--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปล่อยคนสกัดปล่อยของ อำมาตย์ ยืมจมูกไพร่หายใจ!

ได้กลิ่นตุๆ เสียงแปร่งๆ ไอปฏิวัติรัฐประหารโชย มาเตะจมูก ขีดเส้นให้จับตาภายใน 7 วัน อาจมีอาการสุ่มเสี่ยง เกินเหตุ ถ้าหาก “รัฐบาลเทพประทาน” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไม่เทกแอ็กชั่น อะไรออกมาสักอย่าง

และแล้วในท้ายที่สุดเงื่อนไขการ เมืองประเทศไทยก็เริ่มเปลี่ยน แต่เปลี่ยนไปโดยการเบี่ยงประเด็นเลี่ยงบาลีในทางพฤตินัย อันถือเป็นเหลี่ยมเขี้ยวของเซียนการเมืองตัวจริงอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ที่ร่วมด้วยช่วยกันกับพรรคร่วมรัฐบาลในการกระชับอำนาจแบบเนียนๆ

อันสืบเนื่องมาจากกรณีที่ “พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์” ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา เดินถือธงปรองดอง ขึ้นศาลให้การเป็นพยานปากเอกในการยื่น ขอประกันตัว 7 แกนแดงกับอีก 1 แนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนมีบทสรุปคือ ปล่อยตัวชั่วคราว ท่ามกลางความยินดีปรีดาของมวลชนเสื้อ แดงที่แห่แหนไปรับถึงหน้าประตูคุกคลองเปรม

ประดา 1 วันในคุก ประชาชนคนทั่วไปก็ไม่อยากไปกินนอนเป็นเวลาอยู่ในนั้น แต่นี่ต้องนอนค้างอ้างแรมอยู่ถึง 9 เดือน การมีอิสรภาพชั่วคราวย่อมเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา ผู้ที่ยังละจากกิเลสตัณหาไปไม่พ้น

เมื่อได้รับอิสรภาพพ้นคุก นั่นก็เป็นธรรมดาโลกที่ต้องมีการเดินสายไปขอบอก ขอบใจผู้มีอุปการคุณ ส่งผลให้ค่ำคืนวัน แรกที่ไร้พันธนาการ บ้านพักสนามบินน้ำของ “เสธ.หนั่น” จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศ อันแสนชื่นมื่นที่รับประทานแกล้มไปกับ “ชาโต เดอ ชาละวัน” ที่คนอย่าง “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” ถึงกับจุดพลุว่าเป็น “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย”

ความหมาย “อรุณรุ่งแห่งประชาธิปไตย” ในที่นี้ อาจจะสามารถตีความขยาย ประเด็นไปได้ต่างๆ นานา แต่ที่น่าจะสำคัญ ที่สุด นั่นก็คือ การปล่อยผีครั้งนี้ ไม่ต่างจาก การยับยั้งอำนาจพิเศษไม่ให้แหลมออกมา ยามปรากฏการณ์ “ปฏิวัติดอกมะลิบานสะพรั่ง” ในนานาอารยประเทศ

การเตรียมความพร้อมตบเท้าในระดับ 5 ของขุนทหารชั้นยศ “พลตรี” และ “พันเอก” ที่ไม่พึงพอใจกับปัญหาตะเข็บชายแดนไทย-เขมร ต้องถูกเบรกด้วยเหตุ โอละพ่อทางการเมือง แม้แต่พันธมิตรฯ ม็อบเหลืองยังต้องเงียบเสียงลงชั่วครู่ชั่วยาม กับปรากฏการณ์อันสุดแสนจะเนียนที่เกิดขึ้น

ยิ่งหากวิเคราะห์กันตามเสียงบริภาษ ที่ว่ากันว่า การเคลื่อนไหวของม็อบเหลือง มีความพยายามนำไปสู่วันเกิดเหตุ การปล่อยแกนแดงลงสู่ท้องถนนแบบมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” จึงไม่ต่างจากการดึงมวลชน คนเสื้อแดงมาเป็นตัวประกันเพื่อกระชับอำนาจประเทศไม่ให้ทะลักออกจากมือฝ่าย กุมอำนาจประเทศ

เนื่องด้วยหากมองลอดแว่นผ่านกระบวนการปฏิวัติ มันมีโอกาสประสบความสำเร็จน้อยยิ่งนัก หากมือพิเศษและยอดมงกุฎแห่งกองทัพ ที่ถูกมองว่ากำลังสำลัก อำนาจไม่ยอมเล่นด้วย ประจวบเหมาะกับ กระแส “ปฏิวัติดอกมะลิบาน” มันยิ่งยาก และยากยิ่งกว่า ที่นายทหารระดับ “พลตรี” และ “พันเอก” จะฝ่าด่านผ่าดงแดงไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้โดยละม่อม

หรือแม้กระทั่ง หากมุ่งมาดปรารถนา และกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะทำกันจริงๆ มันก็คงไม่แคล้วบทเรียนครั้ง “เมษาฮาวาย” ที่ส่อแววฉายซ้ำ อีหลั่กอีเหลื่อ กลับไม่ได้ไปไม่ถึง นั่นคืออาการของกองกำลังพิเศษ ที่เดินหลงทางติดสนุ๊กทางการเมืองจนแก้ไม่ตกอยู่เท่าทุกวันนี้

แต่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาธิปไตยแบบ ไทยๆ ไม่ถูกท็อปบูตยึดอำนาจซ้ำซากให้อับอายขายขี้หน้าไปทั่วโลก แต่มันก็น่าเสียใจและใจหายเช่นกัน ที่บ้านนี้เมืองนี้ต้องปล่อยให้วงจรอุบาทว์ในการเมืองอันฟอนเฟะ กัดกร่อนประเทศชาติกันตามอำเภอใจในความหมายแห่ง “วิน วิน”

ยิ่งหากมองภาพทับซ้อนของเหล่านักการเมืองสเปกประสานสิบทิศ ที่คอมโพรไมซ์ได้ทุกสปีชี่ส์ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งปฏิกูล สายใยบางๆ แห่งผลประโยชน์ที่แอบเชื่อมกันอยู่บนวรรคทองแห่ง “ปรองดอง” มันจึงไม่ต่างจากวาทกรรมอำพราง ที่นักการเมือง กองทัพและอำนาจพิเศษ ยึดโยงมัดรวมด้วยการจับประชาชนเป็น ตัวประกัน

สุดท้ายวาระปล่อยคนสกัดปล่อยของรอบนี้ เปรียบเปรยไปคงไม่ต่างจาก เหลี่ยมเขี้ยวของโคตรเซียนที่เหล่า “อำมาตย์ยืมจมูกไพร่หายใจ” ก็เท่านั้นเอง.. ประชาชนผู้รู้แจ้งจงตื่นเถิดชาวไทย!

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////

ปรากฏการณ์ “โดมิโนตะวันออกกลาง”

ที่บรรดาประชาชนในแต่ละประเทศ กำลังนิยม “ชุมนุมประท้วง” ไล่เรียงตั้งแต่ “ตูนิเซีย-อียิปต์-อิหร่าน-บาห์เรน-ลิเบีย-เยเมน-คูเวต-โอมาน-อัลจีเรีย-โมร็อกโก-อิรัก-จอร์แดน-ซาอุดิอาระเบีย-ซีเรีย”

นี่ยังไม่นับรวมถึงการขยายวงไปยัง พื้นที่อื่น อาทิ “อัลบาเนีย-เซเนกัล-ไอวอรีโคสต์-เฮติ” แต่ “ตัวอย่าง” ที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์ก็ คือ “ตูนิเซีย” และ “อียิปต์” ที่มีการขับไล่ผู้นำของประเทศจนเป็นผลสำเร็จ ซึ่งเป็นการแสดงส่งสัญญาณไปถึง “ผู้นำเผด็จการทั้งหลาย” ว่า...หายนะกำลังมา เยือน หากไม่รู้จักปรับตัวเอง

จะเห็นว่า...มีความพยายาม “วิเคราะห์” และ “ประเมิน” กันว่า...“โดมิโนตะวันออกกลาง” อาจแผ่ขยายลามมายัง “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” โดยเฉพาะใน กลุ่ม CLMV คือ กัมพูชา-ลาว-พม่า-เวียดนาม...ที่ประชาชนในประเทศเหล่านี้ถูก “กดขี่” จาก “ผู้นำของตัวเอง”

และแน่นอน...“ไทยแลนด์” ก็หนีไม่พ้นในการถูกวิพากษ์วิจารณ์ในลักษณะนี้เช่นกัน แม้ว่า “ปัจจัยทางการเมือง” จะไม่เหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างน้อย “ทฤษฎีโดมิโน” ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ ก็เป็น “ความหวังลึกๆ” สำหรับ “คนบางกลุ่ม” ที่รอคอยวันเปลี่ยนแปลง...รอคอยวันนั้นที่จะมาถึง!!!

คงไม่ต้องสาธยายว่าคือ “คนกลุ่มไหน” ที่ฝักใฝ่และตั้งหน้าตั้งตา “รอคอยการ เปลี่ยนแปลง” เพราะคนเหล่านี้มี “ความฝังใจ” มาตั้งแต่ยุคที่ตัวเองยังหนุ่ม-ยังสาว... และต้องทนทุกข์ทรมานในป่า แม้ในเวลาต่อมาจะได้รับการปลดปล่อย...แต่ “ความแค้นฝังลึก” ในเรื่องการถูกเอารัดเอาเปรียบ... ก็ยังมีมาจนถึงทุกวันนี้

จะเห็นว่า ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีความพยายามจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งเผาบ้านเผาเมือง เพราะมีความเชื่อว่า “เมื่อไหร่ก็ตามที่การชุมนุมมีคนตาย...ผู้นำ จะอยู่ไม่ได้” แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะทฤษฎีหรือตำราฉบับไหน...ก็ไม่สามารถใช้ได้กับ “การเมืองไทย” ที่มีการพลิกแพลงปรับเปลี่ยนได้ตามจังหวะเวลา...อันเป็นสิ่งที่ “ประเทศอื่นๆ” ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้

ยิ่งในเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ จะถึงวาระ ครบรอบปีที่มีการ “กระชับวงล้อมขอคืน พื้นที่” จากมวลชนคนเสื้อแดง และนำไปสู่ การตายของ 91 ศพ ซึ่งคาดหมายกันว่า จะเป็นรายการ “ลองของ” กันอีกครั้ง!!!

อย่าลืมว่า...ก่อนหน้านี้มี “คนตาย เฉียดร้อย” แต่ก็ไม่สามารถโค่น “บัลลังก์” ของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ว่ากันว่า มี “หลังพิงชั้นดี” ลงได้...ดังนั้น “พลังแดง” จึงต้องยอมปรับลดบทบาทเลิกแข็งกร้าว...เหมือนก่อน

มีสัญญาณส่งมาว่า เวลานี้พลังแดงหวังให้ “โดมิโนตะวันออกกลาง” เป็นเสมือนหนึ่งแค่ “อาหารเสริม” ไม่ใช่ “อาหารหลัก”...เพราะรู้ดีว่า การจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเมืองไทยนั้น...“จังหวะเวลา” เป็นสิ่ง ที่สำคัญ...และต้องรอคอย ดังนั้น “การปลูกฝังความเชื่อ” เรื่อง “2 มาตรฐาน” ยังเป็นสิ่งจำเป็น...เพื่อรอคอยวัน

จึงเตือนมาเพื่อให้ “ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” ต้องตระหนักถึง “อันตรายในแนว คิดนี้”...ให้ดีๆ

ที่มา.สยามธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แผนใต้ดิน-ข้อต่อรอง ปล่อยแดง 7+88 พ้นคุก เดิมพัน4พันล้าน"เพื่อไทย"ชนะเลือกตั้ง !!

เมื่อเหตุผลและสมมติฐาน-การ ต่อรองของฝ่ายอำนาจรัฐและฝ่ายต่อต้านสมประโยชน์ จึงนำไปสู่การปล่อยตัวแดงทั้ง 7

แม้ว่าในยกแรก ต่างฝ่ายต่างต่อรองยืดยื้อจนสุกงอมนานแรมเดือน

ฝ่ายรัฐบาลส่งสัญญาณต้องการแลกตัวประกันผู้ต้องหาแดง 2 คน น.พ.เหวง โตจิราการ กับ ก่อแก้ว พิกุลทอง กับการ "งดการชุมนุม" ในเมืองช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์

แต่ฝ่ายแกนนำแดง-และนายใหญ่ ไม่ยอม และยื่นข้อเสนอแบบเต็มเพดาน คือ ต้องปล่อยตัวแกนนำทั้ง 7 และทยอยปล่อยผู้ต้องหาออกจากคุกทั่วพื้นที่อีสาน-เหนือรวม 121 คน

และเมื่อข้อต่อรองนั้นต่างฝ่าย ต่างไม่สมประโยชน์ จึงเกิด "ม็อบ 3 หมื่น" เต็มพื้นที่กรุงเทพฯในวันที่ 19 กุมภาพันธ์

หลังจากนั้น 1 สัปดาห์จึงเกิดดุลพินิจจากกระบวนการ "บนดิน" ด้วยการปล่อยตัวแกนนำแดงในคุกอีสาน-เหนือถึง 88 คน

พร้อม ๆ กับกระบวนการต่อรองจากฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นการปล่อยตัวคราวละ 2 คน และ 3 คน โดยมีชื่อ เจ๋ง ดอกจิก กับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็น 2 คนสุดท้าย แต่ "ผู้ใหญ่" ในฝ่ายแดงไม่ยอม ยืนยันต้องแลกอิสรภาพ 7 คนกับความสุขสงบของสนามเลือกตั้ง เป็นเดิมพัน

เมื่อเงื่อนไขรัฐธรรมนูญผ่านการเห็นชอบจากสภาผู้แทนฯ-เมื่อปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นปัจจัยลบ รัฐบาลเหลือปัจจัยเสี่ยงเรื่องเดียว คือ ความสงบทางการเมือง

การเจรจาจึงเริ่มต้นขึ้นอีกรอบ โดยใช้ "มติ ครม. 21 ธ.ค. 53" ที่ระบุรัฐบาลและกระบวนการยุติธรรมจะไม่ "คัดค้านการประกันตัว" ผู้กระทำความผิดที่ "เบาบาง" และ "ไม่ใช่ตัวการ" จำนวน 114 คน และให้พ่วงท้ายด้วย "ตัวการ 7 คน" เข้าไปด้วย

การเจรจารอบใหม่มีเงื่อนไขยื่นให้แดงไม่ชุมนุมยืดยื้อ-ค้างคืน "ห้ามปิดประเทศ-ปิดราชประสงค์" เป็นเดิมพัน

เพราะฝ่ายรัฐคาดการณ์ว่าการนัดชุมนุมวันที่ 12 มีนาคม 2554 วาระครบรอบ 1 ปีการปิดสี่แยกราชประสงค์ และการนัดชุมนุมกดดัน "ศาล" ทั่วประเทศจะยืดยื้อ-บานปลาย และอาจไม่จบที่ "การเลือกตั้ง"

ขบวนการใต้ดินของฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน และคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ "คอป." โดยนายคณิต ณ นคร จึงเร่งดีกรีเจรจาและขีดเส้นตาย มีเป้าหมายบรรทัดสุดท้ายตรงกันคือ "ไปสู้กันในสนามเลือกตั้ง"

ขบวนการเจรจาใต้ดิน มีชื่อ 2 นักการเมืองพัวพัน ทั้ง กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ และ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ

การหารือทั้งในรอบ-นอกรอบขององค์ประชุมที่ประกอบด้วย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 และคนใกล้ตัวนายกรัฐมนตรี จึงมีทางออก

ขบวนการบนดินจึงเกิดขึ้นใน "ศาล" เพื่อเบิกความเป็นพยานให้ศาลเชื่อว่า ผู้ถูกคุมขังระหว่างการดำเนินคดีทั้ง 7 ไม่เป็นพิษ ไม่เป็นภัย

โดย "คอป." ยืนยันอำนาจ-หน้าที่ 3 ข้อ คือ ตรวจสอบความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงระหว่างเมษายน-พฤษภาคม 2553 เยียวยาทางจิตใจแก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ และวิจัยสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรง และรากเหง้าของปัญหา เพื่อได้บทเรียนแก่ทุกฝ่าย และยับยั้งไม่ให้เหตุการณ์ เช่นนั้นเกิดขึ้นอีกในอนาคต

ตัวกลาง-คอป.ยืนยันว่า การคุมขังหรือเอาตัวไว้ในอำนาจรัฐนั้นมีจุดประสงค์เพียงเพื่อ ไม่ให้หลบหนี กับไม่ให้ไปทำความยุ่งเหยิงแก่พยานหลักฐานเท่านั้น หากไม่มีเงื่อนไขนี้แล้วก็ชอบด้วยเหตุผลที่จะปล่อยตัวชั่วคราว ทันทีที่ "ณัฐวุฒิ" พ้นคุก เขาจึงประกาศส่งสัญญาณ 3 ข้อ อาทิ 1.มุ่งหวังเพื่อ ให้เกิดการปรองดองและเกิดสันติภาพ ในประเทศ 2.ต่อต้านรัฐประหาร 3.เดินหน้าด้วยการเลือกตั้ง

สอดคล้องกับปฏิกิริยาของนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ที่ตอบรับวาระการไปสู่สนามเลือกตั้ง

"แกนนำ นปช.ก็ต้องการจะทำงานการเมือง ต่อสู้การเมือง ก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยกับคนเสื้อแดงก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ ก็ไปปรึกษากันให้ดีเพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง มันก็จบ" นายสุเทพกล่าว

หลังการปล่อยตัวแกนนำแดง แกนนำฝ่ายใต้ดินของพรรคประชาธิปัตย์ยังกังขาและตั้งข้อสังเกตว่า "เจ้านายใหญ่ของฝ่ายแดง เขาได้ประโยชน์ และเขาหวังเต็มที่หากเพื่อไทยไปสู่การเลือกตั้ง เขาจะชนะ"

ขณะที่แกนนำฝ่ายเพื่อไทยยังอยู่ในระหว่างการเคลียร์บัญชี "ค่าใช้จ่าย-ต้นทุน" ในการเคลื่อนไหวใต้ดิน และเคลียร์ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนสำหรับบรรจุแกนนำแดงลงบัญชีเลือกตั้ง

ตัวเลข 4,000 ล้านสำหรับเดิมพันให้เพื่อไทยชนะเลือกตั้ง จึงถูกปล่อยกระหึ่มไปทั่วทั้งสภาผู้แทนราษฎร

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
...................

บี้ยึดทรัพย์กัดดาฟี-ตั้งข้อหาอาชญากร

เอพีราย งานว่า นายโมอัมมาร์ กัดดาฟี ออกโทรทัศน์อีกครั้ง แสดงตัวยืนปราศรัยปลุกระดมกลุ่มผู้สนับสนุนอยู่บนดาดฟ้าตึกแห่งหนึ่ง กลางกรุงตริโปลี ประเทศลิเบีย ซึ่งมีรายงานในวันเดียวกันนี้ว่า เกิดการสังหารผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล เมื่อกลุ่มนักรบที่ภักดีต่อนายกัดดาฟีเปิดฉากยิงใส่ผู้ร่วมงานศพผู้ชุมนุมที่เสียชีวิต ท่ามกลางเสียงหวีดร้องในมัสยิดใจกลางกรุง

ขณะที่ทางคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เตรียมนำกรณีผู้นำลิเบียและครอบครัวขึ้นพิจารณาคดี ในข้อกล่าวหากระทำการรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ โดยนายโมฮัมเหม็ด ชาลกัม ทูตลิเบียประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า อาจจะใช้เวลาดูรายละเอียดกันไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อหาทางหยุดความรุนแรงในลิเบียให้ได้เร็วที่สุด ซึ่งอาจรวมไปถึงการตั้งข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติแก่กัดดาฟีและครอบครัว

วันเดียวกัน เอเอฟพีรายงานว่า นายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ แถลงการณ์สนับสนุนยูเอ็นและเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีกับกัดดาฟี และลูกชาย 4 คน สหรัฐได้สั่งปิดสถานทูตในกรุงตริโปลี และกล่าวว่า ประชาชนลิเบียเลิกเชื่อมั่นในตัวผู้นำคนนี้แล้ว และเมื่อมีการอนุมัติให้คว่ำบาตรจากยูเอ็นทางสหรัฐเตรียมเสนอการยึดทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวกัดดาฟี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในธนาคารต่างชาติ ปัจจุบันโอบามาได้สั่งให้จับตาดูการเคลื่อนไหวของบัญชีที่เกี่ยวข้องกับลิเบียในธนาคารสหรัฐทั้งหมดไว้แล้ว และจะสั่งระงับทันทีถ้ามีการโอนย้ายเงินจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม เอพีรายงานว่า นายเซฟ อัล-อิสลาม กัดดาฟี บุตรชายกัดดาฟี ออกรายการโทรทัศน์ของตุรกี ให้สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษเมื่อคืนวันศุกร์ว่า ขณะนี้ตนและครอบครัวมีแผนการเดียวเท่านั้นคือจะอยู่และตายในลิเบีย

ที่มา.ข่าวสดรายวัน
//////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปฏิวัติอียิปต์ = มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน

โดย เกษียร เตชะพีระ

ฮอสนี มูบารัค, บารัค โอบามา และวลาดิมีร์ ปูติน กำลังประชุมกันอยู่ แล้วจู่ๆ พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงปรากฏพระองค์ขึ้นและตรัสว่า "ข้ามาบอกพวกเจ้าว่าโลกจะถึงกาลอวสานในสองวันข้างหน้านี้ จงไปบอกประชาชนของพวกเจ้าเสีย" ผู้นำแต่ละคนจึงกลับไปเมืองหลวงของตนและเตรียมปราศรัยทางทีวี

ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โอบามากล่าวว่า "เพื่อนชาวอเมริกันทั้งหลาย ผมมีข่าวดีและข่าวร้ายจะแจ้งให้ทราบ ข่าวดีคือผมยืนยันได้ว่าพระเจ้ามีจริง ส่วนข่าวร้ายก็คือพระองค์ทรงบอกผมว่าโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงมอสโก ปูตินกล่าวว่า "ประชาชนชาวรัสเซีย ผมเสียใจที่ต้องแจ้งข่าวร้ายสองเรื่องให้ทราบ ข่าวแรก คือพระเจ้ามีจริง ซึ่งหมายความว่าทุกอย่างที่ประเทศเราเชื่อถือตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่แล้วล้วนเป็นเท็จ ข่าวที่สองคือโลกจะดับภายในสองวัน"

ณ กรุงไคโร มูบารัคกล่าวว่า "โอ...ชาวอียิปต์ทั้งหลาย ข้าพเจ้ามาพบท่านวันนี้พร้อมข่าวดียิ่งสองประการ ข่าวแรก พระผู้เป็นเจ้าและตัวข้าพเจ้าเพิ่งจะประชุมสุดยอดครั้งสำคัญร่วมกันมา

และข่าวที่สอง พระองค์ทรงบอกว่าข้าพเจ้าจะเป็นประธานาธิบดีของพวกท่านไปชั่วกัลปาวสาน"

ในที่สุด "กัลปาวสาน" ตามโจ๊กแอนตี้-มูบารัคข้างต้นก็มาถึง 18 วันหลังประชาชนอียิปต์เรือนล้านลุกฮือ ต่อต้านเขาอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศจนล้มตายไป 365 คน และบาดเจ็บอีก 5,500 คน ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมนี้เป็นต้นมา เมื่อมูบารัคประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีและสละอำนาจให้แก่สภาสูงของกองทัพ ภายใต้การนำของรัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ฮุสเซ็น ทันทาวี วัย 76 ปี ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้

ทว่า กองทัพอียิปต์ที่ช่วงชิงโอกาสเข้าควบขี่การปฏิวัติของมวลชนและก่อรัฐประหารละมุนโค่นมูบารัคลงก็หาได้กลมเกลียวเป็นปึกแผ่นไม่ หากปริแยกแตกร้าวเป็นก๊กเป็นเหล่าตามเส้นสายการเมืองของตน ที่สำคัญได้แก่ : -

1) ในกองทัพอียิปต์ มีอยู่ 2 เหล่าซึ่งใกล้ชิดเป็นที่โปรดปรานของศูนย์อำนาจเก่าเป็นพิเศษ ได้แก่ กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีและกองทัพอากาศ - ในฐานที่มูบารัคมีภูมิหลังเป็นผู้บัญชาการทหารอากาศมาก่อนขึ้นเป็นประธานาธิบดี สองเหล่านี้จึงยืนหยัดอยู่กับมูบารัคแม้ในยามทหารทั่วไปเอาใจออกห่างแล้วก็ตาม

ดังแสดงออกโดยปรากฏการณ์กลับตาลปัตรกันระหว่างการที่ผู้บัญชาการสามเหล่าทัพ จอมพลมูฮัมหมัด ทันทาวี เดินเข้าไปกลางที่ชุมนุมเพื่อแสดงการสนับสนุนผู้ประท้วงเมื่อวันที่ 30 มกราคมนี้ VS. การที่มูบารัคแต่งตั้งอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ อาเหม็ด ชาฟิค เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ พลางส่งเครื่องบินไอพ่นหลายลำไปบินต่ำ ขู่ที่ชุมนุม ในทำนองเดียวกัน กองทหารองครักษ์ประธานาธิบดีนี่แหละที่เข้าปกป้องอาคารวิทยุ/โทรทัศน์ของรัฐบาล และต่อกรกับผู้ชุมนุมเมื่อวันที่ 28 มกราคมนี้

2) หน่วยข่าวกรองทหาร (Intelligence Services หรือ al-mukhabarat) ซึ่งรับผิดชอบปฏิบัติการลับนอกประเทศ, ควบคุมตัวและสอบสวนผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย/เป็นภัยความมั่นคง (รวมทั้งทรมานและลักพาตัวชาวต่างชาติตามที่ซีไอเอขอ) เนื่องจากหน่วยข่าวกรองทหารพุ่งเป้าต่อศัตรูภายนอกเป็นหลัก ไม่ได้คุมขังทรมานชาวอียิปต์ฝ่ายค้านในประเทศมากนัก

จึงไม่เป็นที่เคียดแค้นชิงชังของประชาชนเท่า หน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงของรัฐ สังกัดมหาดไทย (mabahith)

หน่วยข่าวกรองทหารมีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ท่ามกลางสถานการณ์พลิกผันทางการเมืองในฐานะ "สะวิงโหวต" - คือเทเสียงไปข้างไหน กองทัพโดยรวมก็เอียงไปข้างนั้นด้วย ท่าทีของหน่วยนี้คือด้านหนึ่งก็เกลียดชัง กามาล มูบารัค (ลูกชายประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค) กับกลุ่มทุนเสรีนิยมใหม่เส้นใหญ่ของเขา แต่อีกด้านหนึ่งก็หมกมุ่นฝังหัวกับเรื่องการเมืองต้องนิ่ง และแอบได้เสียอยู่กินกับซีไอเอและกองทัพอเมริกันมานมนาน

อำนาจของกองทัพและโดยเฉพาะอย่างยิ่งของหน่วยข่าวกรองทหารที่ขึ้นครอบงำวงการเมืองสะท้อนออก ในการตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมา ดังปรากฏว่ากามาล มูบารัค กับพวกพ้องนักธุรกิจถูกโละทิ้งยกแผง ขณะที่โอมาร์ สุไลมาน อดีตหัวหน้าหน่วยข่าวกรองทหารได้ขึ้นเป็นรองประธานาธิบดี ทำหน้าที่รักษาการแทนประธานาธิบดีมูบารัคในทางปฏิบัติ

อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขภายในกองทัพอียิปต์จะสุกงอมพอก่อให้เกิดการปฏิวัติ/เปลี่ยนระบอบผ่านปฏิบัติการ [มวลชนลุกฮือ + รัฐประหารละมุน] ก็ต่อเมื่อฝ่ายแอนตี้มูบารัคในกองทัพสามารถ : -

1) เสริมสร้างฐานะของตนได้มั่นคง และ

2) ให้ความมั่นใจแก่หน่วยข่าวกรองทหารและกองทัพอากาศในการเปิดรับขบวนการมวลชนที่เกิดขึ้นใหม่ และพรรคฝ่ายต่างๆ ที่เกาะกลุ่มล้อมรอบแกนนำฝ่ายค้าน นายโมฮาเหม็ด เอลบาราได นักนิติศาสตร์ นักการทูตและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency - IAEA ภายใต้สหประชาชาติ) ผู้ได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเมื่อปี ค.ศ.2005 และเข้าร่วมประท้วงต่อต้านมูบารัคครั้งนี้

ซึ่งอาจถือเป็นความหมายโดยนัยของสิ่งที่ประธานาธิบดีโอบามาแห่งสหรัฐอเมริกาเรียกว่า "การเปลี่ยนผ่าน อย่างมีระเบียบเรียบร้อย" ที่เขาอยากเห็นในอียิปต์นั่นเอง

ดูเหมือนเงื่อนไขดังกล่าวจะมาลงตัวพร้อมเพรียงเมื่อวันศุกร์ที่ 11 กุมภาพันธ์นี้ และแล้วกองทัพอียิปต์ก็เอื้อมไปจับมือประชาชนแล้วโค่นมูบารัคลง!

แนวโน้มการเมืองอียิปต์หลังโค่นมูบารัคจะเป็นเช่นใด? เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นี้ สภาสูงของกองทัพ ได้ออกประกาศฉบับที่ 5 สั่งยุบสภาผู้แทนราษฎรและสภาสูงซึ่งเพิ่งได้รับเลือกตั้งเข้ามาอย่างฉ้อฉลอื้อฉาวเมื่อปลายปีก่อน, ระงับใช้รัฐธรรมนูญ, ตั้งคณะกรรมการแก้ไขปรับปรุงรัฐธรรมนูญเพื่อผ่านการลงประชามติ, และสัญญาจะจัดเลือกตั้งรัฐสภาและประธานาธิบดีใหม่ใน 6 เดือน, ระหว่างนี้คณะรัฐมนตรีที่มูบารัคตั้งใหม่ล่าสุดจะรักษาการไปพลางก่อน, พร้อมกันนั้น สภาสูงของกองทัพก็ยืนยันพันธกรณีตามสนธิสัญญาและข้อตกลงต่างๆ ที่ อียิปต์ได้ทำไว้กับนานาประเทศรวมทั้งอิสราเอล

ข้อน่าสังเกตคือประกาศของสภาสูงกองทัพอียิปต์ข้างต้นมีรายละเอียดเนื้อหาพ้องกับข้อเรียกร้องในแถลงการณ์ของแกนนำการชุมนุมต่อต้านมูบารัคที่รวมตัวกันเฉพาะกิจและเรียกตัวเองว่ากลุ่ม "25 มกราคม" หลายประเด็น ดังปรากฏรายละเอียดตามแถลงการณ์ต่อไปนี้ (ดูต้นฉบับภาษาอาหรับที่ www.assawsana.com/portal/ newsshow.aspx?id=44605) : -

-ยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินอันเป็นเหตุให้ระงับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญทันที

-ปล่อยนักโทษการเมืองทั้งหมดทันที

-ระงับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันและบทแก้ไขเพิ่มเติมต่างๆ

-ยุบรัฐสภาสหพันธ์และสภาระดับจังหวัดทั้งหลาย

-ก่อตั้งสภาปกครองรวมหมู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน

-จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลประกอบด้วยกลุ่มชาตินิยมอิสระเพื่อดูแลจัดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรม

-จัดตั้งคณะทำงานเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับใหม่ซึ่งคล้ายคลึงรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ฉบับเก่าก่อน แล้วให้ผ่านการลงประชามติ

-ขจัดข้อจำกัดหวงห้ามทั้งปวงเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเสรีบนพื้นฐานที่เป็นพรรคพลเรือน, ยึดหลักประชาธิปไตยและสันติภาพ

-ยึดหลักเสรีภาพในการพิมพ์

-ยึดหลักเสรีภาพในการก่อตั้งสหภาพแรงงานและองค์การเอ็นจีโอโดยไม่ต้องขออนุญาตจากรัฐบาล

-ยุบศาลทหารทั้งหมดและยกเลิกคำตัดสินของศาลทหารในคดีที่ผู้ต้องหาเป็นพลเรือน เป็นต้น

เหล่านี้ทำให้ศาสตราจารย์ฮวน โคล สรุปว่าขบวนการมวลชนที่ลุกฮือโค่นมูบารัคครั้งนี้มีแก่นแท้เป็นขบวนการแรงงานที่ยึดถือ "ชาติ" (watan) และข้อเรียกร้องทางการเมืองเชิงโลกวิสัยอื่นๆ เป็นที่ตั้ง, ไม่ใช่ขบวนการเคร่งหลักอิสลามมูลฐานที่ยึดถือ "ชุมชนศาสนา" (ummah) และข้อเรียกร้องตามหลักอิสลามเป็นสรณะดังฝ่ายขวาอเมริกันและอิสราเอลบิดเบือน

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าขบวนการมวลชนอียิปต์จะกำหนดเกมการเมืองหลังโค่นมูบารัคได้ดังใจนึก แนวโน้มน่าวิตกในสายตาผู้ช่วยศาสตราจารย์ซาเมอร์ เชฮาตา คือมันอาจนำมาซึ่งระบอบมูบารัคที่ปราศจากตัวมูบารัคเอง

แม้จะไม่กดขี่ปราบปรามหนักเท่าสองทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็หาใช่ประชาธิปไตยเต็มใบไม่

ที่มา.มติชนออนไลน์
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////

สถานการณ์ลิเบีย ผู้ชุมนุมถูกกราดยิงในเมือง Tripoli

กลุ่มผู้ต่อต้านประธานาธิบดีกัดดาฟียังชุมนุมกันอยู่ที่เมืองหลวง Tripoli และมีรายงานว่าขณะที่ผู้ชุมนุมทำละหมาดช่วงเที่ยง กลับถูกกราดยิงโดยทหารที่ยังจงรักภักดีต่อกัดดาฟี จนมีผู้เสียชีวิต 6 ราย
เขตที่มีรายงานการยิงในกรุง Tripoli ได้แก่ Fashloum, Ashour, Jumhouria และ Souq Al ตัวเลขผู้เสียชีวิตรวมยังไม่ชัดเจน แต่ตัวแทนจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนในฝรั่งเศสประเมินว่าอาจสูงถึง 2,000 ราย
ก่อนหน้านี้ กัดดาฟีได้แถลงการณ์ทางโทรทัศน์อีกครั้ง กล่าวโทษกลุ่มก่อการร้ายอัลเคด้า ที่อยู่เบื้องหลังการลุกฮือครั้งนี้

ส่วนฟากตะวันออกของประเทศที่หลุดจากอำนาจควบคุมของรัฐบาลกัดดาฟีได้แล้ว ประชาชนเรือนหมื่นได้ออกมาชุมนุมกันที่เมือง Benghazi และเมืองอื่นๆ เพื่อส่งกำลังใจให้ผู้ชุมนุมที่ Tripoli ส่วนขุนทหารที่อยู่ในภาคตะวันออก กล่าวกับสำนักข่าว Al Jazeera ว่าขุนทหารภาคตะวันตกเริ่มถอนตัวออกจากฝ่ายกัดดาฟีแล้ว อย่างไรก็ตาม กองกำลังพิเศษของกัดดาฟี Khamis Brigade ยังจงรักภักดี และมีอาวุธหนักครบมือไล่ฆ่าฝ่ายตรงข้ามอยู่บ้างในภาคตะวันออกของประเทศ

ฝ่ายผู้ชุมนุมในภาคตะวันออกสามารถยึดสนามบิน (เพื่อป้องกันการโจมตีจากเครื่องบิน) และแท่นขุดเจาะน้ำมันอีกหลายแห่ง และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลกิจการในเมืองที่ปราศจากรัฐบาลกลางแล้ว



ภาพแสดงพื้นที่ครอบครองของฝ่ายต่างๆ ในลิเบีย (ภาพจาก BBC)

สำหรับความเคลื่อนไหวจากต่างประเทศ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติได้ประชุมกันที่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อคุยถึงปัญหาในลิเบีย ส่วนโครงการอาหารโลกของสหประชาชาติให้ข้อมูลว่าลิเบียจะเกิดวิกฤตอาหารในเร็วๆ นี้ เพราะไม่สามารถนำเข้าอาหารไปยังลิเบียได้ ตอนนี้ชาติต่างๆ ทั่วโลกเริ่มขนคนของตัวเองออกจากลิเบียแล้ว

ที่มา – Al Jazeera, BBC
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กกต.ไฟเขียว 7 แกนนำ นปช.ลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้

สำนักงาน กกต.ระบุ 7 แกนนำ นปช.สามารถลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้ หลังพบคุณสมบัติยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

นายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีที่ 7 แกนนำ นปช.ประกาศจะลงสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าว่า จากข้อมูลเบื้องต้นคิดว่า คุณสมบัติของ 7 แกนนำฯ ยังไม่เข้าข่ายไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด เนื่องจากการถูกควบคุมตัวในเรือนจำที่ผ่านมาในคดีก่อการร้ายนั้น ถือเป็นการควบคุมตัวในระหว่างที่รอการพิจารณา แต่คดียังไม่มีคำพิพากษาเป็นที่สิ้นสุดออกมา ซึ่งหากดูกันในลักษณะนี้ ถือว่าไม่มีคุณสมบัติที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้ต้องดูต่อไปด้วยว่า ยังมีคดีอื่น ๆ ที่เกี่ยวโยงด้วยอีกหรือไม่ ส่วนเมื่อหากได้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์แล้ว ศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก ก็จะมีผลต่อสถานะการเป็น ส.ส. ซึ่งอาจต้องสิ้นสุดลง

“กรณีนี้จะใกล้เคียงกับรายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่มีกรณีเรื่องคดีรถดับเพลิง ในสมัยที่เป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ผลของคดียังไม่สิ้นสุด นายอภิรักษ์จึงลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็น ส.ส.กทม. จากการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 2 กทม.ที่ผ่านมา แต่หากต่อไปคดีรถดับเพลิงมีคำพิพากษาว่า นายอภิรักษ์มีความผิดจริง ก็จะส่งผลต่อสถานะทันที” นายประพันธ์ กล่าว.

ที่มา.สำนักข่าวไทย
//////////////////////////////////////////////////////////

เบนกาซีร์ กรุงทริโปลีแทบจะเป็นเมืองร้าง คนไม่กล้าเดินถนน

สถานีโทรทัศน์ AP ได้แพร่ภาพที่ระบุว่าบันทึกโดยช่างภาพสมัครเล่น ที่แสดงให้เห็นการปะทะกันอย่างรุนแรง และการประท้วงที่เมืองท่าเบนกาซี ของลิเบีย โดยภาพที่ถูกระบุว่า บันทึกไว้เมื่อวันจันทร์ ได้แสดงให้เห็นประชาชนวิ่งหาที่กำบังบริเวณข้างถนน ท่างกลางเสียงปืนดังสนั่นที่เกิดจากการยิงปะกันอย่างดุเดือด และยังมีระเบิดเพลิงที่ถูกขว้างใส่รถยนต์ที่กำลังวิ่งเข้ามาอีกด้วย ภาพที่ถูกนำเผยแพร่นี้ ยังไม่ได้รับการตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ แต่ถูกระบุว่า ได้รับผ่านทางนายจอร์จ ซูโคเมล ชาวแคนาดาจากคอลลิ่งวู้ด ออนตาริโอ ที่ทำงานอยู่บริษัทก่อสร้างของเยอรมนีชื่อ อาร์คาดิส และเพิ่งจะได้รับการอพยพออกจากลิเบียโดยเรือของตุรกี ซึ่งนายซูโคเมลบอกว่า มีคนให้เขานำวิดีโอชุดนี้ออกนอกลิเบีย ซึ่งคนที่ถ่ายทำวิดีโอชุดนี้ ได้อธิบายเหตุการณ์ปะทะเดือดที่เกิดขึ้นว่า มีหลายศพห้อยจากเสาไฟฟ้า และพวกทหารบ้านก็ขับรถบรรทุกศพไปทั่วเมือง ส่วนบ้านพักและสำนักงานของบริษัทอาคาร์ดิส ในเบนกาซี ได้ถูกบุก ส่วนรถยนต์และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์จำนวนมาก ถูกปล้นไปจนหมด

ด้านคณะแพทย์ของโรงพยาบาลสนามที่จตุรัสมาร์ไทร์ ในเมืองซาวิยา เปิดเผยในวันนี้ว่า มีผู้เสียชีวิต 17 คน และอีก 150 คน ได้รับาดเจ็บ ตอนที่กองกำลังฝ่ายรัฐบาลถล่มเมือง และว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจะสูงกว่านี้ ทหารฝ่ายรัฐบาลที่ถูกจับได้ 6 นาย สารภาพว่า พวกเขาได้รับแจ้งว่า เมืองซาวิยาตกอยู่ในมือของกลุ่มติดอาวุธอาหรับ และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่ต้องปลดปล่อยเมืองนี้พวกทหารยอมรับว่า ได้รับการชี้นำผิด ๆ ทำให้พวกเขาต้องมาต่อสู้กับคนชาติเดียวกันเอง การประท้วงที่ดำเนินมา 10 วัน ได้ส่งผลให้พันเอกโมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ต้องสูญเสียการควบคุมพื้นที่ทางตะวันออก และสมาชิกในรัฐบาลของเขาหลายคน พากันแปรพักตร์ ทั้งยังเผชิญกับกระแสกดดันจากนานาชาติครั้งใหม่ โดยเมื่อวานนี้ สวิตเซอร์แลนด์ได้สั่งอายัดทรัพย์สินของเขาและคนใกล้ชิดแล้ว

สำนักข่าว CNN ระบุว่า ในขณะที่มีรายงานว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลสามารถยึดเมืองเบนกาซีเมืองมิสราตา และอัซ ซินตัน เอาไว้ได้นั้น แต่ในกรุงทริโปลี ที่เมืองหลวง ยังคงมีการยิงใส่ผู้ประท้วงจนแตกกระเจิง เมื่อวันพฤหัสบดี จนกลายเมืองร้าง ประชาชนไม่กล้าออกไปเดินตามถนน ไม่กล้าแม่แต่จะโผล่หน้าต่างออกไปดูเหตุการณ์ และไม่กล้าพูดคุยกับผู้สื่อข่าวมีบางคนบอกว่า พยายามซ่อนตัว หลังมีข่าวการลักพาตัวเกิดขึ้นที่บ้านหลายหลัง

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////

กสท.ฟ้องเอาผิดครม."ทักษิณ" แก้สัมปทานทำสูญ4หมื่นล้าน "ทีโอที"เตรียมฟ้องเอไอเอส

บอร์ด กสท มีมติฟ้องศาลปกครองเอาผิด ครม.ชุด พ.ต.ท.ทักษิณŽ ก่อนหมดอายุความ 26 ก.พ. แก้มติหักส่วนแบ่งรายได้ทำเสียรายได้ 4 หมื่นล้าน ทีโอทีŽเล็งฟ้องเอไอเอสŽด้วย ลือทั้งวันบอร์ดทีโอทีลาออกยกชุด

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่รัฐสภา นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ ประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร เดินทางเข้าพบนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เพื่อรายงานมติการประชุมบอร์ดที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามคำพิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

นายจิรายุทธ รุ่งศรีทอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ กสท กล่าวว่า บอร์ดมีมติจะฟ้องร้องเอาผิดคณะรัฐมนตรี (ครม.) สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีมติไม่ชอบว่าด้วยการหักส่วนแบ่งรายได้ 10% เป็นภาษีสรรพสามิตกิจการโทรคมนาคม ส่งผลให้กสท ได้รับความเสียหาย 40,000 ล้านบาท โดยวันที่ 25 กุมภาพันธ์จะไปกระทรวงการคลังเพื่อศึกษาแนวทางการฟ้องร้อง ก่อนยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในวันเดียวกัน ก่อนหมดอายุความในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่ง กสท ได้ยื่นฟ้องคู่สัญญาสัมปทาน คือบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือ ดีพีซี ไปก่อนหน้าแล้ว อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ

นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ประธานบอร์ด บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทีโอที มีนโยบายจะฟ้องร้องคู่สัญญาบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส ที่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือเรียกค่าเสียหาย (Notice) ไปแล้ว

นายจุติกล่าวว่า การฟ้องร้องขึ้นอยู่กับ 2 หน่วยงาน และคงต้องรอคำตอบจากภาคเอกชนในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ก่อนนำเรื่องเสนอ ครม.ต่อไป หากนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้อง มีเวลาดำเนินการถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แต่หากคำตอบภาคเอกชนมีแนวโน้มไปสู่การเจรจาที่ดี ก็สามารถขอ ครม. ขยายเวลาได้ ได้ตำหนินายหรรษา ชีวะพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกฎหมาย กสท ว่าเหตุใดถึงตัดสินใจจะฟ้องตอนนี้ ทั้งที่ผ่านมานานแล้วเกือบปีŽ นายจุติกล่าว และว่า ส่วนกรณีที่บอร์ดทีโอที 5 คน ลาออก ได้รับแจ้งว่าเป็นผลจากเอไอเอสได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนถึงกรรมการทีโอทีทุกคนโดยตรงถึงบ้าน ทำให้เกิดความกังวล ก็เข้าใจและไม่ได้ตำหนิแต่อย่างใด ทั้งนี้กรรมการที่เหลืออยู่ 7 คน ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ และประชุมบอร์ดได้

นายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวชี้แจงว่า เพราะที่ทีโอทีไม่มีผู้รับจดหมาย จึงจำเป็นต้องส่งที่บ้านบอร์ดทีโอทีโดยตรงเพื่อให้ถึงมือผู้รับ

ผู้สื่อข่ายรายงานว่า ตลอดทั้งวันมีกระแสข่าวสะพัดว่าบอร์ดทีโอที เตรียมลาออกเพิ่ม ซึ่งอาจส่งผลให้การประชุมวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ต้องยกเลิก รวมถึงอาจส่งผลต่อการอนุมัติโครงการ 3 จี ซึ่งเป็นโครงการสำคัญของทีโอทีด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผู้อพยพจากลิเบียทะลักเข้าตูนิเซีย/ชาวต่างชาติแออัดที่สนามบินทริโปลี

ผู้อพยพหลายร้อยคนจากลิเบีย ได้ข้ามพรมแดนไปยังตุรกี เมื่อวันพุธ ในขณะที่ขอบเขตพื้นที่การควบคุมของพันเอก โมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ทะยอยหลุดมือไปเรื่อย ๆ จากการที่เมืองใหญ่และเล็กหลายเมือง ที่อยู่ใกล้กับกรุงทริโปลี ตกอยู่ในมือของฝ่ายที่ต่อต้านเขา ท่ามกลางรายงานข่าวที่ยังไม่อาจยืนยันได้ว่า มีผู้เสียชีวิตจากการใช้กำลังเข้าตอบโต้ของฝ่ายรัฐบาลระหว่าง640 - 1,000 คน โดยเฉพาะที่เมืองมิสราตานั้น ทหารรับจ้างได้ยิงปืนกลและจรวดอาร์พีจีเข้าใส่ผู้ประท้วง และเกรงว่า พวกเขาเตรียมลงมือซ้ำอีก

พวกฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ในพื้นที่ทางตะวันออกของประเทศ ที่ถูกตัดขาดจากเมืองหลวงอย่างสิ้นเชิงนั้น ได้ประกาศจะปลดปล่อยกรุงทริโปลี ที่ผู้นำลิเบียยังคงกบดานอยู่กับขุมกำลังที่ออกไปอาละวาดไล่เข่นฆ่าประชาชนตามท้องถนน แต่มีสัญญาณว่า อำนาจของเขาได้ถูกบั่นทอนลงเรื่อย ๆ เมื่อนักบินของเครื่องบินรบในสังกัดกองทัพอากาศ 2 นาย ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้มาจากชนเผ่าเดียวกับพันเอกกัดดาฟี่ ได้ดีดตัวออกจากเครื่องบิน และปล่อยให้เครื่องบินรบทั้งสองลำไปตกในทะเลทรายทางตะวันออก อันเป็นการขัดขืนคำสั่งที่ให้พวกเขาไปถล่มเมืองเบนกาซี

นานาชาติ กำลังหาทางตอบโต้รัฐบาลของพันเอกกัดดาฟี่ ที่ใช้ความรุนแรงกวาดล้างผู้ประท้วงโดยทำเนียบขาว ระบุว่า กำลังตรวจสอบทางเลือกที่จะเล่นงานลิเบียให้ยุติการใช้ความรุนแรงที่รวมทั้งการคว่ำบาตร ส่วนประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โคซี่ ของฝรั่งเศส ยกความเป็นไปได้ที่สหภาพยุโรป หรือ อียู จะตัดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับลิเบีย นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้สหประชาชาติ ประกาศเขตห้ามบินเหนือน่านฟ้าลิเบีย เพื่อป้องกันไม่ให้ใช้เครื่องบินรบยิงถล่มผู้ประท้วง

มีรายงานว่า พันเอกกัดดาฟี่ กำลังจะสูญเสียการควบคุมพื้นที่ชายฝั่งในภูมิภาคตะวันตกที่อยู่รอบ ๆ กรุงทริโปลี รวมถึงพื้นที่ทะเลทรายทางตอนใต้ และอีกหลายส่วนทางภาคกลาง และเขากำลังต่อสู้เพื่อจะยึดพื้นที่เหล่านี้คืน ในขณะที่ผู้ประท้วงรวมตัวกันเป็นปึกแผ่นในพื้นที่ทางตะวันออก และชาวต่างชาติยังคงพยายามเดินทางออกจากลิเบีย จนเกิดความโกลาหลที่สนามบินทริโปลี ชาวอังกฤษคนหนึ่งบอกว่า มีคนอยากจะเดินทางไปที่สนามบิน แต่ยังกลัว เนื่องจากมีทหารเต็มถนนและยังปล้นคนที่ผ่านไป-มาอีกด้วย ส่วนนักบินของสายการบินมอลต้า ระบุว่าเห็นคนต่อสู้กันเพื่อแย่งกันขึ้นเครื่องบิน

ที่มา.เนชั่น
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////

อันเนื่องมาจากนโยบายเปลี่ยนสนามรบมาเป็นสนามการค้า

โดย โกวิท วงศ์สุรวัฒน์

หน้าที่หลักหน้าที่หนึ่งของทูตทั่วโลกผู้ไปประจำอยู่ต่างแดนคือ การรายงานและประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ตนเองประจำอยู่กลับไปยังผู้บังคับบัญชาในประเทศของตนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรายงานเหล่านี้ทั้งหมดล้วนแต่เป็นรายงานลับ โดยที่ผู้ที่ศึกษาแสวงหาความจริงเช่นนักวิชาการทั่วไปจะไม่มีโอกาสได้เห็นรายงานเหล่านี้เลย นอกจากมีปรากฏการณ์วิกิลีกส์ที่มีมือดีเอาออกมาเผยแพร่ให้ฮือฮากันเป็นเรื่องฉาวโฉ่เมื่อเร็วๆ นี้เอง

นักประวัติศาสตร์ทางการเมืองทั่วโลกในปัจจุบันนี้ กำลังหมกมุ่นอยู่กับขุมทรัพย์ทางวิชาการที่ถูกเปิดออกมาให้นักวิชาการได้ศึกษาตามหอจดหมายเหตุ ของบรรดาอดีตประเทศคอมมิวนิสต์ทั้งหลาย ที่เอารายงานของทูตคอมมิวนิสต์ที่ประจำอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรายงานประเมินสถานการณ์ของประเทศที่ทูตเหล่านั้นประจำอยู่ในช่วงเวลานั้นกลับมายังรัฐบาล

ในจำนวนนี้มีประเทศฮังการีรวมอยู่ด้วย
สาเหตุที่เปิดให้ผู้คนไปศึกษาเรื่องราวในอดีตเมื่อครั้งที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์อยู่นั้น ก็เนื่องจากปัจจุบันนี้ประเทศคอมมิวนิสต์หลายประเทศได้เปลี่ยนการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยนั่นเอง

ประเทศฮังการีเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทางทะเล ตั้งอยู่ในยุโรปตะวันออก มีเนื้อที่ประมาณหนึ่งในห้าของประเทศไทย อดีตเคยเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ครั้นสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2534 แล้ว ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (มีสมาชิก 27 ประเทศ) เป็นประเทศในกลุ่ม Schengen states (มีสมาชิก 25 ประเทศ คือ กลุ่มประเทศที่ใช้วีซ่าของประเทศเดียวสามารถเดินทางไปได้ทั่ว) และฮังการีใช้เงินยูโรเป็นเงินตรา (มีสมาชิกที่ใช้เงินยูโรนี้ 17 ประเทศ)

ผู้เขียนได้รับบทความเรื่อง From Battlefield into Marketplace : The End of the Cold War in Indochina, 1985-9 ของนายบาลาซส์ ซาลอนไท (Balazs Szalontai) ที่นำเสนอในงานประชุมนานาชาติ ณ วิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน (LSE) มหาวิทยาลัยลอนดอน เมื่อปลายปีที่แล้ว บทความนี้อยู่ในกระบวนการตีพิมพ์ในนิตยสาร LSE ของปีนี้ (2554)

นายบาลาซส์ ซาลอนไท เป็นชาวฮังการี อดีตอาจารย์จากมหาวิทยาลัยมองโกเลีย ณ กรุงอูลานบาตอร์ ปัจจุบันทำ Post graduate อยู่ที่มหาวิทยาลัยอีสต์ ไชน่า นอร์มาล-East China Normal University (ECNU) ผู้สร้างความฮือฮาให้แก่วงวิชาการ เมื่อเขาได้นำเสนอบทความที่อาศัยข้อมูลจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติของฮังการี อันเป็นรายงานจากสถานทูตฮังการีที่ประจำอยู่ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว และอินโดนีเซียเป็นหลัก ในการเขียนบทความทางวิชาการนี้ โดยข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลลับที่ถูกนำไปเก็บไว้ที่หอจดหมายเหตุของกรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ซึ่งนายบาลาซส์ได้นำมาเขียนเป็นบทความทางวิชาการเป็นภาษาดังกล่าว

บทความนี้เริ่มด้วยการกล่าวถึงบทบาทสำคัญของอดีตนายกรัฐมนตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในฐานะของนักธุรกิจได้ดำเนินนโยบายการประสานงานให้มีการเจรจาร่วม ระหว่างเขมร 4 ฝ่าย เพื่อยุติการสู้รบ และสนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลประเทศกัมพูชาภายใต้การนำของพระเจ้านโรดมสีหนุขึ้น เพื่อที่จะได้ทำธุรกิจกันเสียที นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลพลเอกชาติชาย มีชื่อเรียกที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายคือ นโยบาย "เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า"
บทความนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งในรายละเอียดของการดำเนินนโยบายที่สามารถอธิบายเหตุผลเชื่อมโยงความสำเร็จของนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่เป็นความลับได้อย่างกระจ่างแจ้งของความร่วมมือของทางการฝ่ายไทย ภายใต้การนำของพลเอกชาติชายกับฝ่ายกัมพูชาที่มีเวียดนามหนุนหลัง ภายใต้การนำของนายฮุน เซน เมื่อ พ.ศ.2532 ที่ร่วมกันบีบเขมรแดงภายใต้การนำของนายพล พต ให้ยอมเข้าร่วมอยู่ในรัฐบาลแห่งชาติกัมพูชา ด้วยการที่รัฐบาลไทยผู้ให้การสนับสนุนฝ่ายเขมรแดงของพล พต มาตั้งแต่ พ.ศ.2518 เมื่อเวียดนามกรีฑาทัพเข้ามายึดครองกัมพูชา ด้วยการยินยอมให้เขมรแดงอาศัยอยู่ตามตะเข็บชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นฐานเข้ารังควานฝ่ายเวียดนามโดยตลอด และยังช่วยขนส่งอาวุธยุทธภัณฑ์ที่ส่งมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนให้กับพวกเขมรแดงในช่วง 9 ปีหลังอีกด้วย

ภายหลังที่รัฐบาลชาติชายไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้ฝ่ายเขมรแดงเข้าร่วมรัฐบาลแห่งชาติกับเขมรฮุน เซน และเขมรเสรีได้ ดังนั้น ในช่วงฤดูร้อน พ.ศ.2532 เมื่อทหารเขมรแดงปฏิบัติการในการรังควานและลอบโจมตีในเขตยึดครองของฝ่ายรัฐบาลพนมเปญของฮุน เซน ก็ประสบกับการตอบโต้จากปืนใหญ่ของฝ่ายเขมรฮุน เซน ที่แม่นยำอย่างเหลือเชื่อ ถล่มเขตที่มั่นและเส้นทางลำเลียงของเขมรแดงที่เข้ามายึดพื้นที่เอาไว้เหมือนกับผีจับยัด ซึ่งก็ไม่ใช่เพราะทหารเขมรฮุน เซน ยิงปืนใหญ่เก่งอะไรหรอกครับ หากแต่ฝ่ายไทยได้วิทยุไปบอกพิกัดที่ตั้งของของฝ่ายเขมรแดงให้กับฝ่ายเสนาธิการของทางพนมเปญเท่านั้นเอง

ด้วยสาเหตุนี้ที่ทำให้รัฐบาลชาติชายสามารถบีบเขมรแดงให้ร่วมขบวนการสมานฉันท์ของเขมรได้สำเร็จ

นายบาลาซส์ยังได้ชี้ให้เห็นหลักฐานความขัดแย้งในทางผลประโยชน์ของประเทศระหว่างสหภาพโซเวียตกับเวียดนาม, ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามกับลาวและกัมพูชา, ความขัดแย้งของลาว กัมพูชาและกลุ่มประเทศ The Council for Mutual Economic Assistance (COMECON) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ที่ร่วมมือทางเศรษฐกิจของยุโรปตะวันออกล้วนเป็นประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต อันมีบัลแกเรีย เชคโกสโลวาเกีย โรมาเนีย ฮังการี โปแลนด์ แอลเบเนีย เยอรมนีตะวันออก มองโกเลีย และคิวบา ซึ่งเวียดนาม ลาว กัมพูชา (ฮุนเซน), และภายในกัมพูชาที่กรุงพนมเปญก็มีความขัดแย้งกันเองระหว่างนายเพน โสวัน นายเฮง สัมริน และนายฮุน เซน

นอกจากนี้การที่เวียดนาม ลาว และกัมพูชาได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การอาเซียน ก็เนื่องจากไทยกับอินโดนีเซียมีโลกทรรศน์ที่ขัดแย้งกัน เพราะอินโดนีเซียเห็นว่าสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นภัยคุกคามต่ออินโดนีเซียมากกว่าเวียดนาม และเห็นว่าเวียดนามเป็นศัตรูกับจีน และจีนสนับสนุนเขมรแดง ในขณะที่ไทยเห็นว่าเวียดนามเป็นภัยคุกคามต่อไทยมากกว่าจีน

สนุกครับ...บทความของนายบาลาซส์ น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์ไทยอ่านภาษาของประเทศที่เคยเป็นคอมมิวนิสต์เดิมไม่ค่อยออก เพราะเอกสารสมัยสงครามเย็นที่อยู่ในหอจดหมายเหตุของประเทศคอมมิวนิสต์เก่านี้ น่าจะให้ความกระจ่างและความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ในเรื่องของสงครามเย็นในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างดี

ที่มา.มติชนออนไลน์
/////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

"ธิดา"แดง-แรงไม่ตก ทักษิณ-คือผู้ถือหุ้นใหญ่ พันธมิตรฯ-คือผู้วางหมากการเมืองของอำมาตย์

ตัวเลข 3 หมื่นคน คือ จำนวนมวลชนแดงที่หน่วยงานความมั่นคงรายงาน จากวันชุมนุมครั้งล่าสุดของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)

ขณะที่ยอดผู้ชุมนุมอีกสีหนึ่งซึ่งปักหลักข้างทำเนียบรัฐบาลมานานหลายสัปดาห์ มียอดผู้ชุมนุมไม่เกิน 1 พันคน

"ธิดา ถาวรเศรษฐ์ โตจิราการ"  วิเคราะห์ปรากฏการณ์เสื้อเหลือง สะท้อนเสื้อแดง และจัดตำแหน่งทักษิณในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของขบวน

@เป้าหมายในการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในขณะนี้คืออะไร

การเคลื่อนไหวขณะนี้ยังอยู่ใน 3 คอนเซ็ปต์ คือ ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านสงคราม ทวงความยุติธรรม ฉะนั้น ด้านหลักของการเคลื่อนไหว เราจึงเน้นปัญหาความยุติธรรม เพราะสถานการณ์รัฐประหารก็ยังดำรงอยู่ และพวกจารีตนิยมก็ยังอยากได้สงคราม เราจึงคัดค้าน นี่คือเจตนารมณ์ของเรา

@หากมีการเลือกตั้งหรือกรณีแกนนำได้รับการประกันตัวแล้ว จะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้ไม่มีเหตุผลในการชุมนุมหรือไม่

อย่าลืมว่าความยุติธรรมไม่ใช่แค่ เรื่องคนที่ถูกจับกุมคุมขัง แต่เป็นความยุติธรรมที่จะต้องรับผิดชอบคนที่ตายไป รัฐบาลยังไม่หาคนผิดมาลงโทษ ไม่มีทั้งความรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมาย

เพราะฉะนั้นนี่เป็นภาระหน้าที่ของเราซึ่งแน่นอนเราเรียกร้องประชาธิปไตย เราเห็นด้วยที่จะมีการยุบสภา แต่ปัญหาที่คนเสื้อแดงถูกกระทำ ก็เป็นเรื่องที่คนเสื้อแดงต้องต่อสู้ เพราะแสดงให้เห็นว่าคุณปฏิบัติต่อคนไม่เท่าเทียมกัน

@ปรากฏการณ์คนเสื้อแดงที่เพิ่มมากขึ้น อาจารย์คิดว่าอะไรเป็นปัจจัยหลัก

เรามองในเชิงเปรียบเทียบ สีเสื้อหนึ่งเพิ่มขึ้น ส่วนอีกสีเสื้อหนึ่งลดลง นั่นแปลว่าคนเข้าใจความจริงที่เราบอกมากขึ้น และข้อสำคัญคือเขาเห็นด้วยว่าคนเสื้อแดงถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม

ในอดีตเราถูกมองว่าเป็นสมุนของคุณทักษิณ เป็นพวกม็อบรับจ้าง แต่ว่า ความเป็นจริงมันเปิดเผยขึ้นมาเรื่อย ๆ และอาวุธความจริงกับความรู้ที่มากขึ้นที่เราให้กับสังคม นี่เป็นสิ่งที่ทำให้คนเสื้อแดงมากขึ้น

@มองฐานะของคุณทักษิณอยู่ในระดับนำหรือเป็นแนวร่วม

เขาเป็นแนวร่วม อย่าลืมว่าเราเป็นองค์กรแนวร่วม ในนี้มีองค์ประกอบ 60-70% ที่รักคุณทักษิณมาก ส่วนที่เหลือคือเฉย ๆ แต่ไม่ถึงกับเกลียด และอาจจะมีคนที่อยากอยู่ห่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง แต่เราเป็นองค์กรแนวร่วม เราต้องยอม รับความเป็นจริงว่า ความรักคุณทักษิณมันมีเหตุผลของมัน เพราะเขารักตัวเขา รักผลประโยชน์ของเขา เขาหวังว่าคุณทักษิณจะเป็นนายกฯที่ตอบสนองผลประโยชน์ของเขา ฉะนั้น คนเหล่านี้มี loyalty มีความจงรักภักดี แม้ผ่านไปหลายปีแต่เขายังรู้สึกได้ดี เพราะคนไทยเป็นคนซื่อตรง

คนเหล่านี้ยังมีความรักคุณทักษิณ แม้เขารู้ว่าความหวังที่คุณทักษิณจะกลับมามันรางเลือน แต่นี่เป็นนิสัยที่ไม่หักหลังคน ฉะนั้น เมื่อเรามองอย่างนี้ในแนวร่วม เราจึงจำเป็นให้คุณทักษิณอยู่ในฐานะที่มีบทบาทพอสมควร พูดง่าย ๆ คือเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คนหนึ่งในแนวร่วมนี้

@การก้าวข้ามคุณทักษิณหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่คนเสื้อแดงต้องเลือก หรือไม่

เราไม่สนใจ เพราะคนเสื้อแดงก็รู้ว่าคุณทักษิณประสบปัญหามากมาย แต่เรามีเป้าหมายชัดเจนว่าเราต้องการระบอบประชาธิปไตย เราไม่ต้องการระบอบอำมาตย์ ถ้าเราต่อสู้แบบนี้ คนเสื้อแดงเชื่อว่าคุณทักษิณก็จะได้รับความเป็นธรรมไปด้วย เป็นผลพลอย ได้เพราะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกกระทำ ก็ควรได้รับความยุติธรรม ไม่ใช่ว่ายกประโยชน์ให้ทั้งหมด

@คุณชัยวัฒน์ สินสุวงศ์ หนึ่งในแกนนำแนวร่วมฝ่ายเสื้อเหลือง เคยเสนอให้เสื้อแดงมาร่วมกับเสื้อเหลืองเพื่อขับไล่รัฐบาลอภิสิทธิ์ อาจารย์มองว่าเป็นไปได้หรือไม่

เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงมีความแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถร่วมกันได้ เขาเป็นพวกจารีตนิยมสนับสนุนระบอบ อำมาตยาธิปไตย เราเป็นพวกเสรีนิยมที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นจุดยืนคนละอย่าง

จารีตนิยมเป็นพวกคลั่งชาติ ทำให้เกิดรัฐประหาร ทำให้เกิดสงคราม มันคนละเรื่องกับเราเลย เขาพอใจที่จะทำให้เกิดรัฐประหาร เขาพอใจที่มีองค์กรมาจากการแต่งตั้ง พอใจที่จะรักษาอำนาจเอาไว้ ฉะนั้น นี่เป็นจุดยืนที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง เป็นคนละเรื่องกับการเคลื่อนไหวของเราเลยไปกันไม่ได้

@เสื้อแดงกับเสื้อเหลืองมีจุดร่วมกันหรือไม่

ต้องแยกประเด็นหลักและประเด็นรอง คุณพูดว่าร่วมกันในแง่ไม่ชอบอภิสิทธิ์ อันนี้โอเค แต่การที่เราไม่ชอบอภิสิทธิ์ เพราะอภิสิทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ และไม่รับผิดชอบทั้งทางการเมืองและทางกฎหมายในขณะที่เกิดปัญหา ฉะนั้น เขาไม่สมควรจะอยู่

ขณะที่พันธมิตรฯเสื้อเหลืองเกลียดอภิสิทธิ์ ไม่ใช่เพราะเป็นส่วนหนึ่งของระบอบอำมาตย์ แต่เขาเกลียดเพราะคิดว่าไม่ให้ผลประโยชน์ตามที่เขาควรจะได้

ฉะนั้น การเกลียดอภิสิทธิ์ไม่ใช่เหตุผลที่เสื้อเหลืองกับเสื้อแดงต้องมาจับมือกัน เพราะในที่สุดพวกเขาก็พยายามช่วยเหลือกัน

@พันธมิตรฯยังเป็นม็อบมีเส้นอยู่หรือไม่ มีตัวตนอยู่เพราะอะไร

โอ้..เส้นใหญ่มาก เขาเป็นส่วนสำคัญของระบอบอำมาตย์ เป็นผู้ชี้นำทางการเมือง เป็นผู้บงการทางการเมือง เป็นเสนาธิการของระบอบอำมาตย์ด้วย เขาทำตัวอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นมันจะเกิดสงครามไหมล่ะ

ถามว่าอภิสิทธิ์อยากให้เกิดสงครามไหมล่ะ...แต่ว่าอภิสิทธิ์ก็ต้องทำสงคราม ไม่ว่าจะอยากได้หรือไม่อยากได้ก็ตาม จะอ้างว่าใครยิงมาก่อนก็ตาม แต่สงครามเป็นไปตามที่พันธมิตรฯบอกอยู่แล้ว เขาทำตัวเป็นผู้วางหมากทางการเมืองของอำมาตย์

@ปัจจุบันพันธมิตรฯยังทำหน้าที่นั้นอยู่หรือ

ใช่...แม้พันธมิตรฯมีคนไม่กี่ร้อยคน แต่รัฐบาลก็กลัว อภิสิทธิ์ก็กลัว

@คนเสื้อแดงมาชุมนุมเยอะขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีผลให้อำมาตย์หรือรัฐบาลกลัวเสื้อแดง

ก็เพราะเขามีปืน มีกองทัพ มีกระบวนการยุติธรรมอยู่ข้างเขา ถ้าไม่กลัวเราก็ไม่เป็นไร เดี๋ยววันหลังเราจะมาเป็นล้านเลย ไม่กลัวก็ไม่เป็นไรเรารอได้ รอให้คนไทยเข้าใจมากกว่านี้ เราจะอดทนรอ...

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////