--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปากคำ วีระ-ราตรี สู้คดีศาลพนมเปญ..


โดย : ประชุม ประทีป



ถอดเสียง ศาลพนมเปญ อัยการกัมพูชา ซักถาม ”วีระ-ราตรี” บางส่วนที่มีนัยสำคัญ แสดงสิทธิความเจ้าของดินแดนประเทศไทย โดยเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ


ห้องพิจารณาคดีศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ คดีอาญา 3025
ศาลเปิดการพิพากษาคดี
ผู้ต้องหาที่ 1.วีระ สมความคิด อายุ 53 คนไทย 2.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ อายุ 50 คนไทย
ถูกกล่าวหา 1.เข้าแดนกัมพูชาโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.เข้าพื้นที่ค่ายทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.แอบซ่อนข้อมูลทำให้อันตรายต่อการป้องกันชาติ จุดกระทำ 519-66 จุด 22271 หมู่บ้านโจกเจ็ย จ.เตียเมียนเจย 29 ธันวาคม 2010 เวลา 13.10 น.


นายซวส สำอาด รองหัวหน้าศาลชั้นต้น กรุงพนมเปญ ในฐานะประธาน
นาย เอือง เซียง และ นานเจ็ย สุวรรณ เป็นตุลาการชั้นต้น
นายซก เฮียน เป็นผู้แทนอัยการ
ทนาย รุ โอน เป็นทนายของราตรี ทนายปิ๊ก เป็นทนายของวีระ


พยาน 4 คน 1.นายพลโท ชัย ซินนาฤทธิ์ นายทหารด้านความมั่นคง 2.นายพล พอน พิสิฐ ผู้บัญชาการกองตรวจคนเข้าเมือง 3.นายพันเซง ทาบี หัวหน้าสำนักงานทหารชายแดน 4.นายซิน สุเพียนี เจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของคณะกรรมการเขตแดนร่วม (JBC)


ศาล ถามราตรี : มีความคิดเห็นต่อศาลไหม
ราตรี : ขอเปลี่ยนล่ามเป็น นางวรรณรี เทพพนม ชาวกัมพูชา เนื่องจากล่ามคนเก่าสื่อสารไม่ชัดเจน ขอส่งหลักฐาน แผนที่ ขอนำส่งพยานบุคคล 2 ท่าน
ศาลถามวีระ : มีความคิดเห็นต่อศาลไหม
วีระ : เพื่อความยุติธรรม ยังไม่ยอมรับตราบใดที่เราไม่สามารถนำพยานเข้า
ศาล : จะพิจารณา และขอให้ฟังการพิจารณา ศาลไม่ต้องประกาศสิทธิอีกครั้ง ผู้เป็นล่ามก็ไม่ต้องเปลี่ยน เพราะได้ตั้งล่ามในกระบวนการ 3 คนไว้แล้ว ขอเบิกอัยการพยานรออยู่ข้างนอก และให้นำนางราตรีออกไปข้างนอก


ศาลถาม ผู้แทนอัยการคิดเห็นอย่างไร ที่ผู้ต้องหาขอเพิ่มพยานหลักฐาน
อัยการ : ศาลได้ดำเนินการเพียงพอ การขอร้องของผู้ต้องหา
ศาล : เรื่องล่าม ผู้พิพากษาบอกแล้วมีล่าม 3 คน ก็ให้ตั้งใจฟังผู้เป็นล่าม เรื่องขอนำพยาน เราได้ไต่สวน เป้าหมายร่วมของศาล ประธานมีสิทธิ์ตัดสิน และจะต้องมีมติรวมประธาน 100 เปอร์เซ็นต์
ศาล: เมื่อคุณเข้ามา คุณผ่านเจ้าหน้าที่ 2 ประเทศหรือไม่
วีระ: ไม่ผ่านเพราะผมอยู่ในแผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินกัมพูชา
ศาล: มีวัตถุประสงค์อะไรที่นำคณะ
วีระ: ผมจะไปดูหลักเขตแดนไทย-กัมพูชา หลักที่ 46 ผมเข้าไปยังอยู่ในแผ่นดินไทย ไม่ใช่แผ่นดินกัมพูชา
ศาล: คุณเชี่ยวชาญ
วีระ: ผมเคยเห็นแผนที่ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และเห็นเอกสารสิทธิ์ของชาวบ้าน
ศาล : ที่ผ่านมาคุณเคยหลบหนีเข้ามาแล้วถูกจับตัวไหม
วีระ: ผมไม่เคยหลบหนีเข้ามา อยู่บนแผ่นดินไทยซึ่งมี น.ส.3 แล้วเจ้าหน้าที่กัมพูชามาจับผม
ศาล: คุณเคยทำข้อตกลง
วีระ: เคย และข้อตกลงนั้นก็ชัดเจนว่า ผมเข้าในดินแดนไทย
ศาล: ข้อตกลงนั้นมีเจ้าหน้าที่ร่วมไหม
วีระ: มีเจ้าหน้าที่ไทยอยู่
ศาล: ทำมากี่ครั้ง
วีระ: ครั้งเดียว
ศาล: เมื่อไร
วีระ: 20 สิงหาคม 2553
ศาล : เมื่อคุณเข้ามาประเทศกัมพูชา คุณทำอะไรบ้างเป็นส่วนตัว
วีระ: ผมไม่ได้เข้ากัมพูชานะ
ศาล: คุณว่าคุณไม่ได้เข้ากัมพูชา แต่ทำไมใน VDO คุณบอกอีกนิดเดียวจะถูกจับ
วีระ: เพราะผมเคยถูกจับในแดนไทย
ศาล: คุณหมายความว่า เจ้าหน้าที่กัมพูชาจับตัวในแดนไทยใช่ไหม
วีระ: ใช่ เพราะตอนนี้แดนไทยถูกกัมพูชามายึด
ศาล: คุณเคยเข้าป่าถ่าย VDO ตัดต้นไม้พยุง และถ่ายคลังอาวุธของเขมรในเดือนสิงหา 2010
วีระ: ผมเข้าไปถ่ายป่าเฉลิมพะเกียรติของประเทศไทย ไม่ใช่คลังอาวุธ
ศาล: ผมถามตามที่คุณวีระเขียนไว้ในสมุด
วีร: ในสมุดเป็นบันทึก ผมไปดูตัดไม้พยุง
ศาล; คุณเคยถอนหลักเขตตาเมือนโต๊ดหรือไม่
วีระ: เป็นหลักเขตในดินแดนไทย
ศาล: สมุดบันทึกที่เขียนเป็นของคุณ ผมได้ตรวจตัวหนังสือ
วีร: ผมขอให้เอาหน้านั้นมาดู มิฉะนั้นจะกล่าวหาผมฝ่ายเดียว
อัยการ : ผมถามตามที่คุณเขียนในสมุด คุณเข้าไปในป่าและเข้าไปดู
วีระ : ผมยืนยันแล้วว่าเป็นดินแดนไทย เป็นป่าไม้เฉลิมพระเกียรติ ใน VDO จะเห็น
อัยการ : คุณถอนหลักเขต
วีระ: ผมถอนหลักเขต แต่ก็ไม่มีใครอ้างเป็นเจ้าของ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ก็เป็นของไทย
อัยการ: คุณเคยปลอมตัวเป็นคนเก็บเห็ด ที่ปราสาทตาควายไหม
วีระ: ปราสาทตาควาย ไปกับชาวบ้านที่เก็บเห็ด


ภาคบ่าย :
เชิญพยานฝ่ายโจทย์ นายพัน เซง ทาบี หัวหน้าสำนักงานทหารชายแดน
ศาล : สถานที่จับและคุมตัวไป มีระยะทางกี่เมตร
ทหาร : นับจากเส้นชายแดนถึงจุดจับ 800 เมตร
ศาล : ในที่ใด จะพูดว่าเป็นพื้นที่ทหาร
ทหาร: จุดถูกจับไปถึงค่ายทหาร ระยะทาง 4 กิโลเมตร เสาซีเมนต์เป็นจุดมิให้ประชาชนทั้ง 2 เข้ามาได้
อัยการ : (ชูแผนวาด) ทุ่งนานี้เป็นของชาวนาไทยหรือชาวนากัมพูชา หรือกองทหารครับ
ทหาร : เสาซีเมนต์นี้ ไทยเอามาปักเพื่อมิให้ไทย-กัมพูชา เข้า แต่ก่อนมีลวดหนาม ต่อมาตัด
ศาล : ให้ชี้แนวรบของคุณอยู่ตรงไหน
ทหาร: ขออนุญาตไม่อธิบายบังเกอร์กองทัพ เพราะเป็นความลับ
อัยการ : ท่านยอมรับเจบีซี คณะกรรมการปักปันพื้นที่ของรัฐบาลทั้งสองหรือไม่
วีระ : ไม่ยอมรับเจบีซี เอ็มโอยู43 และผมส่งภาพถ่ายทางอากาศ
อัยการ : ทำไมไม่ยอมรับ
วีระ : เพราะเจบีซีเถื่อน
ศาล : หากไม่รับเจบีซี ศาลขอปิดการพิจารณาไต่สวนวีระเท่านี้
ศาล: การพิจารณาครั้งนี้มีหลักฐานพยานมาชี้แจงเรียบร้อยแล้ว ขอให้อัยการสรุป (จากนั้นให้จำเลยกล่าว)
วีระ : ศาลที่เคารพ อัยการไม่ทราบความจริง พยามใช้จินตนาการปรักปรำผม อัยการไม่ทราบว่าผมเป็นองค์กรภาคประชาชน ทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทย ผมไม่มีเจตนาจะไปทำอันตรายให้ประเทศเพื่อนบ้าน การเข้ามา 2 ครั้งในแผ่นดินไทย ขอย้ำมันมีเอกสารสิทธิ์ของคนไทย และมีแผนที่ ไม่ใช่วาดเอง และหลักเขต 46, 47 ยังปรากฏอยู่ ถ้ากัมพูชาไม่ยอมรับก็เท่ากับปฏิเสธหลักเขต 46, 47


ข้อกล่าวหาทั้ง 3 ข้อ ประเด็นสำคัญที่สุด ต้องพิสูจน์ให้ชัดเจนเสียก่อนว่า แผ่นดินนั้นเป็นแผ่นดินไทย หรือกัมพูชา ถ้าศาลรับฟังเฉพาะเจ้าหน้าที่กัมพูชาฝ่ายเดียว ไม่ฟังเหตุผลของผม ก็ไม่เป็นธรรม


ประเด็นหัวใจคือความขัดแย้งเรื่องแผนที่ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ได้ยืนยันกับคนไทยเมื่อ 8 สิงหาคม 2010 ว่าไทยใช้แผนที่สันปันน้ำเท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญกัมพูชาจะอ้างแผนที่ 1: 200,000 ก็ไม่ตรงความจริง เพราะที่เอามาแสดงเป็นแผนที่วาดขึ้นเอง


แผนที่อีกชุดของผมเป็นภาพถ่ายดาวเทียม หากเป็นแผ่นดินกัมพูชา ผมจะยอมรับผิด แต่ถ้าเป็นแผ่นดินไทย โปรดเมตตาต่อผมด้วย...


ราตรี : ขอเมตตาจากศาล พิจารณาหลักฐานเอกสาร แผนที่ ที่ยื่นให้ศาล ให้ความเป็นธรรมต่อฉันและคุณวีระด้วย ขอบคุณ


ศาล : คำพิพากษาคดีอาญา ที่ 12 ร.2 พ. วันที่ 1 ก.พ.2011 หลังศาลฟังการไต่สวนผู้ต้องหา ประมวลกับข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ จากตำรวจ และฟังอัยการ คำชี้แจงป้องกันคดีของทนาย ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าการลักลอบเข้ามา การประมวลข้อมูล มีภัยต่อการป้องกันชาติ
...ศาลเห็นว่ามีหลักฐานลงโทษเพียงพอ ดังคำแถลงของผู้แทนอัยการ...แผนที่ที่อ้างว่าทำมาฝ่ายเดียว การอ้างของผู้ต้องหา การชี้แจงแผนที่นั้น ศาลไม่ยอมรับเลย เพราะพยานผู้ต้องหามิใช่ผู้เชี่ยวชาญ


การที่ผู้ต้องหาเป็นผู้แทนองค์กร มิใช่รัฐบาลนั้น ศาลก็ไม่ยอมรับพิจารณา ศาลมีหลักฐานลงโทษเพียงพอแล้ว และไม่มีเหตุผลใดๆ จะให้ศาลตรวจสอบพื้นที่ จึงลงโทษนายวีระ จำคุก 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล นางสาวราตรี จำคุก 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล
---------------------------------------------------------
*ข้อสังเกต
1.นับแต่วันถูกจับกุม 29 ธันวาคม 2553 จนถึงการตัดสินคดี 1 กุมภาพันธ์ 2554 รวม 35 วัน
2.ศาลชั้นต้นกัมพูชา ไม่ยอมรับพยานเอกสาร(แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม) และพยานบุคคล 2 คน แต่กลับยอมรับอัยการแสดงแผนผังวาดด้วยมือ
3.ทั้งสองคนไทยแสดงเจตนารมณ์จะต่อสู้คดีในศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา แต่ระหว่างนั้นเกิดความยุ่งยาก สับสน จนกระทั่งหมดระยะอุทธรณ์คดีภายใน 30 วัน อย่างไรก็ตาม เครือข่ายคนไทยฯ ระบุว่าได้ยื่นอุทธรณ์ทัน แต่ภายหลังทางการไทยโน้มน้าวให้ทั้งสองคนถอนการอุทธรณ์ และไม่ยอมรับการกระทำใดๆ ของเครือข่ายคนไทยฯ
4.รัฐบาล โดยกระทรวงการต่างประเทศ พยายามเดินเรื่องและโน้มน้าวให้ทั้งสองลงนามขอพระราชทานอภัยโทษ ทว่า เมื่อลงนามแล้ว นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ดังนั้น คนไทยทั้งสองต้องถูกจองจำเป็นเวลา 2 ใน 3 ของโทษ
5.มีข้อเสนอจาก นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ให้ใช้ช่องทางตามสนธิสัญญาโอนตัวนักโทษที่ไทยกับกัมพูชาลงนามไว้ แต่รัฐบาลก็ไม่เลือกจะทำ


สิ่งที่รัฐไทยและประชาชนไทยควรคำนึง คือ ใครและอะไรเป็นต้นสาเหตุ อะไรเป็นผลสะท้อนตามมา และรัฐบาลกัมพูชากระทำขัดต่อกฎบัตรระหว่างประเทศ กฎหมายอาญาระหว่างประเทศ รวมทั้งกฎหมายกัมพูชาเองหรือไม่ (โปรดดูภาพข้อความภาษาเขมร รัฐธรรมนูญ มาตรา 38)


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ถ้าผมเป็น 'ยิ่งลักษณ์' จะรับท้าดีเบตกับ 'อภิสิทธิ์'

โดย.นักปรัชญาชายขอบ


ถ้ายอมรับการทำรัฐประหารและนิรโทษกรรมแก่ตนเองได้ ทำไมจึงยอมรับการที่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาจะนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร และถูกตัดสินความผิดโดยกระบวนการที่สืบเนื่องไม่ได้

เรื่อง “การล้างความผิดให้ทักษิณ” ผมจะถามอภิสิทธิ์ว่า ทำไมประชาธิปัตย์รับได้กับการที่พวกทำรัฐประหารและฆ่าประชาชนแล้วออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ตนเอง เพราะในประวัติศาสตร์รัฐประหารที่ผ่านมา ไม่เคยเห็นอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ออกมาค้านเรื่องนี้อย่างจริงจัง


ถ้ายอมรับการที่พวกทำรัฐประหารนิรโทษกรรมแก่ตนเองได้ ทำไมจึงยอมรับการที่รัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาจะนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร และถูกตัดสินความผิดโดยกระบวนการที่สืบเนื่องจากรัฐประหารไม่ได้


ประชาธิปัตย์บอกว่า ถ้านิรโทษกรรมทักษิณเท่ากับไม่เคารพหลักนิติธรรม ถามว่าหลักนิติธรรมจะมีได้ก็ต่อเมื่อมี “หลักนิติรัฐ” ใช่หรือไม่?


การทำรัฐประหารเป็นการยกเลิกกติกาประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง หลักนิติรัฐภายใต้ระบอบประชาธิปไตยยังเหลืออยู่ตรงไหน?


ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นผู้กล่าวหาว่าทักษิณทำผิด (5 ข้อ) แล้วทำรัฐประหาร เสร็จแล้วก็เป็นโจทย์เอง ตั้ง คสต.ขึ้นมาเองเพื่อสืบสวนสอบสวนเอาผิด ส่งฟ้องศาลได้เอง กระทั่ง “ตุลาการภิวัตน์” ตามคอนเซ็บต์อำมาตย์ก็ตัดสินเอง อย่างนี้หรือครับที่ประชาธิปัตย์เรียกว่า เป็น “กระบวนการที่มีหลักนิติรัฐและมีหลักนิติธรรม”


กรณีเซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ดิน และทำกับข้าวออกทีวี กับกรณีสั่งสลายการชุมนุม “ผิดหลักสากล” อย่างชัดแจ้ง จนทำให้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แค่คิดตาม “สามัญสำนึก” ของชาวบ้านธรรมดาๆ ไม่ต้องใช้ “มโนธรรม” ของความเป็นมนุษย์ ไม่ต้องอ้างหลักนิติธรรมนิติรัฐใดๆ ถามว่า อย่างไหนควรจะติดคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญามากกว่ากัน !


ถ้าอภิสิทธิ์ตอบว่า มันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่เป็นไปตามหลักกฎหมาย จะใช้ “สามัญสำนึก” มาตัดสินไม่ได้ ก็ต้องถามว่า กระบวนการยุติธรรมซังกะบ๊วยอะไร หลักกฎหมายซังกะบ๊วยอะไร มันจึงขัดกับหลักความยุติธรรมตามสามัญสำนึกของมนุษย์มนาเช่นนั้น


หลักความยุติธรรมพื้นฐานภายใต้ระบอบประชาธิปไตยคือ หลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ถามว่า การทำรัฐประหารคือการปล้นสิทธิและเสรีภาพไหม? กระบวนการเอาผิดภายใต้อำนาจรัฐประหารเป็นกระบวนการที่มีหลักประกันความเสมอภาคตามกฎหมายไหม?


แม้ทักษิณจะทำผิดจริง เขาควรจะได้รับสิทธิ์ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่หรือ? ฉะนั้น การนิรโทษกรรมจากการเอาผิดของกระบวนการรัฐประหาร จึงเท่ากับเป็นการคืนสิทธิอันชอบธรรมที่คุณทักษิณมีอย่างเท่าเทียมกับคนไทยทุกคนในการพิสูจน์ข้อกล่าวหาของตนเองภายใต้ “กระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลาง”ตามระบอบประชาธิปไตย


ที่สำคัญนี่คือการปฏิเสธ “ความชอบธรรม” ของรัฐประหาร การที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ปฏิเสธการนิรโทษกรรมแก่นักการเมืองที่ถูกทำรัฐประหาร จึงเท่ากับเป็นการยืนยันความชอบธรรมของรัฐประหาร


ยิ่งกว่านั้น พฤติกรรมที่ยอมรับความชอบธรรมของรัฐประหารของอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์คือ การฉกเอา “กลุ่มยี้ห้อย” มาจากพรรคเพื่อไทยไปตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร แล้วพวกเขาก็กลายเป็น “รัฐบาลนอมินี” ของ “ระบบอำมาตย์”


และผนึกอำนาจทางการเมืองของพวกตนเองให้เป็นเนื้อเดียวกันกับอำนาจของระบบอำมาตย์ แล้วรักษา “อำนาจเถื่อน” นั้นไว้ด้วยชีวิตประชาชนเกือบ 100 ศพ


ที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์กล่าวหาว่า คนเสื้อแดงใช้วิธีรุนแรง ละเมิดกฎหมาย เผาบ้านเผาเมือง ฯลฯ แต่การที่อภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ยอมรับรัฐประหารและระบบอำมาตย์ เท่ากับเป็นนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ค้ำยัน “โครงสร้างความรุนแรง” ที่กดทับสังคมไทยมาตลอด


และในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ก็มีการใช้ “สองมาตรฐาน” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เท่ากับเป็นการ “เผาผลาญ” ระบบความยุติธรรมจนเหลือแต่เถ้าถ่าน !


มีใครบ้างในประเทศนี้ที่ยังเชื่อถือว่ากระบวรการยุติธรรมมี “มาตรฐานเดียว” โดยเฉพาะเกี่ยวกับการดำเนินการเอาผิดเกี่ยวกับคดีทางการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทย และระหว่างคนเสื้อเหลืองกับคนเสื้อแดง !


ส่วนเรื่องที่ประชาธิปัตย์อ้างว่า “การดีเบต” เป็นหลักสากล แต่พอเพื่อไทยเรียกร้องว่า ให้พรรคที่ได้เสียงข้างมากมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน กลับบอกว่าไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ อ้าว! ดีเบตก็ไม่ได้บัญญัติในรัฐธรรมนูญ แต่พวกจะเอาให้ได้ถ้าคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ ถ้าอะไรที่ตัวเองจะเสียเปรียบพวกไม่เอาซะอย่าง ใครจะทำไม เป็นแบบนี้มาตลอด จะเรียกนี่เป็น “อัตลักษณ์” ของประชาธิปัตย์ก็ได้นะ


ฉะนั้น คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยต้องชี้ให้สังคมเห็นว่า พรรคการเมืองพรรคนี้มี “อัตลักษณ์” เอาเปรียบทางการเมืองอย่าง “ไม่เป็นสุภาพบุรุษ” มาตลอด


ถ้าจะพิสูจน์ว่าคุณอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์มีสปิริตของ “สุภาพบุรุษ” จริง กล้ารับข้อตกลงไหมว่า หากยิ่งลักษณ์รับคำท้าดีเบตกับอภิสิทธิ์ ประชาธิปัตย์ต้องกล้าให้ “สัญญาประชาคม” ว่า ให้พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน


ถ้าอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ไม่กล้ารับคำท้าพรรคเพื่อไทย ก็อย่ามาสะเออะท้าดีเบต เพราะพวกคุณไม่ใช่สุภาพบุรุษ และ “ไม่แฟร์” กับสุภาพสตรีที่เป็น “น้องใหม่” ทางการเมืองเอาเสียเลย !


/////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลั่งน้ำตาอ้อนคนเหนือขอโอกาสบริหารประเทศ



    "ยิ่งลักษณ์"ขึ้นปราศัยที่เชียงใหม่ หลั่งน้ำตาระบุรู้สึกอบอุ่นที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้าน ลั่นหากได้บริหารประเทศ จะคืนความสุขให้ประชาชน
ที่เวทีปราศัยใหญ่พรรคเพื่อไทย ภายในโรงยิมเนเซียม 2 สนามกีฬา 700 ปี จ. เชียงใหม่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับ 1 พรรคเพื่อไทย ขึ้นกล่าวปราศัยบนเวทีท่วมกลางประชาชนผู้สนับสนุนที่เดินทางมาจากหลายจังหวัดในภาคเหนือกว่า 1 หมื่นคน

โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ได้กล่าวทักทายเป็นภาษาคำเมืองช่วงแรกว่า ไม่เคยกลับบ้านครั้งไหนซึ้งใจเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย น้องสาวกลับยังขนาดนี้ถ้าพี่ชายกลับจะขนาดไหน แต่ไม่ว่าอย่างไรทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านจะรู้สึกอุ่นใจทุกครั้ง
เมื่อพูดถึงประโยคนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ถึงกับน้ำตาคลอออกมาจนเรียกเสียงเชียร์จากประชาชนดังกึกก้องห้องประชุม ก่อนที่ะขอกลับไปพูดภาษากลาง เพื่อให้ประชาชนที่รับชมการถ่ายทอดสดเข้าใจ

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การกลับบ้านครั้งนี้เป็นอีก 1 บทบาทของตนเอง จากเด็กต่างจังหวัดที่กลับมาเยี่ยมบ้าน แต่ครั้งนี้กลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน แม้ว่าตนเองจะเป็นผู้หญิงแต่ก็ผ่านงานบริหารธุรกิจมาก่อน ซึ่งหลายคนมองว่าตนเองไม่เคยผ่านงานด้านการเมือง แต่การเมืองอยู่ในสายเลือดมานานแล้ว

"แต่วันนี้ที่กลับมาไม่ได้ต้องการมาเล่นการเมือง แต่กลับมาเพื่อบริหารบ้านเมือง ก่อนหน้านี้ในปี 2544 ผู้หญิงคนหนึ่งเคยเดินขอคะแนนเสียงให้พี่ชาย และย้อนกลับไปสมัยเด็กก็เคยเดินขอคะแนนให้คุณพ่อ จึงรับรู้และเข้าใจปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นอย่างดี ยิ่งหลังเหตุการณ์ปฎิบวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน การเมืองก็เข้ามาอยู่ในชีวิตมากขึ้นทำให้เข้าใจการเมืองมากขึ้น"

เธอกล่าวว่า วันนี้ไม่ได้ต้องการเล่นการเมืองแต่ขออาสารับใช้พี่น้องประชาชน สาเหตุที่ตัดสินใจเล่นการเมืองเพราะหลังเหตุการณ์ปฎิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน ครอบครัวของตนเองก็ยังได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชน และทุกคนยังคิดถึงนโยบายที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไว้ให้ จึงอยากนำนโยบายเก่าๆ เหล่านั้น กลับมาอีกครั้งเพื่อคืนความสุขให้พี่น้องประชาชน

"แม้เป็นผู้หญิงแต่จะอดทนและเข้มแข็ง และเชื่อมั่นว่าจะได้รับโอกาสจากประชาชนโดยเฉพาะพี่น้องชาวเหนือ เพื่อให้ตนเองได้รับใช้ประเทศชาติ ที่ผ่านมาดิฉันเรียนรู้งานจากท่านทักษิณตั้งแต่ตำแหน่งระดับล่างจนถึงระดับสูงในแวดวงธุรกิจ จึงเข้าใจวิสัยทักศน์ของท่าน ท่านจะมองหาโอกาสเพื่อประชาชนอยู่เสมอ ทำให้ดิฉันมีความรักและผูกพันกับประชาชน"

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า วันนี้มีโอกาสไปไหวสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพ ครูบาศรวิชัย เพื่อขอพรให้มีโอกาสเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนและนำความสุขกลับคืนมาสู่ประชาชนอีกครั้ง ช่วงเวลา 4 - 5 ปีที่ผ่านมาตระหนักดีว่าประชาชนไม่มีความสุข ความสุขขาดหายไป เงินในกระเป๋าหายไป เพราะข้าวของแพงขึ้น พรรคเพื่อไทยจึงขออาสากลับมารับใช้ประชาชนเพื่อนำความสุขกลับคืนมาอีกครั้ง โดยจะนำนโยบายที่ดีๆในอดีตกลับมาใชอีกครั้ง พรรคเพื่อไทยจะประกาศสงครามกับความยากจนให้หมดไปภายใน 4 ปี ประกาศสงครามกับยาเสพติดภาใน 12 เดือน นำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาใช้อีกครั้ง เพิ่มกองทุนหมู่บ้านเป็น 2 ล้านบาท เพิ่มวงเงินสำรองแก้ไขปัญหาให้เอสเอ็มแอล ทั้งหมดเป็นนโยบายที่จะนำมาสานต่อเพื่อให้ประชาชนมีความสุขอีกครั้ง

นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า พรรคเพื่อไทยจะคิดใหม่ทำใหม่ โดยมีพ.ต.ทง ทักษิณช่วยคิด แต่ยิ่งลักษณ์เป็นคนขอทำ จึงขอให้พี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยทั้งคนและพรรค จ.เชียงใหม่ขอให้ประชาชนเลือกเพื่อไทยยกทีม ซึ่งหวังว่าจะมีโอกาสเข้ามารับใช้พี่น้องประชาชนเหมือนที่พ.ต.ท.ทักษิณ เคยทำ

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
****************************************************************

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

‘ธรรมะขาว-ดำ’ ไม่ควรยุ่งกับเรยาและการเมือง


เป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกในประวัติศาสตร์มั้งครับ ที่พอละครตอนอวสานจบลงแล้ว มีพระออกมาแสดงธรรมต่อว่า ผู้ชมควรจะได้ ธรรมะ อะไรจากละคร

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้กระทรวงวัฒนธรรมออกมาโชว์ผลงานเซ็นเซอร์ ความเลว ของ เรยา แห่ง ดอกส้มสีทอง ทว่าเกิดปรากฎการณ์ที่คาดไม่ถึง คือกระแสเชียร์เรยาพุ่งแรงแซงกระแส สะแกนกรรม จนเกิดคำถามย้อนศรเช่นว่า ทำไมกระทรวงวัฒนธรรมไม่สั่งเซ็นเซอร์ ฉากรุนแรง เลวร้าย ของ ผู้ชายอย่างเจ้าสัว บ้าง (เช่น ฉากเจ้าสัวสั่งให้ลูกน้องเอาผ้าพันตัวคุณนายสี่แบกไปโยนลงในบ่อน้ำทั้งเป็น ฯลฯ)

จึงเกิดคำถามตามมาว่า กระทรวงวัฒนธรรมมีหน้าที่รักษา สองมาตรฐานทางศีลธรรมระหว่างเพศ ด้วยหรือ?
กระนั้นก็ตาม หลายคนคงนึกไม่ถึงว่า จะได้ฟัง ธรรมะจากเรยา โดย ท่าน ว. วชิรเมธี พระนักคิดนักเขียนชื่อดังแห่งยุค เจ้าของวาทประดิษฐ์ สนุกเฉพาะที่ แต่เสียหายระดับสากล กรณีเด็กโชว์นมเมื่อสงกรานต์สีลมที่ผ่านมา (โปรดรับชมและรับฟัง)
สังเกตนะครับ แม้ว่าท่านจะพยายามชี้ให้คนดูเข้าใจที่มาที่ไปของพฤติกรรมที่มีปัญหาของเรยา แต่ วรรคทอง อยู่ที่ข้อความที่มีสาระสำคัญ ว่า เพราะมีดำจึงขับเน้นให้เห็นขาวได้ชัดเจน เพราะมีขาวจึงทำให้รู้ดำ นั่นคือเรื่องราวของเรยาถูกใส่เข้าไปในกรอบแคบๆ ของ ธรรมะขาว-ดำ หรือเรื่องดีกับเลว แล้วก็สรุปธรรมะจากละครทำนองว่า เราเรียนรู้จากคนดีเพื่อเอาเยี่ยง และเรียนรู้จากคนชั่วเพื่อไม่เอาอย่าง

ปัญหาของ ธรรมะขาว-ดำ คืออะไร?

1. ทำให้เรามองเห็นแต่ความหมายของถูกกับผิด ดีกับเลว แต่ไม่ได้เห็นความหมายของ ความเป็นคน ที่ซับซ้อนและมีบริบทหลากหลาย หากแต่ความเป็นคนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเขาเป็น คนดี ตาม นิยามแห่งวาทกรรม ธรรมะขาว-ดำเป็นหลัก

2. ความหมายของ คนดี-คนเลวตามนิยามของธรรมะขาว-ดำ ที่เป็นอิทธิพลทางความคิดของพุทธศาสนาเถรวาทคือ คนดีสมบูรณ์แบบ-คนเลวสมบูรณ์แบบเช่น ดีสมบูรณ์แบบอย่างพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า และเลวสมบูรณ์แบบอย่างพระเทวทัต (กระทรวงวัฒนธรรมควรเสนอให้ตัดเรื่องประวัติพระเทวทัตออกจากพระไตรปิฎกด้วยนะครับ เพราะพฤติกรรมของพระเทวทัตเลวและแรงกว่าเรยาเป็นร้อยๆ เท่า)

3. ฉะนั้น คนที่มีความเป็น คนที่สมบูรณ์ ก็คือ คนดีสมบูรณ์แบบ คนเลวไม่มีความเป็นคน หรือมีความเป็นคนที่ บิดเบี้ยว ไป เช่น เป็น มนุษย์ดิรัจฉาน (มนุสฺสติรจฺฉาโน) มนุษย์เปรต (มนุสฺสเปโต) ฯลฯ

4. เมื่อคนเลวไม่มีความเป็นคนตามนิยาม ธรรมะขาว-ดำ สังคมก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติต่อคนเลวอย่างที่ควรปฏิบัติต่อมนุษย์ก็ได้ เช่น ไม่ต้องปฏิบัติต่อเขาบนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชนเป็นต้นก็ได้ สังเกตไหมครับคนที่กล่าวหาว่า ทักษิณเป็นคนเลว คนเสื้อแดงเป็นคนเลว เรียกร้องให้ทำรัฐประหารและสะใจกับการใช้ สองมาตรฐาน ครั้งแล้วครั้งเล่า กับทักษิณและพรรคการเมืองฝ่ายทักษิณ คือคนที่อ้างว่าตนเป็นคนดีมีคุณธรรม อ้างพุทธศาสนา อ้าง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ กันทั้งนั้น
และที่เชียร์ให้ล้อมปราบคนเสื้อแดง (หรือ วางเฉย) ก็มีตั้งแต่ ชาวพุทธที่เคร่งครัด กินมังสวิรัติ ชาวพุทธดาราไฮโซที่ชอบอวดการเข้าวัดทำบุญ การเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม การจาริกแสวงหา แก่นพุทธปรัชญา ชาวพุทธที่ เฝ้าดูจิต ระแวดระวังกิเลส ปล่อยวางความเห็นแก่ตัว หรือตัวกู ของกู ไปจนถึงชาวพุทธที่ซาบซึ้งในรสพระธรรมที่นิยมกด “like” สาธุๆ คมจริงๆ เจ้าค่ะ/ขอรับ ขอแชร์ด้วยคนนะเจ้าค่ะ/ขอรับ (เจริญพร, D จ้าโยม, น่ารักจริงๆ อ่ะ ฯลฯ)

5. ลองนึกย้อนหลังดูนะครับ เริ่มจาก ธรรมะตอนอวสานของเรยา ย้อนไปถึงช่วงเริ่มต้นของความขัดแย้งทางการเมืองที่มีการสร้างวาทกรรม เราจะสู้เพื่อในหลวง ธรรมนำหน้า จะเห็นภาพชัดเจนว่า ธรรมะขาว-ดาว ถูกนำมาทาบทับ เป็นเกณฑ์ตัดสิน และขับเคลื่อนความขัดแย้งอย่างมีนัยสำคัญ

หนึ่ง มันนำเอาการเมืองซึ่งมีมิติที่ซับซ้อนเข้ามาอยู่ในกรอบแคบๆ ทางศีลธรรมคือ ดี-เลว และเพื่อปกป้องดี ขจัดเลว ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงคุณค่าเชิงระบบ และ/หรือหลักการอื่นๆ เช่น หลักเสรีภาพ ความเสมอภาค สิทธิมนุษยชน หลักนิติรัฐ ฯลฯ

สอง โชคร้ายอ่างยิ่งที่ ธรรมะขาว-ดำ มันคลุมเครือมาก เช่น ประชาธิปไตยต้องมีธรรมาธิปไตย ถามว่า ธรรมาธิปไตย คืออะไร? งง! บ้างว่าคือ ความถูกต้อง ตามหลักการประชาธิปไตยและธรรมาภิบาล (ถ้ามันใช่แบบนี้แล้ว จะใช้ ธรรมาธิปไตย ให้ มึน กันทำไม) บ้างว่าคือ ความถูกต้อง ตามคำสอนพุทธศาสนาอีกต่างหากที่ต้องอยู่เหนือ หรือคอยกำกับชี้นำประชาธิปไตยอีกที (อ้าว! แล้วเราจะปกครองด้วยระบอบอะไรกันล่ะ!)

ฉะนั้น เอาเข้าจริงๆ เมื่อธรรมะขาว-ดำ มายุ่งกับการเมืองมันเลยมั่วมากๆ ไม่รู้จะก้าวไปทางไหน หรือถอยกลับดี ไปๆ มา ก็เลยชวนรบกับเพื่อนบ้านดีกว่า โหวตโนเพื่อ ปฏิรูปการเมือง ดีกว่า!

สาม แล้วถึงที่สุดของ ธรรมะกับการเมือง ก็มาลงเอยที่ สันติวิธี ในความหมายที่ว่าทุกฝ่ายต้องปล่อยวางอคติ ความเกลียดชัง ละตัวกู พวกของกู หันหน้ามาปรองดอง ปฏิรูปประเทศไทย โดยไม่ลงลึกถึงปัญหา ความจริง และ ความยุติธรรม ไม่สนใจอำนาจอันอยุติธรรมในการจัดการความจริงและความยุติธรรม แถมยอมรับ เส้นสนกลใน ในการตั้งรัฐบาลอำมาตย์ว่า มี ความชอบธรรมระดับหนึ่ง

และยอมรับว่า รัฐบาลหลังสลายการชุมนุมปี 53 มี ความชอบธรรมระดับหนึ่ง (=มีความชอบธรรมที่จะอยู่ในอำนาจต่อไปและแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ฯลฯ นั่นแหละ) ด้วยการอ้าง ตรรกะทางคณิตศาสตร์ ที่ว่า ตราบใดที่ยังแยกแยะไม่ได้ว่า ประชาชนที่ตาย กี่คนตายเพราะฝีมือชายชุดดำ กี่คนตายเพราะฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐ

นี่คือตรรกะที่ผมคิดว่า สุดปลายทางแห่งธรรมะกับการเมือง แล้ว ในบริบทความขัดแย้งที่เป็นมาและเป็นอยู่

เรื่องตัวบุคคล ใครจะเป็นกลาง ไม่เป็นกลาง จะ แอ๊ปฝ่ายไหน ไม่แอ็ปฝ่ายไหน ผมไม่อยากพูดถึง
เพราะสาระจริงๆ ก็คือว่า เมื่อธรรมะขาว-ดำไปยุ่งกับเรยา ความเป็นคน ในมิติที่ซับซ้อนและแปรผันไปตามบริบทหรือเงื่อนไขต่างๆ ก็ถูกลดทอนเหลือเพียงความเป็นคนในความหมายของ ดี-ชั่ว เมื่อไปยุ่งกับการเมืองก็ ดูด มิติที่หลากหลายของการเมืองเข้าไปในมิติแคบๆ ของ ขาว-ดำ

และสุดปลายทางแห่งธรรม เมื่อต้องเผชิญกับ โจทย์ความชอบธรรม-ไม่ชอบธรรม ของรัฐบาลที่สั่งสลายการชุมนุม ผิดหลักสากล จนประชาชนบาดเจ็บล้มตายเป็นเบือ ธรรมะก็หันไปพึ่งพา ตรรกะคณิตศาสตร์ เอาดื้อๆ

ฉะนั้น ถ้าเข้ามายุ่งแล้วมันทำให้เกิดการบิดเบี้ยว และบิดเบือน เช่นนี้ ผมว่าธรรมะอย่ามายุ่งกับ ความเป็นมนุษย์ ของ คนอย่างเรยา และการเมือง น่าจะดีกว่านะครับ!

ที่มา.ประชาไท
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เมธีเชื่อ" ยิ่งลักษณ์" ไม่เข้าข่ายถูกปปช.สอบได้

นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ปปช. กล่าวถึงกรณีที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 พรรคเพื่อไทย เคยให้การต่อศาล คตส. และกลต. ว่า หุ้นเป็นของตนเอง แต่ต่อมาศาลพิพากษาให้ยึดหุ้นเหล่านั้น โดยเห็นว่าเป็นหุ้นของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ถือหุ้นแทน จะทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความผิดฐานให้การเท็จหรือไม่ ว่า เรื่องนี้ซับซ้อนแต่เท่าที่จำได้ไม่มีคดีของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ค้างอยู่ใน ปปช. โดยมีแต่เพียงคดีของ พ.ต.ท. ทักษิณ เท่านั้น

"แต่โดยส่วนตัวผมเห็นว่าในขณะที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ให้การเขาเป็นเพียงบุคคลธรรมดา ยังไม่ได้เป็น ส.ส. จึงไม่ใช่เป็นบุคคลสาธารณะตามมาตรา 66 ของ พ.ร.บ. ปปช. และไม่ใช่บุคคลที่มีตำแหน่งระดับสูงตามมาตรา 58 ของ พ.ร.บ. ปปช. ด้วย ดังนั้น ปปช. จึงไม่น่าที่จะหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาได้ อย่างไรก็ตามคงนำเรื่องนี้มาคุยกันในคณะกรรมการ ปปช. ว่าจะเอาอย่างไร แต่ ปปช.ก็ต้องระมัดระวังเหมือนกัน เพราะหากยังไม่มีใครร้องเข้ามา แล้วเราไปดำเนินการเอง อาจจะถูกมองว่าไม่เป็นกลางได้

ด้าน ยิ่งลักษณ์บอกโคลนนิ่งพี่ชายความหมายคือสายเลือด


น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ รายการ "ตอบโจทย์" ทีนี่ทีวีไทย (20พ.ค.)ว่า ได้มีโอกาสคลุกคลี่เรื่องการเมืองมาตั้งวัย เด็ก ตั้งแต่สมัยที่คุณพ่อ พี่ชายและพี่สาว ยังคงเล่นการเมือง ได้มีโอกาสเดินพบปะประชาชน รวมทั้งยังได้มีโอกาสฟังท่านเหล่านั้นปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์ต่างๆ

ผู้ดำเนินรายการถามว่า ตัวตนที่แท้จริงของคุณยิ่งลักษณ์ คืออะไร น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า กล่าวว่า ถ้าถามถึงเรื่องนี้ คงจะตอบได้ว่า ตัวตนที่แท้จริงคือเป็นคนสบาย ๆที่มาจากครอบครัวประกอบธุรกิจการค้าขาย ซึ่งเรื่องนี้ตนก็เห็นมาตั้งแต่เล็ก เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจ อีกทั้งตนมีความชอบเกี่ยวกับเรื่องการทำธุรกิจ และให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการทำงานและการบริหารงาน

เมื่อถูกถามว่า การที่เสนอตัวเองเข้ามาทำงานทางด้านการเมือง จะมีวิธีอย่างที่จะรักษาตัวตน ที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ให้ได้ เพราะที่ผ่านมาขนาด พ.ต.ท.ทักษิณ พี่ชาย ยังได้เอ่ยปากพูดว่าน้องสาวคนนี้ ได้โคลนนิ่งผมมาเลย ซึ่งตรงนี้จะทำให้ประชาชนเชื่อได้อย่างไรว่า การทำงานทุกอย่างจะทำงานด้วยตัวตนของตนเอง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เรื่องของคำว่าโคลนนิ่ง ตามความหมายของพี่ชาย คือความเป็นสายเลือด ส่วนตัวเองแล้วก็ได้รับรู้การทำงานหรือศึกษาแนวคิดและการทำงานโดยเฉพาะเรื่องวิสัยทัศน์ โดยเฉพาะการมองโอกาสใหม่ ๆ ในสิ่งที่มีความก้าวหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตน ได้รับรู้มาตั้งแต่เด็ก รวมทั้งในเรื่องของการทำงานด้านการเมือง ก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดเกี่ยวกับการทำงานของพี่ชายมาโดยตลอด

ส่วนในเรื่องของการทำงานของตนแล้ว ยืนยันว่ามีความเป็นตัวของตัวเองในการทำงาน ที่จะร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทย อีกครั้งในพรรค ก็ยังมีทีมที่ปรึกษา ที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ ซึ่งจะทำให้ตนสามารถนำความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ มาตัดสินใจด้วยตนเอง ซึ่งถ้าหากไม่สามารถ ที่จะตัดสินใจด้วยตนเองได้ ทีผ่านมาตนก็คงไม่สามารถที่จะทำงานในหลายองค์มาได้ ซึ่งในหลายองค์กรที่ดูแลรับผิดชอบก็เป็นองค์กรที่จะต้องดูแลพี่น้องประชาชนจำนวนมาก โดยตรงนี้ ตนคิดว่าจะสามารถนำหลักของการบริหารจัดการนำมาตัดสินด้วยตนเองได้

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทาส-พสุธา"ไม้ชรา" ปักขี้เลน...

บรรยากาศการเมืองไทยห้วงเวลานี้คล้ายธุรกิจฟุตบอลอาชีพ "พรีเมียร์ลีก" เมืองผู้ดีอังกฤษยังไงยังงั้น.. ยิ่งใกล้วันเลือกตั้งเข้ามาทีไร เป็นได้เห็นการวิ่งรอกซื้อขายตัว ส.ส.กันจ้าล่ะหวั่น!!! แต่ที่ดูแล้วน่าเอือมระอาเป็นที่สุดเห็นจะเป็นราย "ผู้เฒ่าวังน้ำเย็น" นายเสนาะ เทียนทอง ผู้คร่ำหวอดอยู่ในแวดวงการเมืองไทยมานาน (เกินไป...)
ท่วงทำนองและท่าที "ป๋าเหนาะ" ชั่วโมงนี้ช่างไร้ราคาต่อรอง.. เวลาคนแก่คนนี้น้อยใจทีไรเป็นต้องกระโดดไปยืนอยู่ตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้เห็นเป็นประจำ..


ในอดีตเมื่อไม่นานมานี้ เจ้าพ่อสระแก้วผู้นี้ คาดหวังว่าจะทำ "พรรคประชาราช" ให้ยิ่งใหญ่เป็นมุ้งบักเอ้ เผื่อใครจัดตั้งรัฐบาลได้ไม่ลงตัว "พี่เหนาะ" แกจะได้กระโดดเสียบแบบมีราคาค่าตัว.. แต่จนแล้วจนรอด "หุ้นประชาราช ณ อัลไพน์" ก็ยังดำดิ่งติดฟลอร์แบบไม่มีราคา ขนาดโหมโรงกันสุดตัวยังได้ ส.ส.ใน "ก๊วนเทียนทอง" มาแค่ 4-5 คนเพียงเท่านั้น..


ในอดีต "เสนาะ เทียนทอง" ผู้นี้เคยมีโปรไฟล์เป็นผู้ปั้นนายกรัฐมนตรีของไทยมาแล้วหลายต่อหลายคน.. โดยเฉพาะรายล่าสุดแกยังเพ้ออยู่ตลอดว่า "ทักษิณ" เป็นนายกฯได้ด้วยน้ำมือของแก.. แต่เพราะความเป็นคนแก่ "ขี้ใจน้อย" หรือเพราะว่าท่านเป็นคน "ขี้งอน" ก็ไม่อาจทราบได้??? "ป๋าเหนาะ" คนเดียวกันนี้แหล่ะชอบออก "อาวุธลับ" เข้าใส่เด็กปั้นของแกอยู่เป็นประจำ..


โดยเฉพาะเมื่องาน "มหกรรมรู้ทันทักษิณ" ที่เป็นข่าวเกรียวกราวกันทั่วเมือง.. "พี่เหนาะผู้แสนดี" นั่นแหล่ะ ที่บรรจงลงดาบเข้ากลางหลังอดีตนายกรัฐมนตรี "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เข้าให้อย่างจังเบอร์.. แต่หากขั้วตรงข้ามทางการเมืองมากล่าวร้ายให้โทษ "นายใหญ่" ก็ย่อมนับได้ว่าเป็นสูตรตายตัวที่มักจะเล่นกันตามเกมการเมือง..
แต่อะไรกันนี่!!! "ป๋าเหนาะ" เป็นถึงผู้อำนวยการสร้าง "ระบอบทักษิณ" มากับมือ..กลับหันดาบมาแทงกันข้างหลังจนเลือดอาบ.. โดยเฉพาะประโยคทองที่กล่าวว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น?ขาดวุฒิภาวะการเป็นผู้นำ" เล่นทำเอาสื่อทุกสำนักที่เฝ้ามอนิเตอร์อยู่ถึงกับ "ตาเหลือก" แทบจะถลนออกมานอกเป้าตา..


ที่หนักไปกว่านั้นพี่เหนาะดันไปมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันกระทืบ "นายใหญ่" ในหนังสือ "รู้ทันทักษิณ" ของดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง.. อันนี้หากเป็น "ทาส-พสุธา" ถึงจะเป็นเด็กปั้นก็ตามที แต่ "แค้นฝังลึก" ที่ผู้เฒ่าวังน้ำเย็นประเคนมาให้ ถือได้ว่า "จัดหนักเกินไปหน่อย!!!" อย่างประโยคหอกโมกศักดิ์ที่ว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ มีพฤติกรรมการใช้อำนาจและบริหารราชการแผ่นดินเพื่อแสวงหาผลประโยชน์" มันเป็นใบเสร็จให้ฝ่ายตรงกันข้ามหยิบขึ้นมาโจมตีได้สนุกปากเชียวล่ะ..


ดังนั้น แค้นที่เกิดขึ้นระหว่าง "เหนาะ-แม้ว" จึงอยู่ในระยะกลืนเลือดด้วยกันทั้งคู่.. เพราะ "นายใหญ่" ก็ต้องการเสียง ส.ส.ในการเลือกตั้งครั้งหน้าให้ได้เกินครึ่งของสภา.. แม้เสียงจากซีก "วังน้ำเย็น" จะได้มาต่ำ 10 ก็ยังดีกว่าอยู่คนละขั้ว..


เห็นได้จากล่าสุดเมื่อวันที่ 1 เม.ย.54 ที่ผ่านมา "พี่เหนาะธรณีสงฆ์" ได้จัดงานวันเกิดครบรอบ 78 ปี อย่างยิ่งใหญ่ ณ สนามกอล์ฟอัลไพน์อันลือเลื่อง.. โดยที่มี "นายใหญ่" พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ส่งแรงเชียร์จากดูไบมาด้วยโปรแกรม "สไกป์" กันแบบสดๆ..


"ทาส-พสุธา" ก็มีโอกาสเข้าไปร่วมสังเกตการณ์ในงานวัดเกิด "เจ้าพ่อวังน้ำบาน" แบบชนิดติดขอบเวที.. หันซ้ายหันขวาไอ้หยามากันเต็มพรืดไปหมดเลย.. โดยเฉพาะในราย "พ่อใหญ่จิ๋ว" ก็ขึ้นไปอวยพรวันเกิดถึงบนเวที ทั้งเชียร์ทั้งดัน วาดฝันกันจนเคลิ้มกันไปทั้งงานว่า "ผู้เฒ่าคนนี้แหล่ะ!!! นักปั้นนายกฯเมืองไทยตัวจริง"
แต่ "ป๋าเหนาะ" ก็ยังทำเปิ่นเข้าอีกจนได้.. โดยเฉพาะอาการที่คุณเสนาะแกรีบกุลีกุจอจับมือ "เฮียมิ่ง" นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ขึ้นชูสองนิ้ว แล้วตะโกนก้องทั่วงานวันเกิดว่า "เฮียมิ่ง" คนนี้แหล่ะที่ป๋าจะปั้นขึ้นเป็นายกฯ คนต่อไป.. ในขณะที่ "นายใหญ่" ยังคงออนไลน์สไกป์แบบสดๆ อยู่ข้างเวที แต่กลับมีสีหน้างงๆ ปนสับสนเล็กน้อย..


แต่ที่ดูหน้าจืดสนิทชนิดพูดอะไรไม่ออกเห็นจะเป็น "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" น้องสาวคนสุดท้องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่นั่งดู "ป๋าเหนาะ" อยู่ข้างเวที แล้วเกิดอาการส่ายหน้าเล็กน้อยที่เห็นป๋าเข้าเกียร์ 5 ทะลุกลางปล้องหวังจะดัน "หิงห้อยการเมือง" ตัวน้อยๆเป็นแคนดิเดตนายกฯ แข่งกับ "หล่อลาก.." จากค่ายประชาธิปัตย์..
แล้วเป็นอย่างไรครับท่านเสนาะ เทียนทอง?!?! เจ้าของพรรคเจ้าของเงินเขาเลือก "เลือดในไส้" นั่งส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 แต่ท่านก็ยังหอบหิ้วจูงลูกจูงหลานไปซบพรรคเพื่อไทยเข้าให้อีก..


แหม!!! แล้วอย่างนี้จะไปตอบคำถามประชาชนในพื้นที่จังหวัดสระแก้วอย่างเต็มปากได้อย่างไร??? เดี๋ยวเขาก็นินทาว่าท่านเป็น "ไม้หลัก ปักขี้เลน" ไม่รู้ด้วยนะ?!?!


ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////

ไอเอ็มเอฟเริ่มสรรหาผู้นำใหม่ !!?

นายโดมินิค สเตราส์ คาห์น อดีตผู้นำไอเอ็มเอฟ ขณะเข้ารับฟังการพิจารณาประกันตัวรอบ 2

ไอเอ็มเอฟเปิดฉากสรรหาตัวผู้นำคนใหม่ขององค์กร หลังโดมินิค สเตราส์ คาห์น ลาออก ขณะศาลสหรัฐให้ประกันตัวอดีตผู้นำไอเอ็มเอฟแล้ว


นายวิลเลียม มูร์เรย์ โฆษกกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เผยวานนี้ (19 พ.ค.)ว่า นายอับเดล ชาคูร์ ชาอาลาน ประธานคณะกรรมการบริหารไอเอ็มเอฟ เริ่มดำเนินการติดต่อกับคณะกรรมการคนอื่นๆ เพื่อหารือถึงกระบวนการสรรหาตัวผู้นำองค์กรคนใหม่แล้ว

ท่าทีดังกล่าว เป็นไปตามถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ของนายจอห์น ลิปสกี้ รักษาการณ์ผู้นำไอเอ็มเอฟ ที่ระบุว่า กระบวนการสรรหาเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อวานนี้ และย้ำว่า เรื่องนี้เป็นความรับผิดชอบของชาติสมาชิกทุกราย ไม่ได้จำกัดเฉพาะเจ้าหน้าที่ หรือฝ่ายบริหารของไอเอ็มเอฟเท่านั้น


วันเดียวกันนี้ ผู้พิพากษาศาลสูง ของสหรัฐ ได้อนุญาตให้ประกันตัวนายโดมินิค สเตราส์ คาห์น อดีตกรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ ด้วยวงเงินประกัน 1 ล้านดอลลาร์ พร้อมเงื่อนไขกักบริเวณภายในบ้านพัก ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ ที่อพาร์ทเมนท์ส่วนตัวในแมนฮัตตัน

รายงานข่าวระบุว่า นายสเตราส์ คาห์น วัย 62 ปี แสดงอาการโล่งใจ หลังรับฟังคำตัดสิน โดยนอกจากวงเงินประกันดังกล่าวแล้ว นายสเตราส์ คาห์น ยังต้องจ่ายเงินประกันทัณฑ์บนอีก 5 ล้านดอลลาร์


อย่างไรก็ดี นายสเตราส์ คาห์น ไม่ได้รับการประกันตัวในทันที เพราะเจ้าหน้าที่ต้องการเวลาเพื่อทบทวน และอนุมัติแผนจัดการเรื่องความปลอดภัย ที่เกี่ยวข้องกับการกักบริเวณในบ้านพัก

ขณะทนายความของอดีตผู้นำไอเอ็มเอฟ เผยแต่เพียงว่า ภรรยาของนายสเตราส์ คาห์น เป็นผู้เช่าไว้ แต่ไม่ให้รายละเอียดถึงที่ตั้ง


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

จับผู้บริหารไอเอ็มเอฟ เซ็กซ์ฉาวป่วน ศก.ยุโรป !!?


การจับกุมตัวโดมินิก สเตราส์-คาห์น กรรมการผู้จัดการใหญ่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศ และกักขังหน่วงเหนี่ยวพนักงานโรงแรม ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสถาบันระดับโลกอย่างไอเอ็มเอฟเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้โปรแกรมการให้เงินช่วยเหลือสมาชิกยูโรโซนที่ ประสบปัญหาหนี้สาธารณะต้องพลิก คว่ำคะมำหงายด้วย

นิวยอร์ก ไทมส์ชี้ว่า ไม่มีทางที่จังหวะเวลาการเข้าจับกุมจะเลวร้ายยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว ในขณะที่กรีซใกล้จะยื่นขอรับความช่วยเหลือที่มากขึ้น เศรษฐกิจไอร์แลนด์ยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าฟื้นตัวจากวิกฤตการธนาคาร เงื่อนไขการให้เงินช่วยเหลือโปรตุเกสเพิ่งสรุปเสร็จสิ้น และเกิดคำถามเรื่องสถานการณ์ของสเปนว่าจะเป็นรายที่ 4 หรือไม่ ส่วนนางแองเจลา เมอร์เกล ผู้นำเยอรมนี ก็กำลังรอฟังความคิดเห็นของสเตราส์-คาห์น ในฐานะหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของแผนการรับมือวิกฤตหนี้ยุโรป

นายใหญ่แห่งไอเอ็มเอฟคือผู้คัดค้านการยืดอายุนโยบายรัดเข็มขัดในกรีซ เพราะเห็นว่ารังแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง โดยเมื่อปีกลายเศรษฐกิจประเทศนี้หดตัว 4% หลังเงื่อนไขการ รับเงินช่วยเหลือระบุให้ลดหนี้สิน ขึ้นภาษี และควบคุมการใช้จ่าย ยานิส วาโรอูฟากิส ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเอเธนส์ มองว่า "รัฐบาลของจอร์จ ปาปันเดรอู วิตกว่า ไอเอ็มเอฟที่ไร้ผู้นำจะนำไปสู่อำนาจต่อรองทางฝั่งของกรีซที่ลดลง สเตราส์-คาห์นแสดงความเห็นอกเห็นใจทางการเอเธนส์มาโดยตลอด และไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มแรงกดดันมากเกินกว่าที่กรีซจะรับไหว"

หลังเข้ารับตำแหน่งที่ไอเอ็มเอฟเมื่อ ปี 2550 เขาได้รับการยกย่องในเรื่อง เพิ่มกลไกการรับมือวิกฤตทางการเงินปรับปรุงธรรมาภิบาล ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนการโหวตของชาติกำลัง พัฒนา ส่งผลให้สถาบันดังกล่าวมีอิทธิพลในระดับโลกสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ

ทว่าท่ามกลางผลการทำงาน อันยอดเยี่ยมก็มีรอยด่างแฝงอยู่ วอลล์สตรีต เจอร์นัลระบุว่า ในปี 2551 เขาถูกเจ้าหน้าที่ไอเอ็มเอฟสอบสวนในข้อหาใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ หลังมีความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชาหญิง แม้ต่อมาเขาจะพ้นข้อกล่าวหา และกล่าวขอโทษต่อบอร์ดบริหารและเจ้าหน้าที่ขององค์กรแห่งนี้ แต่ก็ถูกคาดโทษว่าทุกฝ่ายจะไม่อยู่เฉย หากมีพฤติกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำสอง

เรื่องฉาวโฉ่กับแม่บ้านโรงแรมยังเป็นข่าวดีสำหรับประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาโกซี แห่งฝรั่งเศส ที่เตรียมจะลงเลือกตั้งวาระที่ 2 ในปีหน้า โดยสเตราส์-คาห์นคือตัวเลือกอันดับแรกของพรรค โซเชียลลิสต์ในการส่งลงสมัครรับเลือกตั้งแข่งกับผู้นำแดนน้ำหอมคนปัจจุบัน แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ประกาศลงสังเวียนอย่างเป็นทางการก็ตาม และจากการสำรวจความนิยมในหมู่ประชาชนพบว่า สเตราส์-คาห์นจะได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งที่ 26% ในการโหวตเลือกประธานาธิบดีรอบแรก

จาคส์ แอทเทล อดีตที่ปรึกษาประธานาธิบดีฟรองซัวส์ มิตเตอร์รองด์ ซึ่งมาจากพรรคโซเชียลลิสต์เช่นกัน ให้ความเห็นว่า "ไม่ว่าผลการสอบสวนจะออกมาเช่นไร เขาก็ไม่อาจลงเลือกตั้งประธานาธิบดีได้แล้ว"

ในช่วงทศวรรษ 1990 ระหว่างนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีคลังแดนน้ำหอม นายใหญ่ของไอเอ็มเอฟสร้างชื่อด้วยการปรับ โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศให้พร้อมใช้เงินสกุลยูโร และผลักดันการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างแอร์ฟรานซ์ และฟรานซ์เทเลคอม แต่สุดท้ายต้องลาออกจากตำแหน่งเมื่อเจอข้อหาคอร์รัปชั่น ซึ่งเขาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ในที่สุด

ซีเอ็นเอ็นตั้งข้อสังเกตว่า ความเสื่อมเสียที่เกิดกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของไอเอ็มเอฟครั้งนี้ อาจสั่นสะเทือน ธรรมเนียมปฏิบัติที่ผู้นำเบอร์ 1 ขององค์กรดังกล่าวจะมาจากฝั่งยุโรปส่วนเบอร์ 2 เป็นโควตาของสหรัฐ โดยอาจมีเสียงเรียกร้องจากชาติกำลังพัฒนาที่มีอิทธิพลและความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างจีน บราซิล หรืออินเดีย ว่าถึงเวลาแล้วที่คนนอกชาติจี 8 จะขึ้นมากุมบังเหียนสถาบันแห่งนี้บ้าง


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////

ดักคอปชป.-กลุ่มอำนาจอย่าโกงผู้หญิงเพื่อชัยชนะ

“ณัฐวุฒิ” ระบุ “ยิ่งลักษณ์” ไม่จำเป็นต้องรับคำท้าดีเบตกับ “อภิสิทธิ์” เพราะ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาสงสารประชาชนฟังนายกฯพูดมามากแล้ว ให้แข่งกันเสนอนโยบายดีกว่า ดักคออย่าคิดโกงผู้หญิงเพื่อชนะเลือกตั้ง “ปลอดประสพ” ฟุ้งชนะห่าง 60-70 เสียงแน่ “บุรณัชย์-บุญยอด” จี้พูดให้ชัดเรื่องนิรโทษกรรมล้างผิดให้ “ทักษิณ” ถือเป็นหนึ่งในหลักนิติธรรมที่ประกาศจะทำหรือไม่ ชี้ผู้ประกอบการราชประสงค์ไม่มีวันลืมว่าใครสนับสนุนการเงินเสื้อแดงเผาเมือง


นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่มีความจำเป็นที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคจะต้องรับคำท้าดีเบตกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพราะไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน และไม่ใช่ประเพณีการเมืองของไทย แต่ละพรรคมีนโยบายของตัวเองอยู่แล้วที่สามารถสื่อสารกับประชาชนได้โดยตรง


ดีเบตไม่เกิดประโยชน์กับประชาชน


“การดีเบตก็เหมือนการไปทะเลาะกันต่อหน้าประชาชนไม่เกิดประโยชน์ เพราะเรากำลังต้องการความสมานฉันท์” นายปลอดประสพกล่าวและว่า การจัดทำบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ลำดับต้นๆเสร็จแล้ว โดยลำดับปลอดภัยของพรรคคือ 1-70 ขณะที่ภาพรวมยังมั่นใจว่าจะชนะพรรคประชาธิปัตย์ 60-70 เสียง และสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้แน่ แต่อาจเชิญเพื่อนฝูงมาร่วมบ้างเพื่อให้รัฐบาลมีความมั่นคง


“ยิ่งลักษณ์” นำลูกพรรคสมัคร ส.ส.


นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันที่ 19 พ.ค. ที่เป็นวันเปิดรับสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ แกนนำพรรคทุกคนจะเดินทางไปอย่างพร้อมเพรียงรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วย จากนั้นวันที่ 20 พ.ค. จะเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. ทั้งหมด และตั้งแต่วันที่ 21 พ.ค. เป็นต้นไปจะเริ่มเดินสายหาเสียงในพื้นที่ต่างๆ


2 ปีกว่า “มาร์ค” พูดมากพอแล้ว


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า ที่ผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์ควรสงสารประชาชน เลิกท้าดีเบตกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมาเอาแต่พูดจนประชาชนเห็นตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์หมดแล้ว จึงอยากให้แข่งกันที่นโยบายและผลงานดีกว่า


ประสบการณ์บริหารเหนือ “มาร์ค”


“น.ส.ยิ่งลักษณ์มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในการบริหารองค์กรระดับพันล้านหมื่นล้าน กิจการมีความเติบโตก้าวหน้า มิติในการบริหาร น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือเป็นอาจารย์ของนายอภิสิทธิ์ได้เลย เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่เคยมีตำแหน่งและประสบการณ์บริหารองค์กรใดมาก่อนที่จะบริหารประเทศ สภาพของบ้านเมืองจึงเป็นอย่างที่เห็น”


อย่างโกงผู้หญิงเพื่อชนะเลือกตั้ง


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เห็นว่านายอภิสิทธิ์เก่งกาจเป็นที่ยอมรับรักใคร่ของประชาชน และน.ส.ยิ่งลักษณไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบได้ อยากฝากคำพูดง่ายๆว่า ถ้ามั่นใจขนาดนั้น แน่จริงอย่าโกงผู้หญิงก็แล้วกัน อย่าใช้อำนาจนอกระบบมากดขี่แทรกแซง ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเสียงข้างมาก ก็อย่าแทรกแซงการจัดตั้งรัฐบาล


“สมศักดิ์” ชี้ประชาชนมีตัวเลือกเพิ่ม


นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า การชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ทางการเมืองไทยที่เสนอผู้หญิงมาท้าชิงตำแหน่ง ถือเป็นความก้าวหน้าในเรื่องสิทธิสตรี และทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น


ละวางได้บ้านเมืองจึงสงบสุข


ส่วนที่เกรงกันว่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นอีกเพราะเป็นนอมินีและคนในครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า แล้วแต่จะมอง ขนาดนายสมัคร สุนทรเวช ไม่ได้เป็นคนในครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณยังทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นได้


“ถ้าละวางเรื่องส่วนตัวบ้าง บ้านเมืองน่าจะสงบได้ ควรปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ประชาชนจะตัดสินใจอย่างไรก็ให้เป็นไปตามนั้น ไม่ใช่ว่าเขาเข้ามาแล้วจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะมีระบบตรวจสอบอยู่”


“บรรหาร” หนุนชูผู้หญิงเป็นนายกฯ


นายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เมื่อดูคุณสมบัติทางการบริหารของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถือว่าใช้ได้ แต่เป็นห่วงประสบการณ์ทางการเมือง ส่วนที่ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขไม่แก้แค้นนั้นเป็นเรื่องดี หากทุกฝ่ายไม่แก้แค้นเลยบ้านเมืองก็สงบ


“การชูผู้หญิงเป็นนายกรัฐมนตรีก็เป็นเรื่องดี ซึ่งพรรคชาติไทยพัฒนาในอนาคตก็จะให้เสนอ น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา บุตรสาว เป็นหัวหน้าพรรคด้วยเหมือนกัน”


ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรกับการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง นายบรรหารกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีการจับขั้ว ต้องหลังเลือกตั้งดูว่าใครได้เท่าไรค่อยมาว่ากัน ส่วนที่เคยพูดว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล เป็นเพียงการพูดเผื่อไว้เท่านั้น


“กอร์ปศักดิ์” ถอนตัวสมัคร ส.ส.


นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ได้ถอนตัวจากการเป็นผู้สมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรค เพราะคิดว่าแม้ไม่ได้เป็น ส.ส. ก็ทำงานให้พรรคและประเทศได้ ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งแต่ต้องการเวลาทำงานให้กับพรรคได้เต็มที่


นายกอร์ปศักดิ์กล่าวว่า หลังจากที่พรรคเพื่อไทยสนุบสนุน น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ทำให้เป็นห่วงเรื่องการล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ได้


จี้ “ยิ่งลักษณ์” แจงนิรโทษกรรม


นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่าจะสร้างหลักนิติธรรมเพื่อให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ อยากจะให้พูดให้ชัดว่าหากได้เป็นรัฐบาลแล้วสิ่งแรกที่จะทำคืออะไร จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ หากทำจะถือว่าเป็นหลักนิติธรรมหรือไม่


นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ประกาศว่าจะมุ่งแก้ไขไม่แก้แค้น เป็นการสร้างภาพให้ประชาชนเห็นว่าเป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งที่ทุกคนรู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน และร่วมกันกระทำต่อคนอื่น


คนไทยไม่ลืมใครให้เงินเสื้อแดง


“น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ควรใช้คำพูดนี้ ควรไปถามผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง เช่น ญาติของทหารที่เสียชีวิต ผู้ค้าราชประสงค์ที่ถูกเผาว่าจะไม่แก้แค้นหรือไม่ คนไทยไม่ใช่คนลืมง่าย เขารู้ว่าใครเป็นผู้สนับสนุนเงินให้กลุ่มคนเสื้อแดงจนถูกอายัดบัญชีเงินฝาก”


นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า พรรคได้ข้อสรุปส่งผู้สมัคร ส.ส.เขต 181 เขต ส่วน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์กำลังตัดทอนให้เหลือ 125 คน จากที่เสนอตัวมากว่า 200 คน ส่วนการปราศรัยหาเสียงของแกนนำจะเน้นเฉพาะพื้นที่เป้าหมาย 5-6 จังหวัด เช่น สุรินทร์ นครราชสีมา เชียงราย สระบุรี ปทุมธานี ส่วนพื้นที่อื่นให้ผู้สมัครดำเนินการเอง


ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

บลัฟนิรโทษฯวุ่น ‘มาร์ค’ ฉะเพื่อไทยชูหาเสียง / ‘เติ้ง’ชี้นารีตกม้าขาว

“เพื่อไทย” ยันไม่มีเปิดตัว “ยิ่งลักษณ์” แต่จะไปสมัคร ส.ส.ด้วยตัวเอง “ณัฐวุฒิ” เชลียร์สุดลิ่ม ยกประสบการณ์เป็นอาจารย์อภิสิทธิ์ด้วยซ้ำ! “มาร์ค” เปิดศึกแล้ว บอกประชาชนจำความวุ่นวายปี 51 ได้หรือไม่ “บรรหาร” ทิ้งคำปริศนา บอกปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 อาจไม่ใช่นายกฯ เตือน “นารีตกม้าขาว”

เมื่อวันอังคารยังมีผลพวงกรณีพรรคเพื่อไทย (พท.) มีมติให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) หมายเลข 1 เพื่อชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรี โดยนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าพรรคจะไม่มีการเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่ในการสมัคร ส.ส.ในวันที่ 19 พ.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะเดินทางไปด้วย

นายพร้อมพงศ์ยังตอบโต้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ที่ระบุว่าหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ จะเป็นนายกฯ หนังตะลุง ว่า เป็นการพูดดิสเครดิต เปรียบเสมือนผีเจาะปากให้พูด อยากเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ พูดอย่างสร้างสรรค์ในด้านนโยบายจะดีกว่า

"ไม่มีใครชักใยอยู่เบื้องหลังแน่นอน อย่ามาเล่นการเมืองที่สาดโคลนรายวัน อย่ามาทำเป็นการเมืองน้ำลายจะดีกว่า" นายพร้อมพงศ์กล่าว

นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ประธาน ส.ส.ภาค กทม. กล่าวเช่นกันว่า เป็นการทำในยุคเก่าเต่าล้านปี ซึ่งนายสุเทพไม่ควรนำความรู้สึกที่คร่ำหวอดทางการเมืองมาวิพากษ์วิจารณ์คนรุ่นใหม่ที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศ

นายคณวัฒน์ วศินสังวร รองหัวหน้าพรรค พท. ระบุว่า การให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ ถือเป็นมิติใหม่ของการเมืองไทย และการได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำ ถือเป็นผลบวกกับพรรคมาก ขวัญกำลังใจทุกคนดีขึ้น และไม่จำเป็นต้องสร้างแบรนด์หรือจุดขายใดๆ แค่เสนอความเป็นตัวตน ความตั้งใจ ความพร้อม ประกอบกับนโยบายพรรคก็เชื่อมั่นว่าจะประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง

ในขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พท. และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวเชิดชู น.ส.ยิ่งลักษณ์เช่นกันว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์มีมิติในการบริหาร ถือว่าเป็นอาจารย์นายอภิสิทธิ์ก็ว่าได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านธุรกิจมาก่อนเลย และเมื่อบวกกับความรู้และประสบการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณในฐานะพี่ชาย ก็ยิ่งเป็นการผสมผสานกันที่ลงตัวในการบริหารประเทศไทยได้

"หากเลือกอภิสิทธิ์ที่ไม่มีประสบการณ์ใดๆ มาเป็นนายกฯ สภาพบ้านเมืองก็คงเป็นอย่างที่เห็น หากเลือกยิ่งลักษณ์ ก็จะได้นโยบายทักษิณ แต่ถ้ารักสุเทพและเนวินก็ให้เลือกอภิสิทธิ์” นายณัฐวุฒิกล่าว และว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่จำเป็นดีเบต เพราะเราดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ดีแต่พูด เมื่อลงจากตำแหน่งนายกฯ แล้วยังอยากหาเวทีพูดอีก

ด้านนายอภิสิทธิ์ ที่ได้มาหาเสียงช่วยลูกพรรคประชาธิปัตย์ในพื้นที่ จ.พิษณุโลก กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการแข่งขันเกี่ยวกับนโยบายระหว่าง 2 พรรค รวมถึงการเลือกตัวนายกฯ ว่าประชาชนอยากให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกฯ เพื่อบริหารงานต่อเนื่องหรืออยากได้ น.ส.ยิ่งลักษณ์

นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้หากเปลี่ยนรัฐบาล สิ่งแรกเลยต้องพิจารณาคือจะเป็นเหมือนที่พรรคประชาธิปัตย์ทำหรือไม่ เพราะพรรคเพื่อไทยมีความสนใจเรื่องปัญหาการเมือง เรื่องเสื้อแดง เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ และเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา พรรคก็พูดว่าหนึ่งในนโยบายที่จะทำนโยบายปรองดองสมานฉันท์ คงต้องมาล้างความผิดต่างๆ

"ถ้าพี่น้องจำได้ บ้านเมืองที่ยุ่งวุ่นวายทั้งหมดตั้งแต่ปี 2551 ก็สาละวนเกี่ยวกับเรื่องนี้จะยกล้างความผิดอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า ถ้าเพื่อไทยเป็นรัฐบาล อีก 6 เดือนจะกลับมา ถามว่ากลับมาก็ต้องออกกฎหมายล้างความผิด บ้านเมืองก็วุ่นวายอีก ถามว่ากว่าจะทำตรงนั้นเสร็จเกี่ยวข้าวไปเสร็จกี่รอบ เป็นเรื่องที่พี่น้องต้องตัดสินใจว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร" นายอภิสิทธิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยชู น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี โดยมีการโยงคุณสมบัติพิเศษและกระแสของผู้หญิงในการบริหารประเทศจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องปรับยุทธศาสตร์ใดหรือไม่นั้น

นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ ประธานคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ระบุว่าหากได้เป็นนายกฯ จะไม่แก้แค้นแต่แก้ไขว่า ใครแก้แค้นใครต้องอธิบายให้ได้ แต่สิ่งที่เป็นห่วงมากที่สุดคือกระบวนการล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และเหตุใดต้องมาล้างความผิดตั้งแต่วันแรก ทั้งที่วาระประชาชนมากมาย และอาจทำให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งเรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องอธิบายให้ได้ว่าจะล้างผิดโดยไม่ให้เกิดความวุ่นวายอย่างไร

นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเช่นกันว่า อยากตั้งข้อสังเกตวิสัยทัศน์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ระบุว่าบ้านเมืองจะเดินหน้าได้ต้องอาศัยหลักนิติธรรม แต่ดูเหมือนจะขัดแย้งกับท่าทีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นลูกน้อง ที่ระบุว่าหากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ จะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะได้อานิสงส์ด้วย จึงอยากถามว่ากระบวนการขั้นตอนและความจำเป็นที่ต้องดำเนินการเรื่องนี้ทันทีที่เป็นรัฐบาลนั้นคืออะไร จะมีขั้นตอนออกกฎหมายโดยกระบวนการใด และใช้เวลาเท่าใด

"ขอถามไปยังคุณยิ่งลักษณ์ว่า กระบวนการดังกล่าวขัดกับหลักนิติธรรมหรือไม่” นพ.บุรณัชย์กล่าว และว่า พรรคไม่จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ในการหาเสียง และเมื่อเพื่อไทยเปิดตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็จะทำให้ประชาชนเข้าใจบทบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ก่อนหน้านี้คลุมเครือว่าเป็นอย่างไร จะทำให้ประชาชนตัดสินใจได้

ส่วนนายบรรหาร ศิลปอาชา ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) แสดงความเห็นน่าสนใจว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นบัญชีรายชื่อเบอร์ 1 จะเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ตอบไม่ได้ เช่นเดียวกับความเหมาะสมก็ตอบไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะถือเป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยที่จะพิจารณา
“การที่คุณยิ่งลักษณ์ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 1 ของพรรคเพื่อไทย วันนี้ตอบได้หรือยังว่าจะเป็นนายกฯ หรือเปล่า วันนี้ยังไม่มีใครตอบได้ อาจจะไม่ได้เป็นก็ได้ อาจจะให้คนอื่นเป็นก็ได้ ยังไม่มีใครตอบได้” นายบรรหารกล่าว และว่า ถ้าเป็นนายกฯ ก็เป็นเรื่องดี ในฐานะสุภาพสตรี ถือเป็นมิติใหม่ และในอนาคตอีก 5 ปี จะส่งลูกสาวเป็นหัวหน้าพรรคบ้าง

ถามถึงโอกาสที่ประเทศจะเกิดนารีขี่ม้าขาวหลังการเลือกตั้งครั้งนี้หรือไม่ นายบรรหารตอบว่า นารีขี่ม้าขาวดี แต่อย่าให้นารีตกม้าขาว แต่ถ้าเป็นม้าสีหมอกคงต้องขี่เอง จะให้คนอื่นขี่คงไม่ได้

นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล กรรมการที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ชทพ.ระบุเช่นกันว่า ทำให้มองเห็นถึงความก้าวหน้าของสังคมไทยอีกระดับ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจขนาดใหญ่เหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ อาจนำระบบทางธุรกิจมาทำกับการเมืองเหมือนสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนจะเกิดความขัดแย้งขึ้นหรือไม่ เพราะเป็นคนในครอบครัวชินวัตรนั้น ถ้าจะมองเป็นความขัดแย้งมันก็ขัดแย้ง ขนาดนายสมัคร สุนทรเวช เป็นคนนอกครอบครัวชินวัตร ยังถูกกล่าวหาว่าเป็นนอมินี เรื่องแบบนี้อยู่ที่ใจคนมอง
"เชื่อว่าถ้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะเลือกตั้งแล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจคงทำได้ยาก เพราะวันนี้การเมืองเปลี่ยนไปแล้ว การเมืองภาคประชาชนแข็งแรง อย่าไปกลัวเงาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่าไปกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้น" นายสมศักดิ์กล่าว

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ กล่าวว่า ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งหากประเทศจะมีผู้หญิงเป็นผู้นำประเทศไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะสิทธิสตรีเท่าเทียมกับผู้ชาย ถือเป็นภาพใหม่ อาจมีอะไรดีๆ ก็ได้ ต้องคอยติดตามดู ส่วนทหารหรือตำรวจคงไม่มีสิทธิ์มาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เพราะเป็นข้าราชการประจำ

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวเช่นกันว่า กองทัพไม่มีปัญหา เพราะเราเป็นข้าราชการประจำ หากประชาชนเป็นผู้พิจารณาตกลงใจทหารทุกคนทำงานได้อยู่แล้ว ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลก็ไม่ส่งผลกระทบต่อทหาร เพราะทหารทุกคนทำงานเป็นกลไกของรัฐ เราไม่เคยเลือกที่จะทำงานกับใคร ดังนั้นใครเป็นรัฐบาลก็ไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม ทหารหวังให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้าตามระบอบประชาธิปไตย ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์และเลือกผู้แทนคนที่ประชาชนคิดว่าสามารถนำพาประเทศไปได้ รวมทั้งสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย

“เป็นเรื่องที่สังคมโดยรวมที่ทุกคนต้องเคารพการเลือกตั้ง หากเป็นการเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม ผลออกมาอย่างไรทุกคนต้องยอมรับ ถ้าเราไม่เคารพการตัดสินใจของส่วนรวมในสังคมอยู่ที่ไหนก็มีปัญหา” พ.อ.สรรเสริญกล่าวตอบกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เป็นนายกฯ จะเกิดปัญหาหรือไม่.

ที่มา.ไทยโพสต์
+++++++++++++++++++++++

น้อง‘ประชา’ผวาซ้ำรอยพี่ ขอกำลังตำรวจคุ้มครอง

อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย น้องสาว “ประชา” หวั่นถูกลอบสังหารแบบพี่ชาย ร้องขอกำลังตำรวจตามคุ้มกัน ผบช.ภ.1 เผยภาพกล้องวงจรปิดพบมือปืนใช้รถกระบะสีดำ 2 คันในวันลอบสังหารอดีต ส.ส. ยืนยันคดีมีความคืบหน้าสามารถรวบรวมได้ทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ให้คำมั่นคุ้มครองชีวิตพยานทุกคนเต็มที่

ความคืบหน้าคดีลอบยิงนายประชา ประสพดี อดีต ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภ.1 ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวน เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่อย่างหนักของพนักงานสอบสวนทำให้ได้ข้อมูลเพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องพยานบุคคลและวัตถุพยาน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ได้ชัดเจนว่าคนร้ายใช้รถกระบะสีดำ 2 คันในการก่อเหตุ

“จากการสืบสวนของตำรวจพบว่ามีแนวทางที่สอดคล้องกับข้อมูลที่นายประชาให้มา ซึ่งการทำงานของตำรวจได้พยานหลักฐานที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีพอสมควร โดยเฉพาะพยานบุคคล ซึ่งเราให้ความคุ้มครองทุกคนเต็มที่”

พล.ต.ต.คำรณวิทย์กล่าวอีกว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะร่วมประชุมกับทีมสืบสวนสอบสวน เพื่อรับทราบความคืบหน้าของคดี อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นางนฤมล ธารดำรง อดีต ส.ส. สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย น้องสาวของนายประชา ได้ประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ไปรักษาความปลอดภัย ซึ่งได้จัดทีมไปแล้ว ส่วนผู้สมัคร ส.ส. คนอื่นหากมีการร้องขอมาก็พร้อมดำเนินการทันที

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชนะศึกเพื่อแพ้สงคราม

ถ้าเยอรมันตัดสินใจบุกเกาะอังกฤษ..หลังจากพิชิตแผ่นดินใหญ่ยุโรปไว้ได้อย่างราบคาบใต้ตีนตะขาบกองพลรถถังที่ทรงอำนาจที่สุดในโลก

ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจจะจบไปในอีกรูแบบหนึ่ง..ซึ่งตรงกันข้ามกับประวัติศาสตร์ปัจจุบัน


ถ้าฮิตเล่อร์..ระงับความจงเกลียดอย่างฝังใจที่มีต่อคอมมิวนิสต์รัสเซีย..เป็นมิตรเหนือศัตรูใจใต้..เยอรมันคงไม่แพ้อย่างย่อยยับและต้องประกาศการยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข..จนต้องแยกแตกเป็น 3 ชาติ2แผ่นดินยาวนานหลายสิบปี

หากกองพลรถถังของ จอมพล รอมเมล..ไม่ถูกสั่งให้รอนแรมไปไกลจนถึงทะเลทรายอิยิปต์..จนไม่สามารถจะส่งกำลังบำรุงไปถึง..รอมเมลจะเป็นแม่ทัพเยอรมันผู้พิชิตเกาะอังกฤษ..ไม่ใช่แม่ทัพที่ต้องฆ่าตัวตายเพราะเพราะจงรักภักดีต่อเยอรมันมากกว่าผู้นำอย่างฮิตเล่อร์

หายนะของเยอรมันความวอดวายของแต่ละเมืองใหญ่..ล้วนมาแต่ความกำเริบในชัยชนะจนขาดการประเมินสถานการณ์..และความจำกัดของพลังนักรบ..

พรรคเพื่อไทยในวันนี้..กำลังจะไม่แตกต่างไปจากเยอรมันในวันชนะศึกยุโรป..โพลทุกโพลที่ยืนยันตรงกันว่าพรรคเพื่อไทย..จะเป็นหมายเลข 1 หลังการเลือกตั้งใหญ่ข้างหน้า..

แทนการปรับทัพบุกลงใต้ข้ามไปตีเอาดินแดนของประชาธิปัตย์..ในยามที่สรรพกำลังยังเข็มแข็งในยามที่ฝ่ายตรงกันข้ามกำลังยวบยาบอ่อนแอ..

พรรคเพื่อไทยกลับย่ามใจ สนุกอยู่กับชัยชนะที่ยังไม่เบ็ดเสร็จ ส่งใครก็ได้ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี กดขี่ย่ำยีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นชาติ..หมิ่นประมาทความรู้สึกนึกคิดของคนโดยรวม

นั่นก็เท่ากับที่ฮิตเล่อร์...ไม่ข้ามเกาะยึดอังกฤษ..แถมยังส่งรอมเมลผู้พิชิตไปล่มสลายในภูเขาหิมะของรัสเซีย..

เมื่ออังกฤษตั้งตัวได้..เมื่อคนอังกฤษได้นักพูดผู้ยื่งใหญ่..เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล --ขึ้นมาปลุกปลอบเร้าใจ..ส่งครามก็แปลงโฉม...เยอรมันพบกับความปราชัย...อาณาจักรไรท์ที่หวังจะให้เกิดพังพินาศ..

ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษา..รื่นเริงกับชัยชนะในศึกเพื่อไปแพ้ในสงครามข้างหน้า

โดย. พญาไม้ทูเดย์,บางกอกทูเดย์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////