--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โพลล์ชี้"พท."ชนะ"ปชป."ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์

 
นิด้าโพลเผย พท.ชนะ ปชป.ทั้งเขต-ปาร์ตี้ลิสต์ 23.36% พท. 20.2% ปชป. "เฉลิม" คุยกวาด 20 จว. "ปลอดประสพ" ฟุ้งได้ 270 "สุเทพ" สวน ปชป.มาที่ 1 สองระบบเกิน 200 ลั่นได้ ส.ส.อีสาน-ใต้เพิ่ม พท.โคราชส่อย้ายยกลอต แม้วชู "สลายสีเสื้อ" โค้งสุดท้าย
แม้จะยังไม่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาโปรดเกล้าฯ ลงมาอย่างเป็นทางการ แต่บรรยากาศทางการเมืองของแต่ละพรรคได้เข้าสู่การเตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งอย่างเต็มตัว ขณะที่ผลสำรวจความนิยม(โพลล์) ของแต่ละสถาบันที่ทยอยเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง

ศูนย์สำรวจความคิดเห็นของประชาชน “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “การเลือกตั้งสมัยหน้า และความนิยมของประชาชนต่อพรรคการเมือง” ระหว่างวันที่ 2-3 พฤษภาคม 2554 จากประชาชนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ 1,203 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกภูมิภาค ทุกระดับการศึกษาและกลุ่มอาชีพ ผลสรุปว่า ประชาชน 23.36% เลือกพรรคเพื่อไทย 20.20% เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 2.99% พรรคภูมิใจไทย อื่นๆ เช่น พรรครักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ 0.58% ยังไม่ตัดสินใจ 52.87%

ผลการสำรวจพบว่าประชาชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 26.36% เลือกพรรคเพื่อไทย 20.20% พรรคประชาธิปัตย์ แต่ประชาชน 52.87% ยังไม่ตัดสินใจเลือกพรรคใด และยังคงเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

สำหรับ ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ หรือปาร์ตี้ลิสต์ 35.41% จะเลือกพรรคเพื่อไทย 24.69% เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 3.33% พรรคภูมิใจไทย พรรคอื่นๆ เช่น พรรครักษ์สันติ พรรคมาตุภูมิ 0.33% ที่เหลือ 36.24% ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ

ผลสำรวจความนิยมที่มีต่อพรรคการเมืองหน้าใหม่ พบว่า พรรครักษ์สันติ 14.38% พรรคการเมืองใหม่ 10.72% พรรคมาตุภูมิ 8.73% ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ 66.17% ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่อีก 66.17% ไม่ทราบรายชื่อพรรคการเมืองหน้าใหม่"

"เฉลิม"ชี้โพลล์ มข. พท.กวาดอีสาน20จว.

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.ภาคอีสาน พรรคเพื่อไทย นายอดิศร เพียงเกษ นางบุญรื่น ศรีธเรศ นายนิพนธ์ ศรีธเรศ และนายคมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ได้เปิดเวทีปราศรัยหาเสียงใหญ่ที่ จ.กาฬสินธุ์

ร.ต.อ.เฉลิม ระบุว่า พรรคเพื่อไทย จะชนะการเลือกตั้งในภาคอีสานอย่างท่วมท้นและปฏิเสธที่จะร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยเด็ดขาด หากได้เป็นรัฐบาล และหากผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ตนขอประกาศที่จะไม่เล่นการเมืองตลอดชีวิต

"จากการลงพื้นที่ภาคอีสานอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ทำโพลล์สำรวจ จึงมั่นใจว่าประชาชนจะเลือก ส.ส.พรรคเพื่อไทยครบทั้ง 20 จังหวัด โดยเฉพาะ จ.อุบลราชธานี ประชาชนจะเลือก ส.ส.เพื่อไทย 71% ส่วน และ จ.กาฬสินธุ์ ประชาชนจะเลือกส.ส.เพื่อไทยครบทั้ง 6 เขต เนื่องจากประชาชนชอบนโยบายของพรรค ประกอบกับความล้มเหลวของนโยบายรัฐบาล" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

"ปลอดประสพ"ฟุ้งพท.กวาด270ที่นั่ง

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงว่า พรรคเพื่อไทยพร้อม 99.99% โดยทางภาคใต้พรรคมีผู้สมัครแล้ว อีกไม่กี่วันก็สามารถประกาศรายชื่อได้
เมื่อถามว่าหลังเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับประชาธิปัตย์ได้หรือไม่ นายปลอดประสพ ตอบว่า ไม่ เพราะยืนตรงข้ามกัน มีนโยบายที่แตกต่างกันชัดเจน ส่วนการตั้งเป้าของพรรคคิดว่าน่าจะได้สัก 270 คน จากระบบบัญชีรายชื่อ 70 คน จากเขต 200 คน

"สุเทพ"ไม่สนโพลล์อีสาน พท.ชนะปชป.

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความคืบหน้าในการวางตัวผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคว่า เมื่อถึงเวลาตนก็ต้องเรียนให้ประชาชนทราบอยู่แล้ว เราก็ค่อยๆ ทำไป สัปดาห์หน้าคงเรียบร้อยทั้งหมด

ส่วนผลโพลล์ของมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่ระบุว่า พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำพรรคประชาธิปัตย์ในภาคอีสาน นายสุเทพ กล่าวว่า โพลล์ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ก่อนสมัครรับเลือกตั้งหรือก่อนยุบสภา โพลล์ก็ต้องเป็นอย่างหนึ่ง เมื่อแต่ละฝ่ายลงไปทำงานในพื้นที่หาเสียงโพลล์ก็จะเป็นอีกอย่าง จนกว่าจะวันสุดท้ายตอนที่ไปลงคะแนนเสียงแล้ว แม้แต่เอ็กซิทโพลล์ก็ยังผิดได้ อย่าไปจริงจังมากมาย

สำหรับผลโพลล์ที่ระบุว่าถ้าพรรคใดชนะเสียงข้างมาก พรรคนั้นควรจัดตั้งรัฐบาล โดยที่พรรครองลงมาไม่ควรจัดตั้งแข่ง นายสุเทพ กล่าวว่า ระบบรัฐสภาของประเทศไทยที่เป็นอยู่ทุกวันนี้อยู่ที่ว่า ใครจะรวบรวมเสียงในสภาได้มากที่สุด ถ้าใครรวบรวมเสียงได้เกินครึ่ง สามารถตั้งรัฐบาลได้เขาก็มีสิทธิ์ที่จะทำ แต่ที่พูดไม่ได้หมายความว่าประชาธิปัตย์ได้ที่ 2 แล้วจะไปแย่ง เพราะประชาธิปัตย์มั่นใจว่าได้ที่ 1

ปชป.เกิน200รวมเขต+ปาร์ตี้ลิสต์

เมื่อถามว่า อะไรทำให้มั่นใจ เพราะทุกโพลล์ระบุว่า พรรคเพื่อไทยจะชนะประชาธิปัตย์ ถึงแม้จะชนะไม่เยอะ นายสุเทพ กล่าวว่า ก็แล้วแต่ นั่นโพลล์ของคนอื่น แต่ของตนเราว่าของเราชนะ แม้ว่าจะไม่มากก็ชนะ ทั้ง ส.ส.เขตและบัญชีรายชื่อรวมกันรวมก็จะชนะพรรคเพื่อไทย

“ทางพรรคทำโพลล์มาและมีการประเมินบ้าง แต่ที่ทำให้มั่นใจเพราะประชาชนทั้งประเทศ ได้เห็นพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทย ของมวลชนที่พรรคเพื่อไทยระดมออกมา ประชาชนคงไม่ลืม เอาเป็นว่าประชาธิปัตย์ได้มากกว่า 200 เสียง และในภาคอีสานเชื่อว่าจะได้ ส.ส.เขตเพิ่มจากเดิม จดไว้ได้เลย แปะข้างฝาไว้ได้เลย ส่วนจะเพิ่มเท่าไรไม่บอก แต่ขอให้แฟนๆ พรรคประชาปัตย์สบายใจ สำหรับภาคใต้ก็เพิ่ม ส่วนพรรคมาตุภูมิจะเป็นคู่แข่งในพื้นที่หรือไม่ ผมไม่ไปพูดจาทับถมพรรคการเมืองคู่แข่ง แต่บอกว่าประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพิ่มแน่นอน” นายสุเทพ กล่าว

เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนในพื้นที่ กทม. ต้องค่อยๆ ดูไป เพราะชาวก ทม.อยู่แหล่งข้อมูลข่าวสาร เขาติดตามประเมินสถานการณ์ไปตลอด อย่าไปรีบสรุปแทนประชาชนให้เขาออกมาแสดงความเห็นด้วยตัวเองในวันเลือกตั้ง

ที่มา.คมชัดลึก
//////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำถามถึงคนเสื้อแดงต่อยุทธศาสตร์สองขาของ นปช.

โดย.พิภพ อุดมอิทธิพงศ์

เมื่อวานชมรายการ ”เรื่องเด่นเย็นนี้” ที่สรยุทธ สุทัศนจินดาสัมภาษณ์ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุลเกี่ยวกับการเมืองไทยและการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น มีอยู่หลายครั้งที่ทั้งพิธีกรและวิทยากรพูดถึงอำนาจนอกระบบที่เข้ามาแทรกแซง ระบอบการเมืองไทย พูดถึงความไม่แน่นอนของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น มีอยู่ตอนหนึ่งที่วิทยากรพูดบอกว่า

“ถ้าหากว่าเรามีความสามารถในการแข่งขันฟุตบอลกันตามกติกา ไม่ตีกัน แข่งบอลกันไปได้ กรรมการตัดสินก็ยอมรับ รปภ.จะมายุ่งได้ยังไง รปภ.ของสนามจะมายุติการแข่งขันได้ยังไง ที่ผ่านมารปภ.มายุ่งได้เพราะแข่งบอลกันไม่เป็น แข่งบอลกันไม่ได้ ทำนองเดียวกันรปภ.ก็อย่ามายุ่ง ให้เขาแข่งกันไปตามวิถีทางในประชาธิปไตย”

หมายถึงว่าถ้านักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเอง ตามกติกาที่มีอยู่ได้ ก็จะเปิดโอกาสให้ “รปภ.” หรืออำนาจนอกระบบนั้นเข้ามาแทรกแซงได้ อย่างการทำรัฐประหาร หรือการแทรกแซงผ่านระบบศาลก็ดี

เลยสะกิดใจทำให้นึกถึงการสนทนาที่มีกับเจ้าหน้าที่สถานทูตจากประชาคมยุโรป สามประเทศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการพูดคุยฝ่ายเราประกอบด้วยตัวแทนจากกลุ่ม นปช.หลายคน รวมทั้งนักวิชาการและนักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวในแนวทางของคนเสื้อแดง แกนนำ นปช.และผมพูดระหว่างการสนทนาหลายครั้งถึงการแทรกแซงของอำนาจนอกระบบ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าหน้าที่ทูตถามว่าถ้าในการเลือกตั้งครั้งนี้ผลออกมาเป็น อย่างไร กลุ่มคนเสื้อแดงหรือ นปช.จะยอมรับผลนั้นหรือไม่ และถ้าพรรคของคนเสื้อแดงหรือพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งเข้ามาเป็นเสียง ส่วนใหญ่ พรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้หรือไม่

คำตอบของแกนนำ นปช. ก็คล้ายกับที่ผมคิดในใจ จากประสบการณ์การเมืองที่ผ่านมา มันช่างหาความแน่นอนอะไรไม่ได้ มีการแทรกแซงจากสิ่งที่เราเรียกว่า “อำนาจนอกระบบ” ก็ดีหรือที่เรียกกันติดปากว่า “ระบอบอำมาตย์” จนทำให้กระบวนการที่เราคิดว่าเป็นประชาธิปไตยต้องสะดุดหยุดลง ตัวอย่างที่เราอ้างถึงในวันนั้นก็คือการที่รัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นมาจากการกด ดันของฝ่ายอำนาจเก่าและทหาร หรือที่เรามักล้อกันว่าเป็นรัฐบาลที่จัดตั้งกันในค่ายทหารนั่นแหละ

หลังจากที่ฟังความเห็นเช่นนี้หลายครั้ง ตัวแทนการทูตจากประชาคมยุโรปในวันนั้นบอกว่าตนเองติดตามสถานการณ์เมืองไทย และเห็นการแทรกแซงเช่นนี้มาตลอด แต่คำถามก็คือว่า “ทำไมนักการเมืองของพรรคเพื่อไทย และนักการเมืองพรรคอื่น ๆ ปล่อยให้อำนาจนอกระบบเข้ามาแทรกแซงได้แบบนี้” เขายังตั้งคำถามต่อไปว่า “จริง ๆ แล้วทหารเอาปืนมาจี้หัวให้นักการเมืองทำตามคำสั่งพวกเขาหรือ จริง ๆ แล้วทหารขู่ที่จะฆ่าครอบครัวนักการเมืองหรือ ทำไมนักการเมืองหรือสส.เหล่านั้นจึงไม่ขัดขืนคำสั่งของอำนาจนอกระบบเหล่า นี้”

เมื่อฟังครั้งแรกผมรู้สึกเป็นคำถามที่ไร้เดียงสามาก เพราะเราก็รู้อยู่ว่าอำนาจนอกระบบนั้นมีอิทธิพลมากเพียงใด แต่เมื่อมาฟังที่อาจารย์ปริญญาให้สัมภาษณ์สรยุทธเมื่อวาน และพูดถึงบทบาทของ “รปภ.” ก็อดนึกย้อนหลังไปไม่ได้ว่าสิ่งที่นักการทูตถามและท้าทายก็ดูจะมีความจริง อยู่มาก

คำถามของเขาเป็นการท้าทายว่า "แล้วที่ผ่านมานักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหลาย ทำหน้าที่อะไรบ้างเพื่อต่อต้าน “อำนาจนอกระบบ” หรือ “ระบอบอำมาตย์” ที่ว่า พวกเขาได้ใช้อำนาจของตนในฐานะเป็นผู้แทนปวงชนเพื่อออกมาคัดค้านหรือถ่วงดุล การแทรกแซงอำนาจเหล่านี้อย่างไรบ้าง"

เมื่อมองย้อนกลับไป กลับรู้สึกไม่ได้ว่า สิ่งที่นักการเมืองหรือพรรคการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย หรือพรรคใหญ่อื่น ๆ คาดหวังออกจะเป็นการผลักดันให้กลุ่มคนทั่วไป หรือกลุ่มคนเสื้อแดงหรือนปช.ออกมาเคลื่อนไหวตามท้องถนน เพื่อต่อต้าน “อำนาจนอกระบบ” เช่นนั้นมากกว่า และนำไปสู่การสูญเสียต่างกรรมต่างวาระกัน นำไปสู่การสูญสิ้นซึ่งอิสรภาพ ดังจะเห็นได้จากการจองจำผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยข้อหาที่ไม่เป็นสัดส่วนเหมาะสม

น่าสนใจว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเองเคยตั้งคำถามหรือไม่ว่า “ยุทธศาสตร์สองขา” ที่อ้างว่าแยกการเคลื่อนไหวระหว่างพรรคการเมืองออกจากขบวนการคนเสื้อแดงนั้น อันที่จริงอาจเป็นแค่การตีฝีปาก หมายถึงว่าถ้ามีเรื่องอะไรร้าย ๆ ถ้ามีเรื่องอะไรที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยของชีวิต ของทรัพย์สิน และที่สำคัญคือที่เสี่ยงต่อการสูญสิ้นอิสรภาพ นักการเมืองก็จะให้ประชาชนคนเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหว ส่วนตนเองรอเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเลือกตั้งทุกสี่ปี โดยการแสดงบทบาทในฐานะที่เป็นนักการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย ก็แทบจะไม่เป็นชิ้นเป็นอันเอาเลย กลุ่มคนเสื้อแดงเคยตั้งคำถามเหล่านี้หรือไม่

คำถามอีกข้อที่สะกิดใจจากนักการทูตที่มาจากภาคพื้นที่มีระบอบประชาธิปไตยแบบ เลือกตั้งเข้มแข็งกว่าคือ เขาถามว่าในเมื่อแกนนำเสื้อแดงเคลื่อนไหวอย่างเข้มแข็ง ในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงก็มีความสัมพันธ์กับพรรคการเมืองอย่างเช่น พรรคเพื่อไทยค่อนข้างชัดเจน ทำไมแกนนำเสื้อแดง อย่างเช่นแกนนำในระดับจังหวัดที่คุยด้วยในวันนั้น จึงไม่ลงเลือกตั้งเข้ามาเป็นผู้แทนทั้งในระดับท้องถิ่นหรือในระดับชาติ เพื่อพยายามผลักดันและพัฒนาให้ระบอบการเมืองแบบตัวแทนเข้มแข็งยิ่งขึ้น เป็นการส่งเสริมการต่อสู้กันในระบบ

เช่นกัน ในวันนั้นผมรู้สึกเป็นคำถามที่ธรรมดาสามัญมาก แต่ในวันนี้อดรู้สึกไม่ได้ว่ามีความจริงอยู่มาก ถ้าคนเสื้อแดงต้องการต่อสู้เพื่อสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็งอย่าง จริงจัง ทางเลือกของการเคลื่อนไหวที่สำคัญก็คงรวมถึงการขับเคลื่อนให้ระบบตัวแทนที่ เป็นอยู่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่จะเป็นไปได้ ถ้าพวกเขาไม่ลงมาเป็นตัวแทนปวงชนเองเสียแล้ว ก็คงจะต้องไปกดดันตัวแทนที่พวกเขาเลือกเข้ามาเพื่อให้แสดงบทบาทต่อสู้ขับ เคลื่อนอย่างเต็มที่เช่นเดียวกัน คงไม่ใช่ปล่อยให้เกิดลักษณะการขับเคลื่อนแบบ “สองขา” ที่ฝ่ายหนึ่งได้เป็นส่วนใหญ่ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเสียเป็นส่วนใหญ่เช่นกัน

ตั้งคำถามแบบนี้ คนที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจะโกรธหรือไม่


จากบทความเดิมชื่อ: ถ้านักฟุตบอลในสนามเล่นห่วย รปภ.ก็จะเข้ามาควบคุมเอง

แหล่งที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ออกหมายจับ กัดดาฟี !!?

มิสราตา : ศาลไอซีซีเตรียมออกหมายจับบุคคลในรัฐบาลลิเบียฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ “กัดดาฟี” ติดโผ รัฐบาลโต้มีอคติ เมืองมิสราตาถูกถล่มหนักดับอีก 5 ส่วนฝ่ายต่อต้านขอกู้เงินจาก “ลิเบีย คอนแท็ค กรุ๊ป” 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานคำกล่าวของนายหลุยส์ โมเรโน-โอคัมโป อัยการสูงสุดของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุขับไล่ พ.อ.มูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ลงจากอำนาจหลายพันคนแล้ว ซึ่งไอซีซีเตรียมออกหมายจับบุคคล 3 คนในรัฐบาลลิเบียโดยไม่บอกชื่อ

ด้านเอกอัครราชทูตรัสเซียและแอฟริกาใต้ประจำคณะมนตรีความมั่นคง วิจารณ์การโจมตีของนาโต้เพื่อปกป้องพลเรือนในลิเบียและรัสเซีย กังวลอย่างยิ่งต่อการโจมตีกรุงตริโปลี ซึ่งทำให้บุตรชายของพ.อ.กัดดาฟีเสียชีวิตเมื่อวันเสาร์ ทั้งยังบอกว่าไอซีซีไม่ควรสอบสวนรัฐบาลลิเบียเพียงฝ่ายเดียว

นายโมเรโน-โอคัมโปชี้แจงต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติว่า รัฐบาลลิเบียเตรียมปราบปรามผู้ประท้วงไว้ล่วงหน้าก่อนการประท้วงของฝ่ายต่อต้านเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตูนิเซียและอียิปต์ โดยรัฐบาลได้จ้างทหารรับจ้างตั้งแต่เดือนมกราคม จากนั้นได้ปราบปรามผู้ประท้วงด้วยความรุนแรง ซึ่งเข้าข่ายก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ

นักการทูตเชื่อว่าหมายจับของไอซีซีมี พ.อ.กัดดาฟีเป็นคนแรก ขณะที่ไอซีซีกำลังสอบสวนการเสียชีวิตของสมาชิกฝ่ายต่อต้านที่เมืองเบงกาซีจากฝีมือ “ฝูงชนที่โกรธแค้น” ที่คาดว่าเป็นทหารรับจ้าง

นายคาเลด คาอิม รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศลิเบีย กล่าวว่า การดำเนินการใดๆของนายโมเรโน-โอคัมโปล้วนมีอคติต่อรัฐบาล และเป็นการหาหลักฐานจากข้างเดียว

โฆษกกองกำลังฝ่ายต่อต้านกล่าวว่า กองกำลังของรัฐบาลยิงถล่มเมืองมิสราตาเมื่อคืนวันพุธ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน ในขณะที่องค์การผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ (ไอโอเอ็ม) แถลงว่า เรือ “เรด สตาร์ วัน” ได้อพยพประชาชนราว 800 คน ออกจากที่นั่นท่ามกลางการโจมตีอย่างหนักไปยังเมืองเบงกาซีแล้ว หลังจากเรือลำนี้นำสิ่งของด้านมนุษยธรรม 180 ตันขึ้นฝั่งที่เมืองมิสราตา

ที่กรุงบรัสเซลส์ นายทหารระดับสูงของนาโต้ประชุมกันเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา โดยพันธมิตรยังคงโจมตีทางอากาศกองกำลัง พ.อ.กัดดาฟี แต่ไม่ได้มุ่งสังหารเขา และการโจมตีของนาโต้ซึ่งเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 แล้วจะยังไม่ยุติ

ส่วนที่กรุงโรม รัฐมนตรีต่างประเทศของลิเบีย คอนแท็ค กรุ๊ป (แอลซีจี) ประชุมกันเพื่อหารือคำขอกู้เงินราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ของสภาเพื่อการเปลี่ยนผ่านอำนาจที่เป็นตัวแทนของฝ่ายต่อต้าน ซึ่งสภาแห่งนี้ได้รับการรับรองจากฝรั่งเศสและอิตาลี โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยรัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส อังกฤษ สหรัฐ อิตาลี และกาตาร์ ผู้แทนจากสันนิบาตอาหรับ และสหภาพแอฟริกา (เอยู)

โฆษกสภาเพื่อการเปลี่ยนผ่านอำนาจกล่าวว่า จำเป็นต้องขอกู้เงินด่วน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อใช้ซื้อเวชภัณฑ์ อาหาร รวมถึงของใช้ในโรงพยาบาล และอื่นๆ

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แค่พูดความจริง

ต้องบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองอีกครั้งสำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้ายที่พิสดารและทรหดยาวนานถึง 15 ชั่วโมงของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และมีการอนุมัติงบประมาณกว่า 200 โครงการ หรือเฉลี่ยใช้เวลาพิจารณา 1 โครงการไม่ถึง 5 นาที ซึ่งรัฐมนตรีทุกคนต้องถือเป็นยอดมนุษย์และมีความสามารถเป็นเลิศอีกด้วย

ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงงบประมาณที่อนุมัติไปนั้น วันนี้ยังสับสนว่าเป็นหมื่นล้านหรือแสนล้าน ทั้งที่มีเครื่องมือและเจ้าหน้าที่จดบันทึกการประชุมชัดเจน แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถให้คำตอบชัดเจนว่าได้อนุมัติงบประมาณไปทั้งหมดกี่หมื่นกี่แสนล้าน ทั้งที่รู้ว่าประชาชนต่างจับตามองว่ารัฐบาลจะถือโอกาสทิ้งทวนหรือรุมทึ้งงบประมาณเพื่อผลประประโยชน์ทางการเมืองและพวกพ้องอย่างไร

โดยเฉพาะพรรคฝ่ายค้านที่ออกมาโจมตีว่าหลายโครงการที่อนุมัติส่อเจตนาไม่โปร่งใสและถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เช่น โครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ โครงการที่เสนอโดยพรรคภูมิใจไทยและพรรคประชาธิปัตย์ และเมื่อรวมงบประมาณที่อนุมัติจากการประชุม ครม. 3 นัดสุดท้ายมีวงเงินนับล้านล้านบาท

ขณะที่นายกรัฐมนตรีก็ยัง “ดีแต่พูด” เหมือนเดิม อ้างสารพัดเหตุผลและความจำเป็น แต่เหตุผลที่ต้องทิ้งทวนเป็นร้อยๆโครงการในนัดสุดท้ายนั้น นายกรัฐมนตรีให้เหตุว่า เพราะรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันห้ามไม่ให้ ครม. หลังการยุบสภาอนุมัติงานหรือโครงการใดๆที่มีผลผูกพันกับ ครม. ชุดต่อไป แต่งานของประเทศและแต่ละกระทรวงจำเป็นต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหาต่อไป จึงต้องดำเนินการให้เสร็จก่อนยุบสภา ซึ่งทุกโครงการผ่านการตรวจสอบตามขั้นตอนปรกติของสำนักงบประมาณแล้วทั้งสิ้น

นายกรัฐมนตรีจึงยืนยันว่า การเร่งอนุมัติไม่ใช่การทุจริตคอร์รัปชัน แต่ถ้าโครงการใดที่อนุมัติแล้วคิดว่าไม่เหมาะสมหรือน่าสงสัยก็ให้ถามหรือทักท้วงมา ถ้าชี้แจงไม่ได้ก็จะยกเลิก เพราะทุกอย่างเปิดเผย

คำตอบของนายกรัฐมนตรีก็คงได้แต่พูด เพราะที่ผ่านมามีโครงการมากมายที่ถูกตำหนิ ทักท้วง และท้วงติง แต่ก็มีการอนุมัติ และมีโครงการจำนวนไม่น้อยที่เข้ามาแบบวาระจรหรือที่เรียกว่าตีหัวเข้าบ้าน แต่ไม่เคยมีการยกเลิกหรือทบทวนเลย คือผ่านแล้วก็ผ่านไป จะเตะหมูเข้าปากหมาหรือเข้าปากใครบ้างไม่มีใครรู้ รู้แต่ว่าอิ่มอกอิ่มใจกันทุกฝ่าย

กว่า 2 ปีของรัฐบาลชุดนี้จึงน่าสะท้อนให้เห็นชัดเจนถึงฉายาที่ได้รับว่า “กินมูมมาม งานห่วยแตก” หรือที่ถูกถากถางว่า “บริหารไม่เป็น ยังดีแต่พูดอีกต่างหาก”

คำวิพากษ์วิจารณ์มากมายที่มีถึงการทำงานของรัฐบาลชุดนี้จึงไม่ใช่มาจากพรรคฝ่ายค้านที่หลับหูหลับตาทักท้วงและท้วงติงเท่านั้น แต่ประชาชน นักวิชาการ และนักธุรกิจจำนวนมาก ต่างรู้สึกอึดอัดและอนาถใจกับการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน

ที่มา.หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
**********************************************************************

เมื่อถึงเวลาทหารกลับบ้าน-แล้วไปเลือกประธานาธิบดี

โดย พ.อ. ดร. ธีรนันท์ นันทขว้าง
ข่าวการเสียชีวิตของ อุซามะห์ บิน ลาเดน (Osama Bin Laden) ผู้เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งและหัวหน้ากลุ่มอัลกออิดะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายสากลมุสลิมนิกายซุนนี จากการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐอเมริกา ได้ปรากฏเป็นข่าวที่ตามสื่อทั่วโลก

นอกจากนี้ได้มีประชาชนสหรัฐฯ จำนวนมากออกมาเฉลิมฉลอง แสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนี้เพราะ มีความรู้สึกสะใจ หรือ ดีใจ ที่ความรู้สึกเจ็บปวดจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 ก.ย. 44 ได้รับการสะสางหรือแก้แค้น

อย่างไรก็ตามความดีใจเกิดขึ้นได้ไม่นานก็ปรากฏข่าวสารต่างๆ ที่ทะยอยออกตามมา ภายหลังจากการประกาศอย่างเป็นทางการว่า บิน ลาเดน ได้เสียชีวิต โดย บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่าให้ระมัดระวังการก่อการร้ายในระดับที่สูงสุด เนื่องจากมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการแก้แค้นให้กับ บิน ลาเดน โดยกลุ่มก่อการร้าย



นอกจากนี้การเสียชีวิตของบิน ลาเดน กลับกลายมาเป็นคำถามว่าเขาเสียชีวิตจริงหรือไม่ เพราะมีการส่งภาพที่ตกแต่งโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แพร่กระจายอยู่บนอินเตอร์เน็ต ประกอบกับการปฏิบัติการต่างๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการฝังศพ และ การตรวจ DNA ยืนยัน ทำให้หลายๆ ฝ่ายต่างกังขากับข่าวสารที่ออกมา

ถึงแม้จะมีการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดี โอบามา ยืนยันก็ตาม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ผลกระทบจากการแถลงการณ์ฯ และการเสียชีวิตของ บิน ลาเดน จะนำไปสู่อะไรนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แต่จากนี้ไป กองกำลังของสหรัฐฯ คงจะได้กลับบ้านเพราะภารกิจที่สำคัญได้เสร็จสิ้นลงแล้ว

สถานะปัจจุบันของทหารสหรัฐฯ ในอัฟกานิสถาน และอิรัก

ปัจจุบันกองทัพสหรัฐฯ มีกำลังพลประจำการในอัฟกานิสถาน 90,000 นาย ภายใต้การนำของ องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization : NATO) หรือที่เรียกว่า นาโต้ โดย สหรัฐฯ ได้สูญเสียกำลังไปในสมรภูมิอัฟกานิสถาน 1,406 นาย บาดเจ็บ 10,944 นาย
กองกำลังรับจ้างของสหรัฐฯ (Private Military Company or Contractors) เสียชีวิต 1,764 คน และบาดเจ็บ 11,758 คน (ยอดวันที่ 4/5/54 จากเวปไซต์ Wikipedia) นับตั้งแต่สหรัฐฯ เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน เมื่อเกือบ 10 ปีก่อนหน้านี้ ภายหลังจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรม 11 ก.ย. 44 ด้วยข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงผู้ก่อการร้าย

ส่วนในพื้นทีใกล้เคียงอย่างอิรัก ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีทหารประจำการอยู่ 47,000 นาย เสียชีวิตทหารไป 4.444 นาย บาดเจ็บ 32,051 นาย เป็นทหารชาย 98% ชั้นประทวน 91% ทหารประจำการ 82% กองกำลังทหารป้องกันชาติ (National Guard) 11% ทหารที่เสียชีวิตที่อายุต่ำกว่า 25 ปี 54% ทหารบกเสียชีวิตมากที่สุด 72% สำหรับผู้บาดเจ็บ ที่สาหัสนั้นมีถึง 20% (ข้อมูลจาก เวบ usliberals.about.com)



สำหรับค่าใช้จ่ายของสหรัฐฯ ในการส่งกองกำลังทหารออกมาประจำการในอัฟกานิสถาน ทางส่วนงานวิจัยของสภาสหรัฐฯ (The Congressional Research Service (CRS)) ประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 3.6 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 108 พันล้านบาทต่อเดือน) และรวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอิรัก นั้นปัจจุบัน ใช้งปประมาณไปกว่า 4.01 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 120.3 ล้านล้านบาท)

ส่วนอิรักนั้นสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า โดยทางส่วนงานวิจัยของสภาสหรัฐฯ (The Congressional Research Service (CRS)) และ อิโคโนมิสต์ (The Economist) ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายของสหรัฐฯ ว่าใช้งบประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อสัปดาห์ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาทต่อสัปดาห์) ไปจนถึง 12 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน (ประมาณ 36 หมื่นล้านบาทต่อเดือน) และรวมค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มส่งกำลังเข้าไปในอิรัก นั้นปัจจุบัน ใช้งปประมาณไปกว่า 7.88 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 236.4 ล้านล้านบาท)
ค่าใช้จ่ายรวมทั้งในอัฟกานิสถานและอิรักจนถึงปัจจุบันนั้นสหรัฐฯ ใช้งบประมาณรวม 11.89 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 356.7 ล้านล้านบาท) หากอยากทราบว่าเป็นงบประมาณทีมากแค่ไหน ให้ลองเปรียบเทียบดูกับ GDP ของประเทศไทยในปี 53 อยู่ที่ 584.768 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว สหรัฐฯ จะมีค่าใช้จ่ายในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน ต่อปีนั้นประมาณหนึ่งในสามของ GDP ประเทศไทย

ส่วนสาเหตุที่ค่าใช้จ่ายในอิรักของสหรัฐฯ ใช้งบประมาณที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในอัฟกานิสถาน เพราะสหรัฐฯ รับผิดชอบการปฏิบัติการในอิรักทั้งหมด ส่วนในอัฟกานิสถานนั้น องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ จะเป็นผู้ที่รับผิดชอบหลัก สหรัฐฯ นั้นเพียงแต่ส่งกำลังทหารเข้าร่วม (เข้าร่วมในสัดส่วนมากที่สุด)

โดยในสหรัฐฯ นั้นมีหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ในการส่งกำลังทหารเข้าไปใน อิรักและอัฟกานิสถาน ได้พยายามเผยแพร่ข้อมูลงบประมาณ และการสูญเสีย ตัวอย่างเช่น ในเวปไซต์ cost of war ได้แสดงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลาในหลักวินาที

นโยบายพาทหารกลับบ้าน

หากย้อนไปในช่วงก่อนที่ประธานาธิบดี โอบามา จะขึ้นรับตำแหน่งนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนคือ เขามีนโยบายที่สวนทางกับ อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช ในเรื่องการทำสงครามกับอิรัก ประธานาธิบดี โอบามา นั้นมีท่าที่ต่อต้านการทำสงครามกับอิรัก และยังเคยหาเสียงด้วยซ้ำว่า หากเขาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานธิบดีสหรัฐฯ เขาจะถอนกำลังออกจากอิรักภายใน 16 เดือน

นอกจากนี้ ประธานาธิบดี โอบามา ยังได้แสดงเจตจำนงค์ตอนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีว่า ถ้าหากเขาได้รับเลือกตั้ง เขาจะออกกฎหมายตัดงบประมาณประมาณ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อยุติการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาได้ เพื่อนำมาใช้ในระบบการป้องกันประเทศ มีแนวคิดที่จะลดการพัฒนาขีดความสามารถทางการรบและระบบอาวุธลง รวมถึงการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งหมด
โดยเริ่มจากการลดการสั่งสมอาวุธนิวเคลียร์ที่มีประจำการในปัจจุบันลง อีกทั้งออกกฎหมายห้ามการผลิตหรือหาวัตถุดิบในการผลิตอาวุธ จากทั้งโลก รวมถึงความพยายามในการหาทางเจรจากับรัสเซีย เพื่อลดขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ เพื่อนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่าง สหรัฐฯ กับรัสเซีย

ต่อมาเมื่อโอบามาได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 19 ม.ค. 52 และ เมื่อ เม.ย. 52 ประธานาธีบดี โอบามา ได้เดินทางไปที่อิรัก และกล่าวว่า เขาจะลดทหารสหรัฐฯ และถอนกำลังทหารออกจากอิรักลงในห้วงเวลา 18 เดือนข้างหน้า และให้ชาวอิรัก เลือกแนวทางความมั่นคงและรับผิดชอบตนเอง
หลังจากการตัดสินใจยุติภารกิจในอิรัก โดยการค่อยๆ ลดกำลังทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการลง ทำให้สหรัฐฯ สามารถที่จะเพิ่มกำลังทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานได้ ต่อมาเมื่อ ธ.ค. 52 ประธานาธิบดี โอบามา ได้ประกาศเพิ่มทหารเข้าไปในอัฟกานิสถานจำนวน 35,000 นาย ตามที่ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐฯ และองค์การนาโตในอัฟกานิสถาน ร้องขอ



ในภาพที่ 1 แสดงให้เห็นระดับความรุนแรงของสถานการณ์ที่มีทิศทางที่รุนแรงมากในห้วง ปี 50 และสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง สหรัฐฯ เพิ่มกำลังเข้าไปในอัฟกานิสถาน ในปี 53 โดยการปฏิบัติการทางทหารที่เพิ่มมากขึ้นได้ส่งผลให้ กองกำลัง ISAF เริ่มทำการรุก ทำให้กลุ่มตาลีบาน เสียชีวิตไปกว่า 900 คน และในช่วงดังกล่าวมีการใช้ ระเบิดแสวงเครื่อง (Improvised Explosive Device) จำนวนมาก และส่งผลให้ทหารของ ISAF ที่มีสหรัฐฯ ประจำการเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตมากขึ้นตามไปด้วย

แต่บนการปฏิบัติการทางหหารที่เพิ่มมากขึ้น ในทางกลับกัน ก็เริ่มมีการผลักดันใหเกิดการเจรจา โดยประธานาธิบดี ฮามิด การ์ไซ (Hamid Karzai) ของอัฟกานิสถาน เพื่อให้เกิดสันติภาพมากขึ้นไป โดยความพยายามจะเจรจากับกลุ่มตาลีบาน พร้อมๆ กับการปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ แต่ในช่วงเดือน ก.ค53 สหรัฐฯ ก็เริ่มประสบปัญหาในการปฏิบัติการพอสมควร เนื่องจากชาวบ้านไม่ชอบทหาร ไม่ยอมรับความช่วยเหลือต่างๆ จากกองทัพสหรัฐฯ รวมไปถึงการขว้างปาหินใส่กองกำลังทหารสหรัฐฯ ขณะกำลังลาดตระเวณ

อย่างไรก็ตามตลอดช่วงปี 53 สหรัฐฯ ได้เพิ่มระดับการปฏิบัติการทางทหารจำนวนมาก เพื่อกดดันกับกลุ่มตาลีบาน และสหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะถอนกำลังออกจาก อัฟกานิสถาน โดยส่งมอบการรักษาเสถียรภาพให้กับกองกำลังรักษาความปลอดภัยของอัฟกานิสถาน ในเดือน ก.ค.54 ดังจะเห็นได้จากการเร่งสร้างกองทัพกองทัพบกอัฟกานิสถาน จำนวน 134,000 นาย เมื่อ ต.ค.53 และมีเป้าหมายให้กองทัพอัฟกานิสถานมีกำลังทหารบก 171,000 นาย ภายในปี 54



สำหรับสถานการณ์ในอิรัก ภาพที่ 2 จะแสดงให้เห็นถึงกำลังทหารประจำการในอิรักมีแนวโน้มที่ลดลงตามนโยบายของ ประธานาธิบดี โอบามา ประกาศไว้เมื่อ 1 ก.ย.53 อย่างเป็นทางการว่าจะยุติภารกิจสู้รบของทหารอเมริกันในอิรักที่ดำเนินมานาน 7 ปี และบอกกับชาวอเมริกันว่าภารกิจหลักคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐ

โดยกล่าวชมกองทัพว่าได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ เสียสละ รวมถึงกล่าวว่าภารกิจสู้รบของทหารอเมริกันในอิรักได้ยุติลงแล้ว ต่อจากนี้ไปสหรัฐฯ จะเริ่มถอนกำลังออกจากอิรัก และให้ชาวอิรักจัดการและรับผิดชอบดูแลความมั่นคงของประเทศตนเอง และเขายังได้กล่าวยืนยันว่าเขาได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้งว่าเขาจะนำทหารสหรัฐฯ กลับบ้าน

ผลจากการประกาศยุติการส่งทหารเข้าไปประจำการในอิรัก ของประธานาธิบดี โอบามา ได้มีนักวิเคราะห์หลายคนได้มองว่าการตัดสินใจของประธานาธิบดี โอบามา ครั้งนี้จะส่งผลต่อคะแนนนิยมของเขา 4 ด้านคือ

1) เป็นการทำตามนโยบายที่ได้ให้ไว้ก่อนการเลือกตั้ง ทำให้ได้คะแนนนิยมในด้านการเป็นผู้นำ

2) เป็นการประหยัดงบประมาณจำนวนมหาศาลที่สหรัฐฯ ต้องจ่ายเพื่อทำสงคราม ซึ่งจะส่งผลให้ได้คะแนนนิยมในด้านเศรษฐกิจ

3) เป็นการสงวนทรัพยากรทางทหารเพื่อให้สหรัฐฯ สามารถบริหารจัดการกิจการด้านความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมในด้านความมั่นคง

4) เป็นการเพิ่ม บทบาทที่ดีขึ้นกับประเทศมุสลิม หากมีการถอนทหารออกจากพื้นที่ตะวันออกกลางจริง ซึ่งจะส่งผลให้ได้รับคะแนนนิยมในด้านกิจการต่างประเทศและการทูต

ผลจากการปฏิบัติการสังหารบิน ลาเดน

จากที่กล่าวมาในข้างต้น จะเห็นได้ว่าการที่สหรัฐฯ ส่งกำลังทหารออกมายังตะวันออกกลาง เป็นระยะเวลานาน ด้วยสาเหตุเริ่มแรกคือ ภายหลังจากการก่อวินาศกรรม 11 ก.ย. 44 ด้วยการกล่าวหาว่ากลุ่มอัลกออิดะห์ ที่มี นาย บิน ลาเดน เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมากว่า 10 ปี สหรัฐฯ ได้สูญเสียงบประมาณจำนวนมหาศาล และชีวิตทหารจำนวมาก และยังไม่มีแนวโน้มที่สถานการณ์ต่างๆ จะดีขึ้น
ประกอบกับการเข้าการส่งกำลังออกไปยังอัฟกานิสถานและอิรัก นั้นเป็นนโยบายของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช สังกัดพรรคริพับลิกัน แต่ปัจจุบัน เก้าอี้ประธานาธิบดี ได้เป็นของ โอบามา สังกัดพรรคเดโมแครต ผู้ซึ่งมีนโยบายที่ชัดเจนว่าจะพาทหาสหรัฐฯ ที่อยู่ในอิรัก และอัฟกานิสถาน กลับบ้าน



ประกอบกับเดือน ก.ค. 54 นี้ สหรัฐฯ มีแผนที่จะถอนกำลังออกจาก อัฟกานิสถาน การเสียชีวิตครั้งนี้ของ บิน ลาเดน จึงเป็นเรื่องที่สามารถตอบคำถามการถอนกำลังกลับได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะสาเหตุของการส่งทหารออกเพื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ได้บรรลุผล เป็นการแสดงให้เห็นว่า สหรัฐฯ ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า สามารถซื้อใจประชาชนชาวอเมริกันไว้ได้

ความจริงหากเข้าใจการเพิ่มกำลังทหารสหรัฐฯ ในปี 53 และการเพิ่มระดับการปฏิบัติการทางทหารที่ไล่ล่า ผู้นำตาลีบาน จวบจนกระทั่งเจอบิน ลาเดน และสังหารได้ในที่สุดนั้น เป็นเหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องและสมเหตุสมผล สหรัฐฯ สามารถสังหารผู้นำตาลีบานได้ถึง 900 คน นั่นก็หมายถึง การสลายขีดความสามารถของตาลีบาน ซึ่งเป็นกลุ่มที่คอยคุ้มครองให้กลุ่มอัลกออิดะห์ ทำให้ปรากฏการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนและสอดคล้องกับแผนการถอนทหารที่จะเกิดขึ้น ใน ก.ค. 54 นี้

ถึงแม้การเสียชีวิตของบิน ลาเดนนั้น หลายฝ่ายอาจจะมีข้อสงสัยว่าเขาเสียชีวิตจริงหรือไม่ เขาอาจจะยังไม่เสียชีวิต หรือเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะไม่ว่าจะอย่างไรการเสียชีวิตของ บิน ลาเดน โดยการประกาศอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดภารกิจที่ยาวนาน และเสียงบประมาณและชีวิตคนอเมริกัน ไปจำนวนมาก และกองทัพสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โอบามา ได้เป็นวีรบุรุษผู้ที่ได้แก้แค้นให้กับอเมริกันชน

แต่ความจริงแล้วถึงแม้ สหรัฐฯ จะถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะทิ้งอัฟกานิสถานไปอย่างถาวร แต่ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ได้ลงทุนสร้างสิ่งปลูกสร้างสำรับการเป็นฐานทัพถาวรในอัฟกานิสถาน สองถึงสามแห่ง ประกอบกับ ในปี 53 ที่ผ่านมาได้มีการประกาศจาก เพนตากอน ว่ามีการค้นพบสินแร่ที่มีมูลค่า กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ จนมีการกล่าวกันว่า อัฟกานิสถาน จะกลายเป็น “Saudi Arabia of lithium” หรือ เป็นประเทศที่อุดมไปด้วยลิเทียม

ไม่เพียงแต่มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์แล้ว อัฟกานิสถานยังเป็นประเทศที่มีภูมิรัฐศาสตร์ดีในแง่ภูมิประเทศสูงข่ม เพราะเป็นประเทศที่มีชายแดนติดกับประเทศอิหร่าน ชายแดนติดประเทศปากีสถานที่มีชายแดนติดกับอินเดีย และประเทศทาจิกิสถานที่มีชายแดนติดกับจีน ซึ่งหากมองผ่านมิติภูมิรัฐศาสตร์แล้ว อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มี ภูมิยุทธศาสตร์ดี ที่เชื่อมโยงกับ 3 ประเทศที่มีความเกี่ยวพันเชิงผลประโยชน์กับ สหรัฐฯ คือ อิหร่าน จีน และ อินเดีย



ดังนั้น การปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐฯ ที่เข้าสังหาร บิน ลาเดน จึงกลายมาเป็น จุดเริ่มที่ทหารสหรัฐฯ จะได้กลับบ้านเกิด ไม่ต้องมาเสี่ยงชีวิต ต่อจากนี้ไปจะทำการโอนความเสี่ยงให้กับ กองทัพอัฟกานิสถานให้สู้รบกับตาลีบานต่อไป ส่วนสหรัฐฯ ก็อาจจะคงกำลังไว้ในลักษณะของการเป็นที่ปรึกษาทางทหาร และอาจจะได้ประโยชน์จากการเข้าไปมีสัมปทาน แร่ลิเทียม ในอัฟกานิสถาน

และหลังจากทหารกลับบ้าน ทหารเหล่านั้นและพ่อแม่ญาติพี่น้องของทหารเหล่านั้น ก็จะพากันไปเลือกตั้งประธานาธิบดี ผู้ที่เป็นวีรบุรุษของชาวอเมริกันชน ที่สามารถแก้แค้นให้กับคนทั้งชาติ เรื่องเหล่านี้เป็นแค่นิทานที่ผมเล่า อย่าเชื่อเรื่องเล่าผมแต่ต้องรอดูกันต่อไป ……………….เอวังครับ

*หมายเหตุ* เผยแพร่ครั้งแรกใน Website Tortaharn.net เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2554

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

สนธยา คุณปลื้ม แดงกด-น้ำเงินหด-พลังชลผุด พรรคพลิกไปขั้วไหน-ขั้วนั้นชนะž!!

ตระกูล คุณปลื้มŽ ในบ้านแสนสุข-จ.ชลบุรี มีดีกรีการเมืองทั้งครอบครัว

ตั้งแต่ยุค กำนันเป๊าะŽ ถึงยุค รัฐมนตรี-สนธยาŽ และ นายกเมืองพัทยา-อิทธิพลŽ

สังกัดมาแล้วทั้งพรรคชาติไทย-ไทยรักไทย-พลังประชาชน-ภูมิใจไทย

เมื่อลมการเมืองเปลี่ยนทิศ-อำนาจเปลี่ยนขั้ว ต้องอยู่ระหว่าง เขาควายŽ เสื้อแดงกดดัน-พรรคสีน้ำเงินเพลี่ยงพล้ำ-กระแสสีฟ้า-ประชาธิปัตย์ยังอวลอยู่ในชลบุรี

ตระกูลใหญ่-บ้านแสนสุขต้องปรับตัว-ตั้งพรรคใหม่ พลังชลŽ บนเงื่อนไข ดีกับทุกพรรค รักกับทุกขั้วŽ

พี่ใหญ่-สนธยา คุณปลื้ม ผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองหมายเลข 15 เหลือเวลาอีก 12 เดือนจะได้คืนสนามการเมือง วิเคราะห์ ความเป็นมา-เป็นไปของพรรคพลังชล และอ่านเส้นทางคู่ขัดแย้งทั้ง 2 ขั้ว

เขาบอกว่า ถึงเวลาอยากมีพรรค ตัวเอง เป็นพรรคที่ 2 ในจังหวัดชลบุรี หลังจากมีพรรคแรกที่ก่อตั้งโดยอุทัย พิมพ์ใจชน จากพรรคก้าวหน้าŽ

พรรคก้าวหน้าเป็นแบบอย่างที่ดี เป็นแรงบันดาลใจให้ตั้งพรรคต่อยอดกลุ่มชลบุรี ไม่ได้มียาเร่งที่มาจากความขัดแย้งในพรรคภูมิใจไทยสังกัดเก่าŽ

และเป็นความตั้งใจเดิมที่จะทำพรรค คล้ายกับคอนเซ็ปต์พรรคโคราชของกลุ่มสุวัจน์ ลิปตพัลลภŽ

เหตุผล-ที่มา-ฐานะของพรรค มาจากแรงกด-แรงผลักในชลบุรีล้วน ๆ

ที่ต้องลงมือทำสมัยเลือกตั้งนี้ เพราะความขัดแย้งทางความคิดใน จ.ชลบุรี มีทุกข้าง ทุกสี ทั้งพันธมิตร เสื้อเหลือง เสื้อแดง และเสื้อน้ำเงิน แต่พวกพลังชลŽรู้จักทุกข้าง ภาวะแบบนี้ในฐานะคนในพื้นที่ และไม่ขัดแย้งกับใคร เข้าได้กับทุกกลุ่ม ทุกขั้วŽ

ภาพที่เคยผูกติดกับกลุ่ม เพื่อนเนวินŽ ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคภูมิใจไทย

เป็นภาพของนักการเมืองกลุ่ม 16 ที่ยังสนิทสนมกันมากแม้แยกย้ายไปอยู่ในหลายพรรค แต่ยังมีความแนบแน่นส่วนตัว คบกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ทั้งท่านสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้อำนวยการเลือกตั้งเพื่อไทย ไพโรจน์ สุวรรณฉวี แกนนำกลุ่ม 3 พี ผมกับท่านเนวินถือว่าสนิทกันที่สุดเพราะชอบคุยกันเรื่องฟุตบอลŽ

เขาบอก-ออกจากพรรคภูมิใจไทยแล้วก็ยังคุยกับ เนวินŽ ทุกวัน เขาบอกผมว่า เขาเคารพการตัดสินใจของเรา อยู่พรรคไหนก็ไม่ขัดแย้งกับใคร ถ้าสามารถร่วมงานการเมืองกันได้ก็ไปกันŽ

เหมือนกับตอนที่ออกจากพรรคของ บรรหาร ศิลปอาชาŽ เพื่อไปอยู่กับภูมิใจไทย ท่านบรรหารบอก ก็จากกันด้วยดี ไม่เป็นไร อยู่คนละพรรค แต่เป็นพวกเดียวกัน ผูกพันกันŽ

เขาย้ำว่า กลุ่มผมไม่เคยออกจากพรรคไหนแบบหักหลัง ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์Ž

ความสัมพันธ์กับเครือข่าย ทักษิณŽ ในเพื่อไทย สนธยาŽ โยงให้เห็นภาพว่า เป็นภาพกลุ่ม 16 ในเพื่อไทย มีทั้งพี่สมพงษ์-จำลอง ครุฑขุนทด-วราเทพ รัตนากร เคยทำงานด้วยกันมาก ยังพบปะ พูดคุยเรื่องการเมือง เล่นกอล์ฟกันเสมอŽ

เสียงลือกึกก้องว่า ผลการต่อรอง-เงินทองไม่ลงตัว ระหว่างกระเป๋า เนวิน-สนธยาŽ เขาบอกทันทีที่ถามคำถามนี้ว่า 

ไม่จริง ไม่ได้แยกเพราะเรื่องเงินทอง เรื่องต่อรอง ไม่มีเลย เป็นเรื่องการใส่ความ ดิสเครดิตทางการเมืองŽ

ความจริงเรื่องเงิน-ทองในภูมิใจไทย ในความรู้สึกของ สนธยาŽ คำต่อคำ คือ ถ้าอยู่แล้วเงินเยอะ จะออกมาทำไม ทุกวันนี้เราดูแลตัวเองได้ ทุกกลุ่ม ทุกคนมีกำลังหมดŽ

เหตุผลที่คนการเมือง-พรรคคู่แข่งในสนามชลบุรี ต้องดิสเครดิต พลังชลŽ สนธยาวิเคราะห์ว่า พื้นที่ชลบุรีมีแรงกระเพื่อมทางการเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกที่เราไปร่วมงานกับภูมิใจไทย ก็ถูกโจมตีว่าเราทำงานการเมืองมา 20 ปี ไม่มีผลงานŽ

แรงกระเพื่อมครั้งที่ 2 เราประกาศตั้งกลุ่มชลบุรี ทำให้กระแสการเมืองในพื้นที่เปลี่ยนแปลง เพราะ จ.ชลบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจหลัก-เมืองท่า-ท่องเที่ยว-อุตสาหกรรม ภาพรวมนายกเมืองพัทยาก็มีการเชื่อมโยงกันในระดับประเทศ ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นŽ

สรุปความเคลื่อนไหวว่า ผลการเปลี่ยนขั้ว 2 ครั้ง กระทบโดยตรงกับพรรคประชาธิปัตย์Ž

การตั้งพรรคใหม่แม้ไม่ใช่เหตุผลที่มาจาก เสื้อแดงกดดันจนต้องออกจากพรรคน้ำเงินŽ แต่ก็ปฏิเสธยาก เขาบอกว่า 

ทั้ง 2 ข้างเราก็รู้จัก แต่ที่จะยื่นเงื่อนไขว่า เราไม่ออกจากพรรคสีน้ำเงินแล้วเขาไม่ช่วย...ไม่มี แต่มีข้าง-มีกระแสพรรค เราก็ไม่ได้กดดันตัวเองว่าต้องออกมาŽ

พรรคเกิดใหม่หวังคะแนนทั้งระบบเขต-สัดส่วนไว้ที่ 12 เสียง ในสภาผู้แทนฯ แบ่งเป็นจากชลบุรี 6 คน สัดส่วน 2 คน จันทบุรี-ระยองจังหวัดละ 1 คน รวมกับที่อาจจะได้จากนักการเมืองในพื้นที่อีสานที่อาจมารวมในภายหลังอีก 3 คน

หากมองไปไกลถึงการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง สมมติฐานที่พรรคเพื่อไทยชนะ ได้เป็นรัฐบาลร่วมกับพรรคของ บรรหารŽ จะใช้เครือข่ายกลุ่ม 16 จับมือพลังชล ร่วมเป็นฝ่ายบริหาร เขาบอก ไม่ได้คิดว่ากลุ่ม 16 จะจับมือร่วมกันด้วยเหตุผลที่จะไปร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยŽ

แม้เป็นคนไม่มีสิทธิทางการเมืองในบ้านเลขที่ 111 แต่ในฐานะที่ครั้งหนึ่ง ชื่อ สนธยาŽ เคยถูก ทักษิณŽ เอ่ยนามไว้ว่า เป็นเพื่อนตายŽ

ดังนั้นสถานภาพ เพื่อนตายŽ อาจถูกนำมาใช้เป็นพลังเชื่อม พลังชลŽ เข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยอีกครั้ง
สมมติฐานที่ พลังชลŽ จะมี ส.ส.หลั่งไหลเข้าสภาไม่ต่ำกว่า 1 โหล อยู่ภายใต้พื้นฐานการวิเคราะห์คู่แข่งเป็นรายพรรค อาทิ

พรรคประชาธิปัตย์เดิมเขามี 8 ส.ส. มีทั้งคนที่มีประสบการณ์-ข้าราชการ-นักการเมืองเก่า และกระแสการเมืองคราวที่แล้ว ทำให้ประชาธิปัตย์ชนะหมด คนที่เลือกฝ่ายประชาธิปัตย์ถึงกับออกปากว่า ผมเลือกข้างโดยไม่ได้ดูตัว ผู้สมัครด้วยซ้ำŽ

ฝ่ายพรรคพลังชล ผู้สมัครมีทั้งอดีต ส.ส.-รัฐมนตรี เป็นคนทำงานการเมืองมาตลอด จุดเด่นของฝ่ายเรามีนักการเมืองทุกระดับพื้นที่Ž

พี่ใหญ่-บ้านคุณปลื้มสรุปว่า ในทางการเมือง กระแสŽ เป็นที่พึ่ง ที่หวัง ถ้ากระแสดีก็จะประกอบกันไป เหมือนกับที่ผ่านมา ถ้าเราเลือกข้าง เราก็ชนะ เราอยู่ข้างไหน ก็ชนะทั้ง 2 ข้างŽ

เพราะในเมืองชลบุรีมีอุดมการณ์การเมือง 3 ขั้ว 3 สี คือ ประชาธิปัตย์ (เหลือง)-แดง-น้ำเงิน ถ้าฝ่ายพลังชลพลิกไปรวมกับฝ่ายสีใดสีหนึ่งจะทำให้สีนั้นชนะขาด

อย่างน้อยหากไปรวมกับ ประชาธิปัตย์ž จะทำให้ประชาธิปัตย์ได้แต้มเพิ่มขึ้น หากไปรวมกับเพื่อไทย เขามีโอกาสชนะขาดแน่นอนŽ

จุดแข็ง-ของฝ่ายพลังชล จากสายตาสนธยาคือ ที่ผ่านมาแล้วทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาลกลาง-รัฐบาลท้องถิ่น และเราประสานได้กับทุกกลุ่ม...ตั้งพรรคทั้งทีก็คิดหวังว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลŽ

ทำให้ฝ่ายพวกเราพูดคุยกันว่า ถ้าเราเลือกข้างรวมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เราก็เสีย ลงเลือกตั้งครั้งนี้เราไม่ได้หวังชนะอย่างเดียว สมัยที่มีพรรคเทพ-มาร เราก็แพ้เหลือ ส.ส. 2 คน สมัยปี 2550 กระแสฝ่ายเหลืองแรง เราก็ตก ผลการเลือกตั้งออกมาเรายอมรับŽ

ชัดเจน-เส้นทางการเมืองของ 12 ว่าที่ ส.ส. จึงต้องไปอยู่กับขั้วที่ไม่ทำอะไรให้เกิดความเสียหายกับบ้านเมืองเหมือนทุกวันนี้Ž

การจัดตั้งรัฐบาลมันอยู่ที่ความลงตัวทางการเมือง สมัยท่านอุทัย พรรคก้าวหน้าได้ 3 เสียง ยังได้เป็นประธานสภา พรรคกิจสังคมของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้ 18 เสียง ยังได้เป็นรัฐบาล วิถีการเมืองแบบนั้นยังมีอยู่Ž

ความเชื่อของเขาคือ การจัดรัฐบาลสมัยหน้า เป็นเรื่องของนักการเมือง ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวกับอำนาจภายนอกกระดานการเมืองŽ

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ทิ้งทวนกันเต็มสูบ "ครม."อนุมัติวันเดียว5แสนล้าน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการประชุมครม.นัดสุดท้ายวานนี้ (3 พ.ค.) ที่ประชุม ครม.ได้อนุมัติงบประมาณในทุกหน่วยราชการรวมแล้ว มูลค่า 5 แสนล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบ้านธนาคารอารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และเห็นชอบในหลักการการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการฯ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ วงเงิน 2.5 หมื่นล้านบาท วงเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้ ไม่เกิน 30 ปี และอายุผู้กู้หลักที่ใช้สิทธิรวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 65 ปีอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ปีที่ 1 - ปีที่ 2 เท่ากับ 0% ต่อปี ส่วน ปีที่ 3 - ปีที่ 5 กรณีสวัสดิการ เท่ากับ MRR- 0.50% ต่อปี กรณีรายย่อย เท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป กรณีสวัสดิการ เท่ากับ MRR- 1.00% ต่อปี กรณีรายย่อย เท่ากับ MRR- 0.50% ต่อปี

-การให้ความช่วยเหลือบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพมหานคร จำกัด (มหาชน) ที่ไม่สามารถประกอบกิจการการค้าได้ในช่วงเวลาที่เกิดความไม่สงบในเขตพื้นที่ กรุงเทพมหานคร ระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เฉพาะวันที่บริษัทฯ หยุดให้บริการรถไฟฟ้า BTS จำนวน 5.5 ล้านบาท

- มาตรการสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ย่านราชประสงค์ และพื้นที่ใกล้เคียงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง กรณีผู้ประกอบการที่มีกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังไม่ได้รับสินไหมทดแทน จากบริษัทประกันภัย และเห็นชอบชดเชยค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ในอัตรา 0.75% ต่อปี เป็นเวลา 1 ปี คิดเป็นจำนวนไม่เกิน 15 ล้านบาท โดยใช้วงเงิน 2,000 ล้านบาท

- การรถไฟแห่งประเทศไทย ลงทุนซื้อรถจักรและล้อเลื่อน ตามแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มูลค่า 1.7 แสนล้านบาท เป็นการลงทุนรอบแรก จำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท

- โครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม 62.15 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม

- การดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยใช้เงินกู้ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย ( Asian Development Bank : ADB) ในวงเงินประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

- การดำเนินงานจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลาง (Central Clearing Cleaning House : CCH) โดยใช้เงินกู้ ADB ในวงเงินประมาณ 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

- งบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2555-2561)แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คืองบประมาณตามนโยบายเร่งด่วน 10 โครงการ จำนวน 1.58 หมื่นล้านบาท และเห็นชอบในหลักการแผนงบประมาณขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง อีกจำนวน 371,598.379 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักประกันว่าการปฏิรูปการศึกษาในรอบที่สองจะเดินหน้าตามที่ได้วางระบบและแผนงานต่อไป

- การจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อปรับอัตราค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงาน มหาวิทยาลัย ทั้งมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐและมหาวิทยาลัยในสังกัดของรัฐที่เป็นส่วน ราชการในอัตรา 5% เป็นเงินรวม 397.21 ล้านบาท แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ 14 แห่ง จำนวน 239.66 ล้านบาท มหาวิทยาลัยที่ส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 102.02 ล้านบาท และมหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.)และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) 50 แห่ง จำนวน 55.53 ล้านบาท

- งบประมาณจัดสรรเพิ่มสำหรับพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างโดยเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย สำหรับใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2554 เป็นระยะเวลา 6 เดือน เป็นเงินจำนวน 174.91 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่เป็นส่วนราชการ 15 แห่ง จำนวน 93.03 ล้านบาท มรภ.และ มทร. 50 แห่งจำนวน 81.88 ล้านบาท

- ค่าตอบแทนพิเศษเพิ่มเติมให้กับกำลังพลกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 293 ล้านบาท

- โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้า ระยะที่ 9 ส่วนที่ 1 วงเงินลงทุน 7,060 ล้านบาท ส่วนที่ 2 วงเงินลงทุน 4,540 ล้านบาท ส่วนที่ 3 วงเงินลงทุน 15,085 ล้านบาท และส่วนที่ 4 วงเงินลงทุน 4,485 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินลงทุนทั้งสิ้น 31,170 ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ในประเทศ จำนวน 23,374 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟภ. จำนวน 7,796 ล้านบาท และเห็นชอบการกู้เงินในประเทศของโครงการดังกล่าวต่อไป

- การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเพิ่มเงินตอบแทนพิเศษให้แก่พนักงานในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้จากอัตราคนละ 2,500 บาทต่อเดือน เป็นอัตราคนละ 5,000 บาทต่อเดือน

- ศอ.บต. จำนวน 180 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนใน12อำเภอ พื้นที่3จังหวัดชายแดนใต้

- เช่ารถยนต์ เพื่อใช้ในราชการในกรมการพัฒนาชุมชน เป็นงบก่อหนี้ผูกพัน 2554-2557 จำนวน 152 ล้านบาท เบื้องต้นจะเช่ารถจำนวน 235 คัน แบ่งเป็นรถบรรทุกดีเซล 1 ตัน ขับเคลื่อน 2 ล้อ และ 4 ล้อ รวมถึงรถประจำตำแหน่งอธิบดีและรองอธิบดี

- โครงการประชาสัมพันธ์การขยายความคุ้มครองประกันสังคม มาตรา 40 งบประมาณ 200 ล้าน

- โครงการสร้างพิพิธภัณฑ์พระราม 9 มูลค่า 1.8 พันล้านบาท เพื่อเฉลิมฉลองปีมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบรอบ 84 พรรษา

- โครงการกรุงเทพเมืองปลอดภัยห่างไกลอาชญากรม งบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2554 (งบกลาง) จำนวน 123 ล้านบาท

- โครงการสร้างสนามกีฬาใน 9 จังหวัด ได้แก่ จ.ชลบุรี จ.ศรีสะเกษ จ.อุดรธานี จ.บึงกาฬ จ.กระบี่ จ.ยะลา จ.แม่ฮองสอน จ.ลำปาง และจ.สุโขทัย

- โครงการแก้ไขปัญหาความยากจนเกษตรกร และเกษตรกรที่ไม่มีที่ทำกิน วงเงินจำนวน 1,641 ล้านบาท

- โครงการพัฒนาธุรกิจทางอิเล็คโทรนิค ปี 2555 วงเงิน 258 ล้านบาท

- โครงการผลิตทรัพยากรบุคคลตามโครงการตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ปี 2555 -2564 เบื้องต้นได้วางกรอบงบประมาณไว้ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท

- โครงการส่งเสริมการตั้งครรภ์อย่างมีคุณภาพ กำหนดเริ่มดำเนินการในช่วงเดือน ก.พ. 2554 และโครงการ “พ่อแม่มือใหม่เลี้ยงลูกถูกวิธี” เพื่อดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการปฏิรูปประเทศไทย จำนวน 415 ล้านบาท


ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เบื้องลึก เบื้องหลัง และคำถาม จากการตายของ บิน ลาเดน

หนึ่งวันหลังข่าวการเสียชีวิตของ “โอซามา บิน ลาเดน” ก็มีรายละเอียดของเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเบื้องลึก หรือคำถามที่ยังรอคำตอบ ดังนี้

ข่าวกรอง: สหรัฐรู้ที่อยู่ของ “โอซามา บิน ลาเดน” ได้อย่างไร

  • รอยเตอร์บอกว่า ข้อมูลแรกสุดของ “คนเดินสาร” ของบิน ลาเดน มาจาก “นักโทษ” ผู้ก่อการร้ายที่ถูกคุมขังอยู่ในยุโรปตะวันออก โดยข้อมูลคือนี้ “นามแฝง” ของคนเดินสารที่บิน ลาเดน เชื่อใจมาก
  • ส่วน CNN ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปเล็กน้อยว่า ข้อมูลมาจากนักโทษที่ถูกคุมขังไว้ที่อ่าวกวนตานาโมในคิวบา โดยพูดถึงชื่อ “Abu Ahmad al Kuwaiti” หลายครั้ง ซึ่งใกล้ชิดกับ “Khalid Sheikh Mohammed” สมาชิกระดับสูงของอัลไคดา ซึ่งเป็นชาวคูเวต
  • ซีไอเอใช้เวลาถึง 4 ปีในการหาว่าคนเดินสารคนนี้มีชื่อจริงว่าอะไรกันแน่
  • พลนำสารคนนี้ใกล้ชิดกับ Mohammed และสมาชิกระดับสูงอีกคนของอัลไคด้า ชื่อ Abu Faraj al Libi ชาวลิเบีย ที่เคยเป็นผู้นำอันดับสามของอัลไคด้า ก่อนจะโดนจับในปี 2005
  • ซีไอเอระบุได้ว่าพลเดินสาร “Abu Ahmad al Kuwaiti” คนนี้เป็นคนหนึ่งที่ส่งข้อมูลและแผนซ้อมปฏิบัติการให้กับทีมก่อวินาศกรรม 9/11 (แต่เป็นทีมที่ไม่ได้ออกปฏิบัติการในท้ายที่สุด)
  • มีรายงานว่า “Abu Ahmad al Kuwaiti” เดินทางร่วมกับบิน ลาเดน ในที่ราบสูง Tora Bora ก่อนที่บิน ลาเดน จะหายไปตัวไป
  • ซีไอเอสามารถดักฟังโทรศัพท์ของคนเดินสารคนนี้ได้ช่วงเดือนสิงหาคมปี 2010 ทำให้รู้ว่าที่อยู่ของคนเดินสารคนนี้อยู่ที่ไหน โอบามาได้รับแจ้งข่าวสารนี้ในอีก 1 เดือนถัดมา
  • กุมภาพันธ์ 2011 หน่วยข่าวกรองสหรัฐได้ข่าวน่าเชื่อถือสูงว่า “บิน ลาเดน” น่าจะอยู่ในบ้านหลังนี้
  • มีนาคม-เมษายน 2011: โอบามาประชุมกับทีมด้านความมั่นคงของทำเนียบขาวอย่างน้อย 5 ครั้ง ว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่กับข่าวนี้
แผนผังแสดงบริเวณบ้านที่บิน ลาเดน พักอาศัยอยู่ (ภาพจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ)

แผนปฏิบัติการเด็ดชีพบิน ลาเดน: การตัดสินใจของโอบามา

  • โอบามา มี 3 แนวทางให้เลือกในการปฏิบัติการ ได้แก่ ทิ้งระเบิดด้วยเครื่องบินสเตลท์, จู่โจมด้วยกองกำลังทางเฮลิคอปเตอร์, รอต่อไปเพื่อหาข้อมูลให้มากขึ้นว่าบิน ลาเดน อยู่ในบ้านหรือไม่
  • โอบามาปฏิเสธแนวทางการทิ้งระเบิด เพราะมีความเสี่ยงสูงว่าบิน ลาเดน จะไม่อยู่ในบ้าน และอาจสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์
  • สำหรับแผนการจู่โจมด้วยกองกำลังนั้น สหรัฐได้สร้าง “บ้านจำลอง” เลียนแบบบ้านของบิน ลาเดนในแผ่นดินสหรัฐ และซ้อมปฏิบัติการหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายน 2011
  • การประชุมเพื่อหาแนวทางปฏิบัติการเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสที่ 28 เมษายน ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งที่ปรึกษาของโอบามาก็มีความเห็นแยกเป็นสองทาง ส่วนตัวโอบามาเองขอเวลาคิด 1 คืน
  • ช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 29 เมษายน ก่อนที่โอบามาจะเดินทางไปเยี่ยมผู้ประสบภัยจากทอร์นาโดในสหรัฐ เขาก็บอกคณะที่ปรึกษาว่าตัดสินใจเลือกหนทางบุกจู่โจม และเซ็นคำสั่งอนุมัติการจู่โจมในวันเดียวกัน
  • โอบามาตัดสินใจบุกทันที เพราะเกรงว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า จะทำให้บิน ลาเดน ย้ายที่อยู่หนีไปได้
  • สหรัฐไม่ได้แจ้งแผนปฏิบัติการครั้งนี้ให้ปากีสถานทราบ เพราะกลัวข่าวรั่ว คนที่รู้มีเพียงคนสนิทของโอบามาไม่กี่คนเท่านั้น
  • โอบามาเครียดมากกับเรื่องนี้ แต่เขาก็ตีหน้าตายไปร่วมงานต่างๆ ในช่วง 3-4 วันก่อนปฏิบัติการเริ่มต้น ซึ่งรวมไปถึงงานเลี้ยงของนักข่าวทำเนียบขาว ที่เขาไปเข้าร่วมอย่างรื่นเริง
ภาพถ่ายจากภายนอกบ้านบินลาเดน เห็นรั้วสูงและลวดหนามล้อมรอบ (ภาพจาก CNN)

รายละเอียดวินาทีกองกำลังสหรัฐโจมตีบ้านของบิน ลาเดน

  • แผนปฏิบัติการครั้งนี้มีชื่อว่า “Geronimo”
  • เวลาที่ปฏิบัติการคือช่วงประมาณเที่ยงคืน-ตีหนึ่งครึ่งตามเวลาท้องถิ่น จากการรายงานของ BBC โดยอ้างประชาชนในพื้นที่
  • หน่วย SEAL ของอเมริกาเดินทางไปยังบ้านพักด้วยเฮลิคอปเตอร์ ตามแผนนี้จะใช้ทีม 12 คน (BBC รายงานว่า 15-25 คน)
  • แต่เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งเกิดปัญหาขณะลอยอยู่เหนือบ้านของบิน ลาเดน เหตุเพราะขาดอากาศที่ช่วยพยุงตัวของเฮลิคอปเตอร์ (เพราะกำแพงภายในบ้านของบินลาเดน มีความสูงมาก) เฮลิคอปเตอร์ลำนี้จึงลงจอดฉุกเฉินในบริเวณใกล้เคียง แต่แผนปฏิบัติการยังเดินหน้าต่อไป โดยส่งเฮลิคอปเตอร์สำรองมารับทีมปฏิบัติการภายหลัง
  • หน่วยปฏิบัติการที่เหลือโรยตัวลงมาด้วยเชือก และฆ่าลูกน้องของบิน ลาเดนที่อยู่นอกบ้าน
  • จากนั้นหน่วยปฏิบัติการบุกเข้าไปยังตึกพักหลัก พบกับบิน ลาเดนที่ชั้นสาม เขาขัดขืนการจับกุม และโดนยิงเข้าที่หัวกับหน้าอก หัวหน้าทีมปฏิบัติการสามารถยืนยันตัวตนว่าเป็นบิน ลาเดน ได้ทันที
  • ยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าบิน ลาเดน ยิงตอบโต้หรือไม่ โดยข่าวสับสนระหว่างยิงกับไม่ยิง
  • เมื่อบิน ลาเดน เสียชีวิต หน่วยปฏิบัติการได้แจ้งไปยังหน่วยบัญชาการว่า “Geronimo E KIA” หรือ เป้าหมายเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ
  • หลังทีมปฏิบัติการได้ศพของบิน ลาเดนแล้ว ก็ออกมาทำลายเฮลิคอปเตอร์ลำที่มีปัญหา
  • เมื่อปฏิบัติการเสร็จสิ้น เฮลิคอปเตอร์ได้พาทีมปฏิบัติการออกนอกประเทศ โดยเมื่อออกจากชายฝั่งของปากีสถาน แต่ยังอยู่ในน่านฟ้าปากีสถาน ทางกองทัพอากาศปากีสถานค้นพบเฮลิคอปเตอร์เหล่านี้ แต่ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นมิตรหรือศัตรู จึงได้ส่งเครื่องบินออกมาตรวจสอบ แต่ไม่เกิดการปะทะอะไรขึ้น
  • ผู้เสียชีวิตจากการโจมตีได้แก่ตัวบิน ลาเดนเอง, ลูกชายของเขาชื่อ Khalid, สมาชิกคนหนึ่งของอัล ไคด้า และผู้หญิงไม่ปรากฏชื่อคนหนึ่ง ส่วนภรรยาของบิน ลาเดน ถูกยิงแต่ไม่เสียชีวิต
  • ปฏิบัติการทั้งหมดใช้เวลา 40 นาที (รายละเอียดจาก CNN)
บารัค โอบามา และผู้บริหารระดับสูงในห้อง Situation Room ของทำเนียบขาว (ภาพจากเว็บไซต์ทำเนียบขาว)

โอบามาเฝ้าดูปฏิบัติการตลอดเวลาจากทำเนียบขาว

  • ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ติดตามดูปฏิบัติการนี้ในห้องเฝ้าดูสถานการณ์ Situation Room ของทำเนียบขาว โดยทีมปฏิบัติการในพื้นที่ถ่ายทอดทั้งภาพและเสียงกลับมายังสหรัฐ
  • ทุกคนในห้องเฝ้าสถานการณ์อยู่เงียบๆ และกระวนกระวาย John Brennan ที่ปรึกษาด้านการก่อการร้ายของทำเนียบขาวบอกว่า “รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก”
  • กลุ่มคนที่อยู่ในห้องเฝ้าสถานการณ์คือ โอบามา, John Brennan, รมว. ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน, รมว. กลาโหม โรเบิร์ต เกตส์, และที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ Tom Donilon ส่วน Leon Panetta ผู้อำนวยการซีไอเอ นั่งดูปฏิบัติการอยู่ที่สำนักงานซีไอเอ
  • เมื่อทีมปฏิบัติการรายงานผลความสำเร็จ โอบามาพูดว่า “We got him, guys”

อเมริกาฉลองชัยหลังปฏิบัติการสำเร็จ

  • เหล่าผู้นำจากพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครต ยืนปรบมือ (standing ovation) ให้กับประธานาธิบดีบารัค โอบามา สำหรับความสำเร็จในการเด็ดชีพบิน ลาเดน
  • ประธานาธิบดีโอบามา จะเดินทางไปยังนิวยอร์ค เพื่อแสดงความสำเร็จในการต่อสู้กับการก่อการร้าย ในวันพฤหัสบดีนี้
  • สหรัฐยังลังเลกับการเผยแพร่ภาพศพของบิน ลาเดน รวมถึงวิดีโอแสดงการทิ้งศพของเขาลงในทะเลด้วย เพราะเกรงว่าจะสร้างความไม่พอใจจากโลกมุสลิมยิ่งขึ้น
แผนที่บ้านพักของบิน ลาเดน แสดงโรงเรียนนายร้อยอยู่ไม่ห่างไปนัก (ภาพจาก MSNBC)

คำถามถึงปากีสถาน: บิน ลาเดน มาอยู่ที่ไหนได้อย่างไร?

  • คำถามที่สำคัญของปากีสถานก็คือ “บิน ลาเดน” มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ทางการปากีสถานรู้เรื่องนี้หรือไม่ และถ้ารู้ ก็มีคำถามต่อว่ารู้เมื่อใดกันแน่
  • ปากีสถานไม่รู้อะไรเลยจริงๆ หรือมีบางคนในรัฐบาลปากีสถานให้ความคุ้มครองกับบิน ลาเดน กันแน่
  • วุฒิสมาชิก Susan Collins จากพรรครีพับลิกัน ให้ความเห็นว่า ปากีสถานน่าจะเล่นเกมสองหน้า รับเงินสนับสนุนจากสหรัฐ ในขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับอัล ไคด้า เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีภายในประเทศ
  • ในการทูตอย่างเป็นทางการ รมว. ต่างประเทศ ฮิลลารี คลินตัน กล่าวว่า “ปากีสถานมีส่วนอย่างมากที่ช่วยให้เรารู้ว่าบิน ลาเดน อยู่ที่ไหน”
  • John Brennan ที่ปรึกษาด้านการก่อการร้ายของทำเนียบขาว ให้ความเห็นว่า “บิน ลาเดน” ต้องมีคนและระบบที่ช่วยสนับสนุนให้เขาอาศัยอยู่ในปากีสถานได้ และสหรัฐจะค้นหาระบบนี้ต่อไป
  • บ้านของบิน ลาเดน มีมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30 ล้านบาท)
  • Brennan ยังบอกว่าบ้านของบิน ลาเดน นั้นผิดสังเกตมากสำหรับบ้านที่พักในละแวกเดียวกัน เนื่องจากมีกำแพงสูง มีระบบเผาขยะของตัวเอง
  • บ้านของบิน ลาเดน อยู่ห่างจากโรงเรียนนายร้อยของปากีสถานเพียง … เท่านั้น และในเมืองยังมีค่ายทหารของปากีสถานตั้งอยู่ด้วย
  • แหล่งข่าวของสหรัฐระบุว่า ทีมปฏิบัติการจู่โจมบ้านของบิน ลาเดน ได้ข้อมูล เอกสาร หลักฐาน ฮาร์ดดิสก์ ดีวีดี กลับมาอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งหน่วยข่าวกรองของสหรัฐน่าจะได้ประโยชน์จากข้อมูลเหล่านี้ในการแกะรอย “อัล ไคด้า” ที่ยังเหลืออยู่ รวมถึงอาจจะได้ที่อยู่ของ Ayman al-Zawahri เบอร์สองของอัล ไคด้าด้วย

ปฏิกริยาของชาวปากีสถาน

  • ชาวเมือง Abbottabad รายงานเสียงเฮลิคอปเตอร์ในคืนวันปฏิบัติการ แต่ปากีสถานรายงานว่าเป็นการซ้อมรบ
  • ชาวเมืองประหลาดใจกับเรื่องนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าบิน ลาเดนอยู่ที่นั่น ชาวเมืองบางคนไม่พอใจรัฐบาลปากีสถาน ทั้งในแง่ปล่อยให้บิน ลาเดนมาหลบหนีในเขตใกล้ค่ายทหาร และแง่ว่าปล่อยให้กองกำลังต่างชาติเข้ามาปฏิบัติการตามใจชอบ – CNN

ระดับเตือนภัยการก่อการร้ายเพิ่มสูง เกรงการล้างแค้น

  • สมาชิกคนหนึ่งของอัลไคด้า ประกาศว่าจะล้างแค้นต่อการฆ่า ชีคแห่งอิสลาม’ (หมายถึงบิน ลาเดน)
  • กลุ่มก่อการร้าย Tehrik-e Taliban Pakistan (TTP) แถลงการณ์ว่าภูมิใจในตัวบิน ลาเดน และสัญญาว่าจะล้างแค้นอเมริกาอย่างแน่นอน โดยระบุว่ามีหน่วยปฏิบัติการแฝงตัวอยู่ในสหรัฐแล้ว และจะส่งเข้าไปเพิ่มอีก – CNN
  • รมว. ต่างประเทศคลินตัน ประกาศเตือนกลุ่มก่อการร้ายว่าจะไม่มีวันเอาชนะอเมริกาได้ และขอให้หยุดปฏิบัติการทั้งหมดร่วมกับอัล ไคด้า หันมาสร้างการเมืองที่สงบสุขแทน
  • อย่างไรก็ตาม อัลไคด้าหมดกำลังลงไปมากเมื่อเทียบกับช่วง 9/11 และตอนนี้มีสภาพคุกคามโลกตะวันตกไม่ต่างอะไรกับกลุ่มก่อการร้ายทั่วไป
  • ช่วงหลังอัลไคด้า ทำหน้าที่สอนและส่งเสริมกลุ่มก่อการร้ายอื่นๆ มากกว่าการปฏิบัติการเอง – BBC
  • อดีตซีไอเอให้ความเห้นว่า อัล ไคด้า ไม่มีผู้นำที่โดดเด่นแบบบิน ลาเดนอีกแล้ว
ข้อมูลส่วนใหญ่จาก MSNBC

คัดมาจาก.Siam Intelligence Unit

////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แฉครม.นัดสุดท้าย3พ.ค.ทิ้งทวนงบ1.2แสนล้าน

โฆษกเพื่อไทยแฉได้รับข้อมูลการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้ายก่อนยุบสภาวันที่ 3 พ.ค. นี้จะมีการอนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆแบบเทกระจาดทิ้งทวนรวมยอดสูงถึง 120,000 ล้านบาท โดยจะกระจายไปยังรัฐมนตรีทุกพรรคร่วมรัฐบาลอย่างทั่วถึง จี้นายกรัฐมนตรีถอนเรื่องไม่สำคัญออกไปก่อนเพราะเกรงเป็นภาระให้รัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้งเข้ามาแก้ปัญหา เย้ยรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯเรทติ้งต่ำที่สุดตั้งแต่มีนายกฯจัดรายการมา ด้าน “อภิสิทธิ์” ยืนยันไม่มีการอนุมัติโครงการทิ้งทวน สั่งทุกหน่วยงานแล้วให้เสนอแต่เรื่องสำคัญ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ได้รับข้อมูลว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดสุดท้ายก่อนประกาศยุบสภาวันที่ 3 พ.ค. นี้จะมีการเสนออนุมัติงบประมาณโครงการต่างๆแบบทิ้งทวนรวมมูลค่าสูงถึง 120,000 ล้านบาท

“จะเป็นการเทกระจาดไปยังรัฐมนตรีในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างทั่วถึง ถือว่าขัดต่อหลักการและทำร้ายจิตใจประชาชน เนื่องจากรัฐบาลที่ใกล้หมดอำนาจไม่ควรอนุมัติโครงการใดๆอีก เพราะถือเป็นการโยนภาระให้รัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาหลังเลือกตั้ง เป็นมรดกบาปที่รัฐบาลนี้จะทิ้งเอาไว้ให้ จึงอยากเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี พิจารณาทบทวนยกโครงการที่ไม่สำคัญออกจากการพิจารณาของ ครม.”

นายพร้อมพงศ์กล่าวถึงรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ที่ออกอากาศครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 1 พ.ค. ที่ผ่านมาว่า พรรคได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วทุกภาค ภาคละ 500 คน พบว่ามีประชาชนติดตามรายการของนายอภิสิทธิ์น้อยมากเพียงร้อยละ 17.5 ซึ่งแตกต่างอย่างมากกับสมัยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ได้หารือกับรัฐมนตรีทุกกระทรวงแล้วว่าให้เสนอเรื่องที่เร่งด่วนในการประชุม ครม. วันที่ 3 พ.ค. แต่จะไม่มีการพิจารณาโครงการอะไรทิ้งทวนโดยไม่ผ่านการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเมื่อยุบสภาแล้วก็ให้ดูว่าเรื่องอะไรควรทำและไม่ควรทำ อย่างไรก็ตาม การทำงานต้องทำเต็มที่ต่อไป ไม่ปล่อยให้เกิดสุญญากาศ

ที่มา.หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โอซามา บิน ลาเดน. ตายแล้ว! สหรัฐยืนยันปฏิบัติการสังหารในปากีสถาน .

ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงข่าวอย่างเป็นทางการว่าสหรัฐอเมริกาสามารถ “จับตาย” โอซามา บิน ลาเดน ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก และผู้วางแผนก่อการร้ายถล่มตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เมื่อ 10 ปีก่อน

สังหาร “บิน ลาเดน” ในปากีสถาน

โอบามาบอกว่าเมื่อสัปดาห์ก่อนได้รับข่าวกรองจากซีไอเอในปากีสถานว่า ค้นพบบิน ลาเดน ในบ้านพักแห่งหนึ่งชานเมืองหลวงอิสลามาบัด ประเทศปากีสถาน จึงอนุมัติให้ทีมปฏิบัติการพิเศษเข้าโจมตีในวันนี้ (ตามเวลาสหรัฐ) ซึ่งทีมที่ส่งเข้าไปมีจำนวนไม่มากเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียต่อประชาชนอื่น ซึ่งบิน ลาเดน และคนสนิทเสียชีวิตจากปฏิบัติการของสหรัฐ และสหรัฐได้ศพของบิน ลาเดน กลับมา

จุดจบของบิน ลาเดน ในครั้งนี้ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุด “สงครามกับการก่อการร้าย” (War on Terrorism) ซึ่งประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นคนริเริ่มเมื่อปี 2001 หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ที่นครนิวยอร์ก




ในแถลงการณ์ของโอบามายังยืนยันว่า นี่เป็นการต่อสู้กับการก่อการร้าย ไม่ใช่ต่อสู้กับโลกอิสลาม และนี่เป็นสงครามที่อเมริกาไม่ได้เป็นคนต้องการเริ่ม สุดท้ายโอบามาได้ขอบคุณชาวอเมริกันทุกคนที่ช่วยเหลือให้อเมริกาผ่านพ้นช่วงเวลา 10 ปีนี้มาได้

บิน ลาเดน กับนักข่าวปากีสถานในปี 1997

ย้อนรอย “โอซามา บิน ลาเดน”

โอซามา บิน ลาเดน เกิดในตระกูลเศรษฐีของซาอุดีอาระเบียเมื่อปี 1957 (ปัจจุบันอายุ 54 ปี) พ่อของเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์ซาอุฯ ส่วนแม่ของเขาเป็นภรรยาคนที่สิบ ซึ่งภายหลังหย่ากับพ่อของเขาและไปแต่งงานใหม่
บิน ลาเดน จบการศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และบริหารธุรกิจจากมหาวิทยาลัยคิง อับดุลลาซิส (King Abdulaziz University) ในเมืองเจดดาห์ ซาอุดีอาระเบีย เขาแสดงความสนใจในศาสนามาตั้งแต่วัยรุ่น โดยมีรายงานว่าเขาศึกษาคัมภีร์อุลกุรอ่าน และแนวคิดของสงครามศาสนา “จิฮัด” มาตั้งแต่สมัยเรียน

หลังจบการศึกษา เขาเข้าร่วมกับกองโจรมูจาฮีดีนของอัฟกานิสถาน เพื่อต่อต้านการรุกรานของโซเวียตในปี 1979 จากนั้นในปี 1984 บิน ลาเดนก็จัดตั้งเครือข่ายสนับสนุนอัฟกานิสถานโดยอาศัยทรัพย์สินส่วนตัวของเขา เอง ขยายเครือข่ายครอบคลุมโลกอาหรับทั้งหมด และโอนถ่ายเงิน อาวุธ ทรัพยากร เข้าไปยังอัฟกานิสถาน

แต่บิน ลาเดน ก็ออกจากเครือข่ายนี้ในปี 1988 โดยให้เหตุผลว่าเขาต้องการบทบาททางการทหารมากกว่าการสนับสนุนจากภาคพลเรือน เขาจึงตั้งเครือข่ายติดอาวุธ อัล ไคด้า (Al Qaeda) ขึ้นมาในปีเดียวกัน เขาเปลี่ยนนโยบายมาเป็นต่อต้านสหรัฐหลังซาอุดีเปิดประเทศให้กองทัพสหรัฐเข้า มาในปี 1990 เขาถูกขับไล่ให้ไปอยู่ในซูดานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะกลับมายังอัฟกานิสถาน

ช่วงทศวรรษ 1990s บิน ลาเดน และกลุ่มอัล ไคด้า ก็มีบทบาทอย่างมากในการก่อการร้ายตามจุดต่างๆ ของโลกตะวันตก รวมถึงชาติอาหรับที่สนับสนุนโลกตะวันตก ก่อนจะมาสร้างชื่อกระฉ่อนโลกจากเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 ซึ่งตามมาด้วยสงครามอัฟกานิสถานของสหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน และทำให้บิน ลาเดน ในฐานะ “ผู้ก่อการร้ายอันดับหนึ่งของโลก” ต้องหลบหนีและหายตัวไปเป็นเวลาถึงสิบปี!

ตลอดสิบปีที่ผ่านมา เชื่อกันว่าบิน ลาเดน อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนระหว่างอัฟกานิสถาน-ปากีสถาน ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงชัน มีภูมิประเทศยากแก่การเข้าถึง

“บิน ลาเดน” ตายแล้ว แต่ “อัล ไคด้า” ยังไม่ตาย?

คำถามที่สำคัญที่สุดหลังข่าว “บิน ลาเดน” เสียชีวิต ก็คือ “อัลไคด้า” จะเป็นอย่างไรต่อไป? สงครามในอัฟกานิสถาน และสงครามในอิรักที่ยืดเยื้อมานานสิบปี จะสิ้นสุดลงได้ง่ายๆ หรือไม่?

หลังจากสหรัฐอเมริกาบุกเข้าไปยังอัฟกานิสถานในปี 2001 โค่นล้มรัฐบาลตาลีบัน ซึ่งเป็นมิตรใกล้ชิดกับอัลไคด้า กลุ่มอัลไคด้าก็ถูกจับกุมและสังหารเป็นจำนวนมาก ที่เหลืออยู่ก็แยกย้ายกันหลบหนี และเปลี่ยนวิธีปฏิบัติการเป็นกลุ่มย่อย ฐานปฏิบัติการของอัลไคด้าถูกทำลายเกือบหมด อย่างไรก็ตาม อัลไคด้า ยังมีเครือข่ายที่ปฏิบัติงานอยู่ในอีกหลายประเทศ โดยเฉพาะโซมาเลียและเยเมนในรอบปีหลังๆ

ณ ขณะนี้ เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า บิน ลาเดน ยังมีอิทธิพลในอัลไคด้ามากน้อยแค่ไหน และปัจจุบันอัลไคด้าจัดองค์กรอย่างไร จะมีผู้นำคนใหม่ที่มาแทนบิน ลาเดน ได้หรือเปล่า

แต่สิ่งที่สามารถคาดการณ์ได้ในปัจจุบันคือ เครือข่ายของอัลไคด้าน่าจะยังคงอยู่ แต่จะไม่เข้มแข็งเท่าเดิม และความตายของบิน ลาเดน ทำให้อัลไคด้า ขาด “สัญลักษณ์” ในระดับโลก ที่ไม่สามารถผลิตซ้ำได้ง่ายนัก

สิ่งที่ควรจับตาคือกลุ่มก่อการร้ายใหม่ๆ ในลักษณะเดียวกันกับอัลไคด้า ที่อาจผงาดขึ้นมาสร้างอิทธิพลแทนอัลไคด้าได้ในอนาคต

จอร์จ ดับเบิลยู บุช แสดงความยินดี, สถานทูตสหรัฐทั่วโลกยกระดับการระวังภัย

อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ผู้เผชิญกับเหตุการณ์ 9/11 และเป็นคนสั่งให้บุกอัฟกานิสถานเพื่อตามล่าตัวบิน ลาเดน ได้แสดงความเห็นต่อข่าวการเสียชีวิตของบินลาเดนว่า “เป็นความสำเร็จครั้งใหญ่”

ส่วนสถานทูตสหรัฐทั่วโลก ได้รับการแจ้งเตือนให้ยกระดับการระวังภัย เนื่องจากเกรงว่าจะมีกลุ่มที่โกรธแค้นกับการเสียชีวิตของบิน ลาเดน เข้าโจมตีผลประโยชน์ของสหรัฐที่ใดที่หนึ่งในโลก – CNN

ที่มา.Siam Intelligence Unit
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

เสรีภาพที่จะคิดต่าง




ช่วงที่ผ่านมานี้ สังคมไทยมีประเด็นคาบเกี่ยวกับ “เสรีภาพ” ค่อนข้างบ่อย ทั้งเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพในร่างกายตนเอง หรือเสรีภาพทางความคิดเห็น (ทั้งที่แสดงออก และไม่แสดงออก)

กล่าวโดยรวม เรากำลังมีปัญหากับ “เสรีภาพแห่งการคิดต่าง” เพราะเรามักยินดีปกป้องเสรีภาพของ “พวกเรา” เสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบ ไม่พอใจ ไม่รัก ไม่เห็นด้วย เราจะไม่เคารพเสรีภาพของ “พวกเขา” ทันที และพร้อมจะให้ใครก็ได้มาทำลายย่ำยีเสรีภาพของ “พวกเขา” ทิ้งเสีย โดยมีเหตุผลยกมาอ้างมากมาย

เรายินดีเดินถอยหลัง ย้อนเวลากลับไปหลายสิบปี เพียงเพราะพวกเราไม่อาจทนฟัง “ความคิดต่าง” ได้ เราจึงยินดีขายวิญญาณแห่งเสรีภาพให้กับปีศาจ เพื่อแลกกับความรู้สึกดีๆที่ได้เห็นทุกคนคิดเหมือนเรา ฟังเหมือนเรา ฝันเหมือนเรา หวังเหมือนเรา
ซึ่งมันไม่อาจเป็นไปได้จริง

ถามว่าทำไมเราจำเป็นต้องมีเสรีภาพ ? โดยเฉพาะเสรีภาพในการคิดเห็นแตกต่างจากผู้อื่น เราจะไปแคร์อะไรกันนักหนา ? มันเป็นเรื่องจับต้องไม่ได้ ล่องลอยเพ้อฝัน ? เป็นเรื่องของพวกปัญญาชนโรแมนติก เราควรเอาเวลาไปสนใจราคาไข่ไก่ หรือผลโหวตเดอะสตาร์จะดีกว่าไหม ?
ว่ากันเฉพาะเสรีภาพทางวิชาการ

หลายคนอาจไม่รู้ว่ารากฐานสำคัญของ “องค์ความรู้” ทุกแขนงที่ทำให้โลกหมุนมาถึงวันนี้ได้ก็เพราะเสรีภาพในการคิดต่าง การไม่เห็นด้วย การถกเถียง โต้แย้ง แข่งขันกันเอาชนะด้วยเหตุผล
และในทางกลับกัน สังคมมนุษย์ก็ “มืด” ไปหลายครั้งเมื่อเราไม่ยินดีให้มีคนเห็นต่างจากเราอยู่ในสังคม

กาลิเลโอ ถูกคุมขังเพียงเพราะเขาไม่เชื่อว่าโลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล

ชาร์ลส ดาร์วิน ท้าทาย “ความศักดิ์สิทธิ์” ของศาสนจักร “อันที่เป็นรักยิ่ง” ของผู้คนในยุคนั้นด้วยทฤษฏีวิวัฒนาการ

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ แสดงความ “คิดต่าง” ว่าเราสามารถอธิบายปรากฏการณ์ของ “แสง” ในแง่มุมของ “อนุภาค” ได้เช่นกัน (โดยขณะนั้นวงการฟิสิกส์ต่างคิดว่าแสงเป็น “คลื่น”) เขาถึงกับตั้งชื่ออนุภาคสมมุตินั้นว่าโฟตอน และความคิดต่างนั้นเองที่ทำให้เรามีกล้องดิจิตอลใช้กันในวันนี้
ในวันที่สังคมโลกกำลังเดือดร้อนอย่างหนักจากเศรษฐกิจตกต่ำ นักเศรษฐศาสตร์ล้วนเชื่อว่ารัฐบาลควร “รัดเข็มขัด” ตามทฤษฏีแบบดั้งเดิม จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ก็ออกมา “คิดต่าง” ว่ารัฐบาลควรอัดฉีดเงินเพื่อพยุงเศรษฐกิจต่างหาก

กล่าวโดยไม่ต้องหาข้อมูลอ้างอิง – หากปราศจากความคิดต่างของวิศวกร เทคโนโลยีแห่งปืน “สไนเปอร์” ก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้เป็นแน่ ฯลฯ

ดังนั้นคงจะไม่เกินไปนักที่จะกล่าวว่า สังคมใดปราศจากเสรีภาพทางวิชาการ ปราศจากเสรีภาพที่จะ “อดทนฟังความคิดต่าง” สังคมนั้นก็อาจไม่จำเป็นต้องมีนักวิชาการเลยก็ได้

เพราะงานของนักวิชาการคือการมุ่งค้นหาองค์ความรู้ใหม่ๆให้แก่สังคม ซึ่งองค์ความรู้เหล่านั้นจะ “ใหม่” ได้อย่างไร ถ้ามันไม่​“ต่าง” จากเดิม

และแน่นอน สังคมที่ไม่มีองค์ความรู้ ย่อมไม่อาจพัฒนา ไม่อาจต้านทานกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง ก็อยู่กันไปวันๆ รอวันผุพังไปตามธรรมชาติ

ถ้าไม่มีเสรีภาพแห่งความคิดต่าง บางทีตอนนี้เราทุกคนอาจอยู่ในถ้ำ ไม่รู้จักกระทั่งการปลูกพืชด้วยตนเอง (เพราะมันอาจขัดต่อประเพณีปฏิบัติแห่งมนุษย์ถำ้ผู้บูชาการเก็บผลไม้รายวัน)

หลายคนอาจไม่รู้ว่า เสรีภาพ เป็นหนึ่งในสิ่งนามธรรมไม่กี่อย่าง ที่มนุษย์ต่อสู้บาดเจ็บล้มตายกันมากที่สุดตลอดอารยธรรมของพวกเรา ไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เผ่าพันธุ์ใด

ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ มนุษย์เรายินดี “สู้ตาย” เพื่อเสรีภาพกันมาเป็นพันๆปีแล้ว
ดังนั้น เราจึงไม่อาจปฏิเสธความจริงได้เลยว่า หากอยากอยู่ร่วมกันอย่าง “สันติ” ในระยะยาว เสรีภาพคือสิ่งจำเป็นอันดับต้นๆในสังคม

ดูเหมือนสังคมไทยยังมีความเข้าใจผิดบางอย่างเกี่ยวกับ “เสรีภาพในความคิดต่าง”
หลายคนมักบอกว่า คิดต่างไม่ได้แปลว่ามันจะดีเลิศ มีกี่คนที่คิดทฤษฏีห่วยๆออกมา กี่คนที่อยากเป็นไอน์สไตน์ เราควรยอมรับสิ่งที่ดีเลิศ ไม่ใช่ไปส่งเสริมให้คนคิดอะไรแผลงๆห่วยๆออกมามากมาย
ซึ่งก็จริง – มีคนนับล้านอยากเป็นไอน์สไตน์ มีอีกหลายล้านที่อยากเป็นกาลิเลโอ มีความคิดห่วยๆเกิดขึ้นมากมายกว่าจะได้ความคิดดีๆสักชิ้น – แต่การสรุปแบบข้างต้นเป็นความคิดที่ “ผิด” โดยสิ้นเชิง เพราะการ “ยอมรับ” เสรีภาพในความคิดต่าง ไม่ได้แปลว่าเรายอมรับความคิดนั้นว่ามันดี มันถูก มันควร

เสรีภาพในความคิดต่าง คือการยอมรับว่าทุกคนมีสิทธิคิดเห็นแตกต่างกัน และเป็นหน้าที่โดยตรงของคนผู้นั้นที่จะต้องทุ่มเทพลังของตนในการแสวงหา ข้อมูล ทฤษฏี หลักฐาน มาสนับสนุนความคิดความเชื่อของตนเอง

การที่สังคมมีความคิดต่างห่วยๆขึ้นมาสักอย่าง แล้วเราพาลไปบอกว่า “นี่ไง ห่วย อย่าไปมีเลยเสรีภาพ มันไม่สำคัญหรอก มีไปก็เท่านั้น เละเทะเปล่าๆ” เป็นความคิดที่ผิดถนัด เพราะหากสังคมไม่มีเสรีภาพ แล้วเราจะมีพื้นที่ไหนให้ความคิดดีๆได้โผล่ขึ้นมาบ้าง

อะไรดี อะไรห่วย กาลเวลาจะพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นเสมอ
การเคารพในเสรีภาพของเขา กับ การเห็นด้วยในสิ่งที่เขาคิด – เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
นอกจากนั้น

ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งของสังคมไทยคือ เมื่อเราบอกว่าใครสักคนควรมีเสรีภาพกับอะไรสักอย่าง มันไม่ได้แปลว่าเขามี “สิทธิพิเศษ” เหนือคนอื่นที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ผิด
มันควรแปลว่าเขามีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ที่เขาอยากทำ และหากมันจะผิด เขาก็ต้องรับผลลัพธ์แห่งการกระทำของเขาไปตาม กฏ กติกา ของสังคมที่บังคับใช้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
โลกนี้มีคนเพียงสองกลุ่มเท่านั้นที่ทำอะไรไม่ผิด
หนึ่ง คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย

และสอง คือคนที่มีเสรีภาพแต่เพียงผู้เดียว ในสังคมที่ไม่มีใครอื่นมีเสรีภาพอีก

เมื่อพูดถึงเสรีภาพ หลายคนนึกถึง “เทพีเสรีภาพ” ที่ฝรั่งเศสสร้างและมอบให้สหรัฐอเมริกาเป็นของขวัญแห่งอิสรภาพในปี 1886

ภาพที่ทุกคนคุ้นตาคือ “มือขวา” ของเทพีที่ถือคบเพลิงชูขึ้นเหนือศีรษะ – คบเพลิงนั้นเป็นสัญลักษณ์แทน “เสรีภาพ” ที่อเมริกันชนล้วนเชิดชูบูชา

แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า “มือซ้าย” ของเทพีถือหนังสือไว้่เล่มหนึ่ง – หนังสือเล่มนั้นเป็น “หนังสือกฏหมาย”
เสรีภาพ และ กฏกติกา เป็นสองสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ
กฏกติกา ควรค่าแก่การแนบไว้ข้างกายอย่าได้ขาด
ส่วนเสรีภาพนั้น…
ควรค่าแก่การเชิดชูไว้ให้สูงที่สุด … เท่าที่แขนของมนุษย์พึงจะทำได้

ที่มา.ประชาไท
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ไทย-เขมรยิงเล็กน้อยกลางดึก

สถานการณ์ไทยกัมพูชาคืนที่ผ่านมามียิงกันประปรายจากหน่วยสอดแนมกัมพูชา โฆษกทัพภาค 2 แจงมนุษย์ลิงลม แค่ทหารตัวเล็ก หลบสายตาเร็ว ไม่มีไสยศาสตร์ โวยคนปล่อยข่าวขาดแคลนเสบียงหวังดิสเครดิต ส่งผลทหารอาจหมดกำลังใจ

พ.อ.ประวิทย์ หูแก้ว โฆษกกองทัพภาคที่สองได้ให้สัมภาษณ์รายการเรื่องเล่าเช้านี้ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ถึงสถานการณ์ไทย - กัมพูชา ในคืนที่ผ่านมาว่า มีเหตุการณ์เกิดขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ใช่การปะทะกัน เหตุการณ์เกิดขึ้นเนื่องจากมีหน่วยสอดแนมกัมพูชาเข้ามาเมื่อเวลาประมาณ 22.00-23.00 น.ของวันที่ 1 พ.ค. และ 03.00-.4.00น.ของวันที่ 2 พ.ค. ทำให้มีการใช้ปืนเล็กยิงกันประประปราย แต่โดยรวมสถานการณ์ถือว่าเบาบางลงมากเป็นที่น่าพอใจ

วานนี้มีการเจรจาหารือในระดับพื้นที่โดยฝั่งไทยมีเสนาธิการของกองกำลังสุรนารี ได้นำ ผบ.กองพัน ผู้บ.กองร้อย ไปพบปะกับทหารกัมพูชาในระดับพื้นที่ เพื่อทำให้การเจรจาของผู้บังคับบัญชาทั้งสองประกาศเป็นจริงร้อยเปอร์เซนต์ และเมื่อดูท่าทีแล้วทุกหน่วยของกัมพูชาก็มีแนวโน้มว่าต้องการที่จะยุติปัญหา โดยมีข้อตกลงว่าจะจัดชุดประสานงานว่าหากเกิดเหตุอะไรจุดใดก็จะพากันไปดูว่าไม่มีการวางกำลังในพื้นที่ที่ตกลง

พ.อ.ประวิทย์กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ระบุว่าทางกัมพูชาขอเข้ามาเก็บศพเนื่องจากมีทหารเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทำให้กระทบต่อขวัญกำลังใจว่า ยอมรับว่าจากการข่าวพบว่าการปะทะตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.เป็นต้นมาทางโน้นก็สูญเสียเยอะ แต่การหารือระดับพื้นที่วานนี้ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องทางกัมพูชาขอนำศพออกไป เราพูดแค่ว่าทำอย่างไรให้การเลิกปะทะสัมฤทธิ์ผล 100%

ต่อข่าวลือเรื่องกัมพูชาใช้ไสยศาสตร์ มนุษย์ลิง ที่มีความรวดเร็วฆ่าไม่ตาย ลมมารบ นั้น พ.อ.ประวิทย์กล่าวว่า ตนก็ได้ข่าวเช่นกัน แต่ตามที่มีประสบการณ์พบว่าทหารกัมพูชามีร่างกายเล็กกว่าคนไทย อาจจะคล่องแคล่ว พอเจอหลบได้เร็วก็มี ตนเคยออกยุทธการช่องบกก็เคยพบ เขาตัวเล็กหลบสายตาพวกเราได้อย่างรวดเร็ว จึงเปรียบเทียบเหมือนลิงลม

"ยืนยันว่าเราไม่ได้ขาดแคลนเสบียง เรามีอาหารสำรอง 5-10 วัน และยังแจกอาหารที่สามารถทานได้โดยไม่ต้องประกอบ ส่วน คนที่มาปล่อยข่าวนั้นอาจจะประสงค์ดี หรืออาจจะต้องการดิสเครดิตผู้บังคับบัญชา แต่หากเป็นอย่างนี้ทหารก็อาจจะหมดกำลังใจ"พ.อ.ประวิทย์กล่าว

ที่มา.เนชั่น
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////