มองอย่าไม่เหลียวแล
เมื่อได้ “คุณยงยุทธ” มาเป็น “เจ้าพ่อคลองหลอด” คงจะตีกิน พื้นที่เลือกตั้งถิ่นสะตอ กลับมาเป็น ของ “พรรคเพื่อไทย” ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ มั่งหละนาย!!!
ที่ ปชป.ได้ สส.ภาคใต้กันสุด..สุด..ก็เพราะมี “คุณพี่ยงยุทธ”...เป็นผู้เปิดจุดยุทธศาสตร์ นั่นปะไร??

คอลัมน์:ตอดนิดตอดหน่อย,บางกอกทูเดย์
------------------------------------

เสื้อแดงกับเพื่อไทย

กลายเป็นแม่น้ำสองสาย..ที่ไหลไปในทิศทางเดียวกัน แต่แยกกันเป็นสองเส้นทาง..มุ่งสู่ความเป็นประชาธิปไตยของไทย

แม่น้ำสายแรก คือ พรรคเพื่อไทย ในวันที่ได้ชัยชนะจากการเลือกตั้ง..เกินกว่าครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ์ออกเสียง..

แม่น้ำสายที่สองคือ "คนเสื้อแดง"..มหาประชาชนที่หล่อหลอมรวมกันทำการต่อสู้กับอำนาจแปลกปลอมที่มาชุบย้อมประชาธิปไตยของประเทศ..

การต่อสู้ที่ประชาชนมือเปล่าๆ ก้าวเท้าดาหน้าเข้าหาอาวุธสงครามใต้คำสั่งของพรรคประชาธิปัตย์..ศพหนึ่งล้มลงไปต่อหน้า..คนเป็นก็อาสาเข้าเป็นศพต่อไป

มือเปล่าเอาชนะอาวุธสงครามได้..ก็เพราะจิตใจประชาธิปไตย..ที่หลั่งไหลไร้วันจบสิ้น..แถมยังมีแต่เพิ่มเติมเสริมจำนวน

กว่าประชาธิปไตยจะได้มา..ไม่ใช่ของง่าย..ซ้ำซากจำเจกันมาแล้ว หลายครั้งหลายหน..แต่มันก็ยังหมุนวนไปมาไม่รู้จาก

พรรคเพื่อไทย..อำนาจที่ท่านได้ไปเป็นอำนาจของประชาชน..ท่านจึงต้องใช้มันเพื่อประโยชน์ของมหาชน..พรรคเพื่อไทยถึงจะเติบใหญ่ต่อไปได้

พรรคเพื่อไทย..ชัยชนะจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม..หากเป็นประเทศอื่นมันก็เป็นชัยชนะยาวนานจนกว่าจะครบวาระ แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว..มันยังเป็นแค่ประกายฟ้าแลบ

ยังมีเรื่องราวอีกมากมายรออยู่ข้างหน้า..ถ้านับเป็นวันของปี..มันก็แค่เศษหนึ่งส่วนสามร้อยหกสิบห้า..อาวุธที่ท่านมี..ก็มีเพียงคะแนนในคูหาเลือกตั้ง..

สำหรับคนเสื้อแดง..ชัยชนะของพรรคเพื่อไทย..ไม่ใช่ชัยชนะของคนเสื้อแดง..ชัยชนะของคนเสื้อแดง..คือการสร้างประชาธิปไตยที่ถาวรขึ้นมาให้ได้ในประเทศนี้

มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่คิดว่ามันง่าย ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่กว่าการเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นรัฐบาล..เพราะมันเป็นงานสร้างชาติปูรากฐานเพื่อนำไปสู่การเมืองแห่งอนาคต

เป็นอนาคตที่ให้การต่อสู้โดยที่ยังไม่รู้ว่าศัตรูคนต่อไปจะเป็นใคร

คนเสื้อแดงจึงจะต้อง..หล่อหลอมรวมกันเข้าให้เป็นน้ำหนึ่งเนื้อเดียวกัน..ตั้งแต่แกนนำแถวแรกไปจนถึงผู้มาที่หลังรั้งท้าย

ปฏิเสธมันทั้งสิ้นที่เป็นเผด็จการ..ถึงแม้ว่ามันจะเป็นลูกในไส้ที่เราให้กำเนิดมันมา

โดย:พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
------------------------------------

พรรคการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชน ต้องรอบคอบรัดกุม สุขุม และมีเหตุผล

วิสา คัญทัพ

กระบวนการกำเนิดพรรคการเมือง หากย้อนมองไปในอดีตตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา มีแต่พรรคการเมืองที่ได้อำนาจมาจากอำนาจพิเศษ ทั้งถูกกำกับและแทรกแซง ภายใต้คำแอบอ้าง “ประชาธิปไตย” ทั้งสิ้น

แม้รัฐบาลหลังเหตุการณ์ลุกขึ้นสู้ของนิสิตนักศึกษา 14 ตุลาคม 2516 ที่ได้รัฐบาลพระราชทานนายสัญญา ธรรมศักดิ์ กระทั่งรัฐบาลจากการเลือกตั้งชุดต่อมาคือประชาธิปัตย์ และรัฐบาลหลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ก็เป็นรัฐบาลภายใต้การกำกับดูแลจากอำนาจพิเศษ จนถึงรัฐบาล พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ยิ่งเข้าสู่ยุคแห่งการวางรากฐานให้กับความมั่นคงของพรรคการเมืองระบบขุนศึกขุนนางอำมาตย์ กระทั่งเมื่อ พลเอกเปรม ต้องลดละเลิกไปเพราะกระแสแห่งพลังประชาชนเรียกร้องต้องการให้นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งสูงยิ่ง อำมาตย์ที่ไม่เห็นด้วยกับกระบวนการเลือกตั้งและดูถูกว่าประชาชนโง่ จำต้องถอยออกไปวางแผนอยู่วงนอก ท่ามกลางการต่อสู้ของประชาชนที่ต้องการประชาธิปไตยแท้จริงสืบเนื่องมาตลอด

ประชาชนเรียนรู้และเติบโตขึ้นทุกวัน ต่อสู้ผลักดันจนได้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งสาระสำคัญกำหนดให้พรรคการเมืองหลุดพ้นจากกรอบการกำกับดูแลของอำมาตย์มากที่สุดตั้งแต่เคยมีรัฐธรรมนูญมา เป็นต้นว่า สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็ดี ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง อันทำให้พรรคการเมืองที่มาจากอำนาจประชาชนแข็งแกร่งขึ้น

ต้องพูดว่าพรรคการเมืองพรรคแรกที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง คือ “พรรคไทยรักไทย” เพราะสายธารการต่อสู้ของประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อเนื่องมาตลอด เรียกร้องการตรวจสอบระบบการเมืองที่เข้มข้นขึ้น จนทำให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เป็นครั้งแรกที่อำนาจจากประชาชนเลือกพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลได้ครบสี่ปี และพรรคไทยรักไทยก็นำนโยบายที่ได้ประกาศไว้มาทำให้ปรากฏเป็นจริงขึ้นได้ ประชาชนได้ประโยชน์ ประชาชนเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมว่า “ประชาธิปไตยกินได้” ตรงนี้เท่ากับไปถ่างช่องว่างอำนาจพิเศษให้ห่างไกลออกไปยิ่งขึ้น ซึ่งอำนาจพิเศษเริ่มดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง ปรับเครือข่าย สร้างกำลัง ปลุกระดมโจมตีตามวิธีการที่ถนัด

จากผลงานชัดเจนในสี่ปีที่พรรคไทยรักไทยบริหารชาติบ้านเมือง ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนอย่างท่วมท้น เลือกกลับมาเป็นรัฐบาลอีกครั้ง ด้วยคะแนนเสียงถล่มทลาย กลายเป็นพรรคการเมืองเสียงข้างมากพรรคเดียวจนทำให้อำนาจพิเศษลุกขึ้นมาต่อต้านโดยวาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” และอื่นๆ อีกมากมาย ฯลฯ ที่สุดก็รัฐประหารด้วยกำลังอาวุธโค่นรัฐบาลที่มาจากอำนาจประชาชนและรัฐธรรมนูญ 2540 ลงไป วางโครงสร้างใหม่ สร้างรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมา จากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบัน ประชาชนต่อสู้กับอำมาตยาธิปไตยมาจะห้าปีเต็มในเดือนกันยายน ปี 2554 นี้ สูญเสียเลือดเนื้อ ชีวิต ทรัพย์สิน และทุกสิ่งทุกอย่างมากมายมหาศาล จนที่สุดประชาชนก็สอนบทเรียนขุนศึกขุนนางอำมาตย์อีกครั้ง ด้วยการลงคะแนนเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยถล่มทลายเกือบสิบหกล้านคน ได้ ส.ส.เกินกว่าครึ่ง ข้อสรุปก็คือ

ต้องทบทวนว่าอำนาจที่พรรคเพื่อไทยได้มานั้น
มองย้อนไปตั้งแต่ยังเป็นพรรคไทยรักไทย
นับว่า ได้มาจาก ประชาชน อย่างแท้จริง

คือมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย
ในขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ส่วนใหญ่ได้มาจากอำนาจพิเศษ
หลังสุดนี่ต้องใช้คำว่า “ปาดเลือดเนื้อเหงื่อนอง” ของผองพี่น้องเสื้อแดง ก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล
เพราะฉะนั้นจะทำอะไรควรไตร่ตรองให้ดี
ไม่ใช่วูบวาบหวั่นไหวไปกับความคิดที่จะปรองดองอย่างถลำตัวถลำใจ

การคัดสรรบุคคลที่จะเข้ามาทำงานในตำแหน่งบริหารต้องรอบคอบ รัดกุม สุขุม และมีเหตุผล ถึงที่สุดแล้วควรเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง ไม่ใช่ใส่ใจแต่ความรู้สึกของอำนาจพิเศษ อย่าลืมว่า พรรคการเมืองพรรคนี้เป็นพรรคการเมืองที่ได้อำนาจจากประชาชนอย่างแท้จริง ประชาชนกำลังจับตามองพรรคอยู่ หากพรรคทำเพื่อประชาชน มวลมหาประชาชนก็จะยืนเคียงข้าง เป็นฐานกำลังสำคัญให้กับพรรค

เราหวังว่า ในสถานการณ์ที่มีรัฐบาลใหม่ พวกท่านทั้งหลายจะร่วมกับประชาชนเดินหน้าต่อไป ต่อยอดดอกใบประชาธิปไตยให้เต็มต้น เคลื่อนไหวให้มีการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2550 เครื่องไม้เครื่องมือและกลไกของระบอบอำมาตย์ อุปสรรคสำคัญในการพัฒนาประชาธิปไตย ภายในเวลาไม่นานนัก ด้วยการเป็นเจ้าภาพเสนอทำประชามติให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม
*****************************************