--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553

‘ลืมตัว-ลืมกาย-ลืมเท้า’ มันก็แย่

‘ลืมตัว-ลืมกาย-ลืมเท้า’ มันก็แย่
“อำนาจ” ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ จะมาถือ หรือครอบครอง เอาไว้ตลอดกาลคงไม่ได้...ทุกอย่าง ต้องมีการ “เปลี่ยนมือ” เป็นของแน่ ของแท้?? อยากให้ “รัฐมนตรีประชาธิปัตย์” ที่ร่วมสุข เสพสมในอำนาจกับ “รัฐบาลมาร์ค ๕” ของ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พึ่งสำเหนียก เจียมศรีษะ ไว้มั่งก็ดี จงเสมอต้นเสมอปลายทุกอย่าง....อย่าเป็นพวก “ยกหัว-ชูหาง” กร่างในความเป็นรัฐมนตรี เพราะแต่ก่อนร่อนชะไร “ประชาธิปัตย์” ยังเป็น “พรรคฝ่ายค้านดักดาน”..ก็มีสัมมาคารวะ..พอพลาสชั้น ข้ามขั้น เป็น “รัฐบาล” ก็มองไม่เห็น “หัว” ผู้มีพระคุณ และคนที่คบค้าสมาคม...เรียกว่า “เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเกือก” จนน่าเกลียด น่าชัง!!! “รมต.ประชาธิปัตย์”อย่าหยิ่งผยอง..สักวันท่านต้องตกกระป๋อง?..เลิกลำพองได้แล้วกะมัง
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

‘เดินดิน-กินข้าวแกง’ ได้ฉันใด??
อำนาจ-วาสนา ยังพุ่งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ก็ทำอะไร ได้ดั่งใจ?? อย่าลืมว่า “อภิสิทธิ์” เคยประสพ พบกับตัวเองมาแล้ว...วันที่เถลิงอำนาจเป็น “รัฐมนตรีประจำสำนักนายก” ในสมัยรัฐบาล “ชวน หลีกภัย” นั้น...ท่านถูกคนแอนตี้ อย่างหนัก ประวัติศาสตร์น่าสอนใจ...ท่านไม่จดจำอะไรเลย นะ “ท่านนายกฯ มาร์ค” หากท่านยังเล่นบท “ทศกัณฑ์ ๒๐ หน้า”....ดีเป็นผ้าพับไว้ ในหมู่เสื้อเหลือง และกลุ่มการเมืองที่หนุนประชาธิปัตย์...ขณะเดียวกัน จ้องกินเลือด “คนเสื้อแดง” บอกว่า “ปรองดอง” แต่ที่เห็นมีแต่ “ปองร้าย” ..เหล่าการ์ดเสื้อแดง ตายกันเป็นตับ!!! ถึงวันไม่ได้เป็น “นายกฯ”...ชักหวาดชักวิตก?...นรกจะไม่เยือน โดยไม่รู้ตัวนะสิครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ไม่มีพี่ ไม่มีพวก ไม่มีเพื่อน!!!
ยิ่งทำการเมืองไป “เดอะห้อยสยาม” เนวิน ชิดชอบ นายใหญ่พรรคภูมิใจไทย ยิ่งทำให้สถานบันเพื่อนพ้อง-น้องพี่ สั่นสะเทือน?? ไม่ได้ดัดหลัง หักหลัง “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แตกสะบั่นหั่นแหลกเพียงคนเดียว “หลงจู๊บรรหาร ศิลปอาชา” ก็ไม่เหลือ...ถูกเถือ ถูกดัดหลัง มาจมเขี้ยว ปิยะสหายร่วมน้ำมิตร “กลุ่ม ๑๖” อย่าง “พินิจ จารุสมบัติ-ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี” ถูกหักจนสิ้นเยื่อใยกันไปแล้ว....ตอนนี้ที่เหลือให้หัก มีแต่ “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี!!! หักมาแล้วอย่างสารพัด....ถ้าจะหักประชาธิปัตย์?....อีกสักนัดอย่าได้แปลกใจเลยนะพี่???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

วาดวิมานกลางอากาศ!!
ลูกเงาะ, ลูกกระเป๋ง ของ “แป๊ะลิ้ม” สนธิ ลิ้มทองกุล ..หยั่งกะ “สำราญ รอดเพ็ชร” ยังไม่เชื่อน้ำมนต์ แผนปรองดอง “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ผู้เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์?? เขาตราหน้า หยามเกียรติ ท่านนายกฯ ผู้แอบอยู่หลังอำนาจทหาร..ว่าการปรองดอง ที่สร้างภาพเนรมิตสวยหรู เลิศอลังการนั้น ..เพื่อต่ออายุวีซ่า ให้ “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” ได้อยู่นาน ๆ เรื่องสร้างสามัคคี... “สำราญ รอดเพชร” ชี้ ไม่มีวัน ขนาดพวกเดียวกัน หนุนเนื่องยกก้นกันแท้ๆ .. “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” เสื้อเหลืองยังไม่ให้ราคา สักนิด!!! แผนปรองดองที่ว่าโจ๊ะโจ๊ะ.....มีแต่คนสับให้โล๊ะ.....รีบเก็บเข้าลิ้นชักโต๊ะ ไปเหอะอภิสิทธิ์?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เป็น ‘ตรายาง’ คุณภาพดี ที่หนึ่ง
ได้รับเกียรติ ลบหลู่ โดนดูถูก ดูแคลน อย่างคาดไม่ถึง?? ฉะนั้น, “ธีระ วงศ์สมุทร” รมว.กระทรวงเกษตรฯ และ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม ยกเครื่อง ปรับตัวให้พ้น ว่าเป็นแค่ “หุ่นเชิด” ให้เขาสั่งการ ทั้ง ๒ คนล้วนเป็นคนเก่ง...ไฉนให้เขามาเฉ่ง สบประมาทได้ ล่ะท่าน อยากเห็น “รัฐมนตรีธีระ” และ “รัฐมนตรีโสภณ” ทำตัวหลุดพ้น จากการ สั่งการ บอกบท ชี้นิ้ว สั่งทุกเรื่อง จาก “บรรหาร ศิลปอาชา” ผู้ยิ่งใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา และ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่พรรคภูมิใจไทย เสียที!!! ถ้าเป็น “รัฐมนตรีว่าการ”....แล้วถูกชี้นิ้วทุกวัน......กลับไปบ้านเลี้ยงหลาน เหอะคุณพี่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

บ้านเมืองวุ่น! แต่หุ้นกระฉูดชนเพดาน!! ซื้อคืน‘ไทยคม’ปากไวไปมั้ง?



การออกข่าว “ซื้อคืนไทยคม” ถือเป็นเผือกร้อน กระแสฮอตล่าสุด ที่ทำให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ปั่นป่วน เพราะจริงๆ แล้วยังเป็นแค่แนวคิด ก็คนรอบข้างนายกฯ ปากไวกันไปก่อนแล้ว กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกจับตามองอย่างมากขึ้นมาในทันที กรณีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีแนวคิดที่จะซื้อคืนดาวเทียมไทยคมจากเทมาเส็ก เรียกได้ว่า ทั้งสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง

ภาคเศรษฐกิจ นักลงทุนไทย และนักลงทุนต่างชาติ ต่างมีการวิพากษ์วิจารณ์กันกระหึ่ม รัฐบาลสามารถสร้างกระแสได้ชนิดที่ต้องยอมรับว่า “ฝีมือ” จริงๆ เพราะแม้ในช่วงนี้จะเป็นกระแสบอลโลกฟีเวอร์ แต่มาเจอเรื่องซื้อคืนไทยคม บอลโลกก็ยังกลบกระแสไม่อยู่ ปัญหาเพียงแค่ว่า เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่หลากหลายสุดแท้แต่ว่า

ใครจะมองในมุมไหน มองในมุมรัฐบาล เหตุผลก็มีการเผยไต๋ออกมาชัดเจนแล้วว่า มองในแง่ของความมั่นคงเป็นหลัก ซึ่งถือเป็นเหตุผลที่พูดเมื่อไหร่ก็ใช้เป็นข้ออ้างได้เมื่อนั้น และเช่นเดียวกับกลุ่มสีเสื้อต่างๆ ที่ยืนอยู่ในขั้วต้องการให้คนชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ปิดฉากจากประเทศไทยไปตลอดกาล ต่างก็ออกมา

ขานรับอุตลุดว่าสมควรอย่างยิ่งที่จะซื้อคืน แถมบางรายไม่น่าเชื่อว่าอยู่ในโลกของเศรษฐกิจทุนนิยมในยุคปัจจุบันด้วยซ้ำ เพราะเสนอให้รัฐบาลใช้การยึดคืนมาเป็นสมบัติของรัฐดื้อๆ อย่างนั้นเลย... โดยอาจจะลืมนึกไปว่าแค่นี้ประเทศไทยในสายตาโลกก็บิดเบี้ยวไปเยอะแล้ว หากขืนใช้วิธียึดคืน ก็แทบจะไม่ต่างกับ

การปิดประตูเรื่องการลงทุนจากต่างประเทศไปเลย หน่วยงานอย่างสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ คงต้องปิดป้ายหยุดกิจการไปเลย เพราะเป็นเรื่องยากที่จะตอบสังคมต่างประเทศว่า รัฐบาลไทยใช้กฎหมาย ใช้เหตุผล หรือใช้อำนาจข้อใดในการยึดคืนไทยคม??? ในขณะที่หากเป็นมุมมองของนักลงทุน

ส่วนใหญ่จะจับตามองกันเขม็งว่า สุดท้ายเรื่องนี้จะยุติอย่างไร จะมีการซื้อคืนจริงๆ หรือไม่ และที่สำคัญจะซื้อคืนในราคาใด??? ถ้าเป็นอย่างที่มีการปล่อยข่าวจริงๆ คือ ใช้เงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท การเก็งกำไรราคาหุ้นไทยคมในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกระฉูดแน่ เพราะราคา ณ ปัจจุบัน

ที่ขยับขึ้นมาหลังรัฐบาลยอมรับว่าสนใจที่จะซื้อไทยคมคืน จากราคาหุ้นละ 4-5 บาท ก็ขยับขึ้นมาเป็น 6-7 บาทเข้าไปแล้ว... จนเกิดการตั้งคำถามว่า น่าเป็นข่าวที่กระทบกับราคาหุ้นหรือไม่ ทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต.จะทำอย่างไรกับกรณีข่าวนี้ ... และจะสั่งแขวนหุ้นพักการซื้อขายจนกว่าข่าวนี้จะนิ่งหรือไม่???

จริงๆ แล้วเรื่องนี้ แม้ว่านายอภิสิทธิ์ อาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งถึงกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ ในเรื่องของการให้ข่าวที่กระทบกับราคาหุ้น แต่เรื่องอย่างนี้นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องถือว่าเชี่ยวชาญชำนาญเกมตลาดหุ้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะเคยเป็นวาณิชธนกิจตลาดหุ้นมาเองกับมือ

จึงควรที่จะเป็นพี่เลี้ยงนายอภิสิทธิ์ ว่าอะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด เพราะแค่นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่า รัฐบาลมีแนวคิดซื้อดาวเทียมไทยคมจริง ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ เหตุผลคือถ้าคำนึงถึงผลกระทบต่อความมั่นคงในเรื่องของดาวเทียม “ใช่ครับ ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้..ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์ถ้าได้คืนมา

แต่เราก็ต้องดูความสมเหตุสมผลในเรื่องของเงื่อนไขราคาต่างๆ ทั้งนี้ รัฐบาลจะซื้อเฉพาะดาวเทียมเท่านั้น ส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง” นายอภิสิทธิ์พูดชัด เท่านี้ราคาหุ้นไทยคมก็เก็งกำไรกันอุตลุดแล้ว ยิ่งนายศิริโชค โสภา ในฐานะเลขานุการส่วนตัว นายอภิสิทธิ์ ออกมายืนยันซ้ำว่านายกรัฐมนตรี

ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ศึกษาแนวทางซื้อหุ้น บริษัทไทยคม คืนจากกลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์ โดยขณะนี้รัฐบาลส่งตัวแทนคุยกับเทมาเส็กแล้ว ซึ่งทางเทมาเส็กก็พร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอจากรัฐบาลไทย แถมให้รายละเอียดด้วยว่า ในเบื้องต้นการซื้อหุ้นคืนนั้น

อาจจะเป็นไปได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การให้รัฐวิสาหกิจที่มีความพร้อมและมีความสนใจเข้าไปซื้อ เช่น บริษัท อสมท. และ กสท.โทรคมนาคม (กสท.) และแนวทางที่ 2 คือ ให้คนไทยมีส่วนร่วมในการระดมเงินซื้อดาวเทียมไทยคมกลับมาเป็นของคนไทย ซึ่งอาจจะเป็นการตั้งกองทุนไทยคมและให้คนไทยเข้าไปถือหุ้น

“หากจะซื้อเฉพาะดาวเทียม คาดว่าจะใช้เงินไม่เกิน 1,000 ล้านบาท แต่ขณะเดียวกันก็ต้องดูด้วยว่าทางเทมาเซคยินดีจะขายให้เฉพาะดาวเทียม หรือจะขายให้ทั้งบริษัท รวมทั้งขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อเสนอจากทางรัฐบาลไทยด้วย” นายศิริโชคย้ำยืนยัน นี่หากเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองที่ร้อนแรง

และคนออกมาพูดไม่ใช่รัฐบาลแล้ว รับรองเจอดาบจากทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ กลต.อย่างแน่นอน ซึ่งนายกรณ์ นั้นรู้ดีที่สุด จึงตอบเลี่ยงในเรื่องนี้ว่าไม่ขอพูดถึง เนื่องจากไม่เหมาะสม เพราะทั้ง บริษัท ชินคอร์ป และบริษัท ไทยคม เป็นบริษัทอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หากพูดไปจะไม่ยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นทุกๆ ราย

ดังนั้นคงไม่มีอะไรที่จะเปิดเผยได้ “ผมยอมรับว่าผมเดินทางไปพบกับเทมาเส็กจริง ในช่วงหลังมีการบุกสถานีดาวเทียมไทยคมที่ อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี แล้วผมก็ออกค่าตั๋วเองด้วย แต่ผมขอไม่พูดเรื่องนี้” นายกรณ์ กล่าว อย่างไรก็ตามนายกรณ์ให้เหตุผลว่า การที่เดินทางไปพบเทมาเส็ก ก็เนื่องจากเทมาเส็ก

ถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญหน่วยงานหนึ่งของรัฐบาลประเทศสิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นมิตรที่ดีกับไทย เพราะฉะนั้นจะมีอะไรก็ย่อมจะพูดคุยทำความเข้าใจกัน ซึ่งกรณีบริษัทที่เทมาเส็กถือหุ้นใหญ่อยู่ก็เป็นปกติในการที่จะพูดคุยกัน “หากพูดไปจะไม่ยุติธรรมกับผู้ถือหุ้นทุกๆ ราย รวมทั้งจะซื้อหรือไม่ซื้อ

จะขายหรือไม่ขายเรื่องเหล่านั้นไม่เหมาะสมที่จะชี้แจง” ยิ่งเรื่องนี้ทาง บ.เทมาเส็ก จะยินดีหรือไม่นั้น นายกรณ์ ตอบว่า ขอไม่พูดแทนเขา ถ้าให้ข้อมูลมากกว่านี้จะสุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ร.บ. ตลาดหลักทรัพย์ แล้วจะมีผลต่อการซื้อขายหุ้น จึงไม่ขอพูดอะไรกันมากกว่านี้ ส่วนกรณีที่นายกฯ

ให้กระทรวงการคลังไปศึกษา การจะศึกษาหรือไม่ศึกษาอย่างไร เมื่อมีประเด็นที่จะต้องชี้แจงเพื่อให้สาธารณชนรับรู้ก็ขอชี้แจงในตอนนั้น เรียกว่านายกรณ์เป็นมวยเกี่ยวกับเรื่องตลาดหลักทรัพย์ แต่คนอื่นไม่ใช่ เพราะฉะนั้นแค่เท่าที่เป็นข่าวกระฉ่อนทั่วประเทศ ราคาหุ้นไทยคมก็ขยับแล้ว และคำถามในแวดวงนักลงทุนก็กระหึ่มแล้ว

โดยปรากฏว่าราคาหุ้นของบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ทะยานขึ้นได้อย่างร้อนแรง ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เปิดตลาด และปรับขึ้นจนชนเพดานสูงสุด (ซีลลิ่ง) ในช่วงบ่ายของวันที่ระดับ 7.05 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 1.60 บาท หรือ 29.36% มูลค่าการซื้อขาย 825.44 ล้านบาท เป็นหลักทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงสุด

โดยมีมูลค่าซื้อขายมากเป็นอันดับ 8 นักวิเคราะห์จาก บล.อยุธยากล่าวว่า ขั้นตอนการซื้อหุ้นไทยคมของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลาการศึกษาอีกนานว่าจะซื้อในรูปแบบใด จะใช้แหล่งเงินทุนจากไหน ที่สำคัญทางเทมาเส็กยังไม่ได้สรุปที่จะขายกิจการดาวเทียม นักวิเคราะห์มองว่า ในปี 2549 เทมาเส็กใช้เงิน

ซื้อไทยคมด้วยมูลค่า 17,000 ล้านบาท ในราคา 15.10 บาทต่อหุ้นจำนวน 1,100 ล้านหุ้น หากรัฐบาลต้องการซื้อเฉพาะดาวเทียมกลับมา คาดว่าจะต้องใช้เงินมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่หากรัฐบาลไทยต้องซื้อไทยคมทั้งหมด จะต้องใช้เงินราว 17,000 ล้านบาท ส่วนนักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง

มองว่าเป็นกรณีที่ประเมินได้ยากว่ารัฐบาลจะซื้อไทยคมจริงหรือไม่ แต่หากจะซื้อจริงต้องใช้เวลานาน ส่วนจะใช้เงินมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับราคาที่ตกลงจะซื้อขาย ซึ่งมูลค่าหุ้นตามบัญชี (บุ๊กแวลู) ของบริษัทฯ อยู่ที่ระดับ 13.80 บาท/หุ้น แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะต่อลงไปอีก ขณะที่ราคาที่บริษัทฯ ให้ตามปัจจัยพื้นฐานนั้น

อยู่ในระดับ 8.40 บาท/หุ้น นอกจากนี้ หากรัฐบาลจะซื้อหุ้นไทยคมก็ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) ด้วย อย่างไรก็ตามหากสิ่งที่รัฐบาลไทยสนใจ คือ ดาวเทียม ซึ่งหากจะซื้อเฉพาะดาวเทียม และหากเทมาเส็กยินยอมขาย ก็จะเป็นราคาเฉพาะดาวเทียม ซึ่งอาจจะเป็นวงเงิน

ประมาณ 1,000 ล้านบาท – 5,000 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นการซื้อขายทั้งบริษัท รับรองได้ว่าจะใช้เงินเป็นระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไปอย่างแน่นอน เพราะต้องไม่ลืมว่า กองทุนเทมาเส็กเอง ก็เป็นหน่วยงานลงทุนที่มุ่งหวังกำไรหรือผลประโยชน์ตอบแทนในการลงทุน การที่จะให้ยอมขายขาดทุนให้กับรัฐบาลไทยนั้น เชื่อว่าคงไม่ยอมแน่

เพราะที่ผ่านมาแค่ผลการดำเนินงานของกองทุนเทมาเส็กลดลง รัฐบาลสิงคโปร์ก็เข้ามาเล่นงานตรวจสอบ โยกย้ายผู้บริหารกองทุนเทมาเส็กอุตลุดแล้ว ฉะนั้นเชื่อได้เลยว่าทางเทมาเส็กฯ คงจะต้องขอดูเงื่อนไขต่างๆ จากรัฐบาลไทยก่อน เพราะถือเป็นเงื่อนไขในเชิงธุรกิจ เนื่องจากผู้บริหารเทมาเส็กก็ต้องไปตอบผู้ถือหุ้นถือกองทุน

รวมทั้งตอบกับรัฐบาลสิงคโปร์ให้ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจริงๆ แล้ววันนี้ ทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับรายละเอียดข้อเสนอจากทางรัฐบาลไทย ซึ่งในเมื่อในวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ ก็ไม่น่าที่จะให้ข่าวกระหึ่มกันออกมาก่อนเช่นนี้ ปัจจุบัน บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ซึ่งมีกลุ่มเทมาเส็ก สิงคโปร์

เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น นับเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ไทยคม จำนวน 450,870,934 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 41.14% ตามมาด้วย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ถือหุ้นในสัดส่วน 3.52 % นายอำนวย พิจิตรพงศ์ชัย ถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 1.12% นางราณี เอื้อทวีกุล ถือหุ้นอยู่ 1.09 % และนางบุปผา งามอภิชน

ถือหุ้นอยู่ 1.09 % แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ รัฐบาลจะเอาเงินจากไหนมาซื้อ และหากได้คืนมาแล้วจะบริหารจัดการอย่างไร จะใช้ประโยชน์เพื่อการเมืองของรัฐบาล หรือเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งหมดคือคำถามที่รัฐบาลต้องตอบประชาชน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คปส.ค้านกองทัพเข้ามาจัดสรรคลื่นความถี่วิทยุ-โทรทัศน์

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อเรียกร้องให้ ส.ส. ค้านการแก้ไขหลักการ "พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ" ที่เปิดให้ตัวแทนจากฝ่ายกองทัพเข้ามาเป็น กสทช. ถ้าให้แก้เท่ากับให้กองทัพครอบงำกิจการสื่อฯ ชี้ปัจจุบันกลาโหมเป็นเจ้าของคลื่นวิทยุกว่า 201 สถานี เป็นเจ้าของทีวี 2 ช่อง ถ้าให้ทหารเข้ามายุ่งย่อมปฏิรูปสื่อได้ยาก

วันนี้ (15 มิ.ย.) คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ หรือ คปส. ออกแถลงการณ์ "คัดค้านร่างกฎหมาย องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ‘ฉบับ ท.ทหาร ฉุกเฉิน’" โดยระบุว่าถ้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยอมให้วุฒิสภาแก้ไขหลักการของ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ที่เปิดให้ตัวแทนจากฝ่ายกองทัพเข้ามาเป็นคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก็เท่ากับให้กองทัพครอบงำกิจการสื่อกระจายเสียง

โดย คปส. มีข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร สื่อมวลชน และสาธารณชน ดังนี้ 1. ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านการแก้ไขหลักการสำคัญโดยวุฒิสภา ที่เปิดให้ตัวแทนจากฝ่ายกองทัพเข้ามาเป็น กสทช. และจัดสรรผลประโยชน์ล่วงหน้าให้กับ หน่วยงานของตน และขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งยึดมั่น ในเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ อันเป็นหลักการรองรับสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และการได้มาซึ่งองค์กรอิสระที่เป็นอิสระ อย่างแท้จริง

2. ขอให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบการทำหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมายฉบับนี้ ของวุฒิสภา และตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างสองสภาขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมาย ฉบับนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้และมีส่วนร่วมตรวจสอบโดยตรง

และ 3. ขอให้สื่อ มวลชน และ สาธารณชน ติดตามการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิดและ ให้ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้าง ขวางในการตรวจสอบและปกป้องผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรสื่อสารของสาธารณะ โดยมีรายละเอียดของแถลงการณ์ดังนี้

"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
แถลงการณ์คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ
คัดค้านร่างกฎหมาย องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ‘ฉบับ ท.ทหาร ฉุกเฉิน’

สืบเนื่องจากการประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญนัดพิเศษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา เพื่อทำหน้าที่กลั่นกรองร่างพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความ ถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. … และวุฒิสภามีมติผ่านร่างกฎหมาย โดยแก้ไขในหลักการสำคัญ ประกอบด้วย 1) การเพิ่มองค์ประกอบในองค์กรอิสระให้กับฝ่ายความมั่นคง และกำหนดให้มีกรรมการมาจากฝ่ายความมั่นคง ตลอดจนเปิดให้หน่วยงานความมั่นคงส่งตัวแทนเข้าคัดเลือกกันเองเป็นกรรมการ และ 2) การกำหนดให้ต้องจัดสรรคลื่นความถี่ให้กับฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ อย่างเพียงพอ

คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) เห็นว่า การกลั่นกรองร่างกฎหมายของวุฒิสภาในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นการทำลายหลักการ สำคัญและเจตนารมณ์ในการปฏิรูปสื่อของภาคประชาชน ที่เรียกร้องให้มีองค์กรที่เป็นอิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับดูแลการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ตลอดจนกิจการโทรคมนาคมมาตลอดระยะเวลากว่าสิบปี กล่าวคือ เป็นการอาศัยสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองเพื่อสร้างความชอบธรรม ให้แก่หน่วยงานความมั่นคงหรือกองทัพ ในการเข้าแทรกแซงองค์กรอิสระ และจัดสรรผลประโยชน์ให้กับตนเองอีกครั้งหนึ่ง

เพราะภายหลังที่กองทัพได้กระทำ การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ผ่านร่างกฎหมายและบังคับใช้พระราชบัญญัติการประกอบกิจการ กระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 มีสาระสำคัญคือ เปิดให้กองทัพสามารถแสวงหารายได้ในเชิงพาณิชย์จากการประกอบ กิจการวิทยุและโทรทัศน์ได้ต่อไปดังที่ได้ดำเนินการมาอย่างยาวนาน ตลอดห้าทศวรรษที่ผ่านมา

วิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองใน ปัจจุบันที่นำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย ส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของรัฐในการปฏิรูปสื่อ ส่งผลให้สังคมไทยขาดกลไกที่เป็นอิสระกำกับดูแลสื่อวิทยุและ โทรทัศน์เป็นเวลายาวนาน อีกทั้งการที่หน่วยงานรัฐและทุนที่ครอบครองสื่อผูกขาดเดิมได้เข้าแทรกแซงกระบวนการสรรหาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.) จนไม่สามารถจัดตั้งองค์กรอิสระดังกล่าวได้เป็นระยะเวลากว่าสิบปี กระทั่งการรัฐประหารในปี 2549 มีผลให้เป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญมาตรา 40 โดยแก้ไขเป็นมาตรา 47 ซึ่งสาระสำคัญที่เปลี่ยนไป คือการกำหนดให้รวมสององค์กรกำกับดูแลเข้าด้วยกันเป็นคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จนนำมาสู่การร่างกฎหมายดังกล่าวในปัจจุบัน ซึ่ง คปส. สนับสนุนร่างฉบับสภาผู้แทนราษฎร แต่คัดค้านร่างที่ผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาที่ได้แก้ไขสาระสำคัญ อันขัดต่อเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ

ในการนี้หากรัฐบาลยินยอมต่อข้อขัดแย้งในหลักการสำคัญที่วุฒิสภาแก้ไข ย่อมไม่ต่างจากการปกป้องผลประโยชน์ให้กองทัพมีอำนาจในการครอบงำกิจการสื่อกระจายเสียง อีกทั้งยังตอกย้ำปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะปัจจุบันกระทรวงกลาโหมเป็นเจ้าของคลื่นความถี่วิทยุมากถึง 201 สถานี และเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และเป็นผู้ดูแลสัมปทานสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังนั้นถ้าหน่วยงานจากฝ่ายทหารเข้ามาเป็นตัวแทนในองค์กรกำกับ ดูแลอิสระย่อมเป็นไปได้ยากมากที่จะปฏิรูปสื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่แท้จริง

คปส. ซึ่งเป็นองค์กรภาค ประชาสังคมที่ติดตามตรวจสอบและผลักดันการปฏิรูปสื่อมากว่าหนึ่ง ทศวรรษจึงมีข้อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร สื่อมวลชน และสาธารณชน ดังนี้

1. ขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคัดค้านการแก้ไขหลักการสำคัญโดยวุฒิสภา ที่เปิดให้ตัวแทนจากฝ่ายกองทัพเข้ามาเป็น กสทช. และจัดสรรผลประโยชน์ล่วงหน้าให้กับ หน่วยงานของตน และขอให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งยึดมั่น ในเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ อันเป็นหลักการรองรับสิทธิเสรีภาพการสื่อสาร ของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ และการได้มาซึ่งองค์กรอิสระที่เป็นอิสระ อย่างแท้จริง

2. ขอให้สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นชอบการทำหน้าที่กลั่นกรองร่างกฎหมายฉบับนี้ของวุฒิสภา และตั้งกรรมาธิการร่วมระหว่างสองสภาขึ้นเพื่อทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยต้องเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้และมีส่วนร่วมตรวจสอบโดยตรง

3. ขอให้สื่อ มวลชน และ สาธารณชน ติดตามการแก้ไขร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างใกล้ชิดและ ให้ข่าวสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมอย่างกว้าง ขวางในการตรวจสอบและปกป้องผลประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรสื่อสารของสาธารณะ


ด้วยความเชื่อมั่นในเจตนารมณ์การปฏิรูปสื่อ
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.)
15 มิถุนายน 2553

ที่มา.ประชาไท
.................................................

ลูกไก่


โดย อรุณรุ่ง สัตย์สวี

ลูกไก่ตัวนั้นหายไปตอนหัวค่ำ
ได้ยินแต่เสียงแว่วติดหู ว่าใช่...ไม่ใช่
ความมืดเว้นช่องโหว่ไว้เล็กน้อยให้ควานตาหา
ความเงียบถ่อมตัวอยู่ในดงไม้เล็กๆ กลางเมืองใหญ่
แต่นั่นมิเพียงพอต่อการค้นหาสิ่งมีชีวิตที่เล็กลงไปกว่านั้น
ความเป็นความตายขนาบราตรีสีหม่นเทา

บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ
ทั้งในจอโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ ท้องถนน ชนบท ในเมือง และทุกหัวระแหง
ห้ำหั่นกันมิยอมอ่อนข้อ
เก่า ใหม่ วนเวียน การสาบสูญของความยุติธรรม กดขี่ซ่อนรูปลวงตา
ขึ้นล่องล้วนเลือดเนื้อประชาชนเม็ดเบี้ยเสือกไสกระเสือกกระสนบนกระดานชีวิต

ลูกไก่ตัวนั้นยังมีลมหายใจอยู่หรือกลายเป็นเหยื่อของสัตว์หน้าขนเขี้ยวเล็บคม
เสียงแว่วยังแวะเวียนให้มีความหวัง
ยิ่งนิ่งฟังกลับเงียบหาย
ความมืดถมช่องโหว่เสียสนิทในดิ่งลึกดึกดำ

ฉันคิด...และเดินจากมาบนความเงียบงัน

“ ไม่ว่าหมา! หรือแมว! ล้วนเป็นศัตรูตัวฉกาจของลูกไก่ ”
ที่มา.ไทยอีนิวส์
*********************************************

“วรพล พรหมมิกบุตร” นักวิชาการ มธ.มอบตัวฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถูกคุมไป ตชด.ภ.1

อาจารย์ มธ.เข้ามอบตัว แจงไม่คิดหนี ยันการแสดงความเห็น-ให้ข้อแนะนำ ทำตามเจตนาทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาละเมิดกฎหมาย ด้านทนาย นปช. จี้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ชี้ไม่สร้างความปรองดอง พร้อมซัด DSI ไร้มาตรฐานจับทุกคนที่เกี่ยวกับ นปช.พ่อครัว ก็ไม่เว้น

แนวหน้า รายงานว่า เมื่อเวลา 14.00 น.วันนี้ (14 มิ.ย.53) นายวรพล พรหมิกบุตร อายุ 53 ปี อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมนุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่ 19/2553 ลงวันที่ 8 เม.ย.53 พร้อมด้วยนายคารม พลทะกลาง ทนายความ เดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ รักษาราชการแทน ผบก.ป.และพ.ต.อ.กิตติศักดิ์ สุขวัฒน์ธนกุล ผกก.5 บก.ป.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.)

นายวรพล กล่าวว่า หลังจากที่ถูกศาลออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ได้ประสานผ่านทนายความติดต่อขอเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวน บก.ป.มาก่อนหน้านี้กว่า 1 สัปดาห์แล้ว แต่ติดปัญหาเรื่องสุขภาพ จึงนัดหมายในวันเดียวกันนี้และเป็นช่วงที่ทางมหาวิทยาลัยเปิดภาคเรียนใหม่พอดี ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้หลบหนีไปไหนยังอยู่ที่บ้านพักกับภรรยาก็รู้สึกดี และอุ่นใจที่ทางตำรวจไม่ได้ดำเนินการอะไรด้วยความรุนแรงหรือแข็งกระด้าง

นายวรพล กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องการถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นั้น ขอชี้แจงในชั้นนี้ว่าสิ่งที่ได้ดำเนินการตนทำไปตามเจตนาทางวิชาการอย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาที่จะละเมิด กฎหมายดังกล่าว โดยส่วนตัวได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร วิเคราะห์ นำเสนอและคาดคะเนสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและระหว่างการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ให้คำแนะนำทั้งกับประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุม รวมทั้งรัฐบาลว่าไม่ควรใช้อำนาจเกินเลย เช่น กรณีเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

“ผมได้วิจารณ์สิ่งที่เกิดขึ้นโดยสุจริตและได้รับการรับรองจากองค์กรหรือหน่วยงานของต่างประเทศหลายแห่ง ผมเคยพูดบนเวทีของกลุ่ม นปช.รวมทั้งเผยแพร่บทความผ่านทางเว็บไซด์มีการวิเคราะห์ว่า ปี 2553 จะเกิดอะไรขึ้น บทความเรื่องปลายทางความรุนแรงหายนะคนเสื้อแดง มีเนื้อหากล่าวเตือนเกี่ยวกับการใช้ความรุนแรง กระทั่งสถานการณ์การชุมนุมได้บานปลายไปไม่หยุด” นายวรพลกล่าว และว่าการถูกออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ครั้งนี้ จึงต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปว่าไม่ได้มีเจตนาที่จะละเมิดกฎหมาย

ขณะที่ นายคารม กล่าวว่า ในวันที่ 15 มิถุนายนนี้ ตนทราบว่า ทางพนักงานสอบสวน บก.ป.จะยื่นหนังสือต่อศาลอาญา เพื่อขอถอนหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ของบรรดาแกนนำ นปช.ประมาณ 10-13 ทั้งที่ถูกควบคุมตัวที่ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ที่ บก.ตชด.ภาค 1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากนั้นทางพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะขอควบคุมตัวต่อทันที ซึ่งถ้ารัฐบาลจริงใจที่จะดำเนินการตามแผนปรองดองก็ขอให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะแกนนำที่ถูกออกหมายจับต่างแสดงความบริสุทธิ์ใจ และในฐานะที่เป็นทนายของคนเสื้อแดงไม่เห็นว่าแนวทางการปรองดองจะเดินไปได้

นายคารม กล่าวต่อว่า การที่รัฐบาลได้ตั้ง ศ.ดร.คณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะกรรมการอิสระในการตรวจสอบสอบข้อเท็จจริงจากกรณีที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากการชุมนุมทางการเมืองนั้น ส่วนตัวเห็นว่าไม่มีความเป็นกลางการดำเนินการก็จะไม่น่าเชื่อถือ

ส่วนกรณีของผู้ที่ถูกออกหมายจับในคดีก่อการร้าย หลายรายเห็นได้ว่าไม่น่าจะเข้าข่ายกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เช่น นายสมบัติ มากทอง ซึ่งอยู่ที่สนามหลวง เป็นคนทำกับข้าวเลี้ยงกลุ่มผู้ชุมนุม กรณีนี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการจะต้องรับผิดชอบและจะต้องถูกตรวจสอบสักวันหนึ่ง เพราะนายธาริต ก็เป็นหนึ่งในกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

สำหรับแกนนำ นปช.รายอื่นๆ เช่น นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน รวมทั้งนายพายัพ ปั้นเกตุ นายคารม กล่าวว่า ทั้งหมดได้มีการติดต่อมาอยู่บ้าง ซึ่งเชื่อว่าอาจจะอยู่ด้วยกันทั้งหมดแต่ไม่ทราบว่าที่ไหน และยังรู้สึกไม่ปลอดภัยจึงไม่คิดที่จะออกมามอบตัวในช่วงเวลานี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรพล เป็นแกนนำ นปช.ที่ถูก บก.ป.พิจารณาขออนุมัติศาลอาญา ออกหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นชุดแรกรวม 17 ราย พร้อมกับแกนนำคนสำคัญ อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ อายุ 62 ปี นพ.เหวง โตจิราการ อายุ 59 ปี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 35 ปี นายขวัญชัย ไพรพนา อายุ 58 ปี นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 45 ปี ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดได้มอบตัวกับตำรวจไปแล้วก่อนหน้านี้

ด้าน พ.ต.อ.สุพิศาล กล่าวว่า ได้สั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป.แจ้งข้อกล่าวหาให้ นายวรพล ทราบและสอบปากคำเพื่อทำบันทึกเป็นหลักฐาน ก่อนนำตัวไปควบคุมที่ บก.ตชด.ภาค 1 ต.คลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ต่อไป
ที่มา.ประชาไท
**********************************************

"ทักษิณ"ทุกลมหายใจ

แผนปรองดองของนายกฯ อภิสิทธิ์ ขับเคลื่อนไปอย่างหงอยๆ กร่อยๆ

ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่ไปทาบทามต่างปฏิเสธ

ขนาดพรรคการเมืองสีเหลือง ดมดอมหอมหวานกันมาตลอดยังร้องยี้!

ยี้ทั้งตัวแบบแผน ยี้ทั้งตัวประธานกรรมการ

จริงๆ แล้วก็ยี้มันทุกเรื่องที่ตัวเองไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้มีอุดมการณ์สูงส่งอะไรนักหนา

แต่ตัวสะท้อนตรงๆ ตามหลักวิชาการ ก็คือโพลสำนักใหญ่ล้วนมีผลสำรวจตรงกัน

ประชาชนไม่เชื่อมั่น ด้วยจำนวนเปอร์เซ็นต์สูงมาก

ล้วนแล้วแต่เป็นโพลที่อภิสิทธิ์ และชาวคณะ ไม่กล้าตอบโต้ โวยวาย

ส่วนกระแสสังคมก็เฉื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่สนุกสนานเหมือนไปร้องเพลง ล้างถนน ปลูกต้นไม้ ช็อปปิ้งราชประสงค์-สีลม

ตอกย้ำภาพฉาบฉวย หยิบหย่ง ของบางกลุ่ม บางสังคม?

อภิสิทธิ์ปากปาวๆ ปรองดองๆ ทว่าหลายๆ เรื่องกลับกระทำตรงกันข้าม

เอาเฉพาะหลักๆ สำคัญๆ ก็เช่น ยังละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดแจ้ง

จับผู้บาดเจ็บจากการชุมนุมล่ามโซ่กับเตียงร.พ. เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เก็บแผนปรองดองเข้าลิ้นชักได้เลย

และที่นานาอารยประเทศรับไม่ได้ ก็คือ การยังคงประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ล่าสุดองค์การนิรโทษกรรมสากล ทำจดหมายเปิดผนึกถึงอภิสิทธิ์โดยตรง

เรียกร้องให้ยกเลิกประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินทันที

ท่าทีของนายกฯ อภิสิทธิ์ก็ทันทีเช่นกัน

นั่นคือ มองว่าเพราะทักษิณล็อบบี้ต่างประเทศ จึงเกิดความเข้าใจผิด รู้ไม่จริง

เหมือนกับตั้งแง่กลุ่ม องค์กร สื่อต่างประเทศ ที่เห็นต่างช่วงก่อนและหลังสลายม็อบแดง

ทั้งๆ ที่องค์การนิรโทษกรรมสากล ระดับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ รางวัลองค์การสหประชาชาติสาขาสิทธิมนุษยชน

ซึ่งประเทศประชาธิปไตยทั่วโลกยอมรับ สมัยอภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้านก็ยอมรับ??

ถ้าติดตามนายกฯ ผู้นี้มาตลอด จะพบความจริงบางอย่าง

สาเหตุที่ยังไม่ตั้ง และตั้งผบ.ตร.ไม่ได้ ก็เพราะกลัวเป็นพวกทักษิณ

โยกย้ายข้าราชการน้อยใหญ่พ้นหน้าที่สำคัญ ก็เพราะกลัวเป็นคนทักษิณ

กระทำกับคนเสื้อแดงจนบาดเจ็บล้มตายมากมาย ก็เพราะกลัวทักษิณ

ทักษิณทุกลมหายใจ!?

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
*********************************************

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รัฐศาสตร์เสวนา: มิติใหม่การชุมนุมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

นักวิชาการเศรษฐศาสตร์ชี้ แรงจูงใจเสื้อแดงไม่ใช่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแต่เป็นความไม่เท่าเทียมในสิทธิทางการเมือง ขณะที่นักรัฐศาสตร์ระบุอย่ากล่าวหาเสื้อแดงเป็นวัวควายถูกจูง ผลการสำรวจคนเสื้อแดงตื่นตัวและผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมาก นักสันติวิธีระบุสังคมไทยแตกแยกคนเป็นกลางน้อยกว่าคนเลือกสี เตือนรัฐ ผลิตวาทกรรมก่อการร้ายระวังสงครามที่ไม่สิ้นสุด

คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดการเสวนาหัวข้อ “มิติใหม่การชุมนุมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย กรณีการชุมนุมของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ” โดยวิทยากรประกอบด้วย ศ. ดร. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ผศ. ดร. ประภาส ปิ่นตบแต่ง และ รศ. อภิชาติ สถิตนิรมัย ดำเนินรายการโดย รศ. ดร. ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

................

“สรุปในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ความขัดแย้งครั้งนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจน้อย มันเป็นความขัดแย้งทางการเมืองเป็นหลักโดยเฉพาะเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมในสิทธิทางการเมือง”

รศ.อภิชาติ สถิตนิรมัย จากคณะเศรษฐศาสตร์ มธ.

ใครคือเสื้อเหลืองเสื้อแดง ผมทำวิจัยจากหมู่บ้านในจังหวัดนครปฐม หนึ่งหมู่บ้าน เป็นตัวอย่าง โดยการเก็บข้อมูลประมาณ 2-3 เดือนที่ผ่านมา มาจากแบบสอบถาม 100 ชุด ไม่สามารถอ้างความเป็นตัวแทนทางวิทยาศาสตร์หรือมีนัยยะสำคัญทางสถิติใดๆ ทั้งสิ้น แต่เชื่อว่ามันเป็นตัวแทนที่ดีของหนึ่งหมู่บ้าน ซึ่งมีโปรเจ็กต์ต่อไป

กลุ่มคนที่สนับสนุนฝ่ายเสื้อเหลืองคือข้าราชการ พ่อค้า นักธุรกิจ และเกษตรกรรมเล็กน้อย มีการศึกษาสูงกว่าแดง จบปริญญาตรีขึ้นไป รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 31,000 บาท

ฝ่ายที่สนับสนุนเสื้อแดงคือ ลูกจ้างและเกษตรกร มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 17,000 บาท โดยสรุปคือเสื้อแดงไม่ใช่คนจนแต่จนกว่าเสื้อเหลือง ฐานะทางเศรษฐกิจสังคมของเสื้อเหลืองคือมีงานประจำ มีการศึกษาและฐานะทางสังคมสูงกว่า

ประเด็นประชานิยมและความเหลื่อมล้ำเกี่ยวกับเหลืองแดงอย่างไรบ้าง - จากการสำรวจในหมู่บ้านดังกล่าวพบว่าส่วนใหญ่ทั้งฝ่ายเหลืองและแดงตอบว่าตัวเองเป็นชนชั้นกลาง แต่คนที่เป็นเหลืองจัดตัวเองว่าเป็นคนจนถึง 26-27 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่คนที่สนับสนุนฝ่ายเสื้อแดงคิดว่าตัวเองรวย ทั้งนี้ ฝ่ายที่สนับสนุนเสื้อเหลืองมีทัศนคติต่อความว่าช่องว่างระหว่างคนรวยและจนนั้นห่างมากจนรับไม่ได้มากกว่าเสื้อแดง

อย่างน้อยเราสรุปได้ว่าความคับข้องใจของคนเสื้อแดงไม่ได้อยู่ที่ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ขณะที่คนเสื้อเหลืองรู้สึกมากกว่า สรุปว่าความยากจนในเชิงภาวะวิสัย ไม่ใช่ปัญหาของคนเสื้อแดง คือตัวเลขรายได้เป็นหมื่นบาทต่อเดือน เส้นความยากจนของไทยปัจจุบันตกประมาณเดือนละพันกว่าบาทต่อเดือน คนเหล่านี้ไม่ใช่คนจนแน่นอน สองความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ในทางอัตวิสัย เป็นปัญหากับเสื้อเหลืองมากกว่าเสื้อแดง พูดง่ายๆ ว่าเสื้อเหลืองไม่พอเพียงกว่าคนเสื้อแดงด้วยซ้ำ เพราะเสื้อเหลืองคิดว่าตัวเองจนมากกว่าเสื้อแดง และเห็นว่าช่องว่างทางการกระขายรายได้สูงเกินไปจนรับไม่ได้มากกว่าคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลืองจึงไม่พอเพียงมากกว่าคนเสื้อแดง

ฉะนั้นถ้าความยากจนความเหลื่อมล้ำไม่ใช่สาเหตุของคนเสื้อแดง ถ้าเช่นนั้นมีอะไรบ้าง ผมไปโฟกัสกรุ๊ปที่อุบล และเชียงใหม่คนเสื้อแดงอุบลตอบว่ารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ รู้สึกว่าตนถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเพราะมีฐานะยากจน ความรู้น้อย รู้สึกว่าสังคมแบ่งชนชั้น รู้สึกว่าไม่มีความเป็นธรรมทางสังคม รู้สึกว่าทำอะไรก็ผิด มาชุมนุมนั่งกับพื้นก็ผิด เฮ็ดหยังก็ผิด ยิ่งรู้สึกว่าต้องต่อสู้ เพื่อขอทวงสิทธิของเราคืน โดยเรียกร้องให้ยุบสภา สังคมนี้มีปัญหาความไม่เท่าเทียม มีปัญหาเรื่องเส้นสาย เรามันเป็นคนไร้เส้น ม็อบก็ม็อบไม่มีเส้น (ผมสัมภาษณ์วันที่ 10 พ.ค. ก่อนแผนปรองดองของนายกจะออกมา)

ฉะนั้นความคับข้องใจที่เกิดขึ้นมันไม่ได้เป็นความคับข้องใจทั้งในแง่เศรษฐกิจทั้งอัตตวิสัยและภาวะวิสัย แต่ในแง่ความคับข้องใจมีความแตกต่างระหว่างพื้นที่ คนนครปฐมไม่ค่อยรู้สึกคับข้องใจอะไร เขาประเมินว่า 10 ปีที่ผ่านมา เขารูสึกว่ามันดีขึ้นและมองไปข้างหน้าก็ดีขึ้น และเห็นว่าการดีขึ้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความขยันและความเก่งของตัวบุคคล สำหรับนครปฐม สังคมไม่ได้มีความอยุติธรรมทางชนชั้น สังคมยังเปิดโอกาส

แต่คนเสื้อแดงอุบล รู้สึกว่าแม้แต่ไปโรงพยาบาลก็ถูกแซงคิวจากคนแต่งตัวดี ฐานะดี สอบเข้าได้ ก็ไม่มีเส้น เป็นปมอิสาน และปมอิสานนี้เสื้อเหลืองก็เป็น เสื้อเหลืองคนอิสานก็รู้สึกมีปมอิสานเช่นกัน คนนครปฐมไม่มีปมทั้งแดงและเหลือง แต่สำหรับแดงเชียงใหม่ ถ้าถามอนาคต ไม่แน่ใจ แต่ที่ผ่านมารู้สึกชีวิตดี แต่ไม่รู้สึกเหมือนคนเสื้อแดงอุบล ไม่มีปมเชียงใหม่ มีแต่ปมอิสาน ความเป็น ‘คนเมือง’ (คนพื้นเมืองเชียงใหม่) ไม่รู้สึกรุนแรงอะไร ยังไม่รู้สึกว่าเป็นอาณานิคมของคนกรุงเทพฯ แดงนครปฐมมีฐานะดี แต่ก็เป็นหนี้ตกเป็นแสนบาทต่อหัว แต่มีที่ดินเฉลี่ย 15 ไร่ มีรถกระบะเฉลี่ยมากกว่าครอบครัวละ 1 คัน
ประชานิยม ใครได้ประโยชน์โดยตรงบ้าง-ในทุกโครงการประชานิยมเสื้อแดงได้ใช้บริการโดยตรงมากกว่าเสื้อเหลืองอย่างเห็นได้ชัด และมากกว่าคนเป็นกลาง เช่น โครงการ 30 บาท เสื้อแดงระบุว่าได้ใช้ประโยชน์ 81 เปอร์เซ็นต์ เสื้อเหลือง 40 กว่าเปอร์เซ็นต์

เพราะฉะนั้น ประชานิยมโดนใจจริง เหตุใดจึงโดนใจจริง ถ้ากลับไปดูที่อาชีพของคนเสื้อแดงคือคนที่อยู่นอกระบบประกันสังคมทุกชนิด ไม่ได้เป็นราชการ ไม่ใช่แรงงานในระบบ ไม่มีฐานะรวยมากอย่างพ่อค้า ฉะนั้นค่ารักษาพยาบาลของเขาจึงจำเป็น เขาอยู่นอกระบบบริการและประกันสังคมทุกชนิด และวิถีชีวิตของเขาผูกพันอย่างแนบแน่นกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค ทำงานเป็นเกษตรกรปลูกข้าวมากกว่า 5 ครั้งต่อปี ใช้เครื่องจักร และเคมี โครงการประกันราคาข้าวในสมัยทักษิณจึงเป็นประโยชน์มากต่อพวกเขา เศรษฐกิจไทยเป็นขนาดเล็กแบบเปิด ความผันผวนต่อภาวะทางเศรษฐกิจจากภายนอกประเทศ มันส่งผลโดยตรงต่อเขา และการออม ก็ไม่มีมาก และไม่สามารถที่จะดูดซับภาวะความผันผวนจากภายนอกได้ ฉะนั้นในการตีความของผม โครงการประชานิยมจึงออกแบบไว้เพื่อรองรับช็อค (ผลกระทบกะทันหัน) ที่จะเกิดกับทุกคนได้ 30 บาทสำหรับกรณีเจ็บป่วย โครงการกองทุนหมู่บ้านรองรับภาวะที่ต้องกู้ยืม กลไกของ 30 บาทในทางเศรษฐศาสตร์ก็คือการรองรับระบบให้การบริโภคดำเนินต่อไปได้อย่างสม่ำเสมอ และทำให้กระแสเงินดีขึ้น ไม่ว่าจะมิติกู้เพื่อบริโภคหรือการลงทุน แต่ก็ทำให้เขามีหลักประกันมากขึ้น เป็น Social Safety Net แบบหนึ่ง ตัวหลักของประชานิยมที่ถูกใจมากก็คือ สองอย่างนี้เพราะตอบรับกับความต้องการทางเศรษฐกิจยุคใหม่ของชาวบ้าน ชาวบ้านในชนบทไม่ใช่สังคมชาวนาอีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ชาวนารายย่อยแบบในอดีตที่พึ่งตนเอง ผลิตข้าวแล้วเก็บไว้กินเหลือจึงขาย ภาพนี้ไม่มีอีกแล้ว ที่ชัยภูมิ ชาวนาชาวไร่แม้จะยากจนมาก แต่ใช้รถไถ ใช้ปุ๋ยหมดแล้ว ฉะนั้นสังคมของเขาไม่ใช่สังคมเอื้ออาทร สมานฉันท์ รักใครกลมเกลียวแบบในอดีตอีกต่อไป แต่ Modern Economic Lifestyle ทำให้ระบบประกันสังคมแบบอดีตพังทลายไป แต่ก่อนที่เคยช่วยเหลือกันได้ มันแตกสลายไป สรุปคือประชานิยมมันตอบรับกับ Modern Need

ถามต่อว่าคนเสื้อแดงมาประท้วงเพราะอะไร คำตอบหลักๆ คือ ต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านอภิสิทธิ์ ไม่มีคำตอบว่าต่อต้านอำมาตย์ ตอบว่าเป็นเสื้อแดงความยากจนแค่หกเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครเลือกตอบเรื่องความเหลื่อมล้ำเลยว่าเป็นสาเหตุของการมาชุมนุม สรุปในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ ความขัดแย้งครั้งนี้มีสาเหตุมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจน้อย มันเป็นความขัดแย้งทางการเมืองเป็นหลักโดยเฉพาะเรื่องสิทธิและความเท่าเทียมในสิทธิทางการเมือง
.......................................

“เวลาพูดเรื่องการปฏิรูปการเมืองอะไรต่างๆ เอาเข้าจริงลงไประดับชุมชน ที่โยงลงไปถึงคนแค่สายเดียว พวกสีเหลืองมีอยู่ไม่เท่าไหร่ แดงเกิน 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว และชีวิตคนพวกนี้สัมพันธ์อยู่กับการเมือง เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่เข้าไปต่อรอง ฉะนั้นการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญทำให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ และเขาไม่ได้บอกว่านักเลือกตั้งไม่ได้อัปรีย์...ผู้คนเขาใช้ประโยชน์มันได้ ชีวิตเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองชัดเจนมากแล้ว อย่าหาว่าเขาเป็นพวกวัวควายที่ถูกจูงมา”

ผศ.ประภาส ปิ่นตบแต่ง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
งานวิจัยที่ผมทำร่วมกับอาจารย์อภิชาติที่ จ.นครปฐม เราคงได้ข้อสรุปใหญ่ๆ ว่าถ้าเราดูคนเสื้อแดงไม่ใช่รากหญ้า แต่เป็นยอดหญ้า คือคนที่เข้ามาสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจการตลาด ชีวิตผูกพันกับเมือง มีการคาขายเป็นผู้ประกอบการรายย่อย ถ้าดูนครปฐมก็ยิ่งชัดมาก เพราะไปหลายหมู่บ้าน ที่อื่นๆ เมื่อดูภาพคนที่มา 1 คัน 10 คน แสนคันก็ 1 ล้านคน ประมาณ 1 หมู่บ้านก็คือ 1 คันรถ ตัวอย่างจาก จ.นครปฐม ผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่งเป็นคนยอดหญ้าเป็นคนที่เป็นพ่อค้า ขายบัวที่ปากคลองตลาดเสร็จก็ไปชุมนุมที่สนามหลวง วิถีของคนพวกนี้ ผูกพันกับเศรษฐกิจ เดินขบวนมาเป็นยี่สิบครั้ง ฉะนั้น อย่าไปบอกว่าพวกเขาเป็นพวกวัวควายถูกจูงมา

ในเชิงอุดมการณเสื้อเหลืองเสื้อแดง ถ้าเป็นเสื้อเหลือง จะออกไปทาง พอช. สสส. เศรษฐกิจพอเพียงยกเว้น พอช. สายอิสานไปทำโรงเรียนการเมืองเยอะ แต่มีนัยยะสำคัญเยอะนะ เวลาพูดเรื่องการปฏิรูปการเมืองอะไรต่างๆ เอาเข้าจริงลงไประดับชุมชน ที่โยงลงไปถึงคนแค่สายเดียว พวกสีเหลืองมีอยู่ไม่เท่าไหร่ แดงเกิน 70 เปอร์เซ็นต์แล้ว และชีวิตคนพวกนี้สัมพันธ์อยู่กับการเมือง เขาอยู่ไม่ได้ถ้าไม่เข้าไปต่อรอง ฉะนั้นการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญทำให้พวกเขาเข้าถึงทรัพยากรของรัฐ และเขาไม่ได้บอกว่านักเลือกตั้งไม่ได้อัปรีย์ แต่นึกถึงเราไปเที่ยวท้องนาเจอปลักน้ำ ต้องการกินน้ำแต่เจอปลิง มันก็เหมือนชาวบ้านต้องการน้ำเจอทักษิณ ผู้คนเขาใช้ประโยชน์มันได้ ชีวิตเขาเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองชัดเจนมากแล้ว อย่าหาว่าเขาเป็นพวกวัวควายที่ถูกจูงมา
ประชานิยมนั้นคนที่ได้จริงๆ วงขอบมันไม่กว้างมากหรอก ยกเว้นสามสิบบาท แต่เราจะเห็นได้ชัดมากว่านักการเมืองหรือหัวคะแนนที่เอาคนเข้ามา ผมว่าเราต้องเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ ที่จะต้องมีทรัพยากรที่เชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้เข้ามา ผมเห็นด้วยว่ามันไม่ได้เป็นความคับข้องใจแบบนักจิตวิทยามวลชนในยุคที่อธิบายว่าคนเข้ามาปฏิวัติ เพราะคับข้องใจ สติแตก แต่คนเสื้อแดงเขาเข้ามาด้วยประโยชน์ที่เกิดจากกระบวนการสร้างและจรรโลงประชาธิปไตย เขาเข้ามาในฐานะกลุ่มผลประโยชน์ที่เข้ามาใช้พื้นที่ทางการเมืองของเขารักษาสิทธิเลือกตั้ง รักษานายกของเขา พรรคการเมืองของเขา

อีกเรื่องคือ คนพวกนี้ถ้าเราดูสังกัดกลุ่มองค์กร พวกเขาแสดงทัศนะชัดเจน พรบ. ปกครองท้องที่ให้พวกผู้ใหญ่บ้านกำนันอยู่จนเกษียณ เขาไม่ชอบ เพราะมันกระทบต่อเรื่องการกระจายทรัพยากร มันกระทบกับชีวิตเขามาก

ผมคิดว่าถ้าจะตอบคำถามว่าใครคือคนเสื้อแดง หรือปรากฏการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง ผมคงเน้นการอธิบายในระดับข้างล่าง มันสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการสร้างและจรรโลงประชาธิปไตยไทยอย่างไร ซึ่งผมอยากจะตอบ คือ หนึ่ง ผลของคนเสื้อแดงมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ยอดหญ้าเหล่านี้ต้องเข้าไปสัมพันธ์อยู่กับนโยบายการเมืองต่างๆ คนพวกนี้ต่างไปจากพวกที่เป็นการเมืองภาคประชาชนที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่มากหน่อย พวกคนจนแบบสมัชชาคนจน มวลชนนี้เป็นมวลชนอีกมิติหนึ่งและต่างไปจากชาวนาแบบสหพันธ์ชาวนาชาวไร่

สองคือ เราคงเห็นว่าคนเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพราะมีพื้นที่ทางการเมืองใหม่ขึ้นมา มีการปฏิรูปการเมือง ทำให้ชีวิตเขาเข้าไปสัมพันธ์กับการเมืองมากขึ้น สัมผัสกับหัวคะแนน นักการเมือง นักเลือกตั้งอะไรต่างๆ และสัมพันธ์กับการกระจายทรัพยากร มีผลต่อชีวิตของพวกเขา รถไถขนาดกลาง หรือเครื่องสูบน้ำ เอสเอ็มแอลก็ไปซื้อของเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าประชานิยมมันไม่มีฟังก์ชั่นอะไรเลย

แต่อีกส่วนหนึ่งที่เราต้องเข้าใจการเกิดขึ้นของคนเสื้อแดงที่เข้ามารวมตัวกันก็คือเรื่องความสัมพันธ์กับเครือข่ายนักการเมืองนักเลือกตั้ง ไม่มีชาวบ้านที่ไหนหรอกที่ออกเงินมาเอง เรามองเห็นว่าแกนนำหลักๆ หมดเนื้อหมดตัวกันไปเยอะทีเดียว

แต่จากการสอบถามทัศนคติคนเสื้อแดง 400 กว่าคนจากการชุมนุม คนเหล่านี้เคยร่วมเรียกร้องทางการเมืองหลายครั้ง ไม่ใช่มวลชนที่เฉื่อยชา และจากการสอบถาม พวกเขาอธิบายตัวเองว่าเป็นผู้ที่รักประชาธิปไตย

กระบวนการของคนเสื้อแดงเหล่านี้เป็นความพยายามอธิบายมวลชนจากข้างล่าง ไม่ได้ดูที่ข้างบน
............................

“ตกลงเราอยู่ในประเทศที่ขณะนี้ผู้คนแตกแยกกันจริงๆ แล้ว และถ้าเราดูคนที่เลือกประชาธิปัตย์และไทยรักไทย เราหนีไม่พ้นระดับสิบล้านทั้งคู่ และเมื่อดูความโกรธความไม่พอที่มีสูง ขณะที่คนกลางๆ มีน้อยลง ในเวลาแบบนี้การย้ำเรื่องการก่อการร้ายเป็นเรื่องอันตราย”
ศ. ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เมื่อวานมีคนโทรศัพท์ไปที่บ้าน แล้วก็จะเชิญผมไปพูดในรายการที่เขาจะจัดวันเสาร์หน้า ตอนนี้เวลาใครเชิญไปพูดอะไรก็ไม่ค่อยอยากไป เพราะเบื่อ แต่เขาพูดกับผม บอกว่าคยทำงานกับผมเมื่อหลายปีก่อน และเคยอยู่ในคลาสของผม และที่สำคัญลูกของเขาถูกยิงตายเมื่อวันที่ 15 พ.ค. เลยอยากจะเชิญผมไปพูด เขาทำงานกับผมในมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก ลูกเขาคือสมาพันธ์ ศรีเทพ ชื่อเล่นชื่อน้องเฌอ หรือสุรเฌอ เด็กคนนี้ถูกยิงวันที่ 15 พ.ค.ที่ซอยราชปรารภ 18 ตอนที่ถูกยิงไม่ตาย ดูจากรอยเลือด เด็กคนนี้ทำหลายอย่างก่อนหน้านั้น เช่นเอามือสีขาวห้ามคนไทยฆ่ากันไปแขวนไว้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และเมื่อปีก่อนเป็นการ์ดของพันธมิตร คราวนี้เขาก็พยายามรณรงค์ไม่ให้คนฆ่ากัน ผมปฏิเสธเขาไป จริงๆ ผมบอกเขาไปว่าถ้าผมไม่ติดสิ่งที่ทำ แต่เหตุผลคือผมต้องไปสอน วิชาTU112 ซึ่งมีนักศึกษาลงทะเบียนกว่าสองพันคน

ผมเริ่มแบบนี้ ผมคิดว่าวิธีที่เราคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับการชุมนุม ว่ามีอะไรใหม่ไหม ผมคิดว่า วิธีที่ความรุนแรงได้ Shape (ก่อร่าง) มันทำให้ทุกอย่างใหม่
ข้อสังเกตข้อแรก ในตารางที่อาจารย์อภิชาติเสนอ คือคนที่ไม่สนับสนุนฝ่ายใดมากกว่าเหลืองและแดง คำถามนี้สำคัญมากสำหรับผม คือผมไม่แน่ใจว่ามันใช่ในระดับประเทศ คือเรามักจะคิดว่าคนที่อยู่ตรงกลางมีมาก ถ้าเราเชื่ออย่างนั้นวิธีจัดการปัญหาความขัดแย้งมีอย่างหนึ่ง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็ยุ่งเหมือนกัน จากข้อมูลของอาจารย์อภิชาติ ผู้ไม่สนับสนุนฝ่ายใดยังมากกว่าแดงและเหลือง

และสอง ฝ่ายแดงและเหลืองพอๆ กันในนครปฐม ซึ่งไม่แน่ว่าจะใช้ภาพนี้ในชนบทอื่นๆ ในไทย ประการที่สาม เวลาที่คนเหล่านี้ตอบเราว่าเหตุใดจึงมา มาเพราะสามเหตุผลคือ ต่อต้านรัฐประหาร สองมาตรฐานและอภิสิทธิ์ไม่มีความชอบธรรม คำถามของผมคือถ้าประชาชนในประทศไทยวันนี้ ถ้าเราคิดว่ามันเป็นขบวนการและตามที่อาจารย์อภิชาตพูดว่ามีประสบการณ์และขบวนการเหล่านี้ถูก Politicize แล้ว คำตอบเลย Political มันจึงเป็นคำตอบที่บอกว่าเหตุผลที่มาเป็นเพราะปัญหาทางการเมืองแม้จะเป็นเรื่องอื่นก็ตาม เพราะว่าเมื่ออยู่ในขบวนการบางอย่างวัตถุประสงค์ของขบวนการจึงสำคัญ เพราะขบวนการมีการจัดตั้ง และกำหนดตัวนิยาม การตอบจึงตอบภายใต้กรอบของขบวนการ

ประการที่ 4 ที่น่าสนใจ อาจารย์ประภาสบอกว่าคนเหล่านี้เขามาเพื่อพิทักษ์ปกป้องพรรคการเมืองของเขา นายกรัฐมนตรีของเขา ซึ่งน่าสนว่าบางทีคนที่เขาลุกมาทำอะไรแบบนี้คือเขากำลังพิทักษ์สินค้าของเขา โลกมีสินค้าหลายอย่างแต่บางอย่างมี Super Commodity คือการพิทักษ์ของที่เขาจะได้จากนโยบายหลายๆ อย่างด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุเป็นผลว่าเพราะเหตุใดพรรคการเมืองของเขาจึงสำคัญ ก็ไม่ใช่หรือว่าที่ผ่านมาพรรคการเมืองหลายๆ พรรคต้องแย่งชิงกันทางนโยบาย คือทำให้นโยบายเป็นสินค้าที่จะเลือกซื้อเลือกใช้ และเมื่อเขาได้มา แล้วถูกแย่งไป ไม่ต่าง อะไรกับการพยายามรักษาป่า หรือยางพาราให้มีราคาสูง

เวลาบอกว่า ใหม่ มันใหม่สำหรับใคร สำหรับผมคือมีไหม คำอธิบายใหม่ๆ อาจารย์ประภาสบอกว่า ทฤษฎีความคับข้องใจใช้ไม่ได้แล้ว ปัญหาคือ ความความคับข้องใจไม่สัมพันธ์กับการ Collect (รวมกลุ่ม) แต่มันไปสู้ความ Aggress (ความก้าวร้าว) และเป็นไปได้ เมื่อถูกนำพาไปให้เกิดความคาดหวังอย่างสูง และความรุนแรงจะเกิดขึ้นเมื่อไม่ได้ในสิ่งที่คาดหวัง ทำให้เราเห็นว่าเมื่อมีสิ่งที่รัฐบาลหรือสังคมเสนอ แล้วถูกปิด ความคาดหวังเป็นไปไม่ได้ ก็เกิดความผิดหวังสูงและความก้าวร้าวก็เกิดขึ้น

สิ่งที่ผมเห็นว่าใหม่ มี 3 เรื่องคือ 1 เรื่องความโกรธ สอง ข่าวลือ สาม สี และสี่ การก่อการร้ายที่รัฐบาลชอบพูด
หนึ่ง ความโกรธ สิ่งที่ทำลายความคาดหวังให้เกิดความผิดหวังและก้าวร้าว มีมาก เหมือนว่ามีอำนาจหลายอันที่ทำงานอยู่ในสังคมไทย และบางครั้งเมื่อประตูบางอย่างจะเปิด มันก็ถูกปิด และเมื่อถูกปิดไปเรื่อยๆ ความโกรธนี้ก็มากขึ้นมหาศาล ผมได้คุยกับเพื่อนจากสถานทูตออสเตรเลียในร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นของญาติ ปรากฏว่ามีคนเดินเข้ามาแล้วก็ไปโวยวายอยู่นอกร้าน เจ้าของร้านบอกว่าเขาด่าผม เรื่องอะไรนี่ผมไม่รู้ เจ้าของร้านเขาบอกว่าคงไม่ใช่เรื่องอื่น คงเป็นเรื่องการบ้านการเมือง คงทำให้เขารู้สึกอึดอัดมาก คือเขาอาจจะอยากให้ผมอยู่ที่หนึ่ง แต่ผมไม่อยู่ คือความโกรธบางครั้งมาจากความรู้สึกรักหรือเป็นพวกเดียวกัน รวมทั้งการเข้าไปหรือพาเพื่อนบางคนเข้าไปผมอาจจะไปรุกรานพื้นที่ของเขา พื้นที่นั้น สมมติเป็นพื้นที่สีเหลือง แต่ผมเอาเพื่อนสีแดงเข้าไปด้วย คือผมคิดว่าเขาไปกะผมไม่น่าจะมีปัญหา แต่ผมคิดว่าผมสำคัญตัวผิด

ขบวนการประชาชนขณะนี้ เป็นขบวนการประชาชนที่เต็มไปด้วยอารมณ์ เราไม่สามารถเข้าใจการเมืองได้ถ้าเราไม่เข้าใจความโกรธ ว่ามันทำงานอย่างไร ความโกรธนี้เป็นอาการที่มีอยู่ในสังคมนี้ ในหลายๆ วัฒนธรรมไม่ได้แปลว่าไม่ดี ถ้าคุณเป็นชาวโรมันคุณควรจะโกรธเพราะความโกรธสัมพันธ์กับความเป็นชาย คำถามคือ ขบวนการพวกนี้เป็นชายมากไปหรือเปล่า จนลืมอะไรไปอีกหลายอย่าง

สอง ข่าวลือ ข่าวลือนี้น่าสนใจในความเห็นของผม ข่าวลือเพิ่มความเข้าข้นของขบวนการในลักษณะนี้ คือ ความไม่ชัดเจน เปิดโอกาสให้แต่ละคนที่มารับฟังข่าวลือ แล้วเพิ่มตอนต่างๆ ไปได้ ข่าวลือก็จะผลิตซ้ำตัวมันเองในลักษณะที่พิสดารมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้น่าสนใจและควบคุมไม่ได้ ถามว่าอะไรที่เป็นเงื่อนไขให้ข่าวลือเผยแพร่ ผมคิดว่า พรก. ฉุกเฉิน การปิดกั้นสื่อ การควบคุมสื่อ ทำให้ข่าวลือเผยแพร่ไป เพราะข่าวลือไม่ใช่การระบายออก แต่เป็นเครื่องมือทางการเมือง ขณะนี้สังคมนี้กำลังจะมีข่าวลือเต็มไปหมด และขบวนการประชาชนในสภาพที่ถูกจำกัดพื้นที่และบทบาท สิ่งที่เขาจะทำคือข่าวลือ
สาม การก่อการร้าย รัฐบาลใช้คำนี้ เมื่อเช้านายกก็พูดอย่างนี้อีกว่าการเจรจาปรองดองจะไม่ทำกับผู้ก่อการร้าย แต่คำถามคือ คำว่าก่อการร้ายแปลว่าอะไรไม่แน่นอน แต่ผมคิดว่าสาระสำคัญของประเด็นก่อการร้ายไม่ได้อยู่ที่ความรุนแรง แต่อยู่ที่ความกลัว สิ่งที่การก่อการร้ายผลิตไม่ใช้ความรุนแรง แต่เป็นการผลิตความไม่แน่นอนในชีวิต ภายใต้ชีวิตที่ไม่แน่นอน คือความกลัว สังคมการเมืองทุกอันโดยไม่มีข้อยกเว้น ต้องทำงานบนฐานของความแน่นอนบางอย่าง สิ่งที่รบกวนสิ่งเหล่านี้คือการรบกวนชีวิตทางการเมืองของสังคม ทำให้สังคมอยู่ลำบาก ชีวิตซึ่งเป็นปกติหายไป ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความกลัว แต่ทุกครั้งที่รัฐบาลใช้คำหรือแนวคิดหรือกระทั่งวาทกรรมใช้เรื่องการก่อการร้ายผมไม่ทราบว่ารัฐบาลทราบหรือเปล่าว่า คุณลักษณ์อย่างหนึ่งของการก่อการร้าย คือมันจะเป็นสงครามที่ไม่มีวันสิ้นสุด เวลาที่สหรัฐประกาศการต่อสู้กับการก่อการร้ายมันจะไม่สิ้นสุดเพราะคู่ต่อสู้จะไม่ใช่แค่บินลาเดน พูดจากฝั่งอเมริกันคุณจะทำอะไรกับบินลาเดน ถ้าคุณฆ่าบินลาเดน คุณจะสร้างบินลาเดนขึ้นมาอีกเยอะ คุณจะเอาชนะยังไง

เวลาที่รัฐบาลกำลังพูดเรื่องการก่อการร้าย ผมหวังว่ารัฐบาลจะเข้าใจว่ากำลังพูดถึงอะไร การต่อสู้กับการก่อการร้ายคือการต่อสู้กับวิธีการไม่ใช้คน
อันสุดท้ายของการก่อการ้ายคือ ถ้าจะสู้จริงๆ ประเทศที่เก่งที่สุดคืออิสราเอ สิ่งที่เขาพยายามจะทำคือพยายามจะป้องกันไม่ให้คนกลายเป็นผู้ก่อการร้าย โดยอธิบายว่า การเคลื่อนตัวของมนุษย์มันเคลื่อนตัวจากการเป็นนักเคลื่อนไหว (Activist)ก่อน เมื่อเป็นนักเคลื่อนไหว พอถูกกดดันถูกรังแก ก็จะขยับไปเป็นกองกำลัง (Militant) และจากนั้นกลายเป็นการก่อการร้าย (Terrorist) ถ้าเช่นนั้นรัฐบาลประเทศต่างๆ ถ้ายังมีสติอยู่บ้างก็คือการพยายาหาวิธีการไม่ให้คนเคลื่อนจากความเป็นนักเคลื่อนไหว ไปเป็นกองกำลัง เพราะนักเคลื่อนไหวต้องการพื้นที่ทางการเมือง กองกำลังต้องการการยอมรับในบางระดับ ถ้าเราป้องกันได้ ก็ป้องกันการก่อการร้ายได้ ในที่สุดแล้ว รัฐผลิตสิ่งนี้เองหรือไม่ทั้งในระดับวาทกรรมและปฏิบัติ ตกลงเราอยู่ในประเทศที่ขณะนี้ผู้คนแตกแยกกันจริงๆ แล้ว และถ้าเราดูคนที่เลือกประชาธิปัตย์และไทยรักไทย เราหนีไม่พ้นระดับสิบล้านทั้งคู่ และเมื่อดูความโกรธความไม่พอที่มีสูง ขณะที่คนกลางๆ มีน้อยลง ในเวลาแบบนี้การย้ำเรื่องการก่อการร้ายเป็นเรื่องอันตราย

สี่ เรื่องสี ความขัดแย้งทางการเมืองจำเป็นต้องอาศัยอัตลักษณ์ การใช้อัตลักษณ์โดยสี สัมพันธ์กับการเห็น ถ้าสัมพันธ์กับการเห็น มันกลายเป็นของซึ่งเป็นรูปธรรมจับต้องได้ แต่มีข้อจำกัด แต่สีผิวนั้นลอกได้แต่ยาก แต่เสื้อนั้นน่าสนใจเป็นของถอดได้ใส่ได้ ถ้าถอดได้ใส่ได้ การเคลื่อนไหวของผู้คนก็สามารถใช้สีเสื้อทั้งในแง่ป้องกันตัวและใช้เล่นงานคนอื่น คือเสื้อขณะนี้เป็นสัญลักษณ์ เราลงทุนไปกับสัญลักษณ์แบบนี้เยอะ เราวัดคนบนฐานของสัญลักษณ์ที่แต่ละคนใช้ ของแบบนี้จะเพิ่มระดับของการแบ่งขั้วในสังคมไทยให้มากขึ้น ทำให้เป็นอันตรายในการคิดเรื่องนี้ และผลของการเมืองที่มีสีเสื้อแบบนี้ส่งผลให้บางมหาวิทยาลัยออกแบบเสื้อที่ดูไม่ได้เลยออกมา

ในเวลาแบบนี้ ผมอยากให้ลองฟังเสียงจากผู้สูญเสียดู คุณพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพพ่อของ สมาพันธ์ ศรีเทพ เขาเขียนในเฟซบุ๊ก "พี่ทหารครับ ผมเข้าใจพี่ ผมอโหสิ เราต่างเป็นเหยื่อด้วยกันทุกคนครับ" หากเฌอทำการล่วงเกินหรือจาบจ้วงท่านผู้ใดมาก่อน มารดาและบิดา ขออโหสิกรรมมา ณ ที่นี้ ควรมิควรแล้วแต่กรุณา"

ชลิดาภรณ์: ถามอาจารย์ชัยวัฒน์ว่า ความโกรธที่น่ากลัวคือความโกรธระหว่างคนในสังคมคือเพื่อน ซึ่งไม่น่าจะอยู่ในสเกลขนาดนี้ และยิ่งพุ่งขึ้นผ่านการฆ่าฟัน มีคนจำนวนมากเชื่อว่าความจริง จะสลายความโกรธ จะทำให้ข่าวลือหมดพลัง จะทำให้คนเลิกคิดที่จะใช้ความรุนแรงและสีที่ใช้เป็นอัตลักษณ์หมดความหมาย อาจารย์คิดว่าความจริงจะสลายทั้งหมดไหม หรือความจริงจะยิ่งแหลมมากและยิ่งบาดเรา

ชัยวัฒน์: ในความรุนแรงในสงครามความขัดแย้งที่ถึงตาย สิ่งที่ตายก่อนหรือเจ็บก่อนคือความจริง แต่ผมคิดว่าไม่ใช่ในสงครามอย่างเดียว แต่ในความขัดแย้งก็ด้วย ความจริงเป็นเหยื่อรายแรก เมื่อกี๊นั่งกับนักข่าว นักข่าวเล่าให้ฟัง เราดูภาพที่นิก น็อสติทซ์มาเสนอ เราได้ดูในโทรทัศน์ ได้รู้ว่าโทรทัศน์รับคำสั่งว่าภาพทหารถืออาวุธอย่าเอาขึ้นจอ ในทางกลับกันถ้าเราดูเอเอสทีวีหรือพีทีวี เราหวังหรือว่าจะได้เห็นภาพเหล่านั้น

ประการสอง ในห้องผมซึ่งรกมาก มีภาพเล็กๆ ที่ลูกศิษย์เอามาให้ ภาพนั้นคือตุ๊กตาผ้าแล้วถูกบดแล้วยับ และมีข้อเขียนบอกว่า The truth will set you Free but first it will make you miserable -ความจริงจะทำให้คุณเป็นอิสระ แต่ก่อนจะเป็นอิสระท่านจะยับยุ่ย จะต้องบาดเจ็บสาหัสก่อน ถ้าคุณไม่พร้อมจะยอมรับเอาแผลเหล่านี้ ความจริงก็ไม่ใช่คำตอบ แล้วผมคิดว่าสังคมไทยอาจจะไม่พร้อมสำหรับความจริงเหล่านี้
ที่มา.ประชาไท
**********************************************

ปรองดองแค่ลมปาก

โดย หนังสือพิมพ์โลกวันนี้รายวัน
ต้องยอมรับว่านายอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองที่สามารถสร้างภาพพจน์ตัวเองได้อย่างเหลือเชื่อ แม้เพิ่งผ่านเรื่องเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมือง ซึ่งนายอภิสิทธิ์เป็นผู้สั่งการสูงสุดจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ และบาดเจ็บเกือบ 2,000 คน

แต่นายอภิสิทธิ์ก็สามารถนั่งบริหารบ้านเมืองเหมือนไม่มีเหตุการณ์เลวร้ายใดๆ แถมยังมีสำนวนโวหารที่นุ่มนวลและพูดจาฉะฉานชัดเจนว่าเป็นนักการเมืองที่รักประชาธิปไตยและรักประชาชนทุกกลุ่มทุกสี

นายอภิสิทธิ์อ่านจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตัวเองเพื่อเชิญชวนให้ร่วมกันปฏิรูปประเทศไทย โดยระบุว่า เหตุการณ์เลวร้ายที่สร้างความสะเทือนใจและบอบช้ำกับประเทศชาติและประชาชนอย่างรุนแรงทั้งหมดนั้น ล้วนแล้วแต่มาจากการกระทำของคนไทยด้วยกันเองทั้งสิ้น

"วันนี้ประเทศต้องเดินหน้า แต่ความโกรธ ความเคียดแค้นและชิงชังไม่สามารถสร้างอนาคตให้กับประเทศและลูกหลานไทยได้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะปรองดอง เพื่อปฏิรูปประเทศไทย รวมใจเป็นหนึ่งเพื่อปกป้องสถาบันหลักของชาติ สร้างความเสมอภาค สื่อสารถึงกันอย่างสร้างสรรค์ ค้นหาและยอมรับความจริง โดยมีการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย มีประสิทธิภาพและโปร่งใส"

เป็นคำพูดที่สวยหรูและนุ่มนวลจากปากของนายกรัฐมนตรีที่รูปหล่อ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ออกมาสนับสนุน เหมือนครั้งที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศขับเคลื่อนแผนปรองดอง 5 ข้อ ครั้งที่ยื่นข้อเสนอให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แดงทั้งแผ่นดิน สลายการชุมนุม

สุดท้ายก็จบลงด้วยความรุนแรงและความตาย แต่นายอภิสิทธิ์ก็ยังพร่ำแต่คำว่าปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังกล่าวหาใส่ร้ายและจับกุมคนเสื้อแดงและฝ่ายตรงข้าม โดยมี พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือ เช่นเดียวกับการปฏิรูปประเทศครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์พูดชัดเจนว่าจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

การปรองดองและการปฏิรูปประเทศของนายอภิสิทธิ์จึงไม่ต่างกับการ “ขอพื้นที่คืน” และการ “กระชับล้อม” ที่ใช้กับคนเสื้อแดง เพราะเป็นการมัดมือชกให้คนทั้งประเทศต้องยอมรับแผนปรองดองและปฏิรูปของรัฐบาล โดยใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาการเมืองให้กับตนเองและพวกพ้อง

ขณะที่ประชาชนจำนวนหนึ่งเห็นว่านายอภิสิทธิ์หมดความชอบธรรมที่จะบริหารบ้านเมืองต่อไปแล้ว และต้องแสดงความรับผิดชอบกับการสั่งให้ใช้กำลังจนมีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ราย และบาดเจ็บเกือบ 2,000 ราย

**********************************************************************

"ทักษิณ" ปฏิเสธซื้อ ส.ส.โหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ สวนกลับจัดผลประโยชน์พรรคร่วมไม่ลงตัว อย่าโทษคนอื่น

“ทักษิณ” ส่ง “นพดล” โต้ ไม่เคยคิดซื้อส.ส.โหวตคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณ หวังล้มรัฐบาล ย้อนเกลี่ยผลประโยชน์พรรคร่วมไม่ลงตัว อย่ากล่าวหาคนอื่น ปัดให้ล็อบบี้ยิสต์ชงองค์กรสิทธิ์ระหว่างประเทศกดดันเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 14 มิถุนายน ที่พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีแถลงถึงกรณีที่นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะทุ่มเงินซื้อส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลเพื่อออกเสียงคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2554 วาระสองเพื่อล้มรัฐบาลว่า ขอปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างสิ้นเชิง จากการพูดคุยกับพ.ต.ท.ทักษิณ ได้ยืนยันว่าไม่เคยคิดซื้อส.ส.เพื่อคว่ำร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายฯ ตนไม่อยากให้รัฐบาลที่ปากบอกว่าจะสร้างความปรองดองเที่ยวกล่าวหาผู้อื่น เพราะหากท้ายสุดแล้วเกิดกรณี ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลโหวตล้มร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ก็จะมากล่าวโทษพ.ต.ท.ทักษิณอีก ทั้งที่โดยความจริงแล้วความล้มเหลวหรือคงอยู่ของรัฐบาลนั้น ต้องกลับไปดูในพรรคร่วมรัฐบาลเองว่าจะบริหารจัดการผลประโยชน์ลงตัวหรือไม่ จึงขอให้พูดความจริง อย่ากล่าวหาคนอื่นล่วงหน้า

นายนพดล กล่าวว่า สำหรับกรณีที่นายเทพไทระบุว่าองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนทั้งในและต่างประเทศกดดันให้รัฐบาลยกเลิกพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า จ้างล็อบบี้ยิสต์เคลื่อนไหวใส่ร้ายรัฐบาลและให้ข้อมูลผิดๆแก่องค์กรระหว่างประเทศ ว่า ตนยังขอยืนยันเรียกร้องว่ารัฐบาลควรยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะเป็นการละเมิด ลิดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนอีกทั้งสถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย แต่รัฐบาลก็ยังคงกล่าวโทษพ.ต.ท.ทักษิณ ว่าให้ข้อมูลผิดผิดๆต่อองค์กรระหว่างประเทศ ซึ่งตนอยากให้รัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์เข้าใจการทำงานขององค์กรระหว่างประเทศ ว่าองค์กรเหล่านี้มีสาขา มีตัวแทนทั่วโลก รวมถึงในประทศไทยจึงสามารถหาข้อมูลได้เอง ตนขอรัฐบาลอย่ามากล่าวหา เราให้ข้อมูลเป็นจริงทุกอย่าง เรารักชาติรักประเทศไทย แต่ไม่รักรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์เพราะได้ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตประชาชนจำนวนมาก

นายนพดล กล่าวว่า เราทราบมาว่าการที่รัฐบาลส่งนายเกียรติ สิทธิอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย ไปให้ข้อมูลต่างประเทศนั้น มีหลายเรื่องที่พูดไม่จริงเช่น การสั่งสลายชุมนุม และยังได้ใช้กลไกกระทรวงการต่างประเทศไปให้ข้อมูลที่เป็นเท็จในต่างประเทศ ดังนั้นตนคิดว่ารัฐบาลต้องใจกว้าง เมื่อกล่าวหาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ก่อการร้าย ก็ต้องใจกว้าง และถ้าจะสร้างความปรองดองก็ต้องให้สิทธิเสรีภาพแก่อีกฝ่ายให้ข้อมูลต่อสาธารณะอีกทั้งรัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่าปัจจุบันข้อมูลข่าวสารไม่สามารถปิดบังได้ทั้งหมด

ที่มา.มติชนออนไลน์
-----------------------------------------------

คนละเรื่องเดียวกัน

ได้เห็นกันจะ จะ.. ในขณะที่ คริสเตียนโน โรนัลโด “สับขาหลอก” ให้แฟนบอลได้ฮือฮา!! สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ “สับแขนหลอก” เพื่อให้ คอการเมือง สับสนว่า ข้างไหนคอก และ ข้างไหนไม่คอก ถือเป็นความสามารถพิเศษ ที่ไม่มีใครจะเลียนแบบได้ เพราะ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นทั้ง นายกรัฐมนตรี หัวหน้ารัฐบาล และ เป็นทั้ง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำพิธีปัดรังควานเรียบร้อยไปแล้ว ที่ “ทำเนียบ”ทำพิธีใหญ่

พร้อมกันทีเดียวทั้ง “5ศาสนา” ในขณะที่ ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ ปรับ “ฮวงจุ้ยใหม่”..โดยที่มี “เทพเทือก” ยืนเคียงข้าง สลับแขนไป-มา ให้ประชาชนงุนงงเล่น จะให้ “งง”ทำไม ในเมื่อใครๆเขาก็รู้ว่า “แขนคอก”อยู่แล้ว พิลึก!! ปากก็พร่ำพูดแต่ ปรองดอง ปรองดอง แต่การทำมันตรงกันข้าม เพราะยังคง

“พรก.” ม้วนเป็น “เข็มขัดคาดเอว”มัดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น บ้านเมืองจะง่อนแง่นยังไงก็ชั่งหัวมัน..ความปลอดภัย“ตัวเอง”ต้องมาก่อน เพราะฉะนั้น “แผนปรองดอง” มันก็คือการ“จับมาดอง”นั่นเอง!! รัฐบาลโอ่ลั่นว่า ร้อยละ แปดสิบ ของ ประชาชนรับ แผนปรองดอง “ชัวร์”เพราะได้มีการสำรวจออกมาแล้วหารู้ไม่

ว่าที่คนของรัฐบาลออกไปสำรวจนั้นน่ะ..มันสำรวจกันคนละเรื่อง?? ร้อยละแปดสิบ คือ ประชาชนคนไทย พร้อมใจที่จะนอนดู “ฟุตบอลโลก”! แต่ “รัฐบาล” เอา“ฟุตบอลโลก” กับ“แผนปรองดอง” มาเย็บเป็นเล่มเดียวกัน โอ!..ประเทศกู ทำไมซี้ซั้วกันอย่างนี้วะเนี่ย! ช่วงนี้ อย่าว่าแต่ “คนไทย”เลย..แม้แต่ “คนทั้งโลก”

เขาก็หา “กำไรชีวิต” กับการชมฟุตบอลกันทุกประเทศ มีแต่ “รัฐบาลไทย” เท่านั้นที่ยังเต้นผาง“ออกงิ้ว”ไม่เลิก!! ภาษิตฝรั่งว่าไว้ Don’t make mountains out of molehills.แปลเป็นไทยว่า “อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” ทำไม!..ต้องให้สอนภาษาประกิตกันอยู่เรื่อย..ก็นักเรียนนอกกันทั้งนั้น!!
คอลัมน์ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************

“การเมือง” เล่นจั๋งหนับ!!

“การเมือง” เล่นจั๋งหนับ!!
เตียงต้องหัก เกิดการหย่าร้าง..เพราะชีวิตคู่ เดินไปบนเส้นขนาน ของการเมืองไม่ได้ขอรับ? ต้องกลายเป็นคู่ตุนาหงัน แยกทางกัน อันเนื่องมาจากการเมืองเป็นพิษ?...คู่รักคู่ชูรส ของ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร” กับ “คุณหญิงอ้อ” พจมาน ณ ป้อมเพ็ชร” ที่แพแตกแยกกันอยู่ รักของ “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ”..อย่าให้ “การเมือง” ต้องมาทำให้แยกคู่ เพราะเท่าที่รู้ ความเครียดของ “การเมืองที่โหดร้าย” เข่นฆ่าประชาชนตาย วันที่ ๑๐ เมษายน และ ๑๙ พฤษภาคม...ภรรเมีย ศรีภรรยา คู่หวานใจ ของ “คณะรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ชน” สลัดทิ้งคู่การเป็น “ผัวเมีย” เพราะอยู่ไป สภาพทางจิตมีมีแต่ความหวาดกลัว อยู่ไปก็มีแต่ความเศร้า!!! “มาดามแตงโม” พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ....ไม่รู้ว่าดวงชะตา...จะเป็นเหมือน “คุณหญิงอ้อ” รีป่าว??????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“การเมือง” มันเครียด!!
มนุษย์หินร่างกายแข็งแรง แกร่งเป็นหิน อย่าง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ อาจล้มหมอนนอนเสื่อ หงายตึงลงมานอนเหยียด?? ความเครียดเกิดได้กับทุกคน..ยิ่งหน้าสิ่วหน้าขวาน สถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจด้วยแล้ว... “โรคหัวใจ” ก็ถามหา “เทพเทือก” อยู่เหมือนกัน วัยปูนนี้กับ “โรคหัวใจ”...มีอันตราย มากเชียวนะท่าน อย่าไปเครียด หรือ ซีเรียส กับสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีวันสงบ...เมื่อฝ่ายหนึ่งยังตามล่า ตามเด็ด เก็บชีวิต “แดง นปช.” ให้ตกตาย อย่างสบายใจเฉิบ!!! “เทพเทือก” ต้องปล่อยวาง...การเมืองเกิดอะไรก็ช่าง?...อย่าสร้างอารมณ์มู้ดดี้ ให้ “โรคหัวใจกำเริบ”???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

เป็น “เขย” ชาวเหนือ!!!
“รัฐมนตรีน้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย แห่งสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ยอดศรีภรร ร่างอรชอ้นอ่อนแอ่นฉบับกระเป๋า..ส่วนสูงและน้ำหนัก พอวัดพอเหวี่ยง กันอย่างไม่น่าเชื่อ โดย “ศรีภรรยายอดขมองอิ่ม” นั้น...ว่ากันว่าเป็น “ชาวเหนือ” ที่สวยมีระดับ ไฮคลาส สวยเป็นหนึ่งในตองอู...ความรู้สุดฉลาด ถึงจะเป็น “เขยขวัญชาวเหนือ”..แต่วันนี้ “ท่านรัฐมนตรีสาทิตย์” ดูจะติดบอร์ด ติดชาร์จ ที่ชาวเหนือไม่เอาสูง จนน่าใจหาย!!!! เมื่อรู้พี่น้องชาวเหนือไม่รับ...น่ายกเครื่องตัวเองสักนิดสิครับ...ปรับตัวเอง ก่อนที่จะสาย??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“สาวก” ตัวโจก ตัวพ่อ ทั้งสิ้น!!!
ร่อนเทียบเชิญ นั่งเสลียงหามมา ล้วนขึ้นบัญชี ต้องการล้างแค้น” ทักษิณ” ไม่ว่าจะเป็น “ผู้ดีรัตนโกสินทร์” อานันท์ ปันยารชุน, “พล.ต.อ.วิสิษฐ์ เดชกุญชร”, “สมบัติ ธำรงธัญวงศ์”,”คณิต ณ นคร” ที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ขุดกรุ..เอ๊ย..เปิดกรุมา เพื่อยกระดับ งานปรองดอง ของประเทศไทย โชว์ตัวให้เห็น..ล้วนพวกตามเล่น “เสื้อแดง” ให้ตาย แต่ก็ดีอยู่เหมือนกัน...ใครที่นั่งหลังฉาก คอยกำกับบทอยู่หลังเวที....เมื่อแหลมหน้า แจมหน้าออกมาให้เห็นกันกลางแจ้ง ทุกฝ่ายจะรู้ “ว่าใครอยู่ข้างใคร”!!! “เปิดหน้า” ออกมาทุกผู้ ทุกตอน....เลิกแอบเลิกซ่อน....ถึงคราวย้อนศร คิดบัญชีกันง่าย??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

กระชับพื้นที่ดี แต่ในประเทศไทย
แต่นอกประเทศ เพื่อนบ้านทั่วโลกแล้ว... “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นรองหลายขุม จะบอกให้?? เทียบชั้น เทียบดีกรี เทียบไอคิว ไม่ติดกับ “อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร”...ที่เตรียมนำเรื่องการเข่นฆ่าประชาชาคนไทยตาย ไปฟ้อง “ศาลอาชญากรรมโลก” ที่กรุงเฮ็ก “อภิสิทธิ์”ได้เปรียบแค่ในสยาม...แต่ท่านตกต่ำ ตอกย้ำ กับชาวโลก ว่าเป็น “ผู้นำปัญญาเด็ก” ยิ่ง “ศาสตราจารย์จี.เจ อเล็กซันเดอร์ คนูพส์” ทนายความชาวเนเธอร์แลนด์ ซึ่งแม่นฉมัง เฉียบขาด คดีระหว่างประเทศ กรณีการฆ่าประชาชนที่ยูโกสลาเวีย ประเทศซีร่า ลีวัน และประเทศรวันดา ที่ฆ่าตายเป็นเบือ...ว่าความคดีไหน ไม่เคยพลาดเป้า “ชนะทุกคดี” โดย “อดีตนายกฯทักษิณ” จ้างมาเป็นทนาย จ้องฟ้องศาลอาชญากรรมโลก เสร็จสรรพ ใครที่ออกทีวี จ้อไม่ฆ่าประประชาชน...อย่าต้องมาจำนน...โดน “ศาลโลก” เล่นงานนะครับ????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ทีมา.บางกอกทูเดย์

บนเกณฑ์ใหม่

ปี 2547 สำนักงานสถิติแห่งชาติ สำรวจพบคนไทยควักเงินจ่ายเป็นค่าบุหรี่สูงปีละ 5.7 หมื่นล้านบาท ผ่านมา 6 ปี ตัวเลขนี้น่าจะขยับทะลุเกินกว่า 6 หมื่นล้านบาท เมืองไทย...กลายเป็นตลาดมุ่งหวังที่บริษัทนำเข้าบุหรี่ต่างชาติต้องการจะเข้าครอบครองมากสุด ไม่เพียงจะตอบโจทย์ที่ว่า...ชาติที่เคยรณรงค์ควบคุมการสูบบุหรี่ดีสุดเป็นอันดับ 2 ของโลกอย่างเมืองไทย เพราะสามารถ “ตีเส้น” ให้บุหรี่ทุกซองต้องติดภาพน่ากลัว

น่าเกลียดจากพิษภัยของควันบุหรี่ จะมีอัตราการเติบโตของผู้สูบบุหรี่สูงที่สุดในโลก ขยายไปใน กลุ่มผู้สูบหน้าใหม่ ทั้ง กลุ่มเด็กและเยาวชน รวมถึง กลุ่มสตรีไทย หากแต่ยังทลายกำแพงความเชื่อที่ว่า...ขนาดเมืองไทย ชาติที่ประสบความสำเร็จในการต่อต้านและควบคุมการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ ยังสามารถ

เจาะตลาดได้ง่ายๆ ประสาอะไรกับ ชาติเอเชียอื่นๆ ที่มีการรณรงค์ต่อต้านและควบคุมทำได้ไม่ดีเท่า สรุป! ถ้าเจาะ ตลาดเมืองไทย ได้ ตลาดเอเชียอื่นๆ ก็คงไม่ยาก เพราะมีตัวอย่างความสำเร็จให้เห็นแล้ว แต่ละปีมีคนทั่วโลกเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่สูงกว่า 5 ล้านราย เฉลี่ยตัวเลขที่ องค์การอนามัยโลก ทำไว้คือ จะมี

ผู้เสียชีวิต 1 ราย ในทุกๆ 8 วินาที จำนวนนี้...เป็นประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาสูงถึงร้อยละ 70 หากอัตราการสูบบุหรี่ยังคงสูงอยู่เช่นนี้ต่อไป ว่ากันว่า...อีก 20 ปีข้างหน้าจะต้องมีผู้สังเวยชีวิตจากการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคนต่อปีทีเดียว กลับมาที่เมืองไทย ความพยายามที่ กรมสรรพสามิต ยุคของ

ดร.อารีพงศ์ ภุ่มชอุ่ม ต้องการปรับเกณฑ์จัดเก็บภาษีสรรพสามิตบุหรี่ไทยและบุหรี่นำเข้าใหม่ โดยใช้เกณฑ์คำนวณจาก ราคาขายปลีก เสนอต่อ รมช.คลังคนใหม่ ทั้งที่ของเดิม...บุหรี่ไทยคิดฐาน ภาษีสรรพสามิต จากราคาหน้าโรงงานอุตสาหกรรม ขณะที่ บุหรี่นอกคิดจากราคานำเข้า (C.I.F.) เรื่องนี้ถูกผิดยังไม่ชัด!

แต่กับเสียงครหายามนี้คือ เม็ดเงินนับ “พันล้าน” จากการลงขันผลักดันให้นำเกณฑ์ใหม่มาใช้โดยเร็ว เพราะจะทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่นอกต่ำกว่าบุหรี่ไทย ซึ่งต้องแบกรับภาระภาษีอื่นๆ โดยเฉพาะ “ภาษีเงินได้แทนผู้ค้าบุหรี่ทุกทอด” ปมของเรื่องก็คือ ส่วนใหญ่ของผู้นำเข้า มักจะหมกเม็ดตัวเลขต้นทุนแท้จริง

ยิ่งเมื่ออาศัยช่องว่างตลาดอาเซียนจากกรอบอาฟต้าที่เลิกจัดเก็บภาษีนำเข้าด้วยแล้ว การกดราคาขายปลีก เพื่อให้เสียภาษีสรรพสามิตต่ำๆ จึงทำได้ง่ายขึ้น เสียภาษีถูก ราคาขายปลีกบุหรี่นอกก็จะยิ่งถูก การเจาะตลาดใหม่ๆ ก็ทำได้ง่ายและกว้างขึ้น อันตรายทั้งต่อระบบเศรษฐกิจ ต่อระบบการจัดเก็บภาษี ต่อภาพรวม

สังคมไทย โดยเฉพาะ ปัญหาสุขภาพของคนไทย ก็จะยิ่งสูงขึ้น เรื่องนี้...ไม่รู้ว่า คนที่ชอบ “อะไรกระชับๆ” อย่าง คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะสนใจมากน้อยแค่ไหน? รู้มั๊ยว่า...อันตรายจากพิษภัยของบุหรี่นอก กำลังคืบคลานบนกองผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม!!!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++