--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เทศมองไทย

การเมืองไม่นิ่ง...ก็ป่วยการจะเรียกร้องการลงทุนและการท่องเที่ยวกลับมาเมืองไทย รัฐบาลต้องกล้ารับความเป็นจริง..เป็นอันดับแรก..ว่า..เรื่องการเมืองของประเทศไทยเวลานี้..น่ากลัวกว่าวันเวลานี้ของปีก่อน..ในเวลาที่ดูเหมือนว่าไม่มีอะไรอย่างในเวลานี้นั้น..ในความเป็นจริงแล้ว..มันอึมครึมและน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าในระหว่างที่ฝ่ายเสื้อแดงชุมนุมกันที่ถนนราชดำเนินและราชประสงค์เสียอีก การเมืองไทยหลังการตายและไฟท่วมเมือง..ยังไม่มีแนวโน้มที่แสดงให้เห็นว่า..ความเป็นปรกติกำลังจะกลับมา..ตรงกันข้าม อาการกอดแน่น

อยู่กับกฏหมายฉุกเฉิน..เป็นการบอกว่า..ประเทศยังอยู่ในวิกฤติและรัฐบาลปราศจาคความมั่นใจ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤษภาคมเป็นต้นมา..ดูเหมือนว่า ภาคเหนือและภาคอิสาน..เป็นเหมือนกับต่างประเทศของประดารัฐมนตรีทั้งหลาย..และยิ่งกลายเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับรัฐมนตรีประชาธิปัตย์..เรื่องราวและข้อสังเกตุต่างๆเหล่านี้..

เป็นข้อมูลที่ ท่านฑูตทั้งหลายจะต้องหาข่าวและส่งเข้าไปสู่การรับรู้ของผู้คนพลเมืองของเขา และเป็นที่มาของการตักเตือนไม่ให้ประชาชนของเขาเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย...ตราบเท่าที่คำห้ามเหล่านั้นยังดำรงอยู่..ตราบเท่าที่แค่มาเที่ยวเขายังห้ามไม่ให้คนของเขามา...การเข้ามาลงทุนซึ่งสำคัญมากกว่า..

จะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร..ป่วยการที่จะเบิกงบประมาณไปชวนเขามาเที่ยวมาลงทุนในประเทศไทย..ตราบเท่าที่เราคนไทยยังทำให้ประเทศกลับไปเหมือนเก่าไม่ได้..ตราบเท่าที่พวกเราคนไทย..ยังจ้องจะโค่นล้มซึ่งกันและกัน ตราบเท่าที่เราคนไทย..ยังกล่าวหาด่ากันว่า ไอ้โจรก่อการร้าย ไอ้ฆาตกร..เก็บงบประมาณ

ประหยัดเงินกันไว้ก่อนดีกว่า..ถ้าสมานฉันท์กันไม่ได้..ไม่ขยายคุกก็ต้องเพิ่มเนื้อที่ให้กับป่าช้า..รอการเข่นฆ่ากันครั้งใหม่..ไม่ต้องสวัสดีกันแล้วคนไทยในประเทศไทย..เพราะรู้กันแทบจะหมดแล้วว่า ใครไทยเหลือง ใครไทยแดงไม่ต้องร้องเพลงชาติกันแล้วประชาชนคนไทย..เพราะเราไม่รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อกันแล้ว..

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ทีมา.บางกอกทูเดย์

คุยกับ ‘นิธิ เอียวศรีวงศ์’ ในวัน ‘เสื้อแดง’ พ่าย

โดย Niwat Puttaprasart ให้ความเห็น

สัมภาษณ์โดย หลายคนช่วยกันถาม
หลังเหตุการณ์ 19 พฤษภาคม 2553 คนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอให้อาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงศ์ มาวิเคราะห์ ประเมินสถานการณ์การเมืองไทยให้ฟัง (3 มิถุนายน 2553) ซึ่งบรรยากาศดำเนินไปอย่างสบายๆ เป็นกันเอง และนี่คือถ้อยคำสนทนาในวันนั้น…โปรดล้อมวงกันเข้ามา
-----------------
กลุ่มชนชั้นนำทั้งหมดได้ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายนี้แล้ว
ไพ่ใบนี้คือ พรรคประชาธิปัตย์
พวกเขาทิ้งไพ่ใบนี้ลงมาเพื่อจะรักษาทุกอย่างเอาไว้

เป็นไปได้ไหมว่าจะมีการเลือกตั้งแบบเดิม แบบรัฐธรรมนูญปี 40 (คำถามนี้เริ่มขึ้นเนื่องจากรัฐบาลเพิ่งผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจมาหมาดๆ)
นิธิ : แบบนั้นมันต้องแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่ง่ายนะ ยกเว้นแต่ว่าคุณยึดอำนาจ

แล้วการยึดอำนาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นไหม
นิธิ : ผมก็ไม่แน่ใจนะ คือตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์เป็นไพ่ใบสุดท้ายแล้วของชนชั้นนำ เอาอย่างนี้ ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งไปมองว่าประชาธิปัตย์สู้กับใคร แต่มองว่ามันเป็นเรื่องของกลุ่มชนชั้นนำ ซับซ้อนหลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งทุน ทั้งสื่อ ทั้งอะไรก็แล้วแต่ กำลังพยายามที่จะกีดกันไม่ให้กลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งมีจิตสำนึกทางการเมืองไม่ให้มามีส่วนร่วมทางการเมือง ถ้ามองในเรื่องนี้ คือ กลุ่มชนชั้นนำทั้งหมดได้ทิ้งไพ่ใบสุดท้ายนี้แล้ว ไพ่ใบนี้คือพรรคประชาธิปัตย์

พวกเขาทิ้งไพ่ใบนี้ลงมาเพื่อจะรักษาทุกอย่างเอาไว้ ทีนี้เมื่อมีการชุมนุม มีการฆ่ากันตายแล้วนี่ ถามว่าถ้าไพ่ใบนี้ใช้ไม่ได้ ถูกกิน หรืออะไรก็แล้วแต่ ยังมีไพ่อื่นๆ อะไรอีก ผมว่าไม่มีอีกแล้วนะ เมื่อไม่มีแล้ว ดังนั้น มันก็จะเหลืออีกแค่วิธีเดียว คือการล้มกระดานนี้ ยึดอำนาจ

ตอนนี้มีโอกาสไหม
นิธิ : ไม่ใช่ ไม่ใช่ตอนนี้ ผมหมายถึงว่า ถ้าไพ่ใบนี้มันใช้ไม่ได้ไง ถ้าไพ่ใบนี้มันใช้ไม่ได้แล้วคุณจะเหลืออะไรล่ะ มันก็เหลือสองทางเท่านั้น ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม นั่นก็คือปล่อยให้มีการเลือกตั้ง หรือสอง เลิก ไม่เอา เริ่มต้นกันใหม่ด้วยการล้มกระดานเสีย ทีนี้ถ้าล้มกระดาน ถามว่าจะเอาใครขึ้นมาเป็นรัฐบาล ผมว่าในหมู่ชนชั้นนำในเวลานี้แทบไม่เหลือใครที่พอจะมาเป็นรัฐบาลแล้วให้เกิดการยอมรับโดยสงบ โอเค อาจให้เวลา 6 เดือนหรือปีหนึ่ง ซึ่งผมเห็นอยู่สองคน คนหนึ่งอายุเกิน 90 แล้ว คือ คุณเปรม ติณสูลานนท์ อีกคนก็คือคุณอานันท์ ปันยารชุน (78ปี) คุณอานันท์อาจมีภาษีดีกว่าคุณเปรม เพราะคุณเปรมเป็นศัตรูคู่อาฆาตของฝ่ายเสื้อแดง แต่ถ้าคุณอานันท์มา คุณต้องลืมเรื่องคุณอานันท์ไปงานศพเสื้อเหลือง (หมวดจ๊าบ) ไปก่อน (คนฟังหัวเราะ)

สมมติให้เราลืมไปก่อน ถ้าคุณอานันท์ขึ้นมาเป็นเพื่อทำให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย เป็นปกติ ถามว่า 6 เดือนมันจะพอไหมที่จะทำให้ประชาชนซึ่งไม่พอใจระบบทั้งระบบ ไม่ใช่ไม่พอใจแค่พรรคการเมือง เปลี่ยนใจ ผมว่าไม่พอ

เมื่อไม่พอ เอ้า ปีหนึ่งพอไหม ปีหนึ่งก็ไม่พออีก สองปีล่ะพอไหม สองปีอาจจะพอ แต่ถ้าคุณอานันท์ประกาศสองปีปั๊บ จะมีคนออกมาต่อต้านคุณอานันท์มากมายไปหมด ดังนั้น ผมดูแล้ว มันไม่เหลือไพ่อะไรอีกสักเท่าไหร่แล้วในเวลานี้ เพราะการที่คุณเลือกวิธีฆ่าคน มันเป็นไพ่ใบหนึ่งที่คุณไม่ควรทิ้ง แต่คุณก็ทิ้งไปแล้ว

มันไม่มีการรับผิดชอบทางการเมืองเลยหรือ
นิธิ : มันรับผิดชอบไม่ได้ไง วิธีรับผิดชอบที่ง่ายที่สุด ซึ่งทำไมไม่รีบทำเสียก็ไม่ทราบ ก็คือการลาออก แล้วเอาคนอื่นมาแทน อย่างน้อยก็ยังบรรเทาแรงกดดันได้บ้าง แต่ทีนี้คนอื่นจะเอาใคร จะเอาคุณกรณ์ อะไรอย่างนี้ก็ไม่ได้ คนที่อยู่ใน ครม. ปัจจุบันขณะนี้ไม่ได้อยู่แล้ว มีค่าเท่ากัน คือถ้าออกไม่ออก มีค่าเท่ากัน ถ้าออก คนนอกก็คือ คุณชวน เท่านั้น

คุณชวนก็ยังเป็นประชาธิปัตย์อยู่ดี
นิธิ : แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนใน ครม. จริงไหม คุณเอาคนซึ่งอยู่ใน ครม.ซึ่งมีส่วนร่วมในการตัดสินใจใช้กำลังปราบปรามไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เปลี่ยน ปัญหาที่ตามมาก็คือ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ คุณก็ไม่เลิก เมื่อไม่เลิก คุณจะทนแรงบีบทั้งจากในประเทศและนอกประเทศไหวไหม

คือการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงครั้งนี้ต่อให้มันจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนยังไงก็แล้วแต่ แต่มันไม่เคยมีในเมืองไทยเลยที่คนซึ่งเคยถูกกีดกันออกไปจากวงการเมืองตลอดมา บัดนี้กลับเข้ามา อาจจะเข้ามาเพราะทักษิณ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าคนเหล่านี้กลับมานี่ เขาจะเรียกร้องสิ่งที่ (หยุดนิดหนึ่ง) มันไม่ใช่แค่ทักษิณหรอก แต่เขาจะเรียกร้องในสิ่งที่ผมคิดว่า มันจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของกลุ่มคนชนชั้นนำเยอะแยะไปหมดเลย เช่น เรียกร้องในการปฏิรูปที่ดิน ยุ่งล่ะสิทีนี้

เรื่องนี้คุณกรณ์ก็เคยเสนอ
นิธิ : เสนอแต่เงียบหายไป การที่เงียบหายไปก็แสดงว่า คุณกรณ์ไม่ได้มีเจตนาจริงที่จะผ่านกฎหมายไปให้ได้ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะทุกคนก็รู้กันอยู่ว่า ถ้าคุณอยากจะปฏิรูปที่ดินด้วยการเปลี่ยนระบบภาษี มันก็ต้องมีแรงคัดค้านสูงมาก วิธีการก็คือ คุณโยนเรื่องนี้ลงไปในสังคมก่อน เพื่อสร้างพันธมิตรก่อน ให้คนที่มาค้านค้านยากขึ้น มันผ่าน ครม.ไปแล้วนะ ไอ้ตัวร่าง พ.ร.บ. ตัวนี้ แต่มันเงียบหายไปเลย ใครได้อ่านบ้าง ไม่มีใครได้อ่านเลย เงียบหายไปเลย ไอ้นี่เป็นยุทธวิธีง่ายๆ ธรรมดาที่ทุกคนทำกัน คือ โยนลงมาหาพวกก่อน นั่นก็แสดงว่า คุณไม่ได้คิดที่จะให้มันผ่าน

ตอนนี้แกนนำเสื้อแดงโดนไล่ล่า
นิธิ : มันไล่ล่าได้ใน พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ไง เพราะตำรวจใช้อำนาจไปเที่ยวจับๆ เขา แต่ทันทีที่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นะคุณ ตายห่าละ ไม่ต้องพูดเรื่องไอ้อะไรอีกหลายๆ เรื่องที่จะโผล่ขึ้นมา รวมถึงเรื่องการเคลื่อนไหวที่มีการชุมนุมเกินห้าคน แล้วก็ออกมาชี้ข้อผิดพลาดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในกรณีการปราบ

การทำสงครามกองโจรในเมือง
หนึ่ง ต้องมีการจัดตั้ง
สอง มันต้องการความรู้
ซึ่งประสบการณ์แบบนี้ของสังคมไทยเรา
ยังมีไม่พอ ที่หวังกันว่า
จะมีการทำสงครามใต้ดินต่างๆ นี่
ผมว่ายาก

การปราบที่ผ่านมาจะนำไปสู่การสะสมอาวุธมากขึ้นไหม เสื้อแดงจะเปลี่ยนยุทธวิธีการต่อสู้ด้วยความรุนแรงไหม
นิธิ : ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่ คืออาจจะมีคนเที่ยวยิงโน่น ระเบิดนี่ แต่การทำสงครามกองโจรในเมือง ผมอยากจะบอกว่า มันต้องมีการจัดตั้ง อย่างกรณีภาคใต้สามจังหวัด จะว่าไม่มีการจัดตั้งคงไม่ได้ ถ้าเขาสามารถนัดหมายกันได้ว่า ระเบิดที่ยะลา ปัตตานี นราธิวาส พร้อมกันได้ มันต้องมีการจัดตั้งแน่ๆ ซึ่งอาจจะเป็นการจัดตั้งอย่างหลวมๆ ยังไงก็แล้วแต่

อันที่สองก็คือ มันต้องการความรู้ ความรู้ที่สังคมไทยมีอยู่คือการต่อสู้ในป่า สงครามกองโจรแบบที่คุณต้องมีเขตปลดปล่อยเพื่อจะตั้งฐานทัพได้ เมื่อคุณต่อสู้แล้วคุณก็กลับไปที่ตั้งฐานทัพ แต่การทำสงครามกองโจรในเมืองมันแตกต่าง เพราะคุณไม่ต้องมีเขตปลดปล่อย คุณไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น เหมือนการทำสงครามกองโจรแบบพวกปาเลสไตน์ทำกับอิสราเอล หรือพวกไอริชเคยทำกับพวกอังกฤษ ซึ่งผมว่าประสบการณ์แบบนี้ของสังคมไทยเรายังมีไม่พอ ถึงมีจะมีคนคิดจัดตั้ง การจัดตั้งก็ยังมีไม่พอที่จะทำงานแล้วได้ผลจริงๆ ไอ้ที่ทำอยู่ในเวลานี้มันสะเปะสะปะ เช่น เผาโรงเรียนในเวลานี้ ผมคิดว่าเผาทำห่าอะไรวะ (ฮาครืน) เสียศักดิ์ศรีเปล่าๆ

มีเผาตลาดวโรรสด้วย
นิธิ : ใช่ อย่างเผาตลาดวโรรสนี่ คุณก็ต้องระวัง คนทำมาค้าขายเขาเดือดร้อนไปด้วย คือวิธีเลือกเป้าต่างๆ ที่เห็นในเวลานี้ มันทำให้ผมคิดว่าเขายังมีประสบการณ์ไม่พอ

คิดไหมว่ามันจะเป็นการสร้างสถานการณ์เพื่อให้ภาพของคนเสื้อแดงที่แม้จะกลับบ้านไปแล้ว ยังเลวร้ายอยู่
นิธิ : หมายความว่า รัฐบาลทำอย่างนั้นหรือ อันนี้ผมไม่รู้ แต่ที่หวังกันว่า มันจะมีการทำสงครามใต้ดินต่างๆ นี่ ผมว่ายาก

แนวทางของรัฐบาลต่อจากนี้ไป เขาจะทำอย่างไร
นิธิ : ตอนนี้รัฐบาลรู้แล้วนะว่า เขามีฐานทางการเมืองที่สำคัญของเขา คือชนชั้นกลางในระดับกลางขึ้นไป (หมายเหตุ : ชนชั้นกลางในทัศนะของอาจารย์มีสามระดับ คือ ชนชั้นกลางระดับล่าง ชนชั้นกลางระดับกลาง ชนชั้นกลางระดับสูง) ดังนั้น เขาจะทำทุกอย่างเพื่อให้คนชั้นกลางรับได้ เช่นว่า เขาทำแผนปรองดอง ส่วนหนึ่งของมันก็ต้องมีผักชีโรยหน้าให้เห็น เป็นต้นว่า ตอนนี้รัฐบาลเริ่มจะบอกว่า กลุ่มคนที่มาชุมนุมประท้วงและเสียชีวิต ตอนนี้รัฐบาลก็เข้าไปจ่ายเงินชดเชยต่างๆ แล้ว คนชั้นกลางก็ เออ ช่วยเหลือแล้วไง รู้สึกดี รับได้

ทำไมกลุ่มนี้จะต้องเกี่ยงงอน
ในเรื่องคุณสุเทพมอบตัว
หลายคนมองว่า
ถ้ายอมรับกันเสียตั้งแต่วันนั้น
ก็จะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกันอีกครั้งหนึ่ง
แต่คำถามก็คือ
ไอ้คนที่ตายไปตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนล่ะ
จะทำอย่างไร
และผมคิดว่า
มันเป็นครั้งแรก ที่การเคลื่อนไหวของเรา
มองเห็นคุณค่าชีวิตคนที่เสียไปในการต่อสู้

พลังของชนชั้นกลางจะยังชนะไหมในอนาคต
นิธิ : ผมว่ายังชนะนะ แต่แพ้ในการเลือกตั้งไง เพราะฉะนั้น เขาถึงยอมให้มีการเลือกตั้งไม่ได้ไงล่ะ ชนะในที่นี้คือคุณสามารถกุมสื่อได้

ถ้าอย่างนั้น เดิมที่ประกาศมาว่า จะเลือกตั้งวันที่ 14 พฤศจิกายน แปลว่า เขาไม่ได้คิดจะเลือกตั้งจริงๆ
นิธิ : ผมว่าไม่นะ

แต่ในแง่สื่อทั่วไปจะมองว่า นปช. ทำไมไม่ยอมรับ ในเมื่อเขาประกาศแล้วจะให้เลือกตั้ง เลยกลายเป็นว่า นปช. ได้คืบจะเอาศอก ไม่ยอมปรองดอง
นิธิ : ผมเองสองจิตสองใจนะในสถานการณ์ตอนนั้น คือ ทำไมกลุ่มนี้จะต้องเกี่ยงงอนในเรื่องคุณสุเทพไปมอบตัว หลายคนมองว่า ถ้ายอมรับกันเสียตั้งแต่วันนั้นก็จะไม่ต้องเสียเลือดเนื้อกันอีกครั้งหนึ่ง แต่คำถามก็คือ ไอ้คนที่ตายไปตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนล่ะ จะทำอย่างไร และผมคิดว่ามันเป็นครั้งแรกนะ ที่การเคลื่อนไหวของเรา มองเห็นคุณค่าชีวิตคนที่เสียไปในการต่อสู้

คุณจำลอง ศรีเมือง นี่ในสมัยพฤษภาทมิฬ (2535) หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรียกคุณจำลองและคุณสุจินดา คราประยูร เข้าเฝ้า และคุณสุจินดาออกไป ทุกอย่างก็จบ ถามว่าคนที่ตายล่ะ ได้อะไรบ้าง ไม่ได้เลย ได้การเลือกตั้งครั้งใหม่ คุณจำลองก็ลงเลือกตั้ง แล้วไอ้คนที่ตายไป 30 กว่าศพบนถนนราชดำเนินวันนั้น ถามว่าคุณค่าชีวิตเขาอยู่ที่ไหน เขาคือเหยื่อที่ให้คุณไปเลือกตั้งเท่านั้นหรือ ไม่มีใครทวงชีวิตเขา ไม่มีใครทวงการกระทำนั้นกลับคืนมา ทุกครั้งมันจะเป็นอย่างนี้ทุกที

แต่ครั้งนี้ ผมว่ามันเป็นครั้งแรกนะที่ผู้นำบอกว่าไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบกับ 20 ชีวิตนั้นก่อน วันที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ คุณจตุพร (จตุพร พรหมพันธุ์) พูดในสภานั้นมีประเด็นนะ เขาบอกว่า เขาเป็นผู้แทน เมื่อมีการเลือกตั้งอย่างไรก็เป็นประโยชน์กับเขา รู้ว่าถ้าเลือกตั้งยังไงเขาก็ได้แน่ๆ จริงๆ จะหยุดตั้งแต่วันนั้นก็ได้ แต่ทีนี้ไอ้คนที่ตายไปล่ะ

นี่เป็นครั้งแรกที่การเคลื่อนไหวทางการเมืองคำนึงถึงคุณค่าชีวิตของคนมาร่วมชุมนุมแล้วก็ตายไป เป็นการชุมนุมที่คิดถึงชีวิตคนที่ตายไป ไม่ใช่ให้เขาตายกลายเป็นเหยื่อแล้วคุณได้ผลดีในการเลือกตั้งก็แล้วกันไป ดังนั้น ผมไม่แน่ใจนะว่า การที่เขาไม่ยอมหยุด มันผิดแน่เหรอ

ผมไม่เชื่อว่ามีเรื่องของกองกำลัง
เพราะว่าถ้ามันมีมากอย่างคุณสุเทพบอกว่า
มีตั้งห้าร้อยคน
ทำไมคุณถึงจับไม่ได้เลยแม้สักคนเดียว

กรณีวันที่ 10 เมษายน มีกองกำลังที่เราไม่รู้ว่าเป็นฝ่ายไหน อยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย
นิธิ : คือถ้ากองกำลังนั้นมีจริงนะ คำถามก็คือ รัฐบาลรู้ไหมว่า มันอาจจะถูกแทรกแซงโดยคนที่ไม่เกี่ยวกับกลุ่มเสื้อแดง แต่อาจไม่ถูกกับรัฐบาล อย่าลืมว่าก่อนหน้านั้นมันมีคนเอาเอ็ม 79 ไล่ยิงที่นั่นที่นี่ตลอดมา แสดงว่ามันมีกองกำลังนั้นอยู่แล้ว คุณไม่คิดหรือว่า ไอ้นี่มันอาจแทรกแซง และทำให้เกิดปัญหานั้นได้ แล้วคุณไปใช้กำลังหรือวิธีการขอคืนพื้นที่ทำไม

คำถามคือ มันมีกองกำลังจริงไหม
นิธิ : ไม่ใช่ๆ เขาบอกว่ามีคนแต่งชุดดำที่ถือปืนเอ็ม… เอ็มอะไรเนี่ย ปะปนอยู่ และเอาภาพถ่ายมาให้ดู คำถามก็คือ เอ้า ในเมื่อมันมีภาพคนเหล่านี้อยู่ และคุณก็บอกว่าพวกนี้คือกองกำลังติดอาวุธ ซึ่งมีกี่คนก็ไม่รู้ แต่คุณมาบอกว่า คนเหล่านี้แหละที่ยิงทั้งทหารและยิงผู้ชุมนุม

สมมติว่าจริงก็ได้ ซึ่งผมไม่เชื่อเลยนะ (หัวเราะ) แต่ เอ้า สมมติว่าจริง ถามว่าคุณเป็นรัฐบาลนี่ คุณคาดสิ่งเหล่านี้ได้ก่อนไหม ผมว่าน่าจะคาดได้ เพราะก่อนหน้าที่จะมีการชุมนุม มันมีการระเบิด ยิงตามโน่นนี่ตลอดเวลา คุณก็น่าจะรู้ว่า มันมีใครสักคนที่ใช้ยุทธวิธีรุนแรงแบบนี้ แล้วคุณยังใช้วิธีการรุนแรงแบบนี้ทำไม

ทำไมอาจารย์ไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องของกองกำลัง
นิธิ : ผมไม่เชื่อ เพราะว่าถ้ามันมีมากอย่างคุณสุเทพบอกว่า มีตั้งห้าร้อยคน ทำไมคุณถึงจับไม่ได้เลยแม้สักคนเดียว (ฮาครืน) มันเป็นไปได้ยังไง คนเดียวก็จับไม่ได้

(แสดงความเห็น):คลิปวิดีโอหรือภาพถ่ายก็มีแบบเดิมๆ ตั้งแต่สมัยวันที่ 10 เมษา คลิปเหล่านี้เอามาออกทีวี ออกแล้วออกอีกว่า มีชายชุดดำหน้าเดิมๆ เห็นเป็นสิบรอบแล้ว ยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมไม่ไปจับเล่า

(แสดงความเห็น) : มีผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นถามอภิสิทธิ์ว่า ผู้ก่อการร้ายห้าร้อยคนอยู่ไหน

(แสดงความเห็น) : แสดงว่าการข่าวของรัฐล้มเหลวเลยนะนี่

นิธิ : แล้วมันมีกรณีอย่างนี้ด้วยนะ คุณสุเทพบอกว่า ไอ้พวกเสื้อแดงนี่มันจับไว้เอง แล้วก็จับส่งให้ตำรวจ แล้วคนคนนั้น นายสุเทพบอกว่ามีภาพใบหน้าชัดเจน แต่ตำรวจปล่อยไปแล้ว แต่เชื่อว่า จะตามหาเขาได้ (ในวงคุยหัวเราะ ฮากันตรึม)

อะไรนี่! อะไร แต่เชื่อว่าจะตามหาเขาได้ อะไรนี่ (ฮา) งง

แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงนะ ไอ้คนที่จับได้ก็ไม่ใช่ตำรวจหรือทหารจับด้วยนะ แต่ไอ้พวกเสื้อแดงเป็นคนจับเอง เออ แล้วก็ส่งให้ตำรวจ (หัวเราะ ขำกันใหญ่)

แต่มันกลับกลายเป็นว่า เอากองกำลังมาอ้าง เพื่อที่รัฐบาลจะได้ปราบโดยไม่ผิด
นิธิ : ใช่ไง กลายเป็นอย่างนั้น ทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกว่า มีจริงหรือไม่มีจริง แต่เอ้า ถ้ามีจริง คุณก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะมี แล้วคุณใช้วิธีนี้ทำไม

มันน่าสงสัยเหมือนกันนะว่า การที่มีคนติดอาวุธปนอยู่นั้น มันเป็นยุทธวิธีของรัฐเพื่อจะให้มีความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรงกับผุ้ชุมนุม
นิธิ : คนเสื้อแดงเขาก็ว่าอย่างนั้น แต่ผมว่า เราปฏิเสธไม่ได้ว่าคนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งก็มีอาวุธ เช่น กลุ่มของเสธ.แดง แต่ขณะเดียวกัน ผมก็เห็นใจเขานะ คือ เสธ.แดงมันใช้วิธีรุนแรง ก็เพราะชีวิตนี้ทั้งชีวิตเขารู้จักวิธีนี้วิธีเดียว มันก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกหลายเรื่องด้วยกัน

ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ
ซึ่งรัฐเป็นผู้ผูกขาดความรุนแรง
ผมยังมองไม่เห็นว่า
คุณจะสู้ด้วยวิธีการใช้อาวุธได้ยังไง
อย่างน้อย ถ้าคุณไม่เชื่อในเรื่องสันติวิธี
คุณก็ต้องเชื่อสันติวิธีในแง่ยุทธวิธี

การต่อสู้ที่ผ่านมา ผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธก็ยังโดนฆ่า ทีนี้เป็นไปได้ไหมว่า ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมามันกลายเป็นบทเรียนให้พวกเขารู้จักป้องกันตัวด้วยการใช้อาวุธ
นิธิ : ในการต่อสู้กับอำนาจรัฐซึ่งรัฐเป็นผู้ผูกขาดความรุนแรง ผมยังมองไม่เห็นว่า คุณจะสู้ด้วยวิธีการใช้อาวุธได้ยังไง อย่างน้อย ถ้าคุณไม่เชื่อในเรื่องสันติวิธี คุณก็ต้องเชื่อสันติวิธีในแง่ยุทธวิธี คุณต้องเชื่อในแง่ของปรัชญา ว่ามันเป็นยุทธวิธี

แต่ชาวบ้านบางคนบอกว่า เขาจะต่อสู้แบบชาวบ้าน แรงมาแรงไป ตาต่อตาฟันต่อฟัน
นิธิ : แล้วคุณจะชนะเขาไหมล่ะ ยังไงคุณก็สู้รัฐไม่ไหว

มีบางคนบอกว่า การที่รัฐเปิดเจรจาสองครั้งที่ผ่านมานั้น มันแค่ต้องการลดแรงเสียดทานกระแสสังคมเท่านั้น รัฐไม่มีทางอยากปรองดองหรืออยากเปิดเจรจาจริงๆ เขาจึงเชื่อว่า การเจรจาต่อรองจะเกิดขึ้นได้ คือ ต้องต่อสู้จนทำให้ทหารหรือรัฐเกิดความสูญเสียถึงจะเจรจาได้ คือมีอำนาจต่อรอง
นิธิ : ผมไม่เชื่อ ถ้าคุณเลือกความรุนแรง คุณสู้รัฐไม่ได้

สันติวิธีเป็นสากลมากกว่า
นิธิ : ใช่ครับ มันเป็นสากลทั่วโลก ไม่ใช่แค่เมืองไทย คือถ้าคุณไม่เชื่อสันติวิธี ก็มองว่ามันเป็นยุทธวิธี หลายประเทศเขาก็ไม่ได้เชื่อในอุดมการณ์สันติวิธีจริงๆ หรอก เขาก็ทำมันเป็นแค่ยุทธวิธี ถ้าคุณเชื่อในสันติวิธีจริงๆ คุณต้องพร้อมที่จะให้เขาทำร้ายคุณ ซึ่งมันมีวิธีการในสันติวิธีที่จะทำให้เขาทำร้ายคุณได้น้อยลง

เช่น คุณนั่งลงเลย นั่งอยู่เฉยๆ ไม่กระดุกกระดิก เหมือนอย่างตอนที่ผู้นำเสื้อแดงประกาศมอบตัว เสื้อแดงมันแตกกันหมด แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งอายุ 50 นั่งถือธงอยู่ (ผุสดี งามขำ) เธอบอกจะอยู่เป็นคนสุดท้าย เธอบอกจะรอให้เขามายิง

คือถ้าคุณเชื่อในสันติวิธีจริงๆ หรือเชื่อว่ามันคือยุทธวิธีจริงๆ คุณต้องฝึก ฝึกหนักยิ่งกว่าการรบด้วยซ้ำ แล้วมันมีเทคนิคต่างๆ ร้อยแปด เช่น เมื่อมีทหารหรือตำรวจเข้ามาประชิดตัวคุณปั๊บ คุณอย่าหลบตา ให้จ้องตาเขา เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหลบตา คนที่เผชิญหน้ากับคุณ เขาจะรู้สึกว่าคุณน่ากลัวขึ้นมาทันที แต่ถ้าคุณจ้องตา คนที่เขาจะเข้ามาตีคุณ เขาจะมองเห็นว่า คุณไม่มีอาวุธ คุณพร้อมจะเผชิญหน้าเขา เขาจะเห็นคุณเป็นศัตรูน้อยลง ไม่ได้หมายความว่า มันจะไม่มีการเจ็บนะ แต่จะเจ็บน้อยกว่านี้ ซึ่งทั้งหมดนี้คุณต้องฝึกฝน

ในการต่อสู้ทางสันติวิธี คุณต้องปลดความกลัวของอีกฝ่าย ไม่ใช่การปลดอาวุธเขานะ แต่ปลดความกลัวของเขาให้ได้ ไอ้ทหารที่มันจะเข้ามาหาเรานี่ มันไม่ใช่ไม่กลัวเรานะ เขาก็กลัวเรา แต่ถ้าคุณไม่กลัว และปลดความกลัวของเขาซะ เขาจะไม่ทำร้ายคุณ หรือทำร้ายคุณน้อยลง หลักการของสันติวิธีเป็นอย่างนี้ ซึ่งคุณจะต้องฝึกฝน

อย่าง… คานธีเคยบอกกับเนรูห์ (ผู้นำอินเดีย) ว่า ถ้าตำรวจเอากระบองตี ห้ามยกมือขึ้นรับนะ เพราะถ้าคุณกระดุกกระดิกปั๊บ คุณน่ากลัวละ เขาจะคิดว่าคุณจะทำร้ายอะไรเขาก็ได้ ดังนั้น คุณต้องยืนเฉยๆ ปล่อยให้เขาตี เนรูห์บอก ‘กูรับแทบไม่ไหวเลยแบบนี้’ (หัวเราะ)

สันติวิธีจริงๆ มันต้องฝึกมาก (เน้นเสียง)

อย่างการต่อสู้ของเสื้อแดง ถ้าคุณนั่งเฉยๆ แล้วเขาจะเอาคุณเข้าคุก คุณก็ปล่อยเขามาลากตัวเอาไปเลย แต่ไม่ต้องไปเดินกับเขา นั่งเฉยๆ นี่แหละ ปล่อยเขาฉุดกระชากลากถูไปเพื่อเอาไปใส่ล็อบที่ตำรวจเอามาเนี่ย ลากเอาไปเลย จะร้องวี้ดว้ายก็ได้ ร้องไปเลย คุณคิดดู เมื่อภาพอันนี้ลงหนังสือพิมพ์ทั้งโลก แล้วใครจะชนะ

แต่ดูแนวทางตอนนี้ เสื้อแดงจะไม่เอาสันติวิธีแล้ว
นิธิ : ผมก็เกรงว่าจะอย่างนั้น

มันจะน่าเศร้าตรงที่
ความเจ็บแค้นนี้จะทำให้เขา
ต้องเลือกนักการเมืองกะเฬวกะลาก
มันต้องเลือก
เพราะมันไม่รู้จะเลือกใคร

โดยภาพรวมแล้ว ตอนนี้เขาเหนียวแน่นหรือว่ากระจัดกระจาย
นิธิ : ผมว่ากระจัดกระจายนะ คือแต่ก่อน องค์กรที่เคยมีอยู่มันก็มีอยู่อย่างหลวมๆ อยู่แล้ว เคยมีเสธ.แดง ตอนนี้ก็ถูกทำลายลงแล้ว แล้วแกนกลางในชุมชนต่างๆ ตอนนี้ต้องหนีบ้าง ถูกจับบ้าง ปฏิบัติการอะไรไม่ได้บ้าง เพราะต้องสงบนิ่งช่วงหนึ่ง ฉะนั้น ช่วงนี้จะเหลือแต่อันธพาลแท้ ซึ่งแยะมาก เพราะไม่มีประวัติศาสตร์ครั้งไหนที่คนจะเข้าร่วมชุมนุมเยอะอย่างนี้ มันจะมีแต่ความเจ็บแค้นเต็มไปหมด

ถ้ามองอนาคตไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น
นิธิ : อันที่หนึ่งก็คือว่า ตราบเท่าที่ยังเป็นอย่างนี้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขความรู้สึกของคนในเรื่องนี้ได้ คุณเลือกตั้งไม่ได้ คุณเลือกเมื่อไหร่คุณก็แพ้ และมันจะน่าเศร้าตรงที่ความเจ็บแค้นนี้จะทำให้เขาต้องเลือกนักการเมืองกะเฬวกะลาก มันต้องเลือก เพราะมันไม่รู้จะเลือกใคร มันจะมีคนเลวๆ ที่มาเก็บเกี่ยวความแค้นไปใช้ประโยชน์เยอะมาก ซึ่งก็ช่วยไม่ได้นะ คล้ายๆ กับการเดินเลยขั้นที่ว่า เราจะสามารถนำประเทศไปสู่ความเปลี่ยนแปลงโดยสงบไปแล้ว

อย่างน้อยเราก็คงต้องผ่านช่วงเวลาหนึ่งซึ่งจะมีนักการเมืองเลวๆ เหล่านี้อยู่

มันไม่มีภาคใดที่จะเป็นรัฐที่ดำรงอยู่ได้
ในความเป็นจริง
อย่างภาคเหนือ ภาคอีสานนี่ไม่มีทะเลเลย
แล้วคุณจะส่งของออกนอกประเทศได้ยังไง

แล้วการปฏิเสธระดับพื้นที่จะเป็นไปได้ไหม อย่างบางคนบอกว่า จะแยกประเทศ
นิธิ : แม่ค้าในตลาดพูดกันเยอะแยะ แต่ผมจะบอกอย่างนี้นะ มันไม่มีภาคใดที่จะเป็นรัฐที่ดำรงอยู่ได้ในความเป็นจริง อย่างภาคเหนือ ภาคอีสานนี่ไม่มีทะเลเลย แล้วคุณจะส่งของออกนอกประเทศได้ยังไงวะ (หัวเราะ ฮากันตรึม)

(แสดงความเห็น) : ส่งไปทางแม่น้ำโขง (หัวเราะ)

(แสดงความเห็น) : แต่หลังวันที่ 19 พฤษภาคม มานี่ มันทำให้คิดอย่างนี้จริงๆ นะ เพราะเปิดทีวีมา รู้สึกเลยว่าประเทศไทย คือ ประเทศกรุงเทพฯ อยากจะคืนบัตรประชาชนคนไทยไปเลย

(แสดงความเห็น) : เห็นแต่ข่าวไฟไหม้ เยียวยาผู้ประกอบการ แต่คนตาย คนกลับบ้านนอก มองไม่เห็นเลยว่าพวกเขาอยู่ตรงไหนของประเทศไทย

นิธิ : ก็ใช่ ผมเห็นด้วยหมด แต่การแยกประเทศมันเป็นไปไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจการเมืองเราไปไกลแล้ว แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เขาว้าวุ่น เขาก็เลย… เอ้า อะไรก็ได้ แยกประเทศ เท่าที่จะคิดได้

เหตุการณ์นี้ทำให้คนสำนึกในความเป็นชาติมากขึ้นไหม
นิธิ : แล้วแต่คุณจะนิยามว่า ความเป็นชาติคืออะไรนะ สำหรับผมคิดว่า การที่คนเหล่านี้แสดงออกต่อความเป็นชาติ คือ เรื่องสองมาตรฐานของชาติ ของชาตินะ ซึ่งเขาไม่เคยสนใจความเป็นชาติมาก่อน ผมว่าความเป็นชาติเข้มแข็งขึ้น แต่ในแง่หนึ่ง ผู้ใหญ่บางคนอาจจะมองอีกด้าน บอกว่า เอาล่ะ หันมาปรองดองกัน แต่ผมมองว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่ผู้คนจะสนใจและมาแชร์กันต่อเรื่องความเป็นธรรมของชาติ สองมาตรฐาน ห่าเหวอะไรนี่ ไม่มีนะ

การชุมนุมของคนเสื้อแดงทำให้คนกรุงเทพฯ อาจจะโกรธแค้น เพราะทำให้ลำบากลำบน
นิธิ : ไม่เห็นนะ ช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมไม่เห็นความโกรธแค้นของคนกรุงเทพฯ ชนชั้นกลางระดับล่างนะ ชนชั้นกลางระดับบน บนสุดเลย จริงๆ ไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไหร่ เซ็นทรัลเนี่ย ถามว่าไม่ได้ขายสองสามเดือนแค่สาขาเดียวเดือดร้อนอะไรนักหนา

แล้วทำไมเขาปราบ
นิธิ : ปล่อยไว้ไม่ได้ไง ผมถึงบอกว่า ประชาธิปัตย์คือไพ่ใบสุดท้าย คุณปล่อยอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้วนำไปสู่การเลือกตั้งไม่ได้ เพราะถ้ามีการเลือกตั้ง เสื้อแดงมาแน่ๆ

ชนชั้นนำของอาจารย์หมายถึงอะไร
นิธิ : ชนชั้นนำของผมไม่ได้หมายถึงชนชั้นกลางอย่างเดียวนะ แต่หมายถึงทั้ง ทุน สื่อ หลายอย่าง อย่างพวกเรา ในแง่หนึ่งเราก็เป็นชนชั้นนำ แต่เราเป็นชนชั้นนำกลุ่มน้อยเท่านั้นเอง

ตอนนี้สื่อที่จะมาทำหน้าที่ของสื่อที่เป็นจริง
กำลังหายไปจากโลกนี้
และกำลังเกิดสื่อชนิดใหม่
ที่ยังไม่มีสมรรถภาพดีพอ
ที่จะมาแทนที่สื่อเก่าได้

อาจารย์คิดยังไงกับการที่สื่อเลือกข้าง ซึ่งครั้งนี้ชัดเจนมาก
นิธิ : มันก็แย่แน่ๆ ในแง่ของสื่อ ปรากฏการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะในประเทศของเราอย่างเดียว ตอนนี้สื่อที่จะมาทำหน้าที่ของสื่อที่เป็นจริงกำลังหายไปจากโลกนี้ และกำลังเกิดสื่อชนิดใหม่ที่ยังไม่มีสมรรถภาพดีพอที่จะมาแทนที่สื่อเก่าได้ ในอเมริกา บริษัท บ๊อกซ์ ที่ทำทีวีเคเบิล มันออกข่าวเรื่องบุชชนะเลือกตั้ง แต่ยังนับคะแนนไม่เสร็จเลย เพราะมันยังมีปัญหาเรื่องการนับคะแนนที่รัฐฟลอริดา แล้วมันออกข่าวบุชชนะไปได้ยังไง คือมันออกข่าวไปเพื่อสร้างกระแสให้คนรู้สึกก่อนว่า บุชชนะแล้ว อาจมีคนเสียใจ แต่ให้คุณยอมรับตรงนี้ก่อน แล้วต่อมาเมื่อพบว่ามันมีปัญหาเรื่องการนับคะแนนที่รัฐฟลอริดา เขากำลังจะมาคิดกันว่าจะนับคะแนนใหม่ไหม ไอ้นี่ก็มาบอกว่ามันชนะไปแล้ว มันไม่ควรมานับคะแนน ก็เหมือนสื่อในประเทศไทยหลายแห่ง การที่มันเลือกข้างมันเกิดขึ้นทั่วทั้งโลก

อย่างสื่อในเมืองไทย คุณสุทธิชัย หยุ่น อ้างว่ามันต้องเลือกข้างกันแล้ว ฝรั่งมันก็เลือกข้าง ต่างๆ นานา ประหนึ่งว่า แม่ง ฝรั่งมันทำเลวร้ายอะไร มันต้องกลายเป็นมาตรฐานไปเลย

การเลือกข้างของสื่อมันเกิดขึ้นจริง มันเป็นปัญหาที่เราต้องเผชิญ ซึ่งมันก็เกิดทางเลือกใหม่อย่างสื่อทางเลือก แต่มันไม่มีสมรรถภาพพอ คุณจะให้ ‘ประชาไท’ เสนอข่าวได้รอบด้านเท่าไทยรัฐ มันเป็นไปไม่ได้หรอก (เสียงพูดแทรกกันระงม – ตอนนี้แค่จะเปิดประชาไทยังเปิดไม่ได้เลย) เออ อย่าง ‘ประชาไท’ เขาทำงานกันสองคนหรือสามคนก็ไม่รู้ คุณจะให้มันไปเท่าไทยรัฐได้ยังไง (หัวเราะกันครืน)

(แสดงความเห็น) : สื่อทางเลือกอยากเสนอปัญหาของคนชั้นล่างก็จริง แต่เขาก็ไม่สามารถจะเจาะเข้าไปหาคนชั้นล่างได้

(แสดงความเห็น) : มันไม่มีเงินจะไปตามดูว่า ชาวบ้านเขากลับบ้านแล้วเป็นยังไง

นิธิ : ใช่ไง ก็นี่ไงมันไร้สมรรถภาพไง

(แสดงความเห็น) : เห็นบางคนบอกว่า นักข่าวบางคนก็ดี เขาก็รายงานตามความเป็นจริง แต่ว่า บ.ก. ไม่ให้ออก อันนี้มันก็มีอยู่จริง มันมีชนชั้นอยู่ในวิชาชีพสื่อ ตอนนี้สื่อไม่ใช่สถาบันอีกต่อไปแล้ว แต่สื่อคือธุรกิจประกอบการ นักข่าวหลายๆ คนบอกว่า จะให้เขาทำอย่างไร ลูกเขาต้องเรียนหนังสือ บ้านต้องเช่า ข้าวต้องกิน ถ้าเขาไม่ให้นักข่าวไปต่างจังหวัด ไม่ยอมไฟเขียว จะทำอย่างไรได้ อย่างเก่งก็มานั่งนินทากันเอง

ที่อาจารย์เคยเขียนว่าชนชั้นนำไม่ปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงของสังคมคืออะไร
นิธิ : มีตัวอย่างที่อังกฤษนะ เมื่อเริ่มเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรม ตอนนั้น สภาผู้แทนอังกฤษมีประชาธิปไตยแบบที่ให้สิทธิเลือกตั้งเฉพาะคนที่เสียภาษี ดังนั้น จะมีคนหยิบมือเดียวเองที่มีสิทธิเลือกตั้ง ทีนี้ในหมู่ชนชั้นนำเองก็เกิดเสียงแตก มันเลยต่อสู้กันโดยขยายสิทธิการเลือกตั้งลงไปยังคนที่ไม่มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อที่กูจะได้มีคะแนนมาเยอะๆ มันเลยขยายๆๆ จนดึงคนอังกฤษเข้ามาสู่วงการเมือง โดยที่คนอังกฤษเองยังไม่ได้ผลักดันมากนัก

สรุปว่า ชนชั้นนำอังกฤษเนี่ย มันปรับตัวของมันเอง ไม่ว่าจะด้วยความโลภหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่มันปรับตัว

แต่ของเรานี่ ชนชั้นนำไทยไม่รู้จักปรับตัวเอง ขณะที่สังคมไทยเราเปลี่ยนไปแล้ว แทนที่จะปรับแล้วไม่ปรับ แต่กลับไปใช้อำนาจเพื่อจะหยุดสังคมไทยให้มันอยู่อย่างเก่าอยู่ตลอดเวลา มันคือตัวปัญหาที่สุดของไทยเรา

มันเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
ที่การต่อสู้ทางการเมือง
ไม่ใช่การต่อสู้ของกลุ่มการเมืองอย่างเดียว
มันมีการต่อสู้ทางสังคมอยู่ด้วย

สังเกตดูว่า คนตายเยอะขนาดนี้ ถ้าเป็นทุกครั้งจะมีคนชนชั้นกลางออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ แต่ครั้งนี้ไม่มี
นิธิ : ผมว่ามันเป็นครั้งแรกในเมืองไทยนะ ที่การต่อสู้ทางการเมืองไม่ใช่การต่อสู้ของกลุ่มการเมืองอย่างเดียว มันมีการต่อสู้ทางสังคมอยู่ด้วย เช่น เป็นต้นว่า คนเสื้อแดงเมื่อพ่ายแพ้กลับมาแล้วมาด่าคนชนชั้นกลาง ผมว่าตรงประเด็นเด๊ะเลย

คือแต่ก่อนคุณไม่เคยคิดจะด่าคนในสังคม คุณด่าสุจินดา คุณด่าถนอม กิตติขจร ประภาส จารุเสถียร แต่คุณไม่ได้ด่าสังคมเราเอง มันเป็นแบบนี้ แต่บัดนี้คนในสังคมเราเห็นแล้วว่า มันไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ อภิสิทธิ์น่ะใช่แน่ แต่ไม่ใช่แค่อภิสิทธิ์ ในขณะที่คนชั้นกลางไปรบกับถนอม ประภาส ที่เรียกกันว่า สามทรราชย์

ด่าชนชั้นกลางเพราะเห็นว่าชนชั้นกลางนี่แหละ ที่ทำให้คนอย่างอภิสิทธิ์อยู่ได้
นิธิ : ใช่

คนไทยได้เปลี่ยนตัวเองเป็นชนชั้นกลางแล้ว
แต่เป็นชนชั้นกลางระดับล่าง
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ

หากจะบอกว่าเสื้อแดงคือชนชั้นล่าง แต่ชนชั้นล่างที่เป็นเหลืองก็มี?
นิธิ : ไม่ๆ ต้องกลับไปพูดเรื่องที่เคยพูดแล้วหลายครั้งหลายหนว่า สังคมมันมีความเปลี่ยนแปลง คือต้องถามว่า มันมีความเปลี่ยนแปลงอะไร สำหรับผมคิดว่า สิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำคัญที่สุดในสังคมไทยคือ หนึ่ง – บัดนี้สังคมไทยไม่ใช่สังคมเกษตรกรรมแล้ว เราเป็นสังคมที่แรงงานกว่าครึ่งของประเทศไม่ได้อยู่ภาคเกษตรกรรมแต่อยู่ในภาคอุตสาหกรรมและบริการ

สอง – กว่าครึ่งของคนไทยในเวลานี้มีชีวิตอยู่ในเขตที่เราเรียกว่าเขตเมือง ไม่ว่าคุณจะนิยามเมืองว่าอะไรก็แล้วแต่ จะเรียกเทศบาลก็แล้วแต่ กว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของคนไทยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งแปลว่า เขาได้รับข่าวสารข้อมูล หรืออะไรต่อมิอะไรแทบไม่ต่างกันแล้ว

และสาม – กลับไปดูในภาคเกษตรกรรมว่า มันมีใครเหลืออยู่บ้างในภาคเกษตรกรรม ซึ่งก็จะเหลือคนอยู่สองประเภทด้วยกัน นั่นคือ ประเภทที่หนึ่ง เนื่องจากการเกษตรกรรมในเวลานี้มันต้องผลิตในเชิงพาณิชย์เข้มข้นมากขึ้นทุกวัน ไม่มีใครปลูกข้าวกินเองนอกจากพ่อหลวงจอนิ (ฮาครืน) ทุกคนต้องปลูกข้าวเพื่อจะขายคนอื่นทั้งนั้น ฉะนั้น คนที่เหลือในภาคเกษตรกรรมคือคนที่- (หยุดคิดนิดหนึ่ง) จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่ แต่มีทุนพอจะสะสมที่ดินและลงทุนในระดับที่มันคุ้มทุนในเชิงพาณิชย์ ส่วนคนที่ไม่สามารถจะทำอย่างนั้นได้ จะหลุดออกจากภาคเกษตรกรรม หลุดไปไหน หลุดไปทำผมในหมู่บ้าน หลุดไปเป็นหมอนวด ร้อยแปดพันเก้าอย่าง ไปขายก๋วยเตี๋ยว นั่นคือส่วนนี้

โดยสรุปก็คือว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ คนไทยได้เปลี่ยนตัวเองไปเป็นชนชั้นกลางไปแล้ว แต่เป็นชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นแม่ค้าขายผักอยู่ในตลาด เป็นอะไรร้อยแปด แล้วคนกลุ่มนี้ประสบปัญหาในชีวิตแยะมากๆ เพราะครั้งหนึ่งตนเคยมาจากภาคเกษตรกรรมเลี้ยงตัวเองที่มันไม่สนใจรัฐ รัฐไม่ต้องมาเกี่ยว แต่บัดนี้ รัฐเกี่ยวกับตัวเองทุกอย่าง แม้แต่ขายก๋วยเตี๋ยว ไอ้กระดูกหมูที่เอามาต้มเป็นน้ำซุป มันก็ขึ้นอยู่กับนโยบายหมู ถูกไหมครับ สมัยก่อน เขาจะทำอะไรก็ทำของเขาเอง รัฐไม่เกี่ยว แต่ตอนนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรกระทบเขาอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คนที่ว้าวุ่นที่สุดก็คือ ชนชั้นกลางระดับล่าง

อีกกลุ่มหนึ่ง คือคนที่เรียกว่า จนดักดาน ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ 6-10 ล้านคน ซึ่งตัวเลขจะขึ้นหรือลงขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจเราว่าจะขึ้นหรือลง คนกลุ่มนี้ก็ยกตัวอย่าง คนเลี้ยงวัว เคยเลี้ยงวัวยังไงก็เลี้ยงมันยังงั้น ยังเป็นคนเลี้ยงวัวคนเดิม เดินไปเดินมา ไอ้นี่ไม่เหลืองไม่แดง ไม่ห่าอะไรทั้งนั้น กูจะเลี้ยงวัวของกูท่าเดียว พวกจนดักดานนี่ไม่เกี่ยวกับการเมืองในเวลานี้

แต่คนที่เกี่ยวคือชนชั้นกลางระดับล่าง ซึ่งผมคิดว่า ในความว้าวุ่นของเขานี่จะนำเขาไปสู่แดงก็ได้ นำเขาไปสู่เหลืองก็ได้ เป็นต้นว่า คนชนชั้นกลางระดับล่างเหล่านี้รู้สึกว่า ทำไมกูไม่รวยขึ้น อย่าลืมว่า คนชั้นกลางในหมู่คนทั้งหลายนี่ ถ้าเราจะพูดคำว่า “ชนชั้น” นี่ ชนชั้นกลางคือคนที่ไม่มีชนชั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพูดว่า อะไรคือชนชั้น มันแปลว่า มันต้องสืบทอดสถานะของมันให้แก่ลูกหลานได้ เช่น คนเลี้ยงวัวเนี่ย ถ้าเราถามว่า ลูกเขาต่อไปเป็นอะไร เขาบอก เลี้ยงวัว เหมือนเก่าเป๊ะเลย คือไม่ก้าวไปไหนเลย อย่างนี้คือชนชั้น

จนสุด นี่คือชนชั้น หรือสูงสุดนี่ก็ชนชั้น อย่างลูกคุณอะไร โสภณพานิช ถามว่า ต่อไปลูกคุณจะมาเก็บขยะไหม ไม่มีทางหรอก คุณก็ต้องอยากให้ลูกทำอะไรสักอย่างรวยๆ อย่างคุณน่ะแหละ นั่นแหละ คุณคือชนชั้น แต่ชนชั้นกลางคือคนที่ใฝ่ฝันว่า ลูกกูจะดีกว่ากูตลอดเวลา และด้วยเหตุดังนั้น คนชั้นกลางระดับล่าง หรือชนชั้นกลางระดับกลาง จึงมีเหตุผลหลายอย่างที่ผมจะยังไม่เข้าสู่รายละเอียดตอนนี้ว่า คนเหล่านี้ว้าวุ่นเพราะว่า เขาไม่สามารถไต่ระดับได้เลย ตรงนี้แหละที่จะผลักเขาเข้าไปสู่การเมือง จะเข้าไปสู่เหลืองก็ได้ เพราะว่าตัวเองตายนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ขยับขึ้นไปเลย คุณจะพูดว่า เป็นเพราะนักการเมืองมันโกงกินกันก็ได้ ก็คือเข้าไปอยู่ในขบวนการของเสื้อเหลือง ถูกไหม หรือคุณจะบอกว่ามันสองมาตรฐานนี่หว่า มันไม่ให้ความเป็นธรรมกับเรา ทักษิณเคยช่วยเรา อะไรต่างๆ นานา อย่างนี้ก็ได้ คุณก็เข้าสู่กระบวนการเสื้อแดง

ถามว่าใครเคลื่อนไหวทางการเมืองขณะนี้ ผมว่า คือชนชั้นกลาง แต่เป็นชนชั้นกลางระดับล่างและกลางระดับกลาง แต่กลางระดับบนไม่มี

แน่นอน คนชั้นสูงเข้ามามีส่วนเล่นเกมนี้ด้วย และเป็นคนเดินหมากด้วย แต่ตัวที่ออกหน้าที่สุดคือ คนพวกนี้

ชุมชนมันกำลังเปลี่ยน
แล้วเอ็นจีโอ ก็ลืมไปว่า
การที่คุณแช่แข็งชุมชนเอาไว้นี่
มันเป็นแค่เครื่องมือ
เป็นแค่ยุทธวิธีในการต่อสู้เท่านั้นเอง
มันไม่ใช่ความจริง
.............

เมื่อชาวบ้านเข้ามาอยู่ในเมืองแล้วตอนนี้
แล้วจะทำอย่างไร
ถามว่าเอ็นจีโอ
มีความรู้พอจะเข้าไปจัดการคนจนหมู่บ้าน
ซึ่งเขาเข้าไปอยู่ในเขตเมืองไปแล้วอย่างไร
คำตอบคือ
ไม่มี

การที่อาจารย์พูดถึงชนชั้นกลางระดับล่างที่มีความทะเยอทะยาน มันอาจเป็นจุดโจมตีของอีกฝ่ายที่มองว่าผู้ชุมนุมเหล่านี้ไม่รู้จักพอเพียง ไม่มีชีวิตสมถะ เรียบง่าย โดยเฉพาะเอ็นจีโอจำนวนมากที่ไม่เข้ามาร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง เพราะเห็นว่าเป็นผลมาจากทุนนิยมสามานย์
นิธิ : โดยรวมๆ ผมว่าอันนี้เป็นความอ่อนแอของเอ็นจีโอไทยด้วย คืออย่างนี้ ในสมัยเมื่อ 20-30 ปีก่อนนี่ การที่คุณจะต่อสู้เพื่อฟื้นฟูวัฒนธรรมชุมชนนี่ ถ้ามองในลักษณะตอนนั้น วัฒนธรรมชุมชนจะมีหรือไม่มีจริง เอาไว้ก่อน แต่มันคือเครื่องมือในการต่อสู้ ถ้า 20 ปีที่ผ่านมา รัฐหรือทุนจะเข้ามาแย่งทรัพยากรชุมชนระดับล่างลงไป เครื่องมือหนึ่งที่จะต่อสู้กับชุมชน คือการแช่แข็งของชุมชนเอาไว้ เพื่อไม่ให้รัฐหรือทุนเข้ามา แต่ 20 ปีที่ผ่านมานี้มันไม่ใช่แล้ว ชุมชนมันกำลังเปลี่ยน แล้วเอ็นจีโอคุณก็ลืมไปว่า การที่คุณแช่แข็งชุมชนเอาไว้นี่ มันเป็นแค่เครื่องมือ เป็นแค่ยุทธวิธีในการต่อสู้เท่านั้นเอง มันไม่ใช่ความจริง ก็ไม่ได้มองว่าตรงนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว

ผมพูดอย่างนี้ คนเป็นเอ็นจีโออาจจะไม่เห็นด้วย (มองหน้าเอ็นจีโอบางคนแล้วหัวเราะ) ผมมองอย่างนี้ เอ็นจีโอยิ่งนับวันก็สัมผัสกับประชาชนน้อยลง ฐานของเอ็นจีโอที่เคยทำงานและมีคนอยู่ด้วย มันน้อยลง เพราะทุกวันนี้ชาวบ้านจัดตั้งตัวเองแยะมากๆ และไม่ได้เชื่อมโยงกับเอ็นจีโอโดยตรงด้วย

สังเกตว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงไม่มีเอ็นจีโอเลย
นิธิ : ตรงกันข้าม ชุมนุมเสื้อเหลืองนี่เอ็นจีโอเยอะแยะเลย (เสียงหัวเราะจากหลายๆ คนดังขึ้น)

เพราะชนชั้นกลางระดับล่างที่มีความทะเยอทะยาน ทำให้เอ็นจีโอไม่อยากเข้าร่วมกับผู้ชุมนุมเสื้อแดง?
นิธิ : อันนี้ผมไม่รู้ แต่ผมหมายความว่า ถ้าคุณยอมรับว่าสังคมมันเปลี่ยน ชาวบ้านมันเปลี่ยน คำถามคือ กระเป๋าคุณสามารถเข้าไปจัดการกับความเปลี่ยนแปลงอันนี้ได้แค่ไหน การที่ชาวบ้านเปลี่ยน ไม่ได้หมายความว่าชาวบ้านมีพลังเพิ่มขึ้นนะ ชาวบ้านก็ยังมีพลังน้อยอย่างเก่า คำถามคือ ความรู้ที่คุณมีในกระเป๋า จะเข้าไปช่วยชาวบ้านให้มีพลังได้มากหรือน้อย ผมว่าไม่มาก

ผมมองว่าเอ็นจีโอที่ทำงานกับชาวบ้านที่อยู่ในเมืองแทบไม่มีเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อชาวบ้านเข้ามาอยู่ในเมืองแล้วตอนนี้ แล้วจะทำอย่างไร คนจนดักดานทั้งหลายที่ผมว่านี่ ในหนึ่งหมู่บ้าน คือคนส่วนน้อยสุด คุณจะไปช่วยคนส่วนน้อยสุดที่มันไม่มีชุมชนด้วย เป็นคนจนอยู่ก้นตรอกอยู่สองสามครอบครัว ถามว่าเอ็นจีโอมีความรู้พอจะเข้าไปจัดการคนจนของหมู่บ้านซึ่งเขาเข้าไปอยู่ในเขตเมืองไปแล้วอย่างไร คำตอบคือ ไม่มี

ตกลงมันหมดพลังไปแล้ว ดังนั้น สิ่งที่น่าจะหวังตอนนี้คือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้ชาวบ้านจัดการตัวเอง จัดองค์กรตัวเอง ทำอะไรเอง คิดเองว่าจะทำอย่างไร

ผมว่าชนชั้นนำตอนนี้นำเอายุทธวิธีของเอ็นจีโอเมื่อ 20 ปีที่แล้วมาใช้ ถ้าคุณดูอย่างช่อง ทีพีบีเอสบ่อยๆ รายการหลายรายการพร่ำพรรณนาถึงชุมชนไทยอันงดงามที่มันไม่มีในเมืองไทยแล้ว หรือแม้แต่ในอดีต มันก็อาจไม่เคยมีเลย ในขณะเดียวกันมันสะท้อนว่า คนกลุ่มนี้พยายามจะแช่แข็งสังคม แต่มันเป็นอุดมการณ์ที่ไม่มีจริง เข้ามาพยายามทำให้คนกลับไปสงบเหมือนเก่า ทำให้มันเชื่อง

(แสดงความเห็น) : เอ็นจีโออย่างที่ว่า มันเป็นเอ็นจีโออีกระดับหนึ่งที่เหมือนราชการเข้าไปทุกที คือเป็นเอ็นจีโอระดับใหญ่ มีได้มีเสียกับสถานการณ์บ้านเมืองค่อนข้างมาก หรือมีได้มีเสียกับการรับรองหรือไม่รับรองรัฐ

ในเมื่อมันเกิดภาวะคนสองชนชั้น เหมือนอยู่กันคนละกลุ่มก้อน เราจะทำอย่างไรให้กลับมาสู่ความปรองดอง(คนฟังหัวเราะครืน)
นิธิ : เอ แล้วแต่ก่อนมันเคยปรองดองหรือเปล่า (หัวเราะ) คือเดิมมันเคยปรองดองในความหมายนี้ คือ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกับรัฐ และรัฐก็ไม่เคยเกี่ยวอะไรกับเขา เขาก็โอเคไม่มีปัญหาอะไร เคยมีอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อย่างไรก็มีเหมือนกัน ก็ปรองดองกันแบบนี้ แต่บัดนี้มันไม่ได้แล้ว ถ้าต้องการปรองดองจริง คุณก็ต้องยอมปฏิรูปจริง ปฏิรูปประเทศไทย แต่มันไม่ได้ปฏิรูปง่ายๆ อย่างทักษิณเอาเงินไปเที่ยวแจกอย่างนี้มันไม่ใช่ เพราะมันมีระดับโครงสร้างที่ต้องปฏิรูปแยะมาก ตั้งแต่การปฏิรูปที่ดิน ปฏิรูปการศึกษาที่เปิดโอกาสให้คนได้เท่าเทียมกันมากขึ้น เช่นนี้เป็นต้น

แล้วที่การเมืองมันรุนแรงขนาดนี้ เป็นเพราะอะไร
นิธิ : เพราะไม่อยากให้เปลี่ยนไง

ก็เลยใช้ความรุนแรง? แล้วมันจะหยุดความเปลี่ยนแปลงได้หรือ?
นิธิ : มันดูเหมือนว่าตอนนี้สามารถทำให้สงบ สยบได้แล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งงบประมาณไว้ปีหน้าเพื่อจะลดความเหลื่อมล้ำที่เขาว่านะ คือ เขาก็ทำอย่างที่รัฐบาลไทยทำตลอดมา แม้แต่ก่อนทักษิณ เช่น เอาเงินมาแจกคนแก่เดือนละ 500 บาท เป็นต้น คือการโปรยทานลักษณะต่างๆ ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ยอมแตะด้านโครงสร้าง ไม่ยอมปฏิรูปที่ดิน ไม่ยอมปฏิรูปการศึกษา อย่างโรงเรียนวัดเชิงดอย กับโรงเรียนสวนกุหลาบ มันต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ แล้วคุณปล่อยได้ยังไงแบบนี้ จะโดยวิธีไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่ไหนคุณว่าคุณเก่งนัก ก็ลองทำให้โรงเรียนวัดเชิงดอยมันมีคุณภาพใกล้เคียงกันหน่อยสิ

มีบางคนบอกว่า ต้องปฏิวัติก่อนถึงจะปฏิรูปได้
นิธิ : ผมไม่เชื่อสำนักนี้

แล้วอาจารย์เชื่อสำนักไหน
นิธิ : ผมเชื่อว่า คุณต้องมีอำนาจต่อรองทางการเมืองที่ใกล้เคียงกัน ที่เท่ากันเป๊ะคงไม่มี เอาแค่ใกล้เคียงกันก็พอ ที่พอจะทำให้คนที่เสียเปรียบอยู่ขณะนี้ สามารถเรียกร้องเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างได้

แล้วทำอย่างไรถึงจะมีอำนาจต่อรอง
นิธิ : ก็นี่ไง ที่เสื้อแดงไปชุมนุมนี่ไง ก็คืออำนาจการต่อรองชนิดหนึ่ง แต่ถ้าคุณไปชุมนุมแล้วโดนฆ่าแบบนี้ อำนาจต่อรองมันก็ไม่เกิดไง มันไม่ใกล้เคียงกันเลย (จบคำพูดอาจารย์ เสียงบ่นก็ดังระงมเซ็งแซ่)

คือวิธีการปฏิวัติ ที่ผมเห็นในหลายๆ ประเทศนี่ มันต้องปล่อยให้เกิดปัญหาใหม่ๆ แล้วทำให้คุณแก้ตามเป็นระยะๆ ซึ่งไม่ใช่ว่าไม่ประสบความสำเร็จ อย่างในประเทศจีนก็ถือว่าเขาประสบความสำเร็จมากเลย อย่างน้อยสุดก็เป็นครั้งแรกที่เขาก็ทำให้คนจีนมีข้าวกินอิ่มก่อนทั้งประเทศ ซึ่งมันไม่ใช่ง่ายเลยนะ คนเป็นพันล้านทำอย่างไรให้อิ่มโดยทั่วถึงกัน มันยากนะ เพราะฉะนั้น ผมก็ยอมรับในความสำเร็จของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ขณะเดียวกันเมื่อเกิดปัญหาขึ้นจากการปกครองของพรรคคอมมิวนิสต์จีน โอกาสที่สังคมจะปรับตัวเองต่อไปไม่มีละ เพราะมันไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดในโลกนี้ที่จะไม่ก่อปัญหาใหม่ขึ้นมา

ขบวนการปฏิรูป มันจะเป็นไปได้อย่างไร
นิธิ : พูดอย่างจตุพรไง ง่ายๆ คุณต้องเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ไม่ใช่แค่เลือกตั้ง เพราะไม่งั้นอย่าหวังว่าจะปฏิรูปอะไรได้

แต่ทุกวันนี้ คำว่าประชาธิปไตยมันหลากหลายมาก
นิธิ : คืออย่างนี้ เมื่อมีคนถามว่า ประชาธิปไตยคืออะไร ก็จะมีนิยามต่างๆ นานา อย่างการปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน อะไรอย่างนี้ ซึ่งก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร (หัวเราะ) ผมนิยามอย่างนี้ว่า มันคือการต่อรองที่เท่าเทียมกัน การเลือกตั้งก็คือ กลไกหนึ่งในการต่อรอง ถามว่าถ้าคุณไม่เลือกตั้ง คุณจะเอากลไกอะไรมาแทน ไม่ใช่ 70-30 หรือว่าไม่ต้องเลือกตั้ง คุณก็ว่าไปสิ คือผมไม่ได้บอกว่า การเลือกตั้งนี่มันสุดยอด แต่ผมมองว่า มันเป็นกลไกหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ในเรื่องของการทำให้เกิดอำนาจต่อรองที่ใกล้เคียง

การชุมนุมสองเดือนในใจกลางเมืองหลวงก็เป็นสิทธิตามประชาธิปไตย
นิธิ : ใช่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการต่อรอง ถ้าถามผมว่า อะไรคือ ประชาธิปไตย สำหรับผมคือการต่อรองที่เท่าเทียม

ถือว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีความชอบธรรมใช่ไหม
นิธิ : ผมก็ว่าชอบธรรม ถามว่าการชุมนุมมันทำให้รถติดไหม มันไม่ควรไปยึดตรงนั้น ใช่หมดเลย แต่ถ้าเรามองในภาพกว้างกว่านั้น มองไปไกลกว่านั้น คนเหล่านี้แทบไม่เคยมีอำนาจ ไม่มีพื้นที่ในการต่อรองอะไรเลย เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องเปิดพื้นที่ใหม่ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนมากๆ เพื่อให้เกิดการต่อรองได้

ความแตกแยกของสังคมตอนนี้ถึงระดับครอบครัว เพื่อนฝูง มันจะบานปลายกว่านี้ไหม
นิธิ : ไม่รู้นะ เราเคยผ่านกันมาแล้วไม่ใช่หรือเมื่อ 6 ตุลา 2519

ซ้าย-ขวา น่ะหรือ แต่มันไม่รุนแรงขนาดนี้นะ
นิธิ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะตอนนั้นสังคมไทยไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้ แต่ครั้งนั้นจะว่าไม่แรงก็ไม่ได้นะ แล้วคนที่ถูกฆ่าตายมากไม่ใช่นักศึกษานะ แต่เป็นผู้นำชาวนาทั้งประเทศเลย

(แสดงความเห็น) : เมื่อก่อนมันจะชัดๆ ขาวกับดำ ใครจะอยู่ข้างขาว ข้างดำ ก็ว่ากันไป แต่ตอนนี้มันมียิบย่อย อย่างบางคนไม่เอาแดงและไม่เอาอภิสิทธิ์ บางคนอยู่ข้างแดง ไม่เอาทักษิณ มันเลยทำให้เกิดหลายกลุ่ม เกิดประเด็นถกเถียง โต้แย้งมาก

(แสดงความเห็น) : อย่างที่เขาว่า มันมีแดงหลายเฉด เหลืองก็เหลืองหลายเฉด

(แสดงความเห็น) : มันจะไม่เกิดการแตกแยกขนาดนี้ ถ้ามันแค่เรื่องว่า ใครจะเชื่อผีหรือไม่เชื่อผีก็จบ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นว่า มึงต้องเชื่อกู ใครที่คิดไม่เหมือนตัวเองกลายเป็นผู้หลงผิด เขาต้องเปลี่ยนเรา เพราะเราเป็นผู้หลงผิด เรากลายเป็นผู้หลงผิดไปเลยนะ แต่เมื่อก่อน ผู้ใหญ่จะสอนว่า เพื่อนกัน สามเรื่องอย่าคุยกันคือ หนึ่ง การเมือง ศาสนา และความเชื่อ เราจึงจะสงวนสิทธิ์ต่างๆ

อาจารย์เชื่อเรื่องความเสมอภาคไหม
นิธิ : (หัวเราะก่อนตอบ) ผมมีสิทธิที่จะตอบว่า ไม่เชื่อได้ไหมนี่

ปชป. ฉิบหายแล้ว ! หลักฐานใหม่ๆ นักข่าวเยอรมัน รุดพบตร.ให้การนาทีฆ่า!ยันทหารลงมือ

« เมื่อ: วันนี้ เวลา 09:35:53 AM »
----------------------------------------------------------
by น้าเสือ | Vote to close topic/// ประชาไท
นัก ข่าวเยอรมัน รุดพบตร. ค้นหานปช.ถูกยิง
ถ่ายภาพไว้ได้-ที่"ราชปรารภ" เพิ่งรู้ว่าตาย-ให้การนาทีฆ่า! ยันทหารลงมือต่อหน้าต่อตา

ที่สน.พญาไท นายนิก นอสทิส ผู้สื่อข่าวอิสระชาวเยอรมัน เข้าพบพ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวน สน. พญาไท เพื่อติดตามข้อมูลของผู้ชุมนุมเสื้อแดงรายหนึ่ง ซึ่งนักข่าวเยอรมันรายนี้แจ้งว่า เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ได้ภาพถ่ายชายคนหนึ่ง ขณะถูกยิงล้มลงที่หน้าปั๊มน้ำมันเชลล์ ถนนราชปรารภ อยากทราบว่าขณะนี้มีชะตากรรมเป็นอย่างไร ตำรวจจึงนำแฟ้มผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์มาให้ดูและพบว่าชายคนดังกล่าวคือนาย ชาญณรงค์ พลศรีลา อายุ 45 ปี จากสภาพศพเมื่อมาประกอบกับภาพถ่ายของนายนิก ปรากฏว่าเป็นรายเดียวกัน เมื่อนายนิกรับทราบว่าผู้อยู่ในภาพข่าวของตัวเองเสียชีวิตก็ถึงกับหน้าสลด นิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนขอความร่วมมือนายนิกโดยเชิญสอบปากคำเพื่อเป็นพยานนานกว่า 2 ชั่วโมง นายนิก มอบภาพถ่ายที่บันทึกไว้ในวันเกิดเหตุเป็นหลักฐานกับตำรวจด้วย

นายนิก กล่าวว่า เสียใจมากที่ชายคนนี้ตาย เพราะหลังเหตุการณ์นั้นทั้งภาพและเสียงร้องขอความช่วยเหลือของชายคนนี้ติดตา ตนมาตลอด วันที่ 15 พ.ค. ชายคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ชุมนุมคนเสื้อแดง แค่ไม่กี่คนที่พยายามนำยางรถยนต์มาขวางถนนราชปรารภ ห่างจากทหารราว 80 เมตร ชายคนนี้เข้ามาพูดคุยกับนักข่าวต่างประเทศ พร้อมชูหนังสติ๊กแล้วคุยว่านี่คืออาวุธที่จะสู้กับทหาร จากนั้นไม่นานชายคนนี้ก็ถูกยิงล้มลง เจ้าตัวพยายามคลานเข้ามาหลบไปปั๊มแล้วปีนข้ามกำแพงปั๊มไปหลบในบ่อบัวของบ้าน หลังหนึ่ง

นายนิก กล่าวอีกว่า เห็นกับตาแม้อยู่ในน้ำแล้ว แต่ทหารยังปีนตามมาลากตัวออกไปทั้งยังด่าว่าอย่างหยาบคาย จากวันนั้นพยายามตามหาชายผู้นี้ เพราะอยากรู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่าง ไร จนมาทราบว่าเสียชีวิตแล้ว ไม่เข้าใจว่าทหารไทยทำแบบนี้ได้อย่างไร ไม่มีการยิง แก๊สน้ำตา ไม่มียิงขู่ แต่ยิงตรงๆ ชายคนนี้ไม่ควรต้องมาตาย เรื่องนี้ต้องมีคนรับผิดชอบ ตนพร้อมเป็นพยานกับตำรวจเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ตายรายนี้ และในวันเกิดเหตุมีนักข่าวต่างประเทศยืนอยู่ด้วยหลายคนมีทั้งภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอเป็นหลักฐาน ส่วนตัวตั้งใจจะไปพบครอบครัวนายชาญณรงค์ เพื่อเล่าเหตุ การณ์ต่างๆ ให้ฟัง

เตือนจาก"เสถียร เศรษฐสิทธิ์" มาร์คจะปฏิรูปศก.-สังคม-การเมืองต้องก้าวข้าม "ทักษิณ"ไปให้ได้

แนะต้องรณรงค์ปชช.ให้ยอมรับผลเลือกตั้งในอนาคต กันเสื้อแดง-เหลืองออกมาป่วนอีก !!
ในขณะนี้ภาคเอกชน นักธุรกิจ เครือข่ายต่าง ๆ ประสานเสียงรัฐบาลในเรื่องแผนปรองดองเพื่อให้ก้าวข้ามวิกฤตประเทศไทย สถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นอีกกลุ่มหนึ่งแม้จะถูกกล่าวขานว่าเป็นแหล่งรวมของกลุ่มระดับบนของประเทศ 10% ที่ครอบครองความมั่งคั่งของประเทศประมาณ 80% ก็ตาม แต่มีบทบาทสำคัญต่อการผลักดันหรือเยียวยาประเทศ ล่าสุดทางนักศึกษา วตท. 1-10 และสมาคมศิษย์เก่า วตท.ได้ร่วมกันจัดเสวนาในหัวข้อ "จุดเปลี่ยนประเทศไทย : ยุทธศาสตร์การปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมเพื่อก้าวข้ามวิกฤตการเมืองไทย" มีตัวแทนจากทุกรุ่นเข้าร่วม แต่จะนำเสนอเพียงบางส่วนเท่านั้น

ประเด็นที่ "เสถียร เศรษฐสิทธิ์  ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่เคยผ่านยุค 14 ตุลาคมมาแล้ว ได้เสนอข้อคิดเห็นว่า ประเด็นใหญ่ที่สังคมไทยเจอในวันนี้คือวิกฤตการเมืองที่ส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง

"ผมคิดว่าปัญหาของเราขณะนี้สังคมไทยไม่เคยแตกแยก ร้าวลึก และกว้างขนาดนี้ เป็นปัญหาที่สะสมมาพอสมควร อย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ปี 2548 เป็นต้นมา 4-5 ปีติดต่อกันมา เมื่อ 2 ปีที่แล้วเราเจออย่างเหตุการณ์ยึดสนามบิน ล่าสุดยึดราชประสงค์ วิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น ประเด็นหนึ่งใหญ่ ๆ มาจากที่คุณทักษิณ (ชินวัตร) ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลต่อ ๆ มาโดยเฉพาะรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) พยายามเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ แต่ผมคิดว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบ้านเมืองเราไม่สามารถก้าวพ้นไปไหนได้ เพราะไม่สามารถก้าวพ้นคุณทักษิณได้ ทุกอย่างในบ้านเมืองเรายังวนเวียนที่คุณทักษิณ ถ้าเรากำลังพูดกันว่า จากนี้ต่อไปถ้าเราจะปฏิรูปเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ต้องก้าวให้พ้นคุณทักษิณให้ได้"

แต่ก่อนที่จะก้าวพ้นคุณทักษิณ ทุกฝ่ายต้องเข้าใจว่าคุณทักษิณทำอะไรมาบ้าง ในทางการเมืองหลายคนเรียกว่า "ระบอบทักษิณ" สิ่งที่เป็นระบบทักษิณนั้นคืออะไร คุณทักษิณเป็นคนที่ใช้ความสามารถในการบริหารจัดการและวิธีคิดที่ก้าวหน้ากว่านักการเมืองในยุคนั้น จนรวบรวมกลุ่มนักการเมืองมาเป็นพวกได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มากมาก่อน มีการเทกโอเวอร์นักการเมือง พรรคการเมือง

สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ คุณทักษิณสามารถที่จะสร้างนักการเมืองโนเนมขึ้นมา จนกระทั่งขึ้นมามีบทบาทในทางการเมือง เช่น แรมโบ้อีสาน คุณพายัพ ปั้นเกตุ คุณทักษิณสามารถปั้นคนเหล่านี้ขึ้นมาได้ เอานักการเมืองท้องถิ่นที่เห็นแววโดดเด่นมาสังกัดพรรคตัวเองและขึ้นมาเป็น ส.ส.ได้ ได้แสดงบทบาทที่ชัดเจน นี่เองที่ทำให้คุณทักษิณเหนือคนอื่นในเรื่องการเมือง

และสำคัญไปกว่านั้น ระบบการเมืองบ้านเรา การเข้าสู่อำนาจทางการเมืองต้องมีเงิน คุณทักษิณมีเงินมาก อันนี้เองทำให้คุณทักษิณมีอำนาจมาก

จากนี้ไปสิ่งที่รัฐบาลนี้ต้องการ คือ ก้าวพ้นคุณทักษิณในทางการเมือง ต้องคิดโจทย์นี้ว่าจะต้องแก้อย่างไร ประเด็นสำคัญที่พูดกันตลอดเวลาในทางการเมืองขณะนี้ คือ เรื่องสองมาตรฐาน ถ้ารัฐบาลยังวนเวียนในเรื่องพวกนี้คงก้าวไม่พ้นวิกฤตการเมือง และสังคมไทยเราต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังต่อสู้อยู่นี้เป็นเรื่องการเมือง แต่เรากำลังผลักเรื่องการเมืองเป็นเรื่องก่อการร้ายหรือไม่ หากเราคิดและก้าวไม่พ้น ผลักไม่พ้นเรื่องการเมืองเหล่านี้ สิ่งนี้ (การประท้วง) จะวนเวียนกลับมา คือการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้ จะต้นปีหน้าหรือช้าที่สุดต้นปีหน้าเป็นต้นไปก็จะต้องเกิดขึ้น

สังคมไทยยอมรับหรือยังว่า จากนี้ไปเมื่อมีการเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไร คนในสังคมไทยต้องยอมรับมัน มีคนบอกว่า หากเสื้อแดงมา เสื้อเหลืองออกมาประท้วงอีก เป็นเรื่องที่หวาดผวาในจิตใจพวกเราทุกคน วันนี้รัฐและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องรีบรณรงค์เรื่องเหล่านี้ ว่าที่สุดแล้วประเทศนี้ไม่มีระบบอื่น จริงอยู่จะไม่ใช่ระบบที่ดีที่สุด แต่สังคมไทยที่สุดต้องมีการเลือกตั้ง แล้วทุกฝ่ายยอมรับผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในอนาคต ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรณรงค์ให้มีการยอมรับอย่างกว้างขวาง นี่คือการวางรากฐานที่จะทำให้การเมืองก้าวพ้นจากวิกฤต

"รัฐบาลต้องริเริ่มให้คนยอมรับ เรื่องนี้เป็นการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่การก่อการร้าย ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อประเทศ หากผลการเลือกตั้งออกมาอย่างไรต้องให้มีการยอมรับ ในทางการเมืองต้องปล่อยให้มันเดินไป ที่สุดของมันแล้วการเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร อย่าใช้ความได้เปรียบทำลายล้างกัน หากทำร้ายเขา เขาก็หาทางตอบโต้คุณ"

เช่นเดียวกันกับเรื่องเศรษฐกิจ การมาชุมนุมของคนเสื้อแดงจำนวนมากในระยะต้น คนอาจจะบอกว่าถูกจ้างมา ไหว้วานมา เกณฑ์มาจาก ส.ส. แต่การต่อสู้ที่ยืดเยื้อมา 2-3 เดือน ข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้น ผมคิดว่าสังคมไทยยอมรับว่ามันมีปัญหาอยู่ในเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความไม่เป็นธรรมในสังคม การเข้าถึงทรัพยากร ช่องว่างระหว่างรายได้ นี่คือพื้นฐานที่สุดที่คนเหล่านั้นสัมผัสและได้รับ หลายคนได้รับประโยชน์และเข้าใจว่าคุณทักษิณเคยช่วยเขาทาง

นโยบายด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ไม่ว่ากองทุนหมู่บ้าน โอท็อป โครงการเอื้ออาทร และที่สำคัญโครงการด้านสังคม อาทิ การเรียนฟรี, 30 บาท รักษาทุกโรค เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่เคยได้รับก่อนหน้านี้ แต่คุณทักษิณทำให้คนเหล่านี้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิทธิเขาควรได้รับ ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เขาจะได้จากสภาพความเมตตา จากสังคมสงเคราะห์เมื่อภัยหนาวมาเอาผ้าห่มมาบริจาค น้ำท่วมมาก็หยูกยารักษาโรคมาแจก แต่เป็นเรื่องที่เขาสามารถเข้าถึงทุนในกองทุนหมู่บ้าน สิทธิการเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ในฐานะที่เขาเสียภาษี นโยบายเหล่านั้นทำให้คนเหล่านี้จำนวนมากยอมรับคุณทักษิณเข้ามามีส่วนที่ทำให้เขาเข้าถึงโอกาสและชีวิตที่ดีกว่า

ผมคิดว่าเรื่องใหญ่ ๆ ถ้าหากรัฐบาลจะก้าวข้ามคุณทักษิณ ในเรื่องเศรษฐกิจจะต้องมีนโยบายที่ชัดเจนและชัดแจ้งที่เหนือกว่าคุณทักษิณ ต้องมียุทธศาสตร์นโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจน ประเทศไทยไม่มีเงินเยอะ ทุกเรื่องที่เราต้องใช้อย่างถูกต้องแม่นยำ เศรษฐกิจต้องมียุทธศาสตร์ชัดเจนที่สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมไทย เช่น นโยบายทางด้านพลังงาน ผมเห็นว่าประเทศไทยเรามีขีดความสามารถในการผลิตแก๊สโซฮอล์ได้ดีเพราะเรามีพืชเกษตรจำนวนมาก เราแค่ประกันราคาแก๊สโซฮอล์ลิตรละ 20 บาท จะมีคนปลูกมันสำปะหลังจำนวนมาก หรือเรื่องชลประทานเราควรลงทุนชลประทานขนาดใหญ่ เขื่อน คู คลอง ระบบชลประทานที่สมบูรณ์ รวมทั้งรัฐต้องลงทุนซื้อเทคโนโลยีการเกษตรที่ทันสมัย

"เราบอกว่าเราอยากผลักดันเศรษฐกิจ ออก พ.ร.ก.กู้เงินมากมาย โครงการไทยเข้มแข็งปีที่แล้วบอกว่ามีเงินหลายแสนล้านบาท เรากระจายทำไปทั่ว แต่มีวัตถุประสงค์ไปหาเสียงไม่ใช่แก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ หากทำจริง ๆ ก็แก้ปัญหาในชนบทได้"

ส่วนเรื่องทางสังคม เรื่องการศึกษา หลายรัฐบาลที่ผ่านมาไม่สนใจดูแลอย่างจริงจัง คุณทักษิณให้เรียนฟรี 12 ปี รัฐบาลนี้เรียนฟรี 15 ปี สังคมไทยไม่ควรพูดเรื่องเรียนฟรีแต่ควรจะพูดเรื่องคุณภาพทางการศึกษาและผลิตผลทางการศึกษา โรงเรียนวัดไม่มีใครเรียนกลายเป็นโรงเรียนของคนจน ดังนั้นจุดเริ่มต้นทำให้โรงเรียนเล็กลง ทำห้องเรียนเล็กลง ไม่ใช่ห้องหนึ่งมี 50 คน ครูดูแลไม่ทั่วถึง แต่รัฐบาลคิดแต่เรื่องจะไปสู้กัน ไปทำเรื่องลดแลกแจกแถม เรียนฟรี 12 ปี 15 ปี หรือรักษา 30 บาท อีกคนบอกว่า 30 บาทไม่เก็บเลย...เพ้อเจ้อ ทำไมต้องเรียนฟรี ลูกคนรวยที่เรียนสามเสน สวนกุหลาบเขาพร้อมจะจ่าย เขาไม่ได้อยากเรียนฟรี หรือคนจำนวนหนึ่งที่พร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาล พอรัฐให้รักษาฟรี รัฐต้องตีมูลค่าเป็นหัว หัวละ 1,700 กว่าบาท อย่างผมไม่เคยใช้ประกันสังคม โรงพยาบาลก็รับฟรีเพราะรัฐต้องจ่ายให้ผม

นอกจากนี้ เรื่องเร่งด่วนที่ต้องแก้ไขทางสังคม คือ ต้องเยียวยาจิตใจผู้คน คนในหมู่บ้านมีเสื้อต่างสีมากมาย สิ่งที่เขาทำความดีถูกเลือนหายเพราะสีที่ต่างกัน ความคิดที่ต่างกัน เป็นเรื่องที่ต้องพูดกัน ไม่ใช่ออกสโลแกนว่า รักในหลวงต้องไม่ไปร่วมชุมนุม ไม่ควรเอาสถาบันมาเกี่ยวข้อง ถ้าผมไปชุมนุมก็หาว่าผมไม่รักในหลวง หรือชาวพุทธไม่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นรัฐต้องจริงใจจริงจังในการแก้ไขปัญหา เพราะมันร้าวลึกมาก

"ผมออกกำลังกายตอนเช้า ถ้าวิ่งผ่านคนที่เขาพูดเรื่องการเมือง พอเราเดินใกล้เขาจะไม่พูดต่อ เขาไม่รู้ว่าเราจะคิดเห็นเหมือนเขาหรือไม่ ในสังคมประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องคิดเห็นเหมือนกัน แต่นี่ในสังคมที่เกิดการเผชิญหน้า คนที่คิดเห็นไม่เหมือนกันต้องทำลายล้างกัน จึงเกิดความหวาดระแวง เรากำลังผลักดันให้ประเทศไปสู่ยุคสงครามเย็นหรือเปล่า คนที่มีหน้าที่ในสังคมต้องคิดเรื่องเหล่านี้ ทุกคนเครียดหมกับสภาวะที่เป็นอยู่อย่างนี้
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจ

เอาสมบัติชาติคืนมาปลุกกระแสนิยมตัวใหม่

สำนัก(ข่าว)พระพยอม

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ

กระแสชาตินิยมหากใครปลุกขึ้นย่อมสร้างประโยชน์ให้กับบุคคลนั้นเป็นอย่างยิ่ง กรณีไทยคมทุกคนรู้ดีว่าเป็นความคับแค้นใจที่เคยเป็นดังสมบัติของคนไทยแต่บัดนี้อยู่ในมือต่างชาติ การจะขอซื้อคืนจึงสร้างกระแสประชานิยมได้ไม่น้อย

การช่วงชิงด้วยการใช้ไหวพริบปฏิภาณเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนนิยมในยุคนี้ หากว่าใครสมองไว ใจกล้า ปากกล้า รีบเร่ง รีบทำก่อน ก็มักมีโอกาสที่จะได้ใจประชาชนก่อน

กรณีของรัฐบาลที่มีแนวคิดขอซื้อดาวเทียมไทยคมคืนจากกลุ่มทุนเทมาเส็กก็ต้องบอกว่าเป็นแนวคิดที่ยอดเยี่ยมในเชิงชิงกระแสความนิยมด้วยไหวพริบและปฏิภาณจริงๆ เพราะสิ่งที่จะตั้งใจทำนั้นเมื่อมีคนเห็นด้วยก็ย่อมเกิดประโยชน์กับผู้ทำ ยิ่งเรื่องดาวเทียมไทยคมคนไทยส่วนใหญ่มองว่าเป็นสมบัติของชาติ หากรัฐบาลนำกลับมาได้อย่างน้อยความดีก็ตกอยู่กับรัฐบาล และอาจจะกลบขยะลบเรื่องไม่ดีไม่งามที่รัฐบาลทำไว้เมื่อครั้งขอคืนพื้นที่ได้ระดับหนึ่ง

เชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยต้องชอบใจคำว่า “เอาสมบัติชาติคืนมา” ถึงจะเอาประสาทพระวิหารคืนมาไม่ได้ แต่ถ้าเอาไทยคมคืนมาได้ก็ได้ใจมหาชน และอาการได้ใจตรงนี้หากใครสามารถช่วงชิงมาก่อนได้คนนั้นก็ได้เปรียบ สมัยหนึ่งทักษิณเคยได้ใจประชาชนด้วยการทำประชานิยมในรูปแบบต่างๆที่ยังไม่มีรัฐบาลไหนเคยทำมาก่อน ก็ได้ใจประชาชนที่นิยมชมชอบมาจนถึงขณะนี้ก็มีไม่น้อย

การเอาดาวเทียมไทยคมกลับมาจะเพื่ออ้างความมั่งคง หรือเพื่อควบคุมข้อมูลด้านต่างๆ หรืออ้างว่าเป็นสมบัติของชาติ แต่ก็ไม่วายมีเรื่องของคะแนนเสียงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะถ้าถามเรื่องความมั่งคงเกี่ยวกับการเผยแพร่โทรทัศน์ดาวเทียมของคนเสื้อแดงหรือของใครก็ตาม รัฐบาลก็มีอำนาจในการสั่งปิดได้อยู่แล้ว อย่างที่ปิดโทรทัศน์ของคนเสื้อแดงที่อ้างว่าเป็นการปลุกระดม บิดเบือน สร้างความแตกแยก ยกเว้นช่องที่ยังเป็นประโยชน์ให้กับรัฐบาลยังคงปล่อยให้เผยแพร่ต่อไป ถึงแม้ว่าเป็นช่องที่สร้างกระแสความขัดแย้งเหมือนกัน

ส่วนเรื่องราคาที่ซื้อคืนจะคุ้มหรือไม่คุ้มกับเงินที่เสียไป เป็นที่ทราบกันดีว่าเทมาเส็กซื้อไปก็ไม่ได้ทำกำลังให้กับเขาเลย ขาดทุนอีกต่างหาก แม้แต่ตอนที่อยู่กับทักษิณตอนนั้นก็ยังขาดทุน หากซื้อกลับมาแล้วจะไม่ขาดทุนหรือ ขาดทุนเงินของประเทศแต่ว่าคนคิดคนทำได้กำไร เพราะคนที่เอาสมบัติชาติกลับมาได้ย่อมได้รับความนิยมชมชอบ แต่ถ้าคิดกันเพียงเท่านี้ประเทศชาติก็คงลำบาก แต่หากคิดได้ไกลกว่านั้นว่าซื้อมาแล้วสามารถนำมาทำประโยชน์ นำมาเพิ่มมูลค่า ทำให้ไม่ขาดทุน คุ้มค่า ปล่อยเช่าช่องสัญญาณไปแล้วมีกำไร ไม่ขาดทุน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องอนุโมทนา

แต่ถ้าซื้อมาแล้วขาดทุน บอกแค่เพื่อความมั่นคง ไม่รู้ว่าเป็นความมั่นคงของใคร ของพรรค หรือของกลุ่ม ของพวกใครหรือเปล่า ฉะนั้นจึงขอให้ทบทวนกันให้ถ้วนถี่ ใครที่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วยออกมาบอกสังคมหน่อย หรือแม้แต่นักหนังสือพิมพ์ นักข่าว สื่อมวลชน ก็อยากให้มาช่วยกันวิเคราะห์วิจารณ์ หาข้อดีข้อเสีย เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์

ก็ขอให้ช่วยกันทบทวนอย่างถี่ถ้วนว่าซื้อมาแล้วมีผลดี มีความมั่นคงกับบ้านเมืองจริง หากสามารถสร้างกำไรให้กับประเทศ และทำให้ประเทศไทยเจริญได้ก็น่าจะซื้อกลับมา

แต่ถ้าตั้งใจซื้อมาโดยมีนัยกลบขยะที่รัฐบาลเคยสร้างความขมขื่นไว้กับสังคม ด้วยการนำเรื่องนี้มาทวงคืนสมบัติชาติ มาทำให้คนชื่นมื่นภูมิใจว่าเรามีรัฐบาลที่รักชาติ สามารถเอาสมบัติชาติกลับคืนมาได้จากการที่คนในรัฐบาลชุดก่อนขายไป

นอกจากนั้นก็ต้องดูต่อด้วยว่ายังใครได้ประโยชน์ในเรื่องนี้อีกนอกจากประเทศชาติ เพราะมีนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ระบุว่างานนี้อาจมีนักการเมืองฟันกำไร 300-400 ล้านบาท ประเด็นนี้หากเป็นจริงรัฐบาลต้องชี้แจงให้ได้ ถ้าชี้แจงได้เชื่อว่าสังคมย่อมชื่นชม และเรื่องการโกยคะแนนนิยมก็คงไม่มีใครว่า ยิ่งถ้าซื้อกลับมาแล้วสามารถสร้างคุณค่าให้กับสังคมได้คงไม่มีใครว่าอะไรอีกเช่นกัน แต่ถ้านำกลับมาแล้วยิ่งทำให้ขาดทุนย่อยยับกว่าเก่า จะมาอ้างว่าเพื่อความมั่นคงของชาติอย่างเดียวก็คงไม่ค่อยจะชื่นมื่นเท่าไร

แต่ถึงอย่างไรเมื่อคิดจะซื้อกลับมาแล้วก็ขอให้ทำได้จริงอย่างที่ว่า ก็ขออวยพรให้เจริญถาวรตลอดไป

เจริญพร

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

จาตุรนต์ ตอบสื่อประเด็นปรองดองและนิรโทษกรรม


จาตุรนต์ ฉายแสง เข้าพบตำรวจ สน.ลุมพินี ตามหมายเรียกข้อหาฝ่าฝืนประกาศ ศอรส. บอกผู้สื่อข่าวเข้าไปพูดเรื่องสันติวิธีกับผู้ชุมนุมทุกครั้ง และคอยห้ามไม่ให้ฝ่ายรัฐใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม บอกควรตั้งข้อหาอภิสิทธิ์ข้อหาสั่งฆ่าประชาชนมากกว่า เปรยประเด็นนิรโทษกรรมนายกฯ อาจต้องการโยนหินถามทางเพื่อนิรโทษตัวเอง
นายจาตุรนต์ ฉายแสง ประธานสถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ตามหมายเรียกผู้ต้องหา กระทำผิดฐาน “ร่วมกันฝ่าฝืนประกาศของผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย ฉบับที่ 5 ลงวันที่ 3 เมษายน 2553 โดยไม่ออกจากพื้นที่ที่กำหนด”

โดยนายจาตุรนต์ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เป็นการมาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจตามหมายเรียกของศอรส. ในข้อหาเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติความมั่นคง ที่ประกาศพื้นที่ห้ามเข้า

"เข้าไปแล้วไม่ออก เขาเขียนมาว่าอย่างนั้น เขาคงหมายถึงที่ราชประสงค์" จาตุรนต์กล่าว

จาตุรนต์กล่าวอีกว่า หมายเลขส่งมาครั้งแรกลงวันที่ 9 เมษายน 2553 ก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้าวันที่ 10 เมษายน 2553 บังเอิญว่าสะกดชื่อของเขาผิดๆ ถูกๆ ก็เลยสอบถามกลับไปกลับมา กระทั่งต่อมามีหมายเรียกครั้งที่ 2 ก็ยังมีผิดอีก พอสอบถามก็ได้ความว่าเป็นหมายเรียกถึงผมแน่แล้ว ก็เลื่อนการรายงานตัวไปบ้างเพราะติดธุระ และรอเวลามาจนถึงวันนี้จึงนัดมารับทราบข้อกล่าวหา

รายละเอียดการให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวมีดังนี้

ผู้สื่อข่าว : เตรียมประเด็นที่จะชี้แจงกับทางพนักงานสอบสวนอย่างไร

จาตุรนต์ : คือ เรื่องที่จะชี้แจงนี้ไม่ได้หนักใจเลย แต่ว่าวันนี้คงไม่ได้ชี้แจงอะไรมาก มารับทราบข้อกล่าวหา แล้วก็จะดูว่าทางพนักงานสอบสวนจะปล่อยตัวชั่วคราวไปไหม เพราะทางผมไม่ได้เตรียมเงินมาประกันตัว คือว่าถ้าไม่ปล่อยตัวชั่วคราวก็ต้องเอาผมไปขังล่ะ เพราะว่าผมถือว่าไม่ได้มีความผิดอะไรเลย ผมไม่อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกตั้งข้อหาด้วยซ้ำ แล้วก็สามารถสู้คดีได้แน่นอน

การที่ผมเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมในกรณีที่เขาตั้งข้อหานี้ ก็คือตั้งข้อหาวันที่ 9 เมษายน 2553 หมายความว่าก็เข้าไปในวันที่ 8 เมษายน 2553 เช่นเดียวกับประชาชนอีกจำนวนมาก ที่สัญจรไปมา เข้าไปร่วมชุมนุมก็ดี มีอีกมากมาย ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าประชาชนเหล่าควรถูกตั้งข้อหาเพราะเขาไม่ได้กระทำผิดอะไร และที่ผมเข้าไปในที่ชุมนุมนอกจากในครั้งนั้นก็ยังมีครั้งอื่นอีกด้วย ซึ่งทางตำรวจไม่ได้กล่าวถึง

ที่ผมเข้าไปในที่ชุมนุมแล้วไปพูดต่อที่ชุมนุมทั้งหมดทุกครั้งมีประเด็นสำคัญก็คือ ต้องการจะไปเตือน ไปห้ามนายกรัฐมนตรีไม่ให้ใช้มาตรการทางทหารปราบประชาชน ไม่ใช้ความรุนแรงต่อประชาชน เพื่อจะได้ไม่เกิดความสูญเสีย นอกจากนั้นก็ได้ไปเสนอแนวทางในการเรียกร้องประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนที่มาชุมนุม ที่สำคัญก็คือเรียกร้องให้ใช้สันติวิธีโดยตลอด ทุกครั้งที่ผมพูดจะมีประเด็นเนื้อหาทั้ง 2 นี้อยู่เสนอ เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ควรถูกตั้งข้อหาเลย

ที่รอมานี้ เพื่อจะดูว่าทางตำรวจหรือทาง DSI จะตั้งข้อหานายกรัฐมนตรีหรือยัง เพราะว่าความจริงแล้วระหว่างผมกับนายกฯอภิสิทธิ์ นายกฯอภิสิทธิ์จะต้องถูกตั้งข้อหามากกว่า คือ ตั้งข้อหาสั่งฆ่าประชาชน สั่งใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามประชาชน ทำให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก จนป่านนี้พนักงานสอบสวนยังไม่ตั้งข้อหานายกอภิสิทธิ์ กลับมาตั้งข้อหาผมซึ่งเป็นคนที่ได้เรียกร้องตลอดมา “เตือนรัฐบาลและนายกฯอภิสิทธิ์ตลอดมาว่าอย่าใช้กำลังทางทหาร อย่าใช้มาตรการทางทหารปราบประชาชน”

มันแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่อง 2 มาตรฐานชัดเจนนะครับ คนที่ควรถูกต้องข้อหาก็คือนายกฯอภิสิทธิ์ กลับไม่มีการตั้งข้อหา มาตั้งข้อกล่าวหากับผมซึ่งเป็นคนคอยห้ามนายกฯอภิสิทธิ์ไม่ให้ฆ่าประชาชน เมื่อผมรอจนกระทั่งเห็นชัดแล้วว่านายกอภิสิทธิ์ไม่ถูกตั้งข้อหาสักที ผมก็มาเพื่อให้เรื่องได้ดำเนินการต่อไป ในส่วนของตัวผมพร้อมจะสู้คดีไม่ได้รู้สึกหนักหนักใจอะไรเลย

แต่ที่หนักใจขณะนี้ก็คือ เรื่องการปรองดองที่รัฐบาลกำลังเสนออยู่ คือรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์กำลังกล่าวหาว่าคนโน้นก็ขัดขวางการปรองดอง คนนี้ก็ขัดขวางการปรองดอง ผมอยากจะให้ความเห็นว่า ไม่มีใครในประเทศนี้ที่จะขัดขวางมาตรการการปรองดองของรัฐบาลได้ ไม่มีใครจะขัดขวางการปรองดองได้เนื่องจากการปรองดองไม่เคยมีอยู่จริง สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ที่นายกฯอภิสิทธิ์ทำอยู่ก็ไม่ใช่การปรองดองเลย เพราะว่าเป็นการกระทำ เป็นการเสนอมาตรการ หรือการดำเนินการโดยคู่กรณีโดยตรงและเป็นการกระทำแบบเลือกทำฝ่ายเดียว เลือกปฏิบัติฝ่ายเดียว โดยมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามอย่างต่อเนื่องและยังคงทำอยู่

นายกรัฐมนตรีคนนี้เป็นคู่กรณีกับประชาชนเสื้อแดง ประชาชนเขามาเรียกร้องให้คุณอภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อที่จะได้มีการเลือกตั้งใหม่ เพราะพวกเขาไม่เห็นด้วยที่นายกฯอภิสิทธิ์จะเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่ว่าแทนที่จะยุบสภา นายกฯอภิสิทธิ์ได้ใช้มาตรการทางทหารเข้าไปปราบประชาชนทำให้ประชาชนล้มตายไปจำนวนมาก เสร็จแล้วก็มาบอกว่าต่อไปนี้จะปรองดอง แล้วก็ยังบอกด้วยว่าจะไม่ปรองดองกับผู้ก่อการร้าย จะปรองดองกับคนอื่นๆ

ถามว่าใครเป็นผู้กำหนดว่าใครเป็นผู้ก่อการร้าย ก็คือคุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพเท่านั้นที่เป็นคนกำหนดว่าใครเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่ใช่พนักงานสอบสวน ไม่ใช่ศาล แต่ว่าคุณอภิสิทธิ์เป็นคนกำหนดเองว่าใครเป็นผู้ก่อการร้ายบ้าง

การปรองดอง หมายถึง การที่คนสองฝ่ายขัดแย้งกัน ทะเลาะกันแล้วหันหน้ามาประนีประนอม มาหาทางตกลงที่จะอยู่รวมกัน เวลานี้คุณอภิสิทธิ์ก็กันฝ่ายที่ตัวเองปราบปราม ที่ตัวเองไล่ทำลายล้างออกไปจากการปรองดองไปแล้ว จึงไม่ทราบว่าจะไปปรองดองกับใคร

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ตั้ง ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นคณะกรรมการฯฝ่ายที่ต้องการรักษาระบบก็ดี เป็นฝ่ายตรงข้ามกับ นปช.หรือฝ่ายเสื้อแดงอย่างชัดเจนก็มีมาก ที่สำคัญที่น่าเสียดายก็คือ อย่างท่านคณิต ณ นคร ซึ่งเป็นคนที่มีความรู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายมหาชน มีหลักการทางกฎหมายดี แต่เวลานี้ก็จะประสบความลำบากในการหากรรมการมาร่วม เพราะว่าคนตั้งเป็นปัญหา คนตั้งคือนายกอภิสิทธิ์เป็นปัญหา

นอกจากนั้นคณะกรรมการที่คุณคณิตเป็นประธาน คุณคณิตบอกว่าคงจะไม่ไปสืบสาวราวเรื่องว่าใครผิดใครถูก แต่จะไปเน้นเพื่อที่จะให้เกิดความปรองดอง หาต้นเหตุ ซึ่งจะทำให้นานาชาติผิดหวังเป็นจำนวนมาก องค์กรสิทธิมนุษยชน องค์กรที่ทำเรื่องนิรโทษกรรมสากลอะไรต่างๆ จะผิดหวังมาก เพราะว่าจะไม่มีทางได้ข้อเท็จจริงว่าใครผิดใครถูก เราอาจจะต้องรอกันไปอีกเป็นสิบๆปี เหมือนอย่างนายกรัฐมนตรีอังกฤษที่เพิ่งขอโทษประชาชนชาวไอร์แลนที่ถูกปราบปรามในวันนี้หลังจากเหตุการณ์มาไปเป็นสิบๆปี

ผู้สื่อข่าว : คิดเห็นอย่างไรในการจัดตั้งคณะกรรมการและนักวิชาการฯ แก้ไขรัฐธรรมนูญ

จาตุรนต์ : อันนี้ไม่มีทางที่จะทำให้เกิดประชาธิปไตยได้เลย ถ้าดูจากตัวประธานซึ่งเป็นฝ่ายเสื้อเหลืองชัดเจนมาโดยตลอด แล้วก็ได้เลือกคนมาส่วนใหญ่แล้วก็เป็นฝ่ายที่ต้องการรักษารัฐธรรมนูญในฉบับปัจจุบัน หรือไม่ก็จะทำให้รัฐธรรมนูญปัจจุบันเป็นเผด็จการมากยิ่งขึ้น รัฐธรรมนูญปัจจุบันไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่หลายคนในนั้นได้มีพฤติกรรมมีประวัติที่จะช่วยรักษารัฐธรรมนูญนี้หรือจะทำให้รัฐธรรมนูญนี้เป็นปัญหาหนักยิ่งขึ้น ก็หน้าเห็นใจกรรมการบ้างคนที่มีความเป็นนักประชาธิปไตยและต้องการแก้ปัญหาประเทศ อาจจะรับเป็นกรรมการไปโดยไม่รู้ว่ากรรมการส่วนใหญ่นั้นเป็นฝ่ายที่จะทำให้รัฐธรรมนูญนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย

ทั้งหมดก็เป็นเรื่องของการซื้อเวลาของนายกฯ เป็นการเอาเปรียบทางการเมืองโดยครอบคลุมสื่อของรัฐไว้หมดแล้วก็จะเป็นคนกำหนดเองได้หมดว่าใครเป็นผู้ก่อการร้าย ใครผิดใครถูก จะทำอย่างไรกับบ้านเมือง ไม่มีความหวังอะไรเลยที่จะทำให้เกิดการประนีประนอมหรือปรองดอง ที่ผมพูดนี้ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยกับการปรองดอง

เพียงแต่ผมเห็นว่าสิ่งที่นายกทำอยู่ไม่ใช่การปรองดอง แต่เป็นการทำลายล้างและเป็นการใช้วาทะกรรมสวยๆ หรูๆ เพื่อจะหาเสียงฝ่ายเดียว ในเวลานี้ฝ่ายตรงข้ามเขาก็หาเสียงไม่ได้เพราะไม่มีสื่อ แล้วใครสนับสนุนนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามก็ถูกระงับธุรกรรม ถูกปิดบัญชีสารพัดไปหมด อย่างนี้มันเป็นการเอาเปรียบทางการเมืองชัดเจนจะเลือกตั้งเมื่อไรไม่รู้ แต่ว่าพรก.ก็ยังอยู่ การใช้อำนาจคุกคามก็ยังอยู่ แบบนี้มันจะไปประนีประนอมปรองดองกับใคร

ผู้สื่อข่าว : ท่านจาตุรนต์คิดว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมจะนำสู่การปรองดองได้อย่างไร

จาตุรนต์ : นิรโทษกรรมที่เสนออยู่ในวันนี้ เป็นความสับสนมาก การนิรโทษกรรมในอดีตไม่เคยมีการตั้งธงแบบนี้ การนิรโทษกรรมในอดีตมักทำโดยรัฐบาลหลังการปราบปรามประชาชน ไม่ได้ทำโดยรัฐบาลที่ปรามปราบประชาชนเอง การนิรโทษมักจะครอบคลุมผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ตัวนายกฯหรือผู้ใช้อำนาจในการปราบปรามประชาชนไปจนถึงประชาชนทั่วไป

แต่ในครั้งนี้รัฐบาลตั้งประเด็นขึ้นว่า จะนิรโทษกรรมประชาชนที่ไม่ถูกข้อหาก่อการร้ายซึ่งไม่รู้คืออะไร ประชาชนเหล่านั้นความจริงไม่ต้องออกกฎหมายนิรโทษ เพียงแต่ไม่ไปเอาเรื่องเขาก็หมดเรื่องแล้ว สงสัยว่านายกฯและพวกจะโยนหินถามทางเผื่อว่าจะนิรโทษกรรมให้แก่ตัวเอง และผมไม่เห็นด้วยเลยว่าจะไปนิรโทษในลักษณะที่จะทำกันอยู่นี้ สิ่งที่จะทำในเรื่องนิรโทษนี้ ผมสงสัยมากกว่าว่า จะคืบไปถึงการนิรโทษให้กับพันธมิตรฯและนิรโทษให้แก่ผู้ปราบปรามประชาชนเอง

เพราะขณะนี้คนที่จะประสบปัญหามากที่สุดในอนาคตไม่ใช่ใครที่ไหน คือนายกฯอภิสิทธิ์ เพราะว่านายกฯอภิสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีในอนาคต ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ และในคดีนี้ที่ต่างประเทศไม่มีอายุความ ประเทศไทยอาจจะมีแต่อันนั้นก็เป็นเรื่องอีกยาวนาน ก็ดูวันนี้ต่างประเทศเขายังออกมาขอโทษประชาชนในเรื่องที่ผ่านมาตั้ง 20 - 30 ปีแล้ว

ที่มา.ประชาไท
........................

กรุงเทพโพลล์ : ประชาชนให้คะแนนการฟื้นฟูเยียวยาของรัฐบาล 4.28 เต็ม 10

โพลล์เผยรัฐบาลสอบตกด้านการทำหน้าที่เยียวยาคะแนน 4.28 เต็ม 10 ร้อยละ 39.8 เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรมนปช. อีกร้อยละ 37.0 ไม่เห็นด้วย กว่าครึ่งคือร้อยละ 55.9 ต้องการให้ยกเลิกพรก. ฉุกเฉิน ในเรื่องแผนปรองดองของรัฐบาลร้อยละ 28.0 ระบุ ให้เปิดรับความเห็นจากทุกฝ่าย ร้อยละ 24.9 บอกให้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม

17 มิ.ย. 2553 - ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนจาก 27 จังหวัด ทั่วทุกภาคของประเทศ พบว่าประชาชนให้คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการฟื้นฟูประเทศหลังผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมาแล้ว 1 เดือนได้คะแนนเฉลี่ยรวม 4.28 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยพึงพอใจด้านการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความรุนแรงมากที่สุด แต่พึงพอใจด้านการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งและแตกแยกในสังคมน้อยที่สุด

เมื่อถามความเห็นต่อแผนปรองดองแห่งชาติที่นายกฯ อภิสิทธิ์ แถลงเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 35.3 เห็นด้วยกับแผนดังกล่าว ขณะที่ร้อยละ 24.1 ไม่เห็นด้วย และภายหลังการประกาศแผนปรองดองแล้วมีเพียงร้อยละ 18.4 ที่ระบุว่ามีคะแนนนิยมต่อรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ร้อยละ 38.6 ระบุว่ามีคะแนนนิยมเท่าเดิม และร้อยละ 22.9 มีคะแนนนิยมลดลง

สำหรับประเด็นการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. นั้น ร้อยละ 39.8 ระบุว่า เห็นด้วย (โดยในจำนวนนี้ร้อยละ 26.9 เห็นว่าควรนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ชุมนุมที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้าย ส่วนอีกร้อยละ 12.9 เห็นว่าควรนิรโทษกรรมให้ทั้งหมด) ขณะที่ร้อยละ 37.0 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 23.2 ไม่แน่ใจ

ความคิดเห็นต่อการยกเลิก พรก. ฉุกเฉินในพื้นที่ 24 จังหวัดที่ประกาศใช้อยู่ในขณะนี้ ร้อยละ 55.9 เห็นว่าพิจารณาจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันแล้วเห็นว่าควรยกเลิก พรก. ฉุกเฉิน ในขณะที่ร้อยละ 24.9 เห็นว่ายังไม่ควรยกเลิก

ส่วนสิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลทำมากที่สุดในขณะนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความปรองดองของคนในชาติ พบว่า อันดับแรกคือให้รัฐบาลเปิดใจรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย รองลงมาคือให้ช่วยเหลือคนจน สร้างงานสร้างรายได้ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคม ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน หาคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับมาทำหน้าที่สอบสวนหาความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา และเร่งจับผู้ก่อการร้ายมาดำเนินคดี รวมถึงหาตัวคนผิดมาลงโทษ ตามลำดับ
--------------------------------------------------------------------------------
รายละเอียดของผลการสำรวจทั้งหมด

1. ความคิดเห็นต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบันหลังผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมา 1 เดือน
- เห็นว่าความขัดแย้งเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.5
- เห็นว่าความขัดแย้งเท่าเดิม ร้อยละ 37.3
- เห็นว่าความขัดแย้งลดลง ร้อยละ 49.2

2. คะแนนความพึงพอใจต่อการทำหน้าที่ของรัฐบาลในการฟื้นฟูประเทศหลังผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

ด้านการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ความรุนแรง 4.82 คะแนน
ด้านการกระตุ้นเศรษฐกิจและฟื้นฟูการท่องเที่ยว 4.30 คะแนน
ด้านการสืบสวนหาข้อเท็จจริงในช่วงสลายการชุมนุมเพื่อหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมาย 4.14 คะแนน
ด้านการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ไม่เป็นธรรม เพื่อลดเงื่อนไขความขัดแย้งและแตกแยกในสังคม 3.86 คะแนน
เฉลี่ยรวม 4.28 คะแนน

3. ความคิดเห็นต่อแผนปรองดองของรัฐบาลที่นายกฯ อภิสิทธิ์ แถลงเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน ที่ผ่านมา พบว่า
- เห็นด้วย ร้อยละ 35.3
(โดยให้เหตุผลว่า เป็นทางออกที่ดี ช่วยลดปัญหาความขัดแย้ง เป็นแนวทางสันติวิธี อยากเห็นภาพความปรองดองกัน คนไทยจะได้กลับมารักและสามัคคีกัน ฯลฯ)
- เห็นด้วยแบบมีเงื่อนไข ร้อยละ 16.0
(เช่น จะต้องแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลตั้งใจจริงไม่ใช่แค่สร้างภาพ จะต้องมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และจะต้องสร้างความร่วมมือจากทุกฝ่าย ฯลฯ)
- ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 24.1
(โดยให้เหตุผลว่า แก้ปัญหาไม่ถูกจุด รัฐบาลไม่จริงใจดีแต่สร้างภาพ เป็นนามธรรมมากเกินไป และทำไม่ได้จริง ฯลฯ)
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 24.6
(เพราะ ขาดรายละเอียดที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม ฯลฯ)

4. คะแนนนิยมที่มีต่อรัฐบาลหลังประกาศแผนปรองดองแห่งชาติ
- คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.4
- คะแนนนิยมเท่าเดิม ร้อยละ 38.6
- คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 22.9
- ไม่แน่ใจ/ ไม่แสดงความเห็น ร้อยละ 20.1

5. ความคิดเห็นต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม นปช.
- เห็นด้วย ร้อยละ 39.8
โดยเห็นว่า - ควรนิรโทษกรรมเฉพาะผู้ชุมนุมที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีก่อการร้าย ร้อยละ 26.9
- ควรนิรโทษกรรมให้ทั้งหมด ร้อยละ 12.9
- ไม่เห็นด้วย ร้อยละ 37.0
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 23.2

6. ความคิดเห็นต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าควรยกเลิก พรก. ฉุกเฉินในพื้นที่ 24 จังหวัดที่ประกาศใช้อยู่หรือไม่
- ควรยกเลิก ร้อยละ 55.9
- ไม่ควรยกเลิก ร้อยละ 24.9
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 19.2

7. สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลทำมากที่สุดในขณะนี้เพื่อเป็นการเริ่มต้นสร้างความปรองดองของคนในชาติ
(เป็นคำถามปลายเปิดให้ผู้ตอบระบุคำตอบเองโดยอิสระ) 5 อันดับแรก คือ

i. เปิดใจรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย ร้อยละ 28.0
ii. ช่วยเหลือคนจน สร้างงานสร้างรายได้ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและไม่เป็นธรรมในสังคม ร้อยละ 24.9
iii. ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ร้อยละ 16.6
iv. หาคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับมาทำหน้าที่สอบสวนหาความจริงในเหตุการณ์ความรุนแรงที่ผ่านมา ร้อยละ 9.5
v. จับผู้ก่อการร้ายมาดำเนินคดี หาตัวคนผิดมาลงโทษ ร้อยละ 6.6

8. ความคิดเห็นต่อประเด็นที่ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองจะเกิดขึ้นอีกหรือไม่
- เชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีก ร้อยละ 45.9
(โดยให้เหตุผลว่า รัฐบาลไม่จริงใจในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ความขัดแย้งทางความคิดและอิทธิพลของ พ.ต.ท. ทักษิณ ยังคงมีอยู่ )
- เชื่อว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก ร้อยละ 10.7
(โดยให้เหตุผลว่า ทุกคนได้เห็นแล้วว่าประเทศชาติบอบช้ำ คงไม่มีใครอยากทำร้ายประเทศชาติอีก แกนนำกลุ่ม นปช.ถูกควบคุมตัวอยู่)
- ไม่แน่ใจ ร้อยละ 43.4

ที่มา.ประชาไท
***************************************************

ประชาธิปไตยการแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม

“ลารี เบอร์แมน” คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย บรรยายเรื่องเกี่ยวกับแนวคิดของประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้งและหลักนิติธรรม ที่ จ. เชียงใหม่

วานนี้ (16 มิ.ย.) มีการบรรยายและนำเสนอประเด็นเสวนาในหัวข้อประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม จัดโดย สถานกงสุลใหญ่อเมริกา ประจำประเทศไทย ร่วมกับสถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ โดยมีวิทยากรคือ ดร.ลารี เบอร์แมน (Dr.Larry Berman) เป็นอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส และผู้อำนวยการโครงการวอชิงตันของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเดวิส ซึ่งนำเสนอเป็นภาคภาษาอังกฤษ พร้อมผู้แปลภาคภาษาไทย

โดยเนื้อหาการบรรยายเป็นเรื่องแนวคิดของประชาธิปไตย การแก้ไขความขัดแย้ง และหลักนิติธรรม โดยแนวคิดของประชาธิปไตยในฐานะกรอบความคิด โดยคนในประเทศไทยสามารถพูดคุยช่วยเหลือสำหรับการสร้างประชาสังคมบนพื้นฐานของแนวคิดของคนส่วนใหญ่ ในหลักปกป้องสิทธิคนส่วนน้อย และอนุญาตเพื่อให้เกิดสันติภาพของการเปลี่ยนผ่านในอำนาจ ที่มีอยู่ในประชาธิปไตยไทยๆ

ดร.เบอร์แมน กล่าวถึงว่า ปัญหาการปรองดองของไทย กับ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ว่าจะสร้างความสมานฉันท์และปรองดอง ต้องเกี่ยวข้องกับความประนีประนอม โดยสถานการณ์ของประเทศไทยก็คล้ายคลึงกับสหรัฐอเมริกาในกรณีสงครามกลางเมืองของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ ในยุคสมัยของประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอร์น ในช่วงหลังสงครามกลางเมืองที่มีผู้เสียชีวิตไปหนึ่งแสนคน และเมื่อเกิดเหตุดังกล่าว ประธานาธิบดีลินคอร์นก็พูดไว้ว่า “เราไม่แสดงเจตนาร้ายกับผู้ใด และเราแสดงจิตเมตตาต่อทุกคน คนอเมริกาก็สามารถเยียวยาให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริง”

ทั้งนี้ ดร.เบอร์แมน เห็นว่าผู้นำของประเทศไทยต้องมีการให้อภัยกัน และการแก้ไขความขัดแย้งโดยสมานฉันท์ ทำนองเดียวกับผู้นำของโลกอย่างมหาตมะ คานธี, มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ และเนลสัน แมนเดลา ซึ่งเยียวยาความขัดแย้งด้วยการให้อภัยต่อกันกับคู่ขัดแย้งทางการเมือง

ดร.เบอร์แมน กล่าวต่อว่า ถ้าผู้นำไทยสามารถแสดงคำพูดแบบเดียวกับลินคอร์นได้แสดงไว้ในคราวสงครามกลางเมืองของอเมริกา ก็เป็นขั้นตอนแรก ในสถานการณ์ของการคลี่คลายปัญหาของไทย และความสัมพันธ์แบบใหม่ ก็คือระหว่างความคิดเห็นที่แตกต่างของประชาธิปไตยทางวัฒนธรรม และก้าวย่างสำคัญของประชาธิปไตยไทยๆ กับความเห็นที่แตกต่าง กับแนวทางคุ้มครองเสรีภาพของคน

“ผมเคยพูดอย่างนี้หลายวันก่อนที่กรุงเทพฯ ว่าควรนำทุกฝ่ายมาเจรจาอย่างเป็นธรรม อย่างเปิดเผย และแสดงเจตจำนงอย่างที่ประธานาธิบดี ลินคอร์น ทำไว้กับสงครามกลางเมืองที่อเมริกา”

ดร.เบอร์แมน ชี้ให้เห็นว่าการพูดคุย การเจรจา เป็นหนทางเดียวสำหรับการไกล่เกลี่ย และเป็นการทำให้ทุกภาคส่วนยอมรับ การพัฒนาให้เกิดตุลาการที่เป็นอิสระและจะทำให้ลดความแตกต่างลงได้ ก่อนที่ความปรองดองเกิดขึ้นตามแผนโรดแมป ก็ต้องการการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นธรรม การให้สื่อมีความเสรี มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นก็เป็นเรื่องของประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรี ไม่แสดงเจตจำนงเป็นท่าทีอย่างที่ลินคอร์นแสดงไว้แผนปรองดองก็จะไม่สำเร็จ และสิ่งที่ต้องพัฒนาในเรื่องของการพูดคุยกับทุกฝ่าย เพื่อที่จะพัฒนาการพูดคุยกัน เพราะแผนนั้นจะสะท้อนฉันทามติในแบบนั้น แผนปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้

ดร.เบอร์แมน ชี้แจงเพิ่มเติมว่าในฐานะที่เป็นศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ สันติภาพจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้ามีฝ่ายที่กำหนดว่าสันติภาพเป็นอย่างใด และสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้นำต้องเข้าหาคนทุกฝ่าย แนวทางสำหรับเป็นช่วงเวลาหาสันติภาพที่ยั่งยืน และเมื่อจะทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นได้ เพราะประชาธิปไตยไม่ได้ หมายถึงการเลือกตั้งเท่านั้น และประชาธิปไตยต้องเป็นธรรมต่อมนุษย์

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยไม่ได้ช่วยด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม มันก็ช่วยทำลายความมั่นคงของมนุษย์ เมื่อในช่วงหลังเหตุการณ์ 9/11 ในสังคมอเมริกัน ก็ได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยก็มีความเสี่ยงละเมิดสิทธิของคน และประชาธิปไตย ก็มีข้อจำกัดหลายประการในสังคมอเมริกัน ซึ่งคำถามสำหรับระบอบประชาธิปไตย และจะนำไปสู่ความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งกระจายความเท่าเทียม ส่งเสริมสิทธิ และส่งเสริมให้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็นแตกต่างกันได้

ทั้งนี้การปรองดองของไทย ต้องนำไปสู่การทำหน้าที่ประชาธิปไตย เพื่อลดความยากจนด้วย และการเลือกตั้ง ต้องเป็นช่องทางแสดงความเห็นและประโยชน์ที่ตนเห็นว่าสำคัญ

รัฐบาลมีหน้าที่ส่งเสริมให้ทุกคนเข้าสู่การศึกษาอย่างเท่าเทียมและการสื่อสารอย่างเท่าเทียม โดย ดร.เบอร์แมนคิดว่า ประชาธิปไตยในปัจจุบันเป็นแค่พิธีซึ่งคนที่มีอำนาจไม่ได้ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทุกภาคฝ่าย และกระบวนการสู่การเลือกตั้งไม่สามารถแสดงได้อย่างเป็นธรรม และรัฐบาลไทยก็พูดถึงผลกระทบของลัทธิก่อการร้าย โดยสถานการณ์ในบ้านเรา คล้ายๆ กับรัฐบาลอเมริกา ในช่วงเหตุการณ์ 9/11 ที่มีการออก พ.ร.บ.รักชาติ ในการควบคุมเสรีภาพต่างๆ

ดร.เบอร์แมนกล่าวว่าวิกฤติสำคัญที่สุดของประชาธิปไตยไทยๆ ก็เป็นปัญหาท้าทาย ในความขัดแย้งกันเอง และรัฐบาลอ้างว่า เมื่อมีคนก่อการร้าย นี่เป็นปัญหาท้าทาย ในการที่รัฐบาลแสดงท่าทีเกินขอบเขต เป็นการทำให้รัฐบาลแยกตัวออกจากประชาชนมากขึ้น นั่นเป็นการทำให้การแก้ไขความขัดแย้งด้านต่างๆ น้อยลง

ดร.เบอร์แมน กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผมเป็นเสียงส่วนน้อยมานาน และความพยายามของผม คือ เสียงส่วนน้อยที่ใช้เหตุผลของการพูดคุย อย่างยาวนาน จนทำให้เป็นเสียงส่วนใหญ่ โดยสถานการณ์ที่อเมริกาเหมือนกับไทย จากบทเรียนของอเมริกาและแอฟริกาใต้ ทั้งบุคคลอย่างมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ของอเมริกา ก็เรียกร้องสิทธิของคนดำ โดยที่เราก็เห็นอย่างกรณีเนลสัน มันเดลา ผู้นำของแอฟริกาใต้เรียกร้องสิทธิของคน ก็เป็นเสียงส่วนน้อยมาก่อน แล้วต่อมาก็กลายเป็นเสียงส่วนใหญ่ จากกระบวนการแข่งขัน และส่งเสริมเสรีภาพอยู่ในพื้นที่การเมือง

แล้วโอกาสที่นำไปสู่ความคลี่คลายของปัญหาของไทย ขึ้นอยู่กับรัฐบาลอภิสิทธิ์ทำแบบที่ประธานาธิบดีลินคอร์นให้เจรจา สำหรับแก้ไขความขัดแย้ง ก็เกิดจากการริเริ่มของนายกรัฐมนตรีในแบบที่บุคคลสำคัญของโลกพยายามคลี่คลายวิกฤตินั่นเอง”

ที่มา.ประชาไท
******************************************

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ผู้ปกครองบ้านเมือง ต้องไม่เจ็บป่วยทั้งทางจิตและทางใจ ??

ผู้ปกครองบ้านเมือง ต้องไม่เจ็บป่วยทั้งทางจิตและทางใจ ??
อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ และจะยิ่งเป็นลาภอันประเสริฐต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง หากผู้มีอำนาจวาสนาและบุญหนักศักดิ์ใหญ่ทั้งหลายจะไม่เจ็บป่วยทั้งทางจิตหรือทางใจ หลากบ้านหลายเมืองที่ฉิบหายวายวอดกันมานักต่อนัก ก็ล้วนเกิดจากความเจ็บป่วยไม่ว่าทางจิตหรือทางใจของผู้ปกครองหรือผู้นำมาแล้วทั้งนั้น การไม่อยู่กับร่องกับรอย การมีจิตริษยาและอาฆาตพยาบาทสูง การวิปริตผิดเพศ การละโมบโลภมาก การมีอาการผิดปกติหรือบกพร่องทางจิต การเห็นคนไม่ใช่คน เหล่านี้น่าจะเป็นอาการเจ็บป่วยทางจิตหรือทางใจอย่างหนึ่ง หากเห็นว่าใครกำลังมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่กล่าวมานี้ กันให้ห่างไกลการครองอำนาจรัฐเขาไว้ นั่นถือว่าทำคุณอันใหญ่หลวงต่อประเทศและประชาชนแล้ว ??
..........................................

วิถีแห่งการปรองดอง ??
รู้เรา รู้เขา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง การปรองดองของคนในชาติเป็นเรื่องดีแต่ต้องใจกว้างและทำเป็น อยากรู้เขารู้เราว่าแท้จริงนั้นเป็นเช่นไรไม่ใช่เรื่องยาก แค่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ดึงตาถอดใจออกไปให้ไกลตัว ขึ้นภูดูไพร พินิจพิเคราะห์ความเป็นมา เป็นอยู่ และเป็นไปของทั้งฟากฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายต่อต้านด้วยความเป็นธรรมและปราศจากอคติก็จะพบเห็นความเป็นจริงแห่งท้องเรื่องได้ เมื่อเห็นแจ้งแทงตลอดแล้ว วิธีการแก้ไขนั้นคงพอคลำออกไม่ยากเย็นนัก สำคัญอยู่ที่ว่าจะที่พูดมาและทำไปทั้งหมดนั้น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จริงใจ หรือไก่กา ??
..........................................

อย่าให้เสียคนตอนแก่ก็แล้วกัน !!
ในที่สุด ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและค้นหาความจริงจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองไปเรียบร้อยแล้ว จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็คงจะไม่มีประโยชน์ ทางที่ดีมาช่วยกันให้กำลังใจและให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องน่าจะดีกว่า เพราะคนวัย 72 ปีที่มีประวัติความเป็นมาที่ถือได้ว่าเป็นคนเก่งคนดีคนหนึ่งคงไม่ทำอะไรเฟอะฟะเป็นแน่ ผิดชอบชั่วดีก็น่าจะมีอยู่ด้วยกันในทุกฝ่ายรวมถึงฝ่ายที่สามฝ่ายที่สี่หรือฝ่ายไหนๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จะมากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไปตามกรรม อดีตอัยการสูงสุดที่ผ่านสำนวนการสอบสวนคดีความต่างๆมามากต่อมาก เทคนิคในการแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความจริงคงไม่ใช่เรื่องยาก กลยุทธ กลวิธีนั้นแม้จะดีสักเพียงใด หากขาดความจริงใจก็ไร้ค่าได้เหมือนกันนะ !!
...........................................

รักษาการ 1 ??
สองรัฐวิสาหกิจของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริษัทไม้อัดไทยจำกัดนั้นว่างเว้นผู้อำนวยการตัวจริงมาหลายปีดีดักแล้ว มีก็แค่รักษาการ ส่วนที่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้แม้จะมีผู้อำนวยการตัวจริงแต่ก็ถูกเด้งไปทำงานในหน้าที่อื่นเสียหลายเดือน เพิ่งได้กลับมานั่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการตามสัญญาจ้างเต็มตัวไม่กี่วันก่อนก็เตรียมเกษียณในวันที่ยี่สิบสองเดือนนี้เสียแล้ว บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ !! มีคนเห็น มนูญศักดิ์ ตันติวิวัฒน์ ผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้กำลังพลิกตำรากฏหมายเพื่อเอาคืนใครบางคนหลังเกษียณ ??
.............................................

รักษาการ 2 ??
ตำแหน่ง ผบ.ตร.ตัวจริงถึงวันนี้ก็ยังคงไม่มี!! วันจันทร์ที่แล้ว ก.ตร.ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานก็ได้ฤกษ์เบิกฟ้าเปิดตำแหน่ง ที่ปรึกษา(สบ.10 )เทียบเท่า รอง ผบ.ตร.ยศพลตำรวจเอกเพิ่มอีกแล้วหนึ่ง การบริหารงานบุคคลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากให้ใครเป็นใหญ่ไม่มีตำแหน่งว่างก็กำหนดตำแหน่งเพิ่มเอาดื้อๆใครจะทำไม ?? เลขาธิการ ก.พ.ที่ร่วมเป็นก.ตร.อยู่ด้วยก็คงพูดไม่ออกบอกไม่ถูกไปตามระเบียบ ว่าแต่ว่าตำแหน่งที่กำหนดขึ้นใหม่นี้คงไม่ใช่เปิดไว้สำหรับคนที่คิดจะแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ในเดือนตุลาคมนี้นะ?? เพราะถ้าขืนเป็นเช่นนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจจะมีแค่ตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร.ต่อไปเรื่อยๆก็เป็นได้ จริงไหม อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ??
.............................................

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยใต้ฟ้า
ที่มา.บางกอกทูเดย์

แอฟริกาใต้

คนไทยอาจจะรู้จักทวีปแอฟริกาว่าเป็นดินแดนคนผิวดำ เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนที่ไม่ศิวิไลซ์ ยากจน มีการรบราฆ่าฟันระหว่างชนเผ่าแย่งชิงอำนาจกันเป็นว่าเล่น เดินทางไปลำบาก อากาศร้อน วันนี้คนไทยได้เห็นประเทศนี้เป็น “เจ้าภาพฟุตบอลโลก” เห็นแต่เฉพาะสนามเขียว ๆสี่เหลี่ยม นักฟุตบอล กรรมการ และคนดูที่เอาแต่เป่าปี่วูวูเซล่าหนวกหูและรบกวนสมาธิในการดูบอลชะมัด ไม่ได้เห็นอะไรนอกสนามนัก ที่จริง...

ทวีปแอฟริกามีอะไรดี ๆ เยอะที่เราคนไทยไม่ค่อยรู้ โดยเฉพาะประเทศแอฟริกาใต้ เจ้าภาพฟุตบอลโลกคราวนี้ มีอดีตผู้นำที่มีชื่อเสียงไปทั้งโลกอย่าง “เนลสัน แมนเดล่า” ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักปรองดอง ทำให้พลเมืองทั้งคนดำและคนขาวกว่า 40 ล้านสามัคคีกัน รักกัน ด้วยการที่เขาให้อภัยทุกคน ทั้งที่หลายคนทำกับเขา

อย่างสาหัสต้องถูกจองจำบนเกาะนานถึง 27 ปี แมนเดล่ายึดมั่นการสร้างชาติเป็นที่ตั้ง เราอาจเคยได้ยินชื่อ “แหลมกู๊ดโฮป” ที่ว่าสมัยโบราณเดินเรือผ่านยาก เพราะคลื่นลมแรง เราต้องรู้ว่าทำไมคลื่นลมแรง เพราะจุดนี้เป็นจุดพบกันระหว่างกระแสน้ำอุ่นของทวีปอินเดียกับกระแสน้ำเย็นของมหาสมุทรแอตแลนติค เดี๋ยวนี้

ที่นี่กลายเป็นที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของเมืองเคปทาวน์ มีนกเพนกวินสวยงามให้ไปดูมากมาย ถ้าได้ไปต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปดูวิวบนยอดเขาเทเบิลเมาเท่น สวยอย่าบอกใคร โจฮันเนสเบิร์ก เมืองธุรกิจที่เติบโตขึ้นมาเพราะมีการพบทองและเพชร ผู้คนจึงหลั่งไหลกันมาที่นี่เพื่อค้าอัญมณี คนไทยนั่งการบินไทยไม่ต้องแวะ

ที่ไหนไปถึงที่นี่ได้ภายใน 10 ชั่วโมง ประเทศนี้เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีป่าซาฟารีให้ส่องสัตว์ดูอย่างใกล้ชิด ประเทศนี้เราส่งสินค้าไปขายเยอะ และเราซื้อไวน์อร่อย ๆ จากเขาไม่น้อย ถ้าดูเป็นไวน์ที่นี่บางยี่ห้ออร่อยกว่าไวน์ฝรั่งเศสหรือไวน์ออสเตรเลียเสียอีก ประเทศนี้เป็นเหมือนไข่ขาวที่มีประเทศเลโซโท

เป็นไข่แดงเล็ก ๆ อยู่ตรงกลาง ประเทศนี้มีอะไรดี ๆ และไม่ดีให้พูดถึงเยอะ แต่เนื้อที่จำกัด ไม่สามารถลงรายละเอียดได้มากกว่านี้ แนะนำให้ไปหาหนังสือที่เกี่ยวกับประเทศนี้อ่านประกอบดูฟุตบอลโลก จะรู้สิ่งที่เราไม่รู้อีกเยอะ เขียนอะไรที่ไม่ใช่การเมืองบ้าง อย่าว่ากันล่ะ เบื่อการเมืองชิบ!

คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกคนเมือง
ทีมา.บางกอกทูเดย์
.............................................

สวรรค์กลาย

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
เป็นความวิตก ไม่ใช่เฉพาะคนไทย...แต่กับใครๆ ทั่วโลกก็มีความหวาดวิตกพอๆกัน...เพราะโลกใบนี้มันเล็กลงกว่าเก่ามากมาย...ติดปีกบินไปไม่ถึง 2 กรอบโลก กรุงเทพประเทศไทย...จึงกลายเป็นเมืองของโลกที่ใครๆ ก็อยากมา...ฝั่งทะเลไทยกลายเป็นสวรรค์ฝั่งในฝันของคนทั้งโลก...ที่จะมาชมอาทิตย์ขึ้น

อาทิตย์ตกในทะเลไทย...เมืองสวรรค์กลายใครต่อใครก็ต้องเสียดาย นิวส์วิค...บรรยายว่า...เมืองสวรรค์ดินแดนแห่งรอยยิ้ม หนึ่งในเสือเศรษฐกิจเอเชีย เที่ยบชั้นกับเกาหลีใต้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย...สวรรค์ของนักท่องเที่ยวปีละ 13 ล้านคน...นี่คือประเทศที่เป็นอันดับ 1 ของเมืองท่องเที่ยวแห่งเอเชีย ไทม์...

คาดหมายไว้ในบทความของเขาว่า...นี่คือแผ่นดินที่กำลังจะลุกเป็นไฟ...จากการเผชิญหน้ากันระหว่างประชาชนกับรัฐบาล ประชาชนกับกองทัพ...และประชาชนกับประชาชน...และวาดภาพแห่งความหวาดหวั่นให้ปรากฏต่อสายตาชาวโลกว่า...จะไม่ต่างไปกว่า...กลุ่ม ไออาร์เอ ในไอร์แลนด์เหนือ กับกลุ่มโบโกต้าในโคลอมเบีย...

22 ล้าน ของประชาชนคนไทย...คือคนอิสานตอนบน...นั่นคือที่ตั้งของ 4 จังหวัดใหญ่ที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่เคอร์ฟิว...วิรัตน์ ลิ้มสุวัฒน์...รักษาการผู้ว่าอุดร...บอกว่า...นี่คือเมืองหลวงของคนเสื้อแดง...1 ล้าน 7 แสนคน... คือประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้...เกินแสนล้านบาทกับอีก 5 พันชีวิต...

คือวิกฤติไฟใต้...ที่ยังลุกไหม้ไร้วันจบ...ถ้าหวาดวิตกของ นิวสวีคและไทม์...มันเป็นจริงขึ้นมา...นั่นคือประเทศไทยในความวิตกกังวงของประชาชนทั่วโลกมันจะต้องคูณกันเข้าไปอีกเท่าไหร่...ไม่ว่างบประมาณหรือชีวิต หน้าที่ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะนายกรัฐมนตรี...คือการทำให้ความวิกตเหล่านี้ไม่เป็นความจริง...

เป็นงานหนักเหนื่อย ของสุเทพ เทือกสุบรรณ...รองนายกฝ่ายความมั่นคง...และเป็นสงครามใหญ่ของใครก็ตามที่จะขึ้นมาเป็น ผู้บัญชาการทหารบก สืบต่อจาก พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นหน้าที่ของคนไทยที่รักประเทศไทย...จะต้องสวดมนต์ภาวนา...อย่าให้มันเกิดขึ้น...เป็นประชาชนมันก็ทำได้แค่ สวดมนต์ภาวนา

ที่มา.บางกอกทูเดย์
...................................

สิทธิมนุษยชน

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน

การที่รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยืนยันว่าการคง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไม่ใช่การละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะคนทั่วไปไม่ได้รับความเดือดร้อนนั้น นายสุณัย ผาสุข ผู้ประสานงานองค์การด้านสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาตอบโต้ว่า เมื่อพูดถึงสิทธิมนุษยชนนั้นจะหมายถึงสิทธิในความเป็นมนุษย์ของทุกคน

แต่การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ทำให้สิทธิการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของประชาชนหมดไป เพราะขณะนี้มีการปิดเว็บไซต์ที่เห็นต่างจากรัฐบาลแล้วกว่า 2,000 เว็บไซต์ ทำให้ประชาชนรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว และทำให้สิทธิในการเข้าถึงความจริงเป็นไปด้วยความยากลำบาก แม้จะมีการแต่งตั้งนายคณิต ณ นคร เป็นประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบเหตุการณ์เดือนเมษายนและพฤษภาคมแล้วก็ตาม แต่คนเสื้อแดงก็จะสงสัยว่าจะหาความจริงได้อย่างไรในขณะที่ยังมีการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร

องค์การด้านสิทธิมนุษยชนจึงเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินหากมีความจริงใจที่จะสอบสวนหาความจริงตามแผนปรองดองเพื่อหาตัวคนทำผิดมาลงโทษ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชุมนุมหรือเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็ประกาศว่าพร้อมจะรับผิดชอบหากมีหลักฐานว่ากระทำผิด

แต่มาตรา 17 ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉินระบุว่า ฝ่ายรัฐไม่ต้องรับผิดทั้งทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย ซึ่งนายอภิสิทธิ์ต้องพูดในประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่าพร้อมรับผิดอย่างไร แค่ไหน ไม่ใช่ใช้สำนวนโวหารไม่พูดความจริงทั้งหมดในการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเหมือนการลักไก่นิรโทษกรรมไว้ล่วงหน้าแล้ว

ดังนั้น หากนายอภิสิทธิ์มีความจริงใจจะปรองดองกับทุกฝ่ายจริงก็ต้องประกาศงดเว้นใช้มาตรา 17 ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ขณะเดียวกันก็ต้องยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน

การนำเรื่องนิรโทษกรรมมาพูดขณะนี้จึงไม่สำคัญเท่ากับการที่รัฐบาลยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินและการละเมิดสิทธิมนุษยชน เพราะหากบ้านเมืองมีความยุติธรรมและไม่ 2 มาตรฐาน ไม่ว่าประชาชนคนใดก็พร้อมจะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ไม่ใช่การใช้อำนาจจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ไม่ต่างกับกฎหมายเผด็จการมากล่าวหาหรือใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรือล้มล้างสถาบัน โดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรมตามปรกติอย่างขณะนี้

โดยเฉพาะการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินกล่าวหาและจับกุมประชาชนไปคุมขังแล้วกว่า 400 คน โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาก็ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ซึ่งรัฐบาลต้องตอบสาธารณชนและประชาคมโลกให้ได้เช่นกันว่า การคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษขณะนี้นั้นมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ โดยเฉพาะเหตุการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงที่ต้องระงับยับยั้งทันที เพราะมิฉะนั้นรัฐบาลก็หนีไม่พ้นที่จะถูกกล่าวหาว่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองข่มขู่และกวาดล้างฝ่ายตรงข้าม ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของบ้านเมือง

**********************************************************************