--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สื่อกัมพูชาเผยภาพ "ปราสาทพระวิหาร" เสียหายหลังเหตุปะทะทหารไทย

สื่อกัมพูชาเผยแพร่ภาพความเสียหายบริเวณปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะ หลังทหารไทยปะทะทหารกัมพูชา ขณะที่ รอง ผบ.สส. “พล.อ.เจีย ดารา” ให้กำลังใจกำลังพลใกล้ชิด ด้าน รมต.ต่างประเทศกัมพูชาทำจดหมายประท้วงไปยังคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติแล้ว

สภาพความเสียหายของวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะ (ที่มา: สำนักข่าว DAP-News)
ภาพจรวดตกใกล้บริเวณปราสาทพระวิหาร (ที่มา: สำนักข่าว DAP-News)

ทหารกัมพูชาเตรียมพร้อมที่ปราสาทพระวิหาร ขณะที่ภาพล่างสุด พล.อ.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพกัมพูชา ระหว่างตรวจเยี่ยมให้กำลังใจทหารกัมพูชาในพื้นที่ (ที่มา: สำนักข่าว DAP-News)

วานนี้ (5 ก.พ.) สำนักข่าวดึมอำปึล หรือต้นมะขาม (DAP-News) ของกัมพูชา เผยแพร่ภาพความเสียหายบริเวณปราสาทพระวิหารและวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะ หลังเมื่อวันที่ 4 ก.พ. และเช้าวันที่ 5 ก.พ. เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา

ทั้งนี้ ชนวนปะทะดังกล่าว เกิดขึ้นหลังทหารชุดเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 23 กองกำลังสุรนารี ได้เข้าไปสร้างเส้นทาง และสะพานในพื้นที่ตะวันออกของผามออีแดง เพื่อก่อสร้างสะพานข้ามลำธารที่อยู่ระหว่างโขดหิน ทางขึ้นสู่วัดแก้วสิกขาครีสวายเรีย แต่ทหารกัมพูชาถือว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา จึงทำให้มีการปะทะกันเกิดขึ้น

โดยสำนักข่าวดึมอำปึล เผยแพร่ภาพลูกจรวดที่ยิงจากฝั่งไทย ตกใกล้กับตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งสร้างมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 นอกจากนี้บริเวณศาสนสถานของวัดแก้วสิกขาคีรีสวายเรียะก็เต็มไปด้วยรอยกระสุน นอกจากนี้มีการเผยแพร่ภาพ พล.อ.เจีย ดารา รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพกัมพูชา ตรวจพลและให้กำลังใจทหารกัมพูชาที่รักษาพื้นที่ปราสาทพระวิหารด้วย


ภาพตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งปรากฏร่องรอยความเสียหายหลังการปะทะ ขณะที่ภาพล่างสุดเป็นภาพทหารกัมพูชายืนเฝ้าระวังชายแดน (ที่มา: สำนักข่าว CEN)

นอกจากนี้สำนักข่าว CEN ของกัมพูชา ยังได้เผยแพร่ภาพตัวปราสาทพระวิหารหลายภาพ โดยบริเวณปราสาทมีร่องรอยได้รับความเสียหายหลังเกิดการปะทะด้วย


หนังสือร้องเรียนต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ ลงนามโดย ฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา

นอกจากนี้สำนักข่าวดึมอำปึล ยังรายงานด้วยว่า นายฮอร์ นัมฮง รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา ได้ทำหนังสือร้องเรียน แสดงความกังวลไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ กล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายรุกล้ำดินแดนกัมพูชา เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2011 ระหว่างเวลา 15.00 น. ถึง 17.00 น. โดยทหารไทยกว่า 300 นายได้เข้ามายังดินแดนกัมพูชาและโจมตีกัมพูชาจาก 3 จุด และเช้าวันที่ 5 ก.พ. 2011 เวลา 06.30 น. โดยไทยยิงกระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 ม.ม. ที่ภูมะเขือ เป็นเวลา 20 นาที

“การโจมตีเป็นผลให้เกิดความเสียหายรุนแรงอย่างมากต่อปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นมรดกโลก เช่นเดียวกับการเสียชีวิตและบาดเจ็บของทหารกัมพูชาและประชาชนกว่าสิบราย” หนังสือร้องเรียนของทางการกัมพูชาระบุ

ในหนังสือร้องเรียนยังระบุด้วยว่า ไทยได้ละเมิดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ สนธิสัญญาทางไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกัมพูชาและประเทศไทยเป็นภาคี และละเมิดข้อตกลงสันติภาพปารีสปี 1991 ในเรื่องความเป็นเอกราช บูรณภาพแห่งดินแดน การไม่อาจล่วงล้ำ ความเป็นกลาง ความเป็นเอกภาพของชาติของกัมพูชา

ที่มา.ประชาไท
////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ชายแดนด้านสุรินทร์เครียด ทหาร2ฝ่ายเผชิญหน้า

สถานการณ์ชายแดนด้านสุรินทร์ตึงเครียด ทหารไทยและกัมพูชาตรึงกำลังเผชิญหน้าที่ปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควาย กองทัพเสริมกำลังพล-อาวุธเข้าประชิดชายแดน ขณะที่ด่านถาวรช่องจอมถูกสั่งปิดชั่วคราวโดยไม่มีกำหนด

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจ.สุรินทร์ วันนี้ยังคงตรึงเครียด โดยเฉพาะพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม ต.ตาเมียง และปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทหารไทยจากกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 960 และ กองร้อยทหารพรานที่ 2605 ตรึงกำลังอยู่บริเวณที่ตั้งรอบปราสาทอย่างเต็มที่ เพื่อป้องกันการลุกล้ำเข้ามาของทหารกัมพูชา ที่มีการเพิ่มกำลังพลและอาวุธเข้าประชิดชายแดน

ขณะที่จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ในเช้าวันนี้ ซึ่งเป็นวันตลาดนัดและเป็นวันหยุด ซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากทั้งชาวไทยและชาวกัมพูชา เดินทางผ่านแดนเข้ามาท่องเที่ยวและซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ปรากฏว่าในช่วงเช้าเวลา 07.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเปิดประตูด่าน ได้มีคำสั่งจากแม่ทัพภาคที่ 2 ให้ทหารทำการปิดด่านชั่วคราวไม่มีกำหนด โดยไม่อนุญาตให้ชาวกัมพูชา และชาวไทยข้ามแดน แต่อนุญาตให้ชาวไทยที่ตกค้างอยู่ฝั่งประเทศกัมพูชากลับเข้าในประเทศและให้ชาวกัมพูชาที่ตกค้างในประเทศไทยกลับประเทศได้เท่านั้น

ขณะที่การค้าที่ตลาดช่องจอม ที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ได้รับผลกระทบหนัก จากการที่ปิดด่าน ซึ่งวันนี้เป็นวันหยุดและวันตลาดนัด ซึ่งจะมีผู้คนจำนวนมากเข้ามาท่องเที่ยวและซื้อขายสินค้าเป็นจำนวนมาก กลับไม่คึกคักและเงียบเหงา มีนักเที่ยวชาวไทยเท่านั้นที่มาจับจ่ายซื้อของ ในขณะที่บรรดาร้านค้าของชาวกัมพูชากว่า 500 ร้าน ส่วนใหญ่ปิดร้าน เนื่องจากหวั่นเกรงปัญหาการสู้รบบานปลาย ด้านทหารพรานจากกองร้อยทหารพรานจู่โจมที่ 2609 กรมทหารพรานที่ 26 กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ตั้งจุดตรวจและไม่ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องขึ้นไปยังจุดผ่านแดนถาวรช่องจอมอย่างเด็ดขาด

ที่มา.เนชั่น

ไทย-กัมพูชา..รีวิว “การยิงถล่มเกาะยอนเปียงของเกาหลีเหนือด้วย BM 21″

จากการรายงานเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2010 ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้ยิงถล่มเกาะยอนเปียงของเกาหลีใต้ด้วยปืนใหญ่กว่า 200 นัด สื่อของเกาหลีใต้ระบุว่า เกาหลีเหนือใช้ BM 21 ซึ่งเป็นระบบจรวดหลายลำกล้องขนาด 122 มม. และปืนใหญ่เรือขนาด 76.2 มม. ยิงเข้าชายฝั่งตอนใต้ของเกาะยอนเปียง เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายคลอบคลุมพื้นที่บริเวณเกาะกว่า 100 แห่ง มีผู้เสียชีวิต 4 ราย เจ้าหน้าที่ทหาร 2 ราย และประชาชน 2 ราย

อย่างไรก็ตาม เมื่อ 4 มีนาคม 2553 กัมพูชาได้ประกาศความสำเร็จในการยิงทดสอบ BM 21 ราว 200 นัด มีแหล่งข่าวระบุว่า ปลายเดือนมกราคม 2554 ที่ผ่านมา กัมพูชาได้นำ BM 21 มาจอดประชิดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

BM 21 เป็นระบบจรวดหลายลำกล้องขนาด 122 มม. ระบบจะประกอบด้วยรถบรรทุก 6 ล้อ มีพิสัยปฏิบัติการได้ราว 400 กิโลเมตร ด้านหลังเป็นแท่นยิงซึ่งมีท่อยิงจำนวน 40 ท่อยิง ทำการยิงจรวดได้ 2 นัดต่อวินาที ทำการเล็งด้วยกล้องเล็งด้านข้างตัวรถ โดยมีพลประจำรถ 5 นาย และทำการยิงได้ภายใน 3 นาทีนับจากรถจอด และเปลี่ยนที่ตั้งได้หลังจากทำการยิงเสร็จภายใน 2 นาที บรรจุจรวดโดยใช้เวลา 10 นาที

รถคันหนึ่งมีจรวด 40 นัด จรวดทั้ง 40 นัดสามารถยิงหมดได้ภายใน 20 วินาที และ 1 กองพันจรวดหลายลำกล้องจะบรรจุทั้งหมด 18 ระบบ กล่าวคือ 1 กองพันสามารถยิงได้ 720 นัดในการยิงหนึ่งครั้ง จรวดทั้ง 40 นัดจากรถหนึ่งคันสามารถทำการยิงได้ครอบคลุมพื้นที่ราว 20,000 ตารางเมตร (ราว 140×140 เมตร) หมายความว่า BM 21 จำนวน 1 กองพันสามารถทำลายเป้าหมายได้ภายในพื้นที่ราว 0.9 ตารางกิโลเมตร

ภาพการทดสอบยิง BM 21 ของกัมพูชา



///////////////////////////////////////////////

“กษิต” หารือ “ฮอร์นัมฮง” เห็นพ้องหลีกเลี่ยงเหตุการณ์นำไปสู่ความขัดแย้ง

รมว.ต่างประเทศของไทยและกัมพูชา หารือและเห็นพ้องร่วมกันหลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และสร้างความสงบตามแนวชายแดน ย้ำทั้งสองประเทศ คำนึงถึงภาพใหญ่ ใช้ความสุขุม มีสติมองข้ามความขัดแย้ง

นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ ที่เมืองเสียมราฐ ประเทศกัมพูชา ว่า สังคมไทยและกัมพูชาเป็นเพื่อนบ้านที่ข้องแวะกันมานานหลายร้อยปี เรามีความเหมือนมากกว่าความต่าง ซึ่งสามารถนับเป็นต้นทุนร่วมกัน รัฐบาลและประชาชนควรส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศที่ติดกันตัดขาดกันไม่ได้ ปัญหากระทบกระทั่ง ความเข้าใจผิดและมุมมองที่ต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความเหมือนในอดีตและอนาคตที่ดีร่วมกันมีอีกมากมาย เราต้องไม่ให้ปัญหาเป็นปัญหาต่อเนื่องและขยายเป็นปัญหาต่อๆไป แต่ต้องมุ่งแก้ปัญหาควบคู่ไปกับความร่วมมือเพื่อความสงบสุขของประชาชนทั้งสองประเทศ

“แม้จะมีเหตุการณ์จับ 7 คนไทย เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 แต่ไทย-กัมพูชาก็สามารถประชุมเจซีร่วมกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความตั้งใจจริงของสองประเทศที่จะร่วมกันส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าแน่นแฟ้นและแสดงให้โลกเห็นว่าทั้งสองประเทศยังคำนึงถึงภาพใหญ่ มีความสุขุม มีสติที่จะฟันฝ่ากระแส และกระทำในสิ่งที่ควรทำ เราต้องมองข้ามความขัดแย้งซึ่งเกิดจากปมปัญหาในอดีตและต้องไม่ให้อดีตมาเป็นอุปสรรคต่ออนาคต" นายกษิต กล่าว

นายกษิต ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (เจซี) ไทย-กัมพูชา ครั้งที่7 ว่า การประชุมทั้งในระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสและระดับรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความราบรื่นและมีบรรยากาศที่อบอุ่นสร้างสรรค์ พูดกันถึงความร่วมมือที่ค่อนข้างสมบูรณ์และรอบด้าน ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนความสัมพันธ์ให้กระชับยิ่งขึ้นและจะเป็นประโยชน์ต่อภาคเอกชนและประชาชนโดยรวม

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า สำหรับการหารือสองต่อสองกับ นายฮอร์นัมฮง รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศกัมพูชา ได้พูดถึงภาพรวมของความสัมพันธ์ว่าจะขับเคลื่อนไปอย่างไร รวมถึงเรื่องการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (เจบีซี) ไทย-กัมพูชา ว่า จะให้มีการประชุมกันโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างสามารถขับเคลื่อนไปได้ เพราะมีเรื่องที่สองฝ่ายสามารถทำร่วมกันได้ในระหว่างที่รอรัฐสภาพิจารณาบันทักการประชุมเจบีซีทั้ง 3 ฉบับ

นายกษิต กล่าวว่า ได้คุยเรื่องที่สองฝ่ายจะเพียรพยายามในการสร้างความสงบตลอดแนวชายแดน ทั้งการให้ข่าวสารข้อมูล การดูแลรักษาความปลอดภัย พยายามหลีกเลี่ยงการดำเนินการใด ๆ ก็ตามที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง และได้ขอบคุณที่ได้ช่วยประสานให้ได้เข้าเยี่ยม นายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกทหารกัมพูชาจับ และขอให้กัมพูชาเร่งดำเนินการด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพิจารณาให้ทั้งสองคนกลับไทยได้ โดยดูทั้งสองอย่างคือกระบวนการยุติธรรม จบตรงไหนและฝ่ายบริหารจะเข้ามาต่อได้อย่างไร ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องคาใจหรือก่อให้เกิดแรงกดดันที่จะทำให้มีผลกระทบกับความร่วมมือสองฝ่าย

“คิดว่าทาง นายฮอร์นัมฮง เข้าใจประเด็นของความเป็นไปในการเมืองภายในของไทยที่เกี่ยวกับ นายวีระ ดี และรู้ว่าเราจะต้องร่วมมือกันในการบรรเทาประเด็นปัญหาเพื่อให้ความสัมพันธ์ในภาพรวม มีความคืบหน้าเพราะมีสิ่งที่เราต้องทำร่วมกันอีกมาก" นายกษิต กล่าว

เมื่อถามว่าได้คุยเรื่องปัญหาบริเวณปราสาทพระวิหาร เรื่องการปลดธงและเรื่องวัดแก้วสิขาคีรีศวร แล้วหรือไม่ นายกษิต กล่าวว่า ได้พูดหมดแล้วว่าเรื่องอย่างนี้ทำให้เกิดความร้อนแรงขึ้นมาไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้โกรธกันเท่านั้น อะไรที่เลิกรากันได้ก็ทำกันไป

“คุยกันแล้วว่าอยากให้มันสงบๆ ตกลงกันในหลักการว่าจะไม่ทำให้เกิดความหวั่นไหว โต้ตอบกันไปมาหลีกเลี่ยงการกระทำอะไรที่จะเป็นการปลุกระดม ปลุกเร้า สร้างความเข้าใจผิด หรือสร้างความตึงเครียด ทั้งสองฝ่ายต้องเพียรพยายามบอกคนของเราว่าให้บรรเทากันไว้ ผมบอกท่านว่ามีอะไรก็ให้โทรศัพท์หากันโดยเร็วเพื่อไม่ให้เรื่องลุกลาม” นายกษิต กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยื่นเส้นตายให้ช่วย นายวีระและ น.ส.ราตรี กลับไทยภายในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ โดยไม่มีคดีติดตัว นายกษิต กล่าวว่า คนพูดก็พูดง่าย แต่ต้องดูเหตุและที่มาที่ไปเสียก่อน รัฐบาลพยายามให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว อย่างไรก็ดีการนำตัวคนทั้งสองกลับมาก็อยู่ที่ทั้งสองด้วยว่าจะเอาอย่างไร

ต่อข้อถามถึงกรณีที่แม่ทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาตอบรับในหลักการที่จะให้ไทยนำเอาสระตราว และโบราณสถานโดยรอบพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไปขึ้นทะเบียนมรดกโลกและบริหารจัดการร่วมกับฝ่ายไทย นายกษิต กล่าวว่า ยังไม่ทราบเรื่องดังกล่าว แต่ประเด็นเหล่านี้่มีคณะกรรมการระดับชาติดูแลอยู่แล้ว ที่สำคัญคือเรื่องนี้ต้องให้รัฐบาลสองฝ่ายเห็นชอบ จะว่ากันฝ่ายเดียวไม่ได้

ด้าน นายฮอร์นัมฮง ให้สัมภาษณ์ว่า การประชุมมีการสานต่อปัญหาหลายเรื่องที่สำคัญ คือหารือเรื่องการค้ามนุษย์ที่ีคนกัมพูชาถูกหลอกลวงเข้าไปค้าแรงงานในไทย และถูกจับกุมซึ่งอยากให้ฝ่ายไทยช่วยดูแล โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนหากคนกัมพูชาทำผิด ก็สามารถจับกุมได้แต่อย่าใช้วิธีรุนแรง เช่น ถูกยิง แต่ให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย การทำเอ็มโอยูเรื่องราคาสินค้าเกษตร นอกจากนี้ยังได้หารือกันถึงการเปิดด่านใหม่นอกเหนือจากที่มีอยู่ เพื่อเป็นช่องทางให้คนสองประเทศไปมาหาสู่กันได้สะดวกมากขึ้น

นายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า ในส่วนปัญหาชายแดน นายกษิต ได้แจ้งว่า จะมีการดำเนินการเรื่องเจบีซีให้เร็วที่สุด ไม่ต้องรอให้เอ็มโอยูทั้ง 3 ฉบับ ผ่านการพิจารณาของรัฐสภาก่อน เพราะมีอย่างน้อย 3 ประเด็น ที่สามารถทำได้ก่อน คือ การทำภาพถ่ายทางอากาศเพื่อหาหลักเขตทั้งหมดควบคู่กับการให้ผู้เชี่ยวชาญลงตรวจสอบพื้นที่ทางบก ซึ่งขณะนี้มีหลักหมุดที่หาเจอแล้ว 33 หลักเขต ที่ยังถกเถียง 15 หลัก และหาไม่เจอ 25 หลัก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับการแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดน ทั้งนี้ เห็นว่าการประชุมเจบีซีเร็วขึ้น จะช่วยลดความตึงเครียดตามแนวชายแดน

ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามแนวชายแดนเกิดความตึงเครียดเพราะมีการเสริมกำลังทหาร นายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า ไม่มีความตึงเครียดเลย สถานการณ์ก็ยังธรรมดาอยู่ แต่ที่ผ่านมาฝ่ายไทยได้เอาอาวุธมาฝึกตามแนวชายแดน กัมพูชาจึงต้องนำอาวุธไปฝึกตามแนวชายแดนเหมือนกัน ฝั่งไทยนั้นกัมพูชาไม่รู้ แต่ฝั่งเราก็ต้องเตรียมตัวไว้ก่อน แต่ตนเชื่อมั่นว่า ณ เวลานี้จะไม่มีการปะทะกันตามแนวชายแดน

เมื่อถามว่าได้มีการพูดถึงเรื่องวัดแก้วฯ และข้อเรียกร้องให้ปลดธงหรือไม่ นายฮอร์นัมฮง กล่าวว่า วัดแก้วฯ อยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยกัมพูชา เรื่องจะย้ายธงไปตรงไหน ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะที่นั่นคือดินแดนของเรา.-
ที่มา. สำนักข่าวไทย

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไร้ศักดิ์ศรี !!?

ในที่สุดศาลกัมพูชาได้ตัดสินจำคุกนายวีระ สมความคิด และนางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ แกนนำเครือข่ายคนไทยหัวใจรักชาติ 2 ใน 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม โดยถูกตั้ง 3 ข้อหาคือ เข้าเมืองผิดกฎหมาย เข้าพื้นที่ทหารโดยไม่ได้รับอนุญาต และประมวลข้อมูลอันเป็นภัยต่อการป้องกันประเทศหรือจารกรรมข้อมูล โดยสั่งจำคุกนายวีระเป็นเวลา 8 ปี ปรับ 1.8 ล้านเรียล ส่วนนางสาวราตรีจำคุก 6 ปี ปรับ 1.2 ล้านเรียล โดยไม่รอลงอาญา แต่ให้เวลา 1 เดือนในการยื่นอุทธรณ์

ศาลกัมพูชาได้ยกคลิปวิดีโอ 7 คนไทยขึ้นมาโต้แย้งนายวีระ ซึ่งเดินทางเข้าไปในเขตแดนของทหารหลายครั้งในลักษณะเหมือนการท้าทาย เพราะแม้แต่ชาวกัมพูชาก็ยังไม่มีสิทธิที่จะเดินเข้าไป โดยเฉพาะภาพที่นายวีระและนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ยืนอยู่หน้าป้ายพลังประชาชนกัมพูชา ถือเป็นหลักฐานหักล้างข้อโต้แย้งของนายวีระที่ยืนยันมาโดยตลอดว่าเป็นการเดินทางเข้าไปตรวจสอบหลักเขต ไม่มีเจตนาที่จะรุกล้ำหรือท้าทายกัมพูชา

อย่างไรก็ตาม นายวีระได้ตะโกนบอกกับสื่อมวลชนที่รออยู่ที่หน้าศาลว่าไม่ยอมรับคำตัดสิน คำตัดสินไม่เป็นธรรม และจะขอยื่นอุทธรณ์ต่อไป เช่นเดียวกับ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชา และพร้อมต่อสู้จนถึงที่สุดเช่นกัน

กรณี 7 คนไทยจึงอาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ที่กลุ่มพันธมิตรฯและกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติจุดติดจนลุกลามเป็นสงครามระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ หากรัฐบาลไม่มีทางออกของปัญหาเรื่องเขตแดน โดยเฉพาะข้อเรียกร้อง 3 ข้อของกลุ่มพันธมิตรฯในเงื่อนไขที่ทำไม่ได้เท่านั้น

ปัญหาไทย-กัมพูชาได้กลายมาเป็นเรื่องของกระแสชาตินิยมและศักดิ์ศรีไปโดยปริยาย ซึ่งรัฐบาลและกองทัพเองก็ยากจะปฏิเสธท่าทีของฝ่ายกัมพูชาที่แสดงความแข็งกร้าวมาโดยตลอด โดยเฉพาะกรณีวัดแก้วสิกขาคีรีสวาระ ที่มีการปักธงกัมพูชาเพื่อพยายามยืนยันว่าอยู่ในเขตแดนกัมพูชา ขณะที่ฝ่ายไทยก็ยืนยันว่าตั้งอยู่ในเขตแดนไทย

แม้รัฐบาลไทยจะออกมาเรียกร้องให้กัมพูชารื้อถอนวัดแก้วฯ และปลดธงกัมพูชาที่อยู่เหนือวัดแก้วฯออก แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐบาลและกองทัพไทยเองที่ปล่อยปละให้ฝ่ายกัมพูชาใช้พื้นที่บริเวณวัดแก้วฯ และบริเวณรอบๆทำกิจกรรมต่างๆมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่เป็นพื้นที่พิพาท

การที่รัฐบาลไทยออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาหยุดการละเมิดอธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของราชอาณาจักรไทย จึงไม่ใช่แค่ “ล้อมคอกเมื่อวัวหาย” แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์วันนี้ถือว่าหมดศักดิ์ศรี และความชอบธรรมที่จะบริหารประเทศต่อไปแล้ว

โดย. หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

**********************************************************************

อภิสิทธิ์ ไม่ใช่ มูบารัค

โดย ปราปต์ บุนปาน


นายกรัฐมนตรี "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เพิ่งให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติอย่างฉะฉาน

ถึงกรณีรัฐบาลของเขาใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อกลางปี 2553

ด้วยท่าทีที่เชื่อมั่นว่าตนเองเป็นฝ่าย "ถูกต้อง" อย่างเต็มที่

ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเป็นฝ่าย "ผิด" อย่างสิ้นเชิง

พอเจอลูกล่อลูกชนของผู้สื่อข่าวต่างประเทศ

ที่ยั่วให้ท่านนายกฯมอบคำแนะนำในการจัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม แก่ "ฮอสนี มูบารัค" ประธานาธิบดีอียิปต์

"อภิสิทธิ์" ก็หลุดคำแนะนำ 3 ประการ ที่แสน "ตลกร้าย" ออกมา

โดยเฉพาะข้อแนะนำที่ว่า "ผู้นำอียิปต์ควรเคารพความต้องการของประชาชน"

ซึ่งไม่แน่ใจว่านายกฯไทยเองจะปฏิบัติตามหลักการดังกล่าวได้หรือไม่?
ก่อนหน้านั้น "อภิสิทธิ์" พยายามป้องกันตนเองจากคำถามของสื่อต่างประเทศ ด้วยการอ้างว่า

"มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะให้คำแนะนำแก่มูบารัค เพราะเขาไม่รู้ถึงสภาวะแวดล้อมต่างๆ ของเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในอียิปต์"
แต่เขายังมิวายหลุดคำตอบที่ทำเอาหลายคน "หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก" ออกมา

ทั้งที่ "อภิสิทธิ์" ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่ใช่ "มูบารัค"
มีข้อแตกต่างอยู่หลายประการระหว่าง "อภิสิทธิ์" กับ "มูบารัค" และการเมืองไทยกับการเมืองอียิปต์ เช่น

"อภิสิทธิ์" ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาได้ราว 2 ปี ผิดกับ "มูบารัค" ที่เป็นประธานาธิบดีมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี

ส่วนระบอบ "ประชาธิปไตย" ของไทยกับอียิปต์ก็มีความแตกต่างกันอยู่ในสาระสำคัญ

นอกจากนี้ สังคมไทยยังไม่เคยเผชิญหน้ากับกลุ่มมุสลิมเคร่งศาสนาอย่างจริงจัง ขณะที่กลุ่มดังกล่าวถือเป็นพลังสำคัญในการเคลื่อนไหวต่อต้าน "มูบารัค"

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีหนทางที่เราจะทำการศึกษาเปรียบเทียบสังคมสองแห่งที่มีบริบทเฉพาะแตกต่างกันได้อยู่

เพียงแต่เราต้องไม่นำโมเดลของสังคมหนึ่งไปวางทับลงบนอีกสังคมหนึ่งอย่างทื่อๆ

ทว่า เราต้องมี "ตัวกลาง" หรือ "หลักการสากล" บางอย่าง ที่เชื่อมโยงสังคมไทยกับอียิปต์เข้าหากัน อาทิ

พลานุภาพของ "สื่อใหม่" ที่สามารถระดมกำลังคนออกมาเคลื่อนไหวในทางการเมืองได้อย่างน่าทึ่ง

ซึ่งทั้งไทยและอียิปต์ล้วนตระหนักถึงพลานุภาพดังกล่าวเป็นอย่างดี

หรือ "ระบอบอำนาจ" ของไทยและอียิปต์ ซึ่งอาจแตกต่างกันในรายละเอียด แต่มีความบกพร่องคล้ายกัน

คือไม่สามารถมอบความยุติธรรมให้แก่คนทุกกลุ่มในสังคมได้อย่างเท่าเทียม

และไม่สามารถปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทัน

น่าเสียดายที่นายกฯ "อภิสิทธิ์" อาจไม่ใช่บุคคล/ตัวแสดงซึ่งสามารถถูกนำไปเชื่อมโยงเข้ากับ "ตัวกลาง" หรือ "หลักการสากล" เหล่านั้น

เพื่อทำให้เราเข้าใจการเมืองไทยจากสถานการณ์ในอียิปต์ได้มากขึ้น

เพราะสุดท้ายแล้ว "อภิสิทธิ์" ก็ยังไม่ใช่หรือมิอาจเทียบเคียงได้กับ "มูบารัค" อยู่ดี

แต่คงต้องย้ำกันอีกครั้งว่า

ใช่ว่าเราจะสิ้นไร้หนทางอย่างสิ้นเชิง ในการพยายามศึกษาเปรียบเทียบการเมืองอียิปต์กับการเมืองไทย

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน)

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

จากไข่ขายเป็นกิโลฯ ถึงสูตร 375+125

ว่าไปแล้วบ้านเรายิ่งมีอะไรพิลึกขึ้นทุกวัน ยังไม่รวมของเดิมที่มีอยู่เป็น ปกติ เช่น สร้างแล้วทุบ ทุบแล้วทุบอีก อิทธิพลเกลื่อนเมือง ทำผิดมีหลักฐานโต้งๆ แต่กลับไม่มีใครทำอะไรได้ คนทำผิดที่โดนเขี่ยลงจากผู้ว่าฯ กทม.แต่ก็กลับมาอีกในฐาน ส.ส. การเรียกคนที่ฆ่าคนเป็นเบือในจังหวัดชายแดนว่าผู้ก่อความไม่สงบ แต่เรียกคนที่มีหนังสติ๊ก พลุ ตะไล ว่าผู้ก่อการร้าย และยัง มีอะไรอีกมากมาย

ล่าสุดให้มีไอเดียสุดเลิศให้ขายไข่เป็นกิโลฯ ทำเอาพ่อค้าแม่ค้ายี้ไปตามๆ กัน การที่เจ้ากระทรวงพาณิชย์ “เจ๊วา” ออกมาพูดในสภาว่าเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งก็ยังพอทำเนา แต่ที่ต้องตอบคำถาม คือ ใครเป็นคนเริ่มคิด? เอาสมองคิดหรือเอาอะไรมาคิด? และประเด็นสำคัญ คือ “เงินที่เอาไปทำวิจัยเรื่องนี้เกือบ 20 ล้าน ถูกใช้ไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่?” เพราะผลที่ออกมามันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ซึ่งคนระดับนี้น่าจะมองอะไร ออกตั้งแต่เริ่มคิด

เรื่องแบบนี้ไม่ต้องใช้เงินถึงขนาด นี้ก็ทำได้ หากมันสมองน้อยจริงที่จะคิด เรื่องนี้ตั้งแต่ต้น สู้เอาเงินไปจ้างนักศึกษา ไม่กี่พันบาททำวิจัยยังดีซะกว่า ประหยัดงบ แถมยังได้ช่วยเหลือนักศึกษาอีกต่างหาก

คำตอบในสภาก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “เจ๊วา” แกก็แถไปตามเรื่องสรุปคือ เป็นทางเลือก และทำให้ราคา ไข่อยู่ที่ใบละ 5 บาทกว่า แล้วถามว่า ใครจะทำ? เพราะราคาไข่เฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ใบละ 3 บาทกว่าถึง 4 บาท นี่เป็น อีกเรื่องที่น่าหัวร่อแสดงถึงความไร้เดียงสาของรัฐบาลชุดนี้

อีกเรื่องที่จะหยิบยกมาบอกกล่าวคือ เรื่องของสูตร 375+125 ซึ่งมีการวิ่งล็อบบี้กันฝุ่นตลบชิงความได้เปรียบ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างจดจ่อ เรียกว่าใช้พวกมากลากไปเคาะสูตร ปล้นอำนาจ เอาหัวแม่โป้งเท้าล็อกเก้าอี้ ไว้แน่น ตัดไฟแต่ต้นลม เพราะจะทำให้ ส.ส.เขตในปัจจุบันต้องลดลงถึง 25 ที่ โดยเฉพาะในภาคอีสานที่ลดลง 9 ที่ และภาคเหนือ 7 ที่ ซึ่งรู้กันอยู่ว่าเป็นฐานเสียงใหญ่ของพรรคคู่แข่ง ในขณะที่ กรุงเทพมหานคร ลดลง 2 ที่ ภาคกลาง 3 ที่ และภาคใต้ฐานเสียงใหญ่ของตัวเองลดลง 4 ส่วนระบบสัดส่วน ที่ตัวเองมีความได้เปรียบอยู่แล้ว ก็จะมี ส.ส. เพิ่มขึ้นอีกถึง 45 คน

ในขณะที่ก็ต้องรับศึกทั้งสองด้าน ทั้งพันธมิตรฯ และ นปช. แต่รัฐบาลชุดนี้ก็ยังเล่นการเมืองแต่หัววัน มีเวลาไป คิดไปทำในเรื่องไร้สาระ เหมือนว่านี่เป็น โลกของตู เดินหน้าลด แลก แจก แถม ต่อไป โดยไม่สนว่า นี่แหละที่ประชาชน ต้องไปแบกหน้าใช้หนี้

หวังว่า เราๆ ท่านๆ ทั่งหลายทุก สีเสื้อ คงได้เห็นแล้วว่า รัฐบาลชุดนี้ ล้มเหลวอย่างไร บริหารประเทศได้ดีหรือไม่ ปมทุจริตคอร์รัปชั่นส่อพิรุธสีเทา อย่างไร และมีแผนการกลับมาครองตำแหน่งรัฐบาลอีกด้วยวิธีการไหน

นี่แหละครับ...เรื่องที่ควรทำกลับ คิดไม่ได้ แต่เรื่องเหยียบบ่าตีกินคู่ต่อสู้ ในทางการเมือง หรือแม้กระทั่งการลอก พิมพ์เขียวประชานิยมแบบเบิ้ลให้เป็น 21 เท่าตัว เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในทุกเรื่อง นี่ต่างหากกลับเป็นงานถนัด ของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเก่าแก่ ที่สุดในประเทศ..พะยี่ห้อ “ประชาธิปัตย์”

ที่มา.สยามธุรกิจ
///////////////////////////////////////////

ตำรวจแจง กมธ.รอผลสอบใครจ้างให้ถูกจับ บอมบ์ชุมนุม !!??

"อัศวิน"ส่งคนแจงกมธ.ทหาร ปัดจัดฉากจับจะระเบิดที่ชุมนุม รับคนร้ายยิงปืนไม่เป็น พูดเป็นนัยรอผลใครจ้างมาให้โดนจับ แต่ไม่เข้าข่ายก่อการร้าย

มีการประชุมคณะกรรมาธิการ การทหาร สภาผู้แทนราษฎร พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย เป็นประธานการประชุม พิจารณาข้อเท็จจริงกรณีตำรวจตรวจพบวัตถุระเบิดใกล้ที่ชุมนุมทำเนียบและสะพานมัฆวานรังสรรค์ และขยายผลไปจับกุมได้อีก 4 คน และพบอาวุธสงคราม ปืน เครื่องกระสุน และวัตถุระเบิดจำนวนมาก เมื่อวันที่ 24 ม.ค.ที่ผ่านมา ก่อน 1 วันที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) จะจัดชุมนุม

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ.10 ) ซึ่งถูกเชิญ ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 พ.ต.อ.ทินกร สมวันดี รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต พ.ต.อ.เศรษศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลบางมด และ พ.ต.ท.พิพัฒน์ บุญเพชร์ รองผู้กำกับการสืบสวนสอบสวน สน.บางมด ร่วมชี้แจงด้วย

เมื่อประธาน กมธ.ทหาร ถามถึงสาเหตุความเป็นมาอย่างไร จริงหรือไม่มีการ์ดผู้ชุมนุมไปพบผู้ต้องสงสัยก่อน พล.ต.ต สุวัฒน์ ชี้แจงว่า ไม่ใช่การ์ดกลุ่มพันธมิตรฯพบ แต่อาจจะมีการ์ดพันธมิตรฯ มามุงดู ซึ่งการจับกุมวันดังกล่าว แบ่งเป็น 2 คดี ส่ง สน.ดุสิต และ สน.บางมด โดยที่ สน.ดุสิต ผู้ต้องหาชื่อนายธวัชชัย หรือดำ เอี่ยมนาค จับกุมได้บริเวณสวนมิสกวัน พบระเบิดแสวงเครื่อง 2 ลูก ระเบิดแสง(Flashbang) ต่อวงจรด้วยโทรศัพท์ และยึดรถมอเตอร์ไซค์ไว้

ส่วนของสน.บางมด เจ้าหน้าที่ได้ขยายผลจากการจับกุมนายธวัชชัย เข้าจับกุม นายดร มาตา และพวกอีก 3 คน นำวัตถุระเบิดจำนวนมากไปซุกซ่อนในห้องเก็บของในตลาดนัด อาทิ เครื่องยิงอาร์พีจี 1 เครื่องยิงอาร์พีจี 3 ลูก และเครื่องยิงดินขับชนวน 4 ชุด กระสุนซ้อมยิง 2 นัด ลูกระเบิดยิงขนาด 40 ม.ม. ใช้กับเครื่องยิงเอ็ม 79 จำนวน 34 นัด เป็นแบบลูกปราย 3 นัด แบบเจาะเกราะ 4 นัด และแบบสังหาร 27 นัด เครื่องกระสุนขนาด 7.62 ม.ม. จำนวน 23 นัด เครื่องกระสุนขนาด 5.56 ม.ม. จำนวน 115 นัด เครื่องกระสุนแบบเอ็ม 60 จำนวน 65 นัด เครื่องกระสุนปืนคาร์บิน 117 นัด

พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ทราบว่านายธวัชชัยเคยทำกิจกรรมทางการเมืองกับคนบางกลุ่ม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่ากลุ่มไหน ส่วนนายดอนปฏิเสธเป็นเจ้าของวัตถุระเบิด แต่ยอมรับเป็นผู้ครอบครองโดยเพื่อนนำมาฝากไว้ ส่วนอีก 3 คนที่เหลือยอมรับเคยไปชุมนุมกับคนบางกลุ่ม โดยอ้าวว่า นายธวัชชัย และนายดอน เป็นผู้ชวนมาดูของและ นายนพคุณ ศรีวงศ์มงคล เป็นผู้ดูแลตลาดสินทวี นายดอนจึงบอกว่าเอาของไปเก็บไว้ได้หรือไม่ นอกจากนี้ พบประวัตินายธวัชชัยเคยถูกจับข้อหาปล้นรถแท็กซี่ และถูกปล่อยมาเมื่อปี 2548 และเกี่ยวพันกับหลายๆ เหตุการณ์ไม่สงบ โดยวัตถุระเบิดที่ยึดได้ก็มีข้อมูลเชื่อมโยงหลายเหตุการณ์ ส่วนคนอื่นๆ ไม่มีประวัติการถูกจับกุม

ประธาน กมธ.ทหาร ซักย้ำว่า วัตถุระเบิดจับได้มาจากกองทัพหรือไม่ และผู้ต้องหาเชื่อมโยงกับคนกลุ่มใด โดยพล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า เรื่องการเมืองไม่ขอก้าวล่วง แต่ไม่อยากให้มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย และพยายามใช้ทุกวิธีทุกมาตรการจับกุม แม้จะเป็นกลุ่มย่อยแต่มีจำนวนมาก ที่มีความเชื่อทางการเมือง ซึ่งมีอันตรายต่อประเทศมาก คนลักษณะนี้บางกลุ่มเชื่อมโยงกันทางแนวคิด บางกลุ่มประสานงาน บางกลุ่มช่วยเหลือวางแผนร่วมกัน ซึ่งมีจำนวนมาก ส่วนอาวุธที่จับได้นี้ ไม่น่าจะมาจากกองทัพ โดยระเบิดแสวงเครื่องก็ผลิตในประเทศคอมมิวนิสต์ ไม่มีใช้ในกองทัพไทย คงจะมาจากชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน

"ผู้ต้องหาที่จับได้ชุดหลัง เขายิงอะไรไม่เป็นสักคน จึงเป็นภาพส่วนหนึ่งของจิ๊กซอว์ขนาดใหญ่ ความคิดจะไปเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พวกเขาคงได้รับการบอก การปลูกฝังมาจากหัวหน้าขบวนของเขา และผู้ต้องหามีวุฒิภาวะไม่มาก สมมติมีคนกลุ่มหนึ่งบอกว่ามีความคิดเหมือนเขาแล้วบอกให้เขาไปทำ ซึ่งคนนั้นอาจจะไม่คิดเหมือนเขาก็ได้ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบหลายฝ่ายจึงพูดได้เท่าที่พูด เราเป็นตำรวจริง ๆ ไม่มีการเมือง ไม่หวังผลอะไร ผู้บังคับบัญชาให้ทำอะไรก็ทำ ลูกน้องผมทำคดีนี้ไม่มีใครทำแล้วได้ดิบได้ดี ไปดูคำสั่งได้มีแต่ทรงตัวกับแย่ลง” พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมาธิการยังคงซักถามตั้งข้อสงสัย เช่น ตั้งข้อหาจับกุมอย่างไร เป็นการจัดฉากหรือไม่ โดย พ.ต.ท.สมชาย กล่าวว่า เรื่องที่เกิดขึ้นมีบางคนมองว่า คนถูกจับเป็นคนเสื้อแดง แต่ถ้าคนที่ทำไม่ใช่คนเสื้อแดง เจ้าหน้าที่ก็ต้องให้ความเป็นธรรม และต้องให้ความเป็นธรรมทั้ง 2 ฝ่าย ต้องจับคนผิดมาลงโทษ และต้องบอกสังคมอย่างตรงไปตรงมาว่าเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ พลเอก พิชาญเมธ ม่วงมณี ที่ปรึกษา กมธ.ทหาร ถามว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าหากซุ่มยิงขณะแกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ ขึ้นเวทีก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้น

พล.ต.ต.สุวัฒน์ กล่าวว่า ขอชี้แจงแทน พล.ต.อ.อัศวิน ไม่ได้จัดฉาก ทุกอย่างคือของจริง อยู่ระหว่างการสอบสวนว่ามีใครจ้างมาเพื่อให้ถูกจับหรือไม่ เพราะไม่สามารถฟันธงได้ แต่ข้อมูลมีอยู่ในใจแล้ว กำลังแยกแยะเพื่อให้เกิดความกระจ่าง และตอบไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ส่วนการตั้งข้อหาคือมีอาวุธไม่อาจอนุญาตให้ครอบครอง ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ไม่ได้ตั้งข้อหาก่อการร้าย ขณะนี้ทุกคนอยู่ในเรือนจำ สามารถประกันตัวได้ แต่ไม่ทราบว่าทั้งหมดได้ขอประกันตัวหรือไม่

ด้าน พ.ต.ท.ทินกร ชี้แจงเพิ่มเติมว่า การจะตั้งข้อหาก่อการร้ายได้ ต้องมีองค์ประกอบ อาทิ ต้องมีพยานหลักฐานควรเชื่อว่า พวกเขาก่อการร้ายโดยใช้กำลังทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะเสียหาย หรือทำลายทรัพย์สิน เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ หรือใช้วัตถุข่มขู่รัฐบาล ซึ่งตรงนี้ยังไม่ได้ทำถึงขั้นนั้น ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
//////////////////////////////////////////////////////

กลุ่มหนุนปธน.มูบารัคพุ่งเป้าเล่นงานผู้สื่อข่าวต่างชาติ !!??

สำนักข่าว CNN รายงานว่า กลุ่มผู้ประท้วงที่ออกมาสนับสนุนประธานาธิบดีฮอสนีย์ มูบารัค ของอิยิปต์ ได้มีเป้าหมายเล่นงานผู้สื่อข่าวที่อยู่ตามท้องถนนในกรุงไคโร โดยเมื่อวันพุธ กลุ่มชายฉกรรจ์ที่อ้างตัวว่าเป็นผู้สนับสนุนประธานาธิบดีมูบารัค ได้จับตัวผู้สื่อข่าวชาวเบลเยียมรุมทำร้ายและกล่าวหาว่าเป็นสายลับ ที่เมืองโชบรา ติดกับกรุงไคโร ส่วนผู้สื่อข่าวชาวอิยิปต์ ที่ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์จับตัวได้ที่จตุรัสทาห์รีร์ ถูกรุมทุบตีอย่างรุนแรงนานหลายชั่วโมง

มีรายงานว่า ผู้สื่อข่าวของ BBC, ABC News และ CNN ก็ถูกทำร้ายเช่นกัน ในจำนวนนี้ คือแอนเดอร์สัน คูเปอร์ และ ฮาลา โกรานี่ ผู้สื่อข่าวของ CNN ด้านนายโมฮัมเหม็ด อับเดลเดย์เอม ผู้ประสานโครงการในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ของคณะกรรมการคุ้มครองผู้สื่อข่าว ระบุว่า รัฐบาลอิยิปต์อยู่เบื้องหลังการกระทำของคนเหล่านี้ โดยเป็นการใช้ยุทธศาสตร์กำจัดพยานด้วยการกระทำต่าง ๆ ทั้งเซ็นเซอร์สื่อ , การข่มขู่คุกคาม และล่าสุด คือ การส่งม็อบไปเล่นงานผู้สื่อข่าว

คูเปอร์ บอกว่า เขาถูกผู้สนับสนุนประธานาธิบดีมูบารัคคนหนึ่ง ต่อยที่ศีรษะ ส่วนโกรานี่ บอกว่าเธอถูกชายคนหนึ่งตะคอกใส่หน้าในระยะประชิด ขณะพยายามจับภาพและรายงานข่าวความโกลาหล ในช่วงที่ชายกลุ่มหนึ่งขี่ม้าและอูฐเข้าไปในกลุ่มผู้ประท้วงเมื่อเช้าวันพุธ ซึ่งเธอคิดว่าคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร หรือถูกใครส่งมาก็ตาม แต่เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนว่าต้องการเล่นงานช่างภาพ , ผู้สื่อข่าว และใครก็ตามที่อาจจะเป็นประจักษ์พยานในเหตุการณ์ความรุนแรง ซึ่งบางคนหยาบคายเหมือนพวกอันธพาล ที่ดูแล้วมีเจตนาเข้าไปหาเรื่อง

คูเปอร์ บอกว่า ตัวเขา กับแมรี่แอนน์ ฟ็อกซ์ โปรดิวเซอร์ และช่างภาพอีกคนหนึ่ง ถูกทำร้ายที่ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ ในขณะที่พวกเขาพยายามจะฝ่าเข้าไปตรงกลางระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนและต่อต้านประธานาธิบดีมูบารัค และทั้งที่พวกเขาพยายามเดินกันอย่างสงบ แต่กลุ่มที่สนับสนุนประธานาธิบดีมูบารัค ก็ยังรัวหมัดเข้าใส่ ทั้งยังเตะและยังพยายามจะจับตัวด้วย แต่พวกเขาก็พยายามเดินหนีไปหาที่ปลอดภัยและพยายามเกาะกลุ่มกันไว้

มีผู้สื่อข่าวอีกหลายคนที่ถูกเล่นงานหนักกว่านี้ ในจำนวนนี้คือ อาห์เหม็ด อับดุลลาห์ ผู้สื่อข่าวของอัล อาราบิย่า ที่หายตัวไป 3 ชั่วโมงเมื่อวันพุธ ก่อนที่บรรณาธิการของเขาจะยืนยันว่าพบตัวแล้ว และต้องนำส่งโรงพยาบาลเนื่องจากบาดเจ็บรุนแรง เพราะถูกรุมทำร้าย

ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------

วิกฤตประท้วงอียิปต์ระอุหนัก ชนวนอาหาร แพงลามทั่วโลก !!??

เหตุการณ์การชุมนุมประท้วงทั่วประเทศในอียิปต์ได้สร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ผลกระทบที่ปรากฏเกิดขึ้นทั้งในตลาดหุ้นโลกและตลาดคอมโมดิตี้ระหว่างประเทศ

ปัจจัยอียิปต์สร้างแรงส่งให้ราคาน้ำมันดิบเบรนต์ทะเลเหนือกำหนดส่งมอบเดือนมีนาคมในตลาดล่วงหน้าลอนดอนพุ่งแตะระดับใกล้ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (31 ม.ค.) ทำสถิติสูงสุดระหว่างวันที่ระดับ 99.97 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่น้ำมันดิบชนิดเบาของสหรัฐขยับขึ้นมาที่ 90.10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

เช่นเดียวกับความปั่นป่วนในตลาดหุ้นโลกที่เผชิญแรงเทขายมาตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้วต่อเนื่องมาถึงสัปดาห์นี้ ปัจจัยส่วนหนึ่งมาจากความวิตกกังวลต่อผลกระทบทางเศรษฐกิจในอียิปต์ และผลกระทบลูกโซ่ที่อาจลุกลามไปยังประเทศคู่ค้าและธุรกิจต่างชาติในประเทศนี้ อาทิ ธุรกิจท่องเที่ยว ธนาคาร

ความวุ่นวายในอียิปต์มาจากความไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลของ ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก ที่นอกจากจะกุมอำนาจเผด็จการมายาวนานเกือบ 30 ปี ยังเต็มไปด้วยปัญหาคอร์รัปชั่น

กระทั่งปัญหาราคาอาหารที่แพงขึ้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายกระตุ้นให้ประชาชนหลายพันคนรวมตัวต่อต้านและขับไล่รัฐบาล

ต้นรากอียิปต์เอฟเฟ็กต์

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทมส์ ของอังกฤษตั้งข้อสังเกตว่า การประท้วงทั่วประเทศในอียิปต์ครั้งนี้ไม่เพียงจะสร้างความประหลาดใจในแง่ของขนาดของการประท้วง แต่ยังตีแผ่ปัจจัยที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ครั้งนี้ว่า มีต้นรากมาจากปัญหาสังคม และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของจำนวนประชากร

ประชากรของอียิปต์ได้เพิ่มขึ้นจาก 50 ล้านคน เป็น 80 ล้านคน ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งประชากรส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงและบริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ ที่สำคัญ การเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากรยังมาพร้อมกับช่องว่างรายได้ ระหว่างคนมีและคนไม่มี ซึ่งจากข้อมูลของธนาคารโลกพบว่าอัตราของประชากรที่ยากจนแบบสมบูรณ์ กล่าวคือ มีการดำเนินชีวิตต่ำกว่ามาตรฐาน มีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 16.7% เป็น 19.6% ในช่วงปี 2543 ถึง 2548

นอกจากนี้ยังพบว่า แม้รัฐบาลอียิปต์จะมีนโยบายอุดหนุนเพื่อลดผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาอาหารที่ทะยานขึ้นไปกว่า 17% ตามการทะยานของราคาคอมโมดิตี้โลก แต่ข้อมูลจาก CNNMoney ระบุว่า 40% ของชาวอียิปต์ ดำรงชีวิตอยู่ด้วยรายได้ที่ไม่ถึง 2 ดอลลาร์ต่อวัน ดังนั้นจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบไปได้

อย่างไรก็ตาม อียิปต์ไม่ใช่ประเทศเดียวที่เผชิญกับการประท้วงทำนองเดียวกันนี้ สื่ออาหรับ "เดอะ เดลี สตาร์" รายงานว่า การประท้วงของประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจต่อปัญหาการว่างงานที่พุ่งลิ่ว และราคาอาหารแพงได้ก่อตัวขึ้นทั่วไปในตูนิเซีย อียิปต์ แอลจีเรีย จอร์แดน ซาอุดีอาระเบีย และเยเมน ขณะที่ CNNMoney รายงานเพิ่มเติมว่า พบการจลาจลในโมร็อกโกและปากีสถาน

วิกฤตอาหาร : ชนวนระเบิด

จากรายงานขององค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งเผยแพร่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระบุว่า ดัชนีราคาอาหารทั่วโลกได้ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ พุ่งขึ้น 25% เฉลี่ยตลอดปี 2553 อันเป็น ผลมาจากราคาอาหารที่พุ่งขึ้นอย่างพรวดพราด ไม่ว่าจะเป็นข้าว ข้าวสาลี และข้าวโพด

สาเหตุที่ทำให้อาหารและสินค้าคอมโมดิตี้แพงลิบลิ่วมาจากหลายสาเหตุ ตั้งแต่ภัยแล้ง อุทกภัย และโรคระบาดที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ

อาทิ สภาพอากาศที่แปรปรวน เกิดฝนตกหนักในเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้ผลผลิตข้าวโพดในไอโอวาลดลงประมาณ 9% แต่ความต้องการมีสูงมาก โดยเฉพาะจากโรงงานผลิต เอทานอลภายในรัฐ 41 แห่ง หรือการลดปริมาณฝูงสุกรลงจำนวนมากในแคนาดา เพื่อป้องกันโรคระบาด ทำให้ราคาหมูในสหรัฐพุ่งทะยานขึ้น เช่นเดียวกับราคาเนื้อสัตว์และฝ้ายที่ ปรับราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ภาวะภัยแล้งในรัสเซียส่งผลให้ประเทศนี้ซึ่งเคยได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตธัญพืชรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ต้องหายหน้าไปจากตลาด เนื่องจากผลผลิตข้าวสาลีและข้าวโพดลดลง 35%

ในละตินอเมริกา โดยเฉพาะบราซิล กำลังประสบปัญหาการผลิตเอทานอลป้อนตลาด เนื่องจากอ้อยแพงขึ้นมาก

ไล่มาที่เอเชีย โรคมือและเท้าเปื่อยส่งผลให้ปริมาณผลผลิตในส่วนของปศุสัตว์ในเกาหลีใต้ที่ออกสู่ตลาดลดน้อยลงถึง 20% จนต้องเพิ่มการนำเข้าจากต่างประเทศ หรือกรณีที่ราคา ถั่วเหลืองในสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นจนเกือบทำสถิติใหม่ ๆ หลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการจากจีนที่เป็นผู้ซื้อ ถั่วเหลืองรายใหญ่ของสหรัฐ คาดการณ์กันว่า หากผลผลิตของอาร์เจนตินาลดลงอย่างฮวบฮาบ ราคาถั่วเหลืองในตลาดโลกจะวิ่งขึ้นอีก เนื่องจากจีนจะต้องนำเข้าถั่วเหลืองจากที่อื่นแทน

ประมวลมาตรการตั้งรับ

ไม่เพียงภัยธรรมชาติที่บั่นทอนผลผลิตอาหารให้ลดลงอย่างน่าตกใจ แต่จากรายงานข่าวของวอลล์สตรีต เจอร์นัล พบว่า ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ทั้งในสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ทำให้นักลงทุนใช้ต้นทุนการเงินที่ถูกไปลงทุนในตลาดคอมโมดิตี้

ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าว น้ำตาล ฝ้าย และน้ำมัน ส่งผลให้ราคาสินค้าเหล่านี้ขยับสูงขึ้น ยกตัวอย่างราคาถั่วเหลืองในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาพุ่งขึ้นถึง 46% ในตลาดซื้อขายสินค้าเกษตร

ล่วงหน้าที่ชิคาโก (CBOT) ส่วนน้ำตาลในตลาดอินเตอร์คอนติเนนตัลเอ็กซ์เชนจ์ (ICE) พุ่ง 34% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา

ศาสตราจารย์นูเรียล รูบินี นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังจาก มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ให้สัมภาษณ์ CNNMoney ตอนหนึ่ง โดยเตือนว่า ราคาอาหารที่แพงขึ้นมากมักจะกลายเป็นปัจจัย ที่ก่อให้เกิดปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และกำลังเป็นภัยคุกคามโลกที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่ง โดยเฉพาะต่อเศรษฐกิจ ของประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

คำเตือนของรูบินีสอดรับสถานการณ์ที่หลายชาติในเอเชียกำลังเผชิญ อาทิ จีนที่พบว่าอัตราเงินเฟ้อที่มาจากแรงผลักของราคาอาหารพุ่งทะยาน 9.6% เมื่อเร็ว ๆ นี้ เช่นเดียวกับอินเดียที่เงินเฟ้อประเภทเดียวกันสูงถึง 18%

แรงกดดันดังกล่าวส่งผลให้รัฐบาลต่าง ๆ ในภูมิภาคต้องดิ้นหามาตรการรับมือ อาทิ ในอินโดนีเซียรัฐบาลตัดสินใจจะยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้ากว่า 50 รายการ รวมถึงข้าวสาลี ถั่วเหลือง ปุ๋ย และอาหารสัตว์ เพื่อชะลอการปรับขึ้นราคาอาหาร และมีแผนจะขึ้นภาษีส่งออกน้ำมันปาล์มจาก 20% เป็น 25% ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ รวมทั้งยังจัดสรรงบประมาณ 3 ล้านล้านรูเปียห์ เพื่อนำมาช่วยประชาชน

ในอินเดีย เลือกใช้วิธีขยายเวลาห้ามการส่งออกถั่วและน้ำมันประกอบอาหาร รวมทั้งเซ็นดีลกับเพื่อนบ้านคู่รักคู่แค้น ปากีสถาน เพื่อนำเข้าหัวหอมราว 1,000 ตัน ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักในการปรุงอาหารของชาวภารต หลังราคาขึ้นสูงเพราะเหตุน้ำท่วม

แม้แต่จีนและอีกหลายประเทศในตะวันออกกลางใช้แนวทางควบคุมราคาสินค้า โดยเฉพาะจีนยังเพิ่มการเก็บสำรองสินค้าเชิงยุทธศาสตร์ เช่น อาหาร และวัตถุดิบ ส่วนเกาหลีใต้ใช้แนวทางลดภาษีนำเข้าสินค้าบางรายการแทน เช่น นมผง และเมล็ดกาแฟ นอกเหนือจากการปรับขึ้นดอกเบี้ย

แม้เกือบทุกประเทศกำลังทำงานแข่งกับเวลา แต่ยากจะคาดคะเนไดว่า เหตุการณ์ประท้วงทำนองเดียวกับที่เกิดขึ้นในอียิปต์และหลายประเทศในอาหรับ และแอฟริกาเหนือ จะ ลุกลามไปยังภูมิภาคใดและเอเชียคือหนึ่งในจำนวนนั้นหรือไม่

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
/////////////////////////////////////////////////

พงศ์เทพ : วิเคราะห์เพื่อไทย ไขรหัสแก้รัฐธรรมนูญ

สัมภาษณ์พิเศษ

อีก 16 เดือน คนการเมือง 111 คน จะคืนเวที

ภายใต้สิ่งแวดล้อมทางการเมืองที่ถูกจัดระบบ-วางระเบียบใหม่

หลายคนปรากฏตัวต่อสาธารณะร่วมกับพรรคการเมืองสม่ำเสมอ

บางคนให้ความเห็นทางการเมืองในฐานะ "ที่ปรึกษา"

บางคนคลุกวงใน ล้วงลึกถึงห้องประชุมคณะรัฐมนตรี

"พงศ์เทพ เทพกาญจนา" เคยปรากฏตัวบนเวทีเสื้อแดง และเคียงคู่ "ทักษิณ" ในฐานะ "โฆษกส่วนตัว" เขาปรากฏความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" วิพากษ์รัฐธรรมนูญ-คนกลาง และการกลับมาของ "ทักษิณ"

- มองการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร

ปัญหาหลักของรัฐธรรมนูญ 2550 ถูกยกร่างขึ้นมาหลังการยึดอำนาจ จึงไม่ได้ให้อำนาจอธิปไตยอยู่กับประชาชน แต่ให้ไปอยู่กับคนกลุ่ม เล็ก ๆ เช่น องค์กรอิสระและศาล

กกต. 5 คนแรกหลังการยึดอำนาจ ซึ่งขณะนี้ยังดำรงตำแหน่งอยู่ 4 คน ตั้งโดยคณะปฏิรูปฯ ในเวลานี้หัวหน้าคณะปฏิรูปฯมาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ป.ป.ช.ทั้งหมดตั้งโดยคณะปฏิรูปฯ ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินได้ดำรงตำแหน่งต่อและยังควบตำแหน่งประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินตามคำสั่งคณะปฏิรูปฯ บุคคลจาก องค์กรเหล่านี้มีบทบาทเลือกสมาชิกวุฒิสภาถึง 74 คน

ระบบการเลือกตั้งจากเดิม ส.ส.เขตละคน และบัญชีรายชื่อใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ไปเป็นแบบแบ่งเขตเรียงเบอร์ แล้วซอยบัญชีรายชื่อเป็น 8 เขต เพื่อไม่ให้พรรคไทยรักไทยหรือพรรคที่สืบทอดอุดมการณ์และแนวทางการทำงานของไทยรักไทยได้คะแนน

- คน 111 ได้รับสิทธิแล้วจะกลับมาทำงานการเมืองหรือไม่

คนใน 111 จำนวนหนึ่งเท่าที่ผมคุยยังคิดที่จะกลับมาทำงานการเมืองอยู่ สำหรับตัวผมไม่เคยคิดจะทำงานการเมืองไปยาวนาน เพราะเมื่อทำการเมืองไประยะหนึ่ง ก็อยากจะใช้เวลากับสิ่งที่อยากทำ เช่น นั่งเขียนหนังสือ การทำงานการเมืองต้องทุ่มเทเวลาเยอะ

- จะกลับมาอยู่พรรคของคุณทักษิณ

แนวคิดการเมืองของ 111 จำนวนหนึ่งยังยึดมั่นในแนวทางการทำงานแบบพรรคไทยรักไทย ถ้าจะทำงานการเมือง ก็ต้องยึดมั่นในแนวนั้นแหละครับ

- ประเมินการทำงานเพื่อไทยอย่างไร

ถูกตัดบุคลากรไปเยอะ และถูกรุมในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อหัวหน้าพรรคไม่ได้เป็น ส.ส. บทบาทในสภาที่เคยปรากฏต่อสังคมอย่างเด่นชัด ก็แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น พรรคเพื่อไทยถือว่าเสียเปรียบในเรื่องนี้

- อดีตไทยรักไทย จะกลับมาเป็นความหวังสำหรับเพื่อไทยหรือไม่

คนที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไป มีประสบการณ์ในสภาและการบริหาร เมื่อถูกยุบพรรค ทำให้พรรคสร้างบุคลากรทางการเมืองใหม่ ๆ ไม่ทัน

- คุณทักษิณรอดคดีซุกหุ้น ใช้หลักรัฐศาสตร์มากกว่านิติศาสตร์ เหมือนคดี ปชป.รอด

หลักคือกระบวนการยุติธรรมต้องไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ดร.ทักษิณ หรือพรรคประชาธิปัตย์ ศาลต้องไม่คำนึงว่าคนที่มาเป็นคู่ความเป็นใคร ตุลาการแต่ละคนเห็นต่างกันได้ แต่ต้องบริสุทธิ์ คือเห็นจากความรู้ ความคิดมโนสำนึก ไม่ใช่เพราะไปสุมหัวเพื่อช่วยใคร หรือรับใบสั่งใครมา

- ช่วงที่ถูก ศอฉ.แช่แข็งบัญชีเป็น อย่างไรบ้าง

ตอนนั้น ไปกินข้าวไหน ก็มีแต่คนเลี้ยงครับ การที่มีคำสั่งจากตัว ผอ.ศอฉ.ให้แช่แข็งบัญชี คำสั่งนั้นผิดกฎหมายนะครับ ผิด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพราะตาม พ.ร.ก.อำนาจในการออกประกาศตามมาตรา 11(6) ที่ ศอฉ. ใช้แช่แข็งบัญชี เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจไม่ได้ แต่คุณอภิสิทธิ์ไปมอบอำนาจนี้ให้หัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งผิดตั้งแต่ต้น

- จะไปดำเนินคดีในเรื่องนี้หรือไม่

รอให้กระบวนการยุติธรรมกลับ เข้ารูปเข้ารอยตามเดิมยังมีกรณีที่ประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการถูกยิงช่วงเดือนเมษาและพฤษภา 53 ผู้เสียหายเขาก็ทราบดีว่ามีอายุความ 20 ปี

- คุณทักษิณยังมีความหมายกับการเมืองไทย ในฐานะอะไร

ไม่มีใครปฏิเสธได้ ถึงบทบาทและความสำคัญของ ดร.ทักษิณต่อการเมืองไทย เพราะยังมีความสำคัญอยู่มาก จากการเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมจากประชาชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย มีคนรักมาก แต่ก็มีคนต่อต้านหลายกลุ่มด้วยกัน

- ความสัมพันธ์ระหว่างคนเสื้อแดงกับพรรค ควรจะเป็นอย่างไร

คนเสื้อแดงกับเพื่อไทยมีจุดร่วมในเรื่องแนวคิดทางการเมืองที่เหมือนกัน คือการเน้นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อำนาจอธิปไตยอยู่กับประชาชน

- ถ้าคุณทักษิณได้รับคืนสิทธิเลือก ตั้งแต่ยังอยู่ระหว่างต้องคดี อนาคตของอดีตนายกฯจะเป็นอย่างไร

อนาคตคงต้องดูเรื่องอนาคต การเมืองไทยขณะนี้ อย่าว่าแต่มองไกลเป็นปีเลย มองแค่ 3-4 เดือนต่อไป ก็ยังพยากรณ์ลำบากแล้ว

- ผลการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้เกินกึ่งหนึ่งหรือไม่

ถ้าประชาชนเห็นกับแนวทางพรรคเพื่อไทยก็อยู่ในซีกนี้ แต่ถ้าเห็นกับแนวทางประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ประชาชนมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริง ก็มีพรรคอื่น แล้วแต่ประชาชนจะเลือกแนวทางไหน

- คุณทักษิณไม่ได้รอเพียงสิทธิเลือกตั้ง แต่มีคดีติดตัว จะทำอย่างไร

คดีบางอย่างไม่ได้เริ่มจากกลไกกระบวนการยุติธรรมตามปกติ เช่น การตั้ง คตส. เหมือนกลไกจัดการปรปักษ์ของคุณทักษิณ ซึ่งไม่ถูกต้องตั้งแต่ต้น

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"ธิดา"แจกคู่มือปลุกเสื้อแดงลุกต้านรัฐประหาร "จตุพร"แฉ3จุดทหารซุ่มคุยปฏิวัติ เปิดช่องลี้ภัยเข้ายุโรปได้

นางธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แถลงว่า มีกระแสข่าวจะเกิดการทำรัฐประหาร จึงขอเรียกร้องให้แกนนำในระดับต่างๆ ที่มีอยู่ในกลุ่มนั้นๆ ปฏิบัติการแทนแกนนำเดิมที่ถูกคุมคามจนไม่อาจทำงานได้ โดยจะใช้รูปธรรมในการต่อสู้ให้สอดคล้องความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่ บนพื้นฐานไม่ยอมจำนน ใช้สันติวิธีให้มากที่สุดมาต่อต้านรัฐประหาร ไม่เลือกวิธีเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แต่จะต้องระดมประชาชนออกมาต่อต้านรัฐประหารให้มากที่สุด โดยให้คนเสื้อแดงทุกกลุ่มปฏิบัติตามคู่มือต่อต้านรัฐประหารจากสถาบัน อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่แกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ คือ 1.ออกมายืนตามถนน ถ้ามีการปราบให้สลายตัวแล้วออกมาใหม่ไม่เป็นเป้านิ่ง เคลื่อนไหวเร็วไม่ต้องมีเวที 2.จอดรถ นำสิ่งของมาทิ้งไว้กลางถนน เพื่อขวางการเคลื่อนกำลัง 3.ปฏิเสธคำสั่งหรือประกาศใดๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับทางการและคณะรัฐประหาร 4.แสดงท่าทีเป็นมิตรกับทหาร และชวนทหารมาเป็นพวกให้ได้มากที่สุด 5.ยึดมั่นสันติวิธีทุกอย่าง ยกเว้นการใช้อาวุธ

นางธิดากล่าวต่อว่า 6.สร้างสัญลักษณ์การต่อต้านที่เสื้อหรืออาจผูกผ้าสีดำที่แขนเสื้อหรือสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารเป็นสติ๊กเกอร์หรือธง มีข้อความต่อต้านรัฐประหารทุกที่ ถ้าถูกเอาออกก็มาติดใหม่ 7.บันทึกภาพการปราบปรามประชาชนหรือการเคลื่อนย้ายกำลัง บันทึกภาพ เสียง รักษาต้นฉบับเอาไว้ และแจกจ่ายโดยวิธีการต่างๆ ให้กว้างขวางทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผ่านเครือข่ายสังคม เช่น ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก 8.ทำจดหมายจากประชาชนเรียกร้องให้ศาลไม่ให้รับรองคณะรัฐประหาร 9.ต่อต้านกลุ่มที่สนับสนุนการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ โดยจะประจานและประท้วงธุรกิจนั้นๆ และ 10.หยุดงานและมีการชุมนุมประท้วง เชิญชวนประชาชนให้มาร่วมชุมนุมให้มากที่สุด เพราะเราไม่สามารถเชื่อใจแม่ทัพนายกองที่มีอยู่ในกองทัพปัจจุบันได้

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย (พท.) และแกนนำคนเสื้อแดง กล่าวว่า สำหรับเซฟเฮาส์ที่นายทหารไปแอบหารือกันเพื่อเตรียมการปฏิวัตินั้น จุดที่ 1 คือเซฟเฮาส์ย่านลาดพร้าว ซึ่งใกล้กับศูนย์การค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว จุดที่ 2 ที่ค่ายทหารม้า จ.เพชรบูรณ์ และล่าสุด จุดที่ 3 เป็นการหารือกันในโรงแรมย่านรัชดาฯ มีชื่อเหมือนแม่น้ำ โดยในวงพูดคุยนั้นระบุว่ากำลังรอเพียงสัญญาณการเคลื่อนกำลังพลเพียงอย่างเดียว ซึ่งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ออกมาปฏิเสธว่าจะไม่ทำการปฏิวัตินั้น ยกเว้นเอาไว้เพียงแต่ว่ามีคนสั่งให้ปฏิวัติ เพราะกำลัง อาวุธ และน้ำมันนั้นถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว

"คณะรัฐประหารชุดนี้จะกระโดดข้ามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) และรัฐบาลเพื่อมากระทืบคนเสื้อแดงโดยเฉพาะ ฉะนั้น ขอนัดหมายกับคนเสื้อแดงว่า ทันทีที่มีการยึดอำนาจ ขอให้ทุกคนจากทุกที่ไปรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยโดยทันที และเริ่มต้นแตกหัก ซึ่งผมและแกนนำคนอื่นๆ จะเดินทางไปทันที หากไม่ตายหรือถูกจับไปก่อน ซึ่งก็ต้องขอขอบคุณสมาชิกรัฐสภาบางประเทศในกลุ่มยุโรปที่ได้ติดต่อประสานงานและแนะนำมาว่า หากเกิดการทำรัฐประหารให้ผมและครอบครัวไปลี้ภัยทางการเมืองได้ แต่ผมจะไม่ไป จะขอสู้ตายในประเทศไทย" นายจตุพรกล่าว

ที่มา.มติชนออนไลน์
///////////////////////////////////////////