--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กฤษฎีกาฟันธง"จารุวรรณ"พ้นผู้ว่าสตง.แล้ว คุณหญิงเป็ดเปิดใจครั้งแรก อ้างคำวินิจฉัยไร้ผลเป็นองค์กรอิสระ

ประชาชาติธุรกิจ

"จารุวรรณ"เปิดใจครั้งแรก อ้างเป็นองค์กรอิสระคำวินิจฉัยไร้ผล อ้าง "ดร.อมร จันทรสมบูรณ์" มาเองบอกให้อยู่ต่อ แต่"มีชัย ฤชุพันธุ์"ไม่ชอบหน้า ยันถอนเรื่องจากกฤษฎีกาแล้วแต่ถูกเมิน

กฤษฎีกาฟันธง"จารุวรรณ"พ้นผู้ว่าสตง.แล้วเหตุคปค.ให้อยู่ในตำแหน่งถึง30ก.ย.50

คุณพรทิพย์ จาละ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้สัมภาษณ์วันที่ 10 สิงหาคมถึงผลการตีความคุณสมบัติการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินของคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ส่งเรื่องให้ตีความว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า คุณหญิงจารุวรรณพ้นจากตำแหน่งผู้ว่าสตง.ไปแล้ว เนื่องจากตามประกาศคณะกรรมการปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 ระบุว่า ให้ผู้ว่าสตง.ดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 30 ก.ย.2550 จากนั้น ให้มีการสรรหาใหม่ภายใน 90 วัน โดยในระหว่างการสรรหาผู้ว่าสตง.คนใหม่ ให้อยู่ในตำแหน่งพลางต่อไปได้ ดังนั้นคุณหญิงจารุวรรณจึงอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้อย่างมากแค่ 90 วัน

เมื่อถามว่า แสดงว่าคุณหญิงจารุวรรณพ้นจากผู้ว่าสตง. และต้องออกจากสำนักงาน สตง.แล้วใช่หรือไม่ คุณพรทิพย์ กล่าวว่า สตง.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ แต่ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกามีผลผูกพันเฉพาะส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเท่านั้น ดังนั้นจะเชื่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฏีกาหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของคุณหญิงจารุวรรณจะพิจารณาเอง อย่างไรก็ตาม หากคุณหญิงจารุวรรณยังอยู่ในตำแหน่งต่อไป แล้วมีผู้นำเรื่องยื่นฟ้องศาล ก็จะต้องมีการแสดงความรับผิดชอบ หากศาลเห็นด้วยกับแนวทางของคณะกรรมการกฤษฎีกา

เมื่อถามว่า ข้าราชการในสตง.จะต้องฟังใครระหว่างนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รักษาการผู้ว่าสตง. กับคุณหญิงจารุวรรณ คุณพรทิพย์ กล่าวว่า ส่วนใหญ่เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นไปแล้ว ทุกหน่วยก็จะรับฟัง ถ้าเป็นตนก็คงไม่ทำแล้ว เมื่อถามว่า หากคุณหญิงจารุวรรณยังอยู่ในตำแหน่งต่อ ข้าราชการในสตง.มีสิทธิฟ้องร้องไล่คุณหญิงจารุวรรณได้หรือไม่ คุณพรทิพย์ กล่าวว่า ไม่แน่ใจข้าราชการ สตง.ถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงหรือไม่ แต่รักษาการผู้ว่า สตง.สามารถฟ้องร้องได้ เพราะเกี่ยวพันกับปัญหาการใช้อำนาจทับซ้อนกัน

เมื่อถามว่า คำสั่งต่างๆที่คุณหญิงจารุวรรณลงนามในระหว่างรักษาการผู้ว่าฯสตง.ถือว่าเป็นโมฆะหรือไม่ คุณหญิงพรทิพย์ตอบว่า ตามพ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางปกครอง ซึ่งมีมาตราหนึ่งระบุว่า หากมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ สิ่งที่ลงนามปฏิบัติมาก็ถือว่ายังใช้ได้

"จารุวรรณ"เปิดใจครั้งแรก แจงคำวินิจฉัยไร้ผลอ้างเป็นองค์กรอิสระ

คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ให้สัมภาษณ์วันที่ 10 สิงหาคมผ่านรายการวิทยุ "เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์" ซึ่งจัดรายการโดยนายดนัย เอกมหาสวัสดิ์ และ น.ส.อมรรัตน์ มหิทธิรุกข์ ถึงการตีความการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งผู้ว่าสตง. ว่า ในความรู้สึกที่เข้าใจว่าเราเกาะยึดตำแหน่ง แต่ไม่ใช่ คนวิจารณ์ไม่ได้เข้าใจกฎหมายให้ถ่องแท้ ในพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ทั้งหลาย จุดสำคัญอยู่ที่คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน(คตง.) และประธานตัวผู้ว่าการเหมือนตัวขับเคลื่อน แต่นโยบายและวิธีการต้องมาจากคตง. ซึ่งตนเองถูกมอบหมายจากประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.) ฉบับที่29 ให้อยู่ตรงนั้น

"แต่พอบอกว่าแก่แล้วให้กลับบ้านไป 65แล้ว ก็เครียด เพราะเป็นเรื่องบ้านเมือง ไม่ใช่เราจะเอาให้ได้ ต้องเอาความถูกต้องเป็นหลัก ในเมื่อบอกว่า 65แล้วพ้นไม่พ้น ดิฉันก็สงสัยตัวเอง แต่บังเอิญมีน้องนักกฎหมายที่สตง. มาบอกว่าพี่ดูให้ดีพี่พ้นไม่พ้นนะ ตอนนั้นเก็บของเตรียมพร้อมแล้ว งานเลี้ยงต้องเปลี่ยนจากคำว่าอำลาอาลัยเป็นกตัญญูนุสรณ์ ก็บอกว่าวันนี้พี่ไม่รู้นะ พี่ต้องถามผู้รู้ให้ถ่องแท้ก่อน พี่ไม่ทำอะไรผิดๆ ก็ขอเวลาไปดู เผอิญท่านอ.อมร จันทรสมบูรณ์ (อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา) มาเองเลย นั่งรถมาบอกเลยว่าอย่าไปไหน ดูให้ดีก่อน ขณะนั้นกำลังเตรียมพร้อมเลี้ยงกันอยู่แล้วเลยต้องฉุกคิดขึ้นมา"

ผู้ว่า สตง. กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเป็นอย่างนี้ ถ้าเรามองด้วยใจเป็นธรรม ไม่ใช่ใจอคติที่อยากให้ไป ในประกาศคปค. ฉบับที่ 12 เขียนไว้ชัดเจนว่า ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2549 ที่ปฏิวัติ ให้ปฏิบัติหน้าที่ไปพรางก่อน แล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2549 เปลี่ยนเป็นประกาศฉบับที่ 29 เขาได้คำนึงเรื่องนี้แล้ว คือได้ศึกษาจนแน่ใจว่าเขาคำนึงถึงเรื่องนี้แล้ว เผอิญอยู่คนเดียว ถ้าเป็นหน่วยงานอื่น คนนี้ไปคนนี้อยู่ เผอิญของสตง.เนี่ย เป็นคนเดียวที่อยู่ทั้งผู้ว่าฯ ทั้งคตง.

"ที่กล่าวหาว่าใช้อำนาจเยอะแยะ แต่ทำไมไม่ดูบ้างว่ากินเงินเดือนตำแหน่งเดียว แต่ทำงานให้ตั้ง 8-9 ตำแหน่ง ไม่เอาอันที่เราเหนื่อยบ้างเลย ไม่ดูว่าเลิกงานดึก ตี1 ตี2 วันเสาร์อาทิตย์ก็ต้องมาอยู่"

ประกาศคปค.29 บอกว่า ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น ซี่งมีอยู่คนเดียว คือ ดิฉัน ให้ปฏิบัติหน้าที่กรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และให้มีการสรรหาภายใน 90 วัน และวรรคสุดท้ายของประกาศนี้ ระบุว่า ในระหว่างที่ยังไม่มี ให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินในขณะนั้น ซึ่งก็คือตัวดิฉันเอง ปฏิบัติหน้าที่ไปพลางก่อน ก็เป็นอันที่วินิจฉัยชี้ขาดได้ โดยเฉพาะมาตรา 5 ของ กฎหมาย สตง. ให้อำนาจผู้รักษาการกฎหมาย คือ ประธานคตง. เพราะฉะนั้นดิฉันก็ต้องว่าที่ถูกนั้นเป็นอย่างไร เพราะไม่อยากเสี่ยงผิด

พอวินิจฉัยเสร็จ พอดีกับคณะที่ปรึกษากฎหมายของประธานวุฒิสภา ก็หยิบเรื่องนี้มาพิจารณา ก็ถามวุฒิสภา ก็ได้วินิจฉัยออกมาเป็นกระบวนการ เป็นข้อๆ ว่าอยู่ เมื่อต้องอยู่ก็อยู่ แต่เมื่อเธอต้องอยู่ แต่เธอไม่ทำงาน ก็คือเธอละเว้นการปฏิบัติ เขาต้องมาตีตายแน่เลย

มาถึงกรณีกฤษฎีกาซึ่งแปลกมากเลย ว่าเราได้ข้อยุติแล้ว ท่านไม่ต้องวินิจฉัยแล้ว แต่ทำไมท่านจะต้องวินิจฉัยให้ได้ก็ไม่รู้ เขาบอกว่าจะประชุมวันนี้ แต่มีคนมาเล่าให้ฟังว่า มีผลออกมาแล้ว โดยคนในสตง.ก็เอามาดูกันเวียนกันแล้ว แต่ขอคัดค้านคณะกรรมการกฤษฏีกาของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธาน

"ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ดิฉันเคารพนับถือ แต่บังเอิญด้วยอะไรไม่ทราบ ท่านไม่ค่อยชอบดิฉันเหลือเกิน ไม่ทราบ อาจไม่สวย อาจไม่ค่อยอ่อนน้อม ก็บอกตรงๆ ว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง เราเป็นเด็กที่ไม่ค่อยรู้กฎหมาย แต่เราเก่งบัญชี เราต้องนับถือท่านไว้ ก็ได้ทำเรื่องขอถอนข้อหารือ เรียกว่าไม่ติดใจแล้ว ตั้งแต่วันที่ 30 ก.ค. แต่เข้าใจว่าคณะของอาจารย์มีชัยก็เดินหน้าต่อ"

ก็ถามว่าไปทางนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าท่านส่งเรื่องนี้ไปให้ทางกฤษฎีกาหรือไม่ เพราะโดยระเบียบการรับคำหารือของคณะกรรมการกฤษฏีกา เรื่องขององค์กรอิสระจะทำไม่ได้เลย และเขาก็เคยตอบเรามาว่า ไม่รับวินิจฉัยเลย เมื่อปี 2548 ก็มีคตง.รักษาการคนหนึ่งส่งไปให้ท่านวินิจฉัย ท่านบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะ มีผู้รักษาการตามกฎหมายอยู่แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงไม่รับ แต่ต่อมามีกรณีเกี่ยวกับพรรคการเมือง เกี่ยวกับกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งท่านวินิจฉัยมา ทางเราก็ยังมีความรู้สึกจะถูกหรือไม่ เพราะท่านเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล การที่ท่านจะลงมาวินิจฉัยตรงนี้จะชอบหรือไม่

ถามนายกอร์ปศักดิ์ ก็บอกว่ารัฐบาลไม่ได้ส่งไป จนสุดท้ายไปเจอหนังสือฉบับหนึ่ง ลงนามโดยที่ปรึกษานายกฯ ฝ่ายข้าราชการประจำ ชื่อ นายสมบัติ วัฒนพานิช แต่ถามไป 2 ประเด็น คือ 1.สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยรับเรื่องจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อให้ความเห็นหรือไม่ 2.สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะหารือข้อกฎหมายดังกล่าว จากสตง.โดยตรงได้หรือไม่ ทางกอร์ปศักดิ์ก็บอกว่า ไม่มีอะไร อย่างไรก็ตาม พี่ขอแจ้งยกเลิกการหารือทั้งหมด เพราะเราเป็นองค์กรอิสระ เราเป็นว่าสำนักงานกฤษฎีกาเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายของฝ่ายบริหาร และเราไม่เอาตัวนั้นมาเป็นที่ผูกมัด

"ถ้าวันนี้จะมีผลอย่างไร ก็จะถือว่าไม่มีผลพันกับเรา เช่นเดียวกับความเห็นของที่ปรึกษากฎหมายวุฒิฯ ก็ไม่ผูกพันกับเรา เพียงแต่ความเห็นทุกความเห็นเราก็ฟังไว้พิจารณา" คุณหญิงจารุวรรณว่า และกล่าวว่า ไม่ทราบว่าคำตอบสุดท้ายอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครอง แต่ก็อยากให้ชัดเจน

เมื่อผู้ดำเนินรายการถามว่า เพราะเหตุใด นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส รองผู้ว่าการการตรวจเงินแผ่นดิน รักษาราชการแทนผู้ว่าการฯ และนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งเป็นเด็กสร้างของคุณหญิงจารุวรรณ ดูเหมือนจะรุกไล่คุณหญิงหนักเหลือเกิน คุณหญิงจารุวรรณ กล่าวว่า "ก็ต้องกลับไปถามพระเจ้าว่า ทำไมพระองค์ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้ายืนอยู่หน้าชะง่อนผาได้เป็นปีๆ โดยไม่รู้ตัว"

"ไม่ต้องการอะไรที่ไม่ถูกต้อง ถ้าจะให้ไป อย่างเดียวที่เทิดทูนอยู่เสมอ คือไปเอาพระบรมราชโองการมา แต่วันนี้ไม่กล้าเอ่ยถึง คือไปได้ เก็บของแล้วด้วย แต่ขอไปอย่างถูกต้อง แต่ดิฉันว่าประชาชนจะไม่เข้าใจตรงที่ว่าถ้าไม่มีคตง.อยู่ งานวันนี้หยุดหมดเลย เพราะคนที่รักษาการอยู่ทำไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจตรงนี้ เพราะฉะนั้นถามว่าจะให้อยู่ทำงานให้หรือจะให้ไป"

******************************************************************************

ผู้นำที่แท้

Tags: พญาไม้ทูเดย์พญาไม้

คัดมาจาก หนังสือของคุณ ประชา หุตานุวัตร...ที่เขียนถึง “ผู้นำที่แท้” อันถ่ายทอดมาจาก มรรควิธีของเล่าจื้อ..ที่ชี้นำการดำรงชีวิตเพื่อความสุขของผู้อื่น..

นักการเมืองนั้น ต้องดำรงชีวิตอยู่เพื่อความสุขของผู้อื่น แผ่นดินใดได้นักการเมือง..เช่นนี้..แผ่นดินนั้นถึงจะร่มเย็นเป็นสุข..และผู้ใดเล่า..ที่ได้ชือว่าเป็น "นักการเมือง"

ผู้ใดก็ตามที่..มีหน้าที่ต้องทำให้ผู้อื่นผู้ใดก็ตามที่มีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ..ให้เป็นผู้ทำงานเพื่อประเทศ..เขาเหล่านั้นก็คือนักการเมือง..

นักการเมืองจะไม่สะสมมากมายเพื่อตนเอง..นักการเมืองอย่าง...เนรู แห่งอินเดีย..โฮจิมินห์..แห่ง เวียดนาม..

ผู้สถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกา อย่าง ยอร์ช วอชิงตัน...หรือ อับบราฮัม ลินคอล์น..เขาเหล่านั้นไม่เคยติดอันดับคนรวยเมื่อเขาล่วงลับไปแล้ว

ไม่มีใครขุดศพของเขาเหล่านั้นขึ้นมาประจาน..เขายิ่งใหญ่..และตายไปอย่างยิ่งใหญ่...ไม่มีใครย่ำเหยียบหรือนำเขาเหล่านั้นมาเปรียบเทียบ..ดังเช่นที่ เต๋าเต๊กเก็ง..พรรณนาไว้ว่า..

คำจริงไม่หวาน.. คำหวานไม่จริง
คนดีไม่มีปาก มีปากไม่ใช่คนดี
คนรู้ไม่ใช่คงแก่เรียน คงแก่เรียนไม่ใช่รู้
ผู้รู้แจ้งไม่สะสม ยิ่งทำเพื่อผู้อื่นยิ่งมีพอ
ยิ่งให้ผู้อื่นยิ่งมีมาก

หากมั่นใจจะทำงานเพื่อประเทศและประชาชนแล้ว..ต้องมั่นใจในตนเอง..ไม่ใช่พูดไปได้เรื่อยเปื่อยแต่หาความจริงไม่พบ..หรือพูดไปอย่างทำไปอีกอย่าง..ผู้นำเช่นนี้ ประชาชนจะรู้เช่นเห็นชาติ..จะว่ากล่าวสั่งสอนสิ่งใด ประชาชนก็จะไม่เชื่อฟัง..

ความจริงเป็นสิ่งที่จะปกปิดไว้ได้ก็เพียงชั่วครู่..

ดั่งความจริงที่ว่า...ระหว่างการชุมนุมในเรื่องเขาพระวิหาร..ที่ดูเหมือนจะเผชิญหน้ากันถึงขั้น..ระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมนั้น..

มันก็คือฉากละครที่ถูกสร้างขึ้นมา..เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศกับประเทศคู่กรณี..

ผู้นำที่แท้นั้น..เขาไม่เล่นละคร

*************************************************************************

ภาษาไทยดีเด่วันละคำประจำวันนี้ขอเสนอคำว่า..อภิสิทธัตถะ

นายอภิสิทธิ์ที่กำลังสร้างความปรองดอง มีปณิธานที่ถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศให้ดีกว่า ถ้าทำได้ก็จะเป็นสัตอภิสิทธิ์คือเป็นคนดี และถ้าทำได้สำเร็จ คนเป็น “สัตบุรุษ” ซึ่งตรงตามภาษาบาลีก็จะเรียกว่า “สิทธัตถะ” ที่แปลว่าผู้สำเร็จความมุ่งหมาย ซึ่งไม่ได้ใช้เฉพาะกับพระพุทธเจ้าเท่า นั้นเรียกนายอภิสิทธิ์ว่าจาก “สัตอภิสิทธิ์” เป็น “อภิสิทธัตถะ” ขอเอาใจช่วยนายกฯด้วยความจริงใจ และมีคนไทยจำนวนมาก เอาใจช่วยนายกฯ แต่คนไม่ชอบ นายกฯก็มี ซึ่งเป็นธรรมชาติ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้ายังมีคนไม่ชอบได้ แต่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เอาใจช่วยนายกฯ”

นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม คณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) กล่าวยกย่องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการบรรยายหัวข้อ “อนาคตประเทศไทยบนพื้นฐานความปรองดอง” เนื่องในการสัมมนากรรมการบริหารและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม-1 สิงหาคม ที่จังหวัดภูเก็ต ทั้งยังระบุว่าวิกฤตของประเทศไทยไม่รุนแรงเช่นในแอฟริกาใต้ที่รบกันเป็นสิบปี ฆ่าฟันจนล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่ในที่สุดก็เจรจาจนเกิดสันติภาพได้

ประณามย่ำยีพุทธศาสนา

การยกย่องดังกล่าวทำให้มีข้อความในสื่อออนไลน์ว่าการที่นายอภิสิทธ์ไม่ได้ออกมาปฏิเสธคำยกย่องเชิดชูของนายไพบูลย์เท่ากับเห็นดีเห็นชอบด้วย อยู่ในข่ายที่จะเหยียบย่ำและตีเสมอพระพุทธองค์ เช่นเดียวกับตัวแทนศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ทั้งพระสงฆ์และฆราวาส นำโดย พล.อ.ธงชัย เกื้อสกุล กรรมการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ เข้ายื่นหนังสือของพระเทพดิลก ประธานกรรมการบริหารศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ และนายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ ประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ออกแถลงการณ์ประณามพฤติกรรมของนายไพบูลย์ที่เอาพระนามเดิมของพระพุทธเจ้ามาใช้ ถือเป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ เหยียดหยามพระบรมศาสดาของพุทธศาสนิกชน ซึ่งควรถูกประณามจากชาวพุทธทั่วประเทศและทั่วโลก เพราะถือว่าไม่ยกย่องแล้วยังมาเหยียบย่ำซ้ำเติม ทั้งให้นายไพบูลย์ออกมายอมรับผิดและขอโทษต่อพุทธศาสนิกชนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ และขอขมาต่อพระรัตนตรัยด้วย

ขณะที่พระพรหมโมลี กรรมการมหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดพิชยญาติการามวรวิหาร กรุงเทพฯ ให้ความเห็นว่า แม้ผู้พูดไม่มีเจตนาลบหลู่หรือจาบจ้วงพระพุทธศาสนา แต่การเอาพระนามเดิมของพระพุทธองค์มาใช้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร เพราะคนไทยนับถือพระพุทธศาสนาและยกย่องพระพุทธเจ้า อีกทั้งศาสนาเป็น 1 ใน 3 สถาบันหลัก จึงถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การพูดหรือกล่าวถึงจึงต้องระมัดระวัง อยู่ในกรอบความพอดี จะเปรียบเทียบกับบุคคลสำคัญของโลกก็ได้

อภิสิทธุลิมาร?

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เขียนทวิตเตอร์แสดงความคิดเห็นที่ยกย่องนายอภิสิทธิ์เป็น “อภิสิทธัตถะ” ว่าคำนี้ไม่ใช่สนธิระหว่างอภิสิทธิ์กับอัตถะ เพราะ ถ้าอย่างนั้นจะต้องมี “ย” มาแทนสระ “อิ”

“คนใช้คำนี้คงนึกถึงว่าเป็นอัตถะ คือประโยชน์ของคุณอภิสิทธิ์ แต่รีบสนธิกันแบบลวกๆไปหน่อย ดูตามหลักสมาสสนธิแล้วกลายเป็นอภิ+สิทธัตถะไป...พอเป็นอภิ+สิทธัตถะ เรื่องก็เลยยุ่งกันใหญ่ กลายเป็นยิ่งใหญ่กว่า เหนือกว่าสิทธัตถะ คนก็เลยวิจารณ์กันใหญ่”

นายจาตุรนต์ระบุว่า ความจริงถ้าจะสมาสหรือสนธิกันแบบ ลวกๆควรใช้คำว่า “อภิสิทธุลิมาร” หรือ “อภิสิทธคุลิมาร” น่าจะได้ใจความมากกว่า ตรงกว่า เพียงแต่ไม่ถูกหลักภาษา แต่ถ้าจะเรียกอย่างนั้นได้นายอภิสิทธิ์ต้องยอมรับเสียก่อนว่าทำให้คนตายไปมาก และต้องการจะลบล้างหรือชดเชยความผิดที่ทำไป จึงจะเรียกอย่างนั้นได้

“เมื่อใช้คำไหนก็มีปัญหาว่ายังไม่จริงทั้งนั้น ผมจึงเสนอต่อคุณไพบูลย์และพวกว่าควรเน้นที่การเกลี้ยกล่อมคุณอภิสิทธิ์ให้เห็นบาปบุญคุณโทษเสียก่อน...ถ้าคนบัญญัติศัพท์กล้าเอา คำ “อภิ+สิทธัตถะ” เพื่อให้พ้องกับเจ้าชายสิทธัตถะก็แสดงว่ามีปัญหาวิธีคิดอย่างมากแน่ๆ ผมพยายามอธิบายแง่ดีให้แล้ว”

ทำไม่สำเร็จยังเป็น “คนดี”

อย่างไรก็ตาม นายไพบูลย์ได้ออกมายืนยันว่าจงใจใช้คำว่า “สิทธัตถะ” แต่ได้อธิบายชัดเจนว่าหมายถึง “ผู้สำเร็จความมุ่งหมายแล้ว” ไม่ได้หมายถึงชื่อของพระพุทธเจ้า เป็นการเล่นคำว่านายอภิสิทธิ์น่ายกย่อง ฉลาด เหมือนสัตบุรุษ แต่ถ้ายังไม่ประสบความสำเร็จในเรื่องการสร้างความปรองดอง การสร้างความสมานฉันท์ให้กับประเทศ ก็ไม่เรียกว่า “สิทธัตถะ” ที่เป็นภาษาบาลีแปลว่าผู้สำเร็จความมุ่งหมาย แต่หากทำสำเร็จจึงจะเรียกว่า “อภิสิทธัตถะ”

“เวลาที่ผมพูดก็อธิบายอย่างนี้ว่า “สิทธัตถะ” หมายถึงตามคำภาษาบาลี ให้นายกฯพยายามทำสิ่งที่มุ่งหมายเรื่องการปรองดอง ซึ่งเป็นชื่อของพระพุทธเจ้าด้วย แต่เวลาสื่อไปลงก็ลงไม่หมด ซึ่งชื่อคนก็มีความหมายต่างๆกันไป เป็นชื่อคนด้วย เป็นความหมายตามภาษาบาลีด้วย ผมบอกให้นายกฯทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จก็เป็นได้แค่ “สัต” แค่เป็นคนดี ความหมายที่ผมพูดไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาเลย แต่เป็นการใช้ความหมายในภาษาบาลี”

สังคมตอแหล-2 มาตรฐาน

ความจริงการยกย่องเชิดชูในสังคมไทยถือเป็นเรื่องปรกติที่ทำกันมากมาย แม้แต่นายอภิสิทธิ์ที่ถูกตั้งฉายาต่างๆหลังเหตุการณ์ “เมษา-พฤษภาอำมหิต” ที่มีคนตายถึง 91 ศพ และบาดเจ็บ พิการเกือบ 2,000 ราย ก็มีบรรดาพ่อยกแม่ยกออกมายกย่องเชิดชูต่างๆนานา และประณามคนเสื้อแดงและสนับสนุนให้คง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อไล่ล่าและกวาดล้างคนเสื้อแดงต่อไป

แต่กลับไม่มีคำ “ขอโทษ” จากนายอภิสิทธิ์กับการใช้วาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” ซึ่งประชาคมโลกต่างประณามว่าเป็นการสังหารโหดคนเสื้อแดงอย่างเลือดเย็น จนถึงวันนี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ก็ยังพยายามสร้างความชอบธรรมด้วยการใช้วาทกรรมและสื่อต่างๆโฆษณาชวนเชื่อว่าคนเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้ายเผาบ้านเผาเมือง และเป็นขบวนการล้มสถาบัน

แต่จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน นอกจากการกล่าวหาและจับกุมแกนนำคนเสื้อแดง และคนบางคนที่ ศอฉ. และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อ้างว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นผู้ยิงปืนเอ็ม 79 และวางระเบิดในสถานที่ต่างๆ แต่กลับมีข่าวเรื่องการข่มขู่และสร้างหลักฐานต่างๆเพื่อให้ผู้ที่ถูกจับได้ยอมเป็นพยานตามที่ ศอฉ. และดีเอสไอแถลง

นอกจากนี้ดีเอสไอยังเร่งส่งฟ้องคดีแกนนำเสื้อแดง 26 คนที่ถูกจับกุมในขณะนี้ โดยยืนยันว่าการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐานของดีเอสไอมีความหนักแน่นเพียงพอในการส่งฟ้องได้ ขณะที่คนเสื้อแดงเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและเลือกปฏิบัติ ทั้งที่ยังไม่มีการสอบสวนพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนรอบด้าน ซึ่งก่อนหน้านี้ดีเอสไอระบุว่ายังจำเป็นต้องสอบปากคำพยานอีกหลายสิบปาก

แต่คดีของคนเสื้อเหลืองที่ถูกข้อหาก่อการร้าย ยึดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ กลับยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆทั้งที่ผ่านมากว่า 1 ปี ขณะที่คดียึดทำเนียบรัฐบาลที่แกนนำเสื้อเหลืองถูกต้องข้อหามั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองและยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมายแผ่นดิน อัยการฝ่ายคดีอาญาก็มีคำสั่งเลื่อนนัดคดี เนื่องจากพนักงานสอบสวนอ้างว่ายังสอบสวนพยานเพิ่มเติมตามที่ผู้ต้องหาได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมไว้ไม่แล้วเสร็จ

โจรในเครื่องแบบ?

ขณะที่นายธาริตกลับออกมาแถลงข่าวใหญ่โต โดยเอาจดหมายมาโชว์ว่าถูกข่มขู่เอาชีวิตเนื่องจากการทำคดีคนเสื้อแดงกว่า 200 คดี แต่ก็ถูกตั้งคำถามจากสังคมเช่นกันว่าทำ ไมจึงเพิ่งมีจดหมายขู่ในขณะนี้ ซึ่งภรรยานายธาริตกำลังถูกกล่าว หาเรื่องการเรียกสินบนจำนวน 150,000 บาท จาก “เฮียเม้ง” นายธีระชัย ธำรงค์พงศธร เจ้าของบริษัทมังกรเหินฟ้า เพื่อช่วยคดีภาษีย้อนหลัง

แม้นายธาริตและภรรยาจะปฏิเสธว่าเป็นการชำระค่าทนายความ ค่าวางแผนภาษี และค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ไม่ใช่เงินสินบนตามที่กล่าวหาก็ตาม ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ย้อนข้อแก้ตัวของนายธาริต โดยทำหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ตรวจสอบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนายธาริตกรณีคู่สมรสได้รับเงินได้พึงประเมินจาก “ค่าบริการบางอย่าง” นั้นนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในนามของนายธาริตหรือไม่

ประเด็นเงิน 150,000 บาท จึงไม่ใช่แค่เรื่องสินบนหรือการเสียภาษีของนายธาริตและภรรยาเท่านั้น แต่ยังเป็นการทำให้สังคมตั้งคำถามถึงคนระดับอธิบดีดีเอสไอซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับกระบวนการยุติธรรมที่รับผิดชอบการสอบสวน กล่าวหาและจับกุมคนมากมายว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและอาชญากรร้ายแรง จะเป็นคนดี คนบริสุทธิ์ที่เหมาะสมกับหน้าที่หรือไม่ เหมือนกับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐมากมายที่กลายเป็น “โจรในเครื่องแบบ” หรือ “โจรใส่สูท”

แจกวีซีดีประณามเสื้อแดง

ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. ยืนยันความจำเป็นในการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อขยายผลและจับกุมคนเสื้อแดงที่ต้องสงสัย ทั้งยังอ้างสำนักข่าวกรองแห่งชาติที่เตือนว่าจะเกิดเหตุคาร์บอมบ์และการก่อวินาศกรรมในย่านธุรกิจสำคัญ เช่น ถนนสีลม และถนนเยาวราช ประมาณต้นเดือนสิงหาคม

ขณะเดียวกันนายสุเทพยืนยันว่าจะแจกวีซีดีภาพเหตุการณ์ ชุมนุมทางการเมืองช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ ศอฉ. ทำขึ้นประมาณ 20 นาทีให้กับประชาชน ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องความเป็นมาของเหตุการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยกล่าวถึงการเจรจากับคนเสื้อแดง และการตัดต่อภาพชายชุดดำในคนเสื้อแดงถืออาวุธไปมา ภาพชายชุดดำยิงทหารจากช่วงต่างๆของการชุมนุมว่าจำเป็นที่ ศอฉ. ต้องดำเนินการใช้กำลังเข้าไปปฏิบัติการ ทั้งที่คณะกรรมการติดตามสถานการณ์บ้านเมือง วุฒิสภา เห็นว่าไม่สมควรแจกจ่าย เพราะมีเนื้อหาข้อมูลด้านเดียว และจะยิ่งสร้างความเกลียดชังให้กับประชาชนมากขึ้น โดยเฉพาะการจับชายชุดดำไม่กี่คน ซึ่ง ศอฉ. ก็ไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่ามีผู้ก่อการร้ายเท่าไร ขณะที่ภาพของ ศอฉ. เองที่ประกอบไปด้วยทั้งนักการเมืองและกองทัพขณะนี้ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ไม่เชื่อรัฐบาลและ ศอฉ.

ดังนั้น การแจกวีซีดีจึงไม่ใช่การชี้แจงความจริงให้ประชาชน แต่ลึกๆแล้วนายอภิสิทธิ์ ศอฉ. และกองทัพกลัวว่าประชาชนจะเชื่อข้อมูลและความจริงอีกด้านหนึ่ง ความจริงที่ไม่มีการตัดต่อ ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ที่นี่มีคนตาย” และความจริง ว่า “ที่นี่ 2 มาตรฐาน” ซึ่งไม่ใช่แค่รัฐบาลและ ศอฉ. เท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรอิสระต่างๆที่จำเป็นต้องโละทิ้งทั้งหมด เพราะถูกครหาเรื่องความไม่โปร่งใสตั้งแตกระบวนการสรรหาผู้เข้ามาทำหน้าที่แล้ว

อำนาจ “โจราธิปัตย์”!

โดยเฉพาะองค์กรอิสระที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารซึ่งใช้อำนาจล้มล้างรัฐบาลจากประชาชนและฉีกรัฐธรรมนูญ แม้จะหมดอำนาจไปแล้วแต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังยอมรับอำนาจนั้นว่าถูกต้องชอบธรรม จนมีปัญหามาถึงทุกวันนี้ เช่นกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่อ้างประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 29 เพื่อดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ต่อ ทั้งที่อายุครบ 65 ปี ซึ่งตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. 2542 มาตรา 34 (2) กำหนดว่าต้องพ้นจากตำแหน่ง

ขณะที่คุณหญิงจารุวรรณก็ถูกร้องเรียนไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งที่บางเรื่องผ่านมาเป็นแรมปีแล้วก็ตาม

นักวิชาการและตุลาการบางคนที่ยืดหยัดข้างประชาชนจึงไม่ยอมรับอำนาจคณะรัฐประหาร โดยถือเป็น “โจราธิปัตย์” ไม่ใช่ “รัฏฐาธิปัตย์” ที่ทำให้การเมืองไทยกว่า 76 ปีอยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพ ขณะที่กองทัพก็ถูกนำไปเป็นเครื่องมือของฝ่ายการเมือง อย่าง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ยอมรับว่ากองทัพเป็นเครื่องมือของรัฐบาล เพราะเป็นกลไกของรัฐ รัฐบาลไหนมาก็ต้องใช้กองทัพ กองทัพไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือเลือกข้าง สิ่งใดที่ทำแล้วไม่เกิดผลเสียหายกับประเทศ อยู่บนกรอบกฎหมายกองทัพก็ทำ

เชื้อร้ายกองทัพ!

แต่กองทัพในสายตาประชาชนส่วนใหญ่กลับต้องการให้เป็นกองทัพของประชาชนที่ทำหน้าที่ดูแลด้านความมั่นคงอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่สนับสนุนโดยกองทัพเองจนแยกไม่ออกระหว่างผลประโยชน์ทางการเมือง กับผลประโยชน์ของคนในกองทัพ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการแต่งตั้งโยกย้ายทุกปี

หากผลประโยชน์ระหว่างการเมืองกับกองทัพลงตัวก็ไม่เกิดวิกฤตการเมือง แต่หากผลประโยชน์ปีใดไม่ลงตัวหรือขัดแย้งกันก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองหรือการปฏิวัติรัฐประหาร เหมือนรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติอ้างว่ารัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทุจริตคอร์รัปชันและจาบจ้วงสถาบัน แต่กระแสข่าวอีกด้านหนึ่งกลับยืนยันว่าเหตุผลใหญ่อยู่ที่นายทหารกลุ่มนี้ไม่พอใจการแต่งตั้งโยกย้าย จึงถือโอกาสร่วมมือกับกลุ่มการเมืองและผู้มีบารมีที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลทำการรัฐประหาร และทำให้เกิดวิกฤตการเมืองที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้

ดังนั้น การที่กองทัพยังให้การสนับสนุนรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ก็เพราะผลประโยชน์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพลงตัว เหมือนการแต่งตั้งโยกย้ายปีนี้ที่ไม่มีปัญหา แม้แต่เรื่องการทุจริตคอร์รัปชันของกองทัพหลาย เรื่องก็ค่อยๆเงียบหายไป ที่สำคัญคือรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่ตั้งขึ้นในค่ายทหาร เป็นรัฐบาลตามระบบรัฐสภา แต่ได้ผู้ที่แพ้การเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี

บทบาทของกองทัพที่แท้จริงจึงไม่ได้เป็นกลไกของรัฐบาล แต่พร้อมจะอยู่ร่วมกับรัฐบาลที่ไม่ขัดผลประโยชน์กับกอง ทัพกองทัพจึงไม่ได้ฟังรัฐบาล ไม่ได้ฟังประชาชน แต่ฟังผู้มีอำนาจ ที่อยู่เหนือกองทัพ ซึ่งสังคมไทยรู้ดีแต่พูดและเขียนไม่ได้

ที่ผ่านมากว่า 76 ปี ไม่ว่านักวิชาการ นักการเมือง หรือองค์กรภาคประชาชน จึงเรียกร้องให้กองทัพอย่าเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะหากกองทัพยังมีบทบาทเหมือนที่ผ่านมาก็ยากที่จะไม่ให้กองทัพเข้ามามีอำนาจหรือยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ เพราะถ้ากองทัพยอมให้การเมืองดำเนินไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนตัดสินตามรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะได้รัฐบาลอย่างไร การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองก็ไม่รุนแรงจนต้องเข่นฆ่าคนไทยด้วยกันเองเหมือนที่ผ่านมา เพราะกองทัพต้องฟังคำสั่งรัฐบาล ส่วนรัฐบาลต้องฟังเสียงประชาชน ถ้ารัฐบาลไม่ฟังเสียงประชาชน ประชาชนก็จะไม่เลือก มาเป็นรัฐบาลในครั้งต่อไป ประชาชนจึงสำคัญที่สุดในแผ่นดิน

นายกฯ 100 ศพ?

วันนี้บ้านเมืองไม่ได้เป็นประชาธิปไตย แต่เป็นการรัฐประหารเงียบ เพราะนายอภิสิทธิ์ไม่มีอำนาจที่จะตัดสินใจอะไรได้ด้วยตนเอง ไม่ใช่ต้องฟังคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังต้องอยู่ภายใต้อำนาจของกองทัพและรับใช้กลุ่มผู้มีอำนาจพิเศษอีกด้วย

อย่างที่นายนิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระที่เป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ (คปร.) วิเคราะห์ว่านายอภิสิทธิ์รู้ดีว่าถ้าทหารไม่สนับสนุนก็อยู่ไม่ได้

“การตัดสินใจของคุณอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่ที่ตัวแกคนเดียว อยู่ที่รอบข้างเต็มไปหมด ในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกเส้นทางที่ผมคิดว่าเป็นทางตันทางการเมือง ไอ้นายกฯ 100 ศพเนี่ย คุณจะลบมันออกไปได้อย่างไร ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ฉลาดพอก็ต้องทิ้งคุณอภิสิทธิ์ในสมัยหน้า ต้องเลือกหัวหน้าพรรคคนอื่น”

นอกจากนี้นายนิธิยังชี้ว่าประเทศไทยขณะนี้เป็นรัฐประหารซ่อนรูปอยู่แล้ว แต่จะทำอะไรมากกว่านี้ก็ต้องระวังการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งชะตากรรมของนายอภิสิทธิ์ไม่มีความหมายเท่ากับบ้านเมืองที่คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไม่สามารถเปิดพื้นที่การต่อรองในระดับใดๆโดยสงบได้เลย แม้นายอภิสิทธิ์จะตั้งคณะกรรมการต่างๆขึ้นมาก็ไม่สามารถสร้างความชอบธรรมได้ เมื่อยังมีภาพ “นายกฯ 100 ศพ”

อภิสิทธัตถะ!

การที่นายไพบูลย์ยกย่องให้นายอภิสิทธิ์เป็น “อภิสิทธัตถะ” เพราะเป็นคนดี ฉลาด และพยายามสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงไม่เพียงถูกพุทธศาสนิกชนรุมประณามที่เอาไปเปรียบเทียบกับพระพุทธเจ้าว่าไม่สมควรอย่างยิ่งเท่านั้น

แต่ในฐานะผู้นำประเทศ นายอภิสิทธิ์ก็ไม่อาจลบภาพ “นายกฯ 100 ศพ” ได้ หลังจากตัดสินใจให้ทหารเข้าปราบปรามคนเสื้อแดงจนทำให้เกิดการสังหารโหดอย่างเลือดเย็นเกือบ 100 ศพ แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่มีแม้แต่คำ “ขอโทษ”

นายอภิสิทธิ์จึงไม่สมควรได้รับการยกย่องใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเอกบุรุษ รัตนบุรุษ มหาบุรุษ หรือวีรบุรุษ ยกเว้นการได้รับรางวัลภาษาไทยดีเด่น ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธว่านายอภิสิทธิ์มีวาทกรรมยอดเยี่ยม โดยเฉพาะคำว่า “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับวงล้อม” เช่นเดียวกับผู้มอบรางวัลคือ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่แม้จะพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วแต่กลับเป็นข่าวดังหลายเดือนเพราะเขายายเที่ยง

สำหรับประเทศไทยวันนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะสังคมไทยเพี้ยนไปหมดแล้ว แม้แต่ “ฆาตกร” ยังถูกยกย่องเป็น “พระอรหันต์” ทั้งที่ยังไล่ล่าและฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น

กลับตัวสำนึกผิดเป็นแค่ “องคุลิมาล” ก็ถือว่ายิ่งใหญ่แล้ว อย่าอาจเอื้อมถึงขั้นเป็น “พระพุทธเจ้า” เลย

หรือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการชนะเลือกตั้งโดยประชาชนให้ได้เสียก่อนไม่ดีกว่าหรือ?

ที่มา : นิตยสารโลกวันนี้วันสุข ปีที่ 6 ฉบับ 271 วันที่ 7-13 สิงหาคม พ.ศ. 2553 หน้า 8 คอลัมน์ เรื่องจากปก โดย ทีมข่าวรายวัน
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้สมการ "ค่านิยม" ไทย ๆ "รายได้-รายจ่าย" = เงินออม "รายได้-เงินออม" = ค่าใช้จ่าย

ประชาชาติธุรกิจ

มีคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศที่มี นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศที่มี นายแพทย์ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส เป็นประธาน แม้นายอานันท์พูดติดตลกว่า คณะกรรมการ 2 ชุดนี้เหมือน "แฝดอิน-จัน" ก็ตาม

ความหมาย "แฝดอิน-จัน" คือ คณะกรรมการชุด "อานันท์" เป็นการคิดจากข้างบนว่าควรปฏิรูปอย่างไร ขณะที่คณะกรรมการชุด "ประเวศ" มาจากข้างล่าง เอามาประกบกัน

"เอ็นนู ซื่อสุวรรณ" รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งเป็นหนึ่งในกรรมการคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้โดยบทบาทที่ผ่านมาของ "เอ็นนู" ได้ทำเรื่องปฏิรูปประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะ "คน ธ.ก.ส." ที่ต้องเข้าถึง เข้าใจและพัฒนา โดยลงพื้นที่รับรู้รับฟัง "เกษตรกร" มาตลอดชีวิตการทำงาน และเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความรู้สึกของคนฐานราก

"เอ็นนู" มองว่าการปฏิรูปประเทศไทยครั้งนี้จะต้องก้าวข้ามประเด็น "การปรองดอง" โดยมองประเทศโดยรวมว่าเมืองไทยมีดีอะไร อะไรยังมีปัญหาและควรแก้อย่างไร ที่ดีอยู่แล้วทำให้ดีขึ้นได้ไหม นี่คือแนวคิดการปฏิรูป

พร้อมกับมองกลยุทธ์การขับเคลื่อนการปฏิรูปว่าต้องอาศัย 1.พลังความร่วมมือจากสื่อ ต่อให้คณะกรรมการคุยกันอย่างไร หากคนไม่ได้ยิน ก็ไม่สำเร็จ นักการเมืองก็ไม่ฟัง

2.การลงพื้นที่จริง ทำงานร่วมกับคนในท้องถิ่น ชุมชน ให้เขาพูดกับเราได้ตรง เราเชื่อว่าสองเรื่องนี้น่าจะทำให้งานเดินหน้าได้ คือได้พบคนที่เดือดร้อนจริง และสื่อความว่ามีคนเดือดร้อนและเขาจะแก้แบบนี้ เห็นด้วยไหม...ไม่เห็นด้วยอย่างไร นี่คือหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูป

"เอ็นนู" เชื่อว่า สังคมที่เป็นธรรม ต้องมี 1.ทุกฝ่ายต้องให้เกียรติทุกคน และทุกคนเป็น "คนที่มีพลัง" บ้านเราจะต้องหาวิธีเปลี่ยน "ประชาชน" ให้เป็น "พลเมือง" "พลเมือง" แปลว่า "กำลังของเมือง" ณ วันนี้ปล่อยให้เป็นประชาชน มีหน้าที่เรียกร้องให้คนอื่นมาช่วยทั้งจากรัฐบาล ราชการ เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อก่อนว่า "คน" มีความสามารถ มีพลัง และให้คนเหล่านี้มีโอกาส ทำอาชีพของตัวเอง เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงพลังตัวเองในการพัฒนาอาชีพ ครอบครัว

2.ปัจจัยพื้นฐาน คนที่เกิดมาเป็นคนไทย เขาต้องมีปัจจัย 4 ระดับพื้นฐาน เช่น มีที่ดิน หากเขาไม่มีที่ดินเขาจะรักษาแผ่นดินทำไม ถ้าหากเขาต้องไปรบแทนคนอื่นเพื่อแผ่นดินไทย โดยที่เขาเองยังไม่มีแผ่นดินเลย เขาจะรักษาไปเพื่อใคร เพราะฉะนั้นปัจจัยพื้นฐานนี่ช่วยให้เขามีโอกาส อันนี้สำคัญมาก ๆ

3.ระบบการตรวจสอบดูแลไม่ให้ "ใครเกินไป" ใช้อำนาจวาสนาเบียดบังคนอื่น เมื่อคุณรวบมาเยอะ ก็ไปเบียดคนอื่น ต้องไม่ยอมให้ใครสะสมแบบนี้

ถ้าถามว่าจะแก้อย่างไร "เอ็นนู" กล่าวว่าอาจจะยาก บ้านเมืองเราเดินแบบทุนนิยมมาไกลมาก และคนตัวใหญ่กินเยอะ ถ้าเป็นรถเมล์ก็เบียดคนอื่นไปกองที่ท้ายรถแล้ว ดังนั้นการแก้ต้องมาจาก ผู้ที่มีอำนาจต้องยอมรับก่อนว่า เรา "ไปไม่รอด" ถ้าสังคมยังปล่อยให้อยู่อย่างนี้ ต้องยอมสละสิ่งที่ตัวเองได้สิทธิเหนือคนอื่น ดังนั้นต้องแก้จากข้างบน ต้องยอมสละบางส่วน หรือ ยุติการกอบโกย แล้วต้องแบ่งปัน

"เรายังมีคนยังไม่ยอมพอ ยังพยายามใช้ทุกอย่างที่ตัวเอง ได้เปรียบ เราถูกฝรั่งกรอกหูมาว่า compettiveness เป็นคาถาสำคัญ เราจะต้องเอาชนะคนอื่น เราจะสร้างความได้เปรียบตรงไหนบ้าง ไม่เห็นมีข้อไหนที่พูดถึงการแบ่งปัน เขาไม่ได้สอน เขาเน้นการได้เปรียบ หากเรายังเชื่อทฤษฎีนี้ คุณก็มีปัญหานะ พิสูจน์แล้วระดับโลกที่เขามีปัญหา อย่าคิดว่าการสร้างกฎ กติกา มารยาท เรื่องความโปร่งใส ธรรมาภิบาล ซีเอสอาร์ แล้วจะทำให้คนเปลี่ยน แต่คนที่ออกกฎพวกนี้มาอย่างสหรัฐอเมริกา ล่มสลายกันหมด กลายเป็นโกงกันหมด กฎกติกามันไม่จริง ถ้าคุณ absolute power มันจะ absolute corruption"

พร้อมกับชี้แนะว่า "ผมอยู่ในภาคเกษตร ผมมองว่าบ้านเราไปเชื่อฝรั่ง คือ "คิดทำมาค้าขาย" แทน "คิดทำมาหากิน" เดิมเราคิดทำมาหากิน หากมีกินก็มีแรงไปประกอบอาชีพ ไปทำอย่างอื่น ทำให้เขาคิดว่าทำอย่างไรให้พออยู่พอกิน เหลือแล้วค่อยขาย แต่เราถูกสอนใหม่ว่าทำมาหากิน พออยู่พอกิน "ดี" แต่ "ไม่รวย" นะ หากอยากรวยต้องเปลี่ยนความคิด ต้องทำมาค้าขาย เพราะ ค้าขายเท่านั้นที่รวย เห็นไหมพ่อค้ารวยกันหมด ก็เลยเปลี่ยนวิถีคน ให้คนมาคิดว่าทำอะไรมา "ขาย" เราพบว่า ชาวนาจำนวนมาก ปลูกข้าวที่ตัวเองไม่กิน ปลูกไปขาย ได้เงินกลับไปซื้อข้าวมากิน มันผิด กลายเป็นชีวิตไปขึ้นกับคนอื่น"

ต้องคิดทำ"Local"ก่อนแทนที่จะทำเพื่อ"Global" ให้คนไทยมีกินมีใช้ก่อน ส่วนที่เหลือตั้งราคาได้ เพราะเรามีกินแล้ว หากให้ราคาแค่นี้เราไม่ขาย ถ้าหากผลิตมาเรายังไม่ได้กินแล้วเราต้องขาย จีดีพีของเราแทนที่ 70%ส่งออก กลับทางเป็น..กินใช้เอง 70% ส่งออก 30% ถ้าข้างนอกเป็นหวัด เราจะได้ไม่เป็นหวัด นี่คือภูมิคุ้มกัน แต่เราไม่สร้างเลย หรืออย่างเราขายข้าวโพด ราคาขึ้นกับราคาที่ ชิคาโก สหรัฐอเมริกา เพราะคิดทำเพื่อขายก็ขึ้นอยู่กับคนซื้อ เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยน ต้องกลับทาง แต่ค่อยๆพลิก โดยมี จุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

"โดยเราต้องคิดตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำถึงปลายน้ำ ให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้ประโยชน์ เพราะถ้าสู้กันเมื่อไหร่คนตัวเล็กตายก่อน ตัวใหญ่มักรวมกับตัวใหญ่ ต้องคิดให้ครบ"

"เอ็นนู" แนะว่า เราต้องก้าวข้ามปัญหาให้ได้ หากเราติดอยู่กับปัญหา มันจะวน เราต้องรู้ปัญหา วางปัญหาลง แล้วคิดดูว่าเรามีข้อดีอะไร ขยายความเข้มแข็งนั้นออกไป เพื่อทำให้เรื่องที่ไม่ดีมันเล็กลง ๆ จากประสบการณ์การทำงานที่ ธ.ก.ส. อย่าไปยึดติดกับปัญหา หยุด รู้แล้ววางลง ทำเรื่องที่ดีให้มันใหญ่ขึ้น ๆ

"วันนี้เราชอบแก้โดยย้ายปัญหาไปอยู่ที่อื่น สักพักมันจะวนกลับมา วิธีแก้ต้องทำปัญหาให้จาง หากสังเกตจะพบว่า พอมีปัญหาเราก็ให้นายกรัฐมนตรีแก้ รมต.แก้ ปลัดกระทรวงแก้...ผู้ใหญ่บ้านแก้ แต่ตัวเองไม่แก้ เพราะทุกคนไม่เชื่อในพลังของตัวเอง ทุกคนมีพลัง แต่จะมีมากน้อยแตกต่างกัน ทำไมไม่สร้างสิ่งเหล่านี้ ทำให้สิ่งที่ไม่ดีหรือปัญหามันจาง อย่าเรียกร้องจากคนอื่น เริ่มจากตัวเรา เช่น เรียกร้องวินัย แต่ไปเรียกร้องจากคนอื่น ไม่เรียกร้องจากตัวเอง เช่น โดนจับใบขับขี่ก็มองหาใครช่วยได้ เราต้องทำเรื่องพวกนี้ก่อน ต้องเข้มงวดตัวเอง ผ่อนปรนผู้อื่น อย่าไปฝันว่าโลกนี้จะมีนักการเมืองที่ดีที่สุด นายกฯที่ดีที่สุด เขามีจุดอ่อนอะไร เราจะช่วยอะไรได้ไหม เช่นเดียวกับงานในที่ทำงาน หากเราไปเสริมให้เข้มแข็งขึ้นได้ไหม"

ดังนั้นการที่เราเดินแนวทุนนิยมมาไกลมาก ทำให้เราไปเชื่อเรื่อง "เงิน" ทั้ง ๆ ที่ "เงิน" ควรเป็น "เครื่องมือ" ไม่ใช่ "เป้าหมาย" เงินทำให้สะดวก แต่เอาเครื่องมือมาเป็นเป้าหมาย ดังนั้นทำให้คนจะพยายามให้ได้ "กระดาษ" แผ่นนี้มาด้วยวิธีใดก็ได้โดยไม่สนใจ สังคมจึงเพี้ยนหมด

"ผมได้คุยกับคนเยอรมัน เขาบอกว่าหากเรารู้จักสะสมเงินโดยวิธีที่ถูกจะช่วยได้เยอะ โดยเฉพาะคนตัวเล็กตัวน้อย อย่างที่อาจารย์จำเนียร (ผู้จัดการ ธ.ก.ส.คนแรก) สอนว่า โภคทรัพย์ของผู้ครองเรือนดี เหมือนจอมปลวกที่ก่อขึ้น คาบดินทีละนิดมาไม่นานเป็น จอมปลวกที่ใหญ่ขึ้น คนเยอรมันก็เช่นเดียวกัน เขาสอนให้เด็ก ๆ ยึด 2 ตัว คือวินัย และการออม

วินัยยึดให้คนอยู่ด้วยกันได้ โดยไม่ต้องกล้ำกลืนกัน ประเทศไม่มีทางไปได้ ถ้าไม่มีวินัย 2.การออม ทุกคนต้องก่อร่างสร้างตัว สำคัญมากคือการจัดการกระแสเงิน เขาบอกว่าคนไทยคิดผิด ใช้สมการการเงินผิด"

"รายได้-รายจ่าย" = เงินออม

มีรายได้ใช้จ่ายไป ถ้าเหลือแล้วค่อยเก็บ ถ้าไม่เหลือก็ไม่เก็บ และระยะหลังไทยถูกกระแสให้ใช้จ่ายเกินตัว สมการจึงเป็น

"รายได้-ค่าใช้จ่าย" = หนี้สิน

ค่าใช้จ่ายถ้ารายได้ไม่พอ ก็ต้องไปยืมเขามา เป็นการสร้างหนี้ แต่เยอรมันเขาไม่ยอม เขาไม่ใช้ทั้ง 2 สมการนี้ เขาใช้สมการ

"รายได้-เงินออม" = ค่าใช้จ่าย

ไม่ว่าคุณมีรายได้แค่ไหน คุณต้องออมก่อนตามความสามารถคุณ ที่เหลือค่อยมาบริหารว่าจะใช้แค่ไหน คิดแค่นี้จบเลย ก็ไม่มี หนี้สิน เหมือนจอมปลวก เงินออมเวลาโตขึ้นจะเป็นจอมปลวกใหญ่

นี่คือการคิดใหม่ รื้อใหม่

ข้อไม่ดีต้องเอามาเป็นบทเรียนว่าไม่ควรทำซ้ำ ประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดต้องไม่กลับมาอีก
*****************************************************************************

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

งบปี54ฟาดกันพุงปลิ้นค่าจ้างที่ปรึกษา-เช่าอุปกรณ์สำนักงานแพงเว่อร์

หนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

แฉงบประมาณรายจ่ายปี 2554 หน่วยงานรัฐฟาดกันพุงปลิ้น ตั้งรายจ่ายค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเช่าอุปกรณ์สำนักงาน เดินทางไปต่างประเทศ อมรมสัมมนาสูงเกินความเป็นจริง บางหน่วยงานเครื่องแฟกซ์เดือนละ 19,000 บาท แพงกว่าซื้อไม่รู้กี่เท่า ขณะที่งบจ้าง อสม. ตั้งงบมากเกินจ่ายจริงกว่า 200,000 คน เฉ่งโครงการประกันรายได้เกษตรกรปีเดียวผลาญไปแล้ว 53,000 ล้านบาท ทั้งที่โครงการรับจำนำ 10 ปีหลังขาดทุนเพียง 10,000 กว่าล้านบาท “อภิสิทธิ์” ฟุ้งจะเกลี่ยงบพัฒนาท้องถิ่นไม่ให้กระจุกตัวเฉพาะพื้นที่พรรคภูมิใจไทย รองโฆษกประชาธิปัตย์มั่นใจโหวตผ่านแน่

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ไม่ทราบเรื่องการจัดงบประมาณในส่วนของการพัฒนาท้องถิ่นที่ไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ของพรรคภูมิใจไทยและยังเอาเรื่องงบประมาณไปต่อรองให้ ส.ส. ย้ายพรรค เพราะขณะนี้รายละเอียดการปรับลดงบประมาณของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 ยังไม่ได้ส่งมาให้ดู

“มาร์ค” รับปากแก้ปัญหางบกระจุกตัว

“เท่าที่ผมทราบ นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการเรื่องงบพัฒนาท้องถิ่น มีหลักฐานในการจัดสรรโดยดูจากจำนวนประชากร ขนาดพื้นที่ และความยากจน ผมไม่อยากให้ไปกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใด เมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของสภาในวาระ 2-3 ทุกคนจะช่วยดูให้เกิดความเป็นธรรมอีกทีหนึ่ง แต่เข้าใจว่าในขั้นของการแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการได้แก้ปัญหาการกระจุกตัวไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องจังหวัดนั้นจังหวัดนี้ได้งบมากน้อยแตกต่างกันก็มีสูตรในการคำนวณเอาไว้หมดแล้ว” นายกรัฐมนตรีกล่าวพร้อมยืนยันว่า นายไตรรงค์แจ้งว่างบที่มีความคลางแคลงใจได้ตัดไปหมดแล้ว แต่หากยังไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์การพิจารณาของสภาในวาระที่ 2 ก็ต้องทำให้เป็นไปตามหลักการ

ยอดปรับลดงบ 3.3 หมื่นล้านบาท

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า การพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณวาระที่ 2-3 วันที่ 18-19 ส.ค. ขณะนี้คณะกรรมาธิการได้พิจารณาในชั้นแปรญัตติจบแล้ว ทราบว่ามีการปรับลดลงมาได้ทั้งหมด 33,449 ล้านบาท และมีการแปรญัตติเพิ่มใน 4 ยุทธศาสตร์หลักคือ เรื่องแหล่งน้ำ ถนน สถาบันการศึกษา และการประกันรายได้เกษตรกร โดยมียอดการแปรญัตติเพิ่มประมาณ 5,000 ล้านบาท

“มาร์ค” มีงบในมือมากถึง 4.7 หมื่นล้าน

“ภาพรวมของงบประมาณปี 2554 ด้านการเกษตรได้รับการจัดสรร 43,800 ล้านบาท ถือว่ามากพอสมควร ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับเกษตรกรเต็มที่ ส่วนงบประมาณกลางที่สำรองจ่ายยามฉุกเฉินมีมากถึง 47,600 ล้านบาท ซึ่งนายกรัฐมนตรีสามารถอนุมัติใช้จ่ายได้”

มั่นใจโหวตในสภาผ่านฉลุยแน่

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังมีความมั่นใจว่า รัฐบาลจะไม่มีปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุนในการโหวตร่าง พ.ร.บ.งบประมาณให้ผ่านสภาในวาระที่ 2 เพราะการประชุมสภาในสัปดาห์ของสมัยประชุมนี้ ส.ส. รัฐบาลลงมติกันอย่างท่วมท้นในการพิจารณาร่างกฎหมายต่างๆ จึงเป็นสัญญาณที่ดีในการลงมติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ

“จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าไม่มีปัญหาเรื่องเสียงสนับสนุน แต่หากเกิดการพลิกผันงบประมาณไม่ผ่านการพิจารณาของสภา นายกรัฐมนตรีก็ต้องยุบสภาอยู่แล้ว” นายอรรถวิชช์กล่าว

แฉจัดงบค่าฝึกอบรมสัมมนามากเกิน

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า ภาพรวมของจัดงบประมาณปี 2554 ส่วนใหญ่จะอยู่ในหมวดของค่าฝึกอบรม สัมมนา ประชาสัมพันธ์ ค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าเช่า ค่าจ้างเหมาบริการ ค่าเดินทางไปต่างประเทศ งบอุดหนุน กองทุน และรายจ่ายอื่นๆ ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้มีหลายแสนล้านบาท

บางหน่วยเช่าแฟกซ์เดือนละ 1.9 หมื่น

“ถือเป็นยอดก้อนโตมากเพราะว่าได้แยกงบเงินเดือน งบค่าที่ดินสิ่งปลูกสร้างออกไปแล้ว เรื่องงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษามีปัญหามากเพราะแต่ละหน่วยงานชี้แจงไม่ค่อยได้ เป็นที่น่าสังเกตว่างบจ้างที่ปรึกษาแต่ละหน่วยงานจะตั้งเอาไว้สูงมาก ทั้งที่เรื่องบางเรื่องหรืองานบางงานเป็นเรื่องที่หน่วยงานนั้นๆสามารถทำเองได้แต่ก็ตั้งงบจ้างที่ปรึกษา นอกจากนี้ยังพบปัญหาเรื่องงบค่าจ้างบริการหรือค่าเช่าต่างๆ บางหน่วยงานตั้งงบเช่าใช้เครื่องแฟกซ์เดือนละ 19,000 บาท ปีหนึ่งก็เป็นแสนทั้งที่มันไม่ควรเช่า ซื้อเอาเองถูกกว่าเครื่องละไม่กี่พันบาท เรื่องงบเช่าอุปกรณ์ต่างๆมีปัญหามาก” นายวรวัจน์กล่าวและว่า งบประมาณอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ก็ตั้งไว้เกินความเป็นจริง โดยตั้งงบไว้มากถึง 7,000 ล้านบาทต่อปี หากหารเฉลี่ยงบประมาณจำนวนนี้เราต้องมี อสม. มากถึง 1,050,000 คน แต่ในความเป็นจริงเรามี อสม. อยู่เพียง 800,000 กว่าคนเท่านั้น ในภาพรวมจึงพบการตั้งงบประมาณที่ไม่ค่อยโปร่งใสอยู่มาก

ประกันรายได้เกษตรทำสูญ 5.3 หมื่นล้าน

นายวรวัจน์ตั้งข้อสังเกตเรื่องงบประมาณประกันราคาพืชผลทางการเกษตรที่ปี 2554 รัฐบาลตั้งไว้ประมาณ 47,000 ล้านบาทว่า ในปี 2553 ที่ผ่านมารัฐบาลบอกว่าใช้เงินในส่วนนี้ไป 53,000 ล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ให้แล้วสูญ ต่างจากโครงการรับจำนำพืชผลในอดีตที่ดำเนินการมา 10 ปี ขาดทุนไปเพียง 10,000 กว่าล้านบาท แต่โครงการประกันราคาปีที่แล้วหายไป 53,000 ล้านบาท หากดำเนินโครงการไป 10 ปีเท่านั้นจะเห็นว่าเสียหายมากกว่ากันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า นี่คือผลเสียของโครงการประกันรายได้เพราะจ่ายแล้วไม่ได้คืน แต่โครงการรับจำนำเรายังมีพืชผลเอาไปขายได้

“โครงการนี้เกษตรกรได้เงินน้อยลงแต่ใช้งบประมาณมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล” นายวรวัจน์กล่าว

งบกองทัพ 1.7 แสนล้านแตะต้องไม่ได้

ส.ส.พรรคเพื่อไทยยังกล่าวถึงการจัดสรรงบประมาณในส่วนของกองทัพว่า ในปีงบประมาณ 2554 ตั้งงบเอาไว้สูงถึง 170,000 ล้านบาท ถือว่าสูงมาก แต่คณะกรรมาธิการกลับปรัดลดได้เพียงไม่กี่สิบล้านบาท ไม่ถึง 1%

“การพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการมีปัญหามาก เพราะรัฐบาลไม่ยอมให้แตะต้องงบประมาณของกองทัพเลย ทั้งที่หลายรายการไม่มีรายละเอียดการใช้จ่ายมาชี้แจง แต่เมื่อเสียงในคณะกรรมาธิการรัฐบาลมีมากกว่าก็สามารถผลักดันให้ผ่านการพิจารณาไปได้ การใช้จ่ายงบกองทัพแทบจะตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย ผมค่อนข้างแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมรัฐบาลต้องปกป้องกันขนาดนี้ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์บางคนประกาศชัดเจนเลยว่าจะไม่แตะต้องงบกองทัพ การที่เสนองบประมาณมาแล้วไม่ถูกปรับลดเลยทำให้หลักการพิจารณางบประมาณของประเทศเสียหาย” นายวรวัจน์กล่าว

มีประโยชน์กับประชาชนไม่ถึง 20%

นายวรวัจน์กล่าวอีกว่า ในภาพรวมของการจัดทำงบประมาณไม่ค่อยเกิดประโยชน์กับประชาชนมากเท่าไร แต่ไปเอื้อประโยชน์กับผู้รับเหมาเสียมากกว่า การจัดงบก็เป็นไปในลักษณะรั่วไหลได้ง่าย เช่น เรื่องค่าจ้างที่ปรึกษา ค่าอบรม สัมมนาที่ส่วนมากเป็นการจัดอบรมสัมมนาของหน่วยงานเอง ไม่ได้ให้ความรู้กับประชาชน ภาพรวมของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท ประชาชนได้ประโยชน์จริงๆไม่ถึง 20% จึงไม่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศเท่าที่ควร เพราะเป็นเรื่องของหน่วยงานรัฐมากกว่าประชาชน ทั้งที่การจัดทำงบประมาณปีนี้เป็นแบบขาดดุล บางส่วนต้องไปกู้มาใช้แต่กลับไม่ได้ถูกใช้ไปเพื่อพัฒนาประเทศหรือกระตุ้นเศรษฐกิจ

**********************************************************************

สืบพยานผู้ออกแบบเว็บ นปช.USA ก.พ.ปีหน้า–ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องประกันตัว ‘ดา ตอร์ปิโด’

ศาลนัดพร้อม สืบพยาน คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ กรณีผู้ออกแบบเว็บนปช.ยูเอสเอ เป็นเดือน ก.พ.54 ด้านคดี ‘ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล’ ศาลอุทธรณ์ยกคำร้องขอประกันตัว ชี้ข้อหาร้ายแรงเกรงจะหลบหนี

ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถนนรัชดา ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์เพื่อนัดพร้อม ตรวจสอบพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้อง นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล อายุ 37 ปี เป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร เป็นผู้ให้บริการจงใจ สนับสนุน ยินยอมให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตนและเผยแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น ตามมาตรา 3, 14, 15 ของพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550

รายงานข่าวระบุว่า จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นศาล และพนักงานอัยการได้ยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 12 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยยื่นบัญชีพยานบุคคลจำนวน 6 ปาก ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ 3 นัด และพยานจำเลย 2 นัด หลังจากที่จำเลยได้ร้องขอให้มีการเพิ่มการนัดสืบพยานจำเลย เนื่องจากมีพยานหลายคนที่ไม่พร้อมให้การ เนื่องจากมีความวิตกกังวลว่าอาจถูกรัฐบาลเพ่งเล็งท่ามกลางการประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินในขณะนี้ อีกทั้งจำเลยยังเพิ่งได้พบทนายเป็นครั้งแรกในวันนี้ ศาลจึงอนุญาตให้สืบพยานจำเลยเพิ่มเติมจาก 1 นัด เป็น 2 นัด โดยกำหนดวันสืบพยานโจทก์ในวันที่ 4, 8, 9 ก.พ.2554 และสืบพยานจำเลยในวันที่ 10, 11 ก.พ.2554

ทั้งนี้ นายธันย์ฐวุฒิ หรือนามแฝง “เรดอีเกิ้ล” ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ดูแลเว็บไซต์ www.norporchorusa.com และ www.norporchorusa2.com และถูก พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) พล.ต.ต.เกรียงศักดิ์ อรุณศรีโสภณ ผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบก.ปอท.) นำกำลังเข้าจับกุม เมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ห้องพักในเขตบางกะปิ กทม.พร้อมยึดคอมพิวเตอร์และของกลางหลายรายการ จากนั้นถูกนำตัวไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นสอบสวน

ด้านความคืบหน้าคดีนางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด ผู้ต้องโทษคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 18 ปี เมื่อวันที่ 28 ส.ค.2552 และทนายจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ในวันที่ 27 ต.ค.2552 ต่อมาทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์เมื่อวันที่ 29 ก.ค.53 โดยระบุถึงสาเหตุขากรรไกรอักเสบรุนแรง ทำให้อ้าปากได้เพียงเล็กน้อยและต้องเข้ารับการผ่าตัดในโรงพยาบาลที่มีเครื่องมือ ขีดความสามารถเพียงพอ ทั้งยังต้องพักฟื้นอีก 1-2 ปี นอกจากนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่มีความผิดฐานเดียวกันก็ได้รับการปล่อยชั่วคราวเรื่อยมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยกคำร้อง โดยระบุว่า “พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง ตามพฤติการณ์แห่งคดีและลักษณะการกระทำของจำเลย กระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เทิดทูนและสักการะ และส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจของปวงชนผู้จงรักภักดีอย่างกว้างขวาง จึงถือเป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ประกอบกับศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยรวม ๑๘ ปี หากไดรับการปล่ออยชั่วคราวแล้วไม่เชื่อว่าจำเลยจะไม่หลบหนี ส่วนเหตุที่อ้างว่าจำเลยเจ็บป่วยนั้น จำเลยอาจร้องขอต่อราชทัณฑ์เพื่อไปรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลที่มีขีดความสามารถรักษาพยาบาลอาการป่วยของจำเลยได้อยู่แล้ว จึงยังไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์ ให้ยกคำร้อง”

นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล พี่ชายดารณี กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่น้องสาวซึ่งเจ็บป่วยไม่ได้รับการประกันตัว ทำให้ตนเองซึ่งอยู่จังหวัดภูเก็ตต้องเดินทางมาเยี่ยมแทบทุกอาทิตย์มาเป็นเวลา 2 ปีกว่าแล้ว พร้อมทั้งต้องฝากเงินให้ดารณีเป็นค่าใช้จ่ายในการซื้อนมและอาหารอ่อนด้วย เนื่องจากดารณีอ้าปากได้น้อยมากและไม่สามารถทานอาหารที่เรือนจำจัดให้ได้ ขณะเดียวกันตนเองก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้ช่วยเหลือน้องสาวได้น้อยลงด้วย ดังนั้น หากผู้ใดประสงค์จะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในส่วนนี้สามารถโอนเงินเข้ามาได้ที่บัญชีออมทรัพย์ ชื่อ นายกิตติชัย ชาญเชิงศิลปกุล ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนพูนผล เลขที่ 297-1-25805-5

ที่มา.ประชาไท
_______________________________________________________________________

รู้อื้อ, ยิ่งกว่า‘ลายนิ้วมือ’ตัวเอง

แผนคาร์บอมม์ วางระเบิดสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา..ออกมาจากปาก “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ผู้อำนวยการ ศอฉ. ยกให้ท่าน มีการข่าว ที่สุดเจ๋ง??
บวกกับความเก่ง ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” ผบ.ตร. ที่ขานรับเป็นช่วง
ยืนยันเป็นเสียงเดียวกัน....จะถล่มบ้านเมือง ในงาน “วันแม่แผ่นดิน-แม่หลวง”
เห็นรู้ละเอียดถี่ยิบ แผนการทะลุปรุโปร่งเช่นนี้ ทำไม?.. “รัฐบาลและตำรวจ” ไม่จับ!!
เห็นดีแต่ประโคมข่าว....ไม่ยักจับใครได้สักเจ้า?...ดูแล้วกินภาษีเสียเปล่า จริงๆ ครับ??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ได้ใจประชาชน จึง ปกครองชาติได้
วิธีบริหารแผ่นดิน ของ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกฯ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ และ “นายใหญ่เนวิน ชิดชอบ” เอาแต่ประโยชน์ แห่งตัวเองเป็นใหญ่??
วันนี้ “อภิสิทธิ์” ยังติดกับดักการเมือง เหยียบแผ่นดิน ไม่ได้ทุกภาค
ไม่กล้าควงแขน...แอ่นระแน้ไปเยี่ยมใครก็แล้วกัน สำหรับ “นายกฯมาร์ค”
เกาะกลุ่ม เก็บเกี่ยว อยู่แต่ในรัง แค่ทำเนียบรัฐบาล...ทั้งที่คุมอำนาจประเทศไทย แต่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ-เนวิน” กลับเก็บตัวเงียบ อยู่แต่ในกระดอง!!
ไม่ได้หัวใจประชาชน....หยั่งงี้ปกครองชาติไปก็ไร้ผล...เพราะคนแอนตี้ มากมายก่ายกอง??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยื่นหมูยื่นแมว!!!
สำเร็จสมใจนึกบางลำพูไปแล้ว สำหรับ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เป็น “จ่าฝูงทัพบก” ไปแล้ว??
แถมยังชักแถว เกี่ยวก้อยให้ “พล.อ.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ” เพื่อนเลิฟ ตท. ๑๒ ก้าวมาเป็น “เสนาธิการทหารบก”
แท็กทีมกันเต็มคราบ...ดูการสนองคุณกลับ ดัน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผงาดเป็นนายกฯ
สอดคล้องกับ “โหรคมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ แห่งสำนักสุขิโต เมืองเชียงใหม่ ที่ทิ้งปริศนาอักษรไขว้ว่า “ป.ปลาตากลม” จะเหาะฉิว เดินตัวปลิว เข้ามาเป็น “นายกรัฐมนตรี”!!!
ถ้า“บิ๊กป๊อก” พลาดไป.. ให้ดู“พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”ไว้?..จะเป็นใหญ่ ในเก้าอี้นี้

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ยึดทำเนียบ” ประกาศ ว่าผิด!!!
เมื่อครั้งที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ตัวพ่อม๊อบเหลือง ยึดทำเนียบฯ...แล้วพรรคประชาธิปัตย์ แห่แหนยกโขยงไปให้กำลังเต็มพิกัด ถึงตึกไทยคู่ฟ้า...ทำไมหนา? “นายกฯ มาร์ค” ถึงไม่คิด??
เท่ากับว่าวันนั้น “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ไปร่วมสังฆกรรมด้วย ต้องมีชนักติดหลัง
ตีความกันตรงๆ ...ฟันธง ท่านก็ไม่พ้นผิด กระมัง
ดีแต่จะเอากระบองยักษ์ แห่งเผด็จการ เพ่นกบาล “เสื้อแดง” กับ “เสื้อเหลือง” ผู้หวงห่วงแผ่นดินทับซ้อน รอบ“ปราสาทเขาพระวิหาร” ที่เค้าออกมาประท้วง ไม่ให้แผ่นดินไทย เสียหาย!!
เมื่อจะใช้กฎเหล็กให้เฉียบ..ท่านก็เคยร่วมบุกทำเนียบฯ? ..ทีหยั่งงี้ล่ะเงียบ เหยียบ เอาไว้??

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

เสียหน้าแทบไม่เหลือหรอ!!
วันนี้จันทร์ที่ ๙ สิงหาคม “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้ฤกษ์เสียที.. กับการได้ “พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี” เป็น “ผอบอตอรอ”??
นอกจาก ได้กำลังภายใน “นักฆ่าแห่งเมืองอีตัน” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หนุนสุดๆ ในงานนี้
“ว่าที่ผบ.ทบ.” พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา”...เดินร่วมรุ่น ตท.๑๒ ก็เดินหน้าหนุน เต็มที่
ทั้งได้การขยับเคลื่อน อีดฉีดยาโด๊ปเต็มสตีม จาก “พี่ใหญ่ตันประเสริฐ” ผู้เป็นพี่ชาย ของ “พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ” รักษาการแทน ผบ.ตร. เชียร์ด้วย ทุกอย่าง จึงแบเบอร์!!!
ถ้าไม่มีพี่น้อง “ตันประเสริฐ” ...รับประกัน “บิ๊กวิเชียร” ไม่ได้เกิด? ..ใหญ่ระเบิดหรอกเธอ
_______________________________________________________
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************************************************

'เหวง'ขึ้นศาลเบิกความชุมนุมสันติตามมตินปช.

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"นพ. เหวง" ขึ้นศาลไต่สวนอุทธรณ์ประกัน ระบุชุมนุมอย่างสันติตามมติของนปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก- ศาลไต่สวน คำร้องที่ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หนึ่งใน 25 ผู้ต้องหาคดีร่วมก่อการร้าย ยื่นอุทธรณ์ขอปล่อยชั่วคราว ภายหลังศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ไต่สวนพยาน

โดยศาลอาญา ได้เบิกตัว นพ.เหวง จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาเพื่อไต่สวน ขณะที่วันนี้ได้ไต่สวนพยานรวม 3 ปาก ทนาย ประกอบด้วย น.พ.เหวง , พล.อ เลิศรัตน์ รัตนวานิช ส.ว.สรรหา และนายธานินทร์ เปรมปรีดิ์ พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)

ขณะที่ นพ.เหวง เบิกความว่า การชุมนุมต้องการเรียกร้องประชาธิปไตย เป็นการชุมนุมอย่างสันติตามมติของ นปช.ทุกคน ไม่ได้ใช้ความรุนแรง และผู้ร้องเข้ามอบตัวกับเจ้าพนักงานด้วยตนเอง ทั้งที่ทราบดีว่าคดีมีโทษสูง โดยไม่คิดหลบหนี อีกทั้งหากยังถูกควบคุมตัวในเรือนจำ จะทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานการต่อสู้คดีเป็นไปได้ยาก อีกทั้งผู้ร้องป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ด้วย

ด้านพล.อ. เลิศรัตน์ เบิกความว่า ตลอดการชุมนุมได้ติดต่อกับผู้ต้องหาเพื่อเจรจาให้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันที่บ้านพักของตน แต่ไม่ได้ข้อสรุปในการเจรจาครั้งนั้น

ส่วนนายธานินทร์ พนักงานสอบสวนดีเอสไอ เบิกความว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้คัดค้านการประกันตัวของ น.พ.เหวงตั้งแต่การฝากขังครั้งแรก อย่างไรก็ดีเชื่อว่าหากปล่อยตัวชั่วคราว ผู้ต้องหาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรูปคดีและพยานหลักฐานได้

ทั้งนี้ภายหลังศาลไต่สวนเสร็จสิ้นทั้ง 3 ปากแล้ว ศาลอาญามีคำสั่งรวบรวมการไต่สวนพยานส่งให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อมีคำสั่งต่อไป

_______________________________________________________________________

ฮุน เซน ส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีความขัดแย้ง


สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งหนังสือถึงสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีต่อความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารกับไทย โดยมีใจความกล่าวหาไทยว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ ด้วยการขู่ที่จะใช้กำลังทหารกับกัมพูชาเพื่อยุติปัญหาชายแดน

สมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาส่งหนังสือถึงนายอาลี อับดุสซาลัม ประธานสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ และนายวิทาลี เชอร์กิน ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ชี้แจงท่าทีต่อความขัดแย้งกรณีปราสาทพระวิหารกับไทย

โดยหนังสือดังกล่าวมีใจความกล่าวหาไทยว่าละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 2.3 และ 2.4 อย่างชัดเจน ด้วยการขู่ที่จะใช้กำลังทหารกับกัมพูชาเพื่อยุติปัญหาชายแดน พร้อมกันนี้สมเด็จฮุนเซนยังย้ำถึงจุดยืนของกัมพูชาที่จะไม่ใช้กำลังทางทหารในการคลี่คลายความขัดแย้งกับเพื่อนบ้าน แต่จะปกป้องดินแดนและอธิปไตยของประเทศเต็มที่หากถูกคุกคาม

*****************************************************************************

ประเด็นร้อน...คนซื้อที่ดินต้องรู้...! ติดบ่วงแก๊ง "ออกโฉนดมิชอบ" เจอข้อหาฟอกเงิน-ยึดทรัพย์

ประชาชาติธุรกิจ

จากนี้ไปนักธุรกิจ นักลงทุน หรือผู้ที่ต้องการซื้อที่ดิน โดยเฉพาะในทำเลสุ่มเสี่ยงที่เป็นภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ ที่สาธารณะ จะต้องตรวจสอบให้ดี เนื่องจากที่ดินผืนงามเหล่านั้นอาจมีการ ออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และยังอาจติดบ่วงขบวนการ "ฟอกเงิน" เพราะไปซื้อทรัพย์สิน (ที่ดิน, โฉนด, น.ส.3 ก.) ที่เกิดจากการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ที่ดิน

การสัมมนาเรื่อง "การบังคับใช้กฎหมายฟอกเงินในคดีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ออกเอกสารสิทธิที่ดินโดยมิชอบ" ซึ่งจัดโดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และผู้ทรงคุณวุฒิจาก 8 หน่วยงาน มีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า

"ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิจากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยประชาชนผู้ที่ได้รับเอกสารสิทธิและเป็น ผู้ครอบครองที่ดิน เป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ที่ดินให้กระทำความผิด ถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542"

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5 ระบุว่า ผู้ใดโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สินนั้น หรือเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นไม่ว่าก่อน ขณะหรือหลังการกระทำความผิด หรือ กระทำการใด ๆ เพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงในการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่ายจ่ายโอน การได้สิทธิใด ๆ ซึ่งทรัพย์สินเกี่ยวกับการกระทำความผิดผู้นั้น "กระทำความผิดฐานฟอกเงิน"

ศาสตราจารย์วีระพงษ์ บุญโญภาส ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอาชญากรรมทางธุรกิจและการฟอกเงิน คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการจะตรงกับความผิดมูลฐานที่ 5 ของมาตรา 3 (5) แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินฯ

ส่วนการนำ "ทรัพย์สิน" คือที่ดินและเอกสารสิทธิที่ออกมาโดยมิชอบ มาขายหรือจำหน่ายต่อไปนั้น "เงิน" ที่ได้มาจากการขายที่ดินถือว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพราะผู้กระทำความผิดมีเจตนาจะใช้ทรัพย์สินเป็นสำคัญในการกระทำผิด

สำหรับเงินที่ได้มาจากการขายที่ดินจะเข้ากฎหมายฟอกเงิน และเมื่อที่ดินถูกเพิกถอนแล้วย่อมกลับเป็นที่ดินของรัฐ

ศาสตราจารย์วีระพงษ์ยังระบุด้วยว่า เหตุผลที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินเป็นจำนวนมาก เกิดจากปัจจัย 1) ราคาที่ดินในปัจจุบันสูงขึ้น ขณะที่พื้นที่ของประเทศมีขนาดคงเดิมและประชากรเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่ดินเพิ่มขึ้น

2) การซื้อขายที่ดินสามารถอำพรางหรือปกปิดเงินที่ได้มาโดยผิดกฎหมาย จึงนำมาซื้อที่ดินได้ง่าย กฎหมายจึงต้องให้มีการรายงานธุรกรรม

3) วิธีการฟอกเงินของประเทศที่กำลังพัฒนา คือการใช้ที่ดินเป็นเครื่องมือในการฟอกเงิน 4) เป็นความผิดที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก แต่สร้างผลตอบแทนได้สูง และ 5) เป็นความผิดที่สามารถใช้อิทธิพลมาครอบงำการทำงานของกระบวนการยุติธรรมได้ง่าย

นอกจากนี้ หน่วยงานแห่งหนึ่งได้สำรวจทรัพย์สินและสิ่งก่อสร้างที่มีความไม่โปร่งใสเข้าข่ายฟอกเงินทั่วประเทศประมาณ 1,800 แปลง เนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ มูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท เช่น พื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 243 แปลง เนื้อที่ 79 ไร่ ภาคอีสาน 394 แปลง เนื้อที่ 1,367 ไร่ ภาคเหนือ 274 แปลง เนื้อที่ 843 ไร่ ภาคตะวันออก 108 แปลง เนื้อที่ 250 ไร่ ภาคใต้ 180 แปลง เนื้อที่ 1,600 ไร่เศษ และภาคกลาง 114 แปลง เนื้อที่ 1,493 ไร่

ขณะเดียวกัน กรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็พบข้อมูลการกระทำความผิดเกี่ยวกับ การออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบ และ ร่วมกันกระทำความผิดกฎหมายฟอกเงินเฉพาะในพื้นที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อีกไม่น้อยกว่า 9 คดี

รศ.ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ผู้กระทำคือเจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนผู้ที่ให้สินบน ทรัพย์สินเหล่านี้ เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด การนำเอกสารสิทธิที่ออก โดยมิชอบมาหาประโยชน์ เท่ากับเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และควรเพิกถอนให้กลับมาเป็นที่ดินของรัฐ และหาก ยังไม่เพิกถอนก็สามารถยึดคืนกลับมาได้

"การเอาที่ดินไปขายถือเป็นการฟอกเงิน เพราะเป็นการให้สินบนกับเจ้าพนักงาน สามารถนำหลัก "ถ้าไม่ทำ ผลไม่เกิด" ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ทุจริตก็ไม่ได้เงิน และไม่สามารถออกเป็นเอกสารสิทธิได้ ในการ ยึดเงินสามารถยึดได้ 2 ส่วน ทั้งเจ้าหน้าที่และส่วนของผู้สนับสนุน ดังนั้นเงินที่ได้มาทั้งหมดจึงเข้ากฎหมายฟอกเงิน"

นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล รองอธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ กล่าวว่า การนำเอาที่ดินของรัฐ เช่น ที่ภูเขา ป่าสงวนแห่งชาติ มาออกเอกสารสิทธิโดยมิชอบนั้น เช่น ใช้วิธี ส.ค.1 บิน หรือบวม เจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมรู้อยู่แล้วว่าที่ดินนั้นเป็นของรัฐ ถือได้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด หากเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ค่าตอบแทนในการออกเอกสารสิทธิถือเป็นเงินสินบน ซึ่งถือว่าเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่อันเป็นความผิดมูลฐาน การฟอกเงิน

"ส่วนเอกชนที่ได้ที่ดินมาโดยไม่ชอบ ที่ดินนั้นจึงเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน และเมื่อมีการโอน, ขายต่อ ๆ กันไปเป็นทอด ๆ ก็เป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดด้วย"

ถ้าการสอบสวนชัดเจนว่าเป็นทรัพย์ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด แม้ว่าจะเป็นที่ดินของรัฐก็ตาม หากขายแล้วได้เงินมาก็เป็นการฟอกเงิน และมีข้อสังเกตว่าในความผิดอาญาฐานฟอกเงินในการสอบสวนจะต้องพิจารณาถึงการมีผลบังคับใช้ของกฎหมายฟอกเงิน ซึ่งมีผลบังคับใช้หลังวันที่ 19 สิงหาคม 2542 เพราะกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง หากมีการกระทำความผิดอาญาฐานฟอกเงินหลังวันที่ 19 ส.ค. 2542 ก็สามารถดำเนินคดีฐานฟอกเงินได้

นี่คือประเด็นสำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อที่ดินจะต้องระมัดระวังตรวจสอบอย่างรอบคอบ เพราะหากพิสูจน์ได้ว่าโฉนดออกโดยมิชอบและเข้าข่ายการฟอกเงิน

ไม่ว่าที่ดินแปลงนั้นจะถูกซื้อขายโอนไปกี่มือแล้วก็ตาม ในที่สุดแล้วจะต้องถูกเพิกถอนกลับไปเป็นของแผ่นดิน และผู้ซื้อที่ดินโดยสุจริตจะต้องไปฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับผู้ที่ขายที่ดินให้ตนเองต่อไป

****************************************************************************

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์: ใครกันแน่ที่ควรจะเข้ารับการบำบัดจิต

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์

หลังจากที่อาจารย์ชำนาญ จันทร์เรือง เขียนบทความเรื่อง"ผมเห็นเด็กกำลังจะตายเพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินที่เชียงราย"ผมก็คิดไปเองว่าคงจะไม่มีใครไปหาเรื่องหรือเอาเรื่องเอาราวกับเด็กนักเรียนอีก เพราะบทความชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "การดำเนินคดีกับเด็กนักเรียนและนักศึกษากลุ่มนี้ เป็นการบ้าจี้หรือเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ ที่พยายามที่จะยัดเยียดความผิดให้ กับเด็ก เพื่อที่จะสร้างผลงาน โดยไม่คำนึงถึงหลักมนุษยธรรม" และบทความนี้ ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งในหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งทำให้ผมมองโลกอย่างคนธรรมดาว่าคงจะมีผู้มีอำนาจที่ตระหนักถึงความไม่ถูกต้องนี้ และสั่งลงมาว่าอย่าไปทำอะไรเด็กอีก

แต่ที่ไหนได้ ไม่กี่วันต่อมา ก็มีข่าวว่าเด็กนักเรียนถูกสั่งจากนักจิตวิทยาประจำสถานพินิจคุ้ม ครองเด็กและเยาวชน เชียงรายให้เข้ารับ "การบำบัด" ซึ่งตามข่าว "การบำบัด" ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ซักถามตามธรรมเนียม (แต่ที่น่าสนใจ ก็คือ เจ้าหน้าที่ได้ "แนะนำให้รับสารภาพเพื่อให้ศาลเมตตา") อะไรเกิดขึ้นที่เชียงราย

ผมคิดว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เองก็ไม่ค่อยอยากจะทำอะไร เพราะรู้ดีอยู่ว่าเรื่องนี้เกินการควบคุมของตนเอง แต่เมื่อปรึกษา (อย่างไม่เป็นทางการ) กับเจ้านายเหนือขึ้นไป ก็น่าได้รับคำตอบทำนองว่าทำ อะไรก็ได้ที่เบาหน่อย แต่จะไม่ทำอะไรเลยนั้นคงไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเกิดการ "เหิมเกริม" และจะคุมไม่อยู่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่หน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องก็พยายามคิดหาทางออก โดยเฉพาะทางออกก็เน้นให้พ้นมือ และความรับผิดชอบของตน การจัดการทั้งหมดจึงไปลงที่การส่งเด็กไปให้สถานพินิจฯ แต่จะส่งเด็กไปเข้าสถานพินิจฯ ก็ไม่ได้ เพราะความผิดไม่ชัดเจน จึงเลี่ยงด้วยการสั่งให้ไปหานักจิตวิทยาเพื่อรับการบำบัด ซึ่งพวกเขาคิดว่าน่าจะเบาที่สุด และปัดพ้นความรับผิดชอบไปได้

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยคงไม่เคยรู้ว่าวิธีการที่บรรดาเผด็จการในทุกสังคมชอบใช้ในการจัดการคนที่คิดต่างออกไป ได้แก่ การผลักดันให้กลายเป็น "คนบ้า" เพื่อจะสร้างความหวาดกลัวให้แก่คนปกติว่าจะถูกหาว่าเป็น "คนบ้า" แต่วิธีการเช่นนี้เป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไป จึงทำให้การใช้วิธีการเก่าแบบนี้ ยิ่งดูเป็นเรื่องสกปรกมากขึ้นในสายตาของสังคม

เหตุเกิดที่เชียงรายได้ ก็เพราะการคงไว้ซึ่ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งบังคับให้เจ้าหน้าที่ระดับพื้นที่ต้องทำอะไรสักอย่างแม้ว่า จะไม่เห็นด้วยก็ตาม เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ก็ไม่มี "ความกล้าหาญ" เพียงพอที่จะแย้งหรือไม่ทำตาม เพราะ "ความกล้าหาญ" ย่อมต้องการพลังทางสังคมสนับสนุน ตราบใดที่พลังทางสังคมยังไม่เป็นกระแสแรงพอ เจ้าหน้าที่ย่อมรู้สึกทันทีว่าหากขัดคำสั่งเจ้านายแล้ว ตนเองตายแต่ผู้เดียว

ในวันเดียวกัน ที่เด็กนักเรียนถูกจับในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนหก คนได้ประชุมมั่วสุมและฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉินมาตรา 9 (1) และ (2) ที่สำคัญ ฝ่าฝืนหนักขนาดออกแถลงการณ์ให้ "ยกเลิก" (เลิกไปเลย) ไม่ให้มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ให้อำนาจรัฐอย่างบ้าบอคอแตกเช่นนี้ นักข่าวสายสันติบาลก็เยอะแยะ แต่คณาจารย์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนไม่โดนข้อหาแบบเดียวกับเด็กที่เชียงราย เหตุผลก็คงมีหลายอย่างให้อ้าง ไม่ว่าจะเป็นการพูดทางวิชาการ หรือพูดในมหาวิทยาลัย (พวกคุณไม่กล้าออกนอกมหาวิทยาลัยนี่หว่า ฮา) อะไรทำนองนี้ แต่ความเป็นจริง ก็คือ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประเมินผลกระทบว่ามันน่าจะแตกต่างไปจากการ "ตบเด็ก" บรรดาผู้เฒ่าของมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงไม่โดนข้อหาอะไร (อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนได้เตรียมหลักทรัพย์พร้อมหนังสือรับรองเงินเดือนไว้ประกันตัวเองแล้ว ขอบอก)

ผมอยากจะเตือนต่อนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลประชาธิปัตย์ในเรื่องนี้ ว่า ผมเชื่อมั่นมากว่าหลังจากการ "ตบเด็ก" นี้ การท้าทาย พ.ร.ก. ฉุกเฉินจะเกิดขึ้นอีก และจะทวีมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในเขตภาคเหนือ คำถามที่ตามมา ก็คือ จะจับกันอย่างไรหวาดไหว และจะเอาจริงแค่ไหน หากรอจนวันที่พวกคุณไม่สามารถใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. ได้แล้วค่อยเลิก พ.รก.ฉุกเฉิน คุณก็จะเป็นไอ้คนแหย ไม่มีน้ำยา มากกว่าเดิมเสียอีก

ที่ผมเชื่อว่าการท้าทายจะมีมากขึ้น ก็เพราะในสังคมวัฒนธรรมไทยไม่อนุญาตให้ผู้มีอำนาจ "ตบเด็ก" โดยเฉพาะเมื่อ "เด็ก" นั้นไม่ได้ละเมิดขนบของสังคมอย่างรุนแรง หากใครรังแกหรือทำร้ายเด็กก็จะถูกตัดสินทันทีว่าคุณเป็นคนเลว เด็กและคนชราเป็นข้อยกเว้นในสังคมวัฒนธรรมไทย แม้ในกฎหมายตราสามดวงก็ระบุไว้ชัดเจนว่าเด็กและคนชรานั้นอยู่ในข้อยกเว้นในการบังคับใช้กฎหมาย

มิพักต้องพูดถึงกฎหมายเก่า หากมองถึงระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดแล้ว สังคมไทยให้อภัยต่อเด็กเสมอมา ลองคิดดูถึงการทำงานของมูลนิธิต่างๆ จะพบว่ามูลนิธิที่ทำงานกับเด็ก จะได้รับการดูแลจากสังคมมากว่าทำงานกับคนช่วงอายุอื่นๆ

นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกำลังตั้งใจการละเมิดระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมโดยเพียงเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเมืองของตน นับว่าเป็นการกระทำที่มืดบอดในความเข้าใจสังคมไทยโดยแท้ การค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมเก้าสิบกว่าศพ โดยคนชั้นกลางที่มีการศึกษาสูงในเขตเมืองอาจจะเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้นายกรัฐมนตรีหลงคิดไปว่าคนกลุ่มนี้จะค้ำยันในทุกเรื่อง ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะการค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นเกิดขึ้นเพราะถูกปลุกเร้าให้เห็นผู้ใหญ่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรูกับสถาบันหลักของสังคม แต่สำหรับกรณีที่รัฐกระทำเด็กกลุ่มนี้กลับจะแตกต่างออกไป ผมเชื่อว่าในกลุ่มคนที่ค้ำยันรัฐ-ฆาตกรรมนั้นจำนวนไม่น้อยจะรู้สึกอยู่ว่ารัฐกระทำเกินไป และการเริ่มต้นคิดตรงจุดนี้ของคนชั้นกลางจะนำไปสู่การถอยการค้ำยันไปทีละน้อยๆ

ความไม่เข้าใจระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของสังคมไทย ความต้องการรักษาอำนาจไว้โดยปราศจากการยับยั้งชั่งใจ ที่ปรากฏอย่างชัดเจนในกรณีการ "ตบเด็ก" ที่เชียงราย ทำให้ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องต่างหากที่ควรจะได้รับการศึกษาเพิ่มเติมในวิชาประวัติศาสตร์ระบบอารมณ์ความรู้สึกของสังคมไทย (เบื้องต้น) และที่สำคัญ ควรที่จะหาโอกาสไปปรึกษาแพทย์ทางด้านจิตวิทยาและ "บำบัด" พร้อมๆ กันไปด้วยครับ

ที่มา.ประชาไท
-------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"นิธิ" ชี้เปรี้ยง "แลนด์ลอร์ดโง่" ขวางปฏิรูป "จัดสรรที่ดิน"

มติชนออนไลน์

ในขณะที่รัฐบาลจุดกระแส "ปฏิรูปประเทศไทย"

ในขณะที่คณะกรรมการปฏิรูปที่มี "อานันท์ ปันยารชุน" เป็นประธาน จุดกระแส "ปฏิวัติระบบบริหารจัดการทรัพยากร" เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม

กลับปรากฏข่าว "ชนชั้นนำ-ชนชั้นปกครอง" เข้าครอบครองที่ดินโดยมิชอบ ไม่เว้นกระทั่งแกนนำคนสำคัญของ "รัฐบาลอภิสิทธิ์"

"นิธิ เอียวศรีวงศ์" กรรมการปฏิรูป เปิดฉากจาระไนปัญหาที่ดินและทรัพยากร ซึ่งยืดเยื้อ เรื้อรัง และเกี่ยวพันกับคนเป็นจำนวนมาก การแก้ไขปัญหาจึงไม่อาจสำเร็จได้ด้วยเงื้อมมือของคณะกรรมการรวม 20 ชีวิต แต่ต้องให้คนทั้งสังคมช่วยกันออกแรงผลัก

"ปัญหาทรัพยากรเป็นสิ่งที่กรรมการพูดกันมาก เราจะเริ่มจากประเด็นที่เป็นปัญหาร่วมของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นกลาง หรือชนชั้นล่าง เช่น การรวมศูนย์อำนาจมากเกินไปโดยที่คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลย ชนชั้นกลางเสียเงินทั้งชีวิตเพื่อจะซื้อที่ดิน 50 ตารางวา แล้วคิดว่าจะอยู่ที่นั่นจนตาย แต่อยู่ได้ไม่กี่ปี ก็มีคนมาสร้างคอนโดมิเนียมสูงมหึมาอยู่หลังบ้านคุณ ลมอะไรก็ไม่เข้า มีแต่ขี้ฝุ่นตลอดเวลา ดังนั้น สิทธิในการจัดการผังเมือง คนในท้องที่ต้องเข้ามามีส่วนกำหนดด้วย เรื่องอย่างนี้ถามว่าชนชั้นกลางเห็นด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าเห็นด้วย"

"นอกจากนี้ยังมีสิทธิในการกันที่ป่าที่เรียกว่า "เขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่า" หรืออะไรก็แล้วแต่ ชาวบ้านควรมีส่วนร่วมตัดสินว่ามันแค่ไหนถึงอนุรักษ์ได้ ผมว่าทั้งคนบ้านนอกและคนเมืองกรุงต่างเห็นพ้องต้องกันว่าเราต้องเผชิญ ต้องเข้าไปโจมตีปัญหาเรื่องการตัดสินใจที่รวมศูนย์"

นั่นคือยุทธวิธีในการแสวงหาแนวร่วมที่คณะกรรมการปฏิรูปจะงัดขึ้นมาใช้

"นิธิ" ย้ำว่าปัญหาในการจัดการทรัพยากรทั้งในเมืองและชนบท เกิดจากการ "รวมศูนย์ของรัฐ" โดยประชาชนไม่มีอำนาจในการต่อรอง หรือคัดค้านการตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรเลย

แสดงว่าการลงหลักปักฐานประชาธิปไตยของไทยต้องต่อสู้กับรัฐ ซึ่งใช้อำนาจแบบรวมศูนย์?

"แน่นอน คือประชาธิปไตยเนี่ย ถ้าดูรัฐธรรมนูญฝรั่งทุกฉบับเขียนขึ้นมาเพื่อจำกัดอำนาจรัฐ เพราะมันมีประวัติการต่อสู้กับรัฐมายาวนาน แต่ของเรา ต่อสู้แล้วไม่เคยชนะล่ะมั้ง จนกระทั่งลืมไปว่าตัวที่น่ากลัวที่สุดสำหรับชีวิตเราก็คือตัวรัฐเนี่ยแหละ ดังนั้น การปฏิรูปจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคุณสามารถทำลายฐานอำนาจของกลุ่มชนชั้นนำลงได้ วันนี้คนทั้งสังคมต้องช่วยกันโจมตีกลุ่มปัญหาที่มีร่วมกัน ถ้าสังคมรู้สึกว่ามันกระทบกระเทือนก็ต้องช่วยกันผลักดัน มันน่าประหลาดไหมที่คุณกรณ์ จาติกวณิช ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปุ๊บก็บอกว่าเราควรจะเปลี่ยนระบบภาษีโรงเรือนมาเป็นภาษีที่ดินทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้าง ปล่อยมาป่านนี้ยังไม่มีใครช่วยผลักดันเลย"

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ "ผู้ยึดกุมอำนาจ" และ "ผู้ครอบครองที่ดิน" เป็นคนกลุ่มเดียวกัน ทำให้คนเหล่านี้กลายเป็น "ตัวฉุด" มากกว่า "ตัวผลัก"

"ผมว่าไม่นะ แต่ปัญหาเป็นเพราะประชาชนไม่รู้สึกด้วย เพราะคุณไม่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจว่าปัญหาที่ดินเป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมือง"

แม้แต่กรรมการปฏิรูปบางคนก็เป็น "แลนด์ลอร์ด" ถ้าเช่นนั้นจะปฏิวัติระบบบริหารจัดการที่ดินได้จริงหรือ?

เขาโดดป้องเพื่อนร่วมวงทันควันว่า "การมองว่าเขาเป็นแลนด์ลอร์ดอย่างเดียว มันไม่ได้ ถ้าดูตัวอย่างแลนด์ลอร์ดจำนวนหนึ่งจะคิดว่าถ้ากูเปลี่ยนฐานทรัพย์ของกูไปเป็นอย่างอื่น กูจะรวยกว่าเก่า ถ้าพูดภาษาฝ่ายซ้าย นี่คือนายทุนก้าวหน้า เขารู้ว่าการกอดที่ดินเนี่ย มันไม่มีประโยชน์เท่าไร แต่ถ้าคุณเป็นคนผลักดันให้มีการปฏิรูปที่ดิน โดยเงินของคุณอยู่บนที่ดินต่อ เพราะที่ดินเป็นทรัพย์ที่เฮงซวยมาก จะเอาไปลงทุนอะไรไม่ได้สักอย่าง สู้ไปลงทุนทำโรงงานทอผ้า ไปลงทุนทำอย่างอื่น มันดีกว่าการเป็นตาแก่นั่งเฝ้าที่ดินอยู่"

"สิ่งที่เราจะทำมันไม่ถึงขั้นปฏิวัติเพื่อล้มล้างทรัพย์ทั้งหมด เพียงแต่ปรับเปลี่ยนทรัพย์ให้สอดคล้องกับสภาพของสังคมที่เปลี่ยนไป พอคุณไม่ยอมปรับตัว คุณก็ไม่ยอมให้มีการปรับเปลี่ยน"

"กรรมการปฏิรูป" ฟันธงในบรรทัดสุดท้ายว่ากลุ่มคนที่เป็นอุปสรรคในการปฏิรูปทรัพยากร หาได้เป็น "แลนด์ลอร์ด" ไม่ หากแต่เป็น "แลนด์ลอร์ดโง่ๆ ที่ไม่รู้จักปรับตัว" !!!

***********************************************************************