"มหานครกรุงเทพ" เมืองหลวงประเทศไทย อายุปาเข้าไปกว่า 200 ปี มี 4 องค์กรข้ามชาติจัดทำผลศึกษาบ่งชี้ภูมิศาสตร์ ที่เป็น "ปัจจัยลบ" ของที่ตั้งเมือง ประกอบด้วย องค์การ เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (ไจก้า) และธนาคารโลก
ครอบคลุมประเด็นที่ "กรุงเทพฯ" ติดโผ 20 เมืองใหญ่เสี่ยงต่อภาวะน้ำท่วมและการพังทลายของชายฝั่ง อันเป็นผลสืบเนื่องจากปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง มีพลเมือง 10 ล้านคนและอยู่ติดชายฝั่งทะเล มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน หากไม่มีแผนป้องกันแก้ไขที่ดีพอ คำนวณมูลค่าความเสียหายอาจมากถึง 2-6% ของจีดีพี ในปี 2593 หรือ 39 ปีข้างหน้า
ขณะที่นักวิชาการไทยหัวใจอินเตอร์ "ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" นักวิทยาศาสตร์ แนะนำเป็นคนแรก ๆ ว่า กรุงเทพฯเป็นพื้นที่เสี่ยงภัยธรรมชาติจากระดับน้ำทะเลหนุนสูง ในอนาคตจะอยู่ใต้น้ำ จากนี้ไม่เกิน 10 ปีจะเห็นชัดควรเตรียมพร้อมเรื่องการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะสม
นักวิชาการไทยแนะ "ย้ายเมืองหลวง"
ก่อนหน้านี้ประเด็น "การย้ายเมืองหลวง" พูดกันมาหลายรัฐบาล ย้อนตำนานไปเจอจุดเริ่มต้นสมัยสงครามโลก ครั้งที่ 2 เมื่อปี 2486 "จอมพล ป. พิบูลสงคราม" มีแนวคิดย้าย เมืองหลวงไปตั้งที่ "เพชรบูรณ์" ต่อมารัฐบาล "บิ๊กจิ๋ว" พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ก็เคยมีแนวคิดให้ย้ายไปที่ "เขาตะเกียบ" จ.ฉะเชิงเทรา ยุคที่ "สมัคร สุนทรเวช" ยังเป็นเพียงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย อยากให้ย้ายไปที่ จ.นครปฐม หรือแม้แต่ช่วง "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เป็นนายกรัฐมนตรี มีแนวคิดจะสร้างเมืองหลวงใหม่ที่ จ.นครนายก
แม้กาลเวลาจะผ่านเลยกี่สิบกี่ร้อยปี แต่ "การย้ายเมืองหลวง" ยังเป็นประเด็นที่คงอยู่ เพื่อเตรียมรับมือกับอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นอีก 10 ปี 20 ปี 40 ปี และ 100 ปีข้างหน้า เสียงสะท้อนที่ดังจากวงนักวิชาการเมืองไทย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรฟัง โดย "ดร.อาจอง" แนะจุดเหมาะสมสั้น ๆ ว่าเป็น "โซนอีสานใต้"
ขณะที่ "ดร.อานนท์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา" ผู้อำนวยการ ศูนย์จัดการความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ กล่าวสอดคล้องกันว่า ทุกปีน้ำจะท่วมกรุงเทพฯบางส่วนอยู่แล้ว แต่หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไรเลย อีก 20 ปีกรุงเทพฯจะเจอกับน้ำท่วมเหมือนอยู่ใต้ทะเลเพราะเป็นที่ลุ่มต่ำ ทุกปีมีหลายพื้นที่ที่ดินจะทรุดตัว 2-4 เซนติเมตร เช่น ดอนเมือง
"แนวคิดย้ายเมืองหลวงเป็นสิ่งดีถ้าทำให้ชีวิตดีขึ้น ในเชิงคอนเซ็ปต์เมืองหลวงต้องอยู่ที่กรุงเทพฯ เพียงแต่ย้ายบางกิจกรรมที่เป็นศูนย์กลาง เช่น ศูนย์ราชการ ภาคบริการ การศึกษา การกีฬา อุตสาหกรรม ไปจังหวัดอื่น เช่น สระบุรี จังหวัดทางฝั่งตะวันออก เพราะกรุงเทพฯตอนนี้หนาแน่น มีคนอยู่ 10 ล้านคน และมีการก่อสร้างมากทุกพื้นที่"
ฟาก "พิจิตต รัตตกุล" ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันภัยพิบัติแห่งเอเชีย และอดีตผู้ว่าฯ กทม.เห็นด้วยว่า ต้องนำความเจริญของกรุงเทพฯด้านเศรษฐกิจ การศึกษา กระจายไป หัวเมืองอื่นในแถบปริมณฑล เช่น โคราช สุพรรณบุรี สระบุรี
"เชื่อว่าเหตุการณ์น้ำท่วม กทม.จะแก้ยากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะแผ่นดินทรุด และระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและกัดเซาะชายฝั่งทุกปี ทั้ง 2 สาเหตุนี้ทำให้การระบายน้ำฝนที่ตกใน กทม.ออกสู่ทะเลยากขึ้น"
จัดระเบียบผังเมืองใหม่รับ
การแก้ปัญหาน้ำท่วม นอกจากมาตรการของสำนักการระบายน้ำที่ทำไว้ 4 ปีแล้ว มาตรการผังเมืองมีส่วนสำคัญมาก
น.ส.อัญชลี ปัทมาสวรรค์ ผู้อำนวยการสำนักผังเมือง กทม. กล่าวว่า หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัด กรุงเทพฯเริ่มกลับมาทบทวนให้รอบคอบมากขึ้นในการจัดทำผังเมืองรวมฉบับใหม่ทดแทนฉบับเก่าที่จะหมดอายุวันที่ 16 พฤษภาคมนี้
"กำลังรวบรวมข้อมูลที่ปรับปรุงผังเมืองรวมฉบับใหม่ มีแนวคิดจะมีผังสาธารณูปโภคเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิธีการป้องกัน น้ำท่วมใส่เข้าไปในผังเมืองรวมฉบับใหม่ด้วย เพื่อคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่ให้ขวางทางน้ำ และจะพิจารณาเพิ่มพื้นที่ รับน้ำบริเวณโซนตะวันออก จากเดิมมีอยู่ 11 แห่ง จะร่วมกับจังหวัดปริมณฑล มีนนทบุรี ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ สมุทรสาคร และนครปฐม"
นอกจากนี้ ยังมีการวางผังนโยบายการจัดการระดับลุ่มน้ำ การควบคุมการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยการปรับรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินฝั่งตะวันออกและตะวันตกของลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง และให้สอดคล้องกับภาวะโลกร้อนด้วย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554
ความจริงบนฝาผนัง
“การสืบสวนสอบสวนคดีผู้ชุมนุมเสียชีวิตเมื่อเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เป็นไปอย่างล่าช้า แม้จะมีรายงานหลุดออกมาค่อนข้างแน่ชัดว่าการเสียชีวิตของประชาชนบางส่วนเป็นน้ำมือของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ผู้เกี่ยวข้องไม่ได้ดำเนินการต่อให้เกิดความชัดเจน ทั้งนี้ เรื่องนี้ควรเป็นคดีพิเศษที่พนักงานสอบสวนต้องร่วมกับอัยการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน แต่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทำงานมานานกว่า 6 เดือนแล้ว และยังดำเนินการผิดขั้นตอน เพราะส่งเรื่องกลับไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไม่ได้ส่งเรื่องให้อัยการตามที่กฎหมายระบุ”
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 295 วันที่ 22-28 มกราคม พ.ศ. 2554
***********************************************************************
ดร.จารุพรรณ กุลดิลก นักวิชาการอิสระ ยืนยันว่า ดีเอสไอทำผิดขั้นตอนกระบวนการสอบสวน และยังเข้าข่ายขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอีกด้วย เพราะพฤติกรรมของดีเอสไอและรัฐบาลดูเหมือนมีเจตนาที่จะไม่ให้การสังหารโหด 91 ศพเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม คนเสื้อแดงจึงต้องหาช่องทางต่อสู้เพื่อความยุติธรรมทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ หรือนำเรื่องฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
ต้นแบบยุติธรรมสองมาตรฐาน
ดร.จารุพรรณระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยถือว่าล้าหลังมาก ถูกตีตราว่าเป็นรัฐทหาร เนื่องจากที่ผ่านมามีการใช้กฎหมายหลายมาตราที่อนุญาตให้ทหารเอาอาวุธสงครามออกมาบนถนนในการไล่ล่าสังหารประชาชน เมื่อเทียบกับชาติอื่นๆ หากเราหันกลับไปเป็นรัฐทหารจะยิ่งทำให้ประเทศล้าหลังมากขึ้น ประชาชนจะไม่มีสิทธิมีเสียงและถูกปิดกั้นในทุกเรื่อง กองทัพจะเข้ามามีบทบาทเหนือรัฐบาล ทำให้ต่างชาติขาดความเชื่อมั่นมากขึ้นไปอีก
“ทุกวันนี้ต่างชาติมองว่าเราเป็นประเทศต้นแบบของกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐาน ซึ่งในวงการวิชาการต่างประเทศนำเรื่องในประเทศไทยไปเป็นกรณีศึกษา ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของกองทัพ เรื่องรัฐบาลบริหารผิดพลาดล้มเหลวแต่ยังอยู่ในอำนาจได้ เรื่องการสังหารหมู่ประชาชนโดยไม่ต้องมีคนรับผิดชอบ และเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไร้มาตรฐาน เรื่องนี้นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ในยุโรปและอเมริกาต่างนำไปเป็นกรณีศึกษา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอับอาย”
ฮิวแมนไรท์วอทช์เตรียมเปิดรายงาน
ด้านนายสุนัย ผาสุก ที่ปรึกษาองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศหรือฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำประเทศไทย กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำรายงานประจำปี 2554 ของฮิวแมนไรท์วอทช์ โดยเฉพาะการตรวจสอบการสลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ว่าขณะนี้รายงานคืบหน้ากว่าร้อยละ 80 โดยสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอยู่ระหว่างการเขียนรายงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกุมภาพันธ์นี้ ใกล้เคียงกับรายงานชั่วคราวของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นการตรวจสอบปัญหาความรุนแรงทางการเมืองไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้กระทำ
“เนื้อหาของรายงานเท่าที่เสร็จมีความตรงไปตรงมา โดยจะไล่ไปตามเงื่อนเวลาของแต่ละเหตุการณ์ ตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน การกระทำของเจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ รวมถึงการกระทำของคนชุดดำ ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มถูกพูดถึงทั้งสิ้น”
ในรายงานยังพูดถึงการพยายามหาทางอย่างสันติวิธีแต่ล้มเหลว โดยได้วิเคราะห์ว่าความล้มเหลวเกิดจากอะไรกันแน่ รวมทั้งบทบาทและการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง รวมทั้งการใช้อำนาจของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ ซึ่งจะทำให้เห็นความชัดเจนในหลายเรื่อง
ชี้ชัดใครต้องรับผิดชอบอย่างไร
นายสุนัยกล่าวว่า รายงานของฮิวแมนไรท์วอทช์ชี้ให้เห็นว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความรับผิดชอบของทุกฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเพียงฝ่ายเดียว เพื่อให้ทุกฝ่ายมีสำนึกและตระหนักในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ชี้หน้าคนอื่นว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบ โดยต้องมีการดำเนินคดีทั้ง 3 กลุ่ม ตั้งแต่เจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ผู้กำหนดนโยบาย และฝ่ายคนเสื้อแดงกลุ่มไหน หรือคนชุดดำที่แท้จริงเป็นใคร ต้องเปิดโปงออกมา ทุกกลุ่มต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้มีการดำเนินคดีอย่างเหมาะสมและตรงไปตรงมา ไม่ให้เกิดข้อครหาได้
“ถ้าแต่ละฝ่ายยังไม่รับผิดก็ไม่มีทางเกิดความสมานฉันท์ปรองดองได้ ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องยอมรับก่อนว่าฝ่ายตัวเองมีคนผิดด้วย ประเด็นนี้มีความสำคัญในแง่การจะเปลี่ยนทัศนคติของสังคม เพราะที่ผ่านมาสังคมไทยมีปัญหาอย่างหนึ่งคือความผิดของตัวเองจะไม่รับ จะโทษคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทัศนคติอย่างนี้ทำให้ความขัดแย้งไม่สิ้นสุด เพราะฝ่ายตัวเองทำอะไรก็ได้ไม่ผิด แต่ฝ่ายตรงข้ามต้องเอาให้ตายไปข้างหนึ่ง เช่น ปล่อยให้ติดคุกยาวนานไปเลย ดังนั้น การแก้ปัญหาความขัดแย้งจะต้องเปลี่ยนทัศนคติตรงนี้ให้ได้”
ดีเอสไอยังหมกเม็ดเดิมๆ
ดังนั้น กรณีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ จะแถลงข่าวความคืบหน้าการสรุปสำนวนคดี 89 ศพ ซึ่งขยายเวลาการสอบสวนที่ต้องแล้วเสร็จตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2553 โดยอ้างว่าต้องการสอบสวนข้อเท็จจริงให้ละเอียดรอบคอบมากที่สุด แม้ทุกฝ่ายจะใจจดใจจ่อว่าผลการสอบสวนจะออกมาอย่างไร แต่ก็ผิดหวังตั้งแต่ยังไม่แถลง เพราะนายธาริตออกตัวว่าในเบื้องต้นดีเอสไอยังไม่สามารถชี้ชัดว่าอาวุธปืนที่ใช้เป็นของฝ่ายใด เนื่องจากขณะที่มีเหตุปะทะนั้นทั้ง 2 ฝ่ายต่างมีอาวุธในลักษณะเดียวกัน จึงยากที่จะระบุว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนเสื้อแดง แต่อาวุธที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้นำออกมาใช้ปฏิบัติการแน่นอนคือระเบิดเอ็ม 79 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากระเบิดเอ็ม 79 หลายราย
ขณะที่ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน พนักงานสอบ สวนคดีก่อการร้าย ดีเอสไอ ได้ตอบข้อซักถามของคณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา โดยเฉพาะการตาย 13 รายนั้น พอเชื่อได้ว่าเป็นการกระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งในจำนวนนั้น 3 ศพอยู่ในวัดปทุมฯ ผู้เสียชีวิตที่เขาดิน 1 ศพ ร.ต.ณรงค์ฤทธิ์ สาละ และช่างภาพชาวญี่ปุ่น นอกจาก 13 ศพซึ่งไม่พบปลอกกระสุน จึงสรุปว่าน่าจะเสียชีวิตจากกระสุนความเร็วสูงเจาะเข้าที่ร่างกาย
“การตายของชาวญี่ปุ่นแม้จะระบุว่าน่าเชื่อว่าเป็นการกระทำจากทหาร แต่ก็ยังไม่ทราบว่าใครเป็นคนยิง ส่วนที่พบปลอกกระสุนหัวเขียวตกอยู่ในวัดปทุมฯ จากการสอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานบนสกายวอล์ก มีทหาร 5 นายยอมรับว่ายิงเข้ามาในวัดปทุมฯจริง แต่ยังหาไม่ได้ว่า 1 ใน 5 ใครเป็นคนยิง ขณะนี้อยู่ในขั้นการพิสูจน์และสอบสวน”
ส่วนข้อสงสัยว่าทำไมไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 150 วรรค 3 มาแต่ต้น พ.ต.ท.พเยาว์ชี้แจงว่า เพราะมีปัญหาในข้อกฎหมายซึ่งไม่ให้อัยการสั่งฟ้องคดีอาญาหากการชันสูตรพลิกศพไม่เสร็จ จึงต้องย้ายเรื่องส่งไปให้ตำรวจชันสูตรพลิกศพหรือสอบสวนหาหลักฐานเพิ่มเพื่อให้ส่งอัยการจึงจะสามารถสั่งฟ้องได้
มาตรฐานคณะกรรมการสิทธิฯ
ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงแทบไม่มีความหวังที่จะได้ความยุติธรรมหรือความจริงเพื่อเอาตัว “ฆาตกร” ไม่ว่าจะเป็น “คนสั่งฆ่า” หรือ “คนฆ่า” มาลงโทษ เพราะแนวโน้มผลการสอบสวนของดีเอสไอหรือตำรวจก็ยังลักปิดลักเปิด การต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมในประเทศก็ดูมืดมน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. จึงเตรียมยกระดับการต่อสู้ในคดี 91 ศพ โดยจะฟ้องไปยังศาลระหว่างประเทศในวันที่ 31 มกราคมนี้ รวมทั้งจะประสานกับญาติช่างภาพชาวญี่ปุ่นให้มาร่วมฟ้องร้องด้วย
เพราะแม้แต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมการเคารพและการปฏิบัติตามหลักสิทธิมนุษยชน ผ่านมากว่า 9 เดือนก็ยังเพิกเฉยกับผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” แต่กรณี 7 คนไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุม คณะกรรมการสิทธิฯได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการอย่างรอบคอบและปกป้องสิทธิและเสรีภาพของคนไทยทั้ง 7 คนตามหลักสิทธิมนุษยชน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองอย่างเคร่งครัด ทั้งจะดำเนินการติดตาม ตรวจสอบข้อเท็จจริงและความคืบหน้าในการดำเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมรายงานให้สาธารณชนทราบเป็นระยะๆ
แต่เหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่รัฐบาลสั่งให้ทหารใช้อาวุธสงครามครบมือและปรากฏภาพมือปืนซุ่มยิงประชาชนที่เรียกร้องประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ยังไม่นับรวมผู้ที่หายสาบสูญนั้น คณะกรรมการสิทธิฯกลับเงียบเป็นเป่าสาก ซึ่งแสดงถึง “สองมาตรฐาน” และเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน
ดินแดนที่ “เกือบไม่มี” เสรีภาพ
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมาที่องค์กร Freedom House จัดอันดับ “เสรีภาพในโลก” ปรากฏว่าประเทศไทยยังคงถูกจัดอยู่ในประเภทของ “ประเทศที่มีเสรีภาพเพียงบางส่วน” ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ปี ส่วนสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพของประชาชนยังอยู่ในลำดับเดิม ซึ่ง Freedom House ระบุว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เสรีภาพของพลเรือนลดลงอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แต่ Freedom House ไม่ได้ประณามรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และการกระทำอย่างรุนแรงของกองทัพ
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า Freedom House มีความใกล้ชิดเป็นพิเศษกับรัฐบาลสหรัฐ การจัดอันดับเรื่องประชาธิปไตยและเสรีภาพจึงมักถูกมองว่ายังมีอคติ หรือพยายามไม่ประณามประเทศที่เป็นมิตรกับสหรัฐ แม้จะปกครองด้วยระบอบเผด็จการหรือมีผู้นำทรราชในคราบประชาธิปไตยก็ตาม
อย่างที่ Kenneth Bollen นักรัฐศาสตร์ ได้วิจารณ์ Freedom House ว่ามักจะผ่อนปรนกับเผด็จการที่เป็นมิตรกับรัฐบาลสหรัฐ โดยให้ดูการจัดลำดับเสรีภาพในเวเนซุเอลาว่าหากประธานาธิบดีฮูโก ชาเวซ สังหารผู้ชุมนุมกว่า 90 รายบนท้องถนนกรุงคารากัส หรือใช้กฎหมายฉุกเฉินอย่าง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบรัฐบาลไทย ผู้นำเวเนซุเอลาคงถูกสหรัฐถล่มยับเยินแน่นอน เพราะที่ผ่านมาแม้เวเนซุเอลาไม่มีการสังหารโหดอย่าง “เหตุการณ์เมษา-พฤษภา” ไม่มีการไล่ล่าและกดขี่ข่มเหงประชาชน แต่ยังถูกลดความน่าเชื่อถือโดย Freedom House และถูกโจมตีโดยสื่อต่างๆภายใต้อิทธิพลของรัฐบาลสหรัฐอย่างต่อเนื่อง
ทั้งที่ก่อนหน้านี้องค์กรสื่อไร้พรมแดนได้ทำรายงานระบุว่าประเทศไทยปัจจุบันไม่ต่างกับ “รัฐทหาร” และองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนจัดลำดับเรื่อง “สิทธิทางการเมือง” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศบูร์กินาฟาโซ, บุรุนดี, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, แกมเบีย, ยูกันดา, กินี, อิรัก, โคโซโว, คีร์กีซสถาน, เลบานอน ฯลฯ
ส่วนเรื่อง “สิทธิพลเรือน” อยู่ในลำดับเดียวกับประเทศอาร์เมเนีย, บังกลาเทศ, โคลอมเบีย, คอโมโรส, ติมอร์ตะวันออก, ฟิจิ, กัวเตมาลา, กินีบิสเซา, ฮอนดูรัส, โคโซโว, ไลบีเรีย, มาดากัสการ์, มาลาวี, ยูกันดา และแซมเบีย ฯลฯ
ระบอบประชาธิปไตยของไทยจึงเป็นแค่ “ประชาธิปไตยจอมปลอม” ที่น่าอับอายอย่างยิ่งในสายตาประชาคมโลก
ความจริงที่ถูกปิดกั้น
ดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์ภายใต้กองทัพและกลุ่มอำมาตย์จึงต้องพยายามปิดกั้นข่าวสารของคนเสื้อแดงเพื่อจะบอกความจริงกับประชาชนและประชาคมโลก แม้แต่การแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์แค่เดือนละครั้งที่แยกราชประสงค์ก็ยังมีความพยายามไม่ให้คนเสื้อแดงปิดกั้นใช้พื้นที่ในการชุมนุมเรียกร้องความยุติธรรม เพราะทุกครั้งที่มีการชุมนุมก็จะเป็นข่าวไปทั่วโลกว่าประเทศไทยยังหมกเม็ดและแช่แข็งเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต”
แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจำนวนมากที่มาชุมนุมย่อมทำให้ผู้ประกอบธุรกิจในย่านราชประสงค์เดือดร้อนและน่าเห็นใจจนต้องเรียกร้องขอความเป็นธรรมเช่นกัน แต่ไม่ใช่ออกมาเพราะมีเลศนัยหรือใบสั่งให้ทำ เพราะคนไทยทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าหากไม่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 คน ก็ไม่มีการกลับมาชุมนุมที่แยกราชประสงค์ หากบ้านเมืองมีความยุติธรรมก็ไม่มีการชุมนุมของคนเสื้อแดง
ในทางตรงข้ามผู้ประกอบธุรกิจย่านราชประสงค์ควรหันมาสนับสนุนคนเสื้อแดง เพื่อให้ความจริงปรากฏว่าใครกันแน่ที่เผาบ้านเผาเมือง คนฆ่าคนเผาเป็นคนเดียวกันกับคนที่เข้าไปกระชับพื้นที่จนเป็นที่เรียบร้อยแล้วหรือเปล่า?
เพราะกว่า 9 เดือนที่ผ่านมาการชันสูตรพลิกศพ 91 ศพก็ยังถูกแช่แข็ง ขณะที่ดีเอสไอก็แถลงแต่วลีเดิมๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าใครเป็นคนฆ่า ทั้งที่ผลการชันสูตรพลิกศพมีรายละเอียดทั้งวิถีกระสุนและลักษณะของกระสุน การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่รัฐ หลักฐานภาพถ่าย คลิปวิดีโอ และพยานบุคคลมากมาย แต่กลับกล่าวหาว่าคนเสื้อแดงฆ่ากันเอง และยัดเยียดข้อหา “ก่อการร้าย” ให้อีก
เมื่อเทียบเคียงกรณี “กัปตันการบินไทย” ที่ถูกยิงบนทางด่วนเพียงแค่เรื่องของแสงไฟหน้ารถ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความรุนแรงที่น่าตกใจของสังคมไทย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถรู้คนกระทำผิด เช่นเดียวกับกรณี “สาวซีวิคอายุ 17 ปี นามสกุลดัง” ที่ขับชนรถตู้บนทางด่วนโทลล์เวย์จนมีคนตายถึง 9 ราย หากผู้เสียชีวิตไม่ใช่คนระดับดอกเตอร์ที่เป็นมันสมองของชาติและนักศึกษาสถาบันมีชื่อเสียงก็คงไม่เป็นข่าวใหญ่ให้กระแสสังคมและ Social Net-work กระแสสังคมออนไลน์ กดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งทำคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม
และเมื่อหันมามองเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีการใช้กำลังทหารนับหมื่นพร้อมอาวุธสงครามปราบปรามและสังหารคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า และยังใช้อำนาจรัฐพยายามปิดกั้นเพื่อไม่ให้เป็นข่าวอีก
ถึงขนาดที่สถานทูตญี่ปุ่นต้องนำรัฐมนตรีของญี่ปุ่นและญาติช่างภาพญี่ปุ่นมาประท้วงและเรียกร้องความยุติธรรมอย่างสุภาพ หรือกรณีน้องสาวช่างภาพอิตาลีที่ถูกยิงตายที่กล้าปฏิเสธคำเชิญของรัฐบาลไทย ไม่สนใจที่จะมาร่วมงานเทศกาลเฉลิมฉลองสำคัญในประเทศไทย โดยผู้มีอำนาจของไทยได้กระทำเพียงเพื่อพยายามสร้างภาพ แต่แท้จริงคือการกลบเกลื่อนและปิดกั้นรายละเอียดการสังหารโหดซึ่งข่าวถูกประจานไปทั่วโลก แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และดีเอสไอที่รับผิดชอบคดีกลับทำเหมือนคนหูหนวกเป็นใบ้ ไม่มีคำตอบใดๆ
ความจริงบนฝาผนัง
จึงไม่แปลกที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องความยุติธรรมของคนเสื้อแดงจะถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง รวมทั้งหลักฐานต่างๆจะถูกเก็บกวาดจนเกือบไม่เหลือให้เป็นหลักฐานที่จะระบุว่าใครเป็นฆาตกร แต่ที่สุดแล้วเชื่อว่าไม่มีใครหนีความจริงและกฎแห่งกรรมได้
แม้ความจริงจะไม่ปรากฏในสื่อต่างๆในประเทศไทย แต่ก็ปรากฏตามสื่อต่างๆไปทั่วโลกอย่างชัดเจนว่า “ใครเป็นฆาตกร”
ในขณะที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ที่ถือเป็นแหล่งข้อมูลที่มิอาจปิดกั้นและหยุดยั้งได้ ได้เข้ามาทำหน้าที่แทนสื่อกระแสหลัก (ปักขี้เลน) ของไทยที่มิอาจเสนอความจริงได้ หรือทำได้แบบปิดตาข้างหนึ่ง
ขณะเดียวกันสื่อสาธารณะที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นตามฝาผนังห้องน้ำสาธารณะ กำแพงรั้ว เสาไฟฟ้า ตอม่อ ตึกร้าง ก็ปรากฏข้อความที่อ่านแล้วต้องสะอึก!
สิทธิเสรีภาพในการพูด อ่าน เขียน และแสดงออกถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญไทยทุกฉบับ แต่ถูกสอดไส้ด้วยกฎหมายสารพัดที่ปิดกั้นการแสดงออกของประชาชน
วันนี้สื่อไทยจึงทำได้เพียงสะท้อนภาพจิตรกรรมจากฝาผนังโบสถ์ ซึ่งปรากฏภาพ “โดเรมอน” “โนบิตะ” หรือแม้แต่ “หลินปิง” สอดแทรกไว้กับพุทธประวัติให้เป็นที่ครึกโครม
ศิลปินสะท้อนสังคม ซ่อนจินตนาการและความรู้สึกสอดแทรกไว้ตามผนังโบสถ์ได้
คนเสื้อแดงหรือผู้ได้รับการกดขี่ด้วยความยุติธรรม 2 มาตรฐานย่อมมีสิทธิแสดงออกผ่านสื่อสาธารณะที่มิอาจควบคุมได้
“โดเรมอน” เป็นแค่การ์ตูนจากจินตนาการ
“หลินปิง” เป็นเพียงเดรัจฉานน่ารัก
แต่สื่อไทยโดยเฉพาะโทรทัศน์ยังพร้อมนำเสนอให้เป็นที่ครึกโครมมากกว่าข่าวคนเสื้อแดง
หรือสื่อไทยมองเห็นคนเสื้อแดงเป็น “ไพร่” ต่ำต้อยไร้ค่ากว่าตัวการ์ตูนและสัตว์เดรัจฉาน?
เกือบ 100 ศพที่ต้องสังเวยชีวิตบนถนนราชดำเนินและราชประสงค์ รวมถึงเกือบ 2,000 ชีวิตที่พิการ บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภาอำมหิต กำลังถูกอำนาจอำมหิตปิดข่าวและบิดเบือนให้เลือนลืม...เหมือนเหตุการณ์มากมายในประวัติศาสตร์ที่จางหายไปกับลมหายใจที่หยุดนิ่ง...
นับแต่บัดนี้อย่าได้แปลกใจหาก จิตรกรรมฝาผนังมิได้มีเพียงแต่ในวัดในโบสถ์...อาจปรากฏไปทั่วทั้งแผ่นดิน จะทำเป็นลืมไม่ได้อีกแล้ว!
ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 295 วันที่ 22-28 มกราคม พ.ศ. 2554
***********************************************************************
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554
แฉโจรใต้วางแผนถล่มฐานทหารที่ระแงะ เพื่อปล้นปืนนำไปก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่
นายเดชรัฐ สิมศิริ รอง ผวจ.นราธิวาส พ.ต.ท.จันที แจ่มจันทร์ หน.กองพิสูจน์หลักฐาน จ.นราธิวาส และคณะทีมงานของ แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม รวมถึงชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมเดินทางไปยังฐานปฏิบัติการณ์พระองค์ดำ สังกัด ร้อย ร.15121 ฉก.นราธิวาส 38 ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนสายมะรือโบตก-รือเสาะ ช่วงบริเวณบ้านมะรือโบตก ม.1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ซึ่งถูกกลุ่มคนร้ายยิงถล่มฐาน ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 4 นาย คือ 1.ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หน.ฐาน 2.ส.ท.อับดุลเลาะห์ ตาหยี 3.ส.อ.เทวรัตน์ กาวา และ 4.พลฯประวิทย์ ชูกลิ่น และได้รับบาดเจ็บ 13 นาย เหตุเกิดเมื่อเวลา 19.30 น. ของคืนวันที่ 19 ม.ค. 54 ที่ผ่านมา เพื่อเดินทางไปเก็บรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดอีกครั้ง
จากการตรวจสอบความเสียหาย พบว่า โรงเรือนแบบน็อคดาวและเพิงพักของทหารถูกคนร้ายวางเพลิงได้รับความเสียหาย 4 หลัง รถ จยย. ถูกวางเพลิง 1 คัน โดยเฉพาะที่บริเวณโรงเรือนแบบน็อคดาวที่ได้ดัดแปลงใช้เป็นสถานที่เก็บคลังอาวุธประจำฐาน ถูกกลุ่มคนร้ายงัดประตูและขโมยอาวุธปืนสงครามเอ็ม.16 และอาวุธปืนพกสั้นขนาด 11 ม.ม. ไปจำนวนกว่า 50 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนกว่า 4,000 นัด
นอกจากนี้บริเวณรั้วสนามที่ใช้ทำเป็นกำแพงด้านหลังของฐาน เจ้าหน้าที่พบกลุ่มคนร้ายได้ใช้ไม้กระดานขนาดยาวประมาณแผ่นละ 3 เมตร จำนวนกว่า 10 แผ่น วางพาด เพื่อใช้เป็นสะพานในการวิ่งกรูเข้าโจมตีเจ้าหน้าที่ทหารแบบประชิดตัว และเจ้าหน้าที่สามารถเก็บรวบรวมหลักฐานและชิ้นส่วนของวัตถุระเบิด ซึ่งกลุ่มคนร้ายใช้เป็นอาวุธในการบุกโจมตีเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบพบหลุมเครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม.79 จำนวนกว่า 20 จุด ปลอกกระสุนปืนเอ็ม.16 เอ็ม.60 อา.ก้า. ลูกซอง อาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 ม.ม. และ ขนาด 11 ม.ม. ตกอยู่เกลื่อนบริเวณฐานทหาร รวมทั้งสิ้นกว่า 700 นัด
โดยแหล่งข่าวชุดคลี่คลายคดีความมั่นคง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเจ้าหน้าที่ทหารที่เข้าร่วมตรวจสอบเหตุที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ได้ประเมินว่า การปฏิบัติการณ์ของกลุ่มคนร้ายในครั้งนี้มีไม่ต่ำกว่า 30 คน และมีการวางแผนบุกโจมตีฐานไว้อย่างดี และมีระบบกว่าเหตุคนร้ายบุกปล้นปืนที่กองพันพัฒนา 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มคนร้ายรู้ความเคลื่อนไหวกำลังพล และความเคลื่อนไหวภายในฐาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่รักษาการ และอาศัยอยู่น้อย จึงได้มีการบุกโจมตีในช่วงคืนที่ผ่านมา ซึ่งกำลังที่ปฏิบัติการในครั้งนี้อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ เคยร่วมบุกปล้นปืนด้วย โดยมี นายมะแซ อุเซ็ง เป็นผู้บงการในการรวบรวมอาวุธ เพื่อเตรียมนำมาใช้ก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ราวประมาณเดือนกุมภาพันธ์ และ มีนาคม ที่จะถึงนี้
ส่วนการติดตามไล่ล่ากลุ่มคนร้ายนั้น ขณะนี้เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และ ฝ่ายปกครอง ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในพื้นที่อำเภอระแงะ ได้ร่วมสนธิกำลังประมาณ 300 นาย พร้อมสุนัขสงครามดมกลิ่น กระจายกำลังกันโอบล้อมเทือกเขา ซึ่งตั้งอยู่หลังฐาน และเป็นเส้นทางหลบหนีของกลุ่มคนร้าย หลังจากปฏิบัติการถล่มฐานทหารแล้วเสร็จ
ซึ่งในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่พบร่องรอยเลือดของกลุ่มคนร้ายหยดตามเส้นทางที่มุ่งหน้าขึ้นสู่เทือกเขา ซึ่งห่างจากฐานประมาณ 500 เมตร และคาดว่า กลุ่มคนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ยิงได้รับบาดเจ็บไปจำนวนหลายคน แต่ถึงอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ประสานงานไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องให้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบตามโรงพยาบาล และสถานอนามัย เนื่องจากเกรงว่า กลุ่มคนร้ายจะแฝงตัวปะปนกับชาวบ้านเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บ
ส่วนประวัติโดยย่อของ ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ หัวหน้าฐานปฏิบัติการณ์พระองค์ดำ เป็นหลานชายของ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีต รมว.กลาโหม เป็น นตท. รุ่น 38 รุ่นเดียวกับ ผู้กองแคน หรือ ร.ต.อ.ธรณิศ ศรีสุข
ที่มา: เรียบเรียงจาก เว็บไซต์สมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย
'เมียธาริต'ถอนฟ้อง'จตุพร'หมิ่นประมาทเรียกรับเงิน
ศาลไกล่เกลี่ยสำเร็จ “เมียธาริต”ถอนฟ้อง“จตุพร” กล่าวหาเรียกรับเงิน 1.5 แสนบาทช่วยล้มคดีเรียกคืนภาษี ทนาย เผย สองฝ่ายพูดปรับความเข้าใจกันได้
ที่ห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชั้น 7 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น.ศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความคดีหมายเลขดำ อ.2323/2553 ที่ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 326 และ 328
กรณีเมื่อวันที่ 23 - 25 ก.ค.53 ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าโจทก์ใช้อำนาจของสามี เรียกรับเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง จำนวน 150 , 000 บาท แลกกับการช่วยเหลือในคดีที่ถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง 1.7 ล้านบาท ภายหลังการเจรจา นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนางวรรษมล กล่าวว่า หลังจากผู้ประนอมข้อพิพาทของศาล เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแล้ว คู่ความทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนสามารถปรับความเข้าใจกันได้ โจทก์จึงยินยอมถอนฟ้องคดี ขณะที่จำเลยไม่ก็คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อย่างไรก็ดีสำหรับรายละเอียดในการพูดคุยของทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องเฉพาะของคู่ความที่ได้เจรจาตกลงกันซึ่งเป็นภายในห้องประนอมข้อพิพาท ไม่อาจนำมาตนเปิดเผยได้
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------------------------
ที่ห้องไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ชั้น 7 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เวลา 09.30 น.ศาลนัดไกล่เกลี่ยคู่ความคดีหมายเลขดำ อ.2323/2553 ที่ นางวรรษมล เพ็งดิษฐ์ ภรรยาของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายจุตพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 , 91 , 326 และ 328
กรณีเมื่อวันที่ 23 - 25 ก.ค.53 ให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าโจทก์ใช้อำนาจของสามี เรียกรับเงินจากนักธุรกิจคนหนึ่ง จำนวน 150 , 000 บาท แลกกับการช่วยเหลือในคดีที่ถูกเรียกคืนภาษีย้อนหลัง 1.7 ล้านบาท ภายหลังการเจรจา นายธนากร แหวกวารี ทนายความของนางวรรษมล กล่าวว่า หลังจากผู้ประนอมข้อพิพาทของศาล เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยแล้ว คู่ความทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันจนสามารถปรับความเข้าใจกันได้ โจทก์จึงยินยอมถอนฟ้องคดี ขณะที่จำเลยไม่ก็คัดค้าน ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ อย่างไรก็ดีสำหรับรายละเอียดในการพูดคุยของทั้งสองฝ่าย เป็นเรื่องเฉพาะของคู่ความที่ได้เจรจาตกลงกันซึ่งเป็นภายในห้องประนอมข้อพิพาท ไม่อาจนำมาตนเปิดเผยได้
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
------------------------------------------------------------------
รูปหล่อ เสียงดี..พีอาร์หมื่นล้าน!
ลูกยางปุ่มกดปล่อยโรด แมปประชาวิวัฒน์ชักเริ่มสึกกร่อน วัวเทียมเกวียนประชานิยมเดินจนแทบจะง่อยเปลี้ยเสียขา เหตุแห่งเหตุ เนื่องมาจากการเข็นสารพัดวาระประชาชนลงสู่ก้นบึ้ง หัวใจรากหญ้าฝนมัดใจห่าใหญ่ตั้งเค้าโปรย ปรายอีกระลอก “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เตรียมระเบิดท้องพระคลังจัดหนักงบประมาณกลางปี 54 ที่ขาดดุล เล็กน้อยแค่ 3.9 แสนล้าน ก่อนกระจายลงล่างในทุกหย่อมหญ้า
ประหนึ่งสานภาคต่อประชาวิวัฒน์ อันมีคุณูปการไปถึงความเป็นรัฐบาลของ “เหล่าเทพประทาน” ในภายภาคหน้า.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” โชว์หุ่นสมาร์ตส่ายเอวเล่น “ฮูลาฮูบ” ทางเศรษฐกิจ สวิงงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดฟันหลออภิมหาโปรเจกต์ พร้อมทั้งยืนยันการันตี ต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี งบประมาณประเทศไทย คืนสู่จุดสมดุลสุ่มเสี่ยงถังแตกหรือไม่..โปรยงบหา เสียงล่วงหน้าใช่หรือเปล่า..อานิสงส์ตกถึงประชาชนจริงเท็จประการใด..ต้องละไว้เพื่อรอการ พิสูจน์ทราบ???แต่วันนี้ที่พิสูจน์ทราบได้อย่างกระจ่างแจ้ง นั่นคือ “มหาประชานิยม” ที่ “เทพประทาน” ได้เริ่มทยอยปลุกเสกบริกรรมคาถาร่าย เวทย์ไปตั้งแต่ศกที่แล้ว ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน ค่าตอบ-แทน อสม. 976,343 คน ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โฉนดชุมชน ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย แก้ปัญหา มาบตาพุด ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท สินค้าเกษตรราคาพุ่งทะยานจากมาตรการประกันราคา ตัวเลขจีดีพีปี 2553 ขยายตัวอย่างน่าพึงพอใจ อัตราคน ว่างงานลดฮวบ ส่งออกบูม ท่องเที่ยวสูงเป็น
ประวัติการณ์ ดัชนีหุ้นแตะ 1 พันจุดเมื่อบวกรวมกับของขวัญ 9 ชิ้นรับปีกระต่าย ต้องยอมรับว่า ผลงานตลอด 2 ปี “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต้องยอมรับว่ามันไม่ธรรมดา ยิ่งหากผ่านการพิสูจน์ทราบในระยะยาว กระทั่งตกผลึกได้จริง ยกมือท่วมหัวเทียบเคียง “อัศวินม้าขาว” ก็ไม่ปานขอรับ..“ท่านนายกฯ รูปหล่อ” กระนั้น ผลงานที่ได้ลำดับไล่เรียงมา ซึ่งถอดเนื้อหาจากการแถลงผลงาน 2 ปี และการปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของ “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์” ในทางนามธรรมสามารถยืนยันการันตีได้ผ่านป้ายคัตเอาต์และสารพัดสื่อที่ช่วยโหมกระพือ จนผลงาน ต่างดูเหมือนจริงแม้ยังไปไม่ถึงปลายทาง
นัยหนึ่ง ประดุจอานิสงส์แห่งธงพีอาร์ประชาสัมพันธ์ช่วยโบกสะบัด ทั้งๆ ที่ในหลายโปรเจกต์ออกอาการบักโกรกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการระดับหัวแถวอย่างตรงไปตรงมา.. แต่อย่างที่ระบุข้างต้น ประชาวิวัฒน์จะแท้หรือเทียม??? อนาคตเท่านั้นจะมีคำตอบ กระนั้นก็ตาม ด้วยสถานการณ์อันเป็นคุณต่อรัฐบาล ณ วันนี้ คงต้อง ยอมรับโดยดุษณี และยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเซียน พีอาร์ผู้ใกล้ชิดนักการเมืองที่เข้า ไปขุดกรุสมบัติในสารพัดโครงการอันมีต้นทางมาจากงบชาติ
ถึงบรรทัดนี้ แล้วเหตุไฉนปัจจัยอันใดที่ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของรัฐถึงเล็งผลเลิศได้ ถึงเพียงนี้???“โต๊ะข่าวการเมือง” สืบสาวราวเรื่องถอดรหัสงบพีอาร์ใน 19 กระทรวงบวก 1 สำนักนายกฯ ที่แตกแยก ย่อยออก เป็น 255 กรม กอง และสำนักงาน เฟ้นเฉพาะ กรม กอง สำนักงาน ใน สเปกเกรดเอ คัดแบบเนื้อๆ แค่ 100 กรม กอง ว่ากันว่างบพีอาร์แต่ละแห่งก็ปาเข้า ไปเฉียดๆ 100 ล้านบาทเข้าไปแล้วหากนับรวมกับงบพีอาร์โดยตรงของกระทรวงที่ขึ้นกับสำนักปลัดฯ ทั้ง 20 แห่ง ที่เผอิญนับรวมงบประมาณทั้งหมดเป็นตัวเลขกลมๆ 1.4 แสนล้านบาท และเมื่อถอดสมการค่าประชาสัมพันธ์ จากเค้กก้อนดังกล่าวแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ คุณพระช่วย ตัวเลขดีดสูงถึงปีละ 7 พันล้าน!!! ดีดลูกคิดรางแก้ว เคาะรวมตัวเลข งบพีอาร์ทั้งหมดทั้งมวลอันมีมูลค่าเพียงน้อยนิดมหาศาล แค่งบสร้างภาพเสริมหล่อหมื่นกว่าล้าน.. ปัทโธ่..แล้ว “เทพประทาน” จะไม่ “รูปหล่อเสียงดี” ได้อย่างไร..พ่อเจ้าประคุณ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
ประหนึ่งสานภาคต่อประชาวิวัฒน์ อันมีคุณูปการไปถึงความเป็นรัฐบาลของ “เหล่าเทพประทาน” ในภายภาคหน้า.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” โชว์หุ่นสมาร์ตส่ายเอวเล่น “ฮูลาฮูบ” ทางเศรษฐกิจ สวิงงบประมาณแผ่นดินเพื่ออุดฟันหลออภิมหาโปรเจกต์ พร้อมทั้งยืนยันการันตี ต่อจากนี้ไปอีก 5 ปี งบประมาณประเทศไทย คืนสู่จุดสมดุลสุ่มเสี่ยงถังแตกหรือไม่..โปรยงบหา เสียงล่วงหน้าใช่หรือเปล่า..อานิสงส์ตกถึงประชาชนจริงเท็จประการใด..ต้องละไว้เพื่อรอการ พิสูจน์ทราบ???แต่วันนี้ที่พิสูจน์ทราบได้อย่างกระจ่างแจ้ง นั่นคือ “มหาประชานิยม” ที่ “เทพประทาน” ได้เริ่มทยอยปลุกเสกบริกรรมคาถาร่าย เวทย์ไปตั้งแต่ศกที่แล้ว ไฟฟ้าฟรี ประปาฟรี รถไฟฟรี รถเมล์ฟรี เรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ หลักประกันสุขภาพคนไทย 63 ล้านคน ค่าตอบ-แทน อสม. 976,343 คน ประกันรายได้เกษตรกร 4 ล้านราย 36,498 ล้านบาท การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ โฉนดชุมชน ปรับปรุงโรงเรียน 2,930 แห่ง ปรับปรุงถนน 900 สาย แก้ปัญหา มาบตาพุด ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยครอบครัวละ 5,000 บาท สินค้าเกษตรราคาพุ่งทะยานจากมาตรการประกันราคา ตัวเลขจีดีพีปี 2553 ขยายตัวอย่างน่าพึงพอใจ อัตราคน ว่างงานลดฮวบ ส่งออกบูม ท่องเที่ยวสูงเป็น
ประวัติการณ์ ดัชนีหุ้นแตะ 1 พันจุดเมื่อบวกรวมกับของขวัญ 9 ชิ้นรับปีกระต่าย ต้องยอมรับว่า ผลงานตลอด 2 ปี “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ต้องยอมรับว่ามันไม่ธรรมดา ยิ่งหากผ่านการพิสูจน์ทราบในระยะยาว กระทั่งตกผลึกได้จริง ยกมือท่วมหัวเทียบเคียง “อัศวินม้าขาว” ก็ไม่ปานขอรับ..“ท่านนายกฯ รูปหล่อ” กระนั้น ผลงานที่ได้ลำดับไล่เรียงมา ซึ่งถอดเนื้อหาจากการแถลงผลงาน 2 ปี และการปล่อยคาราวานประชาวิวัฒน์ของ “ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์” ในทางนามธรรมสามารถยืนยันการันตีได้ผ่านป้ายคัตเอาต์และสารพัดสื่อที่ช่วยโหมกระพือ จนผลงาน ต่างดูเหมือนจริงแม้ยังไปไม่ถึงปลายทาง
นัยหนึ่ง ประดุจอานิสงส์แห่งธงพีอาร์ประชาสัมพันธ์ช่วยโบกสะบัด ทั้งๆ ที่ในหลายโปรเจกต์ออกอาการบักโกรกจากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของนักวิชาการระดับหัวแถวอย่างตรงไปตรงมา.. แต่อย่างที่ระบุข้างต้น ประชาวิวัฒน์จะแท้หรือเทียม??? อนาคตเท่านั้นจะมีคำตอบ กระนั้นก็ตาม ด้วยสถานการณ์อันเป็นคุณต่อรัฐบาล ณ วันนี้ คงต้อง ยอมรับโดยดุษณี และยกความดีความชอบส่วนหนึ่งให้กับเซียน พีอาร์ผู้ใกล้ชิดนักการเมืองที่เข้า ไปขุดกรุสมบัติในสารพัดโครงการอันมีต้นทางมาจากงบชาติ
ถึงบรรทัดนี้ แล้วเหตุไฉนปัจจัยอันใดที่ทำให้งานประชาสัมพันธ์ของรัฐถึงเล็งผลเลิศได้ ถึงเพียงนี้???“โต๊ะข่าวการเมือง” สืบสาวราวเรื่องถอดรหัสงบพีอาร์ใน 19 กระทรวงบวก 1 สำนักนายกฯ ที่แตกแยก ย่อยออก เป็น 255 กรม กอง และสำนักงาน เฟ้นเฉพาะ กรม กอง สำนักงาน ใน สเปกเกรดเอ คัดแบบเนื้อๆ แค่ 100 กรม กอง ว่ากันว่างบพีอาร์แต่ละแห่งก็ปาเข้า ไปเฉียดๆ 100 ล้านบาทเข้าไปแล้วหากนับรวมกับงบพีอาร์โดยตรงของกระทรวงที่ขึ้นกับสำนักปลัดฯ ทั้ง 20 แห่ง ที่เผอิญนับรวมงบประมาณทั้งหมดเป็นตัวเลขกลมๆ 1.4 แสนล้านบาท และเมื่อถอดสมการค่าประชาสัมพันธ์ จากเค้กก้อนดังกล่าวแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ คุณพระช่วย ตัวเลขดีดสูงถึงปีละ 7 พันล้าน!!! ดีดลูกคิดรางแก้ว เคาะรวมตัวเลข งบพีอาร์ทั้งหมดทั้งมวลอันมีมูลค่าเพียงน้อยนิดมหาศาล แค่งบสร้างภาพเสริมหล่อหมื่นกว่าล้าน.. ปัทโธ่..แล้ว “เทพประทาน” จะไม่ “รูปหล่อเสียงดี” ได้อย่างไร..พ่อเจ้าประคุณ!!!
ที่มา.สยามธุรกิจ
-----------------------------------------------------------------
ม๊อบเสียง ยังปักหลักสุวรรณภูมิ ทวงสัญญาค่าชดเชย
คืบหน้าม๊อบเสียงบุกสุวรรณภูมิทวงสัญญาค่าชดเชยช่วงค่ำที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมได้ส่งตัวแทนจำนวน 10 คน เข้าเจรจากับตัวแทนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประกอบด้วยนายสมชัย สวัสดิผล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด มหาชน หรือ ทอท . ว่าที่ รท.อนิรุทธิ์ ถนอมกุลบุตร ผู้อำนวยการ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทอท.พร้อมด้วยบอร์ด ของ ทอท.อีกหลายคน
นายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ แกนนำผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หนึ่งในตัวแทน ได้ยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 7 ข้อ ประกอบด้วย1. ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังผ่านมติการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นผลกระทบด้านเสียงเส้นเสียงฤดูหนาว โดยไม่มีเงื่อนไข 2.ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมในฐานะกำกับดูแล ทอท. 2.1 เร่งจ่ายค่าชดเชยผู้ที่รับราคาแล้วและเร่งแจกซองประเมิลราคาทันที 2.2 เร่งประเมิลราคาทุกพื้นที่ แต่ละชุมชนได้รับผลกระทบ 2.3 จ่ายค่าชดเชยเสียหายด้านจิตใจหลังละ100,000 บาท เช่นเดียวกับกรณีซื้อขาย 2.4 ลดขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์เพื่อให้การจ่ายชดเชยเร็วขึ้น (กำหนดภายใน30 วัน
3. ขอให้ ทอท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 29 พ.ค.50 ให้ครบถ้วน (ค่าการตลาด) 4. ขอให้รัฐบาลพิจรณาจ่ายชดเชยผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์สร้างบ้านในที่สาธารณะ เนื่องจากได้รับผลกระทบ เช่นกัน 5.ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนงาน(เฟส1) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 6. ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบ 6.1 ผู้ที่ได้รับผลกระทบพื้นที่ NEF 35-40 และ NEF 30- 35 ต้องการขาย 6.2 ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ หลังปี 2544-2549 7.ขอให้เร่งรัดการจัดตั้งกองทุนชดเชยและกองทุนสุขภาพ เสร็จภายใน6 เดือน 8.ขอคัดค้านการขยายโครงการเฟส2 จนกว่าการแก้ไขปัญหาเฟส1 แล้วเสร็จ
กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ตัวแทนชาวบ้านได้นำข้อสรุปของที่ประชุมมาแจ้งให้ชาวบ้านที่ชุมนุมทราบ แต่ชาวบ้านยังไม่พอใจในผลการประชุม และยืนยันจะปักหลักชุมนุมจนกว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
ที่มา.เนชั่น
นายวันชาติ มานะธรรมสมบัติ แกนนำผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านเสียงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หนึ่งในตัวแทน ได้ยื่นข้อเรียกร้อง จำนวน 7 ข้อ ประกอบด้วย1. ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงการคลังผ่านมติการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นผลกระทบด้านเสียงเส้นเสียงฤดูหนาว โดยไม่มีเงื่อนไข 2.ขอให้รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมในฐานะกำกับดูแล ทอท. 2.1 เร่งจ่ายค่าชดเชยผู้ที่รับราคาแล้วและเร่งแจกซองประเมิลราคาทันที 2.2 เร่งประเมิลราคาทุกพื้นที่ แต่ละชุมชนได้รับผลกระทบ 2.3 จ่ายค่าชดเชยเสียหายด้านจิตใจหลังละ100,000 บาท เช่นเดียวกับกรณีซื้อขาย 2.4 ลดขั้นตอนเกี่ยวกับเอกสารสิทธิ์เพื่อให้การจ่ายชดเชยเร็วขึ้น (กำหนดภายใน30 วัน
3. ขอให้ ทอท.ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี 29 พ.ค.50 ให้ครบถ้วน (ค่าการตลาด) 4. ขอให้รัฐบาลพิจรณาจ่ายชดเชยผู้ที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์สร้างบ้านในที่สาธารณะ เนื่องจากได้รับผลกระทบ เช่นกัน 5.ขอให้รัฐบาลแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาเร่งรัดให้เป็นไปตามแผนงาน(เฟส1) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว 6. ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบ 6.1 ผู้ที่ได้รับผลกระทบพื้นที่ NEF 35-40 และ NEF 30- 35 ต้องการขาย 6.2 ผู้ถือครองกรรมสิทธิ์ หลังปี 2544-2549 7.ขอให้เร่งรัดการจัดตั้งกองทุนชดเชยและกองทุนสุขภาพ เสร็จภายใน6 เดือน 8.ขอคัดค้านการขยายโครงการเฟส2 จนกว่าการแก้ไขปัญหาเฟส1 แล้วเสร็จ
กระทั่งเวลาเที่ยงคืน ตัวแทนชาวบ้านได้นำข้อสรุปของที่ประชุมมาแจ้งให้ชาวบ้านที่ชุมนุมทราบ แต่ชาวบ้านยังไม่พอใจในผลการประชุม และยืนยันจะปักหลักชุมนุมจนกว่าจะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
ที่มา.เนชั่น
"มาร์ค"เละ
พลาดพลั้งทำให้ชาติเสียหาย แต่ก็แปลกใจว่าทำไมยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้
ไม่เข้าใจจริงๆ กับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ปัญหา 7 คนไทยที่ยังคาราคาซังอยู่ตอนนี้
เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของนายอภิสิทธิ์ เสียเหลี่ยมคูให้นายกฯฮุนเซนของเขมรไปพอสมควร
เดินหมากผิด คิดเอาใจม็อบเหลือง
ส่งส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ ทะเล่อทะล่าข้ามแดนเข้าไปจนโดนจับ
ตอนแรกคงหวังปลุกกระแสคลั่งชาติย้อนยุค
แต่ปลุกไม่ขึ้น เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย
หรืออาจเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ต้องการให้กรณีที่คนไทยทั้ง 7 โดนจับกุม
จะนำไปสู่การเจรจาปัญหาเขตแดนไทย-เขมรให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
หวังเป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล
แต่มันไม่ได้เป็นไปตามเกมที่วางไว้
เพราะดันมีหลักฐานคลิปวิดีโอโจ๋งครึ่ม
เขมรเลยรู้หมดใครบงการ ใครสั่งการ ใครอยู่เบื้องหลัง
ก่อนปล่อยคลิปฟ้องสายตาชาวโลกไปแล้ว
แผนการที่วางไว้เลยพังไม่เป็นท่า
จะแก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น ทำได้แค่อ้ำๆ อึ้งๆ
สุดท้ายก็ต้องเจรจาพัลวันให้เขมรปล่อยคนไทยทั้ง 7
ฝ่ายเขมรก็ได้ทีขี่แพะไล่ ทยอยให้ประกันทีละชุด
ชุดแรก 2 คน ชุดหลังอีก 4 คน
แต่ขังเดี่ยวนายวีระ สมความคิด ไว้ในเรือนจำต่อ
ทำเอานายอภิสิทธิ์เจอศึกสองด้าน แก้ปัญหาทั้งในทั้งนอกประเทศ
ม็อบคนไทยหัวใจรักชาติเปิดฉากขย่มซ้ำหนักเข้าไปอีก
โจมตีหนักหน่วงว่าขายชาติ
วิ่งเต้นช่วยคนของตัวเองเท่านั้น !?
นี่ยังไม่รวมศึกเสื้อแดงที่ยังคาราคาซังอยู่เช่นกัน
ปัญหา 200 คนไทยใจสีแดงที่ยังโดนขังในเรือนจำก็รุมเร้าอยู่ไม่หยุดหย่อน
แถมส่อแววว่าจะโดนนปช.ยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศข้อหาสลายม็อบแดง 91 ศพ
บอกได้อย่างเดียวว่ายังไม่รู้ลูกผีลูกคน !?
แต่นายอภิสิทธิ์ซะอย่าง นายกฯมีเส้น
ลอยหน้าลอยตา ก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ไปได้หน้าตาเฉย
แบบเดียวกับที่ทำกับม็อบแดง ไม่เคยรับผิดชอบกรณี 91 ศพ
แต่นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าความผิดพลาดกรณีแผนส่งส.ส.พนิชไปเขมรถือว่าร้ายแรงในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
การเจรจาให้กัมพูชาปล่อยตัวแบบฟรีๆ คงไม่มีหรอก
ไม่รู้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรให้ฮุนเซนอีกเท่าไหร่
งานนี้บอกได้อย่างเดียวว่า "เข้าเนื้อ" !?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
ไม่เข้าใจจริงๆ กับพฤติกรรมของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ปัญหา 7 คนไทยที่ยังคาราคาซังอยู่ตอนนี้
เป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยภายใต้การบริหารของนายอภิสิทธิ์ เสียเหลี่ยมคูให้นายกฯฮุนเซนของเขมรไปพอสมควร
เดินหมากผิด คิดเอาใจม็อบเหลือง
ส่งส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ ทะเล่อทะล่าข้ามแดนเข้าไปจนโดนจับ
ตอนแรกคงหวังปลุกกระแสคลั่งชาติย้อนยุค
แต่ปลุกไม่ขึ้น เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย
หรืออาจเป็นเพราะนายอภิสิทธิ์ต้องการให้กรณีที่คนไทยทั้ง 7 โดนจับกุม
จะนำไปสู่การเจรจาปัญหาเขตแดนไทย-เขมรให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
หวังเป็นผลงานโบแดงของรัฐบาล
แต่มันไม่ได้เป็นไปตามเกมที่วางไว้
เพราะดันมีหลักฐานคลิปวิดีโอโจ๋งครึ่ม
เขมรเลยรู้หมดใครบงการ ใครสั่งการ ใครอยู่เบื้องหลัง
ก่อนปล่อยคลิปฟ้องสายตาชาวโลกไปแล้ว
แผนการที่วางไว้เลยพังไม่เป็นท่า
จะแก้ตัวยังไงก็ไม่ขึ้น ทำได้แค่อ้ำๆ อึ้งๆ
สุดท้ายก็ต้องเจรจาพัลวันให้เขมรปล่อยคนไทยทั้ง 7
ฝ่ายเขมรก็ได้ทีขี่แพะไล่ ทยอยให้ประกันทีละชุด
ชุดแรก 2 คน ชุดหลังอีก 4 คน
แต่ขังเดี่ยวนายวีระ สมความคิด ไว้ในเรือนจำต่อ
ทำเอานายอภิสิทธิ์เจอศึกสองด้าน แก้ปัญหาทั้งในทั้งนอกประเทศ
ม็อบคนไทยหัวใจรักชาติเปิดฉากขย่มซ้ำหนักเข้าไปอีก
โจมตีหนักหน่วงว่าขายชาติ
วิ่งเต้นช่วยคนของตัวเองเท่านั้น !?
นี่ยังไม่รวมศึกเสื้อแดงที่ยังคาราคาซังอยู่เช่นกัน
ปัญหา 200 คนไทยใจสีแดงที่ยังโดนขังในเรือนจำก็รุมเร้าอยู่ไม่หยุดหย่อน
แถมส่อแววว่าจะโดนนปช.ยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศข้อหาสลายม็อบแดง 91 ศพ
บอกได้อย่างเดียวว่ายังไม่รู้ลูกผีลูกคน !?
แต่นายอภิสิทธิ์ซะอย่าง นายกฯมีเส้น
ลอยหน้าลอยตา ก้าวข้ามปัญหาต่างๆ ไปได้หน้าตาเฉย
แบบเดียวกับที่ทำกับม็อบแดง ไม่เคยรับผิดชอบกรณี 91 ศพ
แต่นายอภิสิทธิ์ต้องไม่ลืมว่าความผิดพลาดกรณีแผนส่งส.ส.พนิชไปเขมรถือว่าร้ายแรงในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ
การเจรจาให้กัมพูชาปล่อยตัวแบบฟรีๆ คงไม่มีหรอก
ไม่รู้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรให้ฮุนเซนอีกเท่าไหร่
งานนี้บอกได้อย่างเดียวว่า "เข้าเนื้อ" !?
ที่มา.ข่าวสดรายวัน คอลัมน์ เหล็กใน
วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554
เส้นบางๆ ระหว่างฮีโร่กับคนหน้าโง่
ป.โนปิตะ
ความเสื่อมทรุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชา เคยมีปัญหาถึงขั้นลดความ สัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว แม้ภายหลังจะมีการฟื้นฟูปรับระดับความสัมพันธ์กันบ้าง แต่อาการเขม็งเกลียวในปัญหาปราสาทเขาพระวิหารยังเป็นสาเหตุสำคัญในการสร้างความเผ็ดร้อนด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นอกจากเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว มิอาจปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาการเมืองทั้งในระดับระหว่างประเทศ และปัญหาการเมืองในประเทศไทยเอง กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ หยิบฉวยสถานการณ์ช่วงชิงความได้เปรียบของฝ่ายตนอย่างไม่นึกถึงแยแสใคร ไม่อายที่จะถูกตราหน้าว่าเชย เพราะในโลกสมัยใหม่การสร้างค่านิยมประเภท "ชาตินิยม" ถือว่าเป็นมนุษย์ตกโลก
สังคมโลกทุกวันนี้ เขามุ่งไปที่ความเป็นภูมิภาคนิยม ประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกา ที่เขาเคยสู้รบตบมือกันมาก่อน ดูเดี๋ยวนี้เขางัดเครื่องมือ Negotiation หรือการเจรจามาผ่อนคลายความตรึงเครียด มาใช้ระงับข้อพิพาทเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขณะเดียวกันผู้นำของเขามักเร่งหามาตรการและวิธีเจรจาเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ของชาติ ให้ฝ่ายตนเสียประโยชน์น้อยที่สุด โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พึงพอใจด้วย
ทุกวันนี้ พาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เสนอข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จนแทบน่าเบื่อ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ดูเหมือนจะตั้งรับตั้งสู้ เหมือนไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการทูตมาแก้ไขปัญหาหรือสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ผู้นำประเทศควรสะสมไมตรีจิตระหว่างประเทศ มีแนวคิดเห็นอกเห็นใจถ้อยทีถ้อยอาศัย ไมตรีจิตจะสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้ไทยมีจุดยืน ไม่เป็นตัวตลกในภูมิภาคนี้ ทั้งจะยังสามารถเชื่อมประสานให้ประเทศในภูมิอาเซียนนี้กลมเกลียวกลายเป็น "ภูมิภาคนิยม" สร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนยกระดับไปสู้กับกระแสโลก
ตั้งแต่คนไทย 7 คนรุกล้ำแดนกัมพูชาและถูกจับตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 มาจนถึงวันนี้ แม้ขณะนี้จะได้การรับประกันตัวกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงคุณวีระ สมความคิด ที่ศาลาอุทธรณ์กัมพูชายังไม่ให้ประกันตัว โดยชี้แจงเหตุผลว่าต้องข้อกล่าวหาประมวลข่าวสารที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ และเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย
ก่อนหน้านี้มีคลิปคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนายวีระ สมความคิด พร้อมพวก คนไทย 7 คน ที่ข้ามชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยในคลิปคุณพนิชข้ามแดนไทย เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 46 บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ระหว่างนั้นคุณพนิช ได้คุยโทรศัพท์แจ้งให้คนที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าตนเองกำลังเดินข้ามแดนก่อนที่จะโดนทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป
คลิปนี้ ยังไม่มีชี้แจงจากคนไทยทั้ง 7 และคนที่คุณพนิชกำชับว่า ให้ "รู้คนเดียว" ?
บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงกัมพูชาจับ 7 คนไทย คือคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงว่าการอุตสาหกรรม คุณไชยวัฒน์ และคุณสมบูรณ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกตำรวจจับกุมที่บริเวณห้างโลตัส สาขาถนนพระรามที่ 1 ก่อนการจับกุมตัวคุณไชยวัฒน์ครั้งนี้ คุณไชยวัฒน์กับเครือข่ายได้ถือตะเกียงนำรายชื่อประชาชนราว 82,000 รายชื่อ พร้อมพาผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเคลื่อนขบวนมุ่งหน้า สู่พระบรมมหาราชวังเพื่อยื่นถวายฎีกากรณีกล่าวหารัฐบาลสมคบกับรัฐบาลต่างชาติอันเป็นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดน
หลังการยื่นถวายฎีกาคุณไชยวัฒน์ประกาศจะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมอบตัว เนื่องจากมีหมายจับในข้อหาร่วมกันชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และหน้าสนามบินดอนเมือง เมื่อครั้งชุมนุมขับไล่คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหมายจับเก่า แต่โดนตลบหลังจับกุมเสียก่อน
ภาพการจับกุมคุณไชยวัฒน์ โดยมีตำรวจสี่-ห้านายอุ้มจับบริเวณรักแร้ เท้า และหลัง หรืออาจเรียกได้ว่าหามออกจากร้านสุกี้ขึ้นรถไปสถานีตำรวจ แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ไล่เลี่ยกับภาพที่คุณวีระ เดินออกจากห้องพิจารณาศาลอุทธรณ์ ณ กรุงพนมเปญ ในวันเดียวกันคือวันที่ 18 มกราคม 2553
ภาพคุณไชยวัฒน์ถูกตำรวจหามขึ้นรถ กับภาพคุณวีระ แสดงอารมณ์ ฉุนเฉียว พร้อมตะโกนบอกว่า "ผมไม่ได้ประกันคนเดียว" และยืนยันว่า "ผมจะสู้กับมันจนถึงที่สุด" นี่คือคำพูดคุณวีระตะโกนบอกนักข่าวก่อนถูกส่งกลับเรือนจำเปรย์ซอว์" ภาพของบุคคลทั้งสองถูกแพร่ภาพในวันเดียวกัน และในเวลาไล่เลี่ยกัน
ประเทศไทยเคยมีสถานะและภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ ทุกฝ่ายกำลังเร่งสร้างการยอมรับจากนานาอารยประเทศ เราทุกคนควรสร้างความสัมพันธ์และสะสมไมตรีจิตกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่คนไทยทั้ง 7 ท่านนำโดยคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อาสาไปปฏิบัติภารกิจจนถูกจับในเขตชายแดน แล้วต้องตกหลุมแห่งความอับอาย ถูกสมเด็จฮุน เซน สั่นสอนแทบทุกวัน รวมถึงภาพเหตุการณ์ในประเทศ คนที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีของไทยเป็นแกนนำปราศรัยประกาศเฮ้ว เฮ้ว ต้องการให้ไทยปิดชายแดนกัมพูชา โดยสร้างความเชื่อให้เข้าใจว่าประเทศไทยเราเหนือกว่ากัมพูชาทุกด้าน กองทัพเข้มแข็ง เศรษฐกิจรุดหน้า การเมืองมั่นคง กฎหมายมีมาตรฐาน หากไทยปิดชายแดนแล้วกัมพูชาจะอดตาย
ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเหล่านี้ สมควรยกย่องหรือเรียกขานว่ากระไรดี...
ที่มา.ประชาไท
___________________________________________________________
ความเสื่อมทรุดด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชา เคยมีปัญหาถึงขั้นลดความ สัมพันธ์ทางการทูตมาแล้ว แม้ภายหลังจะมีการฟื้นฟูปรับระดับความสัมพันธ์กันบ้าง แต่อาการเขม็งเกลียวในปัญหาปราสาทเขาพระวิหารยังเป็นสาเหตุสำคัญในการสร้างความเผ็ดร้อนด้านความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน
ปัญหาเขตแดนไทย-กัมพูชา นอกจากเป็นปัญหาด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว มิอาจปฏิเสธได้ว่า ขณะนี้ได้กลายเป็นปัญหาการเมืองทั้งในระดับระหว่างประเทศ และปัญหาการเมืองในประเทศไทยเอง กลุ่มก้อนการเมืองต่างๆ หยิบฉวยสถานการณ์ช่วงชิงความได้เปรียบของฝ่ายตนอย่างไม่นึกถึงแยแสใคร ไม่อายที่จะถูกตราหน้าว่าเชย เพราะในโลกสมัยใหม่การสร้างค่านิยมประเภท "ชาตินิยม" ถือว่าเป็นมนุษย์ตกโลก
สังคมโลกทุกวันนี้ เขามุ่งไปที่ความเป็นภูมิภาคนิยม ประเทศแถบยุโรป หรืออเมริกา ที่เขาเคยสู้รบตบมือกันมาก่อน ดูเดี๋ยวนี้เขางัดเครื่องมือ Negotiation หรือการเจรจามาผ่อนคลายความตรึงเครียด มาใช้ระงับข้อพิพาทเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสันติ ขณะเดียวกันผู้นำของเขามักเร่งหามาตรการและวิธีเจรจาเพื่อเสริมสร้างผลประโยชน์ของชาติ ให้ฝ่ายตนเสียประโยชน์น้อยที่สุด โดยที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พึงพอใจด้วย
ทุกวันนี้ พาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เสนอข่าวความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา จนแทบน่าเบื่อ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ดูเหมือนจะตั้งรับตั้งสู้ เหมือนไม่ได้ใช้เครื่องมือทางการทูตมาแก้ไขปัญหาหรือสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อกัน
ผู้นำประเทศควรสะสมไมตรีจิตระหว่างประเทศ มีแนวคิดเห็นอกเห็นใจถ้อยทีถ้อยอาศัย ไมตรีจิตจะสร้างความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ทำให้ไทยมีจุดยืน ไม่เป็นตัวตลกในภูมิภาคนี้ ทั้งจะยังสามารถเชื่อมประสานให้ประเทศในภูมิอาเซียนนี้กลมเกลียวกลายเป็น "ภูมิภาคนิยม" สร้างความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อขับเคลื่อนยกระดับไปสู้กับกระแสโลก
ตั้งแต่คนไทย 7 คนรุกล้ำแดนกัมพูชาและถูกจับตัวเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2553 มาจนถึงวันนี้ แม้ขณะนี้จะได้การรับประกันตัวกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงคุณวีระ สมความคิด ที่ศาลาอุทธรณ์กัมพูชายังไม่ให้ประกันตัว โดยชี้แจงเหตุผลว่าต้องข้อกล่าวหาประมวลข่าวสารที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของประเทศ และเกรงเรื่องความไม่ปลอดภัย
ก่อนหน้านี้มีคลิปคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และนายวีระ สมความคิด พร้อมพวก คนไทย 7 คน ที่ข้ามชายแดน ไทย-กัมพูชา โดยในคลิปคุณพนิชข้ามแดนไทย เดินทางเข้าไปยังชายแดนไทย-กัมพูชา หลักเขตที่ 46 บ้านหนองจาน อ.โคกสูง จ.สระแก้ว ระหว่างนั้นคุณพนิช ได้คุยโทรศัพท์แจ้งให้คนที่เชื่อกันว่าเป็นผู้ใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะว่าตนเองกำลังเดินข้ามแดนก่อนที่จะโดนทหารกัมพูชาจับกุมตัวไป
คลิปนี้ ยังไม่มีชี้แจงจากคนไทยทั้ง 7 และคนที่คุณพนิชกำชับว่า ให้ "รู้คนเดียว" ?
บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่ง ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงกัมพูชาจับ 7 คนไทย คือคุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงว่าการอุตสาหกรรม คุณไชยวัฒน์ และคุณสมบูรณ์ แกนนำกลุ่มเครือข่ายประชาชนไทยหัวใจรักชาติ ถูกตำรวจจับกุมที่บริเวณห้างโลตัส สาขาถนนพระรามที่ 1 ก่อนการจับกุมตัวคุณไชยวัฒน์ครั้งนี้ คุณไชยวัฒน์กับเครือข่ายได้ถือตะเกียงนำรายชื่อประชาชนราว 82,000 รายชื่อ พร้อมพาผู้ชุมนุมที่บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาลเคลื่อนขบวนมุ่งหน้า สู่พระบรมมหาราชวังเพื่อยื่นถวายฎีกากรณีกล่าวหารัฐบาลสมคบกับรัฐบาลต่างชาติอันเป็นเหตุทำให้ไทยเสียดินแดน
หลังการยื่นถวายฎีกาคุณไชยวัฒน์ประกาศจะเดินทางไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อมอบตัว เนื่องจากมีหมายจับในข้อหาร่วมกันชุมนุมหน้าสนามบินสุวรรณภูมิ และหน้าสนามบินดอนเมือง เมื่อครั้งชุมนุมขับไล่คุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามหมายจับเก่า แต่โดนตลบหลังจับกุมเสียก่อน
ภาพการจับกุมคุณไชยวัฒน์ โดยมีตำรวจสี่-ห้านายอุ้มจับบริเวณรักแร้ เท้า และหลัง หรืออาจเรียกได้ว่าหามออกจากร้านสุกี้ขึ้นรถไปสถานีตำรวจ แพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ไล่เลี่ยกับภาพที่คุณวีระ เดินออกจากห้องพิจารณาศาลอุทธรณ์ ณ กรุงพนมเปญ ในวันเดียวกันคือวันที่ 18 มกราคม 2553
ภาพคุณไชยวัฒน์ถูกตำรวจหามขึ้นรถ กับภาพคุณวีระ แสดงอารมณ์ ฉุนเฉียว พร้อมตะโกนบอกว่า "ผมไม่ได้ประกันคนเดียว" และยืนยันว่า "ผมจะสู้กับมันจนถึงที่สุด" นี่คือคำพูดคุณวีระตะโกนบอกนักข่าวก่อนถูกส่งกลับเรือนจำเปรย์ซอว์" ภาพของบุคคลทั้งสองถูกแพร่ภาพในวันเดียวกัน และในเวลาไล่เลี่ยกัน
ประเทศไทยเคยมีสถานะและภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีระหว่างประเทศ ทุกฝ่ายกำลังเร่งสร้างการยอมรับจากนานาอารยประเทศ เราทุกคนควรสร้างความสัมพันธ์และสะสมไมตรีจิตกับประเทศเพื่อนบ้าน
ในสถานการณ์เช่นนี้ การที่คนไทยทั้ง 7 ท่านนำโดยคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่อาสาไปปฏิบัติภารกิจจนถูกจับในเขตชายแดน แล้วต้องตกหลุมแห่งความอับอาย ถูกสมเด็จฮุน เซน สั่นสอนแทบทุกวัน รวมถึงภาพเหตุการณ์ในประเทศ คนที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีของไทยเป็นแกนนำปราศรัยประกาศเฮ้ว เฮ้ว ต้องการให้ไทยปิดชายแดนกัมพูชา โดยสร้างความเชื่อให้เข้าใจว่าประเทศไทยเราเหนือกว่ากัมพูชาทุกด้าน กองทัพเข้มแข็ง เศรษฐกิจรุดหน้า การเมืองมั่นคง กฎหมายมีมาตรฐาน หากไทยปิดชายแดนแล้วกัมพูชาจะอดตาย
ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านเหล่านี้ สมควรยกย่องหรือเรียกขานว่ากระไรดี...
ที่มา.ประชาไท
___________________________________________________________
เกร็ดเรื่อง วันกองทัพไทย และ สู่อนาคต “ทหารไทยนี้รักสงบ”
โดย:อรรคพล สาตุ้ม
เนื่องจากวันกองทัพไทย [*] นั้นมีความสลับซับซ้อนกับความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ไม่น้อย จากวันที่ 28 กรกฎาคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ชัยชนะในสงครามอินโดจีน [1] และต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นวันที่ 25 มกราคม ที่เชื่อมโยงกับวันยุทธหัตถีของพระนเรศวร ต่อมาในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2502 กระทรวงกลาโหมเห็นสมควรรวมวันที่ระลึกถึงกองทัพบก,กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มาเป็นวันเดียวกัน คือ วันที่ระลึกกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 8 เมษายน และให้เรียกว่า “วันกองทัพไทย”
จนกระทั่งต่อมาก็กลับมาใช้วันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยอีกครั้งในสมัยพลเอกเปรม จากนั้นสมัยของรัฐบาลทักษิณ ก็มาเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 18 มกราคม ผู้เขียนเห็นว่า การเมืองทำหน้าที่เชื่อมโยงวีรกรรมของพระนเรศวรในอดีตนั้นเอง แตกต่างจากวีรกรรมของชนชั้น ในคนธรรมดา สามัญ ซึ่งเราสามารถเข้าใจประเด็นชนชั้นจากวันดังกล่าว มาสู่ประเด็นทางการเมืองช่วง เปลี่ยนผ่านโครงสร้าง ความเชื่อ อุดมการณ์ ลัทธิทหารนิยม และสภาพแวดล้อมของกองทัพ ที่เหมือนมีบ้าน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วทหารเป็นคนดูแลรั้วบ้าน
ก่อนและหลัง 24 มิถุนา 2475 ถึงกองทัพภายใต้อิทธิพลอเมริกา
ยุคสมัยที่ทหารเปลี่ยนรากฐานจากการเป็นกองทัพของราชา จากเมื่อก่อนใช้โครงสร้างกองทัพจากอินเดียตามความเชื่อและอุดมการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนมาเป็นแบบยุโรป ในสมัย ร.5 สู่การปรับโครงสร้างของกองทัพเป็นแบบอเมริกาหลัง 2475 ในสมัยการสร้างชาติ และกองทัพ ของจอมพล ป. โดยปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นนับตั้งแต่การเมืองหลังปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ได้เปลี่ยนวันกองทัพดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งกองทัพพยายามทำการปรับเปลี่ยนจากระบบโครงสร้างตามอเมริกา ภายใต้การต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ สมัยรัฐบาลทหารในช่วงปี2514-19 จนกระทั่งช่วงที่มีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา คือ มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (27 สิงหาคม พ.ศ. 2519-23 กันยายน พ.ศ. 2519) โดยพลเรือนคนแรกที่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมกองทัพได้
ต่อมา คือยุคสมัย 6 ตุลา ที่มีการสร้างวาทกรรม ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป สร้างอุดมการณ์รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มข้น มีการปลุกระดมให้เกิดการฆ่า “คนอื่น” (เป็นญวน หรือเวียดนาม) ในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา ซึ่งรัฐทหาร ฆ่าคนไม่ใช่ประชาชนไทย จนกระทั่ง การเปลี่ยนผ่านมาสู่ช่วงสมัย หลังพลเอก เปรม เป็นนายก ก็มาถึงยุคของชาติชาย ซึ่งแสดงความสามารถผ่านแบรนด์ที่ว่าสามารถควบคุมกองทัพได้ หลังจากผ่านช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ และเราได้นายกฯ จากการเลือกตั้ง ซึ่งสมัยนั้น พล.อ.ชวลิต เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่มีการปฏิวัติ หรือ รัฐประหารขึ้นมา และชวลิต ก็แสดงออกถึงความเป็นทหารอาชีพ และลดบทบาทกองทัพจำกัด ภายใต้กรอบประชาธิปไตย
ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกองทัพก่อนและหลังพฤษภา 2535
ภายใต้การนำของนายกชาติชาย ที่ชูนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่สอดคล้องกับการพยายามดึงทหารกลับกรมกอง เพื่อให้ทหารเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งกับการปฏิวัติและรัฐประหาร ซึ่งนโยบายดังกล่าว เกี่ยวโยงกองทัพ และการปรับตัวภายใต้เศรษฐกิจโลกและไทย ความพยายามจะเป็นนิกส์ เป็นเสือตัวที่ 5 ภายใต้โมเดลนิกส์ เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ เป็นโมเดลหรือตัวแบบของการพัฒนา เศรษฐกิจ ในช่วงเวลานั้น กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองก็เคยเชิญพวกพันศักดิ์ และไกรศักดิ์ มาวิเคราะห์เศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็มีประเด็นถกเถียงเรื่องโมเดลดังกล่าว ซึ่งน่าสังเกตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมนั้น จะต้องไม่มีทหารมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นดังที่วาดฝันไว้เมื่อเกิดการรัฐประหาร รสช. ในกาลต่อมา
จากช่วงเหตุการณ์ก่อนพฤษภา 2535 ที่พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องประชาธิปไตยและหาเสียงลดอำนาจทหาร เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรม และให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ต่อมาไทยก็ได้รับบทเรียนจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองในช่วงพฤษภาปี 2535 ซึ่งในตอนนั้นไม่อาจสามารถอ้างว่าฆ่าคนญวนได้อีกต่อไป เพราะเราก็รู้ว่าในโลกหลังสงครามเย็นทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดจีน ซึ่งเราได้เคยเรียนรู้มาจากประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้เรารู้ว่า ชนชั้นกลาง และแรงงาน ต่างๆนานา รับไม่ได้กับการย้อนกลับสู่ระบบอำนาจนิยมโดยทหาร ทำให้เผด็จการครองประเทศอีกต่อไป
จากนั้นเริ่มมีไอเดียนำเสนอปฏิรูปกองทัพ เช่น แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว [2] โดยชวลิต สมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้มีความซับซ้อนทางการเมืองจากฝ่ายกองทัพเกี่ยวพันพลเอกเปรม มาเป็นฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ทั้งนี้ไอเดียของชวลิตบางด้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะแนวคิดการลดขนาดกองทัพ ลดงบประมาณ และงดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลของชูมากเกอร์ และความน่าสนใจของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธด้วย ในลักษณะของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ คือไม่ได้เน้นความรุนแรง ซึ่งตรรกะไม่เน้นความรุนแรง ก็ย่อมไม่สนับสนุนการซื้ออาวุธ สำหรับประหารคน และเรือรบ ก็ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั่นเอง
แม้ว่าการปรับโครงสร้างของกองทัพจะยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยเราอาจจะเห็นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลชวลิต ซึ่งเกิดการเติบโตทางพัฒนาเศรษฐกิจเรื่อยมาจากยุคชาติชาย ที่ไทยไม่น่าจะย้อนกลับไปสู่ระบบเผด็จการ จากเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มีทหารแทรกแซง จนกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2539 และการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 รวมทั้งแนวคิดกระจายอำนาจ อบต.ต่างๆ ซึ่งรอยต่อ ทางการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุคโลกาภิวัตน์ กำลังเข้ามา ในการแก้ไขเรื่องที่ดิน ความยากจน และประชาธิปไตย โดยวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้กองทัพต้องปรับลดงบประมาณของกองทัพ ตามวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และกองทัพ ก็เป็นปัญหาของการจัดการงบประมาณของประเทศ ทั้งกรณีทหารกับหุ้นของทีวี ททบ.5 ที่ดิน ทำสนามกอลฟ์ และธนาคาร ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ทหารมากกว่าประชาชนทั่วไป
ผู้เขียนใช้ข้อมูลยกตัวอย่างง่ายๆ ในโครงการเออร์ลี่รีไทร์ จากนายพลจำนวนนับพันคน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเข้าโครงการ เมื่อนโยบาย เพื่อรีดไขมันล้มเหลวต่อเนื่องเรื่อยมา กองทัพต่างๆ ก็ไม่สามารถนำส่วนที่ปรับลดได้จากงบฯบุคลากรไปโปะในงบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพ โดยปีไหนภาวะเศรษฐกิจดี หรือปีไหนกองทัพมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมือง งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพจึงอู้ฟู่ตามปกติ อยากจัดซื้อจัดหาอย่างไรก็ง่ายดาย แต่เมื่อปีไหนเศรษฐกิจฝืดเคือง ไปจนถึงขั้นวิกฤต ถึงกองทัพจะมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพอู้ฟู่เหมือนเดิม [3]
รัฐประหารโดยกองทัพ นำมาสู่อิทธิพลของทหาร และความเชื่อต่ออนาคต
การเมืองไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีความพยายามการปรับโครงสร้างกองทัพ ซึ่งทหาร เป็นเครือญาติของทักษิณ คือ ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ดำรงตำแหน่งทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สูงสุด รวมทั้งไอเดียการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพเพื่อทันสมัย และดับไฟใต้ กรณีการตั้งสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผบ.ทบ.เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้ต่อจากประวิตร (ปัจจุบันเป็น รมต.กลาโหม) แล้วเหตุการณ์ก็พลิกกลับ เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่เกิดขึ้นหลังการปั่นกระแสของสนธิ ลิ้มทองกุล มวลชนประชาชนของพันธมิตร ทำให้รัฐบาลของทักษิณล้มลง
มาถึงในสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีการลุกฮือขึ้นของมวลชนเสื้อแดง เริ่มมีการตรวจสอบกองทัพอีกครั้งทั้งจากฝ่ายคนเสื้อแดงในกรณีต่างๆ เช่น การอนุมัติงบประมาณทหารจำนวนมาก และกรณีที่มีประเด็นคอรัปชั่นเชิงนโยบาย หรือข้อโต้แย้งเรื่อง ซื้ออุปกรณ์ไม่มีคุณภาพ (จีที 200) เป็นต้น
รวมถึงการต่อสู้ทางสภา ของนักการเมืองฝั่งพรรคเพื่อไทย เช่น มีการเรียกร้องปรับลดงบประมาณในกระทรวงกลาโหมจำนวน 170,285,022,900 ล้านบาท โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอปรับลดร้อยละ 10 จากงบทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นงบประมาณที่มากเกินไปทั้งที่สังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่เน้นเรื่องการทำสงครามการค้า นี่เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งมีหลายประเด็นซับซ้อนในยุคสมัย ที่กองทัพ กลับมามีอำนาจจัดซื้ออาวุธ เกี่ยวพันข่าวทั้งพลเอกเปรม และกองทัพต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยู่ในโลก ยุคโลกาภิวัตน์ โดยน่าจะปรับโครงสร้าง แต่ผบ.ทบ.คนล่าสุด กับข้อเสนอโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างกองทัพใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจเฉพาะหน้า อย่างเช่น ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งใกล้ปี 2012 ที่ภัยพิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นไปตามคำทำนายของโหราศาสตร์ที่ทำนายไว้ว่าจะเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงเดือน ต.ค.และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น [4]
อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างของกองทัพเคยมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคโลกาภิวัตน์” ที่ทุกอย่างจะต้องปรับให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้กองทัพจำเป็นต้องทบทวนและปรับตัวเองพร้อมทั้งเหตุและผลเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าประเด็นใหญ่ ในความซับซ้อนของกองทัพและทหาร ที่มีตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญและทหาร ภายใต้โครงสร้างซึ่งปรับตามอเมริกา โดยรูปแบบการบังคับบัญชาแบบเสนาธิการเหล่าทัพ ลดอำนาจกองทัพ ในเรื่องงบลับ และสร้างปฏิทินแห่งความหวังจากรัฐสวัสดิการ โดยลดงบประมาณของกองทัพ มาเพิ่มงบจัดทำรัฐสวัสดิการให้ประชาชน เพราะยุคสมัยของการไม่มีสงครามภายนอก และบทบาทของการควบคุมทหารโดยพลเรือน จึงมีความหมายโดยตรงในงานด้านนโยบายในระดับทางยุทธศาสตร์ (Strategy) และในระดับยุทธ์ศิลป์ (Operational art) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดทำนโยบายและกระบวนการทางด้านงบประมาณ ซึ่งพลเรือนได้เข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง
ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์ของข้อมูลข่าวสารนั้น ประชาชนจะต้องรู้เรื่องทหาร และต้องร่วมกันกำกับและสร้างกลไกผ่านระบบประชาธิปไตย ให้ทหารปรับตัวเป็นมิตรต่อประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้วลีที่ว่า “ทหารไทยนี้รักสงบ” เป็นจริง ไม่มีการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารในอนาคตอีกต่อไป
...............................................
หมายเหตุ
ผู้เขียนเลือกเขียนเรื่องวันกองทัพไทย โดยปรับปรุงแนวคิด และข้อมูล ที่นำเสนอ ที่สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ ในการสนทนาชุด "เราจะก้าวต่อไปอย่างไรกัน" ครั้งที่ ๕ เรื่อง "สภาวะแวดล้อมสำหรับปรับโครงสร้างกองทัพไทย"สรุปความจากหนังสือ "ยกเครื่องเรื่องทหาร: ข้อคิดสำหรับกองทัพไทย ในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย สุรชาติ บำรุงสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2553 เวลา 13.30 น. โดยก่อนผ่านพ้นปี2010อย่างที่หนังสืออ้างไว้ในปี 2540 สู่ 2011 แล้ว
ดังนั้นผู้เขียน จึงเรียบเรียงเขียนบทความ ที่ได้อ่านหนังสือของสุรชาติ บำรุงสุข เพิ่มเติม คือ สังคมต้องรู้เรื่องทหาร : ทำไม - อย่างไร และ รัฐและกองทัพในประเทศโลกที่สาม : ข้อพิจารณาทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนประกอบเพิ่มเติมของแนวคิด คือ หนังสือของ Roger Kershaw “Monarchy in South East Asia: The Faces of Tradition in Transition”และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รำลึก "วันปฏิวัติ 24 มิถุนา" : ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน http://www.prachatai.com/journal/2008/06/17161 และผู้เขียนยังทบทวนดูนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยข้อมูลช่วงพฤษภา 35 (ดูเพิ่มเติมวิกีพีเดียและหนังสือฯลฯ) และ พล.อ.ชวลิต หรือบิ๊กจิ๋วถูกวิจารณ์ถึงบทบาทความซับซ้อนทางการเมือง และบทบาทไม่ประสบความสำเร็จด้านลดบทบาทกองทัพ ซึ่งบริบทและรายละเอียดต้องขยายความมากกว่าจะอธิบายเป็นบทความสั้นๆ
อ้างอิง
[1] ๒๕ มกราคม วันกองทัพบก http://www.rta.mi.th/history/jan_25.htm และวันกองทัพไทย
http://www.rta.mi.th/21100u/collum/kongtap/kongtap.htm และอรรคพล สาตุ้ม"24มิถุนา,28กรกฏา,4ธันวา,10ธันวา"และYoungPADผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมไทย
http://www.prachatai.com/journal/2008/12/19265
[2] แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว มาจากหนังสือ Small Is Beautiful: Economics As If People Mattered ที่มีแปลภาษาไทยว่า"จิ๋วแต่แจ๋ว : เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"หรือ"เล็กนั้นงาม : การศึกษาเศรษฐศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับผู้คน"
[3] เผยงบกองทัพปี53 ติดลบสูงสุดรอบ 10 ปีกว่าหมื่นล้าน ชี้จะรักษาสถานะต้องรีดไขมัน-หนุนรบ.อยู่ครบวาระ มติชน 13 มิ.ย. 52 22.45 น.
[4] ปรับโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 26 ตุลาคม 2553 เวลา 19:46 น
-------------------------------------------------------------------------
เนื่องจากวันกองทัพไทย [*] นั้นมีความสลับซับซ้อนกับความสัมพันธ์เชิงประวัติศาสตร์ไม่น้อย จากวันที่ 28 กรกฎาคม 2484 อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ชัยชนะในสงครามอินโดจีน [1] และต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงมาเป็นวันที่ 25 มกราคม ที่เชื่อมโยงกับวันยุทธหัตถีของพระนเรศวร ต่อมาในสมัยจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2502 กระทรวงกลาโหมเห็นสมควรรวมวันที่ระลึกถึงกองทัพบก,กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ มาเป็นวันเดียวกัน คือ วันที่ระลึกกระทรวงกลาโหม ในวันที่ 8 เมษายน และให้เรียกว่า “วันกองทัพไทย”
จนกระทั่งต่อมาก็กลับมาใช้วันที่ 25 มกราคม เป็นวันกองทัพไทยอีกครั้งในสมัยพลเอกเปรม จากนั้นสมัยของรัฐบาลทักษิณ ก็มาเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 18 มกราคม ผู้เขียนเห็นว่า การเมืองทำหน้าที่เชื่อมโยงวีรกรรมของพระนเรศวรในอดีตนั้นเอง แตกต่างจากวีรกรรมของชนชั้น ในคนธรรมดา สามัญ ซึ่งเราสามารถเข้าใจประเด็นชนชั้นจากวันดังกล่าว มาสู่ประเด็นทางการเมืองช่วง เปลี่ยนผ่านโครงสร้าง ความเชื่อ อุดมการณ์ ลัทธิทหารนิยม และสภาพแวดล้อมของกองทัพ ที่เหมือนมีบ้าน พ่อ แม่ พี่น้อง แล้วทหารเป็นคนดูแลรั้วบ้าน
ก่อนและหลัง 24 มิถุนา 2475 ถึงกองทัพภายใต้อิทธิพลอเมริกา
ยุคสมัยที่ทหารเปลี่ยนรากฐานจากการเป็นกองทัพของราชา จากเมื่อก่อนใช้โครงสร้างกองทัพจากอินเดียตามความเชื่อและอุดมการณ์ดังกล่าว เปลี่ยนมาเป็นแบบยุโรป ในสมัย ร.5 สู่การปรับโครงสร้างของกองทัพเป็นแบบอเมริกาหลัง 2475 ในสมัยการสร้างชาติ และกองทัพ ของจอมพล ป. โดยปี พ.ศ. 2482 "ประเทศสยาม" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ประเทศไทย" รัฐบาลจึงได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติไทยใหม่เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงชื่อประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขยังคงใช้ทำนองของพระเจนดุริยางค์อยู่เช่นเดิม แต่กำหนดให้มีเนื้อร้องความยาวเพียง 8 วรรคเท่านั้น และปรากฏคำว่า "ไทย" ซึ่งเป็นชื่อประเทศอยู่ในเพลงด้วย ผลการประกวดปรากฏว่าเนื้อร้องของพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ ซึ่งส่งประกวดในนามกองทัพบกได้รับรางวัลชนะเลิศ รัฐบาลไทยจึงได้ประกาศรับรองให้ใช้เป็นเนื้อร้องเพลงชาติไทย โดยแก้ไขคำร้องจากต้นฉบับที่ส่งประกวดเล็กน้อย เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
จากนั้นนับตั้งแต่การเมืองหลังปี 2500 ที่จอมพลสฤษดิ์ได้เปลี่ยนวันกองทัพดังที่ได้กล่าวไป ซึ่งกองทัพพยายามทำการปรับเปลี่ยนจากระบบโครงสร้างตามอเมริกา ภายใต้การต่อสู้กับกองกำลังคอมมิวนิสต์ สมัยรัฐบาลทหารในช่วงปี2514-19 จนกระทั่งช่วงที่มีรัฐบาลพลเรือนขึ้นมา คือ มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม (27 สิงหาคม พ.ศ. 2519-23 กันยายน พ.ศ. 2519) โดยพลเรือนคนแรกที่ได้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมกองทัพได้
ต่อมา คือยุคสมัย 6 ตุลา ที่มีการสร้างวาทกรรม ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป สร้างอุดมการณ์รัก ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างเข้มข้น มีการปลุกระดมให้เกิดการฆ่า “คนอื่น” (เป็นญวน หรือเวียดนาม) ในเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา ซึ่งรัฐทหาร ฆ่าคนไม่ใช่ประชาชนไทย จนกระทั่ง การเปลี่ยนผ่านมาสู่ช่วงสมัย หลังพลเอก เปรม เป็นนายก ก็มาถึงยุคของชาติชาย ซึ่งแสดงความสามารถผ่านแบรนด์ที่ว่าสามารถควบคุมกองทัพได้ หลังจากผ่านช่วงประชาธิปไตยครึ่งใบ และเราได้นายกฯ จากการเลือกตั้ง ซึ่งสมัยนั้น พล.อ.ชวลิต เป็น ผบ.ทบ. ก็ไม่มีการปฏิวัติ หรือ รัฐประหารขึ้นมา และชวลิต ก็แสดงออกถึงความเป็นทหารอาชีพ และลดบทบาทกองทัพจำกัด ภายใต้กรอบประชาธิปไตย
ข้อเสนอการปรับโครงสร้างกองทัพก่อนและหลังพฤษภา 2535
ภายใต้การนำของนายกชาติชาย ที่ชูนโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ที่สอดคล้องกับการพยายามดึงทหารกลับกรมกอง เพื่อให้ทหารเป็นทหารอาชีพไม่ยุ่งกับการปฏิวัติและรัฐประหาร ซึ่งนโยบายดังกล่าว เกี่ยวโยงกองทัพ และการปรับตัวภายใต้เศรษฐกิจโลกและไทย ความพยายามจะเป็นนิกส์ เป็นเสือตัวที่ 5 ภายใต้โมเดลนิกส์ เป็นประเทศอุตสาหกรรมตามเกาหลีใต้ ฮ่องกง สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ เป็นโมเดลหรือตัวแบบของการพัฒนา เศรษฐกิจ ในช่วงเวลานั้น กลุ่มเศรษฐศาสตร์การเมืองก็เคยเชิญพวกพันศักดิ์ และไกรศักดิ์ มาวิเคราะห์เศรษฐกิจในช่วงนั้น ก็มีประเด็นถกเถียงเรื่องโมเดลดังกล่าว ซึ่งน่าสังเกตว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมนั้น จะต้องไม่มีทหารมายุ่งเกี่ยวทางการเมืองอีกแล้ว แต่ก็ไม่เป็นดังที่วาดฝันไว้เมื่อเกิดการรัฐประหาร รสช. ในกาลต่อมา
จากช่วงเหตุการณ์ก่อนพฤษภา 2535 ที่พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องประชาธิปไตยและหาเสียงลดอำนาจทหาร เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งที่มีความชอบธรรม และให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ต่อมาไทยก็ได้รับบทเรียนจากวิกฤติการณ์ทางการเมืองในช่วงพฤษภาปี 2535 ซึ่งในตอนนั้นไม่อาจสามารถอ้างว่าฆ่าคนญวนได้อีกต่อไป เพราะเราก็รู้ว่าในโลกหลังสงครามเย็นทางการเมืองระหว่างประเทศอินโดจีน ซึ่งเราได้เคยเรียนรู้มาจากประวัติศาสตร์เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ทำให้เรารู้ว่า ชนชั้นกลาง และแรงงาน ต่างๆนานา รับไม่ได้กับการย้อนกลับสู่ระบบอำนาจนิยมโดยทหาร ทำให้เผด็จการครองประเทศอีกต่อไป
จากนั้นเริ่มมีไอเดียนำเสนอปฏิรูปกองทัพ เช่น แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว [2] โดยชวลิต สมัยเป็นรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ผู้มีความซับซ้อนทางการเมืองจากฝ่ายกองทัพเกี่ยวพันพลเอกเปรม มาเป็นฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตยในช่วงเหตุการณ์พฤษภา ทั้งนี้ไอเดียของชวลิตบางด้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะแนวคิดการลดขนาดกองทัพ ลดงบประมาณ และงดซื้ออาวุธ ยุทโธปกรณ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลของชูมากเกอร์ และความน่าสนใจของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธด้วย ในลักษณะของเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ คือไม่ได้เน้นความรุนแรง ซึ่งตรรกะไม่เน้นความรุนแรง ก็ย่อมไม่สนับสนุนการซื้ออาวุธ สำหรับประหารคน และเรือรบ ก็ทำลายสภาพแวดล้อมทางธรรมชาตินั่นเอง
แม้ว่าการปรับโครงสร้างของกองทัพจะยังไม่ประสบความสำเร็จ โดยเราอาจจะเห็นในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลชวลิต ซึ่งเกิดการเติบโตทางพัฒนาเศรษฐกิจเรื่อยมาจากยุคชาติชาย ที่ไทยไม่น่าจะย้อนกลับไปสู่ระบบเผด็จการ จากเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่มีทหารแทรกแซง จนกระทั่งวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2539 และการร่างรัฐธรรมนูญ ปี 2540 รวมทั้งแนวคิดกระจายอำนาจ อบต.ต่างๆ ซึ่งรอยต่อ ทางการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุคโลกาภิวัตน์ กำลังเข้ามา ในการแก้ไขเรื่องที่ดิน ความยากจน และประชาธิปไตย โดยวิกฤติเศรษฐกิจดังกล่าว ทำให้กองทัพต้องปรับลดงบประมาณของกองทัพ ตามวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง และกองทัพ ก็เป็นปัญหาของการจัดการงบประมาณของประเทศ ทั้งกรณีทหารกับหุ้นของทีวี ททบ.5 ที่ดิน ทำสนามกอลฟ์ และธนาคาร ซึ่งเอื้อประโยชน์ให้ทหารมากกว่าประชาชนทั่วไป
ผู้เขียนใช้ข้อมูลยกตัวอย่างง่ายๆ ในโครงการเออร์ลี่รีไทร์ จากนายพลจำนวนนับพันคน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยอมเข้าโครงการ เมื่อนโยบาย เพื่อรีดไขมันล้มเหลวต่อเนื่องเรื่อยมา กองทัพต่างๆ ก็ไม่สามารถนำส่วนที่ปรับลดได้จากงบฯบุคลากรไปโปะในงบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพ โดยปีไหนภาวะเศรษฐกิจดี หรือปีไหนกองทัพมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมือง งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพจึงอู้ฟู่ตามปกติ อยากจัดซื้อจัดหาอย่างไรก็ง่ายดาย แต่เมื่อปีไหนเศรษฐกิจฝืดเคือง ไปจนถึงขั้นวิกฤต ถึงกองทัพจะมีอำนาจเหนือฝ่ายการเมืองอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้งบฯเสริมสร้างกำลังกองทัพอู้ฟู่เหมือนเดิม [3]
รัฐประหารโดยกองทัพ นำมาสู่อิทธิพลของทหาร และความเชื่อต่ออนาคต
การเมืองไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีความพยายามการปรับโครงสร้างกองทัพ ซึ่งทหาร เป็นเครือญาติของทักษิณ คือ ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ก็ได้ดำรงตำแหน่งทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.สูงสุด รวมทั้งไอเดียการพยายามเปลี่ยนโครงสร้างกองทัพเพื่อทันสมัย และดับไฟใต้ กรณีการตั้งสนธิ บุญยรัตกลิน เป็นผบ.ทบ.เพื่อแก้ไขปัญหาภาคใต้ต่อจากประวิตร (ปัจจุบันเป็น รมต.กลาโหม) แล้วเหตุการณ์ก็พลิกกลับ เมื่อเกิดการรัฐประหาร 19 ก.ย. ที่เกิดขึ้นหลังการปั่นกระแสของสนธิ ลิ้มทองกุล มวลชนประชาชนของพันธมิตร ทำให้รัฐบาลของทักษิณล้มลง
มาถึงในสมัยของรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่มีการลุกฮือขึ้นของมวลชนเสื้อแดง เริ่มมีการตรวจสอบกองทัพอีกครั้งทั้งจากฝ่ายคนเสื้อแดงในกรณีต่างๆ เช่น การอนุมัติงบประมาณทหารจำนวนมาก และกรณีที่มีประเด็นคอรัปชั่นเชิงนโยบาย หรือข้อโต้แย้งเรื่อง ซื้ออุปกรณ์ไม่มีคุณภาพ (จีที 200) เป็นต้น
รวมถึงการต่อสู้ทางสภา ของนักการเมืองฝั่งพรรคเพื่อไทย เช่น มีการเรียกร้องปรับลดงบประมาณในกระทรวงกลาโหมจำนวน 170,285,022,900 ล้านบาท โดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปรายขอปรับลดร้อยละ 10 จากงบทั้งหมด 1.7 แสนล้านบาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นงบประมาณที่มากเกินไปทั้งที่สังคมยุคโลกาภิวัตน์ที่เน้นเรื่องการทำสงครามการค้า นี่เป็นประเด็นหนึ่งซึ่งมีหลายประเด็นซับซ้อนในยุคสมัย ที่กองทัพ กลับมามีอำนาจจัดซื้ออาวุธ เกี่ยวพันข่าวทั้งพลเอกเปรม และกองทัพต่างๆ อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเราอยู่ในโลก ยุคโลกาภิวัตน์ โดยน่าจะปรับโครงสร้าง แต่ผบ.ทบ.คนล่าสุด กับข้อเสนอโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.มีแนวคิดที่จะปรับโครงสร้างกองทัพใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับภารกิจเฉพาะหน้า อย่างเช่น ภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งใกล้ปี 2012 ที่ภัยพิบัติทวีความรุนแรงมากขึ้น และเป็นไปตามคำทำนายของโหราศาสตร์ที่ทำนายไว้ว่าจะเกิดน้ำท่วมหนักในช่วงเดือน ต.ค.และจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น [4]
อย่างไรก็ตามการปรับโครงสร้างของกองทัพเคยมีการปรับให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเฉพาะในยุคใหม่ที่เรียกว่า “ยุคโลกาภิวัตน์” ที่ทุกอย่างจะต้องปรับให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการปฏิบัติภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพของกองทัพ ทำให้กองทัพจำเป็นต้องทบทวนและปรับตัวเองพร้อมทั้งเหตุและผลเพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
แน่นอนว่าประเด็นใหญ่ ในความซับซ้อนของกองทัพและทหาร ที่มีตั้งแต่เรื่องรัฐธรรมนูญและทหาร ภายใต้โครงสร้างซึ่งปรับตามอเมริกา โดยรูปแบบการบังคับบัญชาแบบเสนาธิการเหล่าทัพ ลดอำนาจกองทัพ ในเรื่องงบลับ และสร้างปฏิทินแห่งความหวังจากรัฐสวัสดิการ โดยลดงบประมาณของกองทัพ มาเพิ่มงบจัดทำรัฐสวัสดิการให้ประชาชน เพราะยุคสมัยของการไม่มีสงครามภายนอก และบทบาทของการควบคุมทหารโดยพลเรือน จึงมีความหมายโดยตรงในงานด้านนโยบายในระดับทางยุทธศาสตร์ (Strategy) และในระดับยุทธ์ศิลป์ (Operational art) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดทำนโยบายและกระบวนการทางด้านงบประมาณ ซึ่งพลเรือนได้เข้ามามีส่วนร่วมนั่นเอง
ดังนั้นยุคโลกาภิวัตน์ของข้อมูลข่าวสารนั้น ประชาชนจะต้องรู้เรื่องทหาร และต้องร่วมกันกำกับและสร้างกลไกผ่านระบบประชาธิปไตย ให้ทหารปรับตัวเป็นมิตรต่อประชาชนอย่างแท้จริง เพื่อให้วลีที่ว่า “ทหารไทยนี้รักสงบ” เป็นจริง ไม่มีการเข่นฆ่าประชาชนโดยทหารในอนาคตอีกต่อไป
...............................................
หมายเหตุ
ผู้เขียนเลือกเขียนเรื่องวันกองทัพไทย โดยปรับปรุงแนวคิด และข้อมูล ที่นำเสนอ ที่สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ ในการสนทนาชุด "เราจะก้าวต่อไปอย่างไรกัน" ครั้งที่ ๕ เรื่อง "สภาวะแวดล้อมสำหรับปรับโครงสร้างกองทัพไทย"สรุปความจากหนังสือ "ยกเครื่องเรื่องทหาร: ข้อคิดสำหรับกองทัพไทย ในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย สุรชาติ บำรุงสุข เมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม 2553 เวลา 13.30 น. โดยก่อนผ่านพ้นปี2010อย่างที่หนังสืออ้างไว้ในปี 2540 สู่ 2011 แล้ว
ดังนั้นผู้เขียน จึงเรียบเรียงเขียนบทความ ที่ได้อ่านหนังสือของสุรชาติ บำรุงสุข เพิ่มเติม คือ สังคมต้องรู้เรื่องทหาร : ทำไม - อย่างไร และ รัฐและกองทัพในประเทศโลกที่สาม : ข้อพิจารณาทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ส่วนประกอบเพิ่มเติมของแนวคิด คือ หนังสือของ Roger Kershaw “Monarchy in South East Asia: The Faces of Tradition in Transition”และสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล รำลึก "วันปฏิวัติ 24 มิถุนา" : ความเป็นมาของเพลงชาติไทยปัจจุบัน http://www.prachatai.com/journal/2008/06/17161 และผู้เขียนยังทบทวนดูนิตยสารสารคดีฉบับพิเศษรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทยข้อมูลช่วงพฤษภา 35 (ดูเพิ่มเติมวิกีพีเดียและหนังสือฯลฯ) และ พล.อ.ชวลิต หรือบิ๊กจิ๋วถูกวิจารณ์ถึงบทบาทความซับซ้อนทางการเมือง และบทบาทไม่ประสบความสำเร็จด้านลดบทบาทกองทัพ ซึ่งบริบทและรายละเอียดต้องขยายความมากกว่าจะอธิบายเป็นบทความสั้นๆ
อ้างอิง
[1] ๒๕ มกราคม วันกองทัพบก http://www.rta.mi.th/history/jan_25.htm และวันกองทัพไทย
http://www.rta.mi.th/21100u/collum/kongtap/kongtap.htm และอรรคพล สาตุ้ม"24มิถุนา,28กรกฏา,4ธันวา,10ธันวา"และYoungPADผ่านประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมไทย
http://www.prachatai.com/journal/2008/12/19265
[2] แนวคิดนโยบายจิ๋วแต่แจ๋ว มาจากหนังสือ Small Is Beautiful: Economics As If People Mattered ที่มีแปลภาษาไทยว่า"จิ๋วแต่แจ๋ว : เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ"หรือ"เล็กนั้นงาม : การศึกษาเศรษฐศาสตร์โดยให้ความสำคัญกับผู้คน"
[3] เผยงบกองทัพปี53 ติดลบสูงสุดรอบ 10 ปีกว่าหมื่นล้าน ชี้จะรักษาสถานะต้องรีดไขมัน-หนุนรบ.อยู่ครบวาระ มติชน 13 มิ.ย. 52 22.45 น.
[4] ปรับโครงสร้างกองทัพ รับมือสู้ภัยพิบัติโลก เดลินิวส์ วันอังคาร ที่ 26 ตุลาคม 2553 เวลา 19:46 น
-------------------------------------------------------------------------
" อภิวันท์ " ยัน " เฉลิม " ไม่ทิ้ง"เพื่อไทย"แน่
พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่ร.ต.อ.เฉลิมประกาศไม่ร่วมอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมทั้งเปรยว่ามีความคิดที่จะลาออกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ด้วยว่า ส่วนตัวได้คุยกับร.ต.อ.เฉลิมแล้ว ท่านยืนยันว่าจะไม่ลาออก อย่างไรก็ตาม ถ้าหากร.ต.อ.เฉลิมลาออกไปจริงก็จะเกิดผลกระทบต่อพรรคอย่างแน่นอน แต่พรรคต้องเดินต่อไปให้ได้หากต้องการเป็นสถาบันการเมือง สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ร.ต.อ.เฉลิมแสดงความไม่เห็นด้วยกับรูปแบบสมานฉันท์นั้น ตนได้เสนอนายมิ่งขวัญนานแล้วว่าให้อภิปรายโดยเน้นหาทางออก ไม่ใช่โจมตีอย่างเดียว
"ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าคุณมิ่งขวัญจะเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้มีมติในเบื้องต้นแล้ว พร้อมทั้งจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแนบท้ายญัตติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องอดทนต่อสู้และรวมพลังกันไว้ เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลชุดนี้ก็คงอยู่จนครบวาระเพื่อใช้อำนาจให้นานที่สุดอย่างแน่นอน" พ.อ.อภิวันท์กล่าว
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
"ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าคุณมิ่งขวัญจะเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคได้มีมติในเบื้องต้นแล้ว พร้อมทั้งจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแนบท้ายญัตติอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องอดทนต่อสู้และรวมพลังกันไว้ เพราะถึงอย่างไรรัฐบาลชุดนี้ก็คงอยู่จนครบวาระเพื่อใช้อำนาจให้นานที่สุดอย่างแน่นอน" พ.อ.อภิวันท์กล่าว
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
สูตรใหม่
การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่บรรดาเสือ สิงห์ กระทิง แรด ทะเลาะกันอยู่ตอนนี้
โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่าการกลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวผสมกับระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์นั้น
จะใช้สูตรผสมใด 375+125 หรือ 400+100
ประชาธิปัตย์ยืนกรานสูตร 375+125 ตามที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขชุด นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์เสนอ และครม.เห็นชอบ
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กคัดค้าน เพราะเห็นว่าจะทำให้พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ได้เปรียบ
พร้อมกันนี้ ยังพยายามหว่านล้อมส.ว.สายเลือก ตั้ง ให้ช่วยผลักดันสูตร 400+100 ที่เป็นธรรมกับพรรคและพวกของตนเองมากกว่า
ขณะที่ฝ่ายค้านเพื่อไทยตัวแปรใหญ่ แสดงท่าทีแค่ไม่สนับสนุนสูตร 375+125 แต่ไม่ชัดว่าจะโหวตสนับสนุนสูตร 400+100 หรือไม่
พรรคเพื่อไทย "แทงกั๊ก" เพราะไม่ตองการเป็นเครื่องมือให้พรรคร่วมรัฐบาลนำไปต่อรองกับประชาธิปัตย์
ทั้งยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพรรครัฐบาลน่าจะตกลงกันได้ ไม่มีอะไรแตกหักรุนแรงจนถึงขั้นนายกฯต้องยุบสภา
ล่าสุดดูท่าจะเป็นอย่างที่เพื่อไทยคาดเดาไว้จริงๆ
พรรคภูมิใจไทยกับเพื่อแผ่นดินเสนอสูตรทางเลือกใหม่ขึ้นมา 400+125 ถือเป็นสูตรพบกันครึ่งทางระหว่าง 2 สูตรข้างต้น
โดยประชาธิปัตย์ยังได้เปรียบกับจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่พรรคขนาดกลางและเล็กก็หายเสียเปรียบ เพราะจำนวนส.ส.เขตไม่ได้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนดูเจตนาของคณะกรรมการชุดนายสมบัติ ที่เสนอสูตร 375+125 เพราะเห็นว่าส.ส. ในสภาไม่ควรมีเกิน 500 คน
ดังนั้น เมื่อเสนอว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ควรมีมากขึ้น จึงต้องไปลดส.ส.แบบเขตลง เพื่อจำกัดจำนวนส.ส.ไม่ให้มากเกินไปจนสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศ
ต้องดูว่าประชาธิปัตย์ยังจะยืนยันสูตร 375+125 หรือคล้อยตามสูตรใหม่ 400+125 ที่พรรคภูมิใจไทยนำเสนอ เพื่อปัญหาจะได้จบๆ ไป ไม่ต้องขู่คำรามจะยุบสภารายวัน
เพราะในอนาคตข้างหน้ายังมีคิวจัดสรรผลประโยชน์อย่างอื่นรอให้ต้องถกเถียงกันอีกเยอะ
แตจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนหรือผลประโยชน์ของนักการเมือง คงไม่ต้องบอก
ที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้
มันสะท้อนให้เห็นกันทนโท่อยู่แล้ว
ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน ข่าวสดออนไลน์
โดยเฉพาะมาตราเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ว่าการกลับไปใช้ระบบเขตเดียวเบอร์เดียวผสมกับระบบบัญชีรายชื่อหรือปาร์ตี้ลิสต์นั้น
จะใช้สูตรผสมใด 375+125 หรือ 400+100
ประชาธิปัตย์ยืนกรานสูตร 375+125 ตามที่คณะกรรมการพิจารณาแนวทางแก้ไขชุด นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์เสนอ และครม.เห็นชอบ
ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาลซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กคัดค้าน เพราะเห็นว่าจะทำให้พรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ได้เปรียบ
พร้อมกันนี้ ยังพยายามหว่านล้อมส.ว.สายเลือก ตั้ง ให้ช่วยผลักดันสูตร 400+100 ที่เป็นธรรมกับพรรคและพวกของตนเองมากกว่า
ขณะที่ฝ่ายค้านเพื่อไทยตัวแปรใหญ่ แสดงท่าทีแค่ไม่สนับสนุนสูตร 375+125 แต่ไม่ชัดว่าจะโหวตสนับสนุนสูตร 400+100 หรือไม่
พรรคเพื่อไทย "แทงกั๊ก" เพราะไม่ตองการเป็นเครื่องมือให้พรรคร่วมรัฐบาลนำไปต่อรองกับประชาธิปัตย์
ทั้งยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้วพรรครัฐบาลน่าจะตกลงกันได้ ไม่มีอะไรแตกหักรุนแรงจนถึงขั้นนายกฯต้องยุบสภา
ล่าสุดดูท่าจะเป็นอย่างที่เพื่อไทยคาดเดาไว้จริงๆ
พรรคภูมิใจไทยกับเพื่อแผ่นดินเสนอสูตรทางเลือกใหม่ขึ้นมา 400+125 ถือเป็นสูตรพบกันครึ่งทางระหว่าง 2 สูตรข้างต้น
โดยประชาธิปัตย์ยังได้เปรียบกับจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่พรรคขนาดกลางและเล็กก็หายเสียเปรียบ เพราะจำนวนส.ส.เขตไม่ได้ลดลง
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากย้อนดูเจตนาของคณะกรรมการชุดนายสมบัติ ที่เสนอสูตร 375+125 เพราะเห็นว่าส.ส. ในสภาไม่ควรมีเกิน 500 คน
ดังนั้น เมื่อเสนอว่าส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ควรมีมากขึ้น จึงต้องไปลดส.ส.แบบเขตลง เพื่อจำกัดจำนวนส.ส.ไม่ให้มากเกินไปจนสิ้นเปลืองงบประมาณประเทศ
ต้องดูว่าประชาธิปัตย์ยังจะยืนยันสูตร 375+125 หรือคล้อยตามสูตรใหม่ 400+125 ที่พรรคภูมิใจไทยนำเสนอ เพื่อปัญหาจะได้จบๆ ไป ไม่ต้องขู่คำรามจะยุบสภารายวัน
เพราะในอนาคตข้างหน้ายังมีคิวจัดสรรผลประโยชน์อย่างอื่นรอให้ต้องถกเถียงกันอีกเยอะ
แตจะเป็นผลประโยชน์ของประเทศชาติประชาชนหรือผลประโยชน์ของนักการเมือง คงไม่ต้องบอก
ที่ทะเลาะกันหน้าดำหน้าแดงเรื่องแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้
มันสะท้อนให้เห็นกันทนโท่อยู่แล้ว
ที่มา.คอลัมน์ เหล็กใน ข่าวสดออนไลน์
วันพุธที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2554
คนร้ายนับ 10 ขนอาวุธสงครามถล่มฐานที่ตั้งทหารนราธิวาส จนท.ตาย 5 เจ็บ 6
เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 19 มกราคม ที่ จ.นราธิวาส เกิดเหตุคนร้ายไม่ต่ำกว่า 10 คน พร้อมอาวุธสงครามบุกเข้าไปในฐานที่ตั้งทหาร ร้อย ร 15121 สังกัด ฉก.นราธิวาส 38 ตั้งอยู่ริมถนนสายนราธิวาส - รือเสาะ บ้านมะรือโบตก หมู่ที่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ก่อนเปิดฉากยิงต่อสู้กับทหาร เบื้องต้นมีทหารได้รับบาดเจ็บหลายนาย นอกจากนี้ คนร้ายยังได้ลอบวางเพลิงเผาศาลาที่พักผู้โดยสารริมถนนด้วย
หลังเกิดเหตุ พ.อ.ธนิต แสงจันทร์ ผบ.ฉก.นราธิวาส 38 สนธิกำลัง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเข้าช่วยเหลือ ปรากฏว่าคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบ และตัดต้นไม้ขวางถนน ทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ จึงประสานเฮลิคอปเตอร์กองทัพภาคที่ 4 เดินเข้าไปในพื้นที่เพื่อรับผู้บาดเจ็บ โดยสามารถรับตัวทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 ราย เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลระแงะได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นยังพบว่ามีทหารถูกยิงเสียชีวิตอีก 5 นาย บาดเจ็บ 6 นาย รวมทั้ง ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผบ.ร้อย ร.15121 สังกัด ฉก.นราธิวาส 38 รวมอยู่ด้วย
ที่มา.มติชน
_____________________________
หลังเกิดเหตุ พ.อ.ธนิต แสงจันทร์ ผบ.ฉก.นราธิวาส 38 สนธิกำลัง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครองเข้าช่วยเหลือ ปรากฏว่าคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบ และตัดต้นไม้ขวางถนน ทำให้ไม่สามารถเข้าไปยังจุดเกิดเหตุได้ จึงประสานเฮลิคอปเตอร์กองทัพภาคที่ 4 เดินเข้าไปในพื้นที่เพื่อรับผู้บาดเจ็บ โดยสามารถรับตัวทหารซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส 4 ราย เพื่อส่งต่อโรงพยาบาลระแงะได้แล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเบื้องต้นยังพบว่ามีทหารถูกยิงเสียชีวิตอีก 5 นาย บาดเจ็บ 6 นาย รวมทั้ง ร.อ.กฤช คัมภีรญาณ ผบ.ร้อย ร.15121 สังกัด ฉก.นราธิวาส 38 รวมอยู่ด้วย
ที่มา.มติชน
_____________________________
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)