--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ทำได้ทุกอย่าง

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน

วันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นการวมตัวอีกครั้งของคนไทยจำนวนมาก เพื่อรำลึกครบรอบ 4 ปีการปฏิวัติของคมช. และรำลึก 4 เดือนการฆ่าล้างเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของเมืองไทย

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนไทยและชาวต่างชาติที่เสียชีวิตรวม 91 ศพ ในพื้นที่กรุงเทพฯ จนทุกวันนี้ผู้เกี่ยวข้องยังหาคนรับผิดชอบไม่ได้!??

รัฐบาลและทหารซึ่งควรจะเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด เพราะฝ่ายแรกไฟเขียวให้ใช้อาวุธร้ายแรงปราบผู้ชุมนุม

ส่วนฝ่ายหลังก็สนุกกับการขนอาวุธทุกชนิดออกมาจากกรมกอง

เรียกว่าหากเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ที่ว่าโหดเหี้ยมสุดๆ เพราะทหารออกมาเข่นฆ่านักศึกษาที่ไร้ทางสู้ ยังเทียบไม่ได้กับเหตุการณ์ระหว่างเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา

เนื่องจากห้วงเดือนเม.ย.-พ.ค. นอกจากจะฆ่าฝ่ายตรงข้ามอย่างมันมือและสนุกอยู่ฝ่ายเดียว เพราะคู่ต่อกรไร้ทางสู้อย่างสิ้นเชิงแล้ว

คนไม่เกี่ยวข้องอีกจำนวนมากที่เพียงไปอยู่ผิดที่ผิดทางก็พลอยตาย เจ็บ และพิการไปด้วย

และที่เลวร้ายกว่านั้นในอดีตทุกเหตุการณ์รุนแรง รัฐบาลและทหารที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ก่อเหตุต้องออกมารับผิดชอบ และจำเป็นบทเรียนอีกยาวนาน

เช่นกรณี 6 ตุลา 19 หรือพฤษภา 35 ทหารต้องเก็บตัวอย่างสงบเสงี่ยมนานนับสิบๆ ปี ขณะที่นักการเมืองก็เรียบๆ ร้อยๆ อยู่พักใหญ่

แต่การตาย 91 ศพที่ผ่านมา ผู้เกี่ยวข้องไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกเหลิงว่ามีอำนาจมากมายในมือ!!!

มันน่ากลัวตรงที่เหตุการณ์นี้อาจกลายเป็น"โมเดล"ใหม่ที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ในอนาคตอันใกล้

เพราะใครก็ตามหากสามารถผ่านเหตุการณ์ฆ่ากลางเมืองโดยไม่ต้องรับผิดชอบ ก็ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว

เป็นความย่ามใจที่จะทำอะไร หรือใช้อำนาจขนาดไหนก็ย่อมได้!!!

เราจึงเห็นรัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจแปลกๆ และมองขัดๆ ไม่ว่าจะปัญหา 2 มาตรฐานระหว่างการชุมนุมของ"เสื้อเหลือง"กับ"เสื้อแดง"

คดีพันธมิตรฯก่อการร้ายยึดสนามบิน อืดเป็นเรือเกลือผ่านมาเกือบ 2 ปี ยังไปไม่ถึงไหน แต่คดีนปช.ก่อการร้ายเหมือนกัน แต่ใช้เวลาแค่ไม่นานถูกดำเนินคดีและยัดเข้าคุกจนทุกวันนี้

การพร้อมเปิดศึกกับประเทศซาอุดีอาระเบีย พี่ใหญ่ของค่ายตะวันออกกลาง

โจมตี"กัมพูชา" ว่าเป็นแหล่งฝึก"คนชุดดำ"เพื่อมาล่าสังหารนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ

นี่ยังไม่นับความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านแทบจะรอบตัวเราทั้งหมด ชนิดที่ไม่เคยมีรัฐบาลไทยชุดไหนสร้าง"ฟาร์มเพาะศัตรู"ระดับชาติได้มากขนาดนี้มาก่อน

ก็อย่างที่บอกหากผ่านเหตุนองเลือด คนตายเป็นเบือ ยังไม่อินังขังขอบ

ก็ไม่มีอะไรที่รัฐบาลนี้จะทำไม่ได้อีกแล้ว!??

------------------------------------------------------------

กิจกรรมคนเสื้อแดง “4ปีครบรอบรัฐประหาร” ณ กรุงลอนดอน


ในโอกาสครบรอบ 4ปีการทำรัฐประหาร นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัมได้เข้าร่วมกิจจกรรมคนเสื้อแดง ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนายโรเบิร์ตได้พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมกิจกรรม และนายโรเบิร์ตยังได้แจกสมุดปกขาวอีกด้วย ก่อนกลับนายโรเบิร์ตได้กล่าวกับกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างสั้นๆว่า

“คนไทยและนานาชาติต่างรับรู้ว่ารัฐบาลไทยพยายามปิดบังความจริง รัฐบาลกระทำการตรงกันข้ามกับแนวทางการสมานฉันท์ที่พวกเขาพูดถึง โดยการขังฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เลื่อนตำแหน่งให้กับกลุ่มฆาตกรที่สังหารประชาชน และการกระทำของรัฐบาลไทยทำให้รัฐบาลหลายประเทศขุ่นเคือง จากวันนี้ไป รัฐบาลไทยจะอยู่ในอำนาจอีกไม่กี่เดือน ประชาคมโลกได้ตระหนักแล้วว่าสิ่งที่รัฐบาลทหารหนุนหลังนี้เกรงกลัวมากที่สุดคือประชาชนคนไทย พวกเขาเรียกตัวเองว่าพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลับใช้มาตรา 112 กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม ปิดปากประชาชนไม่ให้พูดความจริง พวกเขาต้องการให้พวกเราดำรงชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวที่จะแสดงความคิดเห็น หากเราไม่ช่วยกันสอบสวนเหตุการณ์ฆ่าหมู่อย่างจริงจัง ก็จะมีเหตุการณ์อย่างการฆ่าหมู่ในเดือนเมษายน/พฤษภาคมที่ผ่ามมา พฤษภาทมิฬ
                                                                    แจกสุดปกขาว

และเหตุหารณ์ฆ่าหมู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปี 2519 เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเราจะต้องไม่ปล่อยให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก เป็นที่น่าเศร้าใจอย่างมากที่คุณอภิสิทธิ์และพวกพ้องกำลังนำพาประเทศไทยไปสู่บ้านเมืองที่ไร้ขื่อแปรและเต็มไปด้วยความรุนแรง เหมือนสมัยจอมพลสฤษดิ์ และรัฐบาลจะต้องหยุดกระทำการเช่นนี้ เราจะต้องไม่ปล่อยให้ประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศพม่า ประชาคมโลกจะต้องเข้าใจว่าเรากำลังร่วมมือกันขับไล่รัฐบาลทหารที่มีอำนาจอยู่ ณ ขณะนี้ ขอบคุณมากครับ”

ที่มา.Robert Amsterdam
**************************************************************

วันจันทร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2553

ปูดบิ๊กสีเขียว-นักการเมืองจ้องยึดอำนาจวิธีการพิเศษ

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

โฆษกพรรคเพื่อไทยอ้างได้ข้อมูลเชิงลึก มีบิ๊กสีเขียวกับนักการเมืองบางค่ายสุมหัวยึดอำนาจรัฐด้วยวิธีการพิเศษไม่ผ่านการเลือกตั้ง เตือนนายกฯเร่งตัดไฟแต่ต้นลม “ทักษิณ” โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์เรียกร้องให้เสียสละคนละนิดละหน่อยเพื่อทำให้เกิดความปรองดองในประเทศ บอกเป็นนัยมีบางคนยังโกรธ ไม่พอใจ ขัดขวางการปรองดอง แต่ขอให้นึกถึงชาติมากกว่าตัวเอง “อภิสิทธิ์” ระบุหากเลิกสร้างความเกลียดชังจะแก้ปัญหาทุกอย่างได้ง่ายขึ้น ย้ำไม่มีนโยบายออกฎหมายนิรโทษกรรมให้ใคร เมินคุยทำความเข้าใจกับพรรคภูมิใจไทยและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล “ปลอดประสพ” เผยหยุดรอดูผลโยกย้ายทหารที่จะออกมาในเดือน ต.ค. ก่อนเกิดหน้าสานเจรจาปรองดองต่อ เพราะทหารมีส่วนสำคัญที่จะทำให้การปรองดองเกิดขึ้นได้หรือไม่

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวในโอกาสครบรอบ 4 รัฐประหารว่า ขณะนี้อยู่ที่เลบานอน อากาศดีมาก เย็นสบาย ไม่หนาว อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าวันที่ 19 ก.ย. เป็นวันครบรอบ 4 ปีของการปฏิวัติ และ 4 เดือนของโศกนาฏกรรมทางการเมืองที่แสนสาหัส อยากเห็นการมองไปข้างหน้าร่วมกัน อยากเห็นการเยียวยาผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมจากการขัดแย้งในครั้งนี้ อยากเห็นการให้อภัยซึ่งกันและกัน อยากเห็นความมีเมตตาต่อกัน ไม่อยากเห็นการก่อความไม่สงบใดๆ ไม่อยากเห็นการนำสถาบันมายุ่งกับการเมือง ไม่อยากเห็นการทำลายซึ่งกันและกันด้วยระบบ 2 มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม นี่คือความหมายของคำว่าปรองดอง ขอให้การนองเลือดที่ทหารต้องปราบปรามประชาชนเมื่อ 19 พ.ค. ที่ผ่านมาเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้การปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน และขอให้การขัดแย้งที่นำความเสียหายอย่างมหันต์แก่ประเทศ แก่ประชาชน แก่สถาบันแทบทุกสถาบันเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย

“แม้ว” ระบุมีคนโกรธไม่ปรองดอง

“4 ปีที่ผ่านมาเราเจ็บปวดกันมามากแล้ว เราได้ทิ้งหลักการ ทิ้งอุดมการณ์ ทิ้งหลักกฎหมายและหลักความเป็นธรรม เราทิ้งคุณธรรม จริยธรรม เราทิ้งวัฒนธรรมอันดีงามที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพียงแค่ต้องการเอาชนะกันทั้งที่พูดกันรู้เรื่องเพราะเป็นคนด้วยกัน หันหน้าพูดกันเถอะ ไม่มีโอกาสไหนที่จะพูดกันดีกว่าโอกาสนี้อีกแล้ว รู้ว่าหลายคนยังโกรธ หลายคนยังไม่พอใจ แต่ขอให้คิดว่าคำว่าชาติที่รุ่งเรืองต้องประกอบด้วยคนในชาติที่รู้จักคำว่าเสียสละ ขอให้มาร่วมกันเสียสละ ยอมกลืนความเจ็บปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดองด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติ ซึ่งได้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน และหวังว่าคงจะไม่มีคนไหนขาดสติ ทำลายการปรองดองของคนในชาติ เราเสียหายกันเยอะแล้ว ความสุขที่เราเคยมีอยู่หายไปนานแล้ว ช่วยกันตามกลับมาคืนคนไทยเถอะ” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ

“มาร์ค” ย้ำไม่นิรโทษกรรม

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพูดถึงเรื่องการเสียสละ การปรองดองเป็นเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องการนิรโทษกรรมยืนยันว่าไม่เห็นด้วย เพราะต้องการแสดงออกถึงความเป็นนิติรัฐ ต้องปล่อยให้กระบวนการทางกฎหมายดำเนินการไป แต่หากจะมีมาตรการในการผ่อนปรนความรู้สึกหรือผลกระทบต่างๆก็สามารถทำได้ ซึ่งจะดีกว่าที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรม และถ้าแผนปรองดองแห่งชาติผ่านพ้นไปได้ทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับ สิ่งที่ทุกคนต้องร่วมมือกันคือทำให้ไม่เกิดความรุนแรง แต่ตราบใดที่ยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงและสร้างความเกลียดชังก็จะแก้ปัญหาไม่ได้

ต้องเลิกสร้างความเกลียดชัง

“หากเราไม่สร้างความเกลียดชังจะทำให้ปัญหาต่างๆแก้ไขได้ง่ายขึ้น การออกกฎหมายนิรโทษกรรมไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนและไม่ใช่นโยบายของรัฐบาล ซึ่งต้องทำความเข้าใจกับพรรคภูมิใจไทยที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ด้วย แต่ยังไม่ได้นัดหมายพรรคร่วมรัฐบาลมาหารือ” นายอภิสิทธิ์กล่าว

นายอนุทิน ชาญวีรกุล แกนนำพรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยเสนอเรื่องนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองให้คนทุกกลุ่ม ทุกสีทำเพื่อคนไทยทุกคน ไม่ได้ทำเพื่อนักการเมืองหรือคนกลุ่มใด

ภท. ยันไม่ได้เคลื่อนไหวเพื่อต่อรอง

“การเมืองในช่วงที่ผ่านมาไม่ดีเลย เราจึงต้องมาคิดว่าอะไรคือปัญหาที่ต้องแก้ไข ความจริงพรรคไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ อยู่เฉยๆก็ได้เป็นรัฐบาลอีกเกือบ 2 ปี แต่เราต้องการเห็นบ้านเมืองสงบจะได้เดินไปข้างหน้าได้” นายอนุทินกล่าวพร้อมยืนยันว่า พรรคไม่ได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมือง เพราะการทำงานที่ผ่านมาแต่ละกระทรวงเราแบ่งแยกกันดูแล ไม่ก้าวก่ายกัน

เพื่อไทยรอดูผลโยกย้ายทหาร

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่หยุดความพยายามสร้างความปรองดอง แต่ที่หยุดไปในช่วงนี้เนื่องจากต้องการรอดูการแต่งตั้งโยกย้ายทหารในเดือน ต.ค. นี้ เพราะทหารมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างความปรองดองด้วย

“เรื่องกระบวนการสร้างความปรองดองที่ผ่านมาไม่ได้มีผมที่รับรู้คนเดียว และอยากให้มีการสานต่อเรื่องการพูดคุยเพื่อให้เกิดความชัดเจนในกระบวนการว่าต้องทำอะไรบ้าง โดยที่ทุกคนทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม” นายปลอดประสพกล่าว

ปูดกลุ่มอำนาจใหม่จ้องยึดอำนาจ

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า คณะทำงานติดตามสถานการณ์ทางการเมืองของพรรคหรือวอร์รูมมีข้อมูลเชิงลึกว่า ขณะนี้เกิด “กลุ่มอำนาจใหม่” ที่มีบิ๊กสีเขียวบางคนรวมหัวกับนักการเมืองบางค่ายอยากจะยึดอำนาจโดยวิธีพิเศษ โดยไม่ผ่านการเลือกตั้ง

เตือน “มาร์ค” เร่งตัดไฟต้นลม

“ข้อมูลนี้สนับสนุนเรื่องที่ว่า ทำไมในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมามีระเบิดเกิดขึ้นกว่า 40 ครั้งแต่จับใครไม่ได้เลย สถานการณ์ขณะนี้เหมือนมีอำนาจรัฐซ้อนรัฐอีกชั้นหนึ่ง เพื่อบั่นทอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาล หวังทำให้สถานการณ์สุกงอมจนประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน จากนั้นจะมีแนวร่วมออกมาเรียกร้องให้อำนาจนอกระบบเข้ามาดำเนินการแก้ปัญหา” นายพร้อมพงศ์กล่าวพร้อมเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ควรเร่งตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องนี้ และต้องเร่งหาทางตัดไฟแต่ต้นลม

ด้านพรรคการเมืองใหม่ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้พรรคภูมิใจไทยยุติการผลักดันออกกฎหมายนิรโทษกรรม

กมม. ชี้ใช้กฎหมายสร้างปรองดอง

แถลงการณ์ระบุว่า การปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมเดินหน้าไปตามครรลองจะทำให้สังคมไทยเกิดความสงบสุขและสามัคคีได้อย่างแท้จริง การกระทำของพรรคภูมิใจไทยมุ่งหวังเพื่อหาเสียงในพื้นที่ภาคอีสาน เพราะถูกต่อต้านจากคนเสื้อแดงค่อนข้างมาก นอกจากนี้ยังเป็นการทำเพื่อสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองกับพรรคประชาธิปัตย์

“สิ่งที่รัฐบาลจะเยียวยา สร้างความสงบเรียบร้อยให้บ้านเมืองได้ดียิ่งประการหนึ่งคือ เร่งทำงานให้มีประสิทธิภาพ สร้างระบบธรรมาภิบาลให้เกิดขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดิน เลิกทุจริตคอร์รัปชันทุกรูปแบบ” แถลงการณ์ระบุ

**********************************************************************

ผ่าแผนนิรโทษกรรม-ปรองดองฉบับภูมิใจไทย-ภูมิใจ "เนวิน"ไม่คืนเงิน-ไม่ยกโทษให้ "ทักษิณ"

หากจับชีพจร จังหวะก้าว จังหวะขับเคลื่อนประเด็นทางการเมือง

ไม่มีประเด็นใดร้อนแรง-รุกเร็วเท่าวาระการเดินเกมปรองดองของฝ่ายค้าน-รัฐบาล-กองทัพ

ซีกเสี้ยวหนึ่งของแผนปรองดอง บรรจุเนื้อหากฎหมายแทรกไว้ในข้อเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิด 9 มาตรา

ที่เสนอต่อสาธารณะพร้อมกันทั้งใน-นอกสภาผู้แทนราษฎร

วาระที่ถูกรอบรรจุเพื่อพิจารณาในสำนักเลขาธิการสภา ถูกเสนอหลักการและเหตุผล โดย "บุญจง วงศ์ไตรรัตน์" รมช.มหาดไทย และ ส.ส.นครราชสีมา รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

ความคิดเรื่องกฎหมายนิรโทษกรรม มีการริเริ่มตั้งแต่สมัยอยู่ปีกเสื้อแดง พรรคพลังประชาชนหรือไม่

เสนอไว้ตอนสิงหาคม 2552 ตอนนั้นอยู่พรรคภูมิใจไทยแล้ว ส่วนตอนอยู่พรรคพลังประชาชนเสนอแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 และเสนอแก้ไขเรื่องเขตเลือกตั้ง ไม่มีเรื่องนิรโทษกรรม คือ ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่เสนอคราวนั้นมีสาระสำคัญ คือ นิรโทษ 2 เหตุการณ์ อันแรกคือ ช่วงพันธมิตรชุมนุมยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ ช่วงที่ 2 คือ ช่วง นปช.ชุมนุมเดือนเมษายน 52 มีรถแก๊ส นี่คือกฎหมายที่ค้างอยู่ในสภา นอกจากนั้นจะเสนอร่างเพิ่มเติมประกอบ โดยให้ครอบคลุมถึงเหตุการณ์ชุมนุมที่ราชประสงค์ด้วย

การนิรโทษรวมไปถึงอดีตกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบทั้ง 111 และ 109 คนหรือไม่

ไม่มีครับ คือในหลักการที่พรรคภูมิใจไทยมีมติต้องการเห็นบ้านเมืองเดินไปสู่ความปรองดองที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง เราไม่สนใจการเมืองว่าออกมาจะผ่านเป็นกฎหมายสำเร็จไหม พรรคร่วมรัฐบาลจะคัดค้านหรือไม่ นั้นไม่เป็นไร เราต้องการเห็นบ้านเมืองสู่ความปรองดองจริง ๆ

คำว่าปรองดองของพรรคภูมิใจไทย เป็นปรองดองเดียวกับของพรรคเพื่อไทยเสนอหรือไม่

ไม่ใช่ครับ คนละแนว คือวันนี้ผมต้องเรียนว่า คนในประเทศรู้อยู่ว่าประเทศมีความแตกแยกขัดแย้งสูงมากอย่างที่บ้านเมืองไทยไม่เคยมีมาก่อน และความขัดแย้งนั้นมันยังไม่จบ มันเพียงหยุดพักชั่วขณะ และขณะนี้คนในประเทศส่วนใหญ่ รวมทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีก็ต้องการเห็นคนในประเทศหันหน้าเข้าหากัน และมีความปรองดองซึ่งกันและกัน จะเห็นได้จากท่านนายกฯมีการตั้งคณะกรรมการ 3 ชุด ของท่านอาจารย์คณิต ณ นคร, อาจารย์สมบัติ ธำรงธัญวงศ์, ท่านอานันท์ ปันยารชุน นำไปสู่ความสมานฉันท์ ความปรองดอง นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลต้องการจะเห็น

และพรรคฝ่ายค้านก็มีแนวคิดที่จะเสนอแผนปรองดอง เห็นไหมครับ นั่นคือทุกคนต้องการเห็นว่าหยุดเถอะ...เรามาจับเข่าคุยกันดีกว่า มาหาทางออกกันเถอะ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนเห็น

ในส่วนพรรคภูมิใจไทย เราก็เห็นว่าควรปรองดอง จึงเห็นว่าควรนิรโทษกรรมให้กับประชาชนที่ร่วมชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ปรองดองแบบภูมิใจไทยมีจุดแตกต่างตรงไหนกับการปรองดองของพรรคเพื่อไทย

เพราะพรรคเพื่อไทยก็หาวิธีการเจรจากัน อย่างเช่น ยกโทษให้คนนี้ คืนเงินให้คนโน้น ซึ่งเป็นคนละเรื่อง มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้

ส่วนพรรคเพื่อไทยคิดอะไรนั้นต้องถามเจตนาพรรคเพื่อไทย เพราะของเราเมื่อพูดปรองดองปุ๊บ หมายถึงต้องออกกฎหมายนี้เลย ให้อภัยคนที่ร่วมชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ ให้อภัยเขาซะ

จะจำแนกความบริสุทธิ์ใจในการชุมนุมได้ยังไง เพราะเสื้อแดงก็มีหลายเฉด

ถามว่าจำแนกยังไง เราก็จำแนกว่า ถ้าใครที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนหลัก เป็นผู้ก่อการร้าย จะไม่ได้รับประโยชน์เลย แต่ถ้าเป็นชาวบ้านตามมาเพราะมีคนบอกให้ไปเผาศาลากลาง ก็วิ่งไปด้วย คนพวกนี้ก็จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายนิรโทษกรรม รวมถึงชาวบ้านที่มาร่วมชุมนุม มานอนกลางดิน มาอยู่กับเขาแต่ถูกจับ

อาจจะไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะมีคนหลายระดับเข้าร่วมการชุมนุม

ใครล่ะ ? ก็ต้องสกรีนกันครับว่า ประโยชน์ตกไปถึงใคร และหลักใหญ่ ๆ คนที่ไม่ได้รับประโยชน์ก็คือคนที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ นายทุน ผู้ก่อการร้าย จะไม่ได้ประโยชน์จากกฎหมายนี้

ท่านนายกฯยังไม่ได้บอกว่า เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ จะแปลรหัสของนายกฯว่าอย่างไร

ก็นายกฯท่านเห็นด้วยหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของท่านนะครับ ถ้ากฎหมายจะไม่ผ่านก็แล้วแต่กระบวนการเสียงในสภา การไม่เห็นด้วยของท่านนายกฯหรือพรรคประชาธิปัตย์ ก็เป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ เป็นสิทธิของพรรคประชาธิปัตย์ แต่จะไม่มีผลอะไรหรือไม่มีความขัดแย้งใดต่อการทำงานในฐานะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนคนที่เห็นต่างจากเราอาจเป็นเพราะไม่เข้าใจบางเรื่อง เช่น อาจจะเข้าใจว่ากำลังจะอภัยโทษหรือนิรโทษให้กับบ้านเลขที่ 111 และ 109 ซึ่งเราก็ตอบว่าไม่ใช่เลยนะครับ ไม่ใช่การช่วยแกนนำ ผู้ก่อการร้าย ความชัดเจนเป็นแบบนี้

ก่อนให้อภัยกันนั้น จะต้องสืบสวนหาความผิดก่อน หรือจะลืมเรื่องทั้งหมดไปโดยไม่ต้องย้อนกลับไปหาความผิดเพิ่มอีก

วันนี้ก็มีข้อมูลนี้ ถ้ากฎหมายผ่านแล้ว กลุ่มผู้ได้ประโยชน์คือผู้ร่วมชุมนุมทางการเมือง แล้วถูกตั้งข้อหาการทำผิดทางอาญา เช่น ถูกจับข้อหาวางเพลิง หรือไปปิดถนนกับเขา ก็ถูกตั้งข้อหาด้วยมากมายก่ายกอง แต่ไม่รวมถึงแกนนำที่ฝากขังอยู่ทุกวันนี้ เพราะเป็นแกนนำ เป็นผู้ก่อการร้าย เป็นผู้ใช้รายใหญ่ พวกนี้ไม่ได้รับประโยชน์ ความชัดเจนจะเป็นแบบนี้

ถ้าการปรองดองจะมีอะไรที่ไปพ้องกับฝ่ายค้านในจังหวะเดียวกัน เป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ

ก็ดี...ถ้าฝ่ายค้านเขาเห็นปรองดองอยู่แล้วก็ดี เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราเสนอนี้ คนที่ได้รับประโยชน์ไม่ใช่นักการเมือง ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิทางการเมือง 111 หรือ 109 และไม่ใช่พวกที่เป็นตัวการ เอาง่าย ๆ อย่างอดีตนายกฯทักษิณนี่ไม่ได้ประโยชน์เลย (หัวเราะ) ชัดเจนเลย

วิธีการอย่างนี้ก็เป็นการหาเสียงของพรรคด้วย

ฮึ่ม...เป็นการทำความเข้าใจกับประชาชน...วันนี้ต้องเข้าใจนะครับว่า พอพูดถึงนิรโทษกรรมให้ผู้กระทำผิดทางการเมืองนี่...คนฟังคิดเป็นหลายอย่าง เช่น เอาอีกแล้ว คนทำผิดจะไม่เอาเขาติดคุก แต่จะให้อภัยเขาอีกแล้ว...เอาอีกแล้ว ช่วยนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 และ 109 เนี่ย มันมีความคิดอย่างนั้น โทษเขาไม่ได้ เราจึงต้องมีการอธิบายรณรงค์ว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น

แม้จะได้รับเสียงวิจารณ์ แต่ยืนยันเดินหน้าต่อ

พร้อมรับเสียงวิจารณ์ แต่อยากจะถามกลับคนวิจารณ์ว่า แล้วคุณจะหาทางออกให้ประเทศอย่างไร ช่วยหาคำตอบหน่อย ใครที่วิจารณ์ต้องถามกลับว่า คุณจะหาทางออกให้ประเทศอย่างไร

ถ้ายอมรับว่าเป็นการหาเสียงของพรรคก็ไม่เห็นผิดอะไร เพราะพรรคการเมืองก็ย่อมต้องการคะแนนนิยม

เป็นการหาเสียงหรือไม่ ผมต้องตอบว่าเป็นการเสนอทางออกให้กับประเทศ แต่เมื่อเสนอแล้วแนวทางนี้ค่อนข้างมีความซับซ้อน จึงต้องมีการอธิบายไงครับ เมื่ออธิบายเสร็จแล้วเห็นด้วยกับเรา ก็ลงชื่อเสนอกฎหมายเลยครับ ประชาชนก็เสนอกฎหมายได้ ตามรัฐธรรมนูญเราเห็นอย่างนี้นะครับ ไม่ใช่ไปหาเสียงอะไรหรอกครับ แต่เป็นเรื่องที่เราถามประชาชนเลยว่า เข้าใจเรื่องนี้ไหม ร่วมไหม อยากเห็นพี่น้องเราที่ถูกจับกุมต้องหนี ต้องหลบซ่อน เพราะว่าไปร่วมชุมนุมกับเขาไหม ? เอ้า้องการนิรโทษก็ว่ากันไป อย่างนี้

ข้อสังเกตว่าจะกระทบความเป็นเอกภาพของพรรคภูมิใจไทยกับรัฐบาลนั้น เป็นปัญหาหรือไม่

เรื่องนี้จะไม่เป็นประเด็นการเมือง จะไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่พรรคภูมิใจไทยต้องการเห็น ถามใครก็อยากเห็นปรองดอง แต่มันพูดแต่ปากครับ ปากบอกปรองดอง มันไม่เกิดหรอกครับ เราก็บอกเอางี้เลย ออกนิรโทษกรรมให้เขาเลยเป็นกฎหมาย

ถ้ากฎหมายไม่ผ่านก็ไม่เป็นประเด็นการเมือง ไม่ทำให้เป็นปัญหาการบริหารการอยู่ร่วมกันของฝ่ายรัฐบาล

ถ้ากลุ่มคนที่ทางภูมิใจไทยอยากให้อภัยนั้น เขาไม่ได้สู้กับรัฐบาล แต่มองว่ากำลังสู้กับฝ่ายตรงข้ามคืออำมาตย์ หรือที่เลยไปจากรัฐบาล

ให้มันถึงเวลานั้น...วันนี้เรามองว่า วันนี้คนเหล่านี้เขาถูกตั้งข้อหาเป็นผู้กระทำผิด ไม่ว่าจะเรื่องปิดถนน เรื่องการเผาโน่น เผานี่ อีกหลายเรื่องเป็นพัน ๆ คนเนี่ย เขาเป็นคนมาชุมนุมด้วยอุดมการณ์บริสุทธิ์ของเขา แต่ในเมื่อมันถึงขนาดนี้แล้ว เขาก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหา ทำให้ชีวิตครอบครัวเขาต้องลำบาก ต้องหลบต้องหนี เราก็เห็นว่าให้อภัยกันเถิด

หากคนที่จะได้รับการให้อภัยมีทัศนคติต่อต้านมือที่มองไม่เห็น แบบนี้จะทำยังไง

อันนั้นเป็นเรื่องของผู้ปลุกระดม เป็นกลอนพาไป อย่าลืมว่ากฎหมายนี้ ไม่ได้ให้ประโยชน์กับคนที่เป็นแกนนำน่ะ...

***************************************************************

นิติรัฐ-นิติธรรม

โดย:วรเจตน์ ภาคีรัตน์

1.ข้อความทั่วไป
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน บัญญัติไว้ในมาตรา ๓ วรรคสองว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม” นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการบัญญัติคำว่า “หลักนิติธรรม” ไว้ในรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามหากไปตรวจดูประวัติการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะพบว่าแต่เดิมในชั้นยกร่างนั้น ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกได้ใช้คำว่า “หลักนิติรัฐ” ไม่ใช่ “หลักนิติธรรม”ไม่ปรากฏเหตุผลในการจัดทำรัฐธรรมนูญว่า เหตุใดในเวลาต่อมา ผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญจึงได้เปลี่ยนแปลงคำว่า “หลักนิติรัฐ” เป็นคำว่า “หลักนิติธรรม” ไม่ปรากฏการอภิปรายว่าผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญเข้าใจหลักการทั้งสองว่าอย่างไร และโดยสรุปแล้วหลักการทั้งสองเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร1 ยิ่งไปกว่านั้น หากไปสำรวจตรวจสอบบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน โดยอาศัยพื้นฐานความเข้าใจเกี่ยวกับหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมที่ยอมรับนับถือกันเป็นสากลแล้ว จะพบว่าบทบัญญัติหลายมาตราในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้สอดคล้องกับหลักการดังกล่าวเลย บทความนี้จะสำรวจตรวจสอบความหมาย ความเป็นมา ตลอดจนเนื้อหาของหลักการทั้งสองดังกล่าว พร้อมทั้งจะได้ชี้ให้เห็นถึงความเหมือนและความแตกต่างของหลักการทั้งสองโดยสังเขป

โดยทั่วไปเราใช้คำว่าหลักนิติรัฐกับหลักนิติธรรมคู่กันไป โดยที่ไม่ได้แยกแยะความแตกต่างในรายละเอียด อันที่จริงจะว่าการใช้ถ้อยคำทั้งสองคำในความหมายอย่างเดียวกันเป็นความเข้าใจผิดอย่างสิ้นเชิงของผู้ใช้ถ้อยคำนี้คงจะไม่ได้ เพราะทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างก็ได้รับการพัฒนาขึ้นโลกตะวันตกโดยมีเป้าหมายที่จะจำกัดอำนาจของผู้ปกครองให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่งทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างก็ไม่ต้องการให้มนุษย์ปกครองมนุษย์ด้วยกันเอง แต่ต้องการให้กฎหมายเป็นผู้ปกครองมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ทรงอำนาจบริหารปกครองบ้านเมืองจะกระทำการใดๆก็ตาม การกระทำนั้นจะต้องสอดคล้องกับกฎหมาย จะกระทำการให้ขัดต่อกฎหมายไม่ได้

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว จะพบว่าหลักการทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ สาเหตุแห่งความแตกต่างนั้นอยู่ที่พัฒนาการในทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดความคิดว่าด้วยหลักนิติรัฐและในอังกฤษซึ่งพัฒนาความคิดว่าด้วยหลักนิติธรรมขึ้น ความแตกต่างของหลักการทั้งสองในรายละเอียดนั้นไม่เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะหลักการทั้งสองเกี่ยวพันกับ “กฎหมาย” แต่ “กฎหมาย” นั้น กฎหมายเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงกับประวัติความเป็นมาของชนแต่ละชาติ ความเข้าใจบางประการที่แตกต่างกันที่ชนชาติเยอรมันและอังกฤษมีต่อมโนทัศน์ว่าด้วย “กฎหมาย” ตลอดจนประวัติศาสตร์การต่อสู้ทางการเมืองที่แตกต่างกันของชนชาติทั้งสองย่อมส่งผลต่อเนื้อหาของหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม และต่อการจัดโครงสร้าง บทบาท และความสัมพันธ์ขององค์กรของรัฐด้วย หลักนิติรัฐซึ่งได้รับการพัฒนาอย่างจริงจังในเยอรมนีในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่สิบเก้านั้นได้แผ่ขยายอิทธิพลออกไปทั่วภาคพื้นทวีปยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกฎหมายมหาชนในอิตาลีที่ได้รวมชาติขึ้นสำเร็จในช่วงเวลานั้นและต่อฝรั่งเศสในช่วงสาธารณรัฐที่สาม ส่วนหลักนิติธรรมซึ่งมีรากเหง้ามาจากประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและรัฐธรรมนูญของอังกฤษตั้งแต่สมัยที่ชาวนอร์แมนเข้ายึดครองเกาะอังกฤษนั้น ก็มีอิทธิพลไม่น้อยต่อโครงสร้างรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาและต่อหลายประเทศที่ได้รับแนวความคิดจากสถาบันการเมืองการปกครองของอังกฤษ2

2.หลักนิติรัฐ (Rechtsstaatsprinzip)

2.1 พัฒนาการของหลักนิติรัฐ

คำว่า “นิติรัฐ” เป็นคำที่แปลมาจากภาษาเยอรมันว่า “Rechtsstaat” คำว่า “Rechtsstaat” ประกอบขึ้นจากคำสองคำ คือ คำว่า Recht ที่แปลว่า กฎหมาย (ในภาษาเยอรมันคำๆนี้สามารถแปลว่า “สิทธิ” ได้ด้วย) และคำว่า Staat ที่แปลว่า รัฐ แต่คำสองคำนี้เมื่อมารวมกันแล้วได้กลายเป็นคำศัพท์ทางนิติศาสตร์ในระบบกฎหมายเยอรมันซึ่งยากจะหาคำในภาษาต่างประเทศที่แปลแล้วให้ความหมายได้ตรงกับคำในภาษาเดิม ตำราที่เขียนเป็นภาษาอังกฤษจำนวนหนึ่งได้ใช้คำๆนี้ทับศัพท์ภาษาเยอรมันโดยไม่แปล3 อย่างไรก็ตามมีความพยายามในการแปลคำว่า Rechtsstaat อยู่เช่นกัน ถึงแม้ว่าคำแปลที่พยายามคิดกันขึ้นนั้นไม่สามารถสื่อความหมายของคำว่า Rechtsstaat ได้อย่างสมบูรณ์ก็ตาม เช่น ในระบบกฎหมายอังกฤษ แปลคำว่า Rechtsstaat ว่า rule of law หรือ state-under-law4 ระบบกฎหมายฝรั่งเศสแปลว่า état constitutionnel แต่ตำรากฎหมายฝรั่งเศสยุคหลังๆมักแปลว่า état de droit ซึ่งเป็นแนวโน้มการแปลในภาษาอื่นๆด้วย คือแปลตรงตัว เช่น ระบบกฎหมายอิตาลี แปลว่า Stato di diritto หรือระบบกฎหมายสเปนแปลว่า Estato de derecho เป็นต้น สำหรับในสหรัฐอเมริกาหากไม่แปลคำว่า Rechtsstaat ว่า rule of law ก็มักจะยกเอาหลักการในทางกฎหมายที่มีเนื้อหาบางส่วนที่คล้ายคลึงกับ Rechtsstaat มาเทียบเคียง เช่น due-process-clause หรือการกล่าวถึง limited government ในฐานะมโนทัศน์ทางกฎหมายที่ใกล้เคียงกับ Rechtsstaat เป็นต้น

ในทางวิชาการ ไม่ว่าจะแปลคำว่า Rechtsstaat ว่าอย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญย่อมอยู่ที่ความหมายอันเป็นแก่นแท้ของหลักการนี้ กล่าวคือ การปกครองใน Rechtsstaat หรือนิติรัฐนั้น กฎหมายจะต้องไม่เปิดโอกาสให้ผู้ปกครองใช้อำนาจตามอำเภอใจ ภายใต้กฎหมายบุคคลทุกคนต้องเสมอภาคกัน และบุคคลจะต้องสามารถทราบก่อนล่วงหน้าว่ากฎหมายมุ่งประสงค์จะบังคับให้ตนทำอะไรหรือไม่ให้ตนทำอะไร ผลร้ายอันเกิดจากการฝ่าฝืนกฎหมายคืออะไร ทั้งนี้เพื่อที่จะบุคคลได้ปฏิบัติตนให้ถูกต้องสอดคล้องกับกฎหมาย แนวความคิดพื้นฐานดังกล่าวนี้ย่อมจะก่อให้เกิดหลักต่างๆตามมาในทางกฎหมายมากมาย เช่น หลักไม่มีความผิด ไม่มีโทษ โดยปราศจากกฎหมาย (nulla poena sine lege) หลักการห้ามลงโทษซ้ำซ้อน หลักการห้ามตรากฎหมายย้อนหลังกำหนดโทษแก่บุคคล เป็นต้น5

เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาพัฒนาการของนิติรัฐแล้ว จะพบว่าแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐมีขึ้นเพื่อจำกัดอำนาจของรัฐหรือผู้ปกครองให้อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย คำกล่าวที่ว่านิติรัฐคือรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย ไม่ใช่โดยมนุษย์ (government of law and not of men) ดูจะเป็นการให้ความหมายของนิติรัฐในเบื้องต้นที่ตรงที่สุด ในแง่ของประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐเริ่มต้นขึ้นในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ ในฐานะที่เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจกล่าวได้ว่าเสาหลักที่ค้ำจุนนิติรัฐไว้ก็คือการปกป้องบุคคลจากการกระทำตามอำเภอใจของรัฐหรือผู้ปกครอง แนวความคิดนี้สอดคล้องต้องกันกับพัฒนาการและความเชื่อที่มีมาตั้งแต่ยุคกลางว่าสันติสุขและความยุติธรรมจะเกิดขึ้นได้ย่อมต้องอาศัยกฎหมาย อย่างไรก็ตามในวงวิชาการเยอรมัน ซึ่งเป็นแหล่งที่พัฒนาแนวคิดเรื่องนิติรัฐขึ้น จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่เป็นที่ยุติว่าใครเป็นผู้ที่ให้ความหมายของคำว่า Rechtsstaat อย่างชัดเจนเป็นคนแรก แต่ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า Robert von Mohl ซึ่งได้ศึกษารัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในเวลานั้นเป็นอย่างดี เป็นคนแรกที่นำเอาความคิดที่ว่าการดำรงอยู่ของรัฐไม่ควรจะขึ้นอยู่กับกำลังอำนาจ แต่ควรขึ้นอยู่กับเหตุผล มาอธิบายอย่างเป็นระบบในตำรากฎหมายว่าด้วยรัฐแห่งราชอาณาจักรวัวร์ดเท็มแบร์ก (Staatsrecht des Koenigreichs Wuerttemberg) อนึ่ง สำหรับ Mohl แล้วเสรีภาพของปัจเจกบุคคลย่อมถือเป็นหัวใจของมโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐ

อันที่จริงแล้ว ก่อนที่จะเริ่มมีคำอธิบายเกี่ยวกับนิติรัฐในทางตำรา เมื่อครั้งที่ยุโรปยังปกครองกันในระบบศักดินาสวามิภักดิ์ ก็เริ่มปรากฏหลักเกณฑ์ในทางกฎหมายที่จำกัดอำนาจอำเภอใจของกษัตริย์บ้างแล้ว6 พัฒนาการของความคิดเรื่องนิติรัฐเริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อรัฐสมัยใหม่ในยุโรปพัฒนาจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ความเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถูกเรียกร้องมากขึ้นในแง่ของเหตุผล กล่าวคือ ถึงแม้ว่ากษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองจะยังมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดก็ตาม แต่ในการใช้อำนาจนั้นมีการเรียกร้องให้กษัตริย์ต้องคำนึงถึงเหตุผลด้วย ปรัชญาว่าด้วยรัฐในยุคสมัยแห่งพุทธิปัญญานี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากนักคิดอย่าง Immanuel Kant ซึ่งนำเอาความคิดว่าด้วยเสรีภาพและเหตุผลมาเป็นศูนย์กลางของปรัชญาของตน อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตว่า Kant ไม่ได้เน้นเสรีภาพของบุคคลไปที่เสรีภาพทางการเมืองเหมือนกับที่ปรากฏในหลายๆประเทศ แต่เน้นไปที่เสรีภาพในทางความคิด การมุ่งเน้นในประเด็นดังกล่าวของ Kant นี่เอง ที่ทำให้มโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐ แม้จะเป็นมโนทัศน์ที่สนับสนุนเสรีภาพ แต่ก็ขาดลักษณะประชาธิปไตย7 เราจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ของชาติเยอรมันว่าในห้วงเวลานั้นไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในทางอำนาจระหว่างรัฐกับราษฎรดังเช่นที่ปรากฏในฝรั่งเศสเลย ในขณะที่นักคิดในเยอรมันคงมุ่งเน้นเรื่องเสรีภาพในทางความคิดนั้น ชาวฝรั่งเศสกลับมุ่งความสนใจไปที่เสรีภาพในทางการเมือง และในที่สุดชนชาติฝรั่งเศสก็สามารถปลดปล่อยตนเองให้พ้นจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้เมื่อมีการปฏิวัติใหญ่ใน ค.ศ. ๑๗๘๙

ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับพัฒนาการของนิติรัฐในช่วงศตวรรษที่ ๑๘ นี้อยู่ที่การฟื้นตัวของความคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติ แนวความคิดที่ว่าจักรวาลดำรงอยู่อย่างเป็นระบบระเบียบเพราะถูกกำกับควบคุมโดยสิ่งที่มีคุณภาพในทางสติปัญญาที่เรียกว่า logos (เหตุผลสากล) นั้น ปรากฏขึ้นตั้งแต่ในสมัยกรีกโบราณ โดยเฉพาะในปรัชญาของสำนักสโตอิคส์ (Stoicim) นักคิดสำนักนี้เชื่อว่ามนุษย์ได้รับประกายแห่งเหตุผลจากเหตุผลสากล มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมามีศักดิ์ศรีเหมือนกัน ไม่มีใครเกิดมาในฐานะที่เป็นทาส มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีความสามารถที่จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิดได้ด้วยตนเอง กล่าวคือ มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติหรือกฎหมายแห่งเหตุผลได้โดยที่ไม่ต้องมีใครช่วยตีความให้ ความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผลดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างยิ่งในอาณาจักรโรมัน (ผ่านความคิดของนักคิดสำนักสโตอิคส์ที่เป็นชาวโรมันอย่างเช่นซิเซโร) ทำให้ชาวโรมันสามารถพัฒนาวิชานิติศาสตร์ที่ตั้งอยู่รากฐานของเหตุผลอย่างเป็นระบบขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตามแนวความคิดที่นิยมยกย่องเหตุผลของมนุษย์อ่อนแรงลงในสมัยกลาง ซึ่งเป็นสมัยที่นิติปรัชญาแนวคริสต์ครอบงำยุโรป จวบจนกระทั่งนักคิดอย่าง Samuel Pufendorf (ค.ศ.๑๖๓๒ ถึง ๑๖๙๔) และ Christian Wolff (๑๖๗๙-๑๗๕๔) ได้รื้อฟื้นแนวความดังกล่าวขึ้นมาพัฒนาต่อ ความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติจึงกลับฟื้นตัวขึ้น โดยนักคิดในยุคสมัยนั้นได้เชื่อมโยงความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติกับสิทธิตามธรรมชาติเข้าด้วยกัน ตามคำสอนของนักคิดสำนักกฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นตัวนี้ สิทธิตามธรรมชาติ คือสิทธิที่มนุษย์แต่ละคนมีติดตัวมาตามธรรมชาติ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิดังกล่าวนี้มนุษย์แต่ละคนมีอยู่โดยไม่ขึ้นอยู่กับรัฐและไม่ขึ้นอยู่กับกฎหมายบ้านเมือง กล่าวคือ เป็นสิทธิที่มีอยู่ก่อนมีรัฐ สิทธิตามธรรมชาติที่กล่าวถึงนี้เองที่ต่อมาจะกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญประการหนึ่งในทางเนื้อหาของหลักนิติรัฐ

การเริ่มตระหนักรู้ถึงสิทธิที่กล่าวมานี้ ทำให้ในราวปลายศตวรรษที่ ๑๘ ต่อเนื่องมาจนต้นศตวรรษที่ ๑๙ ราษฎรได้เรียกร้องให้รัฐปกป้องคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินตลอดจนเสรีภาพของตนมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากพัฒนาการทางการเมือง การเรียกร้องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย เพราะในช่วงเวลานั้นราษฎรที่เป็นสามัญชนเริ่มมีพลังอำนาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น เมื่อราษฎรต่างเริ่มมีทรัพย์สินมากขึ้น ก็ย่อมต้องการความมั่นคงปลอดภัยในทรัพย์สินที่ตนหามาได้เป็นธรรมดา ราษฎรเหล่านี้ต่างเห็นว่าการปกป้องคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพดังกล่าวจะปรากฏเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้อำนาจของรัฐต้องผูกพันอยู่กับกฎหมาย กฎหมายย่อมจะต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดขอบเขตภารกิจของรัฐ กฎหมายจะต้องสร้างกลไกในการควบคุมการใช้อำนาจของรัฐ และกฎหมายจะต้องประกันสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

ในราวปลายศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งยังเป็นช่วงที่เยอรมนีอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ์ พัฒนาการเกี่ยวกับความคิดว่าด้วยนิติรัฐเกิดการหักเหขึ้น ที่ว่าเกิดการหักเหก็เนื่องจากในช่วงเวลานี้มโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐถูกจำกัดลงเหลือแต่เพียงองค์ประกอบในทางรูปแบบเท่านั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจากในเวลานั้นคำสอนในทางปรัชญากฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย (Legal Positivism) เจริญงอกงามเฟื่องฟูขึ้น แนวคิดหลักของสำนักคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดที่ต้องการสร้างความชัดเจน ความมั่นคง และความแน่นอนให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมาย สำนักคิดนี้ปฏิเสธคำสอนว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติ เพราะเห็นว่าเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย จับต้องไม่ได้ ทำให้กฎหมายไม่มีความแน่นอน สำหรับสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายแล้ว กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นโดยผู้ที่ทรงอำนาจตรากฎหมายต้องถือว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความถูกต้องเป็นธรรม ดังนั้นหลักใหญ่ใจความของนิติรัฐจึงอยู่ที่ความผูกพันของฝ่ายปกครองต่อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ในบ้านเมือง และการปกป้องคุ้มครองสิทธิของปัจเจกชน (ที่เกิดจากกฎหมายที่ตราขึ้น) จากการล่วงละเมิดของฝ่ายปกครองโดยองค์กรตุลาการเท่านั้น แม้ว่ารัฐชนิดนี้จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการปกครอง แต่โดยที่ไม่มีการพูดถึงองค์ประกอบในทางเนื้อหาโดยเฉพาะอย่างยิ่งความยุติธรรม ตำรากฎหมายจำนวนหนึ่งจึงเรียกรัฐชนิดนี้ว่า Gesetzesstaat8 ( คำว่า Gesetz ในภาษาเยอรมันแปลว่า กฎหมาย เหมือนกับคำว่า Recht แต่ Gesetz มุ่งหมายถึงกฎหมายที่ได้รับการบัญญัติขึ้นเป็นสำคัญ) รัฐที่สนใจแต่เพียงกฎหมายในทางรูปแบบเช่นนี้เองที่ทำให้ในที่สุดเกิดรัฐตำรวจ (Polizeistaat) ขึ้น ในรัฐชนิดนี้ฝ่ายปกครองก็ผูกพันตนต่อกฎหมาย แต่ไม่ต้องสนใจว่ากฎหมายนั้นถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่ โดยปรากฏการณ์เช่นนี้ คำว่า “รัฐตำรวจ” จึงได้กลายเป็นคำตรงกันข้ามกับคำว่า “นิติรัฐ” ผลพวงจากการเกิดขึ้นของรัฐตำรวจ ทำให้ในเวลาต่อมาเกิดแรงต้านจากฝ่ายเสรีนิยม จนในที่สุดมโนทัศน์ว่าด้วยนิติรัฐก็ได้รับการพัฒนาให้ครอบคลุมองค์ประกอบในทางเนื้อหาด้วย คือเป็นนิติรัฐที่เป็นเสรีนิยม คำนึงถึงความยุติธรรม และทำให้ในปัจจุบันนี้เมื่อกล่าวถึงนิติรัฐจะต้องพูดถึงองค์ประกอบทั้งสองด้าน คือ ทั้งในทางรูปแบบ และในทางเนื้อหา การกล่าวว่านิติรัฐเป็นรัฐที่ปกครองโดยกฎหมาย อาจจะนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยที่วงการกฎหมายไทยตลอดจนองค์กรตุลาการยอมรับบรรดาคำสั่งของคณะรัฐประหารทั้งปวงว่าเป็นกฎหมาย โดยที่ไม่ได้ตั้งคำถามในทางเนื้อหาเลยว่าสิ่งที่เกิดจากการประกาศของคณะรัฐประหารนั้นมีเนื้อหาที่สอดรับกับความถูกต้องเป็นธรรมและสมควรจะได้ชื่อว่าเป็น “กฎหมาย” ที่ผูกพันองค์กรของรัฐให้ต้องปฏิบัติตามหรือไม่

ในประเทศเยอรมนี ภายหลังจากพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ได้มีการพูดถึงนิติรัฐในทางเนื้อหามากขึ้น แต่การขึ้นครองอำนาจของ Adolf Hitler ก็ทำให้พัฒนาการในเรื่องนี้สะดุดลง จนกระทั่งประเทศเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง แนวความคิดดังกล่าวจึงพัฒนาต่อไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ได้กล่าวมาแล้วว่าแนวความคิดพื้นฐานของนิติรัฐก็คือ การจำกัดอำนาจของรัฐโดยกฎหมาย การทำให้รัฐต้องผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานและคุณค่าทางกฎหมายโดยไม่อาจบิดพริ้วได้ ด้วยเหตุนี้หลักนิติรัฐจึงไม่มีความหมายแค่เพียงการบังคับให้รัฐต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้รัฐต้องดำเนินการในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นอย่างแท้จริงในสังคมด้วย วัตถุประสงค์ดังกล่าวจะบรรลุได้ก็แต่โดยการสร้างระบบการปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลที่มีประสิทธิภาพและการยอมรับให้มีองค์กรตุลาการขึ้นมาโดยเฉพาะ (ศาลรัฐธรรมนูญ) ให้องค์กรดังกล่าวพิทักษ์ปกป้องคุณค่าในรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่เรียกว่า “กฎหมายพื้นฐาน” (Grundgesetz) ได้เดินตามแนวทางนี้และได้บัญญัติให้หลักนิติรัฐเป็นหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญ

2.2 องค์ประกอบของหลักนิติรัฐ

ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในระบบกฎหมายเยอรมันว่า หลักนิติรัฐมีองค์ประกอบสำคัญสองส่วน คือ องค์ประกอบในทางรูปแบบ และองค์ประกอบในทางเนื้อหา ความเป็นนิติรัฐในทางรูปแบบ คือ การที่รัฐผูกพันตนเองไว้กับกฎหมายที่องค์กรของรัฐตราขึ้นตามกระบวนการที่รัฐธรรมนูญกำหนดขึ้นหรือที่รัฐธรรมนูญมอบอำนาจไว้ ทั้งนี้เพื่อจำกัดอำนาจของรัฐลง เมื่อพิจารณาในทางรูปแบบแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่าหลักนิติรัฐมุ่งประกันความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะของบุคคล ส่วนความเป็นนิติรัฐในทางเนื้อหานั้น ก็คือ การที่รัฐประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของราษฎร โดยกำหนดให้บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิเสรีภาพมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญ เรียกร้องให้รัฐต้องกระทำการโดยยุติธรรมและถูกต้อง พิจารณาในทางเนื้อหา นิติรัฐ ย่อมต้องเป็นยุติธรรมรัฐ (Gerechtigkeitsstaat)

ในทางปฏิบัติเป็นไปได้เสมอที่หลักความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะกับหลักความยุติธรรมอาจจะขัดแย้งกัน เป็นหน้าที่ขององค์กรนิติบัญญัติที่จะพยายามประสานสองหลักการนี้เข้าด้วยกัน และในบางกรณีจะต้องตัดสินใจว่าจะใช้หลักการใดเป็นหลักการนำ บ่อยครั้งที่องค์กรนิติบัญญัติตัดสินใจเลือกหลักความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะเพื่อประกันความมั่นคงในระบบกฎหมาย เช่น การกำหนดบทบัญญัติเกี่ยวกับอายุความไว้ในระบบกฎหมายเป็นต้น

2.2.1 องค์ประกอบในทางรูปแบบของหลักนิติรัฐ

พิจารณาในทางรูปแบบ หลักนิติรัฐประกอบไปด้วยหลักการย่อยๆ หลายประการ ที่สำคัญได้แก่ หลักการแบ่งแยกอำนาจ หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำขององค์กรของรัฐ หลักการประกันสิทธิในกระบวนการพิจารณาคดี ตลอดจนหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม

หลักการแบ่งแยกอำนาจเรียกร้องมิให้อำนาจของรัฐรวมศูนย์อยู่ที่องค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ให้มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจหรือกระจายการใช้อำนาจของรัฐให้องค์กรต่างองค์กรกันเป็นผู้ใช้ เพื่อให้เกิดการดุลและคานอำนาจกัน โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญของนิติรัฐจะแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจรัฐออกเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ องค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร และองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ
หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำขององค์กรของรัฐเรียกร้องให้การกระทำขององค์กรนิติบัญญัติต้องผูกพันอยู่กับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับในรัฐนั้น องค์กรนิติบัญญัติจะตรากฎหมายล่วงกรอบที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไม่ได้ หลักการดังกล่าวนี้ยังเรียกร้ององค์กรบริหาร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรฝ่ายปกครอง) และองค์กรตุลาการให้ต้องผูกพันต่อกฎหมาย ซึ่งหมายถึงต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญและบรรดากฎหมายต่างๆที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่องค์กรนิติบัญญัติได้ตราขึ้น กล่าวเฉพาะฝ่ายปกครองหลักการดังกล่าวนี้เรียกร้องให้ฝ่ายปกครองต้องกระทำการโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย และในกรณีที่การกระทำทางปกครองมีผลก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของราษฎร ย่อมจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจฝ่ายปกครองกระทำการเช่นนั้นได้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจแล้ว การกระทำทางปกครองนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หลักการประกันสิทธิในกระบวนการพิจารณาในชั้นเจ้าหน้าที่และศาลเรียกร้องให้รัฐต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรได้ต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนในกระบวนการพิจารณาต่างๆของรัฐได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ระบบกฎหมายของรัฐจึงกำหนดให้องค์กรของรัฐต้องรับฟังบุคคล เปิดโอกาสให้บุคคลนำพยานหลักฐานเข้าหักล้างข้อกล่าวหาต่างๆก่อนที่จะตัดสินใจกำหนดมาตรการทางกฎหมายที่เป็นผลร้ายแก่บุคคลนั้น ทั้งนี้กระบวนการพิจารณาที่ได้รับการออกแบบขึ้นจะต้องเป็นกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรม (fair) ด้วย อนึ่งในกรณีที่ราษฎรได้ความเสียหายจากการใช้อำนาจมหาชนขององค์กรของรัฐ รัฐจะต้องเปิดโอกาสให้ราษฎรสามารถฟ้ององค์กรของรัฐที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนต่อศาลได้

สำหรับหลักการประกันสิทธิของปัจเจกบุคคลในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมนั้นเรียกร้องให้รัฐกำหนดกระบวนการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างเอกชนกับเอกชนด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ เอกชนที่พิพาทกันเองต้องมีหนทางในการนำข้อพิพาทนั้นไปสู่ศาล และกฎหมายวิธีพิจารณาคดีในชั้นศาลจะต้องได้รับการออกแบบให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างรอบด้านตลอดจนกำหนดผลผูกพันเด็ดขาดของคำพิพากษาไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงแน่นอนในระบบกฎหมาย

2.2.2 องค์ประกอบในทางเนื้อหาของนิติรัฐ

ลำพังแต่การเรียกร้องให้องค์กรของรัฐต้องผูกพันต่อกฎหมายในการกระทำการต่างๆนั้น ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลได้ หากกฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นนั้นไม่สอดคล้องกับความถูกต้องเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้หลักนิติรัฐจึงเรียกร้องต่อไปอีกว่าในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับกับราษฎรนั้น กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นจะต้องมีความชัดเจนและแน่นอนเพียงพอที่ราษฎรจะเข้าใจได้ ยิ่งไปกว่านั้นระบบกฎหมายจะต้องคุ้มครองความเชื่อถือและไว้วางใจที่บุคคลมีต่อกฎหมาย การตรากฎหมายย้อนหลังไปเป็นผลร้ายแก่บุคคล ทั้งๆที่จะต้องคุ้มครองความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อกฎหมาย โดยหลักแล้วไม่อาจกระทำได้ หลักการดังกล่าวนี้เป็นหลักการที่บังคับใช้โดยไม่มีข้อยกเว้นในกรณีของกฎหมายอาญาสารบัญญัติ อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าหากผลร้ายที่เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคลไม่ใช้โทษทางอาญาแล้ว รัฐสามารถตรากฎหมายย้อนหลังไปเป็นผลร้ายแก่บุคลได้ทุกกรณีดังที่เข้าใจผิดพลาดกันอยู่ในวงการกฎหมายไทยแต่อย่างใดไม่ การวินิจฉัยว่าการตรากฎหมายย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่บุคลจะกระทำได้หรือไม่จะต้องพิจารณาองค์ประกอบในแง่ความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อระบบกฎหมาย ตลอดจนการคาดหมายความคุ้มครองจากระบบกฎหมายของบุคคลประกอบกัน โดยหลักทั่วไปแล้ว ในกรณีที่บุคคลได้กระทำการจบสิ้นไปแล้วในอดีต ไม่สามารถหวนกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงการกระทำของตนได้แล้ว การตรากฎหมายไปกำหนดองค์ประกอบความผิดขึ้นใหม่ กำหนดโทษขึ้นใหม่หรือเปลี่ยนแปลงโทษที่มีอยู่ในกฎหมายในขณะที่ได้กระทำการ แม้โทษนั้นจะไม่ใช่โทษอาญาก็กระทำไม่ได้

นอกจากหลักนิติรัฐในทางเนื้อหาจะเรียกร้องการคุ้มครองความไว้เนื้อเชื่อใจที่บุคคลมีต่อระบบกฎหมายแล้ว หลักการดังกล่าวยังกำหนดให้สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลมีค่าบังคับทางกฎหมายในระดับรัฐธรรมนูญและถือว่าบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานเป็นกฎหมายโดยตรงอีกด้วย บทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลตามหลักนิติรัฐที่ปรากฏในเยอรมนีจึงมีสองมิติ คือ มิติแรก สิทธิขั้นพื้นฐานมีลักษณะเป็นสิทธิหรืออำนาจที่ปัจเจกบุคคลสามารถยกขึ้นใช้ยันรัฐได้ โดยทั่วไปสิทธิขั้นพื้นฐานมีลักษณะเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลที่จะป้องกันตนจากการล่วงละเมิดโดยรัฐ เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิในร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน แต่ในบางกรณี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัฐที่เป็นสังคมรัฐหรือรัฐสวัสดิการ (Sozialstaat) สิทธิขั้นพื้นฐานยังมีลักษณะเป็นสิทธิที่ปัจเจกบุคคลสามารถเรียกร้องให้รัฐกระทำการที่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย เช่น สิทธิที่จะได้รับการรักษาพยาบาล เป็นต้น สำหรับอีกมิติหนึ่งหนึ่ง สิทธิขั้นพื้นฐานย่อมมีฐานะเป็น “กฎหมาย” ที่มีผลผูกพันองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐทุกองค์กรโดยตรง

หลักการสำคัญอีกประการหนึ่งในทางเนื้อหาของนิติรัฐ คือ หลักความพอสมควรแก่เหตุ หลักการนี้เรียกร้องให้การใช้อำนาจของรัฐจะต้องเป็นไปโดยพอเหมาะพอประมาณเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรม ในนิติรัฐ รัฐไม่อาจใช้มาตรการใดๆก็ได้เพื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตนต้องการ (ด้วยเหตุนี้แนวความคิด The end justifies the means จึงไปด้วยกันไม่ได้กับนิติรัฐ) การบรรลุวัตถุประสงค์ที่ชอบธรรมต้องใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่ถูกต้อง พอเหมาะพอประมาณด้วย ดังนั้นแม้ว่าระบบกฎหมายจะมอบเครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายให้องค์กรของรัฐดำเนินการ แต่หากการใช้เครื่องมือหรือมาตรการนั้นไม่อาจบรรลุวัตถุประสงค์ได้ หรือวัตถุประสงค์นั้นอาจบรรลุได้ เพียงแค่ใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่รุนแรงน้อยกว่า หรือแม้ในที่สุดแม้ไม่มีเครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายที่รุนแรงน้อยกว่า แต่การที่จะบรรลุวัตถุประสงค์นั้นปรากฏว่าทำให้ปัจเจกบุคคลได้รับผลร้ายอย่างรุนแรง ต้องเสียหายเกินกว่าที่จะคาดหมายจากบุคคลนั้น ไม่ได้สัดส่วนกับประโยชน์ที่สาธารณะจะได้รับ การใช้เครื่องมือหรือมาตรการทางกฎหมายนั้นก็ย่อมไม่อาจกระทำได้ในนิติรัฐ นอกจากหลักความพอสมควรแก่เหตุแล้ว ในแง่เนื้อหา หลักนิติรัฐยังห้ามการกระทำตามอำเภอใจของรัฐ เรียกร้องให้รัฐต้องกระทำการโดยเคารพต่อหลักความเสมอภาค กล่าวคือ เรียกร้องรัฐต้องปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญเหมือนกันให้เหมือนกัน และปฏิบัติต่อสิ่งที่มีสาระสำคัญแตกต่างกัน ให้แตกต่างกันออกไปตามสภาพของสิ่งนั้นๆด้วย

3. หลักนิติธรรม (The Rule of Law)

3.1 พัฒนาการของหลักนิติธรรม9

คำว่าหลักนิติธรรมนั้น วงการกฎหมายไทยแปลมาจากคำว่า The Rule of Law ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานในระบบกฎหมายอังกฤษ ในประเทศอังกฤษความคิดที่ว่ามนุษย์ไม่ควรต้องถูกปกครองโดยมนุษย์ แต่ควรจะต้องถูกปกครองโดยกฎหมายนั้น ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่ ๑๗ ในหนังสือชื่อ “The Common Wealth of Oceana” อันเป็นผลงานของ James Harrington ซึ่งเป็นผู้ที่นิยมระบอบสาธารณรัฐอย่างแน่วแน่10 อย่างไรก็ตาม แม้จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ คำว่า rule of law ก็เหมือนกับคำว่า Rechtsstaat ที่ยากจะหาคำจำกัดความหรือนิยามซึ่งยอมรับกันเป็นยุติได้ การทำความเข้าใจความหมายของ rule of law จึงควรต้องทำความเข้าใจจากความเป็นมาทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของอังกฤษซึ่งให้กำเนิดแนวความคิดนี้

แนวความคิดว่าด้วย rule of law หรือนิติธรรมอาจสืบสาวย้อนกลับไปได้ถึงยุคกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งย้อนกลับไปถึง ค.ศ. ๑๒๑๕ ซึ่งเป็นปีที่พระเจ้าจอนห์น (King John) กษัตริย์อังกฤษในเวลานั้นได้ลงนามในเอกสารสำคัญที่ชื่อว่า Magna Carta11 เอกสารฉบับนี้เป็นพันธสัญญาที่กษัตริย์อังกฤษให้ไว้แก่บรรดาขุนนางของพระองค์ในการที่จะจำกัดอำนาจของพระองค์ลง อาจกล่าวได้ว่า Magna Carta เป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของมนุษย์ที่จะนำไปสู่การปกครองโดยกฎหมายเป็นใหญ่ในเวลาต่อมา เนื่องจากเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารทางกฎหมายฉบับแรกที่ทำให้หลักการปกครองโดยกฎหมายได้รับการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และการประกันสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเป็นไปอย่างชัดแจ้ง12 อย่างไรก็ตามไม่พึงเข้าใจว่าเมื่อมีการลงนามใน Magna Carta แล้วกษัตริย์เป็นอันถูกจำกัดอำนาจลงจนไม่มีอำนาจ ในเวลานั้นอำนาจยังคงอยู่ที่กษัตริย์ กฎเกณฑ์ที่จำกัดอำนาจกษัตริย์ลงในเวลานั้นก็มีแต่ Magna Carta และหลักกฎหมาย Common Law อันเป็นกฎหมายประเพณีที่รับสืบทอดและพัฒนามาโดยศาลเท่านั้น

แม้ว่าในเวลาต่อมาจะได้มีการตั้งรัฐสภาขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๒๖๕ แต่อำนาจในการปกครองบ้านเมือง (Prerogatives) ก็ยังคงอยู่ในมือของกษัตริย์อย่างเดิม จะถูกจำกัดลงบ้างก็เพียงเล็กน้อย อำนาจของกษัตริย์อังกฤษพัฒนาขึ้นถึงจุดสูงสุดในสมัยราชวงศ์ Tudor อันเป็นช่วงเวลาที่บทบาทของรัฐสภาถดถอยลง อาจกล่าวได้ว่าในช่วงเวลานั้นกษัตริย์อังกฤษมีอำนาจมากและเข้าใจวิธีการในการรักษาอำนาจของตนและจำกัดอำนาจของรัฐสภา อีกทั้งยังรู้จักที่จะใช้รัฐสภาเป็นฐานในการสร้างความเข้มแข็งให้แก่ตนด้วย อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมารัฐสภาได้พัฒนาต่อไปกลายเป็นสถาบันซึ่งเป็นผู้แทนของกลุ่มคนต่างๆ และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นจนกลายเป็นคู่ปรับสำคัญของกษัตริย์

ใน ค.ศ. ๑๖๒๘ ในยุคสมัยของพระเจ้าชาร์ลที่หนึ่ง (King Charles I ค.ศ.๑๖๐๐ ถึง ๑๖๔๙) รัฐสภาได้ตรา Petition of Rights ขึ้นเพื่อปกป้องคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินและเสรีภาพส่วนบุคคล โดยประกาศว่าผู้ปกครอง รัฐบาล ตลอดจนศาลต้องเคารพในสิทธิดังกล่าว ภายหลังจากได้มีการตรา Petition of Rights ได้สิบสองปี ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษ ตามมาด้วยการประหารชีวิตพระเจ้าชาร์ลที่ ๑ Petition of Rights ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารที่กล่าวถึงความยินยอมในการเสียภาษีเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอำนาจให้แก่รัฐสภาเป็นอย่างมาก13 ในเวลาต่อมาเอกสารฉบับนี้ได้ถูกเพิ่มเติมโดยเอกสารอีกฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า Habeas Corpus Act (ค.ศ. ๑๖๗๙) เอกสารฉบับหลังนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของการประกันสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรม เนื้อหาหลักของเอกสารฉบับนี้ คือ การให้สิทธิแก่บุคคลทุกคนที่ถูกจับกุม กล่าวคือ ในกรณีที่บุคคลใดถูกจับกุม บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องปกป้องตนเองต่อศาลโดยคำฟ้องที่เรียกว่า writ of habeas corpus ทันที14

รัฐสภาสามารถที่จะสถาปนาและขยายอำนาจของตนออกไปอย่างมั่นคงตามลำดับ การขยายอำนาจของรัฐสภามีผลทำให้กษัตริย์ค่อยๆถูกจำกัดอำนาจลง และในที่สุดกษัตริย์เริ่มรู้สึกว่ารัฐสภามีอำนาจมากเกินไปและเริ่มเป็นอันตรายต่อพระองค์เสียแล้ว การแข่งกันเพื่อครองอำนาจที่เหนือกว่าระหว่างรัฐสภากับกษัตริย์เป็นไปอย่างเข้มข้น และได้ก็เกิดเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นในระหว่าง ค.ศ.๑๖๔๒ ถึง ๑๖๔๙ หลังจากสงครามกลางเมืองดังกล่าว การต่อสู้ก็คงดำเนินต่อไปอีก จนกระทั่งในที่สุดรัฐสภาก็กำชัยชนะได้ในการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution) ระหว่าง ค.ศ.๑๖๘๘ ถึง ๑๖๘๙ ผลของการปฏิวัติดังกล่าวนำมาซึ่งเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่ง คือ Bill of Rights และทำให้รัฐสภาอังกฤษกลายเป็นรัฐาธิปัตย์คู่กันกับกษัตริย์

โดยเหตุที่ในช่วงต้นศตวรรษที่ ๑๗ ยังไม่ปรากฏแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจในอังกฤษ ปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นก็คือปัญหาที่ว่าใครจะเป็นผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยในทางกฎหมายเป็นที่สุด อำนาจดังกล่าวควรอยู่กับกษัตริย์ สภา หรือศาล Francis Bacon (ค.ศ.๑๕๖๑ ถึง ๑๖๒๖) เห็นว่าโดยเหตุที่กษัตริย์มีอำนาจปกครองโดยเด็ดขาด และดำรงอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยรัฐสภา หรือ Common Law ที่พัฒนาขึ้นโดยศาล ดังนั้นกษัตริย์จึงมีอำนาจเหนือรัฐสภาและศาล15 ด้วยเหตุดังกล่าวกษัตริย์ย่อมต้องมีอำนาจในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ผ่านรัฐสภามาแล้วและมีอำนาจที่จะเข้ายุ่งเกี่ยวกับทางปฏิบัติของศาลโดยสามารถตรวจสอบแนวคำพิพากษาบรรทัดฐานตาม Common Law ได้ อย่างไรก็ตามพัฒนาการทางการเมืองในเวลาต่อมาก็ไม่ได้เป็นไปตามแนวความคิดของ Francis Bacon เนื่องจากรัฐสภาสามารถจำกัดอำนาจกษัตริย์จนสำเร็จและได้กลายเป็นรัฐาธิปัตย์แทนที่กษัตริย์อังกฤษ และในช่วงที่รัฐสภาอังกฤษต่อสู้กับกษัตริย์อยู่นี้ ศาลก็ได้เข้ามีบทบาทด้วย โดย Sir Edward Coke (ค.ศ.๑๕๕๒ ถึง ๑๖๓๔) ได้พิพากษาคดีไปในทางยืนยันความเป็นกฎหมายสูงสุดของ Common Law ที่พัฒนาขึ้นโดยศาล โดยเห็นว่าทั้งกษัตริย์16และรัฐสภา17ย่อมต้องตกอยู่ภายใต้ Common Law กษัตริย์ก็ดี รัฐสภาก็ดีจะตรากฎหมายหรือกำหนดกฎเกณฑ์ใดให้ขัดกับ Common Law ไม่ได้ และศาลทรงไว้ซึ่งอำนาจเด็ดขาดในการวินิจฉัยว่ากฎหมายหรือกฎเกณฑ์นั้นขัดหรือแย้งกับ Common Law หรือไม่ แม้ว่าแนวความคิดและคำพิพากษาของ Coke จะไม่ได้ทำให้ศาลกลายผู้ทรงอำนาจสูงสุดในระบบการปกครองของอังกฤษ เพราะศาลต้องผูกพันต่อกฎหมายที่สภาตราขึ้น จะอ้าง Common Law ปฏิเสธกฎหมายที่สภาตราขึ้นไม่ได้ แม้กระนั้นแนวความคิดของ Coke ที่ปรากฏในคำพิพากษาก็ได้เป็นส่วนประกอบสำคัญของหลักนิติธรรมในอังกฤษจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้

ในศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐสภาเข้มแข็งมากแล้วนั้น คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่โดยขึ้นอยู่กับสภาผู้แทนราษฎร และในเวลาต่อมาก็ค่อยสลัดตนเองพ้นจากอิทธิพลของราชวงศ์ เมื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ ๒๐ อาจกล่าวได้ว่าอังกฤษได้พัฒนาตนไปสู่ความเป็นรัฐเสรีประชาธิปไตยที่ยอมรับสิทธิเลือกตั้งของราษฎร สภาผู้แทนราษฎรอังกฤษพัฒนาไปในทิศทางของการมีพรรคการเมืองใหญ่สองพรรคผลัดกันเข้ามาบริหารประเทศ โดยฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเริ่มมีอำนาจมากขึ้น และยังคงความเข้มแข็งจนถึงทุกวันนี้

3.2 เนื้อหาของหลักนิติธรรม

นักกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษที่มีบทบาทมากที่สุดคนหนึ่งในการช่วยพัฒนาหลักนิติธรรม ก็คือ A.V. Dicey (ค.ศ.๑๘๓๕ ถึง ๑๙๒๒) ตำราของเขาที่ชื่อว่า Introduction to the Study of the Law of the Constitution (พิมพ์ครั้งแรก ค.ศ.๑๘๘๕) ได้กลายเป็นตำรามาตรฐานและเป็นตำราที่นักกฎหมายรัฐธรรมนูญอังกฤษส่วนใหญ่ต้องอ้างอิงเมื่อจะต้องอธิบายความหมายของหลักนิติธรรม Dicey เห็นว่า หลักนิติธรรมจะต้องสัมพันธ์ใกล้ชิดกับความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา18 และหลักนิติธรรมนั้นย่อมมีเนื้อหาสาระที่สำคัญ คือ บุคคลทุกคนย่อมเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย บุคคลไม่ว่าจะในชนชั้นใดย่อมต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายปกติธรรมดาของแผ่นดิน (the ordinary law of the land) ซึ่งบรรดาศาลธรรมดาทั้งหลาย (ordinary courts) จะเป็นผู้รักษาไว้ซึ่งกฎหมายดังกล่าว19 หลักนิติธรรมในความหมายนี้ย่อมปฏิเสธความคิดทั้งหลายทั้งปวงที่จะยกเว้นมิให้บรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลายต้องเคารพต่อกฎหมาย บุคคลทั้งหลายย่อมไม่ต้องถูกลงโทษ หากไม่ได้กระทำการอันผิดกฎหมาย และไม่มีผู้ใดทั้งสิ้นแม้แต่กษัตริย์ที่จะอยู่เหนือกฎหมายได้

กล่าวโดยรวมแล้ว Dicey เห็นว่า บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งปวงของรัฐบาลและฝ่ายปกครองจะต้องอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมาย จะต้องไม่กระทำการก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพของราษฎรตามอำเภอใจ หากปรากฏว่ารัฐบาลหรือฝ่ายปกครองกระทำการอันขัดต่อกฎหมาย การกระทำดังกล่าวย่อมต้องถูกฟ้องคดียังศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดาได้ เพราะรัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ย่อมจะมีสิทธิพิเศษใดๆเหนือกว่าราษฎรไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่าหลักนิติธรรมตามแนวความคิดของ Dicey นี้มุ่งเน้นไปที่ความผูกพันต่อกฎหมายของฝ่ายบริหาร ไม่ได้เรียกร้องฝ่ายนิติบัญญัติให้ต้องผูกพันต่อกฎเกณฑ์อื่นใดในการตรากฎหมาย

การที่ Dicey อธิบายเนื้อหาของหลักนิติธรรมในแง่ที่คนทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและภายใต้ศาลเดียวกันตามหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ส่งผลให้ Dicey ปฏิเสธการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเป็นอีกระบบศาลหนึ่งเคียงคู่ขนานกันไปกับศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดา โดย Dicey เห็นว่าหากจัดให้มีศาลปกครองหรือองค์กรอื่นซึ่งไม่ใช่ศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดาทำหน้าที่ตัดสินคดีปกครอง (ดังที่ปรากฏอยู่ในประเทศฝรั่งเศสในเวลานั้น) แล้ว บรรดาข้าราชการต่างๆที่ถูกฟ้องในศาลปกครองว่ากระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายย่อมอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบกว่าราษฎรทั่วไป ซึ่ง Dicey เห็นว่าไม่ถูกต้อง แนวความคิดนี้ได้รับการยึดถือและเดินตามในบรรดาประเทศที่ได้รับอิทธิพลจากระบบกฎหมายอังกฤษจนถึงปัจจุบันนี้

นอกจากนี้แล้ว บรรดาสิทธิทั้งหลายทั้งปวงของราษฎรนั้นย่อมเกิดจากกฎหมายที่รัฐสภาได้ตราขึ้นและเกิดจากกฎหมายประเพณีที่พัฒนามาโดยศาล อาจกล่าวได้ว่า สิทธิขั้นพื้นฐานของราษฎรอังกฤษไม่ได้รับการคุ้มครองและปกป้องโดยรัฐธรรมนูญ แต่ได้รับการปกป้องและคุ้มครองโดยรัฐสภาและศาล

โดยเหตุที่ในระบบกฎหมายอังกฤษ รัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ศาลของอังกฤษไม่อำนาจที่จะตรวจสอบว่ากฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือชอบด้วยกฎหมายใดๆ หรือไม่ กล่าวในทางทฤษฎีแล้ว รัฐสภาอังกฤษสามารถตรากฎหมายให้มีเนื้อหาสาระอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิพลเมืองไม่ได้มีฐานะเป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายอื่นใดที่จะผูกพันรัฐสภาอังกฤษได้ ระบบการประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคลในอังกฤษจึงแตกต่างจากหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศในภาคพื้นยุโรปที่ถือว่าสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลนั้นมีค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญ และย่อมผูกพันรัฐสภาในการตรากฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม ไม่พึงเข้าใจว่าระบบกฎหมายอังกฤษไม่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ในทางปฏิบัติสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐสภาและโดย Common Law ที่พัฒนามาโดยศาลในมาตรฐานที่ไม่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆในภาคพื้นยุโรปเลย

แน่นอนว่าในทางทฤษฎี เมื่อยอมรับว่ารัฐสภามีอำนาจสูงสุด กรณีจึงอาจเป็นไปได้ที่รัฐสภานั้นเองจะกระทำการอันก้าวล่วงสิทธิเสรีภาพของบุคคลโดยตรากฎหมายจำกัดตัดทอนสิทธิของบุคคลเสียโดยไม่เป็นธรรม และเมื่อหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภาอยู่เหนือกว่าหลักนิติธรรมเสียแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องประกันสิทธิและเสรีภาพของราษฎรจากการคุกคามโดยรัฐสภาได้ แต่ทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นในอังกฤษ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะตามจารีตประเพณีแล้วรัฐสภาจะไม่ตรากฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับหลักนิติธรรม ยิ่งไปกว่านั้นโดยเหตุที่การตรากฎหมายของรัฐสภาย่อมขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐบาล และพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลย่อมเป็นพรรคการเมืองที่ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หากพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลซึ่งครองเสียงข้างมากสนับสนุนให้ตรากฎหมายที่กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างรุนแรงแล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งครั้งถัดมาย่อมเป็นที่คาดหมายได้ ในที่สุดแล้ว การตรากฎหมายของรัฐสภาจึงขึ้นอยู่กับเจตจำนงของประชาชน กล่าวให้ถึงที่สุดแล้วประชาชนอังกฤษนั้นเองที่จะเป็นผู้กำหนดทิศทางหลักๆของการตรากฎหมาย และเมื่อกล่าวว่ารัฐสภาเป็นผู้ทรงอำนาจสูงสุด ในระบอบประชาธิปไตยที่พัฒนามาในอังกฤษ ย่อมต้องเข้าใจว่ารัฐสภาย่อมทรงอำนาจสูงสุดในหมู่องค์กรต่างๆของรัฐ แต่ในที่สุดแล้ว ในทางการเมืองก็อยู่ใต้ประชาชน ดังนั้นในประเทศอังกฤษ การจำกัดอำนาจของรัฐสภาจึงไม่ได้เกิดจากกฎหมายเหมือนกับในภาคพื้นยุโรป แต่เกิดจากธรรมชาติทางการเมืองและจารีตประเพณีที่รับสืบต่อกันมา ในประเทศที่สิทธิเสรีภาพฝังลึกอยู่ในจิตวิญญาณประชาชาติเช่นประเทศอังกฤษนี้ ย่อมไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใดเลยที่จะต้องบัญญัติกฎเกณฑ์ว่าด้วยความเป็นนิติรัฐ หรือบัญญัติรัฐธรรมนูญกำหนดสิทธิเสรีภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นมาตราๆไป

แม้ว่าในปัจจุบัน การให้คำอธิบายเกี่ยวกับเนื้อหาของหลักนิติธรรม อาจจะแตกต่างกันอยู่บ้างในรายละเอียด แต่องค์ประกอบสำคัญของหลักนิติธรรมนั้น ตำราต่างๆก็ไม่ได้อธิบายความแตกต่างกันมากนัก องค์ประกอบที่สำคัญของหลักนิติธรรม คือ ความคาดหมายได้ของการกระทำของรัฐ ความชัดเจนของกฎหมาย ความมั่นคงของกฎหมาย ความเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปของกฎหมาย ความเป็นอิสระของศาล การเคารพในหลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ ตลอดจนความสะดวกในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม ในยุคหลังมีผู้อธิบายลักษณะของกฎหมายที่จะช่วยสร้างให้เกิดการปกครองตามหลักนิติธรรม ดังเช่นคำอธิบายของ Lon L. Fuller นักนิติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกันที่เห็นว่ากฎหมายที่จะทำให้หลักนิติธรรมปรากฏเป็นจริงได้นั้นต้องมีลักษณะสำคัญ20 คือ

1)กฎหมายจะต้องบังคับเป็นการทั่วไปกับบุคคลทุกคน ไม่เว้นแม้แต่องค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐ
2)กฎหมายจะต้องได้รับการประกาศใช้อย่างเปิดเผย
3)กฎหมายจะต้องได้รับการตราขึ้นให้มีผลบังคับไปในอนาคต ไม่ใช่ตราขึ้นเพื่อใช้บังคับย้อนหลังไปในอดีต
4)กฎหมายจะต้องได้รับการตราขึ้นโดยมีข้อความที่ชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดการบังคับใช้ที่ไม่เป็นธรรม
5)กฎหมายจะต้องไม่มีข้อความที่ขัดแย้งกันเอง
6)กฎหมายจะต้องไม่เรียกร้องให้บุคคลปฏิบัติในสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้
7)กฎหมายต้องมีความมั่นคงตามสมควร แต่ก็จะต้องเปิดโอกาสให้แก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปได้
8)กฎหมายที่ได้รับการประกาศใช้แล้วจะต้องได้รับการบังคับให้สอดคล้องต้องกัน กล่าวคือต้องบังคับการให้เป็นไปตามเนื้อหาของกฎหมายที่ได้ประกาศใช้แล้วนั้น

4.ผลของหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมและความแตกต่างระหว่างหลักการทั้งสอง

เมื่อพิจารณาความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ประกอบกับการปรับใช้หลักนิติรัฐและนิติธรรมในระบบกฎหมายเยอรมันและระบบกฎหมายอังกฤษแล้ว พบว่าหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมมีความแตกต่างกันอยู่ ทั้งในแง่ของบ่อเกิดของกฎหมาย วิธีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน การกำหนดให้มีหรือไม่มีศาลปกครองและระบบวิธีพิจารณาคดี ตลอดจนการแบ่งแยกอำนาจ ดังจะชี้ให้เห็นได้ในเบื้องต้น ดังนี้

4.1 ความแตกต่างในแง่บ่อเกิดของกฎหมาย

ในระบบกฎหมายอังกฤษ ผู้พิพากษาซึ่งแต่เดิมเป็นผู้แทนของกษัตริย์นั้นได้เริ่มพัฒนา Common Law มาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ ๑๒ ทั้งนี้เพื่อให้อำนาจของกษัตริย์ที่ส่วนกลางมั่นคงเข้มแข็ง กฎหมายที่ศาลใช้ในการตัดสินคดีนั้นมีลักษณะทั่วไป กล่าวคือ เป็นกฎเกณฑ์ที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไปในราชอาณาจักร จึงเรียกว่า Common Law21 กฎหมายดังกล่าวได้รับการ “สร้าง” ขึ้นโดยผู้พิพากษา เมื่อศาลได้ตัดสินคดีใดคดีหนึ่งไปแล้ว หลักกฎหมายที่ศาลได้สร้างขึ้นเพื่อใช้ตัดสินคดีก็ตกทอดต่อมาเป็นลำดับ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองด้วย “กฎหมาย” ในระบบกฎหมายอังกฤษ จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะแต่กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นโดยรัฐสภาที่เรียกว่า “Statute Law” เท่านั้น แต่ยังหมายถึงหลักการและแนวทางการตัดสินของผู้พิพากษา (Case Law) ที่เกิดจากจารีตธรรมเนียมปฏิบัติในอดีตอันเป็นกฎเกณฑ์ที่ศาลยอมรับสืบต่อกันมา (Common Law) ด้วย เอกสารทางประวัติศาสตร์อย่าง Magna Carta (ค.ศ.๑๒๑๕) Petition of Right (ค.ศ.๑๖๒๘) Habeas Corpus (ค.ศ.๑๖๗๙) หรือ Bill of Right (ค.ศ.๑๖๘๙) ยังมีฐานะเป็นบ่อเกิดของกฎหมายที่ศาลสามารถนำมาใช้ตัดสินได้ในอังกฤษจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อนึ่ง โดยเหตุที่ Common Law มีผลใช้บังคับได้ในคดีที่ศาลได้ตัดสินวางหลักไปแต่ละคดี คำว่า Case Law กับ Common Law จึงเป็นคำที่ใช้ในความหมายเดียวกัน นั่นคือหมายถึง กฎหมายที่เกิดจากผู้พิพากษา

การที่ระบบกฎหมายอังกฤษยอมรับให้ผู้พิพากษาสามารถ “สร้าง” กฎหมายขึ้นมาได้เองนี้ ส่งผลให้ระบบกฎหมายของอังกฤษมีลักษณะที่ยืดหยุ่น และสามารถพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าในระบบกฎหมายอังกฤษ ศาลจะเปลี่ยนแปลงแนวการตัดสินอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ เพราะหลัก “satre decisis” คือ หลักที่ว่าศาลในคดีหลังต้องผูกพันตามหลักกฎหมายที่ศาลในคดีก่อนได้ตัดสินไว้แล้ว ยังเป็นหลักที่สำคัญ การเปลี่ยนแปลงแนวคำพิพากษาจึงไม่ใช่จะกระทำได้โดยง่าย

ในขณะที่ระบบกฎหมายอังกฤษเริ่มพัฒนามาโดยให้ผู้พิพากษามีอำนาจ “สร้าง” กฎหมายขึ้นมาได้นั้น ระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปกลับมีธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างออกไป เพราะในภาคพื้นยุโรปกฎหมายเกิดขึ้นจากการตราโดยกระบวนการนิติบัญญัติ ผู้พิพากษาในฐานะที่เป็นผู้ที่รับใช้รัฐมีหน้าที่ในการปรับใช้กฎหมาย การตัดสินคดีของผู้พิพากษาในแต่ละคดีไม่มีผลเป็นการสร้างกฎหมายขึ้นมาใหม่ แนวทางการตัดสินคดีของศาลในภาคพื้นยุโรปจึงไม่ถือว่าเป็นบ่อเกิดของกฎหมาย

เมื่อเปรียบเทียบกับระบบกฎหมาย Common Law ของอังกฤษ ระบบกฎหมาย Civil Law ของภาคพื้นยุโรปมีลักษณะเป็นระบบกฎหมายที่ “ปิด” กว่า ข้อดีของระบบนี้ก็คือ ความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะจะมีสูงกว่า แต่ก็อาจจะมีข้ออ่อนตรงการปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ตาม การประมวลถ้อยคำขึ้นตัวบทกฎหมายในระบบกฎหมาย Civil Law นั้น ถ้อยคำจำนวนหนึ่งเป็นถ้อยคำเชิงหลักการ หรือถ้อยคำที่มีความหมายไม่เฉพาะเจาะจง ศาลในระบบกฎหมาย Civil Law จึงมีความสามารถในการตีความตัวบทกฎหมายให้สอดรับกับความยุติธรรมและสภาพของสังคมได้เช่นกันภายใต้กรอบของนิติวิธี

4.2 ความแตกต่างในแง่ของการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน

โดยเหตุที่ระบบกฎหมาย Common Law ในอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร การประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในอังกฤษ จึงไม่ได้เป็นการประกันในระดับรัฐธรรมนูญ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในอังกฤษไม่ได้มีฐานะเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับโดยตรงและอยู่ในลำดับชั้นที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดาที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติบุคคลย่อมได้รับการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานโดยองค์กรตุลาการ

ในภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายเยอรมัน การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลเป็นการคุ้มครองในระดับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่ได้รับการบัญญัติไว้ใน “กฎหมายพื้นฐาน” ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศเยอรมนีนั้น ผูกพันทั้งองค์กรนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการในฐานะที่เป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้โดยตรง22 ซึ่งหมายความว่าในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ องค์กรนิติบัญญัติมีหน้าที่ในทางรัฐธรรมนูญที่จะต้องไม่ตรากฎหมายให้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน มิฉะนั้นย่อมต้องถือว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ

4.3 ความแตกต่างในแง่ของการควบคุมตรวจสอบการตรากฎหมาย

ตามหลักนิติรัฐ องค์กรนิติบัญญัติย่อมต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญในการตรากฎหมายขึ้นใช้บังคับ เพื่อให้หลักความผูกพันต่อรัฐธรรมนูญขององค์กรนิติบัญญัติมีผลในทางปฏิบัติ ประเทศหลายประเทศที่ยอมรับหลักนิติรัฐจึงกำหนดให้มีองค์กรที่ควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่องค์กรนิติบัญญัติตราขึ้น องค์กรที่ทำหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้ โดยปกติแล้วย่อมได้แก่ศาลรัฐธรรมนูญ อาจกล่าวได้ว่าตามหลักนิติรัฐ การตรากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัติย่อมตกอยู่ภายใต้การควบคุมตรวจสอบขององค์กรตุลาการ อย่างไรก็ตามการควบคุมตรวจสอบการตรากฎหมายขององค์กรนิติบัญญัตินั้น องค์กรตุลาการซึ่งทำหน้าที่ดังกล่าวนี้ คือ ศาลรัฐธรรมนูญก็ต้องผูกพันตนต่อรัฐธรรมนูญด้วย ศาลรัฐธรรมนูญจึงควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติโดยเกณฑ์ในทางกฎหมาย ไม่อาจนำเจตจำนงของตนเข้าแทนที่เจตจำนงขององค์กรนิติบัญญัติได้

ในอังกฤษซึ่งเดินตามหลักนิติธรรมนั้น ถือว่ารัฐสภาเป็นรัฐาธิปัตย์ ในทางทฤษฎีรัฐสภาสามารถตรากฎหมายอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่อาจมีกรณีที่รัฐสภาตรากฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ แม้หากว่าจะมีผู้ใดอ้างว่ารัฐสภาตรากฎหมายขัดกับรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี การอ้างเช่นนั้นก็หามีผลทำให้กฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภานั้นสิ้นผลลงไม่ ศาลในอังกฤษไม่มีอำนาจที่จะตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา และด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงไม่มีศาลรัฐธรรมนูญ การควบคุมการตรากฎหมายของรัฐสภาอังกฤษจึงเป็นการควบคุมกันทางการเมือง ไม่ใช่ทางกฎหมาย
เมื่อพิจารณาจากองค์กรที่ตรากฎหมายตลอดจนกระบวนการควบคุมตรวจสอบกฎหมายมิให้ขัดกับรัฐธรรมนูญแล้ว เราอาจจะกล่าวได้ว่า หลักนิติรัฐที่พัฒนามาในเยอรมนีสัมพันธ์กับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ และการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญโดยองค์กรตุลาการ ในขณะที่หลักนิติธรรมที่พัฒนามาในอังกฤษสัมพันธ์กับหลักความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา

4.4 ความแตกต่างในแง่ของการมีศาลปกครองและระบบวิธีพิจารณาคดี

ระบบกฎหมายอังกฤษไม่มีการแบ่งแยกกฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนออกจากกัน ด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงไม่มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเป็นอีกระบบศาลหนึ่งโดยเฉพาะคู่ขนานไปกับศาลยุติธรรมดังที่ปรากฏในภาคพื้นยุโรป ในการฟ้องร้องขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำของฝ่ายปกครองนั้น ราษฎรอังกฤษอาจฟ้องได้ในศาลยุติธรรมหรือศาลธรรมดา โดยหลักนิติธรรมถือว่าทั้งราษฎรและองค์กรเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและภายใต้ศาลเดียวกัน
ระบบกฎหมายเยอรมันซึ่งแยกกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนออกจากกันนั้น ไม่ได้ยึดถือหลักการทำนองเดียวกับหลักนิติธรรมในอังกฤษที่เรียกร้องให้การพิจารณาพิพากษาคดีต้องภายใต้ “ศาลปกติธรรมดา” (ordinary court) เท่านั้น ปัจจุบันนี้ประเทศเยอรมนีมีระบบศาลแยกออกต่างหากจากกันถึงห้าระบบศาล (ยังไม่นับศาลรัฐธรรมนูญ) คือ ระบบศาลธรรมดา (ศาลยุติธรรม) ระบบศาลปกครอง ระบบศาลแรงแรงงาน ระบบศาลภาษีอากร และระบบศาลสังคม โดยคดีปกครองจะได้รับการพิจารณาจากศาลใน ๓ ระบบศาล คือ คดีปกครองทั่วไป จะได้รับการพิจารณาโดยศาลปกครอง ส่วนคดีปกครองที่มีลักษณะเฉพาะ คือ คดีภาษีอากร จะได้รับการพิจารณาโดยศาลภาษีอากร และคดีสังคม (ข้อพิพาทอันเกิดจากกฎหมายประกันสังคม ฯลฯ) จะได้รับการพิจารณาโดยศาลสังคม

อาจกล่าวได้ว่าในขณะที่หลักนิติธรรมที่พัฒนามาในระบบกฎหมายอังกฤษปฏิเสธการจัดตั้งศาล “เฉพาะ” เพื่อพิจารณาพิพากษาคดี เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดความไม่เสมลอภาคหรือไม่เท่าเทียมกันนั้น หลักนิติรัฐที่พัฒนามาในระบบกฎหมายเยอรมันไม่มีข้อกังวลต่อปัญหาดังกล่าว อย่างไรก็ตามแนวคิดที่แตกต่างกันในเรื่องนี้ระหว่างระบบกฎหมายอังกฤษกับระบบกฎหมายเยอรมันส่งผลต่อการออกแบบระบบวิธีพิจารณาคดีตลอดจนการนำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นศาลด้วย กล่าวคือ ในระบบกฎหมายอังกฤษ ศาลอังกฤษจะทำหน้าที่เป็นคนกลางอย่างเคร่งครัด ศาลจะรับฟังพยานหลักฐานของคู่ความในคดีไม่ว่าคดีนั้นจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีปกครอง จะควบคุมกระบวนพิจารณาให้คู่ความทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเป็นธรรม แล้วตัดสินคดี บทบาทของผู้พิพากษาในอังกฤษจึงเป็นเสมือนผู้ที่แก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยทำให้ผลของคดีมีลักษณะเป็นการชดเชยให้ความเป็นธรรม23 ในระบบกฎหมายเยอรมัน ในคดีทางกฎหมายมหาชน ศาลเยอรมันมีอำนาจในการค้นหาความจริงในคดีโดยไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับพยานหลักฐานที่คู่ความได้ยื่นมาเท่านั้น ผู้พิพากษาเยอรมันจึงเปรียบเสมือนเป็นแขนของกฎหมายที่ยื่นออกไป มีลักษณะเป็นผู้แทนของรัฐที่ถือดาบและตราชูไว้ในมือ วินิจฉัยคดีไปตามกฎหมายและความยุติธรรม และบังคับใช้กฎหมายให้บรรลุผล24 เมื่อเปรียบเทียบบทบาทของผู้พิพากษาอังกฤษกับเยอรมันแล้ว จะพบว่าผู้พิพากษาเยอรมันจะมีบทบาทมากกว่าในการขับเคลื่อนกระบวนพิจารณาคดี ในขณะที่ผู้พิพากษาอังกฤษจะทำหน้าที่คล้ายเป็นคนกลางผู้ควบคุมกฎการต่อสู้คดีเท่านั้น แม้กระนั้นอำนาจของผู้พิพากษาศาลอังกฤษในแง่ของการสั่งลงโทษบุคคลก็มีมากกว่าผู้พิพากษาของศาลเยอรมัน ในคดีปกครองศาลอังกฤษอาจสั่งลงโทษบุคคลฐานละเมิดอำนาจศาลได้ แม้บุคคลนั้นจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หากปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล ในขณะที่ศาลปกครองเยอรมัน แม้ศาลจะมีอำนาจสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการได้ แต่หากเจ้าหน้าที่ไม่ปฏิบัติ ศาลปกครองก็ไม่มีอำนาจสั่งลงโทษเจ้าหน้าที่โดยถือว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดอำนาจศาลได้25

4.5 ความแตกต่างในแนวความคิดเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ

หลักนิติรัฐถือว่าหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นหลักการที่เป็นองค์ประกอบสำคัญอันจะขาดเสียมิได้ ในขณะที่เมื่อพิเคราะห์คำอธิบายว่าด้วยหลักนิติธรรมแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ปรากฏเรื่องการแบ่งแยกอำนาจในหลักนิติธรรม ในทางตำราก็ปรากฏข้อถกเถียงกันอยู่ว่าตกลงแล้วในอังกฤษมีการแบ่งแยกอำนาจจริงหรือไม่ นักกฎหมายบางท่านมีความเห็นว่าในอังกฤษรัฐสภากับรัฐบาลมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก นอกจากนี้ยังปรากฏว่าในอังกฤษมีการมอบอำนาจให้องค์กรฝ่ายปกครองออกกฎหมาย บังคับการตามกฎหมาย และอาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทในลักษณะที่เป็นการกระทำในทางตุลาการด้วย ดังนั้นจึงอาจจะพอกล่าวได้ว่าอังกฤษไม่มีการแบ่งแยกอำนาจ26 อย่างน้อยก็ไม่ได้มีการแบ่งแยกอำนาจในความหมายเดียวกันกับที่ปรากฏในภาคพื้นยุโรป อย่างไรก็ตามในส่วนที่เกี่ยวกับองค์กรตุลาการ ทั้งหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างมีองค์ประกอบประการหนึ่งตรงกัน คือ การยอมรับความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ

5. บทส่งท้าย

ถึงแม้ว่าหลักนิติรัฐกับหลักนิติธรรมจะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่หลักการทั้งสองต่างก็เป็นหลักการที่มุ่งจะสร้างความยุติธรรมและสันติสุขให้เกิดขึ้นในระบบกฎหมายเหมือนกัน และคงจะตอบได้ยากว่าหลักการใดดีกว่าหลักการใด หากนำเอาแนวความคิดทั้งสองมาพิเคราะห์เพื่ออธิบายระบบกฎหมายไทยโดยมุ่งไปที่การจัดโครงสร้างขององค์กรของรัฐในรัฐธรรมนูญไทยตลอดจนการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรแล้ว จะเห็นได้ว่าในแง่ของรูปแบบ ระบบกฎหมายไทยพยายามจะเดินตามแนวทางของหลักนิติรัฐที่พัฒนามาในภาคพื้นยุโรป ดังจะเห็นได้จากการยอมรับหลักการแบ่งแยกอำนาจในมาตรา ๓ การยอมรับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญในมาตรา ๖ ตลอดจนการประกันสิทธิเสรีภาพของราษฎรไว้ในหมวด ๓ แม้กระนั้นเมื่อพิเคราะห์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ประกอบกับทางปฏิบัติที่เกิดจากการปรับใช้รัฐธรรมนูญแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศไทยยังห่างไกลจากความเป็นนิติรัฐมากนัก แม้มาตรา ๓ ของรัฐธรรมนูญจะประกาศยอมรับหลักการแบ่งแยกอำนาจ แต่หลักการดังกล่าวก็ได้ถูกทำลายลงในมาตรา ๒๓๙ ที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจวินิจฉัยเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลก่อนประกาศผลการเลือกตั้งและให้คำวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุด ซึ่งเท่ากับให้อำนาจองค์กรที่ทำหน้าที่บริหารจัดการการเลือกตั้งเป็นศาลได้ในตัวเอง แม้รัฐธรรมนูญจะยอมรับสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลใน หมวด ๓ แต่ก็ทำลายหลักการประกันสิทธิทางการเมืองของบุคคลในมาตรา ๒๓๗ ที่กำหนดการให้การกระทำความผิดของบุคคลคนเดียวนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองทั้งพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของบุคคลที่เป็นกรรมการบริหารพรรคด้วย แม้บุคคลนั้นจะไม่ได้กระทำความผิดก็ตาม แม้มาตรา ๖ ของรัฐธรรมนูญจะประกาศหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ แต่หลักการดังกล่าวก็ถูกทำลายลงในมาตรา ๓๐๙ เพราะตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว แม้จะกระทำต่อไปในอนาคต ก็ได้รับการรับรองไว้ล่วงหน้าแล้วว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มิพักต้องคำนึงว่าการกระทำนั้นจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ เมื่อพิจารณาในทางนิติศาสตร์แล้ว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่เขียนขัดแย้งกันเองมากที่สุดฉบับหนึ่ง หากไม่พิเคราะห์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งฉบับบนพื้นฐานความเข้าใจแนวความคิดว่าด้วยนิติรัฐหรือนิติธรรมที่ยอมรับนับถือกันในสากลแล้ว ก็ย่อมจะไม่เห็นการซ่อนเร้นอำพรางแนวความคิดทางกฎหมายที่เป็นปรปักษ์กับหลักนิติรัฐหรือหลักนิติธรรม ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหากแนวความคิดที่ปรปักษ์กับหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมยังคงถูกอำพรางอยู่ในรัฐธรรมนูญในนามของการปกครองแบบไทยๆดังที่มีความพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐธรรมนูญฉบับที่อำพรางว่าเป็นนิติรัฐนี้แล้ว ความยุติธรรมและสันติสุขในระบบกฎหมายย่อมยากที่จะเกิดขึ้นได้.

---------------------------------------------

1. ในชั้นการประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างแม้จะมีการอภิปรายถึงคำว่านิติรัฐและนิติธรรม แต่ไม่ปรากฏ การอภิปรายในทางเนื้อหาถึงความแตกต่างของหลักการทั้งสอง ไม่มีกรรมาธิการผู้ใดอภิปรายถึงความเชื่อมโยงของหลักนิติธรรมกับความมีอำนาจสูงสุดของรัฐสภา และความเชื่อมโยงของหลักนิติรัฐกับการยอมรับค่าบังคับของสิทธิขั้นพื้นฐานว่าเป็นค่าบังคับในระดับรัฐธรรมนูญเลย ในชั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญก็เช่นเดียวกัน คงมีแต่การอภิปรายว่าหลักการใดกว้างแคบอย่างไร ซึ่งไม่ทำให้เห็นถึงสารัตถะของความเหมือนและความแตกต่างของหลักการทั้งสอง จนทำให้ในที่สุดแล้ว แม้จะมีการลงคะแนนเสียงเพื่อหาข้อยุติในการใช้ถ้อยคำ แต่ก็ไม่มีผู้ใดสรุปได้ว่าความเหมือนและความแตกต่างในทางเนื้อหาของหลักการทั้งสองคืออะไรกันแน่ อนึ่ง หากตรวจดูบันทึกเจตนารมณ์ของคณะกรรมาธิการวิสามัญบันทึกเจตนารมณ์ จดหมายเหตุและตรวจรายงานการประชุม สภาร่างรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ได้ความกระจ่างเช่นกัน

2. D. Zolo, The Rule of Law : A Critical Reappraisal, in : P. Costa / D. Zolo (eds.), The Rule of Law History, Theory and Criticism, Dordrecht : Springer, 2007, p. 3.

3. J. Stone, The Province and Function of Law, Cambridge : Harvard University Press, 1950, p. 713.; P. Van Dijk, Judicial Review of Governmental Action and the Requirement of a Interest to Sue, Alphen aan den Rijn: Sijthoff & Noordhoff, 1980, p. 1.

4. N. MacCormick, “Constitutionalism and Democracy” in R. Bellamy (ed.), Theories and Concepts of Politics, Manchester (NY) : Manchester University Press, 1993, pp. 125, 128-30; อย่างไรก็ตาม MacCorMick เห็นว่า นิติรัฐ (Rechtsstaat) ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญจาก นิติธรรม (rule of law) ดู N. MacCormick, Der Rechtstaat und die “rule of law”, Juristenzeitung, 39 (1984), p. 56.

5. K. Doehring, Allgemeine Staatslehre, Heidelberg : Mueller, 2004., p. 172.

6. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, Berlin Heidelberg : Springer, 2004, p. 227.

7. Böckenförde E.-W., Recht, Staat, Freiheit, Frankfurt a.M.: Suhrkamp, 1991, p. 146.

8. A. Katz, Staatsrecht, Heidelberg : Mueller, 1999, p. 83.

9. งานเขียนในภาคภาษาไทยที่อธิบายสรุปหลักนิติธรรมในแง่ความเป็นมาไว้เป็นอย่างดี ดู จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๗ (หรือที่พิมพ์ปีอื่นๆ) บทที่ ๑๔ บริบททางสังคมและประวัติศาสตร์ของอุดมการณ์ “หลักนิติธรรม”.

10. Th. Fleiner / L. Basta Fleine, Allgemeine Staatslehre, Berlin-Heidelberg : Springer, 2004, p. 226.

11. Magna Carta เป็นชื่อที่เรียกกันย่อๆของเอกสารฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า Magna Carta Libertatum ซึ่งอาจจะแปลได้ว่า “มหาบัตรแห่งเสรีภาพ”

12. ดู อาทิ article 39 Magna Carta “ No free man shall be arrested or imprisoned or dissseised or outlawed or exiled or in any way victimised, neither will we attack him or send anyone to attack him, except by the lawful judgment of his peers or by the law of the land.”

13. G. Decker / M. Wirth, Das politische System Grossbritaniens, Berlin : Wissenschaftlicher Autoren, 1982,p. 7.

14. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 229.

15. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 231.

16. ความเห็นของ Coke ในเรื่องนี้ปรากฏใน Case of Proclamations (1610),12 Co. Rep. 74.

17. ความเห็นของ Coke ในเรื่องนี้ปรากฏใน Dr. Bonham's Case (1610), 8 Co. Rep. 114.

18. A.V. Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution (1885), London : Macmillan, 1959,p. 195.

19. A.V. Dicey, Introduction to the Study of the Law of the Constitution, pp. 187-203.

20. L. L. Fuller, The Morality of law, Revised Edition, New Haven : Yale University Press, 1969. pp. 46-91.

21. คำว่า Common Law มีหลายความหมาย โดยทั่วไปหมายถึงกฎหมายของอังกฤษทั้งหลายทั้งปวงที่รวมกันขึ้นเป็นระบบกฎหมายที่มีลักษณะเฉพาะ แตกต่างจากระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปที่เรียกว่า Civil Law ส่วนอีกความหมายหนึ่งซึ่งเป็นความหมายที่กำลังกล่าวถึงอยู่นี้ Common Law หมายถึงกฎหมายที่ศาลในสมัยกลางพัฒนาขึ้นมาจากบรรดากฎหมายประเพณีต่างๆที่ใช้บังคับรวมกันในราชอาณาจักรอังกฤษ กลายเป็นกฎหมายทั่วไปในราชอาณาจักร ไม่ใช่กฎหมายที่ใชบังคับเฉพาะท้องถิ่นใดหรือเฉพาะชนเผ่าใดชนเผ่าหนึ่งในอังกฤษ

22. กฎหมายพื้นฐานแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มาตรา ๑ (๓) – Grundgesetz der Bundesrepublik Deutschland Art. 1(3).

23. Th. Fleiner, p. 251.

24. Th.Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 251.

25. Th. Fleiner / L. Basta Fleiner, Allgemeine Staatslehre, p. 265.

26. K. Loewenstein, Staatsrecht und Staatspraxis von Grossbritannien, Bd. I, Berlin-Heidelberg-New York: Springer, 1967, p. 84.

17 September 2010 | by สาวตรี สุขศรี | tags นิติรัฐ บทความ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

นิติราษฏร์ ฉบับที่ ๑ (วรเจตน์ ภาคีรัตน์)

เมื่อสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์คิดการที่จะสร้างชุมชนทางวิชาการเล็กๆในทางนิติศาสตร์เพื่อส่งเสริมความรู้ความเข้าใจทางกฎหมายที่ถูกต้อง เพื่อสนับสนุนการสร้างสรรค์ประชาธิปไตย และเพื่อเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งนิติรัฐและความยุติธรรมให้เจริญงอกงามในสังคมไทย เรื่องหนึ่งที่พวกเราคิดกันนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่กล่าวมาแล้วก็คือ เว็บไซต์ที่เราจะตั้งขึ้นนั้น ควรจะมีชื่อว่าอะไร มีชื่อที่เราคิดกันหลายชื่อ ในที่สุดเราก็ได้ชื่อที่อยู่หรือที่ตั้งของเว็บไซต์ว่า www.enlightened-jurists.com

ทำไมต้อง enlightened jurists

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วงชิงอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจ ตลอดจนทำลายอำนาจ การช่วงชิง สร้างความชอบธรรม และทำลายล้างในนามของกฎหมายและความยุติธรรมนั้น ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลที่ลึกอย่างยิ่งให้กับวงการกฎหมายและวงวิชาการ นิติศาสตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลสร้างความอยุติธรรมอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมโดยรวม ด้วย เมื่อได้สนทนาแลกเปลี่ยนกัน เราเห็นตรงกันว่าเหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์แบบนี้ขึ้นในสังคม ก็เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน

เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ เราเห็นว่าสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไปสู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาหรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumières; Aufklärung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไปสู่ความเป็นประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของ Enlightenment คือ การเกิดความเคลื่อนไหวทางความคิดในทุกแขนงวิชา โดยการเคลื่อนไหวทางความคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ การสงสัยต่อสิ่งที่ยอมรับเด็ดขาดเป็นยุติ ห้ามโต้แย้ง ห้ามคิดต่าง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือคำสอนทางศาสนา ทั้งนี้โดยที่ถือว่า “เหตุผล” มีคุณค่าเท่าเทียมกับ “ความดี” การใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรองไม่หลงเชื่ออะไรอย่างงมงายมีค่าเป็นคุณธรรม ถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสามารถที่จะได้รับการฝึกฝนให้ใช้สติปัญญาได้ และถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวอย่างเท่าทัน ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดการเรียกร้องให้มีขันติธรรมในเรื่องความเชื่อทางศาสนา กล่าวให้ถึงที่สุด ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คือ ยุคที่เสรีภาพจะเข้าแทนที่สมบูรณาญาสิทธิ์ ความเสมอภาคจะเข้าแทนที่ระบบชนชั้น เหตุผล ความรู้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จะเข้าแทนที่อคติและความงมงายทั้งหลาย

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้นักคิดสกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) และนักคิดในสายถอดรื้อโครงสร้าง (Deconstruction) จะปฏิเสธคุณค่าภววิสัยและความจริงปรมัตถ์และเห็นว่าตรรกะไม่ใช่รากฐานเพียง ประการเดียวของความรู้ของมนุษย์ก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเราไม่เริ่มต้นตั้งคำถาม และใช้สติปัญญาของเราอันเปรียบเสมือนแสงสว่างขับไล่ความมืดมนคืออคติและความงมงายแล้ว เราก็คงจะสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ที่ยุติธรรมไม่ได้ แม้ว่ายุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาจะเป็นเพียงยุคสมัยหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่เราเห็นว่าการใช้เหตุผลและสติปัญญาแสวงหาความจริงเป็นกระบวนการที่ไม่รู้จักจบสิ้น การที่เราเรียกตนเองว่า enlightened jurists จึงมีความหมายแต่เพียงว่าเราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล ที่สามารถยอมรับได้ เราเห็นด้วยกับคำขวัญของยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คำขวัญที่ Immanuel Kant (ค.ศ.๑๗๒๔-๑๘๐๔) นักปรัชญาผู้เรืองนามชาวเยอรมันให้ไว้ว่า

“จงกล้า ที่จะใช้ปัญญาญานแห่งตน!” (Habe Mut, dich deines eigenen Verstandes zu bedienen!)

สำหรับชื่อภาษาไทยที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์” นั้น ความหมายอยู่ในคำขยายที่ตามมา นั่นคือ “นิติศาสตร์เพื่อราษฎร”
ประเด็นก็คือทำไมต้องเป็นนิติศาสตร์เพื่อราษฎร

หากเราย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว เราจะพบความจริงประการหนึ่งว่าวิธีคิดของคนในวงการนิติศาสตร์และระบบตลอดจน โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ไม่ได้ถูกปลูกฝังบ่มเพาะให้เข้าสู่ความรับรู้ของบุคคลในวงการกฎหมายอย่างที่ ควรจะเป็น การเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัฒน์” ในช่วงสามสี่ปีมานี้ ย่อมต้องถือว่าเป็นผลพวงของความล้มเหลวในอันที่จะสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์หลักในวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์ เหตุผลของความล้มเหลวดังกล่าวมีอยู่หลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งน่าจะเนื่องมาจากการที่สถาบันที่อบรมให้ความรู้ทางวิชาการและฝึกฝนวิชาชีพทางกฎหมายตัดตัวเองออกจากการเรียนการสอนกฎหมายมหาชนในแง่ของหลักการและคุณค่าที่แท้จริง นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๐ เป็นต้นมา เราจึงได้เห็นการรัฐประหารและล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารและพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำรัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมายโดยแทบจะไม่มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในทางเนื้อหาของบรรดาประกาศหรือคำสั่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลทำลายคุณค่าของวิชานิติศาสตร์ลงอย่างถึงรากแล้ว ในที่สุดยังเท่ากับเป็นการทำร้ายราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐด้วย

เราเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร เราใช้คำว่า “ราษฎร” โดยถือว่าคำๆนี้มีความหมายนัยเดียวกับ พลเมือง และประชาชนเราเห็นว่าการเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การ ท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออกจากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร วิชานิติศาสตร์ควรจะสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและเริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้ว หาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร เราเห็นว่าการศึกษาวิชานิติศาสตร์อย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผลอธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน ย่อมเท่ากับเป็นการใช้กฎหมายเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย

เว็บไซต์ที่เราทำขึ้นนี้นอกจากจะเป็นที่รวบรวมงานทางวิชาการ กึ่งวิชาการ บทสัมภาษณ์ ตลอดจนความเห็นทางกฎหมายของสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มนิติราษฎร์เพื่อสนับสนุน หลักนิติรัฐและหลักประชาธิปไตยแล้ว เรายังจะคัดสรรเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองและ ประวัติศาสตร์กฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชนมาลงไว้ด้วย การคัดสรรเอกสารเหล่านี้มาลงไว้นอกจากจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการเรียนการ สอนรายวิชาต่างๆแล้ว เรายังหวังให้เอกสารทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ทั้งที่เป็นของไทยและต่างประเทศเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ด้วยตัวของเอกสารนั้นเอง

นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว เรายังเปิดคอลัมน์บทความนักศึกษา เพื่อให้นักศึกษาวิชากฎหมายได้เขียนบทความทางวิชาการหรือกึ่งวิชาการแสดงทัศนะของตนต่อประเด็นปัญหาทางกฎหมายและการเมืองการปกครอง เราหวังว่านี่จะเป็นบันไดขั้นต้นสำหรับนักศึกษาที่รักในความรู้ที่จะได้ แสดงออกซึ่งความสามารถทางวิชาการของตน บทความแรกที่นำเสนอในการเปิดเว็บไซต์นี้คือบทความของคุณกฤษณ์ วงศ์วิเศษธร นักศึกษาปริญญาโท สาขากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่องปรองดองแห่งชาติในสายตาสังคมวิทยากฎหมาย

ส่วนที่สำคัญที่สุดอีกส่วนหนึ่งของเว็บไซต์ คือ บทความแนะนำ ในส่วนนี้สมาชิกผู้ก่อตั้งจะได้นำบทความที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ในการทำความ เข้าใจกฎหมายและการเมืองการปกครองมาลงไว้ ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นบทความในทางนิติศาสตร์เท่านั้น ในชั้นแรกที่สุดนี้เราได้รับความอนุเคราะห์บทความจากอาจารย์ ดร. ณัฐพล ใจจริง เรื่อง “ความชอบด้วยระบอบ” : วิวาทะในคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญของสำนักจารีตประเพณีกับรัฐธรรมนูญนิยม ว่าด้วยอำนาจของพระมหากษัตริย์ (๒๔๗๕-๒๕๐๐)แม้บทความนี้จะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารศิลปวัฒนธรรมมาแล้ว และแพร่หลายไปในวงกว้าง แต่สำหรับในวงวิชาการนิติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ ดูเหมือนว่าจะยังอ่านกันน้อยมาก บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นการต่อสู้ในทางความคิดของนักกฎหมาย ๒ สำนัก คือ สำนักจารีตประเพณี กับสำนักรัฐธรรมนูญนิยม อาจารย์ณัฐพลได้แสดงให้เห็นถึงภูมิหลังของนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบ จารีตนิยม กับนักกฎหมายไทยที่มีแนวความคิดแบบรัฐธรรมนูญนิยม การให้เหตุผลตลอดจนคำอธิบายสถานะในทางรัฐธรรมนูญของพระมหากษัตริย์ตามแนวทาง ของแต่ละสำนัก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเกี่ยวกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด ปัญหาเรื่องการละเมิดไม่ได้กับความรับผิดชอบ ปัญหาเรื่องการรับสนองพระบรมราชโองการ ปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์กับรัฐบาล ปัญหาเรื่องที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ ท้ายที่สุดอาจารย์ณัฐพลได้ชี้ให้เห็นว่าแม้คำอธิบายของสำนักรัฐธรรมนูญนิยม จะได้วางหลักความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญที่น่าสนใจไว้หลายประการ แต่หลักการเหล่านั้นได้สูญหายไปจากคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าบทความนี้จะเขียนถึงการต่อสู้ทางความคิดของนักกฎหมายทั้งสองสำนัก ในช่วง ๒๕ ปีแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๕ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัญหาที่ถกเถียงกันนั้นยังคงเป็นปัญหาหลักในทางการเมืองการปกครองไทยมาจนถึง ปัจจุบันนี้ สำหรับนักศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญแล้ว บทความนี้เป็นบทความที่จะผ่านเลยไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด

เว็บไซต์นี้จะมีความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ สำหรับบทนำที่เราเรียกว่า “นิติราษฎร์ ฉบับที่ ...” นั้นสมาชิกผู้ก่อตั้งจะสลับกันเขียนทุกๆสัปดาห์หรือสองสัปดาห์ แสดงทัศนะและความเห็นทางกฎหมาย เล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การเมืองการปกครอง แนะนำหนังสือ แนะนำบทความ วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง เราหวังว่านี่จะเป็นก้าวเล็กๆในการก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางวิชาการและ ทางความคิดเพื่อส่งเสริมให้การศึกษาวิชานิติศาสตร์มีชีวิตชีวา เพื่อสนับสนุนหลักนิติรัฐ และเพื่อให้ในที่สุดแล้วบทบัญญัติในมาตรา ๑ แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ที่ว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ปรากฏขึ้นเป็นจริง

วรเจตน์ ภาคีรัตน์

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

19 กันยายน คือรัฐประหารที่รุนแรงและนองเลือด

นพพล อาชามาส
  
ถ้าจำกันได้ เหตุผลหนึ่งในการรองรับความชอบธรรมของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 คือรัฐประหารครั้งนั้นไม่นองเลือด (bloodless coup) แถมยังช่วยระงับ หยุดยั้งความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการชุมนุมใหญ่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในวันที่ 20 กันยายน 2549 หรือแม้แต่ข้ออ้างว่าเป็นการช่วยแก้ไขความขัดแย้งที่กำลังดำเนินอยู่ตอนนั้นระหว่างรัฐบาลทักษิณกับพันธมิตรฯ  

แต่ 4 ปีผ่านไป พิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐประหารนอกจากจะไม่สามารถหยุดยั้งความขัดแย้งในสังคม ไม่สามารถปฏิรูปอะไรได้แล้ว กลับนำพาสังคมไทยเข้าสู่ความขัดแย้งที่ลุกลามใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ และแม้จะไม่ได้นำไปสู่ความรุนแรงทันทีทันใด แต่การนองเลือดก็เกิดขึ้นและค่อยๆ มากขึ้นเป็นลำดับเมื่อเวลาผ่านไป

บทความนี้เสนอให้มองการรัฐประหารที่เกิดขึ้นในระยะยาวกว่าวันที่ 19 กันยายน 2549 ยาวกว่าเวลาอยู่ในอำนาจของคมช. หรือยาวกว่าเวลาการมีอำนาจของรัฐบาลพลเอกสรยุทธ์ จุลานนท์ แต่หลังจากวันที่ 19 กันยายน 2549 จนถึงทุกวันนี้ สังคมไทยยังคงอยู่ใน "กระบวนการรัฐประหาร" ที่ไม่สิ้นสุด อีกทั้งยังได้ตกลงไปในหลุมลึกของความขัดแย้งใหม่ ซึ่งแหลมคมจนแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง เราจึงควรมองการรัฐประหารครั้งนี้ในฐานะรัฐประหารที่นำไปสู่การนองเลือดอย่างต่อเนื่อง (bloodshed coup) ทั้งของฝ่ายที่พิทักษ์กระบวนการรัฐประหาร และฝ่ายที่ต่อต้านกระบวนการรัฐประหาร

การจดจำเนื้อหา หรือความหมายที่ถูกให้กับเหตุการณ์นี้ใหม่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งในแง่ของการมองผลของการรัฐประหารต่อความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน และในแง่ของการปฏิเสธความชอบธรรมใดๆ ของรัฐประหารที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
เนื้อหาและรูปแบบของการรัฐประหาร

มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 3-9 กันยายน 2553 ได้ลงบทสัมภาษณ์พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้นำการรัฐประหาร 19 กันยายน ในโอกาสที่ใกล้ครบรอบ 4 ปีของเหตุการณ์นั้น ความตอนหนึ่งว่า

“มีสักแว่บหนึ่งของความคิดบ้างไหม ที่พอเห็นเหตุการณ์รุนแรงทางหน้าจอทีวี แล้วเกิดความรู้สึกว่า เป็นเพราะการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 หรือเปล่า บ้านเมืองถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้

- ทางกองทัพมีหน้าที่ในเรื่องการรักษาความมั่นคง รักษาความปลอดภัย และที่สำคัญรักษาระบอบประชาธิปไตย กองทัพมีหน้าที่พวกนี้

ท่านไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารหรอกหรือ
- มันอาจจะเกิดจากที่ผ่านมา เกิดจากว่าเราประเมินสถานการณ์ข้างหน้าดูดีมากไปหน่อย

หมายความว่า ไม่ได้ประเมินว่ามันจะเลวร้าย
- ใช่ ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายไปถึงขนาดนี้ ไม่มีใครคาดคิด

ไม่คิดว่าเป็นเพราะการรัฐประหารแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณเขาสู้ ทำให้เกิดปัญหามาจนถึงวันนี้
- ผมทำตรงนี้ก็เพื่อว่ารักษาระบอบประชาธิปไตย เป็นหน้าที่ของกองทัพ บ้านเราต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในเมื่อมันกำลังสับสนในระบอบประชาธิปไตย เราก็เข้ามาจัดระบบให้มันเป็นประชาธิปไตย”

นอกจากจะน่าสนใจที่จะตั้งคำถามว่าเมื่อไรกันที่กองทัพมีหน้าที่สำคัญในการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว ยังน่าสนใจในความขัดแย้งของตรรกะวิธีคิดของนายทหารผู้นี้ เพราะหากกองทัพทำไปเพราะต้องการรักษา “ระบอบประชาธิปไตย” แล้ว เหตุใดกระบวนการตัดสินใจ ประเมินสถานการณ์ข้างหน้าหลังจากการรัฐประหาร กลับกระทำโดยคณะรัฐประหาร หรือคนกลุ่มน้อยไม่กี่คน
แต่มองในอีกมุมหนึ่ง “ระบอบประชาธิปไตย” ที่พล.อ.สนธิกล่าวถึงนั้น กลับไม่ได้หมายความถึงการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่ ที่ให้ความสำคัญกับเสียงส่วนน้อย ผู้คอยถ่วงดุลตรวจสอบเสียงส่วนใหญ่ และเสนอทางเลือกให้หากเสียงส่วนใหญ่พาไปในทางที่ผิดแล้ว  แต่หมายถึงการปกครองของคนส่วนน้อย ที่ในสภาวะซึ่งเกิด "ความสับสน" ขึ้นในสังคม จะ “รู้ดีกว่า” คนส่วนใหญ่ว่าอะไร “มั่นคง” อะไรคือ “ประชาธิปไตย” และอะไรคือทางแก้ปัญหา

จึงไม่ใช่เรื่องขัดแย้งหรือน่าแปลกใจ ที่เหล่าคณะรัฐประหารจะประเมินสถานการณ์ข้างหน้ากันเอาเอง แล้วจึง “เข้ามาจัดระบบให้มันเป็นประชาธิปไตย”

อาจกล่าวได้ว่า เนื้อหาของการรัฐประหารครั้งนี้คือการที่คนกลุ่มน้อยซึ่ง “รู้ดีกว่า” เข้ามาจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ที่ถูกทำให้ “สับสน” ไปในสมัยของรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ให้คืนสู่ “สภาพเดิม”

เกษียร เตชะพีระ เคยประเมินเนื้อหาหรือแก่นแท้ของการรัฐประหาร 19 กันยายน ว่าเป็น "รัฐประหารเพื่อราชบัลลังก์...กล่าวอีกนัยหนึ่งคือก่อรัฐประหารขึ้นก็เพื่อปฏิรูปประชาธิปไตยไทยไปในลักษณะวิถีทางที่จะทำให้มันปลอดภัยสำหรับสถาบันกษัตริย์จากการท้าทายด้วยอำนาจนำทางการเมืองของกลุ่มทุนใหญ่ หรือที่พลเอกสนธิ เรียกในเวลาต่อมาว่า ‘เผด็จการทุนนิยม’ ” นั่นเอง (เน้นโดยเกษียรเอง ใน "รัฐประหาร 19 กันยายน พ.ศ.2549 กับการเมืองไทย" รัฐศาสตร์สาร ปีที่ 29 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2551 หน้า 52-53) 

สำหรับรูปแบบของการรัฐประหาร เกษียรก็ชี้ให้เห็นว่าเป็นการรัฐประหารเชิงตั้งรับ คือทหารเข้ามาแทรกแซง ยึดอำนาจรัฐแบบเฉพาะกิจเฉพาะการณ์ ช่วงเวลาค่อนข้างสั้น จากนั้นก็ฟื้นฟูการปกครองโดยพลเรือนคืนมาพร้อมกับทหารพากันยกพลกลับสู่กรมกองบางส่วน (หน้า 54) 

นอกจากนั้น รูปแบบอีกอย่างหนึ่งของการรัฐประหารในครั้งนี้คือ การดึงสถาบัน และองค์กรหลายภาคส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือเข้ามารองรับความชอบธรรมของการยึดอำนาจโดยทหาร ไม่ว่าจะเป็นสถาบันตุลาการ สถาบันกษัตริย์ สถาบันวิชาการ องคมนตรี องค์กรอิสระ นักการเมือง เอ็นจีโอ รวมทั้ง “ภาคประชาชน” บางส่วน นี่จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ในช่วงแรกของการรัฐประหารไม่มีความรุนแรง หรือการนองเลือดเกิดขึ้น เพราะมีฐานค้ำยันจำนวนมากอยู่

อีกทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐประหารยังไม่สามารถก่อตัว รวมตัวต่อสู้ ต่อต้านได้ แต่ก็เต็มไปด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยจากกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยหลายกลุ่มโดยตลอดตั้งแต่หลังการรัฐประหารเป็นต้นมา ก่อนที่จะแปรกลายไปเป็นกลุ่มที่เรียกว่าเสื้อแดงหรือนปช.หลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญ 2550 ในที่สุด

กระบวนการรัฐประหารและต้านรัฐประหารยังไม่สิ้นสุด

การยึดอำนาจโดยตัวของมันเอง ไม่ได้ทำให้เกิดการจัด “ระบบประชาธิปไตย” ใหม่ได้แต่อย่างใด เป็นแต่เพียงการขับไล่ผู้ครองอำนาจอยู่เดิมออกไปเท่านั้น กระบวนการต่างๆ ที่ตามมาหลังจากนั้นจึงเป็น

แถมวิธีการที่ใช้ก็เช่นเดียวกับช่วงรัฐประหาร คือการดึงสถาบันหรือองค์กรทุกๆ ภาคส่วนดังกล่าวข้างต้น เข้ามาพัวพัน แทรกแซง วุ่นวายกับการรื้อถอนระบบการเมืองเก่าที่ "สับสน" และจัดระบบการเมืองใหม่ที่จะทำให้สังคมไทยกลับสู่ "สภาพเดิม" อย่างปกติสุข ดังนั้นแม้คณะรัฐประหารจะหมดอำนาจไปแล้ว แต่กระบวนการจัดระบบใหม่ก็ยังถูกส่งไม้ไปยังตัวละครทางการเมืองอื่นๆ ต่อไป และแม้จะเกิดการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ขึ้น แต่กระบวนการหลังจากนั้นก็ยังดำเนินไปภายใต้เนื้อหาของการรัฐประหารเช่นเดิม

เพียงแต่ผลที่ "ไม่มีใครคาดคิด" ก็เกิดขึ้นตามมา เมื่อวิธีการดึงสถาบันและองค์กรจำนวนมากเข้ามาช่วยกันกำจัดระบบเก่า สร้างระบบใหม่ กลับกลายเป็นการกัดกร่อน ทำลาย บ่อนเซาะตัวสถาบัน องค์กรต่างๆ เหล่านั้นเสียเอง กระบวนการจัดการทักษิณและการ "ปฏิรูปประชาธิปไตยไทย" ดำเนินไปตลอด 4 ปีโดยสะสมปัญหาและผลิตความขัดแย้งมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเดินหน้าไปความรุนแรงก็มากขึ้นเรื่อยๆ ความพยายามพิทักษ์เนื้อหาของการรัฐประหารจึงใช้ต้นทุนทางสังคมไทยสูงมากในทุกๆ ด้าน ซึ่งนอกจากจะไม่ได้กำไรแล้ว ยังไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไรจึงจะได้ทุนคืนมา

ระบบยุติธรรมที่พอจะมีอยู่บ้างในสังคม พังทลายลงจนคนจำนวนมากไม่เชื่อถืออีกเลยไม่ว่าจะตัดสินเรื่องใดก็ตาม ความน่าเชื่อถือต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมหลายคนมลายหายสูญไปอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สถาบันกษัตริย์ถูกดึงและลงมาพัวพันกับความขัดแย้ง ซึ่งยิ่งสร้างความสุ่มเสี่ยงของโอกาสเกิดความรุนแรง สถาบันวิชาการถูกท้าทาย ตั้งคำถาม และถูกมองอย่างหมดความหวัง สถานะความเป็นเอ็นจีโอถูกสงสัย เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆ ของรัฐเป็นจำนวนมาก และต้องเผชิญกับความแตกร้าวภายในอย่างรุนแรง

เงื่อนไขเหล่านี้เอง ที่ทำให้ขบวนการต้านรัฐประหารค่อยๆ เติบโตขึ้น การรวมตัวขยายใหญ่ขึ้น แน่นอนว่าคนบางส่วนก็สนับสนุนทักษิณ หากแม้รัฐบาลทักษิณจะมีปัญหาในหลายๆ ด้าน และตัวระบบการเมืองในสมัยทักษิณก็มีปัญหาเช่นกัน แต่ "การปฏิรูปประชาธิปไตย" โดยเริ่มต้นจากการทำรัฐประหารกลับกลายเป็นการเพิ่มเงื่อนไขของความขัดแย้ง แทนที่จะลดความรุนแรงลงไปดังที่ถูกอ้าง

ประเด็นความไม่เป็นธรรมจากการพยายามรื้อระบบเก่า เป็นไปอย่างโจ่งแจ้งและสะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยมา จนหลอมรวมกลายเป็น "สภาวะสองมาตรฐาน" ประเด็นความไม่พอใจต่อ "คนกลุ่มน้อยที่รู้ดีกว่า" ผนวกรวมกับปัญหาการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยที่คาราคาซังมาตั้งแต่ 2475 กลายมาเป็นถ้อยคำที่ถูกเรียกว่า "อำมาตย์กับไพร่"

คนจำนวนมากที่ในตอนแรกไม่ได้สนใจเข้าร่วมต้านรัฐประหาร แต่สะสมความไม่พอใจไว้ และเมื่อกระบวนการพิทักษ์รัฐประหารยิ่งแสดงความไม่เป็นธรรมมากขึ้น คนเหล่านี้ก็ทยอยกระโดดลงมาร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งเมื่อสงกรานต์เลือดปีที่แล้ว ต้นปีที่ผ่านมา และในขณะนี้

สิ่งสำคัญอีกประการ ที่เป็นผลพวงใหญ่ของการรัฐประหารครั้งนี้ คือการรื้อฟื้นอำนาจของกองทัพต่อการเมือง และทำให้วิธีการทางทหารในการจัดการปัญหาความขัดแย้งต่างๆ กลับคืนมาสู่สังคมไทย

ไล่ตั้งแต่งบประมาณทางทหารที่หลายคนชี้ให้เห็นแล้วว่าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี หรือการเข้ามาแทรกแซงการเมืองอย่างการตั้ง "รัฐบาลในค่ายทหาร" หรือการที่กฎหมายด้านความมั่นคง ซึ่งให้อำนาจกับทหารและฝ่ายความมั่นคงอย่างมาก ได้แก่ กฎอัยการศึก, พรก.ฉุกเฉิน และพรบ.ความมั่นคง ถูกประกาศใช้อย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา แม้แต่ในสมัยนายกฯ สมัคร และสมชาย ก็มีการใช้กฎหมายเหล่านี้เช่นกัน สะท้อนให้เห็นว่าไม่ว่าใครจะเข้ามายึดกุมอำนาจ แต่รัฐและสังคมไทยได้เปิดโอกาสให้มีการใช้กระบวนการทางทหารเข้ามาจัดการปัญหาอย่างเข้มข้น 

รวมถึงการใช้อาวุธสงครามไม่รู้กี่ประเภทที่มีให้เห็นอยู่แทบตลอดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะใช้ยิงกันโต้งๆ กลางเมือง หรือแอบยิงในที่ต่างๆ ปรากฏการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนทำ มันกลับสะท้อนเช่นเดียวกันว่า "เครื่องมือแบบทหาร" กำลังถูกใช้ในความขัดแย้งครั้งนี้ จนอาจกลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว 

หากก็ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้อำนาจของกองทัพ หรือวิธีการทางทหารไม่ได้มีอยู่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ (เห็นได้ชัดเจนในกรณีปัญหาชายแดนใต้) เพียงแต่ความเข้มข้นและปริมาณในระดับประเทศกลับมากขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

การดึงวิธีการและเครื่องมือแบบทหาร (Militarization) กลับเข้ามาในการเมืองไทยอย่างเข้มข้นดังกล่าว กลายเป็นผลผลิตหนึ่งของการรัฐประหาร ที่ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนใช้ มันกลับยิ่งค่อยๆ เพิ่มความรุนแรงในสังคมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความรุนแรงในความหมายกว้าง ที่ไม่จำเป็นต้องมีการบาดเจ็บล้มตาย อย่างการปิดกั้นสื่อ การคุกคามสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในรูปแบบต่างๆ และความรุนแรงในความหมายแคบ นั่นคือการบาดเจ็บ ล้มตายของผู้คนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน สีใด

ถ้าสังคมไทยไม่หาวิธีการลดความเข้มข้นของการใช้เครื่องมือแบบทหารเหล่านี้ลง อาจเป็นไปได้ว่า ความรุนแรงอาจขยายตัวต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่ก็พึงตระหนักว่าการใช้วิธีการแบบทหารจัดการกับวิธีการแบบทหารเหมือนกัน กลับจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงเสียอีกด้วยซ้ำ พรก.ฉุกเฉินที่ดำเนินอยู่ขณะนี้ จึงส่งเสริมความรุนแรงในตัวของมันเอง

กลับไม่ได้ ไปก็ไม่ถึง

กระบวนการรัฐประหารได้พาสังคมไทยตกลงไปในหลุมลึกที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน บานปลายเรื่อยมา แถมการพยายามถอยขึ้นมาจากหลุมก็ดูจะไม่ง่าย จะไปต่อข้างหน้าก็ดูจะมืดๆ มัวๆ อีกเช่นกัน

คณะรัฐประหารดูเหมือนจะรู้ว่าทางเลือกที่นำสังคมไทยมานั้นผิด  พ.ล.เอกสนธิ บุญยรัตกลิน ตอบบทสัมภาษณ์ของมติชนสุดสัปดาห์ว่าถ้าเลือกใหม่ได้ อาจจะไม่ทำรัฐประหาร และ “ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้” แม้คำตอบจะเป็นไปแบบอ้ำๆ อึ้งๆ อ้อมค้อมไปหน่อยก็ตาม แต่ปัญหาคือสังคมกลับไปก่อนหน้าการรัฐประหารไม่ได้เสียแล้ว พวกเขาทำการเลือกใหม่ไม่ได้  

ขณะที่เหล่าผู้พิทักษ์การรัฐประหารพยายามเดินหน้าต่อไป โดยไม่สนใจความผิดพลาดในอดีต อ้างซ้ำๆ ว่ามันเกิดขึ้นแล้วจะให้ทำอย่างไร แต่ก็กลับพบว่ากระบวนทั้งหมดที่ผ่านมาก็เป็นไปอย่างไม่ชอบธรรมเสียแล้ว  “ความผิดเก่าๆ” ยังไม่เคยถูกแก้ไข “ความผิดใหม่ๆ” ก็สะสมเพิ่มขึ้นมา แถมคนจำนวนมากเลือกไม่สังฆกรรมกับกระบวนการใดๆ ทั้งหมดตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากยังต่อสู้ เหนี่ยวรั้ง ตั้งคำถาม และท้าทายให้จัดการกับมันใหม่ ความตึงเครียดดังกล่าวจึงยังอยู่ในสังคมไทยมาตลอดและพร้อมแปรเปลี่ยนเป็นความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา

อาจกล่าวได้ว่ากระบวนการรัฐประหาร เป็นทั้งความรุนแรงโดยตัวมันเอง และเป็นโครงสร้างที่ผลิตความขัดแย้ง ซึ่งนำไปสู่ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง

เหตุการณ์ 10 เมษายน จนถึง 19 พฤษภาคม จึงถือได้ว่าเป็นผลพวงที่มาช้าไปเกือบ 4 ปีของการรัฐประหาร 19 กันยายน แต่แทนที่พลเมืองจะออกมาต่อสู้กับทหารที่รัฐประหาร ทหารกลับออกมา “กระชับพื้นที่” ของพลเมืองแทน

แต่หากมองในทางกลับกัน สังคมไทยมีเวลาถึงเกือบ 4 ปีในการแก้ไข “ความผิดพลาด” หรือหยุดยั้งความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น เราจึงอาจต้องตั้งคำถามกับตัวเองร่วมกันว่าเหตุใดเราจึงมากันถึงวันนี้? และต่อจากนี้ไปเราจะจัดการกับโครงสร้างแบบนี้อย่างไร?

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

4ปี19กันยาฯ ยังไม่พ้นวิกฤต

ข่าวสดรายวัน

ครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

เนื่องจากวันนี้ตรงกับวันครบรอบ 4 เดือนเหตุการณ์ 19 พ.ค. 2553

ความเข้มข้นเลยยกระดับเป็นสองแรงบวก

ทุกครั้งที่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. เวียนมาบรรจบครบรอบปี

มักจะมีการตั้งวงสรุปบทเรียนกันตลอดเวลาภายใต้หัวข้อคำถามเดิมๆ คือการปฏิวัติของคณะทหารภายใต้ชื่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือคมช. เมื่อ 4 ปีก่อน

นำพาผลลัพธ์อะไรมาสู่บ้านเมืองในปัจจุบัน ดีขึ้นหรือเลวร้ายหนักกว่าเก่า

การจะตอบคำถามนี้ส่วนหนึ่งต้องนำเอาเหตุผล 4 ข้อที่ คมช.ใช้ในการก่อรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นตัวตั้ง

1.รัฐบาลมีการคอร์รัปชั่น 2.รัฐบาลสร้างความแตกแยกให้กับคนในประเทศ 3.รัฐบาลแทรกแซงองค์กรอิสระ และ 4.มีพฤติกรรมเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ภายหลังการรัฐหาร 19 ก.ย. 2549 ประเทศไทยมีรัฐบาลแล้ว 4 ชุด

ชุดแรกคือรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เข้ามารักษาการอำนาจชั่วคราวระหว่างการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่

เนื่องจากรัฐบาลสุรยุทธ์ ได้อำนาจมาจากรถถังและกระบอกปืน ทำให้ไม่ได้รับการยอมรับจากโลกประชาธิปไตย ผลคือทำให้ประเทศชาติหยุดนิ่งเป็นระยะเวลาปีเศษ

การตั้งข้อหาไล่ล่ายึดทรัพย์ทักษิณ มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้าน โดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ดูเหมือนเป็นอย่างเดียวที่คืบหน้าอย่างรวดเร็ว

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน คมช.ประกาศแผนบันได 4 ขั้น

1.การยุบพรรคจะต้องเกิดขึ้น 2.ความผิดทางอาญาเรื่องโกงกินคอร์รัปชั่นจะปรากฏ 3.พรรคจะเริ่มแตกและเริ่มวิ่งกระจัดกระจาย และในที่สุดก็สิ้นสุด จากนั้นจะนำมาสู่การลงประชามติรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง

"การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องเป็นพรรคที่ทุกคนในฝ่ายบริหารจะต้องรักชาติ ศาสนา กษัตริย์ ทุกอย่างในขณะนี้เดินไปตามขั้นตอนที่วางไว้ ผลผลิตของคตส.กำลังบรรลุเป็นขั้นๆ"

___________________________________

ผลเลือกตั้งเดือนธ.ค.2550 สร้างความผิดหวังให้กับฝ่ายโค่นล้มทักษิณอย่างมาก

เนื่องจากพรรคพลังประชาชนหรือไทยรักไทยเดิม ได้รับเลือกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

โดยมีนายสมัคร สุนทรเวช ที่ประกาศตัวชัดเจนว่าคือ"นอมินี"ของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี

แต่แล้วนายสมัคร ต้องกระเด็นตกเก้าอี้ไปด้วยคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญว่าขาดคุณสมบัติ จากการเป็นพิธีกรรายการทำอาหารทางทีวี

เดือนก.ย.2551 สภาโหวตเลือกนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกฯ

ด้วยความที่นายสมชาย เป็น"น้องเขย"ของพ.ต.ท.ทักษิณ ยิ่งทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ที่รวมตัวกันต่อต้านรัฐบาลมาตั้งแต่สมัยนายสมัคร ไม่พอใจ

ยกระดับการชุมนุมเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินในเวลาต่อมา

เดือนธ.ค.2551 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรคพลังประชาชนอีกรอบ ทำให้นายสมชาย ต้องพ้นจากเก้าอี้นายกฯ ตามหลังนายสมัครไปติดๆ

ในจังหวะนั้นได้เกิดการแปรพักตร์ของ"กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่สลัดทิ้ง"นายใหญ่"หันไปสวามิภักดิ์ฝ่ายตรงข้าม ทำให้การเมืองเกิดการ"พลิกขั้ว"อย่างรุนแรง

กลุ่มเพื่อนเนวิน ผลักดันตัวเองจนกลายเป็นหุ้นส่วนสำคัญในการสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาล

เป็นบันไดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดทางการเมือง

ทุกอย่างเริ่มกลับสู่เส้นทางบันได 4 ขั้นที่พล.อ.สนธิ เคยวางไว้อีกครั้ง

หลังจากแผนสะดุดไปเมื่อตอนเลือกตั้งธ.ค.2550

อย่างไรก็ตาม การเข้าสู่อำนาจของพรรคประชาธิปัตย์ถึงจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ พรรคการเมือง กลุ่มพันธมิตรฯ และมือที่มองไม่เห็น

แต่หุ้นส่วนอำนาจ 3-4 กลุ่มเหล่านี้เป็นการรวมตัวกันบนความเชื่อที่ว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กลับมามีอำนาจอย่างถาวร ทุกคนก็จะอยู่รอดปลอดภัย

ส่วนเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ ทางใครทางมัน นานวันไปจึงทำให้เกิดปัญหาแตกคอกันเอง

การชิงดีชิงเด่น แย่งผลงาน เตะตัดขา วางยากันเองจึงเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบ่อยๆ

ระหว่างพรรคแกนนำรัฐบาลกับพรรคร่วมรัฐบาล

__________________________

กฎเหล็ก 9 ข้อที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยประกาศไว้อย่างหรูหราในการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่เคยเป็นจริงในทางปฏิบัติ

บางคนถึงกับระบุปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่ายุครัฐบาลทักษิณ

การแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมในหลายกระทรวง จัดวางคนของตนเองลงไปในตำแหน่งตั้งแต่ระดับบนลงไปถึงระดับท้องถิ่น กระทั่งถูกยื่นถวายฎีการ้องเรียน

บรรยากาศไม่แตกต่างไปจากการสรรหาแต่งตั้งกรรมการองค์กรอิสระในสมัยรัฐบาลทักษิณ

ส่วนจากที่รัฐบาลสั่งการใช้กำลังทหารติดอาวุธ เข้าปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้มีคนตาย 91 ศพ บาดเจ็บอีก 2,000 คน

การติดตามไล่ล่าคนเสื้อแดงแบบเอาเป็นเอาตาย การจับกุมดำเนินคดีแบบสองมาตรฐาน การดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม

ส่งผลให้คนในประเทศแตกแยกอย่างลึกซึ้งและรุนแรงจนไม่อาจเยียวยาสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป สะท้อนจากการที่แผนปรองดองถูกฉีกทิ้งครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเสียงระเบิดที่ดังสนั่นไปทั่วทุกมุมเมือง

สิ่งเหล่านี้ผสมผสานเป็นแรงกดดันต้องการให้รัฐบาลประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ เพื่อใช้เสียงของประชาชนเป็นเครื่องนำพาการเมืองไทยกลับสู่เส้นทางตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

หลังจากออกนอกลู่นอกทางมานานตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 ก.ย. 2549

ซึ่งเป็นตัวฉุดประเทศถอยหลังในทุกๆ ด้าน

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักษิณทวิตครบ4ปีรัฐประหาร วอนเสียสละปรองดอง

เมื่อเวลาประมาณ 23.30น. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขียนทวิตเตอร์ข้อความว่า อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า19ก.ย.แล้ว ก็เป็นวันครบรอบ4ปีของการปฏิวัติ และ 4 เดือนของโศกอนาถกรรมทางการเมืองที่แสนสาหัสอยากเห็นการมองไปข้างหน้า ร่วมกัน พ.ต.ท.ทักษิณ เขียนข้อความว่า ผม อยากเห็นการเยียวยาผู้ที่ประสพเคราะห์กรรมจากการขัดแย้งในครั้งนี้ อยากเห็นการให้อภัยซึ่งกันและกันผม อยากเห็นความมีเมตตาต่อกัน ไม่อยากเห็นการก่อความไม่สงบใดฯ ไม่อยากเห็นการนำสถาบันฯ มายุ่งกับการเมือง ไม่อยากเห็นการทำลายซึ่งกันและกันด้วยระบบ2มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม นี่คือ ความหมายของคำว่าปรองดองครับ ผมขอให้การนองเลือดที่ทหารต้องปราบปรามประชาชนเมื่อ 19พ.ค.2553เป็นครั้งสุดท้าย ผมขอให้การปฏิวัติ รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 ครั้งสุดท้าย

ขอให้การขัดแย้งทีนำความเสียหายอย่างมหันต์แก่ประเทศ แก่ประชาชน แก่สถาบันแทบทุกสถาบันเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายเถอะครับสาธุ

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุด้วยว่า 4ปีเราเจ็บปวดกันมามากแล้วเราได้ ทิ้งหลักการ ทิ้งอุดมการณ์ ทิ้งหลักกฎหมาย และหลักความเป็นธรรม เราทิ้งคุณธรรมจริยธรรม เราทิ้งวัฒนธรรมอันดีงามที่ ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เพียงแค่ต้องการเอาชนะกันทั้งที่พูดกันรู้เรื่องเพราะเป็นคนด้วยกันหันหน้า พูดกันเถอะไม่มีโอกาสไหนที่จะพูดกัน ดีกว่าโอกาสนี้อีกแล้ว รู้ว่าหลายคนยังโกรธหลายคนยังไม่พอใจแต่ขอให้คิดว่าคำว่าชาติที่รุ่งเรือง ต้องประกอบด้วยคนในชาติที่รู้จักคำว่าเสียสละ มาร่วมกันเสียสละยอมกลืนความเจ็บ ปวดคนละนิด เริ่มกระบวนการปรองดองด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาต่อเพื่อนร่วมชาติซึ่งได้ ร่วมเกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ผมหวังว่าคงจะไม่มีคนไหนขาดสติทำลายการปรองดองของคนในชาติ เราเสียหายกันเยอะแล้ว ความสุขที่เราเคยมีอยู่หายไปนานแล้วช่วยกันตามกลับมาคืนคนไทย

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++