ที่มา.เนชั่น
พล.ท.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน แม่ทัพภาคที่ 3 ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า มีกลุ่มคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่กรมรบพิเศษที่ 5 จ.เชียงใหม่ว่า จากที่ได้รับรายงาน และจากการตรวจสอบว่า ทราบว่าเมื่อคืนวันที่ 9 ก.ย.ที่ผ่านมา เวลา 19.00 น. มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้ปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 5 ลูก ตกบริเวณสนามหญ้า หน้ากองรักษาการ โดยกระสุนเอ็ม 79 ระเบิด 2 ลูก ส่วนที่เหลือไม่ทำงาน ส่งผลให้บริเวณสนามหญ้ากลายเป็นหลุมเล็กน้อย แต่สถานที่ส่วนอื่นไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดและไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเบื้องต้นได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชารับทราบแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาตรวจสอบถึงเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบว่าผู้ก่อเหตุเป็นคนกลุ่มใด ส่วนการรักษาความปลอดภัยในหน่วยทหารต่าง ๆ จากที่มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยรักษาความปลอดภัยบริเวณกองรักษาการณ์อยู่แล้ว คงต้องเพิ่มความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยให้มากขึ้น
รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 3 แจ้งเหตุคนร้ายยิงเอ็ม -79 เข้าไปในกรมรบพิเศษที่ 5 ไม่น่าจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์การเมืองแต่น่าจะเป็นเรื่องภายในของหน่วยมากกว่า เนื่องจากกรมรบพิเศษที่ 5 ขึ้นตรงกับหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.) ซึ่งภายในหน่วยมีการไล่ทหารออก จึงทำให้ทหารที่ถูกไล่ออกโกรธแค้นจึงได้มีการก่อเหตุดังกล่าวขึ้น อย่างไรก็ตามหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนก่อน โดยเฉพาะตอนนี้มีการใช้อาวุธสงครามแบบ เอ็ม - 79 ขึ้นมาสร้างสถานการณ์เป็นจำนวนมากหากมีการวิเคราะห์ผิดจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์บ้านเมือง
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2553
ตร.คุมเข้ม24ชม.โรงพิมพ์เรดพาวเวอร์ห้ามคนเข้าออก
ที่มา.เนชั่น
ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่ บริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ หลังจากที่พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆจำนวนหนึ่ง และมีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับ นิตยสารเรดพาวเวอร์ ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือเรดพาวเวอร์บางส่วนที่พิมพ์เสร็จแล้ว เมื่อวานนี้(9ก.ย.) ปรากฎว่าที่ประตูของโรงพิมพ์มีกุญแจล๊อคหนาแน่น ข้างในโรงพิมพ์มีหนังสือกองอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีใครอยู่อาศัย ซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี มาตรวจอยู่ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่สายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาให้มาสับเปลี่ยนมาดูแลโรงพิมพ์แห่งนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้มีการพิมพ์หรือขนย้ายหนังสืออกจากโรงพิมพ์และห้ามบุคคใดเข้าไปในโรงพิมพ์ ระหว่างมาตรวจไม่พบใครอยู่ภายในโรงพิมพ์เช่นกัน
จากการสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง กล่าวว่า พักอาศัยอยู่ใกล้กับโรงพิมพ์มาร่วม 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนนี้โรงพิมพ์แห่งนี้เปิดเป็นโรงงานเย็บผ้าแล้วเลิกกิจการไป จากนั้นมารับพิมพ์หนังสือได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งจะรับพิมพ์หนังสือเรียน หนังสือทั่วไป ส่วนที่รับพิมพ์หนังสือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นตนว่าไม่น่าจะมีถ้ามีคงจะรู้แล้ว การที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบคิดว่าน่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ก่อสร้างมากกว่าเพราะมีการปลูกต่อเติมอาคารเท่านั้น แต่ก่อนมีพนักงานอยู่ในโรงงานประมาณ 10 กว่าคนหลังจากตำรวจมาตรวจสอบโรงงานก็ปิดไม่มีใครอยู่เลยไม่ให้ใครเข้าไปในโรงพิมพ์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผู้สื่อข่าวไปสังเกตการณ์ที่ บริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ หลังจากที่พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆจำนวนหนึ่ง และมีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับ นิตยสารเรดพาวเวอร์ ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือเรดพาวเวอร์บางส่วนที่พิมพ์เสร็จแล้ว เมื่อวานนี้(9ก.ย.) ปรากฎว่าที่ประตูของโรงพิมพ์มีกุญแจล๊อคหนาแน่น ข้างในโรงพิมพ์มีหนังสือกองอยู่จำนวนมากแต่ไม่มีใครอยู่อาศัย ซึ่งมีแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี มาตรวจอยู่ตลอดเวลา
เจ้าหน้าที่สายตรวจสภ.เมืองนนทบุรี กล่าวว่า ผู้บังคับบัญชาให้มาสับเปลี่ยนมาดูแลโรงพิมพ์แห่งนี้ ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ให้มีการพิมพ์หรือขนย้ายหนังสืออกจากโรงพิมพ์และห้ามบุคคใดเข้าไปในโรงพิมพ์ ระหว่างมาตรวจไม่พบใครอยู่ภายในโรงพิมพ์เช่นกัน
จากการสอบถามเพื่อนบ้านใกล้เคียง กล่าวว่า พักอาศัยอยู่ใกล้กับโรงพิมพ์มาร่วม 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนนี้โรงพิมพ์แห่งนี้เปิดเป็นโรงงานเย็บผ้าแล้วเลิกกิจการไป จากนั้นมารับพิมพ์หนังสือได้ประมาณ 5-6 ปี ซึ่งจะรับพิมพ์หนังสือเรียน หนังสือทั่วไป ส่วนที่รับพิมพ์หนังสือกลุ่มคนเสื้อแดงนั้นตนว่าไม่น่าจะมีถ้ามีคงจะรู้แล้ว การที่เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบคิดว่าน่าจะเป็นความผิดเกี่ยวกับพ.ร.บ.ก่อสร้างมากกว่าเพราะมีการปลูกต่อเติมอาคารเท่านั้น แต่ก่อนมีพนักงานอยู่ในโรงงานประมาณ 10 กว่าคนหลังจากตำรวจมาตรวจสอบโรงงานก็ปิดไม่มีใครอยู่เลยไม่ให้ใครเข้าไปในโรงพิมพ์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
‘ศิริโชค’มุดคุก! หรือจะเป็นลาง?
ที่มา.บางกอกทูเดย์
‘ต่อพงษ์’ลุยไม่เลิก... เกิดอะไรกับ ‘บูท’?
กลายเป็นหนังเรื่องยาวไปแล้ว กรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ดอดเข้าคุกเพื่อไปเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธที่เรือนจำบางขวาง
งานนี้แม้จะมีการพาดพิงไปถึงฮอลีวูด แต่เชื่อแน่นอนว่าทางฮอลีวูดคงไม่ใช้สิทธิพาดพิง และไม่เอาเรื่องราวของนักการเมืองไทยไปทำเป็นหนังอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้มีกลิ่นของการผิดศีลข้อ 4 ในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ สถานการณ์บ้านเมือง และกลไกอำนาจทางการเมืองมันผิดเพี้ยนไปหมด จากการที่มีกลุ่มขั้วอำนาจเข้ามาเล่นเกมยึดกุมอำนาจรัฐอย่างเห็นได้ชัด
ผิดก็ให้เป็นถูกได้ และแน่นอนที่คิดว่าถูกก็สามารถพลิกให้กลายเป็นผิดได้อย่างสบาย
สถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่า ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทย ยังต้องผจญวิบากกรรมอีกยาวไกล
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบแทนบุญคุณคนรอบข้างสารพัด ไล่มาตั้งแต่กลุ่มอำนาจ กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม กลุ่มแกนนำพันธมิตร กลุ่ม ส.ส. กลุ่มนักการเมือง... แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะเหลือความเป็นตัวของตัวเอง หรือเหลือสติสัมปชัญญะสักเท่าไร
ต่อให้เป็นนักเรียนนักศึกษาเรียนดีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็ตาม มาเจอสิ่งที่ในตำราไม่ได้เขียนไว้ ก็จอดไม่ต้องแจวเหมือนกัน
เพราะเมื่อติดหนี้บุญคุณที่สานฝันดันก้นให้เป็นนายกรัฐมนตรีทางลัด เมื่อทหารจะของบ หรือจะขอตำแหน่ง จะกล้าทัดทานได้หรือ
หรือเจอนักการเมืองที่เปลี่ยนสีประดุจเปลี่ยนกางเกงใน พร้อมจะกอดกับใครก็ได้ จะร้องห่มร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้... เมื่อติดบ่วงไปแล้ว ทุกวันนี้รู้ทั้งรู้ว่าค่ายนี้นิยมยัดโครงการ อภิมหาโปรเจกต์เข้ามาเป็นระยะๆ ในครม. ล้วนแล้วแต่หลักหมื่นหลักแสนล้านบาท แล้วจะทำอะไรได้
ได้แต่เล่นดึงเกมดึงเวลาประคองตัวไปวันๆ แต่ไม่กล้าที่จะหักกลางลำ ก็เลยต้องให้เก้าอี้บ้าง ให้โครงการเล็กๆบ้างเป็นน้ำจิ้มไปตามเกม
แต่ข้าราชการทั่วไปเขาไม่สนุกด้วยแน่ มีอย่างที่ไหน ถ้าโดนอันดับ 2 อันดับ 3 ลัดคิวข้ามหัว ยังพอกล้ำกลืนฝืนทน แต่นี่เลยเอาลำกับที่ 54 ข้ามหัวรวดเดียวมาอยู่หน้าลำดับที่ 1 จะไม่เจ็บปวดกระดองใจได้อย่างไร
เพราะบางคนตอนที่เด็กเส้นยังเป็นแค่นายอำเภออยู่เลยนั้น คนอื่นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว... ใครจะคิดว่า จะมีรายการนั่งเรือเหาะข้ามหัวกันได้ขนาดนี้
แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง อย่างนายศิริโชค ที่สื่อมวลชนอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยนายอภิสิทธิ์จะเสียภาพลักษณ์และเปลืองตัวโดยใช่เหตุ อุตส่าห์ตั้งฉายาให้นายศิริโชคแบบประชดประชันให้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชครู้ตัวว่า
“วอลล์เปเปอร์”
แทนที่จะสำนึกที่ไหนได้กลับยิ่งภูมิใจ เสนอหน้าใกล้ชิดได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีแม้แต่จะกระแอมไอสักนิดเพื่อห้ามปราม
แล้วจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าคงมีตำแหน่ง ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี... อะไรประมาณนั้นได้อย่างไร
แต่โบราณสอนไว้นานกาเล ว่าเลี้ยงหมาให้ระวังนะลูก หมาจะเลียปากเอา
วันนี้กรณีของนายศิริโชคที่มุดคุกบางขวาง จึงกลายเป็นประเด็นลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้เปื้อนไปด้วย
รู้เห็นเป็นใจหรือเปล่า??? ... ใช้ให้ไปหรือไม่???...
หรือว่าจริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายต้องพลอยโจนไปด้วย
งานนี้จึงทำให้พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเกมในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ยิ่งเมื่อจับพิรุธพูดไม่ตรงได้ทีละชอตทีละซีน สังคมยิ่งเหวอว่าอะไรกันนี่
เริ่มจากวันที่มุดเข้าคุก ทีแรกก็ว่าเข้าไปตามกระบวนการปกติ แต่มาเจอหลักฐานยันว่าเข้าไปในวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการที่ราชทัณฑ์ห้ามเยี่ยม... นั่นแสดงว่าจะต้องมีการใช้กำลังภายใน ใช้ความเป็นรัฐบาล ใช้ความเป็นคนใกล้ชิดนายกฯในการเปิดคุกให้เข้าไปใช่หรือไม่?
ต่อมาก็มาเจอประเด็น ว่าแนะนำตัวเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เพราะเวลาชี้แจงว่าไม่เข้าใจว่าไปทำไม ไปในฐานะอะไร ก็บอกว่าไปในฐานะ ส.ส. เพราะเห็นเป็นคดีดัง... ทั้งๆที่คดีอื่นที่ดังกว่านี้ มีอีกมากมาย ไม่เห็นคิดจะไป
ยิ่งทางซีกนายบูทยืนยันว่า มีการแนะนำตัววาเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีจริงๆ ไม่งั้นจะไปเอามาจากไหน นายศิริโชคก็ออกแบบสีข้างถลอกเลยว่า คงเป้นความเข้าใจผิดเพราะนายบูทไม่เข้าใจภาษา ก็เลยอาจจะไปแปลหรือสื่อความให้ภรรยาให้ทนายฟังผิด
คงลืมไปว่า วิคเตอร์ บูท นั้นเป็นนักค้าอาวุธ เป็นอดีตเคจีบี ที่สำคัญยังเคยทำหน้าที่เป็นล่าม เรื่องภาษาสากลสำหรับคนประเภทนี้ ต้องถือว่าชิลด์ๆ... คนไปเรียนต่างประเทศแบบนายศิริโชค ที่กลับมาแล้วพยายามพูดไทยคำอังกฤษคำ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่านายบูทจริงๆหรือ???
งานนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องและบานปลายอย่างที่เห็น
เพราะนักการเมืองคลื่นลูกใหม่ไฟแรงอย่าง นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ไม่ตลกด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแค่เฉพาะประเทศรัสเซียเท่านั้น
แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็กระทบกระเทือนไปด้วยแล้ว
แถมรัสเซียยังมีการตั้งคำถามดังไปทั่วโลก ว่ามาตรฐานกฎหมายไทยเชื่อถือได้แค่ไหน มี 2 มาตรฐานหรือไม่???
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ รัฐสภา จึงอยู่เฉยไม่ได้
นี่คือสาเหตุที่นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต้องเข้าไปพบนายวิคเตอร์ บูท ที่เรือนจำ เพื่อซักถามข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าอะไรกันแน่
ขณะเดียวกันก็ต้องเชิญนายศิริโชค ให้ เข้าชี้แจงกรณีที่มุดคุกไปพบนายวิคเตอร์ บูท ด้วย
เพราะนายต่อพงษ์ ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เข้าพบนายบูทแล้ว แต่ได้รับข้อมูลต่างกัน โดยนายศิริโชค ชี้แจงว่า เป็นการทำหน้าที่ของส.ส. ที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่ในท่าทีและควมต้องการ ซึ่งตรงกันทั้งการบอกของนายบูท และการยอมรับของนายศิริโชค ก็คือ นายศิริโชคพยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างนายบูท กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้
รวมทั้งพยามหาจุดเชื่อมโยงว่าอาวุธที่จับได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่???
ส่วนจะมีการยื่นข้อเสนอใดๆหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยากจะมีใครยอมรับ เพราะลำพังแค่เข้าไปกับใคร หรือเข้าไปคนเดียว ประเด็นนี้ก็ยังซัดกันนัวอยู่เลย
ทั้งๆที่การขนอาวุธนั้นถูกจับได้เมื่อเดือนธ.ค.52 ก่อนที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ!!!
แถมนายจตุพร พรหมพันธ์ุ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ยังตั้งคำถามตรงๆว่า ถ้าแบบนี้ทำไมถึงไม่ยอมเพิ่มข้อกล่าวหาให้กับนายบูท แต่กลับปล่อยตัวลูกเรือจำนวน 5 คน คือชาวเบรารุส และชาวคาซัคสถานที่ถูกจับกุมพร้อมหลักฐานอาวุธชัดเจน แต่กลับจับกุมนายบูทไว้
และที่บอกว่ามีการนำอาวุธสงครามไปใช้การชุมนุมนั้น ไม่ทราบว่านายศิริโชคได้เห็นอาวุธหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามยาวเป็นเมตร จะไปใช้ในการชุมนุมได้อย่างไร?
เนื่องจากตอนนั้นภาพข่าวต่างๆมัชัดเจนว่าอาวุธที่จับได้ เป็นจรวดขีปนาวุธ โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงจรวดอาร์พีจี แต่อย่างใด
ก็เลยกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงระหว่างนายจตุพรกับนายศิริโชค กระทั่งนายเจริญ คันธวงศ์ ที่ปรึกษากมธ. ต่างประเทศ ได้กล่าวเตือนสติว่า อย่าใช้เวทีกมธ.ต่างประเทศเป็นเวทีโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ ขอวิงวอนให้อยู่ประเด็นและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
ซึ่งนายต่อพงษ์ ได้ให้แต่ละฝ่ายสรุป โดยนายจตุพร กล่าวสรุปว่า ถึงแม้ว่าตนจะไม่เปิดอภิปรายถึงนายศิริโชคเข้าพบนายบูท หรือสื่อมวลชนไม่เขียน ทางการรัสเซียก็รับรู้ได้ว่า ประเทศไทยกำลังทำอะไร ดังนั้นนายศิริโชคอย่าโทษบุคคลอื่น
และตนขอเรียกร้องให้กรรมาธิการหรือหน่วยงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง ขอให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อ เพราะสิ่งที่นายศิริโชคเปิดเผยในที่ประชุมนั้น ชัดเจนแล้วว่า มีความเชื่อมโยงการค้าอาวุธกับนายบูท ซึ่งนายศิริโชคที่ระบุว่า ทำเพื่อประเทศ ก็ต้องไปให้ปากคำที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำคดีเพิ่ม
หากนายศิริโชคไม่ดำเนินการใดๆ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตนจะติดตามดู
ด้านนายศิริโชค กล่าวว่า สิ่งที่ตนพยายามบอกวันนี้คือการเข้าไปพบนายบูทของกมธ.ต่างประเทศนั้น นายบูทไม่ได้บอกความจริงกับกมธ.ทั้งหมด ผมยืนยันว่าไปเอาข้อมูลเรื่องเครื่องบินที่ถูกจับ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงคดีของนายบูทอย่างที่ถูกกล่าวหา
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่จบง่ายๆแน่
ยิ่งนายวิคเตอร์ ได้พยายามยื่นหนังสือเป็นภาษาอังกฤษความยาว 5 หน้า ให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในการให้ข้อมูล แต่เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายทางกรมราชทัณฑ์ พิจารณาไม่ให้เปิดเผยหนังสือดังกล่าว
จึงยิ่งกลายเป็นปมประเด็นมากขึ้นไปอีก และก่อให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้นสำหรับสังคมไทย
งานนี้จึงต้องถือว่า นายศิริโชค โสภา เปลืองตัวอย่างที่สุด และพลอยทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องร้อนไปด้วย
เพราะนี่คือผลงานของวอลล์เปเปอร์ของนายอภิสิทธิ์นั่นเอง!!
ที่สำคัญหลังความจริงปรากฏ ไม่ใครก็ใครอาจจะต้องย้ายนิวาสถานกันบ้างก็ได้???
************************************************************
‘ต่อพงษ์’ลุยไม่เลิก... เกิดอะไรกับ ‘บูท’?
กลายเป็นหนังเรื่องยาวไปแล้ว กรณีที่นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคนใกล้ชิดนายกรัฐมนตรี ดอดเข้าคุกเพื่อไปเยี่ยมนายวิคเตอร์ บูท ผู้ต้องหาค้าอาวุธที่เรือนจำบางขวาง
งานนี้แม้จะมีการพาดพิงไปถึงฮอลีวูด แต่เชื่อแน่นอนว่าทางฮอลีวูดคงไม่ใช้สิทธิพาดพิง และไม่เอาเรื่องราวของนักการเมืองไทยไปทำเป็นหนังอย่างแน่นอน
เพราะไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้มีกลิ่นของการผิดศีลข้อ 4 ในพุทธศาสนาอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า ณ วันนี้ สถานการณ์บ้านเมือง และกลไกอำนาจทางการเมืองมันผิดเพี้ยนไปหมด จากการที่มีกลุ่มขั้วอำนาจเข้ามาเล่นเกมยึดกุมอำนาจรัฐอย่างเห็นได้ชัด
ผิดก็ให้เป็นถูกได้ และแน่นอนที่คิดว่าถูกก็สามารถพลิกให้กลายเป็นผิดได้อย่างสบาย
สถานการณ์เช่นนี้แน่นอนว่า ความยุ่งเหยิงทางการเมืองของไทย ยังต้องผจญวิบากกรรมอีกยาวไกล
ยิ่งนายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน อยู่ในสภาวะที่ต้องตอบแทนบุญคุณคนรอบข้างสารพัด ไล่มาตั้งแต่กลุ่มอำนาจ กลุ่มนายทหารบางกลุ่ม กลุ่มแกนนำพันธมิตร กลุ่ม ส.ส. กลุ่มนักการเมือง... แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าจะเหลือความเป็นตัวของตัวเอง หรือเหลือสติสัมปชัญญะสักเท่าไร
ต่อให้เป็นนักเรียนนักศึกษาเรียนดีของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดก็ตาม มาเจอสิ่งที่ในตำราไม่ได้เขียนไว้ ก็จอดไม่ต้องแจวเหมือนกัน
เพราะเมื่อติดหนี้บุญคุณที่สานฝันดันก้นให้เป็นนายกรัฐมนตรีทางลัด เมื่อทหารจะของบ หรือจะขอตำแหน่ง จะกล้าทัดทานได้หรือ
หรือเจอนักการเมืองที่เปลี่ยนสีประดุจเปลี่ยนกางเกงใน พร้อมจะกอดกับใครก็ได้ จะร้องห่มร้องไห้เมื่อไหร่ก็ได้... เมื่อติดบ่วงไปแล้ว ทุกวันนี้รู้ทั้งรู้ว่าค่ายนี้นิยมยัดโครงการ อภิมหาโปรเจกต์เข้ามาเป็นระยะๆ ในครม. ล้วนแล้วแต่หลักหมื่นหลักแสนล้านบาท แล้วจะทำอะไรได้
ได้แต่เล่นดึงเกมดึงเวลาประคองตัวไปวันๆ แต่ไม่กล้าที่จะหักกลางลำ ก็เลยต้องให้เก้าอี้บ้าง ให้โครงการเล็กๆบ้างเป็นน้ำจิ้มไปตามเกม
แต่ข้าราชการทั่วไปเขาไม่สนุกด้วยแน่ มีอย่างที่ไหน ถ้าโดนอันดับ 2 อันดับ 3 ลัดคิวข้ามหัว ยังพอกล้ำกลืนฝืนทน แต่นี่เลยเอาลำกับที่ 54 ข้ามหัวรวดเดียวมาอยู่หน้าลำดับที่ 1 จะไม่เจ็บปวดกระดองใจได้อย่างไร
เพราะบางคนตอนที่เด็กเส้นยังเป็นแค่นายอำเภออยู่เลยนั้น คนอื่นเป็นถึงรองผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว... ใครจะคิดว่า จะมีรายการนั่งเรือเหาะข้ามหัวกันได้ขนาดนี้
แม้แต่บรรดาคนรอบข้าง อย่างนายศิริโชค ที่สื่อมวลชนอุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยนายอภิสิทธิ์จะเสียภาพลักษณ์และเปลืองตัวโดยใช่เหตุ อุตส่าห์ตั้งฉายาให้นายศิริโชคแบบประชดประชันให้ทั้งนายอภิสิทธิ์และนายศิริโชครู้ตัวว่า
“วอลล์เปเปอร์”
แทนที่จะสำนึกที่ไหนได้กลับยิ่งภูมิใจ เสนอหน้าใกล้ชิดได้อย่างเปิดเผย ในขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็ไม่มีแม้แต่จะกระแอมไอสักนิดเพื่อห้ามปราม
แล้วจะไม่ให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าคงมีตำแหน่ง ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี... อะไรประมาณนั้นได้อย่างไร
แต่โบราณสอนไว้นานกาเล ว่าเลี้ยงหมาให้ระวังนะลูก หมาจะเลียปากเอา
วันนี้กรณีของนายศิริโชคที่มุดคุกบางขวาง จึงกลายเป็นประเด็นลามไปถึงนายอภิสิทธิ์ให้เปื้อนไปด้วย
รู้เห็นเป็นใจหรือเปล่า??? ... ใช้ให้ไปหรือไม่???...
หรือว่าจริงๆแล้วไม่รู้อะไรเลย แต่สุดท้ายต้องพลอยโจนไปด้วย
งานนี้จึงทำให้พรรคเพื่อไทยใช้เป็นเกมในการตรวจสอบอย่างเข้มข้น
ยิ่งเมื่อจับพิรุธพูดไม่ตรงได้ทีละชอตทีละซีน สังคมยิ่งเหวอว่าอะไรกันนี่
เริ่มจากวันที่มุดเข้าคุก ทีแรกก็ว่าเข้าไปตามกระบวนการปกติ แต่มาเจอหลักฐานยันว่าเข้าไปในวันที่ 15 เมษายน ซึ่งเป็นวันหยุดราชการที่ราชทัณฑ์ห้ามเยี่ยม... นั่นแสดงว่าจะต้องมีการใช้กำลังภายใน ใช้ความเป็นรัฐบาล ใช้ความเป็นคนใกล้ชิดนายกฯในการเปิดคุกให้เข้าไปใช่หรือไม่?
ต่อมาก็มาเจอประเด็น ว่าแนะนำตัวเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี เพราะเวลาชี้แจงว่าไม่เข้าใจว่าไปทำไม ไปในฐานะอะไร ก็บอกว่าไปในฐานะ ส.ส. เพราะเห็นเป็นคดีดัง... ทั้งๆที่คดีอื่นที่ดังกว่านี้ มีอีกมากมาย ไม่เห็นคิดจะไป
ยิ่งทางซีกนายบูทยืนยันว่า มีการแนะนำตัววาเป็นผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีจริงๆ ไม่งั้นจะไปเอามาจากไหน นายศิริโชคก็ออกแบบสีข้างถลอกเลยว่า คงเป้นความเข้าใจผิดเพราะนายบูทไม่เข้าใจภาษา ก็เลยอาจจะไปแปลหรือสื่อความให้ภรรยาให้ทนายฟังผิด
คงลืมไปว่า วิคเตอร์ บูท นั้นเป็นนักค้าอาวุธ เป็นอดีตเคจีบี ที่สำคัญยังเคยทำหน้าที่เป็นล่าม เรื่องภาษาสากลสำหรับคนประเภทนี้ ต้องถือว่าชิลด์ๆ... คนไปเรียนต่างประเทศแบบนายศิริโชค ที่กลับมาแล้วพยายามพูดไทยคำอังกฤษคำ จะมีความรู้ภาษาอังกฤษดีกว่านายบูทจริงๆหรือ???
งานนี้ก็เลยกลายเป็นเรื่องและบานปลายอย่างที่เห็น
เพราะนักการเมืองคลื่นลูกใหม่ไฟแรงอย่าง นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ไม่ตลกด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่ได้เสี่ยงต่อการกระทบกระเทือนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับแค่เฉพาะประเทศรัสเซียเท่านั้น
แม้แต่สหรัฐอเมริกาก็กระทบกระเทือนไปด้วยแล้ว
แถมรัสเซียยังมีการตั้งคำถามดังไปทั่วโลก ว่ามาตรฐานกฎหมายไทยเชื่อถือได้แค่ไหน มี 2 มาตรฐานหรือไม่???
คณะกรรมาธิการต่างประเทศ รัฐสภา จึงอยู่เฉยไม่ได้
นี่คือสาเหตุที่นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ในฐานะประธานกรรมาธิการการต่างประเทศ ต้องเข้าไปพบนายวิคเตอร์ บูท ที่เรือนจำ เพื่อซักถามข้อมูลข้อเท็จจริง ว่าอะไรกันแน่
ขณะเดียวกันก็ต้องเชิญนายศิริโชค ให้ เข้าชี้แจงกรณีที่มุดคุกไปพบนายวิคเตอร์ บูท ด้วย
เพราะนายต่อพงษ์ ยืนยันว่า คณะกรรมาธิการการต่างประเทศ เข้าพบนายบูทแล้ว แต่ได้รับข้อมูลต่างกัน โดยนายศิริโชค ชี้แจงว่า เป็นการทำหน้าที่ของส.ส. ที่ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง
แต่ในท่าทีและควมต้องการ ซึ่งตรงกันทั้งการบอกของนายบูท และการยอมรับของนายศิริโชค ก็คือ นายศิริโชคพยายามที่จะหาจุดเชื่อมโยงระหว่างนายบูท กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้ได้
รวมทั้งพยามหาจุดเชื่อมโยงว่าอาวุธที่จับได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยหรือไม่???
ส่วนจะมีการยื่นข้อเสนอใดๆหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ยากจะมีใครยอมรับ เพราะลำพังแค่เข้าไปกับใคร หรือเข้าไปคนเดียว ประเด็นนี้ก็ยังซัดกันนัวอยู่เลย
ทั้งๆที่การขนอาวุธนั้นถูกจับได้เมื่อเดือนธ.ค.52 ก่อนที่จะมีการชุมนุมของคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ!!!
แถมนายจตุพร พรหมพันธ์ุ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. ยังตั้งคำถามตรงๆว่า ถ้าแบบนี้ทำไมถึงไม่ยอมเพิ่มข้อกล่าวหาให้กับนายบูท แต่กลับปล่อยตัวลูกเรือจำนวน 5 คน คือชาวเบรารุส และชาวคาซัคสถานที่ถูกจับกุมพร้อมหลักฐานอาวุธชัดเจน แต่กลับจับกุมนายบูทไว้
และที่บอกว่ามีการนำอาวุธสงครามไปใช้การชุมนุมนั้น ไม่ทราบว่านายศิริโชคได้เห็นอาวุธหรือไม่ เพราะอาวุธสงครามยาวเป็นเมตร จะไปใช้ในการชุมนุมได้อย่างไร?
เนื่องจากตอนนั้นภาพข่าวต่างๆมัชัดเจนว่าอาวุธที่จับได้ เป็นจรวดขีปนาวุธ โดยไม่ได้มีการกล่าวถึงจรวดอาร์พีจี แต่อย่างใด
ก็เลยกลายเป็นการปะทะคารมกันอย่างรุนแรงระหว่างนายจตุพรกับนายศิริโชค กระทั่งนายเจริญ คันธวงศ์ ที่ปรึกษากมธ. ต่างประเทศ ได้กล่าวเตือนสติว่า อย่าใช้เวทีกมธ.ต่างประเทศเป็นเวทีโต้เถียงโดยใช้อารมณ์ ขอวิงวอนให้อยู่ประเด็นและเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย
ซึ่งนายต่อพงษ์ ได้ให้แต่ละฝ่ายสรุป โดยนายจตุพร กล่าวสรุปว่า ถึงแม้ว่าตนจะไม่เปิดอภิปรายถึงนายศิริโชคเข้าพบนายบูท หรือสื่อมวลชนไม่เขียน ทางการรัสเซียก็รับรู้ได้ว่า ประเทศไทยกำลังทำอะไร ดังนั้นนายศิริโชคอย่าโทษบุคคลอื่น
และตนขอเรียกร้องให้กรรมาธิการหรือหน่วยงานใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง ขอให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องต่อ เพราะสิ่งที่นายศิริโชคเปิดเผยในที่ประชุมนั้น ชัดเจนแล้วว่า มีความเชื่อมโยงการค้าอาวุธกับนายบูท ซึ่งนายศิริโชคที่ระบุว่า ทำเพื่อประเทศ ก็ต้องไปให้ปากคำที่เป็นข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อทำคดีเพิ่ม
หากนายศิริโชคไม่ดำเนินการใดๆ จะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตนจะติดตามดู
ด้านนายศิริโชค กล่าวว่า สิ่งที่ตนพยายามบอกวันนี้คือการเข้าไปพบนายบูทของกมธ.ต่างประเทศนั้น นายบูทไม่ได้บอกความจริงกับกมธ.ทั้งหมด ผมยืนยันว่าไปเอาข้อมูลเรื่องเครื่องบินที่ถูกจับ ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงคดีของนายบูทอย่างที่ถูกกล่าวหา
ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คงยังไม่จบง่ายๆแน่
ยิ่งนายวิคเตอร์ ได้พยายามยื่นหนังสือเป็นภาษาอังกฤษความยาว 5 หน้า ให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ เพื่อเป็นลายลักษณ์อักษรในการให้ข้อมูล แต่เนื่องจากจะต้องมีการตรวจสอบของกรมราชทัณฑ์ ก่อนที่จะส่งต่อไปให้คณะกรรมาธิการต่างประเทศ ซึ่งสุดท้ายทางกรมราชทัณฑ์ พิจารณาไม่ให้เปิดเผยหนังสือดังกล่าว
จึงยิ่งกลายเป็นปมประเด็นมากขึ้นไปอีก และก่อให้เกิดข้อสงสัยมากขึ้นสำหรับสังคมไทย
งานนี้จึงต้องถือว่า นายศิริโชค โสภา เปลืองตัวอย่างที่สุด และพลอยทำให้นายอภิสิทธิ์ ต้องร้อนไปด้วย
เพราะนี่คือผลงานของวอลล์เปเปอร์ของนายอภิสิทธิ์นั่นเอง!!
ที่สำคัญหลังความจริงปรากฏ ไม่ใครก็ใครอาจจะต้องย้ายนิวาสถานกันบ้างก็ได้???
************************************************************
กลุ่ม 9 ส.
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
เมื่ออาทิตย์ก่อน อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ
เพิ่งจะมากล่าวปิดโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change) ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด
ปรากฏว่าถัดจากนั้นไม่กี่วันชื่อนายสมคิด ก็ปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ในฐานะคนที่ถูกผลักดันให้เป็นผู้นำการเมืองขั้วใหม่ที่ชื่อว่ากลุ่ม "9ส."
ต้นสายที่มาข่าวกลุ่ม "9ส." นี้
เป็นนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธานส.ส.พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นกับนักข่าวภายหลังการประชุมพรรคเมื่อวันอังคารว่า
ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ
คือมีนักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ลงเล่นการเมือง กำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ใช้ชื่อว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ
จุดประสงค์เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จากนั้นนักข่าวก็ไปขุดคุ้ยต่อจนได้ความมาว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ หรือที่เรียกเหมารวมว่ากลุ่ม 9 ส.
นอกจากนายสมคิดที่ได้รับผลักดันเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว
สมาชิก ส.ที่เหลือก็คือ สุวิทย์ คุณกิตติ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, สุรนันทน์ เวชชาชีวะ, สนธยา คุณปลื้ม, สรอรรถ กลิ่นประทุม, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
และส.พิเศษ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ รุ่งขึ้นนักข่าวต่างก็หาทางติดต่อสอบถามไปยัง 9 ส.
ปรากฏว่าส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธ แต่ก็มีบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้
ยอมรับว่ามีการนัดกินข้าวพูดคุยกันจริง แต่ครั้งละ 2-3 คนสลับหมุนวนกันไป ไม่ได้นัดรวมตัวกันครั้งเดียว 9 คนอย่างที่เข้าใจ
อีกทั้งเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันธรรมดา
ไม่ได้มีวาระจับขั้วตั้งกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด
เพราะเวลานี้แต่ละ ส. ก็มีทิศทางการทำงานของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว
บาง ส. ยังถือโอกาสวิเคราะห์ต่อท้ายด้วยว่า คนที่ออกมาปูดข่าวเรื่องนี้ก็เพื่อต้อนให้ทั้ง 9 ส. ออกมาปฏิเสธ
เป็นการดักทางกันไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้กลุ่ม 9 ส. เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ
เพราะหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ปลดล็อก" ปล่อย 111 คนออกจากกรงขังทางการเมืองขึ้นมาเมื่อไหร่
ชื่อของ "สมคิด" จะกลับมาขายดี
ยิ่งกว่าชื่อ "อภิสิทธิ์-เนวิน" แบบเห็นๆ
**********************************************************************
คอลัมน์ เหล็กใน
เมื่ออาทิตย์ก่อน อดีตรองนายกฯ และอดีตรมว.คลัง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ปัจจุบันเป็นรองประธานกรรมการที่ปรึกษามูลนิธิสัมมาชีพ
เพิ่งจะมากล่าวปิดโครงการผู้นำ-นำการเปลี่ยนแปลง (Leadership for Change) ที่ห้องประชุมอาคารข่าวสด
ปรากฏว่าถัดจากนั้นไม่กี่วันชื่อนายสมคิด ก็ปรากฏเป็นข่าวหน้า 1 ทางหนังสือพิมพ์ข่าวสดอีกเช่นกัน
แต่คราวนี้ในฐานะคนที่ถูกผลักดันให้เป็นผู้นำการเมืองขั้วใหม่ที่ชื่อว่ากลุ่ม "9ส."
ต้นสายที่มาข่าวกลุ่ม "9ส." นี้
เป็นนายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธานส.ส.พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์เปิดประเด็นกับนักข่าวภายหลังการประชุมพรรคเมื่อวันอังคารว่า
ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ
คือมีนักการเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 หรืออดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์ลงเล่นการเมือง กำลังกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ใช้ชื่อว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ
จุดประสงค์เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า
จากนั้นนักข่าวก็ไปขุดคุ้ยต่อจนได้ความมาว่ากลุ่ม 8 ส. และ 1 ส.พิเศษ หรือที่เรียกเหมารวมว่ากลุ่ม 9 ส.
นอกจากนายสมคิดที่ได้รับผลักดันเป็นหัวหน้ากลุ่มแล้ว
สมาชิก ส.ที่เหลือก็คือ สุวิทย์ คุณกิตติ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สุวัจน์ ลิปตพัลลภ, สุรนันทน์ เวชชาชีวะ, สนธยา คุณปลื้ม, สรอรรถ กลิ่นประทุม, สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล
และส.พิเศษ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
เนื่องจากเป็นประเด็นที่น่าสนใจ รุ่งขึ้นนักข่าวต่างก็หาทางติดต่อสอบถามไปยัง 9 ส.
ปรากฏว่าส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธ แต่ก็มีบางคนที่แบ่งรับแบ่งสู้
ยอมรับว่ามีการนัดกินข้าวพูดคุยกันจริง แต่ครั้งละ 2-3 คนสลับหมุนวนกันไป ไม่ได้นัดรวมตัวกันครั้งเดียว 9 คนอย่างที่เข้าใจ
อีกทั้งเป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันธรรมดา
ไม่ได้มีวาระจับขั้วตั้งกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่แต่อย่างใด
เพราะเวลานี้แต่ละ ส. ก็มีทิศทางการทำงานของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว
บาง ส. ยังถือโอกาสวิเคราะห์ต่อท้ายด้วยว่า คนที่ออกมาปูดข่าวเรื่องนี้ก็เพื่อต้อนให้ทั้ง 9 ส. ออกมาปฏิเสธ
เป็นการดักทางกันไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้กลุ่ม 9 ส. เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ
เพราะหากมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ "ปลดล็อก" ปล่อย 111 คนออกจากกรงขังทางการเมืองขึ้นมาเมื่อไหร่
ชื่อของ "สมคิด" จะกลับมาขายดี
ยิ่งกว่าชื่อ "อภิสิทธิ์-เนวิน" แบบเห็นๆ
**********************************************************************
บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ศอฉ. สั่งตำรวจนนทบุรี บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ อายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ 282/4 หมู่ที่ 2 ซอยงามวงศ์วาน 27 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสาร เรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่าบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมาย ผิดตามพ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมากได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้น และยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
*******************************************************************
ศอฉ. สั่งตำรวจนนทบุรี บุกอายัดเครื่องพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ อายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พ.ต.ท.ธนพัฒน์ นิลบดี รอง ผกก.สส.สภ.เมืองนนทบุรี พ.ต.ท.สุนทร ชื่นชิด พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี นำหมายศาลจังหวัดนนทบุรี เข้าตรวจค้นบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เลขที่ 282/4 หมู่ที่ 2 ซอยงามวงศ์วาน 27 ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงพิมพ์ที่รับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์ โดยมี นางวัชนีกร ศรีสวัสดิ์ อายุ 43 ปี ผู้ดูแลนำเจ้าหน้าที่ตรวจค้น
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับนิตยสาร เรดพาวเวอร์ และเอกสารที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง และได้มีคำสั่งอายัดเครื่องพิมพ์ทั้ง 11 เครื่อง โดยห้ามเคลื่อนย้ายจำหน่ายจ่ายแจก แต่ให้ใช้พิมพ์หนังสืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนิตยสารเรดพาวเวอร์ได้ และห้ามเคลื่อนย้ายหนังสือบางส่วน และแจ้งว่าบริษัทโกลด์เด้น เพาเวอร์ พริ้นติ้ง จำกัด เป็นอาคารที่สร้างขึ้นโดยผิดกฎหมาย ผิดตามพ.ร.บ.โรงงาน ประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 กันยายน นายวิเชียร พุฒิวิญญู ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พร้อมผู้เกี่ยวข้องและตำรวจจำนวนมากได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เข้าตรวจค้น และยึดเศษกระดาษนิตยสารเรดพาวเวอร์ ที่พิมพ์เสียไปจำนวนมาก พร้อมทั้งประวัติพนักงานและเอกสารต่างๆ จำนวนมาก พร้อมทั้งนำพนักงานที่ดูแลไปสอบสวน และยังสั่งให้เลิกรับจ้างพิมพ์นิตยสารเรดพาวเวอร์
*******************************************************************
วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553
'ยงยุทธ' แถลงลาออกพรรคเพื่อไทย บอกอย่าโยง 'ทักษิณ'
ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ แถลงลาออกจากหัวพรรคแล้ว ระบุพรรคต้องปรับโครงสร้างรับเลือกตั้งต้องหาคนเหมาะสมมาบริหาร ยันยังช่วยงานพรรคตามเดิม 14 ก.ย. จะประชุม กก.บริหารพรรค
9 ก.ย. 2553 - สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค แถลงภายหลังการประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย วันนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า ได้ประกาศยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว แต่ยืนยันว่าจะช่วยพรรคทำงานตามเดิม
นายยงยุทธ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ระบุว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี ส.ส. และสมาชิกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทย มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว ได้ใช้ความรู้ความสมารถในเชิงบริหารสมควรแล้ว ดังนั้น ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีเศษ พรรคจึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหารการเลือกตั้ง พร้อมกับการมีคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรค เพื่อคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนจะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องหารือให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมพรรคก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรค
“อย่านำเรื่องการลาออกของผมไปโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้ามีการสั่งการมาจริง ผมก็จะรู้สึกไม่พอใจ” นายยงยุทธ กล่าว
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************************
9 ก.ย. 2553 - สำนักข่าวไทยรายงานว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรค แถลงภายหลังการประชุมด่วนคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย วันนี้ เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ว่า ได้ประกาศยื่นใบลาออกจากหัวหน้าพรรคแล้ว แต่ยืนยันว่าจะช่วยพรรคทำงานตามเดิม
นายยงยุทธ ซึ่งแถลงข่าวร่วมกับ น.ส.สุณีย์ เหลืองวิจิตร เลขาธิการพรรค และนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรค ระบุว่า เนื่องจากปัจจุบัน มี ส.ส. และสมาชิกย้ายเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้รู้สึกว่าพรรคเพื่อไทย มีความมั่นคงแข็งแรงแล้ว ได้ใช้ความรู้ความสมารถในเชิงบริหารสมควรแล้ว ดังนั้น ในช่วงใกล้ที่จะมีการเลือกตั้งในอีก 1 ปีเศษ พรรคจึงต้องมีการปรับโครงสร้างใหม่เพื่อรองรับการเลือกตั้ง โดยหาบุคคลที่เหมาะสมมาบริหารการเลือกตั้ง พร้อมกับการมีคณะกรรมการบริหารพรรคใหม่
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า ในวันที่ 14 กันยายนนี้ จะมีการประชุมใหญ่พรรค เพื่อคัดเลือกคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ส่วนจะเลือกใครมาเป็นหัวหน้าพรรค ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ ต้องหารือให้ได้ข้อสรุปในที่ประชุมพรรคก่อน และไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีการทาบทาม พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ มาเป็นหัวหน้าพรรค
“อย่านำเรื่องการลาออกของผมไปโยงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะถ้ามีการสั่งการมาจริง ผมก็จะรู้สึกไม่พอใจ” นายยงยุทธ กล่าว
ที่มา.ประชาไท
*****************************************************************
‘มาร์ค’ชิ่งเจรจาสร้างปรองดอง‘สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์’ไม่ใช่ตัวแทน
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
“อภิสิทธิ์” ชิ่งหนีดื้อๆยืนยัน “สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์-บุรณัชย์” ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ในการเจรจาสร้างความปรองดองกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับมีการไปคุยกันจริงและได้รับรายงานหลังการพูดคุยบ้าง ย้ำคำเดิมจะปรองดองต้องร่วมมือปกป้องสถาบัน “สุเทพ” โบ้ยไม่เคยส่งใครไปคุยกับใครและไม่เคยรับรู้ว่าใครไปทำอะไร โฆษกประชาธิปัตย์ระบุไปรับฟังความเห็นมาหลายเวทีไม่ถือเป็นการเจรจาและไม่ใช่ความลับ “ทักษิณ” ให้เลิกรักษาฟอร์มเพิ่มความจริงใจเพื่อประโยชน์ชาติ วอนผู้สนับสนุนและคนรักประชาธิปไตยสนับสนุนแนวทางสร้างความสงบสุขให้บ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยส่งคนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ไปเจรจาทางลับกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับว่ามีคนของพรรคไปพูดคุยและมีการแจ้งให้ทราบหลังการเจรจา
“มาร์ค” อ้างไม่รู้ต้องคุยกับใคร
“เป็นการไปพูดคุยกันกว้างๆ เรื่องการเจรจาเป็นทางการไม่มีและไม่รู้ว่าหากจะเจรจาเป็นทางการจะต้องคุยกับใครในพรรคเพื่อไทย ผมขอย้ำว่าหากพรรคเพื่อไทยจริงใจจะเข้าสู่ขบวนการปรองดองก็ต้องให้ความร่วมมือในการปกป้องสถาบัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับฟังความคิดเห็นของนักสันติวิธีในหลายเวที ซึ่งเป็นการคุยอย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องลับอะไร ส่วนที่มีการอ้างชื่อย่อที่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูงมาเจรจาด้วยนั้นยืนยันได้ว่าไม่มี การพูดคุยทุกครั้งอยู่ที่เงื่อนไขความสมัครใจ
“เทพไท” จี้เพื่อไทยคุยกันให้รู้เรื่อง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แตกแยกเป็น 4 ฝ่ายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องการจะสร้างความปรองดองขอให้พรรคเพื่อไทยไปแก้ปัญหาแตกแยกในพรรคให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยแตกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สู้แล้วรวย กับกลุ่ม ส.ส. ที่ไม่ต้องการให้พรรคถูกคนเสื้อแดงครอบงำ
“สุเทพ” บอกไม่เคยรับรู้ใครไปทำอะไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยรับทราบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปเจรจากับใคร ที่ไหน อย่างไร และไม่เคยทราบเลยว่ามีคนของพรรคคนอื่นๆไปคุยกับคนของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยขอให้ยุติการกล่าวหาเรื่องล้มเจ้ากับก่อการร้ายก่อนการเจรจานั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน อะไรที่เป็นคดีความไปแล้วไม่สามารถที่จะไปยกเลิกได้ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย เช่นเดียวกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากเอาเรื่องเหล่านี้มาปะปนจะทำให้เจรจากันลำบาก
ชัดเจนมีการตั้งวงคุยกันมาหลายครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมเจรจากับตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย มาหลายครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว
“ทักษิณ” วอนผู้สนับสนุนหนุนปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์หลังจากไม่ได้สื่อสารผ่านช่องทางดังกล่าวมานาน โดยระบุว่า ขอให้ผู้ที่เป็นแนวร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและเพื่อความยุติธรรมของบ้านเมือง ร่วมสนับสนุนให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงในบ้านเมือง เพื่อให้เกิดการหยุดเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียวทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย
เสนอ 5 ข้อสู่ความปรองดอง
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอแนวทาง 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ประณามการก่อความไม่สงบและการสร้างสถานการณ์ใดๆเพื่อความสันติและความมั่นคงของชาติ 2.ประณามการแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์แห่งตน ตลอดจนประณามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพราะสถาบันทรงอยู่เหนือการเมือง
เลิกพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
3.ขอวิงวอนให้ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย เลิกรักษ์หน้ารักษ์ตาโดยพูดเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น หยุดพูดเพิ่มความขัดแย้ง ขอให้มองสู่อนาคตของชาติและลูกหลานร่วมกัน 4.ขอให้มีการเยียวยาแก่ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากความขัดแย้งครั้งนี้ทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งคนตาย บาดเจ็บ หรือบาดเจ็บสาหัสอย่างเหมาะสม 5.ขออย่าได้ห่วงเรื่องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะหนักหนากว่าใครแต่ก็ยังนับไม่ได้กับความบอบช้ำของบ้านเมืองและของประชาชนโดยรวม
เลิกรักษาฟอร์มจะปรองดองได้จริง
“ผมขอเป็นฝ่ายช่วยและสนับสนุนให้เกิดความปรองดองขึ้นจริง ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ออกมาขานรับการปรองดอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจที่เป็นกุศล มีเมตตา หยุดรักษาฟอร์ม ต้องทำจริง” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
ที่กองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานว่า ที่ประชุมหารือข้อห่วงใยเรื่องที่ยังมีบางกลุ่มให้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนกับประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งทหาร ตำรวจ ทำร้ายประชาชนในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา จึงขอยืนยันว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มุ่งทำร้ายประชาชน
ศอฉ. ยังไม่คิดเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เหลือ
“คดีความต่างๆได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว การเสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างความปรองดองนั้น ศอฉ. และรัฐบาลไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ปล่อยหรือจับกุมใคร” พ.อ.สรรเสริญกล่าวและว่า จะยังไม่มีการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ยังประกาศใช้อยู่ เพราะต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการระงับยับยั้งเหตุรุนแรง เพราะที่ผ่านมาแม้จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ยังมีการก่อเหตุเป็นระยะ ทั้งยิงเอ็ม 79 และวางระเบิด ส่วนความเห็นว่าให้ยกเลิกไปก่อนหากมีเหตุร้ายค่อยประกาศใช้ใหม่นั้น ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าหากทำอย่างนั้นจะยิ่งกระทบต่อภาพพจน์และความเชื่อมั่นต่อประเทศมากขึ้น
ห่วงคนเสื้อแดงวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
โฆษก ศอฉ. ย้ำว่า การเคลื่อนไหวต่างๆหากอยู่ในกรอบของกฎหมายสามารถทำได้ แต่บางเรื่องแม้จะอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ควรพิจารณาความเหมาะสมด้วย เช่น การนัดหมายนำดอกไม้ไปวางที่หน้าเรือนจำของคนเสื้อแดง เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล และยังส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจการค้าด้วย เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มนิ่ง การทำธุรกิจการค้ากำลังฟื้นตัว จึงไม่ควรทำอะไรให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกอีก
**********************************************************************
“อภิสิทธิ์” ชิ่งหนีดื้อๆยืนยัน “สุขุมพันธุ์-ไกรศักดิ์-บุรณัชย์” ไม่ใช่ตัวแทนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ในการเจรจาสร้างความปรองดองกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับมีการไปคุยกันจริงและได้รับรายงานหลังการพูดคุยบ้าง ย้ำคำเดิมจะปรองดองต้องร่วมมือปกป้องสถาบัน “สุเทพ” โบ้ยไม่เคยส่งใครไปคุยกับใครและไม่เคยรับรู้ว่าใครไปทำอะไร โฆษกประชาธิปัตย์ระบุไปรับฟังความเห็นมาหลายเวทีไม่ถือเป็นการเจรจาและไม่ใช่ความลับ “ทักษิณ” ให้เลิกรักษาฟอร์มเพิ่มความจริงใจเพื่อประโยชน์ชาติ วอนผู้สนับสนุนและคนรักประชาธิปไตยสนับสนุนแนวทางสร้างความสงบสุขให้บ้านเมือง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่เคยส่งคนของรัฐบาลหรือพรรคประชาธิปัตย์ไปเจรจาทางลับกับพรรคเพื่อไทย แต่ยอมรับว่ามีคนของพรรคไปพูดคุยและมีการแจ้งให้ทราบหลังการเจรจา
“มาร์ค” อ้างไม่รู้ต้องคุยกับใคร
“เป็นการไปพูดคุยกันกว้างๆ เรื่องการเจรจาเป็นทางการไม่มีและไม่รู้ว่าหากจะเจรจาเป็นทางการจะต้องคุยกับใครในพรรคเพื่อไทย ผมขอย้ำว่าหากพรรคเพื่อไทยจริงใจจะเข้าสู่ขบวนการปรองดองก็ต้องให้ความร่วมมือในการปกป้องสถาบัน” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ร่วมรับฟังความคิดเห็นของนักสันติวิธีในหลายเวที ซึ่งเป็นการคุยอย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องลับอะไร ส่วนที่มีการอ้างชื่อย่อที่เป็นตัวแทนของชนชั้นสูงมาเจรจาด้วยนั้นยืนยันได้ว่าไม่มี การพูดคุยทุกครั้งอยู่ที่เงื่อนไขความสมัครใจ
“เทพไท” จี้เพื่อไทยคุยกันให้รู้เรื่อง
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แตกแยกเป็น 4 ฝ่ายอย่างที่มีการกล่าวอ้าง เรื่องการจะสร้างความปรองดองขอให้พรรคเพื่อไทยไปแก้ปัญหาแตกแยกในพรรคให้ได้ก่อน เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยแตกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สู้แล้วรวย กับกลุ่ม ส.ส. ที่ไม่ต้องการให้พรรคถูกคนเสื้อแดงครอบงำ
“สุเทพ” บอกไม่เคยรับรู้ใครไปทำอะไร
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยรับทราบว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ไปเจรจากับใคร ที่ไหน อย่างไร และไม่เคยทราบเลยว่ามีคนของพรรคคนอื่นๆไปคุยกับคนของพรรคเพื่อไทย
ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยขอให้ยุติการกล่าวหาเรื่องล้มเจ้ากับก่อการร้ายก่อนการเจรจานั้น นายสุเทพกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องแยกออกจากกัน อะไรที่เป็นคดีความไปแล้วไม่สามารถที่จะไปยกเลิกได้ต้องดำเนินไปตามกฎหมาย เช่นเดียวกับคดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หากเอาเรื่องเหล่านี้มาปะปนจะทำให้เจรจากันลำบาก
ชัดเจนมีการตั้งวงคุยกันมาหลายครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไปร่วมเจรจากับตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ประกอบด้วย นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค นายจาตุรนต์ ฉายแสง และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย มาหลายครั้งตามที่ปรากฏเป็นข่าว
“ทักษิณ” วอนผู้สนับสนุนหนุนปรองดอง
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์หลังจากไม่ได้สื่อสารผ่านช่องทางดังกล่าวมานาน โดยระบุว่า ขอให้ผู้ที่เป็นแนวร่วมในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงและเพื่อความยุติธรรมของบ้านเมือง ร่วมสนับสนุนให้เกิดความปรองดองอย่างแท้จริงในบ้านเมือง เพื่อให้เกิดการหยุดเผาบ้านเพื่อจับหนูตัวเดียวทั้งๆที่หนูก็ไม่ได้อยู่ในบ้านด้วย
เสนอ 5 ข้อสู่ความปรองดอง
อดีตนายกรัฐมนตรียังได้เสนอแนวทาง 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.ประณามการก่อความไม่สงบและการสร้างสถานการณ์ใดๆเพื่อความสันติและความมั่นคงของชาติ 2.ประณามการแอบอ้างสถาบันเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและประโยชน์แห่งตน ตลอดจนประณามผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันในทุกรูปแบบ ทั้งนี้ เพราะสถาบันทรงอยู่เหนือการเมือง
เลิกพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น
3.ขอวิงวอนให้ทุกสี ทุกพรรค ทุกฝ่าย เลิกรักษ์หน้ารักษ์ตาโดยพูดเอาความดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น หยุดพูดเพิ่มความขัดแย้ง ขอให้มองสู่อนาคตของชาติและลูกหลานร่วมกัน 4.ขอให้มีการเยียวยาแก่ผู้ที่ต้องรับเคราะห์กรรมจากความขัดแย้งครั้งนี้ทุกฝ่ายไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งคนตาย บาดเจ็บ หรือบาดเจ็บสาหัสอย่างเหมาะสม 5.ขออย่าได้ห่วงเรื่องของตนเอง ถึงแม้ว่าจะหนักหนากว่าใครแต่ก็ยังนับไม่ได้กับความบอบช้ำของบ้านเมืองและของประชาชนโดยรวม
เลิกรักษาฟอร์มจะปรองดองได้จริง
“ผมขอเป็นฝ่ายช่วยและสนับสนุนให้เกิดความปรองดองขึ้นจริง ผมขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ออกมาขานรับการปรองดอง สิ่งสำคัญอยู่ที่ใจที่เป็นกุศล มีเมตตา หยุดรักษาฟอร์ม ต้องทำจริง” พ.ต.ท.ทักษิณระบุ
ที่กองทัพบก พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) แถลงผลการประชุม ศอฉ. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการ ศอฉ. เป็นประธานว่า ที่ประชุมหารือข้อห่วงใยเรื่องที่ยังมีบางกลุ่มให้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือนกับประชาชนว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งทหาร ตำรวจ ทำร้ายประชาชนในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ผ่านมา จึงขอยืนยันว่าการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ไม่ได้มุ่งทำร้ายประชาชน
ศอฉ. ยังไม่คิดเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เหลือ
“คดีความต่างๆได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมไปแล้ว การเสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างความปรองดองนั้น ศอฉ. และรัฐบาลไม่มีอำนาจไปสั่งการให้ปล่อยหรือจับกุมใคร” พ.อ.สรรเสริญกล่าวและว่า จะยังไม่มีการยกเลิก พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ยังประกาศใช้อยู่ เพราะต้องการให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการระงับยับยั้งเหตุรุนแรง เพราะที่ผ่านมาแม้จะใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็ยังมีการก่อเหตุเป็นระยะ ทั้งยิงเอ็ม 79 และวางระเบิด ส่วนความเห็นว่าให้ยกเลิกไปก่อนหากมีเหตุร้ายค่อยประกาศใช้ใหม่นั้น ที่ประชุมพิจารณาแล้วเห็นว่าหากทำอย่างนั้นจะยิ่งกระทบต่อภาพพจน์และความเชื่อมั่นต่อประเทศมากขึ้น
ห่วงคนเสื้อแดงวางดอกไม้หน้าเรือนจำ
โฆษก ศอฉ. ย้ำว่า การเคลื่อนไหวต่างๆหากอยู่ในกรอบของกฎหมายสามารถทำได้ แต่บางเรื่องแม้จะอยู่ในกรอบของกฎหมายก็ควรพิจารณาความเหมาะสมด้วย เช่น การนัดหมายนำดอกไม้ไปวางที่หน้าเรือนจำของคนเสื้อแดง เพราะหมิ่นเหม่ต่อการละเมิดอำนาจศาล และยังส่งผลต่อผู้ประกอบธุรกิจการค้าด้วย เพราะขณะนี้สถานการณ์เริ่มนิ่ง การทำธุรกิจการค้ากำลังฟื้นตัว จึงไม่ควรทำอะไรให้ประชาชนเกิดความหวั่นวิตกอีก
**********************************************************************
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน! คาด"ยงยุทธ" ลาออกเปิดทาง"โกวิท"นั่งหน.พรรค "เนวิน" ฉุนข่าว"9 ส."ตั้งก๊กใหม่
มติชนออนไลน์
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน 11โมง "ยงยุทธ"ขอลาออกยกเก้าอี้ให้"โกวิท"
มีรายงานข่าวว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นัดกรรมการบริหารพรรคประชุมด่วน เพื่อแจ้งข่าวการลาออกจากตำแหน่งในวันนี้(9 ก.ย.) เวลา 11.00 น. ระบุว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน ซึ่งพรรคจะประชุมใหญ่วิสามัญคัดเลือกในวันที่ 14 ก.ย.นี้
"บุญจง"ยันไม่มี "9 ส."ร่วมกลุ่มใหม่แยกวงตั้งพรรคใหม่
ทางด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าว "8 ส. และ 1 ส.พิเศษ"เคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นหัวหน้ากลุ่ม ว่า ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่า เรื่องที่ปรากฏในข่าวไม่เป็นความจริง ไม่มี ส.สมคิด มาเป็นหัวหน้าพรรค หรือหัวหน้ากลุ่ม ขณะนี้ ส.ส.และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ยังมีความเป็นเอกภาพเหมือนเดิม ส่วนบุคคลบ้านเลขที่ 111 อาจนัดรับประทานอาหารกันบ้าง แต่ไม่มีการทาบทามเรื่องอะไร
สะพัด"ยงยุทธ"ลาออกหน.พรรคพท. "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ"นั่งแทน
ค่ำวันที่ 8 กันยายน มีกระแสข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.)ระบุว่า ในวันที่ 9 กันยายน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจจะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 14 กันยายน เพื่อให้ที่ประชุมรับรองผล สาเหตุที่มีการเสนอชื่อ พล.อ.โกวิทมาแทน เพราะผู้ใหญ่ในพรรคต้องการยืนยันให้เห็นว่า พรรคมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทาบทาม พล.ต.อ.โกวิทด้วยตัวเอง
"เนวิน"ฉุน"ประจักษ์"เฉ่งข้ามประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธาน ส.ส.ภท. เปิดเผยความเคลื่อนไหว ของกลุ่ม 9 ส. ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จำนวน 8 ส. และ ส.พิเศษอีก 1 ส. นั้น ทำให้นายเนวิน แกนนำ ภท.ที่อยู่ประเทศอังกฤษ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และโทรศัพท์ต่อว่านายประจักษ์อย่างรุนแรง โดยนายประจักษ์เปิดเผยว่า ชี้แจงให้นายเนวินทราบแล้วว่า เรื่อง 9 ส. ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ ภท.และตนไม่ได้พูดว่าจะมาร่วมงานกับ ภท.
"เป็นเพียงการวิเคราะห์อนาคตทางการเมือง หากมีการปลดล็อคสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม 8 ส. กับอีก 1 ส.พิเศษ หากรวมตัวกันจะมีอำนาจมหาศาลจนสามารถพลิกโฉมหน้าและประวัติศาสตร์การเมืองรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต และไม่เคยบอกว่าจะให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นหัวหน้า ภท. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายเนวินไม่พอใจ" นายประจักษ์ระบุ
************************************************************************
เพื่อไทยนัดประชุมด่วน 11โมง "ยงยุทธ"ขอลาออกยกเก้าอี้ให้"โกวิท"
มีรายงานข่าวว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นัดกรรมการบริหารพรรคประชุมด่วน เพื่อแจ้งข่าวการลาออกจากตำแหน่งในวันนี้(9 ก.ย.) เวลา 11.00 น. ระบุว่า พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่แทน ซึ่งพรรคจะประชุมใหญ่วิสามัญคัดเลือกในวันที่ 14 ก.ย.นี้
"บุญจง"ยันไม่มี "9 ส."ร่วมกลุ่มใหม่แยกวงตั้งพรรคใหม่
ทางด้านนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าว "8 ส. และ 1 ส.พิเศษ"เคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อเตรียมจับมือเป็นพันธมิตรในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยเฉพาะมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เป็นหัวหน้ากลุ่ม ว่า ในฐานะรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยขอยืนยันว่า เรื่องที่ปรากฏในข่าวไม่เป็นความจริง ไม่มี ส.สมคิด มาเป็นหัวหน้าพรรค หรือหัวหน้ากลุ่ม ขณะนี้ ส.ส.และสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ยังมีความเป็นเอกภาพเหมือนเดิม ส่วนบุคคลบ้านเลขที่ 111 อาจนัดรับประทานอาหารกันบ้าง แต่ไม่มีการทาบทามเรื่องอะไร
สะพัด"ยงยุทธ"ลาออกหน.พรรคพท. "พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ"นั่งแทน
ค่ำวันที่ 8 กันยายน มีกระแสข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย(พท.)ระบุว่า ในวันที่ 9 กันยายน นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย อาจจะประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยจะเรียกประชุมใหญ่วิสามัญในวันที่ 14 กันยายน เพื่อให้ที่ประชุมรับรองผล สาเหตุที่มีการเสนอชื่อ พล.อ.โกวิทมาแทน เพราะผู้ใหญ่ในพรรคต้องการยืนยันให้เห็นว่า พรรคมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน เรื่องนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้ทาบทาม พล.ต.อ.โกวิทด้วยตัวเอง
"เนวิน"ฉุน"ประจักษ์"เฉ่งข้ามประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่นายประจักษ์ แกล้วกล้าหาญ ประธาน ส.ส.ภท. เปิดเผยความเคลื่อนไหว ของกลุ่ม 9 ส. ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกบ้านเลขที่ 111 จำนวน 8 ส. และ ส.พิเศษอีก 1 ส. นั้น ทำให้นายเนวิน แกนนำ ภท.ที่อยู่ประเทศอังกฤษ ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง และโทรศัพท์ต่อว่านายประจักษ์อย่างรุนแรง โดยนายประจักษ์เปิดเผยว่า ชี้แจงให้นายเนวินทราบแล้วว่า เรื่อง 9 ส. ดังกล่าวไม่เกี่ยวกับ ภท.และตนไม่ได้พูดว่าจะมาร่วมงานกับ ภท.
"เป็นเพียงการวิเคราะห์อนาคตทางการเมือง หากมีการปลดล็อคสมาชิกบ้านเลขที่ 111 กลุ่ม 8 ส. กับอีก 1 ส.พิเศษ หากรวมตัวกันจะมีอำนาจมหาศาลจนสามารถพลิกโฉมหน้าและประวัติศาสตร์การเมืองรูปแบบใหม่ได้ในอนาคต และไม่เคยบอกว่าจะให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มาเป็นหัวหน้า ภท. เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นายเนวินไม่พอใจ" นายประจักษ์ระบุ
************************************************************************
เหตุใดยุโรปจึงไม่ขายอาวุธให้ประเทศไทย?
ที่มา.Robert Amsterdam
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าอาวุธที่กองทัพไทยใช้กำจัดประชาชนของตนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยนั้น มีแหล่งผลิตในประเทศเสรีประชาธิปไตยในยุโรป
หลายประเทศในยุโรปมีนโยบายที่จะไม่ค้าอาวุธกับรัฐบาลที่มักจะใช้อาวุธที่ผลิตขึ้นในต่างประเทศดังกล่าวกดขี่ฝ่ายตรงข้ามและชนกลุ่มน้อยในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเดียวกัน นโยบายค้าอาวุธให้กับเหล่าผู้นำเผด็จการของประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นมีสองมาตรฐาน เพราะสหรัฐมักจะทำการค้ากับเหล่าผู้นำเผด็จการที่ให้ประโยชน์กับตน และไม่ให้ความช่วยเหลือทางการทหารกับผู้นำที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม โดย กองทัพไทยได้รับผลประโยชน์จากนโยบายสองมาตรฐานนี้มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
ในขณะที่ประเทศตะวันตกได้เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ประเทศผู้ค้าอาวุธหลายใหญ่ของโลกได้ตั้งคำถามกับกองทัพไทย วันนี้นายปนิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลได้กล่าวถึงเรื่องที่น่าอับอายในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า ประเทศเยอรมันปฏิเสธที่จะขายเครื่องยนต์รุ่น Deutz BF 6m015 จำนวนหนึ่งให้กับประเทศไทย ตามนโยบายของสหภาพยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกดขี่หรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนตนเองของเป็นระบบ ซึ่งเครื่องยนต์เหล่านี้ถูกสั่งซื้อแทนที่การสั่งซื้อรถถังหุ้มเกราะ 90คันจากประเทศยูเครน
แน่นอนว่ากองทัพไทยคงจะไม่มีปัญหาในการหาซื้ออาวุธที่พวกเขาต้องการ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้รางวัลกองทัพไทยจากความพยายามปกป้องรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ให้ต้องลงแข่งขันการเลือกตั้งที่น่าหวาดกลัวโดยการเพิ่มงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพ ซึ่งมากขึ้นเป็นสองเท่าหากเทียบกับงบประมาณกองทัพในรัฐบาลทักษิณ
การที่ประเทศเยอรมันปฎิเสธที่จะขายอาวุธให้กับเล่านายพลที่โกงกินภาษีประชาชนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจอันเลวร้ายของตนเองควรจะเป็นแบบอยางที่ดีแก่ประเทศเสรีประชาธิปไตยในตะวันตกนำไปปฏิบัติ เพราะหากกองทัพไทยยืนกรานที่จะใช้อำนาจโดยไม่คำยังถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนแล้ว ก็ไม่ควรจะทำโดยใช้อาวุธที่ผลิตในประเทศที่ปฏิญาณตนว่าจะปกป้องสิทธิมนุยชนทั่วโลก
ไม่น่าสงสัยเลยว่านายพลเหล่านี้จะไปซื้ออาวุธจากประเทศอื่น แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศตะวันตกปฏิเสธที่จะไม่ค้าอาวุธให้ประเทศไทยเป็นการส่งสาสน์ชัดเจนไปยังรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าความรุนแรงที่ก่อขึ้นในเดือนเมษายน/พฤษภาคมโดยรัฐบาลนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย อย่างน้อยที่สุด ประเทศเสรีประชาธิปไตยในตะวันตกควรจะยึดถือศีลธรรมที่สูงกว่านายบูท
*****************************************************************************
เป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าอาวุธที่กองทัพไทยใช้กำจัดประชาชนของตนในเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพื่อขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตยนั้น มีแหล่งผลิตในประเทศเสรีประชาธิปไตยในยุโรป
หลายประเทศในยุโรปมีนโยบายที่จะไม่ค้าอาวุธกับรัฐบาลที่มักจะใช้อาวุธที่ผลิตขึ้นในต่างประเทศดังกล่าวกดขี่ฝ่ายตรงข้ามและชนกลุ่มน้อยในประเทศ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเดียวกัน นโยบายค้าอาวุธให้กับเหล่าผู้นำเผด็จการของประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐอเมริกานั้นมีสองมาตรฐาน เพราะสหรัฐมักจะทำการค้ากับเหล่าผู้นำเผด็จการที่ให้ประโยชน์กับตน และไม่ให้ความช่วยเหลือทางการทหารกับผู้นำที่ไม่ยอมปฏิบัติตาม โดย กองทัพไทยได้รับผลประโยชน์จากนโยบายสองมาตรฐานนี้มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง
ในขณะที่ประเทศตะวันตกได้เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ฆ่าหมู่ในกรุงเทพมหานคร แต่ประเทศผู้ค้าอาวุธหลายใหญ่ของโลกได้ตั้งคำถามกับกองทัพไทย วันนี้นายปนิธาน วัฒนายากร โฆษกรัฐบาลได้กล่าวถึงเรื่องที่น่าอับอายในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ว่า ประเทศเยอรมันปฏิเสธที่จะขายเครื่องยนต์รุ่น Deutz BF 6m015 จำนวนหนึ่งให้กับประเทศไทย ตามนโยบายของสหภาพยุโรปที่ห้ามค้าอาวุธกับรัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงกดขี่หรือปฏิเสธสิทธิของพลเรือนตนเองของเป็นระบบ ซึ่งเครื่องยนต์เหล่านี้ถูกสั่งซื้อแทนที่การสั่งซื้อรถถังหุ้มเกราะ 90คันจากประเทศยูเครน
แน่นอนว่ากองทัพไทยคงจะไม่มีปัญหาในการหาซื้ออาวุธที่พวกเขาต้องการ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ให้รางวัลกองทัพไทยจากความพยายามปกป้องรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ให้ต้องลงแข่งขันการเลือกตั้งที่น่าหวาดกลัวโดยการเพิ่มงบประมาณมหาศาลให้กับกองทัพ ซึ่งมากขึ้นเป็นสองเท่าหากเทียบกับงบประมาณกองทัพในรัฐบาลทักษิณ
การที่ประเทศเยอรมันปฎิเสธที่จะขายอาวุธให้กับเล่านายพลที่โกงกินภาษีประชาชนเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการรักษาอำนาจอันเลวร้ายของตนเองควรจะเป็นแบบอยางที่ดีแก่ประเทศเสรีประชาธิปไตยในตะวันตกนำไปปฏิบัติ เพราะหากกองทัพไทยยืนกรานที่จะใช้อำนาจโดยไม่คำยังถึงสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนแล้ว ก็ไม่ควรจะทำโดยใช้อาวุธที่ผลิตในประเทศที่ปฏิญาณตนว่าจะปกป้องสิทธิมนุยชนทั่วโลก
ไม่น่าสงสัยเลยว่านายพลเหล่านี้จะไปซื้ออาวุธจากประเทศอื่น แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศตะวันตกปฏิเสธที่จะไม่ค้าอาวุธให้ประเทศไทยเป็นการส่งสาสน์ชัดเจนไปยังรัฐบาลอภิสิทธิ์ว่าความรุนแรงที่ก่อขึ้นในเดือนเมษายน/พฤษภาคมโดยรัฐบาลนั้นมีราคาที่ต้องจ่าย อย่างน้อยที่สุด ประเทศเสรีประชาธิปไตยในตะวันตกควรจะยึดถือศีลธรรมที่สูงกว่านายบูท
*****************************************************************************
บันทึกฉบับที่ 5 ของ วิสา คัญทัพ
ว่าด้วยประวัติศาสตร์มายาคติแห่งการปรองดอง
การปรองดองวันนี้เป็นการปรองดองเพื่อสร้างภาพ ไม่ได้จริงใจที่จะปรองดอง รัฐบาลแสดงละครภายใต้การกำกับของกองทัพ เหนือกองทัพขึ้นไปมีกองบัญชาการของอำมาตย์และคนชั้นสูง ควบคุมบงการอยู่อีกชั้นหนึ่ง
รัฐธรรมนูญปี 50 คือรัฐธรรมนูญที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เพื่ออำพรางให้เกิดภาพประชาธิปไตย ความจริงดังกล่าวในอดีตอาจไม่แจ่มชัด แต่วันนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประชาธิปไตยไม่ได้ตกอยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่เป็น “ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับ” เมื่อใดก็ตามที่มีสัญญาณว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นเริ่มแหลมคมอำนาจอันแท้จริงจะเปลี่ยนไปอยู่ในมือของ “ข้าราษฏร” มิใช่ “ข้าราชการ” การจัดการให้อยู่ในร่องในรอยก็จะเกิดขึ้น
พูดอย่างนี้ มิได้หมายความว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง แต่หมายถึง การปรองดองมิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะปากพูด แต่การกระทำยังติดตามไล่ล่า จับกุมคุมขัง สังหารคนเสื้อแดง ปรากฎความไม่เป็นธรรมในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ทั้งระดับโครงสร้างประชาธิปไตย และรูปธรรมหลายประการทางการปฏิบัติ สูงสุดคือ อิสระภาพ เสรีภาพ และความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนที่คิดต่างต้องได้รับการคุ้มครอง
ในวาระครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร (19 กันยายน 2549) ผู้เขียนขอร่วมรำลึกเหตุการณ์ ด้วยการนำเสนอบันทึกฉบับที่ 5 วิเคราะห์การปรองดองจอมปลอมว่าไม่สามารถยุติความแตกแยกในสังคมได้ โดยจะชี้ให้เห็นว่า เราเคยผ่านความขัดแย้งแตกแยกที่รุนแรงเช่นนี้มาแล้ว แต่ละระยะ มีเนื้อหาเดียวกัน โดยตัวละครฝ่ายประชาธิปไตยผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามารุ่นแล้วรุ่นเล่า เหมือนนักมวยมั่นหมายชิงแชมป์ ทว่าแชมป์ยังเป็นคนเดิมที่แข็งแกร่งประดุจศิลากลางน้ำเชี่ยว เริ่มต้นจาก
หนึ่ง / ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีตัวละครสำคัญคือ “คณะราษฏร”ที่ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ มีบุคคลสำคัญซึ่งท้ายสุดไม่มีแผ่นดินอยู่ แม้เวลาสิ้นชีวิตก็นำกลับมาได้เพียงเถ้าอัฐิเท่านั้น คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์
หลัง 2475 อำนาจเวียวนอยู่ในมือของขุนศึกอำมาตย์ แต่การเมืองโดยภาพประชาธิปไตยก็ทำให้เกิดพืชพันธุ์ของ “นักสู้เพื่อสังคมธรรม” ขึ้นได้ ส่วนใหญ่ของนักสู้ดังว่ามักจะมาจากสามัญชนคนชั้นล่างที่มีโอกาสได้เรียนสูงแล้วมีทัศนะที่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งมีผลกระทบมาจากกระแสการต่อสู้ทางชนชั้นในสากลยุคเปลี่ยนผ่านจากศักดินาสู่เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยและสังคมนิยม
สอง / เชื่อมต่อจากการต่อสู้ยุค ดร.ปรีดี พนมยงค์ รุ่นถัดมาจึงมาถึง “นักสู้ยุค พ.ศ.2500” นำขบวนด้วยนักคิดนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวคนสำคัญๆ มากมาย เช่น เตียง ศิริขันธ์,รวม วงศ์พันธุ์,ครอง จันดาวงศ์,เลียง ไชยกาล,ถวิล อุดล,จำลอง ดาวเรือง, กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา),อัศนี พลจันทร์,อุดม สีสุวรรณ,เปลื้อง วรรณศรี,จิตร ภูมิศักดิ์,สุวัฒน์ วรดิลก,ไขแสง สุกใส, และ ฯลฯ
ชื่อดังกล่าวไม่มีให้ศึกษาด้านถูกต้องในประวัติศาสตร์ประเทศไทย นักสู่เหล่านี้ บางคนถูกประหารชีวิต บางคนถูกฆ่าถูกไล่ล่า ถูกจับกุมคุมขัง ขบวนการฝ่ายประชาธิปไตยถูกปราบปราม ถูกบีบบังคับ จากการเขียนการพูดการวิพากษ์วิจารณ์ตามแนวทางสันติวิธีไม่สามารถดำเนินไปได้ หนทางสุดท้ายคือการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ จัดตั้งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างเป็นทางการ ใครที่อยู่ในเมืองแล้วถูกฆ่าถูกขังก็เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้ กำแพงคุกในยุคนั้นจึงปรากฎบทกวีของนักสู้นิรนามจารึกไว้ว่า
เมืองสยามใหญ่กว้าง สุดสายตา
จักเสาะยุติธรรมหา ยากแท้
คนดีถูกตีตรา นักโทษ
คนชั่วกลับอิ่มแปร้ นั่งยิ้มครองเมือง”
ช่างสอดคล้องกับวันเวลาอันมืดมนในยุคนี้ยิ่งนัก ขณะที่ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทุ่มโถมโหมชีวิตต่อสู้อย่างกล้าหาญ พวกเขากลับถูกใส่ร้ายป้ายสี สร้างภาพว่าคอมมิวนิสต์เป็นภูติผีปีศาจทำลายชาติทำลายสถาบัน ให้การศึกษาเยาวชนโดยบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง เนือหาตำรับตำราวิชาการก็กลับดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ ดีว่าชั่ว ชั่วว่าดี โฆษณาชวนเชื่อ ครองพื้นที่สื่อวิทยุโทรทัศน์สร้างคุณงามความดีให้ตนเอง
สาม / ยุคเยาวชนเดือนตุลา อธิบายควบคุมสองเหตุการณ์คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ต้องบอกว่า สองเหตุการณ์นี้คือขบวนการเดียวกัน เยาวชนนักเรียนนักศึกษาตื่นตัวขึ้นจากความรู้สึกว่าตนคือปัญญาชนผู้ได้เปรียบในสังคม พบว่าความรู้ไม่ใช่แค่เพียงปริญญาบัตร ไม่ใช่คำขวัญเรียนไปเพื่อเป็น “เจ้าคนนายคน” เมื่อสืบค้นลึกลงไปก็พบประวัติศาสตร์บิดเบือนมากมาย พบว่า ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฏรแท้จริงเป็นฝ่ายธรรม พบว่าคอมมิวนิสต์คือพรรคการเมืองที่กำเนิดขึ้นจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์-เลนิน เป็นกระแสสากลแห่งโลกยุคสงครามเย็น พบว่าสังคมมีชนชั้น และประชาธิปไตยยังไม่เต็มใบอย่างแท้จริง
ที่สุดนิสิตนักศึกษาจึงกลายมาเป็นพลังนำในการเปลี่ยนแปลงสังคม สู่รูปธรรมเป็นการเคลื่อนไหว “เรียกร้องรัฐธรรมนูญ” จนถูกจับกุมคุมขัง เกิดกรณีเดินขบวนคัดค้านครั้งใหญ่ให้ปล่อย 13 กบฎรัฐธรรมนูญ นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลถนอม-ประภาส พ่ายแพ้ยอมออกนอกประเทศ สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องรัฐอำมาตย์ต้อง “ยินยอมชั่วคราว” แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ปรับขบวนจากรับมาเป็นรุก สร้างโมเดล 6 ตุลาคม 2519 ด้วยข้อหาอมตะ นักศึกษาถูกแทรกแซงจากคอมมิวนิสต์ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ปั้นน้ำเป็นตัว สร้างเรื่องป้ายสีป่าวร้องผ่านสื่อของรัฐและสิ่งพิมพ์ในกำกับ จากนั้นก็ส่งหน่วยสร้างความรุนแรงเข้าปะปนกับนักศึกษา จุดชนวนเข้าล้อมปราบสังหารอย่างเหี้ยมโหด จนถึงวันนี้ใครฆ่าและใครสั่งฆ่านักศึกษาประชาชนก็ยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้เสมอมา
โดยที่เวลานั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยึดแนวทาง “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ยอมรับแนวทาง “ลุกขึ้นสู้ในเมือง” การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนในเวลานั้นจึงปราศจากการ แทรกแซงชี้นำของ พคท.อย่างแท้จริง เป็นการต่อสู้ตามลำพังโดยบริสุทธิ์ แต่เพราะมีกองกำลัง พคท.ในชนบท นักศึกษาประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจึงมีที่ทางที่ได้อาศัยหลบหนีไปสู้ต่อได้ ที่เรียกว่า หนีตายไม่สู้ต่อ
ต้องถือว่า การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยขึ้นสู่จุดสูงสุดของความรุนแรง เข้มข้น และดุเดือดที่สุดในยุค 6 ตุลาคม 2519 สังคมแตกแยกหนักหน่วง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปัจจุบันต้องถือว่ายังแตกแยกน้อยกว่าและห่างไกลกันมากนัก ทว่าจุดต่างก็คือวันนี้ไม่มีการต่อสู้ด้วยกองกำลังอาวุธที่มารองรับ แต่วันนั้นมี กองกำลังในป่าขยายตัวเติบใหญ่ ได้ภาพความชอบธรรมที่จะสู้กับการปราบอย่างโหดร้ายหกตุลา และกองกำลังอาวุธฝ่ายประชาชนสามารถสู้รบทางการทหารอย่างรุกคืบหน้ามากขึ้นในยุทธการต่างๆ สามารถตีระดับตำบลจนถึงระดับอำเภอแตก เป็นผลให้รัฐอำมาตย์ศักดินาต้องปรับขบวน รัฐประหารยึดอำนาจกันเองเพื่อปรับเปลี่ยนให้เกิดภาพประชาธิปไตย เอารัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียรออก เอา พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เข้า และที่สุดก็เข้าสู่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งตนเองไม่เคยผ่านการลงสมัครรับเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว
ถึงตรงนี้มีข้อน่าสังเกตุคือ ความพยายามยุติการใช้การทหารนำการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง โดยความคิดของข้าราชการทหารสายพิราบได้ชัยชนะเหนือทหารสายเหยี่ยว ในการดำเนินงานเพื่อหยุดยั้งการสู้รบด้วยความรุนแรง ผลักดันให้เกิดนโยบาย 66/23 ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภายในขบวนการสู้รบในป่ามีปัญหาความขัดแย้งภายใน เรื่องแนวทางการต่อสู้อย่างดุเดือดถึงขั้นต้องแตกแยกกัน
ความจริงก็คือ รัฐอำมาตย์ศักดินาเคยยอมยุติความขัดแย้งโดยให้การยอมรับว่า พคท.ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย หากแต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาแล้ว อันถือเป็นจุดสูงสุดของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธระหว่างกันซึ่งเป็นความรุนแรงสูงสุด หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่มีความพยายามเช่นนั้น การปรองดองยังเป็นคำพูดลอยๆ
คำถามคือ ทำไมรัฐศักดินายอมทำข้อตกลงยุติการสู้รบในเวลานั้น ตอบว่า เพราะได้มากกว่าเสีย การทำให้ไม่มีกองกำลังอาวุธคือการทำลายรากแก้วแห่งการต่อสู้ เป็นยุทธวิธี ปลดอาวุธศัตรูเพื่อให้หมดสภาพการต่อรอง เพียงแต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมิได้มาจากรัฐศักดินาเป็นด้านหลัก หากแต่เป็นเพราะขบวนการประชาชนประสบปัญหาความแตกแยกขัดแย้งกันเองเป็นด้านหลัก
สี่ / หลังการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในเขตป่าเขา (สงครามประชาชน) ซึ่งก็คือ หลังนโยบาย 66/23การต่อสู้ที่ไร้แนวหลังอันแข็งแกร่ง ทำให้รัฐศักดินาเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับเกรียงไกรอย่างต่อเนื่อง 8 ปี ในยุคพลเอก.เปรม ติณสูลานนท์ และหลังจากนั้นกองทัพก็ยังกุมสถานการณ์กำกับทุกรัฐบาลอยู่ได้ แน่นอน ที่สำคัญเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างอย่างเอื้อต่อระบอบโดยคนของพวกเขา จนกระทั่งกระแสเรียกร้องเพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเข้มข้นขึ้น ประเด็นนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งก็ดี ประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภาก็ดี ที่สุดจากกระแสการเคลื่อนไหวของประชาชนก็สามารถผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 ออกมาได้
ส่งผลให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก ส่งผลให้รัฐบาลใหม่อยู่ครบเทอม ส่งผลให้มีรัฐบาลพรรคเดียวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดขบวนการต่อต้าน ประดิษฐ์วาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” ขึ้น ตามมาด้วยแผนทำลายทั้งรัฐบาล ทั้งพรรคการเมือง และทั้งต่อตัว “ทักษิณ ชินวัตร” โดยตรง ปิดฉากด้วยการรัฐประหารล้ม “รัฐธรรมนูญปี 40” อันเป็นต้นตอปัญหาที่ทำให้ “ประชาธิปไตย” หลุดไปจากการกำกับ ใช้ปืนและรถถังออกมายึดอำนาจเอาดื้อๆ และให้คนของพวกเขาร่างรัฐธรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง คือ “รัฐธรรมนูญปี 50” กลายเป็นรัฐ กอ.รมน. รัฐกองทัพ รัฐข้าราชการทหาร มี ศอฉ.เป็นใหญ่ ดีเอสไอ เป็นเครื่องมือ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหุ่นเชิด
เมื่อประชาชนไม่ยินยอม และเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยสันติวิธีต่อเนื่องยาวนานเกือบสี่ปีหลังรัฐประหาร ในนาม”คนเสื้อแดง” พวกเขาก็ดำเนินการสังหารประชาชนอย่างเหี้ยมโหดเมื่อ 10 เมษา และ 19 พฤษภาที่ผ่านมา โดยใช้โมเดลเดียวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 “ปลอมปน สอดแทรก แบ่งแยก ทำลาย” พวกเขาพยายามดิ้นหนีจากโจทย์ “ใครฆ่าประชาชน” ให้พ้นด้วยการใช้สื่อสารมวลชนที่ตนควบคุมโหมป่าวร้องให้ความสำคัญกับการเผาอาคารมากกว่าชีวิตคน ใช้ศิลปินแต่งเพลงร้องเพลงทำร้ายหัวใจคนเสื้อแดง ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆเผยโฉมหน้านักวิชาการบริกร เรียกร้องความปรองดองขณะจับกุมคุมขัง ไล่ล่าฆ่าสังหารคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องทั้งในทางลับและเปิดเผย
คำถามก็คือ เมื่อการปรองดองเป็นมายาคติ ทับซ้อนอยู่ในความจริงอันเหี้ยมโหดแห่งการเข่นฆ่าประชาชนตลอดมาในประวัติศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้จึงเป็นได้แค่ “ภูเขาไฟที่ดับชั่วคราว” สังคมไทยจะเข้าสู่สันติสงบและประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร
ดูแต่การปรองดองของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในอดีต ภาพรวมของพวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตสมาชิก พคท.หรือแนวร่วมที่ออกจากป่ามาพร้อมกัน ปัจจุบัน พวกเขาล้วนยืนอยู่ทั้งสองฟากของความขัดแย้ง ด้วยความคิด ความเชื่อ ผลประโยชน์ และอุดมการณ์ที่ไม่เหมือนกัน
น่าคิดว่าในวันที่มีอาวุธอยู่ในมือ พวกเขายอมวางอาวุธ ไม่ใช่เพราะเชื่อในไมตรี ”พัฒนาชาติไทย” ที่รัฐศักดินาหยิบยื่นให้ แต่หากเพราะไม่มั่นใจแนวทางที่จะสู้ต่อไปของตนเองต่างหาก
เช่นเดียวกับวันนี้ แม้ไม่เชื่อในไมตรีที่จะ “ปรองดอง” พวกเขายังจะมีทางเลือกใดๆอีกหรือ เมื่อวันนี้ไม่มีอาวุธในมือ อย่าลืมว่าไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีป่ารองรับ เสียหายง่าย เสียหายมาก ดังที่เห็นๆกันอยู่ แนวทางการปรองดองท่ามกลางการต่อสู้ด้วยสันติวิธีจึงเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างรอบคอบ
คำว่า “สู้ต่อไป”วันนี้ จะขับเคลื่อนโดยใช้อารมณ์อย่างขาดสติมิได้เป็นอันขาด คำ “ปรองดอง” จึงเป็นเอกภาพของความขัดแย้งกับ “สู้ต่อไป” ปรองดองก็เอา สู้ต่อไปก็สู้ ปรองดองในท่ามกลางการต่อสู้ หรือ ต่อสู้ขณะปรองดอง ก็ว่ากันไป เฉกเช่นเดียวกับ ขณะทำสงครามก็มีการเจรจา ขณะเจรจาการสู้รบยังดำเนินต่อไป จนกว่าจะตกลงกันได้ เพียงแต่ว่าจะโดย “เงื่อนไข” อันใดเท่านั้น.
บันทึกเขียนเสร็จ 6 กันยายน 2553
******************************************************************
การปรองดองวันนี้เป็นการปรองดองเพื่อสร้างภาพ ไม่ได้จริงใจที่จะปรองดอง รัฐบาลแสดงละครภายใต้การกำกับของกองทัพ เหนือกองทัพขึ้นไปมีกองบัญชาการของอำมาตย์และคนชั้นสูง ควบคุมบงการอยู่อีกชั้นหนึ่ง
รัฐธรรมนูญปี 50 คือรัฐธรรมนูญที่พวกเขาสร้างขึ้นมา เพื่ออำพรางให้เกิดภาพประชาธิปไตย ความจริงดังกล่าวในอดีตอาจไม่แจ่มชัด แต่วันนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ประชาธิปไตยไม่ได้ตกอยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง หากแต่เป็น “ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับ” เมื่อใดก็ตามที่มีสัญญาณว่า ความขัดแย้งทางชนชั้นเริ่มแหลมคมอำนาจอันแท้จริงจะเปลี่ยนไปอยู่ในมือของ “ข้าราษฏร” มิใช่ “ข้าราชการ” การจัดการให้อยู่ในร่องในรอยก็จะเกิดขึ้น
พูดอย่างนี้ มิได้หมายความว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง แต่หมายถึง การปรองดองมิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะปากพูด แต่การกระทำยังติดตามไล่ล่า จับกุมคุมขัง สังหารคนเสื้อแดง ปรากฎความไม่เป็นธรรมในการจัดการกับปัญหาต่างๆ ทั้งระดับโครงสร้างประชาธิปไตย และรูปธรรมหลายประการทางการปฏิบัติ สูงสุดคือ อิสระภาพ เสรีภาพ และความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนที่คิดต่างต้องได้รับการคุ้มครอง
ในวาระครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร (19 กันยายน 2549) ผู้เขียนขอร่วมรำลึกเหตุการณ์ ด้วยการนำเสนอบันทึกฉบับที่ 5 วิเคราะห์การปรองดองจอมปลอมว่าไม่สามารถยุติความแตกแยกในสังคมได้ โดยจะชี้ให้เห็นว่า เราเคยผ่านความขัดแย้งแตกแยกที่รุนแรงเช่นนี้มาแล้ว แต่ละระยะ มีเนื้อหาเดียวกัน โดยตัวละครฝ่ายประชาธิปไตยผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามารุ่นแล้วรุ่นเล่า เหมือนนักมวยมั่นหมายชิงแชมป์ ทว่าแชมป์ยังเป็นคนเดิมที่แข็งแกร่งประดุจศิลากลางน้ำเชี่ยว เริ่มต้นจาก
หนึ่ง / ยุคเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณายาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีตัวละครสำคัญคือ “คณะราษฏร”ที่ทำการปฏิวัติยึดอำนาจ มีบุคคลสำคัญซึ่งท้ายสุดไม่มีแผ่นดินอยู่ แม้เวลาสิ้นชีวิตก็นำกลับมาได้เพียงเถ้าอัฐิเท่านั้น คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์
หลัง 2475 อำนาจเวียวนอยู่ในมือของขุนศึกอำมาตย์ แต่การเมืองโดยภาพประชาธิปไตยก็ทำให้เกิดพืชพันธุ์ของ “นักสู้เพื่อสังคมธรรม” ขึ้นได้ ส่วนใหญ่ของนักสู้ดังว่ามักจะมาจากสามัญชนคนชั้นล่างที่มีโอกาสได้เรียนสูงแล้วมีทัศนะที่ก้าวหน้า ส่วนหนึ่งมีผลกระทบมาจากกระแสการต่อสู้ทางชนชั้นในสากลยุคเปลี่ยนผ่านจากศักดินาสู่เสรีภาพแห่งประชาธิปไตยและสังคมนิยม
สอง / เชื่อมต่อจากการต่อสู้ยุค ดร.ปรีดี พนมยงค์ รุ่นถัดมาจึงมาถึง “นักสู้ยุค พ.ศ.2500” นำขบวนด้วยนักคิดนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง นักเคลื่อนไหวคนสำคัญๆ มากมาย เช่น เตียง ศิริขันธ์,รวม วงศ์พันธุ์,ครอง จันดาวงศ์,เลียง ไชยกาล,ถวิล อุดล,จำลอง ดาวเรือง, กุหลาบ สายประดิษฐ์ (ศรีบูรพา),อัศนี พลจันทร์,อุดม สีสุวรรณ,เปลื้อง วรรณศรี,จิตร ภูมิศักดิ์,สุวัฒน์ วรดิลก,ไขแสง สุกใส, และ ฯลฯ
ชื่อดังกล่าวไม่มีให้ศึกษาด้านถูกต้องในประวัติศาสตร์ประเทศไทย นักสู่เหล่านี้ บางคนถูกประหารชีวิต บางคนถูกฆ่าถูกไล่ล่า ถูกจับกุมคุมขัง ขบวนการฝ่ายประชาธิปไตยถูกปราบปราม ถูกบีบบังคับ จากการเขียนการพูดการวิพากษ์วิจารณ์ตามแนวทางสันติวิธีไม่สามารถดำเนินไปได้ หนทางสุดท้ายคือการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ จัดตั้งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศการต่อสู้ด้วยอาวุธอย่างเป็นทางการ ใครที่อยู่ในเมืองแล้วถูกฆ่าถูกขังก็เข้าป่าไปจับปืนต่อสู้ กำแพงคุกในยุคนั้นจึงปรากฎบทกวีของนักสู้นิรนามจารึกไว้ว่า
เมืองสยามใหญ่กว้าง สุดสายตา
จักเสาะยุติธรรมหา ยากแท้
คนดีถูกตีตรา นักโทษ
คนชั่วกลับอิ่มแปร้ นั่งยิ้มครองเมือง”
ช่างสอดคล้องกับวันเวลาอันมืดมนในยุคนี้ยิ่งนัก ขณะที่ผู้รักชาติรักประชาธิปไตยทุ่มโถมโหมชีวิตต่อสู้อย่างกล้าหาญ พวกเขากลับถูกใส่ร้ายป้ายสี สร้างภาพว่าคอมมิวนิสต์เป็นภูติผีปีศาจทำลายชาติทำลายสถาบัน ให้การศึกษาเยาวชนโดยบิดเบือนประวัติศาสตร์ที่เป็นจริง เนือหาตำรับตำราวิชาการก็กลับดำเป็นขาวกลับขาวเป็นดำ ดีว่าชั่ว ชั่วว่าดี โฆษณาชวนเชื่อ ครองพื้นที่สื่อวิทยุโทรทัศน์สร้างคุณงามความดีให้ตนเอง
สาม / ยุคเยาวชนเดือนตุลา อธิบายควบคุมสองเหตุการณ์คือ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 ต้องบอกว่า สองเหตุการณ์นี้คือขบวนการเดียวกัน เยาวชนนักเรียนนักศึกษาตื่นตัวขึ้นจากความรู้สึกว่าตนคือปัญญาชนผู้ได้เปรียบในสังคม พบว่าความรู้ไม่ใช่แค่เพียงปริญญาบัตร ไม่ใช่คำขวัญเรียนไปเพื่อเป็น “เจ้าคนนายคน” เมื่อสืบค้นลึกลงไปก็พบประวัติศาสตร์บิดเบือนมากมาย พบว่า ปรีดี พนมยงค์และคณะราษฏรแท้จริงเป็นฝ่ายธรรม พบว่าคอมมิวนิสต์คือพรรคการเมืองที่กำเนิดขึ้นจากทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์-เลนิน เป็นกระแสสากลแห่งโลกยุคสงครามเย็น พบว่าสังคมมีชนชั้น และประชาธิปไตยยังไม่เต็มใบอย่างแท้จริง
ที่สุดนิสิตนักศึกษาจึงกลายมาเป็นพลังนำในการเปลี่ยนแปลงสังคม สู่รูปธรรมเป็นการเคลื่อนไหว “เรียกร้องรัฐธรรมนูญ” จนถูกจับกุมคุมขัง เกิดกรณีเดินขบวนคัดค้านครั้งใหญ่ให้ปล่อย 13 กบฎรัฐธรรมนูญ นำไปสู่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 รัฐบาลถนอม-ประภาส พ่ายแพ้ยอมออกนอกประเทศ สถานการณ์บีบบังคับให้ต้องรัฐอำมาตย์ต้อง “ยินยอมชั่วคราว” แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ปรับขบวนจากรับมาเป็นรุก สร้างโมเดล 6 ตุลาคม 2519 ด้วยข้อหาอมตะ นักศึกษาถูกแทรกแซงจากคอมมิวนิสต์ ไม่จงรักภักดีต่อสถาบัน ปั้นน้ำเป็นตัว สร้างเรื่องป้ายสีป่าวร้องผ่านสื่อของรัฐและสิ่งพิมพ์ในกำกับ จากนั้นก็ส่งหน่วยสร้างความรุนแรงเข้าปะปนกับนักศึกษา จุดชนวนเข้าล้อมปราบสังหารอย่างเหี้ยมโหด จนถึงวันนี้ใครฆ่าและใครสั่งฆ่านักศึกษาประชาชนก็ยังไม่มีใครรู้ ไม่มีใครรู้เสมอมา
โดยที่เวลานั้น พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยยึดแนวทาง “ชนบทล้อมเมือง” ไม่ยอมรับแนวทาง “ลุกขึ้นสู้ในเมือง” การต่อสู้ของนักศึกษาประชาชนในเวลานั้นจึงปราศจากการ แทรกแซงชี้นำของ พคท.อย่างแท้จริง เป็นการต่อสู้ตามลำพังโดยบริสุทธิ์ แต่เพราะมีกองกำลัง พคท.ในชนบท นักศึกษาประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจึงมีที่ทางที่ได้อาศัยหลบหนีไปสู้ต่อได้ ที่เรียกว่า หนีตายไม่สู้ต่อ
ต้องถือว่า การต่อสู้ของขบวนการประชาธิปไตยขึ้นสู่จุดสูงสุดของความรุนแรง เข้มข้น และดุเดือดที่สุดในยุค 6 ตุลาคม 2519 สังคมแตกแยกหนักหน่วง ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปัจจุบันต้องถือว่ายังแตกแยกน้อยกว่าและห่างไกลกันมากนัก ทว่าจุดต่างก็คือวันนี้ไม่มีการต่อสู้ด้วยกองกำลังอาวุธที่มารองรับ แต่วันนั้นมี กองกำลังในป่าขยายตัวเติบใหญ่ ได้ภาพความชอบธรรมที่จะสู้กับการปราบอย่างโหดร้ายหกตุลา และกองกำลังอาวุธฝ่ายประชาชนสามารถสู้รบทางการทหารอย่างรุกคืบหน้ามากขึ้นในยุทธการต่างๆ สามารถตีระดับตำบลจนถึงระดับอำเภอแตก เป็นผลให้รัฐอำมาตย์ศักดินาต้องปรับขบวน รัฐประหารยึดอำนาจกันเองเพื่อปรับเปลี่ยนให้เกิดภาพประชาธิปไตย เอารัฐบาลนายธานินทร์ กรัยวิเชียรออก เอา พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์เข้า และที่สุดก็เข้าสู่ยุค พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งตนเองไม่เคยผ่านการลงสมัครรับเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว
ถึงตรงนี้มีข้อน่าสังเกตุคือ ความพยายามยุติการใช้การทหารนำการเมืองลงอย่างสิ้นเชิง โดยความคิดของข้าราชการทหารสายพิราบได้ชัยชนะเหนือทหารสายเหยี่ยว ในการดำเนินงานเพื่อหยุดยั้งการสู้รบด้วยความรุนแรง ผลักดันให้เกิดนโยบาย 66/23 ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ภายในขบวนการสู้รบในป่ามีปัญหาความขัดแย้งภายใน เรื่องแนวทางการต่อสู้อย่างดุเดือดถึงขั้นต้องแตกแยกกัน
ความจริงก็คือ รัฐอำมาตย์ศักดินาเคยยอมยุติความขัดแย้งโดยให้การยอมรับว่า พคท.ไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย หากแต่เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยมาแล้ว อันถือเป็นจุดสูงสุดของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธระหว่างกันซึ่งเป็นความรุนแรงสูงสุด หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่มีความพยายามเช่นนั้น การปรองดองยังเป็นคำพูดลอยๆ
คำถามคือ ทำไมรัฐศักดินายอมทำข้อตกลงยุติการสู้รบในเวลานั้น ตอบว่า เพราะได้มากกว่าเสีย การทำให้ไม่มีกองกำลังอาวุธคือการทำลายรากแก้วแห่งการต่อสู้ เป็นยุทธวิธี ปลดอาวุธศัตรูเพื่อให้หมดสภาพการต่อรอง เพียงแต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้นมิได้มาจากรัฐศักดินาเป็นด้านหลัก หากแต่เป็นเพราะขบวนการประชาชนประสบปัญหาความแตกแยกขัดแย้งกันเองเป็นด้านหลัก
สี่ / หลังการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในเขตป่าเขา (สงครามประชาชน) ซึ่งก็คือ หลังนโยบาย 66/23การต่อสู้ที่ไร้แนวหลังอันแข็งแกร่ง ทำให้รัฐศักดินาเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก ประชาธิปไตยภายใต้การกำกับเกรียงไกรอย่างต่อเนื่อง 8 ปี ในยุคพลเอก.เปรม ติณสูลานนท์ และหลังจากนั้นกองทัพก็ยังกุมสถานการณ์กำกับทุกรัฐบาลอยู่ได้ แน่นอน ที่สำคัญเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างอย่างเอื้อต่อระบอบโดยคนของพวกเขา จนกระทั่งกระแสเรียกร้องเพื่อให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเข้มข้นขึ้น ประเด็นนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้งก็ดี ประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นประธานรัฐสภาก็ดี ที่สุดจากกระแสการเคลื่อนไหวของประชาชนก็สามารถผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540 ออกมาได้
ส่งผลให้เกิดรัฐบาลเสียงข้างมาก ส่งผลให้รัฐบาลใหม่อยู่ครบเทอม ส่งผลให้มีรัฐบาลพรรคเดียวขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ส่งผลให้เกิดขบวนการต่อต้าน ประดิษฐ์วาทกรรม “เผด็จการรัฐสภา” ขึ้น ตามมาด้วยแผนทำลายทั้งรัฐบาล ทั้งพรรคการเมือง และทั้งต่อตัว “ทักษิณ ชินวัตร” โดยตรง ปิดฉากด้วยการรัฐประหารล้ม “รัฐธรรมนูญปี 40” อันเป็นต้นตอปัญหาที่ทำให้ “ประชาธิปไตย” หลุดไปจากการกำกับ ใช้ปืนและรถถังออกมายึดอำนาจเอาดื้อๆ และให้คนของพวกเขาร่างรัฐธรรมที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง คือ “รัฐธรรมนูญปี 50” กลายเป็นรัฐ กอ.รมน. รัฐกองทัพ รัฐข้าราชการทหาร มี ศอฉ.เป็นใหญ่ ดีเอสไอ เป็นเครื่องมือ และรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเป็นหุ่นเชิด
เมื่อประชาชนไม่ยินยอม และเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยสันติวิธีต่อเนื่องยาวนานเกือบสี่ปีหลังรัฐประหาร ในนาม”คนเสื้อแดง” พวกเขาก็ดำเนินการสังหารประชาชนอย่างเหี้ยมโหดเมื่อ 10 เมษา และ 19 พฤษภาที่ผ่านมา โดยใช้โมเดลเดียวกับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 “ปลอมปน สอดแทรก แบ่งแยก ทำลาย” พวกเขาพยายามดิ้นหนีจากโจทย์ “ใครฆ่าประชาชน” ให้พ้นด้วยการใช้สื่อสารมวลชนที่ตนควบคุมโหมป่าวร้องให้ความสำคัญกับการเผาอาคารมากกว่าชีวิตคน ใช้ศิลปินแต่งเพลงร้องเพลงทำร้ายหัวใจคนเสื้อแดง ตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆเผยโฉมหน้านักวิชาการบริกร เรียกร้องความปรองดองขณะจับกุมคุมขัง ไล่ล่าฆ่าสังหารคนเสื้อแดงอย่างต่อเนื่องทั้งในทางลับและเปิดเผย
คำถามก็คือ เมื่อการปรองดองเป็นมายาคติ ทับซ้อนอยู่ในความจริงอันเหี้ยมโหดแห่งการเข่นฆ่าประชาชนตลอดมาในประวัติศาสตร์ ภูเขาไฟลูกนี้จึงเป็นได้แค่ “ภูเขาไฟที่ดับชั่วคราว” สังคมไทยจะเข้าสู่สันติสงบและประชาธิปไตยที่แท้จริงได้อย่างไร
ดูแต่การปรองดองของผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยในอดีต ภาพรวมของพวกเขาเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นอดีตสมาชิก พคท.หรือแนวร่วมที่ออกจากป่ามาพร้อมกัน ปัจจุบัน พวกเขาล้วนยืนอยู่ทั้งสองฟากของความขัดแย้ง ด้วยความคิด ความเชื่อ ผลประโยชน์ และอุดมการณ์ที่ไม่เหมือนกัน
น่าคิดว่าในวันที่มีอาวุธอยู่ในมือ พวกเขายอมวางอาวุธ ไม่ใช่เพราะเชื่อในไมตรี ”พัฒนาชาติไทย” ที่รัฐศักดินาหยิบยื่นให้ แต่หากเพราะไม่มั่นใจแนวทางที่จะสู้ต่อไปของตนเองต่างหาก
เช่นเดียวกับวันนี้ แม้ไม่เชื่อในไมตรีที่จะ “ปรองดอง” พวกเขายังจะมีทางเลือกใดๆอีกหรือ เมื่อวันนี้ไม่มีอาวุธในมือ อย่าลืมว่าไม่มีอาวุธในมือ ไม่มีป่ารองรับ เสียหายง่าย เสียหายมาก ดังที่เห็นๆกันอยู่ แนวทางการปรองดองท่ามกลางการต่อสู้ด้วยสันติวิธีจึงเป็นเรื่องที่ต้องขบคิดอย่างรอบคอบ
คำว่า “สู้ต่อไป”วันนี้ จะขับเคลื่อนโดยใช้อารมณ์อย่างขาดสติมิได้เป็นอันขาด คำ “ปรองดอง” จึงเป็นเอกภาพของความขัดแย้งกับ “สู้ต่อไป” ปรองดองก็เอา สู้ต่อไปก็สู้ ปรองดองในท่ามกลางการต่อสู้ หรือ ต่อสู้ขณะปรองดอง ก็ว่ากันไป เฉกเช่นเดียวกับ ขณะทำสงครามก็มีการเจรจา ขณะเจรจาการสู้รบยังดำเนินต่อไป จนกว่าจะตกลงกันได้ เพียงแต่ว่าจะโดย “เงื่อนไข” อันใดเท่านั้น.
บันทึกเขียนเสร็จ 6 กันยายน 2553
******************************************************************
เมื่อ “สถาบันนิยม” สะท้อน “ชาตินิยม”: กรณี “หัวโจก” กับ “รัฐมาเฟีย”
วันรัก สุวรรณวัฒนา
อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความโดย "วันรัก สุวรรณรัตนา" ตั้งคำถามต่อสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่า "มาตรการเชิงรุก" หลังกรณีนักเรียนตีกัน " โดยชี้ว่า รูปแบบการเมืองของ “หัวโจก” ที่ทั้งรัฐบาลและสังคมยอมรับไม่ได้ เป็นเพียงโมเดลขนาดเล็กของการเมืองแบบ “รัฐมาเฟีย” ผิดกันที่สังคมยอมรับอำนาจนิยมรูปแบบนี้ได้
ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องเยาวชนตีกันกลับเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ในหน้าหนึ่งของสำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ไทยแทบทุกสำนัก การเสียชีวิตของเด็กชายวัย 9 ขวบซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทเพียงแต่เผอิญไปอยู่ผิดที่ในเวลาที่ผิดพลาดนำมาซึ่งความรู้สึกสลดโศกเศร้าของผู้คนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกันว่าเด็กเหลือขอเหล่านี้ควรต้องถูกจัดการโดยมาตรการที่เด็ดขาด
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและออกมาตรการต่างๆใน “เชิงรุก” เพื่อสนองตอบอารมณ์สาธารณะที่ต้องการให้มีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง จนถึงกับมีการเสนอให้ “เด็กหัวโจกทั้งระดับมัธยมศึกษาและอาชีวะไปบำเพ็ญประโยชน์ในพื้นที่ที่ท้าทาย เช่น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” และยังเรียกร้องให้ “ครม.ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาขานรับกับการมาตรการแก้ปัญหาเชิง ”บูรณาการ” นี้ ด้วยข้อเสนอเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว ควบคู่กับการพัฒนาเรื่องไอคิว (ดูเพิ่มเติมที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283776766)
ท่ามกลางความพยายามที่ดูจริงใจและจริงจังเพื่อร่วมกันแก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ข้อเสนอต่างๆที่ทยอยกันออกมากลับไม่ต่างไปจากข้อเสนอที่รัฐบาลและสังคมไทยได้เคย “คลอด” ออกมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนำซ้ำกลับจะทวีความรุนแรงทั้งในเชิงการจัดการและในเชิงมาตรการทางกฎหมาย เสมือนว่ากำลังพยายามก้าวกระโดดตามให้ทันความรุนแรงของปัญหาที่เพิ่มขึ้น ด้วยการลอกเลียนแบบความรุนแรงนั้น
คำถามก็คือ มาตราการเชิงรุกต่างๆ เหล่านี้ แท้จริงแล้วจะแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหมู่ "เยาวชน” ที่รมว.ศธ.และ “ผู้ใหญ่” ทั้งหลายในสังคมไทยแปะป้ายชื่อให้พวกเขาไปแล้วว่าเป็น “หัวโจก” ได้จริงหรือ?
ดังนั้น เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมานี้แล้วนั้น จะเห็นได้ว่ามีสองประเด็นที่สังคมไทยจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
ประเด็นแรกคือ เรื่องกรอบคิดของการมองปัญหา ซึ่งนำไปสู่การให้คำนิยามกับปัญหาและวิธีในการจะเข้าไปจัดการกับปัญหา
จากคำสัมภาษณ์และแถลงการณ์ต่างๆของ “ทุกภาคส่วน” ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะของรมว.ศธ. เราจะเห็นได้ว่ากรอบวิธีคิดคือ การมองว่านี่คือปัญหาในระดับปัจเจก หมายถึงว่าเยาวชนทุกคนไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีเพียงเยาวชนในบางสถาบัน เยาวชนบางกลุ่มและเยาวชนบางคนเท่านั้น ปัจเจกในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงตัวบุคคลเพียงคนเดียว (ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องของกรณียกเว้นไป) แต่หมายถึง “บางกลุ่มบางบุคคล” (ซึ่งเป็นเรื่องของกรณีพิเศษที่กินพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางมนุษยวิทยาจำกัดอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นปัญหาของพื้นที่โดยรวมทั้งหมดของสังคม)
การมองปัญหาแบบนี้ไม่ได้มีอะไรผิดในตัวเอง เพราะในความเป็นจริง เมื่อเราพิจารณาสถานะทางการเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของเยาวชนกลุ่มนี้ เราจะเห็นได้ว่าพวกเขามีพื้นเพบางอย่างร่วมกัน คือพวกเขามาจากครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มคน “รากหญ้า” หรือฐานล่างที่ต้องรองรับน้ำหนักของยอดด้านบนที่กดทับลงมา หากแต่ผลที่เกิดขึ้นจากการมองปัญหาแบบนี้ในสังคมไทยต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะนำไปสู่ข้อสรุปที่เต็มไปด้วยอคติของการสร้างความเป็นอื่นและการแบ่งแยก ดังจะเห็นจากการนิยามว่าเยาวชนเหล่านี้เป็น “หัวโจก” และเป็นภัยคุกคามสังคม
ดังนั้น เราต้องเข้าไป “จัดการ” หรือถ้าจะให้สุภาพเข้ากับ “จริต” ทางการเมืองของคนไทยหัวใจรักกัน เรามักจะใช้คำว่า “ช่วยเหลือ ขัดเกลาและเยียวยา” แต่ก็ด้วยวิธีการที่ฉาบไปด้วยอคติของการมองปัญหาแบบปัจเจก นั่นก็คือ “สอดส่อง ควบคุมและเซ็นเซอร์” ดังจะเห็นได้จากมาตรการควบคุมทั้งหลายที่ออกมาจากการประชุมของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีลักษณะสำคัญคือการ “เฝ้าระวัง” โดยมีองค์กรทางอำนาจ (ตำรวจ สารวัตรนักเรียนและตัวสถานศึกษาเอง) เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย “ล้มหัวโจก” ในขณะเดียวกัน “มาตรการระยะยาว” นั้นก็เน้นไปที่การตั้ง “คณะกรรมการ” ต่างๆขึ้นมาในรูปแบบของ “ภาคีเครือข่าย” ซึ่งในทางหลักการก็ดูเข้าที แต่ในกระบวนการและขั้นตอนของการได้มาซึ่งข้อสรุปนี้ เราจะเห็นว่า “ทุกภาคส่วน” นั้นมิได้มี “ส่วนของเยาวชนหัวโจก” ร่วมด้วยแต่อย่างใด
มาตรการเชิงรุกและระยะยาวนี้ล้วนกลั่นคั้นออกมาจากความคิดและความเห็นของ “ผู้ใหญ่ผู้หวังดี” แต่เพียงถ่ายเดียว โดยกีดกันผู้ที่เป็น “ตัวปัญหา” ออกไปจากการมีส่วนร่วม เพราะตัวปัญหาจะไม่สามารถคิด ทำและตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ได้แน่ๆ
ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามเสนออย่างกว้างขวางว่า ปัญหาเยาวชนตีกันนั้นเป็นปัญหาสังคม แต่วาทกรรมนี้ดูจะเป็นวาทกรรมที่มีแต่รูปแบบ ไร้เนื้อหาใดๆ มีไว้ใช้เพียงเพื่อประดับคำให้สัมภาษณ์ของผู้พูดเท่านั้นและเพื่อสร้างความอุ่นใจชั่วคราวให้กับสังคมเพราะตอบสนองกับสิ่งที่ความเห็นสาธารณะต้องการได้ยิน เข้าข่ายสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า political correctness (ความถูกต้องดีงามทางการเมือง)
หากในความเป็นจริงนั้น ไม่ได้มีความพยายามใดๆที่จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวิธีการจัดการกับปัญหาให้สมกับที่อ้างว่าเป็นปัญหาสังคม เพราะเรายังคงมองเยาวชนเหล่านี้ว่าเป็นตัวก่อกวน มองว่าเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่พวกเรา ที่อยู่นอกเหนือไปจากพวกเรา และมองว่าเป็น “เชื้อร้าย” ของสังคม เราไม่ได้เอาตัวเราเองหรือสังคมทั้งหมดเข้าไป engage หรือมีส่วนร่วมจริงๆ ไม่ได้ตั้งตนว่า เรา ในฐานะคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ก็ย่อมต้อง “มีส่วนต่อการเกิดขึ้น” ของปัญหาและ ดังนั้น จึงต้อง “มีส่วนรับผิดดชอบ” ต่อปัญหานี้เท่าๆกับเยาวชนผู้ก่อปัญหาโดยตรง
ในงานวิจัยของกรมสุขภาพจิตที่รมว.สธ.อ้างถึงนั้น สรุปไว้ว่า “กลไกก่อให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น 30 คน จาก 3 สถาบัน พบว่ามีปัจจัยหลักจากทัศนคติ ความคิด ค่านิยมความรุนแรง และศักดิ์ศรี ร้อยละ 60-80” ดังนั้นจึง “ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรมเรื่องการใช้ความรุนแรง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” ของเด็กและเยาวชนเหล่านี้
ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่จะหยุดแช่แข็งปัญญาของความคิดเห็นสาธารณะไว้เพียงแค่ข้อสรุปง่ายๆตื้นเขินว่า ต้องเปลี่ยนทัศนคติของเยาวชนเหล่านี้? ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่ เราทุกคนต้องตั้งโจทย์ใหม่ ต้องพลิกกลับกระบวนทัศน์ใหม่ ว่าอาจไม่ใช่ทัศนคติของเยาวชนที่มีปัญหา แต่เป็นทัศนคติที่ผู้มีอำนาจในการปกครองและสังคมไทยมีต่อเยาวชนต่างหากที่เป็นปัญหา?
แท้จริงแล้ว ปัญหาเยาวขนตีกันนั้นจึงไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาของปัจเจก และก็ไม่ได้เป็นปัญหาทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาทางวัฒนธรรม ดังนั้น จึงเป็นปัญหาทางการเมืองด้วยในเวลาเดียวกัน
ข้อสรุปชั่วคราวนี้จึงนำเรามาสู่ประเด็นที่สองคือ ประเด็นเรื่อง ภาพของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ (ดังนั้นก็คือภาพของสังคมที่เราต้องการให้เป็นในอนาคตด้วยในเวลาเดียวกัน) ซี่งจะไปเกี่ยวเนื่องกับนโยบายปรองดองและปฏิรูปแห่งชาติที่รัฐบาลกำลังพยายามทำผ่านกลไกทางอำนาจทั้งหลายที่รัฐมีอยู่ในมือ
หลังจากเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จบลงด้วยการตาย 91 ศพ รัฐบาลต้องการให้สังคมไทยก้าวกระโดดไปข้างหน้าด้วยการเสนอ “มาตรการระยะยาว” ภายใต้กรอบคิดเรื่อง “การปรองดอง” และ “การปฏิรูป” โดยมีวีธีการหลักๆคือ การสร้างเสริมจิตสำนึกของการรักชาติ ควบคู่ไปกับการดึงเอา “คนดี” มาเป็นธงชัยนำกองทัพปฎิรูป
“สถาบัน” ต่างๆ ทั้งทางการเมืองและทางสังคมถูกยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่แตะต้องไม่ได้
“ความดี” (และชุดคำที่มีนัยเดียวกัน “จริยธรรม” “ศีลธรรม” ฯลฯ) ถูกสถาปนาให้เป็นคุณค่าสูงสุดที่ต้องยึดมั่นถือมั่น
ในนามของ “ชาติไทย” และการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว คนไทย “ที่ดี” นั้นจะต้องประพฤกติตัวบนเส้นทางนี้ที่รัฐบาลพยายามปูไว้ให้เท่านั้น หากเราเผลอก้าวออกนอกพรมแดงนี้เมื่อใด เราจะกลายเป็น คนไม่รักชาติ ผู้ก่อกวน ผู้ก่อการร้าย หัวโจก ฯลฯ ไปในทันที
ในแง่นี้ อาจกล่าวได้ว่ายุคสมัยที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้คือยุคของการกลับไปสู่การสร้างลัทธิ “ชาตินิยม” ในนามของการพัฒนาประเทศ และรัฐก็ใช้ความรุนแรงในหลากหลายวิธีเพื่อที่การสถาปนาลัทธินี้ เพราะในขณะที่รัฐบอกเราว่าเราควรจะรักกัน (ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาวและเชิงบูรณาการ) รัฐก็ใช้ “มาตรการเชิงรุก” ภายใต้กรอบคิด “ควบคุม สอดส่องและเซ็นเซอร์” (รวมไปถึงปราบปราม) กลุ่มคนที่คิดเห็นต่าง ทั้งทางการเมืองและทางสังคม ด้วยการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว “สถาบันนิยม” ของเหล่าเยาวชนผู้รักการตีกัน จึงอาจเป็นผลผลิต (ในเชิงย้อนกลับ) ของลัทธิ “ชาตินิยม” ของบรรดาคนไทยหัวใจ (รักชาติ) เดียวกัน เพราะท้ายที่สุด ทั้งสองกลุ่มก็รักและเทิดทูน “คุณค่าสูงสุด” ในแบบเดียวกัน กลุ่มหนึ่งเทิดทูนสถาบันการศึกษา ส่วนอีกกลุ่มเทิดทูนแนวคิดเรื่องรัฐชาติหนึ่งดียว และทั้งสองกลุ่มตัดสินใจหรือกระทำการใดๆ ภายใต้ “ความเชื่อ” เรื่องคุณค่าสูงสุด
รูปแบบการเมืองของ “หัวโจก” จึงเป็นโมเดลขนาดเล็กของรูปแบบการเมืองของ “รัฐมาเฟีย” !
แต่ในขณะที่สังคมยอมรับ “อำนาจนิยม” แห่งรัฐได้ (สังคมยอมให้รัฐใช้ความรุนแรงได้ โดยมีข้ออ้างคือ “ความชอบธรรม”) เหล่านักศึกษาอาชีว “หัวโจก” กลับไม่สามารถอ้างความชอบธรรมใดๆทั้งสิ้นที่จะใช้ความรุนแรงได้เลย นอกเสียจาก ความชอบธรรมหนึ่งเดียวที่บุคคลอื่นๆ ในสังคมยัดเยียดให้กับพวกเขาด้วยสายตาที่สังเวชระคนความโกรธเกรี้ยว
นั่นก็คือการมองว่าพวกเขาเป็นผู้ด้วยโอกาสทางสังคมอันเนื่องมาจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่บูดเบี้ยว
หากแต่เรามักจะลืมว่าโครงสร้างที่บูดเบี้ยวนี้ แท้จริงแล้ว ตั้งอยู่บนฐานของโครงสร้างทางอำนาจและทางคุณค่าที่เห็นแก่ตัว ใจแคบและเบ็ดเสร็จ !
กระบวนทัศน์ที่รัฐและสังคมใช้มองและจัดการกับปัญหาเรื่องเยาวชนก่อความรุนแรงจึงต้องได้รับการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ติดอยู่ในกับดักเรื่อง “การสร้างคนดี” แต่เพียงถ่ายเดียว เพราะปัญหาของเยาวขนตีกันนั้นสะท้อนปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องของทัศนคติและค่านิยมของเยาวชน และยิ่งใหญ่ไปกว่าวาทกรรมกว้างๆ ว่าด้วยปัญหาสังคม เพราะมันคือปัญหาของระบบการให้คุณค่าและระบบการใช้อำนาจของสังคมไทยทั้งระบบ
*****************************************************************
อาจารย์ประจำคณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บทความโดย "วันรัก สุวรรณรัตนา" ตั้งคำถามต่อสิ่งที่รัฐบาลเรียกว่า "มาตรการเชิงรุก" หลังกรณีนักเรียนตีกัน " โดยชี้ว่า รูปแบบการเมืองของ “หัวโจก” ที่ทั้งรัฐบาลและสังคมยอมรับไม่ได้ เป็นเพียงโมเดลขนาดเล็กของการเมืองแบบ “รัฐมาเฟีย” ผิดกันที่สังคมยอมรับอำนาจนิยมรูปแบบนี้ได้
ในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาเรื่องเยาวชนตีกันกลับเข้ามาแย่งชิงพื้นที่ในหน้าหนึ่งของสำนักข่าวและหนังสือพิมพ์ไทยแทบทุกสำนัก การเสียชีวิตของเด็กชายวัย 9 ขวบซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทเพียงแต่เผอิญไปอยู่ผิดที่ในเวลาที่ผิดพลาดนำมาซึ่งความรู้สึกสลดโศกเศร้าของผู้คนในสังคมที่เห็นพ้องต้องกันว่าเด็กเหลือขอเหล่านี้ควรต้องถูกจัดการโดยมาตรการที่เด็ดขาด
ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเร่งดำเนินการหารือกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องและออกมาตรการต่างๆใน “เชิงรุก” เพื่อสนองตอบอารมณ์สาธารณะที่ต้องการให้มีการแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง จนถึงกับมีการเสนอให้ “เด็กหัวโจกทั้งระดับมัธยมศึกษาและอาชีวะไปบำเพ็ญประโยชน์ในพื้นที่ที่ท้าทาย เช่น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้” และยังเรียกร้องให้ “ครม.ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้” ด้านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขก็ออกมาขานรับกับการมาตรการแก้ปัญหาเชิง ”บูรณาการ” นี้ ด้วยข้อเสนอเรื่องการพัฒนาและเสริมสร้างความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว ควบคู่กับการพัฒนาเรื่องไอคิว (ดูเพิ่มเติมที่ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1283776766)
ท่ามกลางความพยายามที่ดูจริงใจและจริงจังเพื่อร่วมกันแก้ปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ข้อเสนอต่างๆที่ทยอยกันออกมากลับไม่ต่างไปจากข้อเสนอที่รัฐบาลและสังคมไทยได้เคย “คลอด” ออกมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา หนำซ้ำกลับจะทวีความรุนแรงทั้งในเชิงการจัดการและในเชิงมาตรการทางกฎหมาย เสมือนว่ากำลังพยายามก้าวกระโดดตามให้ทันความรุนแรงของปัญหาที่เพิ่มขึ้น ด้วยการลอกเลียนแบบความรุนแรงนั้น
คำถามก็คือ มาตราการเชิงรุกต่างๆ เหล่านี้ แท้จริงแล้วจะแก้ปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในหมู่ "เยาวชน” ที่รมว.ศธ.และ “ผู้ใหญ่” ทั้งหลายในสังคมไทยแปะป้ายชื่อให้พวกเขาไปแล้วว่าเป็น “หัวโจก” ได้จริงหรือ?
ดังนั้น เมื่อพิจารณาเหตุการณ์ในช่วงที่ผ่านมานี้แล้วนั้น จะเห็นได้ว่ามีสองประเด็นที่สังคมไทยจะต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างตรงไปตรงมา
ประเด็นแรกคือ เรื่องกรอบคิดของการมองปัญหา ซึ่งนำไปสู่การให้คำนิยามกับปัญหาและวิธีในการจะเข้าไปจัดการกับปัญหา
จากคำสัมภาษณ์และแถลงการณ์ต่างๆของ “ทุกภาคส่วน” ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะของรมว.ศธ. เราจะเห็นได้ว่ากรอบวิธีคิดคือ การมองว่านี่คือปัญหาในระดับปัจเจก หมายถึงว่าเยาวชนทุกคนไม่ได้เป็นอย่างนี้ มีเพียงเยาวชนในบางสถาบัน เยาวชนบางกลุ่มและเยาวชนบางคนเท่านั้น ปัจเจกในที่นี้ ไม่ได้หมายความถึงตัวบุคคลเพียงคนเดียว (ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องของกรณียกเว้นไป) แต่หมายถึง “บางกลุ่มบางบุคคล” (ซึ่งเป็นเรื่องของกรณีพิเศษที่กินพื้นที่ทางกายภาพและพื้นที่ทางมนุษยวิทยาจำกัดอยู่ในบางพื้นที่เท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นปัญหาของพื้นที่โดยรวมทั้งหมดของสังคม)
การมองปัญหาแบบนี้ไม่ได้มีอะไรผิดในตัวเอง เพราะในความเป็นจริง เมื่อเราพิจารณาสถานะทางการเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองของเยาวชนกลุ่มนี้ เราจะเห็นได้ว่าพวกเขามีพื้นเพบางอย่างร่วมกัน คือพวกเขามาจากครอบครัวซึ่งเป็นกลุ่มคน “รากหญ้า” หรือฐานล่างที่ต้องรองรับน้ำหนักของยอดด้านบนที่กดทับลงมา หากแต่ผลที่เกิดขึ้นจากการมองปัญหาแบบนี้ในสังคมไทยต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะนำไปสู่ข้อสรุปที่เต็มไปด้วยอคติของการสร้างความเป็นอื่นและการแบ่งแยก ดังจะเห็นจากการนิยามว่าเยาวชนเหล่านี้เป็น “หัวโจก” และเป็นภัยคุกคามสังคม
ดังนั้น เราต้องเข้าไป “จัดการ” หรือถ้าจะให้สุภาพเข้ากับ “จริต” ทางการเมืองของคนไทยหัวใจรักกัน เรามักจะใช้คำว่า “ช่วยเหลือ ขัดเกลาและเยียวยา” แต่ก็ด้วยวิธีการที่ฉาบไปด้วยอคติของการมองปัญหาแบบปัจเจก นั่นก็คือ “สอดส่อง ควบคุมและเซ็นเซอร์” ดังจะเห็นได้จากมาตรการควบคุมทั้งหลายที่ออกมาจากการประชุมของกระทรวงศึกษาธิการ ที่มีลักษณะสำคัญคือการ “เฝ้าระวัง” โดยมีองค์กรทางอำนาจ (ตำรวจ สารวัตรนักเรียนและตัวสถานศึกษาเอง) เป็นศูนย์กลางของเครือข่าย “ล้มหัวโจก” ในขณะเดียวกัน “มาตรการระยะยาว” นั้นก็เน้นไปที่การตั้ง “คณะกรรมการ” ต่างๆขึ้นมาในรูปแบบของ “ภาคีเครือข่าย” ซึ่งในทางหลักการก็ดูเข้าที แต่ในกระบวนการและขั้นตอนของการได้มาซึ่งข้อสรุปนี้ เราจะเห็นว่า “ทุกภาคส่วน” นั้นมิได้มี “ส่วนของเยาวชนหัวโจก” ร่วมด้วยแต่อย่างใด
มาตรการเชิงรุกและระยะยาวนี้ล้วนกลั่นคั้นออกมาจากความคิดและความเห็นของ “ผู้ใหญ่ผู้หวังดี” แต่เพียงถ่ายเดียว โดยกีดกันผู้ที่เป็น “ตัวปัญหา” ออกไปจากการมีส่วนร่วม เพราะตัวปัญหาจะไม่สามารถคิด ทำและตัดสินใจอย่างสร้างสรรค์ได้แน่ๆ
ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามเสนออย่างกว้างขวางว่า ปัญหาเยาวชนตีกันนั้นเป็นปัญหาสังคม แต่วาทกรรมนี้ดูจะเป็นวาทกรรมที่มีแต่รูปแบบ ไร้เนื้อหาใดๆ มีไว้ใช้เพียงเพื่อประดับคำให้สัมภาษณ์ของผู้พูดเท่านั้นและเพื่อสร้างความอุ่นใจชั่วคราวให้กับสังคมเพราะตอบสนองกับสิ่งที่ความเห็นสาธารณะต้องการได้ยิน เข้าข่ายสิ่งที่ฝรั่งเรียกว่า political correctness (ความถูกต้องดีงามทางการเมือง)
หากในความเป็นจริงนั้น ไม่ได้มีความพยายามใดๆที่จะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ของวิธีการจัดการกับปัญหาให้สมกับที่อ้างว่าเป็นปัญหาสังคม เพราะเรายังคงมองเยาวชนเหล่านี้ว่าเป็นตัวก่อกวน มองว่าเป็นคนอื่น ที่ไม่ใช่พวกเรา ที่อยู่นอกเหนือไปจากพวกเรา และมองว่าเป็น “เชื้อร้าย” ของสังคม เราไม่ได้เอาตัวเราเองหรือสังคมทั้งหมดเข้าไป engage หรือมีส่วนร่วมจริงๆ ไม่ได้ตั้งตนว่า เรา ในฐานะคนที่อยู่ร่วมสังคมเดียวกัน ก็ย่อมต้อง “มีส่วนต่อการเกิดขึ้น” ของปัญหาและ ดังนั้น จึงต้อง “มีส่วนรับผิดดชอบ” ต่อปัญหานี้เท่าๆกับเยาวชนผู้ก่อปัญหาโดยตรง
ในงานวิจัยของกรมสุขภาพจิตที่รมว.สธ.อ้างถึงนั้น สรุปไว้ว่า “กลไกก่อให้เกิดพฤติกรรมรุนแรงในกลุ่มวัยรุ่น 30 คน จาก 3 สถาบัน พบว่ามีปัจจัยหลักจากทัศนคติ ความคิด ค่านิยมความรุนแรง และศักดิ์ศรี ร้อยละ 60-80” ดังนั้นจึง “ต้องเปลี่ยนแปลงทัศนคติ ค่านิยม วัฒนธรรมเรื่องการใช้ความรุนแรง และปรับเปลี่ยนพฤติกรรม” ของเด็กและเยาวชนเหล่านี้
ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่จะหยุดแช่แข็งปัญญาของความคิดเห็นสาธารณะไว้เพียงแค่ข้อสรุปง่ายๆตื้นเขินว่า ต้องเปลี่ยนทัศนคติของเยาวชนเหล่านี้? ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่ เราทุกคนต้องตั้งโจทย์ใหม่ ต้องพลิกกลับกระบวนทัศน์ใหม่ ว่าอาจไม่ใช่ทัศนคติของเยาวชนที่มีปัญหา แต่เป็นทัศนคติที่ผู้มีอำนาจในการปกครองและสังคมไทยมีต่อเยาวชนต่างหากที่เป็นปัญหา?
แท้จริงแล้ว ปัญหาเยาวขนตีกันนั้นจึงไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาของปัจเจก และก็ไม่ได้เป็นปัญหาทางสังคมเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาทางวัฒนธรรม ดังนั้น จึงเป็นปัญหาทางการเมืองด้วยในเวลาเดียวกัน
ข้อสรุปชั่วคราวนี้จึงนำเรามาสู่ประเด็นที่สองคือ ประเด็นเรื่อง ภาพของสังคมที่เป็นอยู่ในขณะนี้ (ดังนั้นก็คือภาพของสังคมที่เราต้องการให้เป็นในอนาคตด้วยในเวลาเดียวกัน) ซี่งจะไปเกี่ยวเนื่องกับนโยบายปรองดองและปฏิรูปแห่งชาติที่รัฐบาลกำลังพยายามทำผ่านกลไกทางอำนาจทั้งหลายที่รัฐมีอยู่ในมือ
หลังจากเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงที่จบลงด้วยการตาย 91 ศพ รัฐบาลต้องการให้สังคมไทยก้าวกระโดดไปข้างหน้าด้วยการเสนอ “มาตรการระยะยาว” ภายใต้กรอบคิดเรื่อง “การปรองดอง” และ “การปฏิรูป” โดยมีวีธีการหลักๆคือ การสร้างเสริมจิตสำนึกของการรักชาติ ควบคู่ไปกับการดึงเอา “คนดี” มาเป็นธงชัยนำกองทัพปฎิรูป
“สถาบัน” ต่างๆ ทั้งทางการเมืองและทางสังคมถูกยกให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่แตะต้องไม่ได้
“ความดี” (และชุดคำที่มีนัยเดียวกัน “จริยธรรม” “ศีลธรรม” ฯลฯ) ถูกสถาปนาให้เป็นคุณค่าสูงสุดที่ต้องยึดมั่นถือมั่น
ในนามของ “ชาติไทย” และการรวมใจเป็นหนึ่งเดียว คนไทย “ที่ดี” นั้นจะต้องประพฤกติตัวบนเส้นทางนี้ที่รัฐบาลพยายามปูไว้ให้เท่านั้น หากเราเผลอก้าวออกนอกพรมแดงนี้เมื่อใด เราจะกลายเป็น คนไม่รักชาติ ผู้ก่อกวน ผู้ก่อการร้าย หัวโจก ฯลฯ ไปในทันที
ในแง่นี้ อาจกล่าวได้ว่ายุคสมัยที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่นี้คือยุคของการกลับไปสู่การสร้างลัทธิ “ชาตินิยม” ในนามของการพัฒนาประเทศ และรัฐก็ใช้ความรุนแรงในหลากหลายวิธีเพื่อที่การสถาปนาลัทธินี้ เพราะในขณะที่รัฐบอกเราว่าเราควรจะรักกัน (ซึ่งเป็นมาตรการระยะยาวและเชิงบูรณาการ) รัฐก็ใช้ “มาตรการเชิงรุก” ภายใต้กรอบคิด “ควบคุม สอดส่องและเซ็นเซอร์” (รวมไปถึงปราบปราม) กลุ่มคนที่คิดเห็นต่าง ทั้งทางการเมืองและทางสังคม ด้วยการคงพ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้
ดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว “สถาบันนิยม” ของเหล่าเยาวชนผู้รักการตีกัน จึงอาจเป็นผลผลิต (ในเชิงย้อนกลับ) ของลัทธิ “ชาตินิยม” ของบรรดาคนไทยหัวใจ (รักชาติ) เดียวกัน เพราะท้ายที่สุด ทั้งสองกลุ่มก็รักและเทิดทูน “คุณค่าสูงสุด” ในแบบเดียวกัน กลุ่มหนึ่งเทิดทูนสถาบันการศึกษา ส่วนอีกกลุ่มเทิดทูนแนวคิดเรื่องรัฐชาติหนึ่งดียว และทั้งสองกลุ่มตัดสินใจหรือกระทำการใดๆ ภายใต้ “ความเชื่อ” เรื่องคุณค่าสูงสุด
รูปแบบการเมืองของ “หัวโจก” จึงเป็นโมเดลขนาดเล็กของรูปแบบการเมืองของ “รัฐมาเฟีย” !
แต่ในขณะที่สังคมยอมรับ “อำนาจนิยม” แห่งรัฐได้ (สังคมยอมให้รัฐใช้ความรุนแรงได้ โดยมีข้ออ้างคือ “ความชอบธรรม”) เหล่านักศึกษาอาชีว “หัวโจก” กลับไม่สามารถอ้างความชอบธรรมใดๆทั้งสิ้นที่จะใช้ความรุนแรงได้เลย นอกเสียจาก ความชอบธรรมหนึ่งเดียวที่บุคคลอื่นๆ ในสังคมยัดเยียดให้กับพวกเขาด้วยสายตาที่สังเวชระคนความโกรธเกรี้ยว
นั่นก็คือการมองว่าพวกเขาเป็นผู้ด้วยโอกาสทางสังคมอันเนื่องมาจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองที่บูดเบี้ยว
หากแต่เรามักจะลืมว่าโครงสร้างที่บูดเบี้ยวนี้ แท้จริงแล้ว ตั้งอยู่บนฐานของโครงสร้างทางอำนาจและทางคุณค่าที่เห็นแก่ตัว ใจแคบและเบ็ดเสร็จ !
กระบวนทัศน์ที่รัฐและสังคมใช้มองและจัดการกับปัญหาเรื่องเยาวชนก่อความรุนแรงจึงต้องได้รับการตั้งคำถามอย่างตรงไปตรงมา เพื่อไม่ให้ติดอยู่ในกับดักเรื่อง “การสร้างคนดี” แต่เพียงถ่ายเดียว เพราะปัญหาของเยาวขนตีกันนั้นสะท้อนปัญหาที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องของทัศนคติและค่านิยมของเยาวชน และยิ่งใหญ่ไปกว่าวาทกรรมกว้างๆ ว่าด้วยปัญหาสังคม เพราะมันคือปัญหาของระบบการให้คุณค่าและระบบการใช้อำนาจของสังคมไทยทั้งระบบ
*****************************************************************
วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553
ซาอุฯ ออกแถลงการณ์ลดสัมพันธ์ไทย หลังมีมติแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
ซาอุออกแถลงการณ์ลดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย พร้อมสั่งห้ามพลเมืองเดินทางมายังไทย หลังไทยมีมติแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 53 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่าสถานทูตซาอุดีอาระเบียประจำกรุงเทพฯ ได้ออกแถลงการณ์ เพื่อตอกย้ำถึงความไม่พอใจต่อกรณีที่ รัฐบาลไทยมีมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน พิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 ขึ้นเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่ตกเป็นจำเลยในคดีอุ้มฆ่า นาย โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2533 และคดีกำลังอยู่ในระหว่างชั้นศาล ซึ่งจะเริ่มต้นนัดสืบพยานในวันที่ 25 พ.ย. 2553
แถลงการณ์ ระบุว่า เนื่องจากกระบวนการสอบสวนในคดีความดังกล่าวที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า และขาดกระบวนการที่เหมาะสมนั้น ส่งผลให้ทางการซาอุดิอาระเบีย ตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย พร้อมนำข้อกำหนดที่เข็มงวดมาบังคับใช้กับแรงงานไทย นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งห้ามพลเมืองซาอุฯ เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังลดระดับความร่วมมือทวิภาคีในระดับสูงทุกสาขากับไทยให้อยู่ในระดับต่ำสุด
ไทยและซาอุดิอาระเบีย ได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการขึ้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2508 ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นสู่ระดับ "เอกอัตรราชทูต" ในปี 2509
นอกจากนี้ แถลงการณ์ ยังเรียกร้องให้ทางการไทยทบทวนการตัดสินใจแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีการหายตัวของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากคดีความทั้ง 3 คดี มีอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งทั้งสองประเทศพยายามที่จะให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างโปร่งใส และคดีความดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
ที่มา.ประชาไท
_______________________________________________________________
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 53 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์รายงานว่าสถานทูตซาอุดีอาระเบียประจำกรุงเทพฯ ได้ออกแถลงการณ์ เพื่อตอกย้ำถึงความไม่พอใจต่อกรณีที่ รัฐบาลไทยมีมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มีนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธาน พิจารณาแต่งตั้ง พล.ต.ท. สมคิด บุญถนอม ผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 ขึ้นเป็น ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้งที่ตกเป็นจำเลยในคดีอุ้มฆ่า นาย โมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย เมื่อปี 2533 และคดีกำลังอยู่ในระหว่างชั้นศาล ซึ่งจะเริ่มต้นนัดสืบพยานในวันที่ 25 พ.ย. 2553
แถลงการณ์ ระบุว่า เนื่องจากกระบวนการสอบสวนในคดีความดังกล่าวที่เป็นไปอย่างเชื่องช้า และขาดกระบวนการที่เหมาะสมนั้น ส่งผลให้ทางการซาอุดิอาระเบีย ตัดสินใจลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย พร้อมนำข้อกำหนดที่เข็มงวดมาบังคับใช้กับแรงงานไทย นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งห้ามพลเมืองซาอุฯ เดินทางมาท่องเที่ยวยังประเทศไทย พร้อมกันนี้ยังลดระดับความร่วมมือทวิภาคีในระดับสูงทุกสาขากับไทยให้อยู่ในระดับต่ำสุด
ไทยและซาอุดิอาระเบีย ได้เริ่มสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการขึ้น เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2508 ก่อนจะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศขึ้นสู่ระดับ "เอกอัตรราชทูต" ในปี 2509
นอกจากนี้ แถลงการณ์ ยังเรียกร้องให้ทางการไทยทบทวนการตัดสินใจแต่งตั้ง พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม ซึ่งเคยถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับคดีการหายตัวของนายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี่ นักธุรกิจชาวซาอุดีอาระเบีย ไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากคดีความทั้ง 3 คดี มีอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งทั้งสองประเทศพยายามที่จะให้การพิจารณาคดีเป็นไปอย่างโปร่งใส และคดีความดังกล่าว อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ
ที่มา.ประชาไท
_______________________________________________________________
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)