นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำแดงสยาม กล่าวเมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ถึง กรณีที่รัฐบาลยังคงยืนยันมีความจำเป็นที่ต้องคงการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเอาไว้ก่อน พร้อมทั้งให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ติดตามการเคลื่อนไหวการชุมนุมทางการเมืองโดยตลอดว่า ก็ประกาศตลอดไปเสียเลย เท่ากับเป็นการบังคับให้คนเข้าป่าไปเรื่อยๆ คนไม่รู้จะไปไหน ก็ไปรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมที่กลัวนักกลัวหนาว่าเป็นกองกำลัง ผมว่ามันต้องเกิดอย่างแน่นอน แต่จะเมื่อไรนั้นตอบไม่ได้ การรวมตัวนี้เขาจะไม่รวมตัวในบ้านเราแน่นอน จะที่ไหนก็แล้วแต่จะมีใครสนับสนุนบ้างก็ไม่รู้ เพื่อนบ้านที่ไม่ชอบเราก็มี รอแต่จังหวะ ใครจะกล้าประกาศตัวว่าสนับสนุนกองกำลังนี้ล่ะ
นายสุรชัยกล่าว ได้มีการพูดคุยกันว่าหากมีการประกาศ พรก.ฉุกเฉินยาว พวกเราก็จะทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิต แล้วก็จะมีการปราศรัยทางการเมืองบ้างนิดหน่อย เพื่อเรียกขวัญกลับคืนมา เพื่อให้พวกเขาอยู่กับที่ ไม่ต้องการให้พวกเขาต้องแตกกระจายหาหลักไม่ได้ คนเราเมื่อหาที่พึ่งไม่ได้ก็เคว้งคว้าง ผมตั้งใจว่าในเร็วๆนี้จะทำบุญใหญ่กันที่นครศรีธรรมราช สุราษฏร์ธานี ราชบุรี หรืออีกหลายๆ ใช้พื้นที่ที่ไม่ต้องมี พรก.ก็เท่านั้น ทำบุญ กินข้าวด้วยกัน เรียกขวัญกลับมา แต่ไม่ใช่รวมตัวเพื่อก่อการร้ายใต้ดินอย่างที่คิด
“ วันนี้ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่พยายามไล่จับคน ปราบปรามคนเสื้อแดง ทำให้กระจัดกระจายตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ตอนนี้ก็เกิดมาแล้ว รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ได้ แนวทางคือ แดงสยามจะต้องเป็นตัวชี้ให้เห็นแนวทางการเปลี่ยนถ่ายอย่างสันติ ไม่ให้สถานการณ์ร้ายจนเกินไป รัฐบาลชุดนี้ปราบปรามแล้วจะเป็นรัฐบาลปรองดองไม่มีในโลก ปราบเอง จับเอง ปรองดองเองไปเอาทฤษฎีมาจากไหน ฟันธงรัฐบาลชุดอภิสิทธิ์อยู่ไม่ทันข้ามปี”
นายสุรชัย กล่าวต่อว่า กลุ่มที่จะทำให้เกิดความสงบได้วันนี้คือแดงสยาม เพราะกลุ่มตนมีประสบการณ์ นุ่มลึกไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อน มีเหตุมีผล เราเคยผ่านบทเรียนความรุนแรง เราต้องการใช้ทฤษฎีเปลี่ยนผ่าน คนที่หนีเข้าป่าสุดขั้วอยู่แล้ว ฝ่ายรัฐวันนี้ไม่มีทางไม่ได้รับความเชื่อถือ การที่ผมจะออกมาตั้งเวทีวันนี้ก็ออกมาปราบพวกคุณไม่เข้าใจ การันตีกองกำลังเกิดขึ้นแน่เตรียมตัวให้ดี
ที่มา.มติชนออนไลน์
*********************************************
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553
รัฐมนตรีประชาชนต้องพิจารณา
สำนัก(ข่าว)พระพยอม
การเลือกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาลที่ต้องต่อรองกัน แต่ประชาชนก็จะศึกษาดูว่าคนที่ถูกเลือกเข้ามานั้นทำงานได้หรือไม่ หากเข้ามาแล้วไม่สามารถทำงานได้ หน้าที่ของเราก็พิจารณาเอาตอนเลือกตั้ง
และแล้วความตื่นเต้นเมื่อการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาถึง ไม่ว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกก็ดี ถูกปรับเข้าใหม่ก็ดี อาตมาจะไม่ใช้คำว่าเขี่ย แม้ว่าสื่อมวลชนจะชอบใช้คำว่าเขี่ยหรือรื้อก็ตาม เพราะคำว่าเขี่ยเป็นอาการเหมือนอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คน
สำหรับพวกที่ถูกปรับออกบางคนแค้นก็มี เสียอกเสียใจก็มี น้อยใจบ่นว่าทำงานมาก็เยอะแต่กลับบอกไม่มีผลงาน อันนี้ก็มี คงไม่ต้องเอ่ยว่าใคร เหตุผลของการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ก็ทราบดีว่าต้องการให้คนที่ยังไม่ได้เป็นมาเป็นบ้าง ถึงแม้ว่าคนที่เคยเป็นมาแล้วจะทำงานเก่ง ทำงานคล่องแค่ไหน ก็ต้องหลีกทางให้คนอื่นเข้ามาบ้าง เพราะมีอีกหลายคนที่รออยู่นานแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้จัดการรัฐบาลหรือหัวหน้ารัฐบาลจะดำเนินการ
แต่ที่รู้ๆคนในพรรคเพื่อแผ่นดินที่ออกมาพูดเรื่องโหวตว่า ที่ต้องโหวตสวนเพราะรับสภาพการทำงานไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับทุกคนต้องมีวิจารณญาณว่าใครควรออกเพราะอะไร คนถูกอภิปรายอย่างหนักชี้จุดโกง จุดคอร์รัปชัน มีส่วนทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างชัดเจน งบประมาณต้องเสียไปเปล่าๆ ก็เป็นสาเหตุให้ต้องโหวตสวนไม่ไว้วางใจ แต่สำหรับรัฐมนตรีบางคนถึงแม้จะโดนหนักกว่าคนอื่นแต่ก็ยังได้เป็นรัฐมนตรีต่อไป อันนี้อยากให้รู้ไว้ว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นหลักแล้ว แต่กลับเป็นรอง เพราะถึงจะถูกถล่มร่อแร่ขนาดไหนก็ยังอยู่ได้
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้มองไม่เห็นว่าอีกกี่ปีประเทศชาติเราจะสามารถสนองตอบเรื่องผู้บริหารบ้านเมืองได้ว่าควรเป็นคนดี แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรให้ครองบ้านครองเมืองบริหารประเทศต่อไป พวกนักการเมืองค่อนข้างจะชัดเจน ถ้าเสียชัดเจนให้อยู่ได้ บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าให้นักการเมืองตัดสินใจกันเองก็จะเป็นอย่างที่เห็น เพราะแม้ให้ดีอย่างไร ดีแบบเป็นลูกเทวดามาเกิดแล้วมาช่วยบ้านช่วยเมืองก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามีพวกที่อยากจะเขี่ย นี่แหละเป็นการเมืองแบบไทยๆ ไม่ต้องไปไหน พายเรือในอ่างวนกันอยู่อย่างนี้ เราก็คงจะเห็นว่ามีแต่นักการเมืองหน้าเดิมๆเข้ามาวนเวียนเก็บผลประโยชน์ของบ้านเมืองผ่านตำแหน่งต่างๆ ซึ่งบางคนเข้ามาสร้างปัญหาก็มี
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเวลาหมดไปกับเรื่องใครฆ่าประชาชน เรารู้ว่าอภิปรายไปก็คงไม่มีใครในกองทัพหรือรัฐบาลออกมาบอกว่าข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แม้จะพูดกันเรื่องนี้มากที่สุดก็ยังหาตัวการไม่ได้ แต่การเกาะกิน การคอร์รัปชันในบ้านเมืองนี้เสียหายมากมายกลับพูดถึงกันน้อย ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตายไป 88 ศพไม่มีความหมายหรือไม่มีความสำคัญ แต่เรื่องคอร์รัปชันก็สำคัญ ถ้าปล่อยให้ทำกันเยอะ ต่อไปบ้านเมืองจะเกิดจลาจลเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า และจะมีคนตายมากกว่านี้
เชื่อว่าคนที่มีมันสมองคงเห็นว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าภัยของประเทศที่มาจากการคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาเราเห็นกันจะจะว่าเป็นอย่างไร แต่ยังพากันเอาตัวรอดได้ การแก้ตัวแบบตะเงาตะแงะก็เหมือนปลาที่ถูกทุบแต่ยังมีแรงดิ้นหนีลงน้ำ
อย่างไรก็ตาม ขอให้คนที่ฉลาดช่วยกันติดตามดูว่าการรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่ตั้งเพื่ออะไร เพราะเราอยากให้ตั้งเพื่อประชาชน เลือกคนที่ถนัดในการทำงานที่ชัดเจนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ใช่เข้ามาแก้ปัญหาของกลุ่ม ของพรรคของตนเท่านั้น คือแก้ปัญหาแค่ตัวเอง
ฉะนั้นอยากให้คนไทยศึกษาตรงนี้ เรียนรู้เรื่องนี้ และจดจำเรื่องนี้ คราวหน้าเขามาขอให้เราลงคะแนนให้เราควรจะเลือกหรือไม่ เราจะสนับสนุนไหม โดยพิจารณาด้วยว่าการเลือกคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้น เลือกคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือเลือกเพื่อตอบสนองกลุ่มก๊วน หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน
ท่านนายกฯเองยอมรับว่า “ผมสามารถจะเลือกรัฐมนตรีได้ตามใจชอบ” ก็จะเอ่ยชื่อคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เป็นชื่อแรก แต่ท่านบอกว่านายกฯเลือกไม่ได้เพราะก๊วนมันบังคับมุ้ง ผลเลยต้องเป็นแบบนี้
แต่ความพร้อมจะทำงานเพื่อประเทศชาติคงไม่ครบแน่นอน คุณสมบัติ ความสามารถ บางคนยังไม่ถึง หรือคุณสมบัติที่ชาวบ้านต้องการยังไม่ได้ ได้แต่คุณสมบัติตามที่พรรคต้องการมากกว่า
เพราะฉะนั้นเราชาวบ้าน ใครจะแต่งตั้งใครเราไม่เกี่ยวไม่ได้ ต้องตามศึกษา อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ ไม่ตั้งท่ารับให้ดีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
เจริญพร
**********************************************************************
การเลือกรัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกฯและผู้จัดการรัฐบาลที่ต้องต่อรองกัน แต่ประชาชนก็จะศึกษาดูว่าคนที่ถูกเลือกเข้ามานั้นทำงานได้หรือไม่ หากเข้ามาแล้วไม่สามารถทำงานได้ หน้าที่ของเราก็พิจารณาเอาตอนเลือกตั้ง
และแล้วความตื่นเต้นเมื่อการปรับคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มาถึง ไม่ว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกก็ดี ถูกปรับเข้าใหม่ก็ดี อาตมาจะไม่ใช้คำว่าเขี่ย แม้ว่าสื่อมวลชนจะชอบใช้คำว่าเขี่ยหรือรื้อก็ตาม เพราะคำว่าเขี่ยเป็นอาการเหมือนอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คน
สำหรับพวกที่ถูกปรับออกบางคนแค้นก็มี เสียอกเสียใจก็มี น้อยใจบ่นว่าทำงานมาก็เยอะแต่กลับบอกไม่มีผลงาน อันนี้ก็มี คงไม่ต้องเอ่ยว่าใคร เหตุผลของการปรับคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ก็ทราบดีว่าต้องการให้คนที่ยังไม่ได้เป็นมาเป็นบ้าง ถึงแม้ว่าคนที่เคยเป็นมาแล้วจะทำงานเก่ง ทำงานคล่องแค่ไหน ก็ต้องหลีกทางให้คนอื่นเข้ามาบ้าง เพราะมีอีกหลายคนที่รออยู่นานแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับผู้จัดการรัฐบาลหรือหัวหน้ารัฐบาลจะดำเนินการ
แต่ที่รู้ๆคนในพรรคเพื่อแผ่นดินที่ออกมาพูดเรื่องโหวตว่า ที่ต้องโหวตสวนเพราะรับสภาพการทำงานไม่ได้ เขาพูดอย่างนั้น แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับทุกคนต้องมีวิจารณญาณว่าใครควรออกเพราะอะไร คนถูกอภิปรายอย่างหนักชี้จุดโกง จุดคอร์รัปชัน มีส่วนทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างชัดเจน งบประมาณต้องเสียไปเปล่าๆ ก็เป็นสาเหตุให้ต้องโหวตสวนไม่ไว้วางใจ แต่สำหรับรัฐมนตรีบางคนถึงแม้จะโดนหนักกว่าคนอื่นแต่ก็ยังได้เป็นรัฐมนตรีต่อไป อันนี้อยากให้รู้ไว้ว่าเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เป็นหลักแล้ว แต่กลับเป็นรอง เพราะถึงจะถูกถล่มร่อแร่ขนาดไหนก็ยังอยู่ได้
สิ่งเหล่านี้จึงทำให้มองไม่เห็นว่าอีกกี่ปีประเทศชาติเราจะสามารถสนองตอบเรื่องผู้บริหารบ้านเมืองได้ว่าควรเป็นคนดี แต่ถ้าไม่ดีก็ไม่ควรให้ครองบ้านครองเมืองบริหารประเทศต่อไป พวกนักการเมืองค่อนข้างจะชัดเจน ถ้าเสียชัดเจนให้อยู่ได้ บ้านเมืองจะเสียหายอย่างไรก็อยู่ได้ แต่ถ้าให้นักการเมืองตัดสินใจกันเองก็จะเป็นอย่างที่เห็น เพราะแม้ให้ดีอย่างไร ดีแบบเป็นลูกเทวดามาเกิดแล้วมาช่วยบ้านช่วยเมืองก็คงจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่ามีพวกที่อยากจะเขี่ย นี่แหละเป็นการเมืองแบบไทยๆ ไม่ต้องไปไหน พายเรือในอ่างวนกันอยู่อย่างนี้ เราก็คงจะเห็นว่ามีแต่นักการเมืองหน้าเดิมๆเข้ามาวนเวียนเก็บผลประโยชน์ของบ้านเมืองผ่านตำแหน่งต่างๆ ซึ่งบางคนเข้ามาสร้างปัญหาก็มี
แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่การอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเวลาหมดไปกับเรื่องใครฆ่าประชาชน เรารู้ว่าอภิปรายไปก็คงไม่มีใครในกองทัพหรือรัฐบาลออกมาบอกว่าข้าพเจ้าขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว แม้จะพูดกันเรื่องนี้มากที่สุดก็ยังหาตัวการไม่ได้ แต่การเกาะกิน การคอร์รัปชันในบ้านเมืองนี้เสียหายมากมายกลับพูดถึงกันน้อย ไม่ได้หมายความว่าคนที่ตายไป 88 ศพไม่มีความหมายหรือไม่มีความสำคัญ แต่เรื่องคอร์รัปชันก็สำคัญ ถ้าปล่อยให้ทำกันเยอะ ต่อไปบ้านเมืองจะเกิดจลาจลเพิ่มมากขึ้นหลายเท่า และจะมีคนตายมากกว่านี้
เชื่อว่าคนที่มีมันสมองคงเห็นว่าไม่มีอะไรเกินไปกว่าภัยของประเทศที่มาจากการคอร์รัปชัน ที่ผ่านมาเราเห็นกันจะจะว่าเป็นอย่างไร แต่ยังพากันเอาตัวรอดได้ การแก้ตัวแบบตะเงาตะแงะก็เหมือนปลาที่ถูกทุบแต่ยังมีแรงดิ้นหนีลงน้ำ
อย่างไรก็ตาม ขอให้คนที่ฉลาดช่วยกันติดตามดูว่าการรัฐมนตรีที่ตั้งใหม่ตั้งเพื่ออะไร เพราะเราอยากให้ตั้งเพื่อประชาชน เลือกคนที่ถนัดในการทำงานที่ชัดเจนเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ไม่ใช่เข้ามาแก้ปัญหาของกลุ่ม ของพรรคของตนเท่านั้น คือแก้ปัญหาแค่ตัวเอง
ฉะนั้นอยากให้คนไทยศึกษาตรงนี้ เรียนรู้เรื่องนี้ และจดจำเรื่องนี้ คราวหน้าเขามาขอให้เราลงคะแนนให้เราควรจะเลือกหรือไม่ เราจะสนับสนุนไหม โดยพิจารณาด้วยว่าการเลือกคนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้น เลือกคนที่เหมาะสมกับตำแหน่ง หรือเลือกเพื่อตอบสนองกลุ่มก๊วน หรือตอบสนองความต้องการของประชาชน
ท่านนายกฯเองยอมรับว่า “ผมสามารถจะเลือกรัฐมนตรีได้ตามใจชอบ” ก็จะเอ่ยชื่อคุณนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ เป็นชื่อแรก แต่ท่านบอกว่านายกฯเลือกไม่ได้เพราะก๊วนมันบังคับมุ้ง ผลเลยต้องเป็นแบบนี้
แต่ความพร้อมจะทำงานเพื่อประเทศชาติคงไม่ครบแน่นอน คุณสมบัติ ความสามารถ บางคนยังไม่ถึง หรือคุณสมบัติที่ชาวบ้านต้องการยังไม่ได้ ได้แต่คุณสมบัติตามที่พรรคต้องการมากกว่า
เพราะฉะนั้นเราชาวบ้าน ใครจะแต่งตั้งใครเราไม่เกี่ยวไม่ได้ ต้องตามศึกษา อย่าปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ ไม่ตั้งท่ารับให้ดีจะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่ทำลายประเทศชาติอย่างน่าเสียดาย
เจริญพร
**********************************************************************
"เพื่อไทย" มีมติขับ "จุมพฎ-ปรพล" ออกจากพรรค เหตุตัวเป็นเพื่อไทยใจอยู่พรรคอื่น "สมบูรณ์-นิคม" จ่อถูกเชือด
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงผลการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย ครั้งที่ 2 / 2553 มีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเป็นประธานในการประชุม ว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคมติให้ขับ ร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี และนายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร ออกจากพรรค ในข้อหาทำผิดระเบียบข้อบังคับพรรคการเมืองอย่างร้ายแรง ขาดการประชุมพรรคเป็นเวลานาน ไม่เข้าร่วมในกิจกรรมของพรรค ไปร่วมกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่น รวมไปถึงการไปร่วมทำกิจกรรมกับพรรคการเมืองอื่นอย่างเปิดเผย ซึ่งผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญรวมถึงกฏหมายพรรคการเมือง ที่ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมืองเดียว แต่การกระทำของร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ชื่ออยู่พรรคเพื่อไทยตามหลักนิตินัย แต่พฤติกรรมและการปฎิบัติตัวกับอยู่อีกพรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดต่อเจตนารมณ์ในการทำหน้าที่ที่เป็นตัวแทนประชาชนอย่างชัดเจน
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยโดยคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคได้ทำหนังสือขอให้ ร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ชี้แจงใดๆ กับเพิกเฉย คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีมติขับ ส.ส.ทั้งสองออกจากพรรค ในขั้นตอนต่อไปกรณีที่สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและต้องถูกกำหนดโทษให้พ้นจากการเป็นสมาชิกให้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค เพื่อให้ที่ประชุมร่วมพิจารณา หากมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและ ส.ส. โดยการลงมติให้ลงคะแนนลับ ตามข้อบังคับของพรรคข้อ 23
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ยังได้มีมติให้นำเรื่อง นายสมบูรณ์ วันชัยธนวงศ์ ส.ส. สัดส่วน และนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่กระทำขัดต่อข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรค ได้สอบข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อกล่าวหาของ ส.ส. ทั้งสองต่อไป รวมถึงให้นายสมบูรณ์และนายนิคม มาชี้แจงต่อคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคต่อไป
อนึ่ง ข้อบังคับพรรคเพื่อไทยข้อที่ 23 ระบุไว้ว่าสมาชิกผู้ใดกระทำการอันเป็นการผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณของพรรค ต้องได้รับโทษตามความร้ายแรงของการกระทำผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณ ดังนี้
1.ตักเตือน 2. ภาคทัณฑ์ 3.ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกตามข้อบังคับ 4. ให้พ้นจากสมาชิกภาพ ในกรณีสมาชิกที่ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการกระทำนั้นอาจมีผลให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากความเป็นสมาชิก ให้คณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณส่งผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะให้ที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคพิจารณา มติของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคให้สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากความเป็นสมาชิก ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด การลงมติให้ลงคะแนนลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
..........................................................
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยโดยคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคได้ทำหนังสือขอให้ ร.ต.ปรพล และนายจุมพฏ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ชี้แจงใดๆ กับเพิกเฉย คณะกรรมการบริหารพรรคจึงมีมติขับ ส.ส.ทั้งสองออกจากพรรค ในขั้นตอนต่อไปกรณีที่สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและต้องถูกกำหนดโทษให้พ้นจากการเป็นสมาชิกให้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค เพื่อให้ที่ประชุมร่วมพิจารณา หากมีมติให้พ้นจากการเป็นสมาชิกต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและ ส.ส. โดยการลงมติให้ลงคะแนนลับ ตามข้อบังคับของพรรคข้อ 23
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค ยังได้มีมติให้นำเรื่อง นายสมบูรณ์ วันชัยธนวงศ์ ส.ส. สัดส่วน และนายนิคม เชาว์กิตติโสภณ ส.ส. สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่กระทำขัดต่อข้อบังคับพรรคอย่างร้ายแรง เสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรค ได้สอบข้อเท็จจริงและพิจารณาข้อกล่าวหาของ ส.ส. ทั้งสองต่อไป รวมถึงให้นายสมบูรณ์และนายนิคม มาชี้แจงต่อคณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณของพรรคต่อไป
อนึ่ง ข้อบังคับพรรคเพื่อไทยข้อที่ 23 ระบุไว้ว่าสมาชิกผู้ใดกระทำการอันเป็นการผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณของพรรค ต้องได้รับโทษตามความร้ายแรงของการกระทำผิดวินัยและละเมิดจรรยาบรรณ ดังนี้
1.ตักเตือน 2. ภาคทัณฑ์ 3.ตัดสิทธิที่พึงมีในฐานะสมาชิกตามข้อบังคับ 4. ให้พ้นจากสมาชิกภาพ ในกรณีสมาชิกที่ถูกกล่าวหาดำรงตำแหน่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการกระทำนั้นอาจมีผลให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากความเป็นสมาชิก ให้คณะกรรมการวินัยและจรรยาบรรณส่งผลการพิจารณาและข้อเสนอแนะให้ที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคพิจารณา มติของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคให้สมาชิกผู้ถูกกล่าวหาพ้นจากความเป็นสมาชิก ต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนคณะกรรมการบริหารและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทั้งหมด การลงมติให้ลงคะแนนลับ
ที่มา.มติชนออนไลน์
..........................................................
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ฝูงหมาป่า
นาญโญ อญญัง วิโสธเย.. คำพระท่านบอกว่า “ผู้อื่นพึงทำให้ผู้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้” และ..ผู้ที่สามารถลบถ้อยคำบาลี ให้เป็นแค่ตัวหนังสือที่สลักอยู่บนใบข่อยเท่านั้นมีอยู่คนเดียวคือ เนวิน ชิดชอบ ซีอีโอ พรรค ภูมิใจไทย เพราะถึง วันนี้ และ ขณะนี้ ใครก็ไม่สามารถแตะ“สองรัฐมนตรี”ของ “เนวิน” ที่บรรจงปั้นมากับมือรุนส่งนั่งเก้าอี้รัฐมนตรี.. เอาเป็นว่าทั้ง นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่กล้าสบตาก็แล้วกัน..
และอย่าได้แม้เพียงจะคิด ที่ แตะ ตบ ตะเพิด หรือ เล่น ตุกติก ใดๆทั้งสิ้น!! กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล และ โสภณ ซารัมย์ สองเด็กหน้าแก่ที่อยู่ในคาถาของ“เนวิน” ซึ่งปกป้องว่าเป็น “ผู้ที่บริสุทธิ์”อย่างมิมีมลทินใดมาแปดเปื้อน?? ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “รถไฟฟ้าสีม่วง” หรือ เรื่อง ทลุทะลวง “เปิดร้านขายปืน”..
ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โก่งคอแทบแตกในสภา เมื่อ พรรคเพื่อแผ่นดิน เห็นแล้วว่า “สองรัฐมนตรี”นี้ไม่รอด จึงไม่ไว้วางใจ.. สิ่งที่เห็น..ไม่ใช่สิ่งที่เป็น และ สิ่งที่เป็น..ไม่ใช่สิ่งที่เห็น นี่คือ การเมืองในยุคของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ที่สามารถสร้างความงวยงง เหมือน “นักมายากล”ให้กับผู้คนทั้งประเทศได้ตลอดเวลา
สะเก็ดระเบิดจาก “เฉลิม” ที่อภิปรายในสภา ดันเฉี่ยวไปโดน ไพทูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรี ว่าการแรงงาน ฉิบ! ทั้งที่ไม่ได้ถูกอภิปรายกะเขาเลย..เรียกว่า หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็นใดๆทั้งสิ้น!! สุภาษิตจีนว่า ตู่ หู่ ปู้ ตี๋ ฉวิน หลัง. แปลเป็นไทยว่า “พยัคฆ์เดี่ยวไม่อาจต้านฝูงหมาป่า” และจนป่านนี้ “ไพทูรย์” ยังงง-งง..หลับๆตื่นๆ
เหมือนคนที่ฝันร้ายเป็น “ความฝัน” ที่จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต!! มีลูกพึงสอนลูก..มีหลานก็ต้องสอนหลาน ว่า.. เจอ “ฝูงหมาป่า”ที่ไหนอย่าได้เข้าไกล้เป็นอันขาด มีโอกาสยิงต้องยิง อุตส่าห์เป็น ส.ส.มาถึงเก้าสมัย ออกจาก “ความหวังใหม่” มาอยู่กับ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้นแหละ.. “เสียมวย”ตอนแก่ทันที!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................................
และอย่าได้แม้เพียงจะคิด ที่ แตะ ตบ ตะเพิด หรือ เล่น ตุกติก ใดๆทั้งสิ้น!! กับ ชวรัตน์ ชาญวีรกุล และ โสภณ ซารัมย์ สองเด็กหน้าแก่ที่อยู่ในคาถาของ“เนวิน” ซึ่งปกป้องว่าเป็น “ผู้ที่บริสุทธิ์”อย่างมิมีมลทินใดมาแปดเปื้อน?? ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “รถไฟฟ้าสีม่วง” หรือ เรื่อง ทลุทะลวง “เปิดร้านขายปืน”..
ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง โก่งคอแทบแตกในสภา เมื่อ พรรคเพื่อแผ่นดิน เห็นแล้วว่า “สองรัฐมนตรี”นี้ไม่รอด จึงไม่ไว้วางใจ.. สิ่งที่เห็น..ไม่ใช่สิ่งที่เป็น และ สิ่งที่เป็น..ไม่ใช่สิ่งที่เห็น นี่คือ การเมืองในยุคของ “นายกฯอภิสิทธิ์” ที่สามารถสร้างความงวยงง เหมือน “นักมายากล”ให้กับผู้คนทั้งประเทศได้ตลอดเวลา
สะเก็ดระเบิดจาก “เฉลิม” ที่อภิปรายในสภา ดันเฉี่ยวไปโดน ไพทูรย์ แก้วทอง รัฐมนตรี ว่าการแรงงาน ฉิบ! ทั้งที่ไม่ได้ถูกอภิปรายกะเขาเลย..เรียกว่า หลับไม่รู้ คู้ไม่เห็นใดๆทั้งสิ้น!! สุภาษิตจีนว่า ตู่ หู่ ปู้ ตี๋ ฉวิน หลัง. แปลเป็นไทยว่า “พยัคฆ์เดี่ยวไม่อาจต้านฝูงหมาป่า” และจนป่านนี้ “ไพทูรย์” ยังงง-งง..หลับๆตื่นๆ
เหมือนคนที่ฝันร้ายเป็น “ความฝัน” ที่จะต้องจดจำไปชั่วชีวิต!! มีลูกพึงสอนลูก..มีหลานก็ต้องสอนหลาน ว่า.. เจอ “ฝูงหมาป่า”ที่ไหนอย่าได้เข้าไกล้เป็นอันขาด มีโอกาสยิงต้องยิง อุตส่าห์เป็น ส.ส.มาถึงเก้าสมัย ออกจาก “ความหวังใหม่” มาอยู่กับ “ประชาธิปัตย์” เท่านั้นแหละ.. “เสียมวย”ตอนแก่ทันที!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..............................................
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น!!!
สิ่งศักดิ์สิทธิ์เห็น!!!
พฤติการณ์ ฆ่าคนไทย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษาฯ๕๓ และ วันที่๑๙ พฤษภาคม “พระสยามเทวาธิราช” ท่านรู้เป็นฝีมือ “อีที พ่อมดเขมร”??? วันนี้...กรรมยังจิกศรีษะ กระชากหัว มาลงทัณฑ์ ไม่ได้ ไม่มีใคร “อยู่เหนือกรรม”....สิ่งที่ “ปู้ยี่ปู้ย่ำ” ต้องตามทวงคืน ที่ “ฆ่าคนไทย” อายุความนานโข ยาวเหยียด มาราธอนสุดกู่ ๒๐ ปี.. วันนี้, “อีที พ่อมดเขมร” ยังคุมอำนาจประเทศไทย? ซิกแซก เล่นแร่แปรธาตุ ให้ตัวหลุดรอดคดีไปได้..แต่ในที่สุด “กรรม” ต้องตามจี้!!! “พระสยามเทวาธิราช”....ไม่ปล่อยคนอุบาทว์?....ให้ผงาดได้นาน ต่อไปจากนี้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“กฎเหล็ก ๙ ข้อ” เป็นสนิม!!
ใครดูแล้ว “บัญญัติ ๙ ประการ” ที่ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งเป็นมาตรฐานจัดการ “รัฐมนตรี” ดูนับ จะเป็นกฎปัญญานิ่ม??? เพียงแค่มีข่าวสิว ๆ ชิลล์ “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีต รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปข้องแวะ “นมบูด-ปลากระป๋องเน่า” ถูกเขี่ยโล๊ะทิ้ง พ้นรัฐบาล “อดีตรัฐมนตรีวิทยา แก้วภราดัย”...กลิ่นไม่โปร่งใส ก็เฉดหัว ออกไปเหมือนกัน แต่ “รัฐมนตรีที่ฉาวโฉ่”?.. ถูกจับ “งาบคำโต” ยังอยู่คงกะพันชาตรี เป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างฮ้อแร่ด..ทั้งที่หลักฐานมัดแน่น ดิ้นไม่หลุด ยิ่งกว่า “วิฑูรย์-วิทยา” เป็นไหน ๆ!!! ดู“กฎเหล็ก”นี้ช่างมีมลทิน...เข้าทำนอง มือถือสาก ปากถือศิล?... “พวกกังฉิน”ถึงได้ยิ่งใหญ่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” เหมือน “รัฐนาวา”!!
“กัปตันมาร์ค” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ว่ามี “หัวขโมย” อยู่ในลำเรือ..ก็ให้ “คนดี” และ “พรรคน้ำดี” พรรคเพื่อแผ่นดิ ร่วมจับขโมย ให้ได้ อย่างคาหนัง คาตา?? “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ของ “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง”, “ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี”, “พินิจ จารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ” ชี้นิ้วว่าใครเป็นขโมย..แทนที่ “กัปตันมาร์ค” นักแซ็งค์ นักงาบ ลงจากเรือตกทะเลไป ดัน “อุ้มโจร”....ถีบ “คนดี” ตกทะเล นี่มันเรื่องอะไร หรือว่า “หัวขโมยตัวร้าย” กุมไต๋ รู้หัวใจ การบุกสลาย “คนเสื้อแดง” จึงยอมหมอบราบคาบแก้ว ให้กับ “หัวขโมย” แก๊งค์นี้ เสร็จสรรพ!! เลี้ยงคนร้ายไว้ข้างเอว...รับประกันสิ่งเลวเลว?....นำความล้มเหลว มาอีกมาก เลยล่ะครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เส้นใหญ่” แต่ก็รอดยากส์!!
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ใช้ผิดประเภท ผิดประสงค์ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบ สิ้นสภาพไปพร้อมกับ “นายกฯมาร์ค”??? เพราะ “มาตรฐาน” ฟูลออฟชั่น ที่ “บริสุทธิ์” ใครมาใช้ “อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้แล้ว... “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบสิ้นสภาพ ๑๙ พรรคการเมืองไทย...โดนยุบหมดสภาพไป อย่างราบคาบ “พรรคพลังธรรม” จากน้ำมือปลุกปล้ำ “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ใช้เงินเขียม ตามจุดมุ่งหมายของ “กกต.” ยังถูกยุบ...เพื่อรักษามาตรฐาน ไว้คงอยู่คู่ประเทศไทย “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธานกตต. และ “ชัช ชลวร” ประธานตุลการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยึดกฎหมายเหนือพรรคประชาธิปัตย์...ที่หลายคนมองกันว่าซี้!!! “ยุบพรรค ปชป.” เร็วเท่าไหร่.....มาตรฐานเมืองไทย...ที่หายไป จะได้กลับมาเสียที??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใช้แผน “ลับลวงพราง”ทุกช็อต
ถ้า “หัวเสธ-สองไบร์ท” วางแผนทำงานเพื่อประชาชน หยั่งงี้ ต้องบอกว่า “สุดยอด”??? ปล่อยข่าวโคมลอย ให้ฟุ้ง! ให้เฟื่อง!ตลอดระยะ..จะปลด “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ และ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายก ศัตรูตัวฉกรรจ์คนเสื้อแดง เป็นการปล่อยข่าวลวงโลก...เป็นการ “ยกเมฆ” ที่เสแสร้ง ไม่ปรับ ไม่โยก ไม่ย้าย..คงหนีบกะเต้ง เอา “รัฐมนตรีกษิต” และ “รัฐมนตรีสาทิตย์” เอาเหนียวแน่น..โดยเฉพาะใครที่มีผลงานตามราวี “คนเสื้อแดง” ต่างได้อำนาจ และยิ่งมีบทบาท!! ผลงานห่วยไม่ว่า....ขอให้ตามไล่ตามล่า?...ควานหา “เสื้อแดง” ก็ยิ่งใหญ่ ได้โดยอัตโนมัติ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลมน์.ตอดนิดตอดหน่อยกาบรู
ที่มา.บางกอกทูเดย์
พฤติการณ์ ฆ่าคนไทย เมื่อวันที่ ๑๐ เมษาฯ๕๓ และ วันที่๑๙ พฤษภาคม “พระสยามเทวาธิราช” ท่านรู้เป็นฝีมือ “อีที พ่อมดเขมร”??? วันนี้...กรรมยังจิกศรีษะ กระชากหัว มาลงทัณฑ์ ไม่ได้ ไม่มีใคร “อยู่เหนือกรรม”....สิ่งที่ “ปู้ยี่ปู้ย่ำ” ต้องตามทวงคืน ที่ “ฆ่าคนไทย” อายุความนานโข ยาวเหยียด มาราธอนสุดกู่ ๒๐ ปี.. วันนี้, “อีที พ่อมดเขมร” ยังคุมอำนาจประเทศไทย? ซิกแซก เล่นแร่แปรธาตุ ให้ตัวหลุดรอดคดีไปได้..แต่ในที่สุด “กรรม” ต้องตามจี้!!! “พระสยามเทวาธิราช”....ไม่ปล่อยคนอุบาทว์?....ให้ผงาดได้นาน ต่อไปจากนี้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“กฎเหล็ก ๙ ข้อ” เป็นสนิม!!
ใครดูแล้ว “บัญญัติ ๙ ประการ” ที่ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตั้งเป็นมาตรฐานจัดการ “รัฐมนตรี” ดูนับ จะเป็นกฎปัญญานิ่ม??? เพียงแค่มีข่าวสิว ๆ ชิลล์ “วิฑูรย์ นามบุตร” อดีต รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปข้องแวะ “นมบูด-ปลากระป๋องเน่า” ถูกเขี่ยโล๊ะทิ้ง พ้นรัฐบาล “อดีตรัฐมนตรีวิทยา แก้วภราดัย”...กลิ่นไม่โปร่งใส ก็เฉดหัว ออกไปเหมือนกัน แต่ “รัฐมนตรีที่ฉาวโฉ่”?.. ถูกจับ “งาบคำโต” ยังอยู่คงกะพันชาตรี เป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างฮ้อแร่ด..ทั้งที่หลักฐานมัดแน่น ดิ้นไม่หลุด ยิ่งกว่า “วิฑูรย์-วิทยา” เป็นไหน ๆ!!! ดู“กฎเหล็ก”นี้ช่างมีมลทิน...เข้าทำนอง มือถือสาก ปากถือศิล?... “พวกกังฉิน”ถึงได้ยิ่งใหญ่??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“รัฐบาลอภิสิทธิ์” เหมือน “รัฐนาวา”!!
“กัปตันมาร์ค” นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รู้ว่ามี “หัวขโมย” อยู่ในลำเรือ..ก็ให้ “คนดี” และ “พรรคน้ำดี” พรรคเพื่อแผ่นดิ ร่วมจับขโมย ให้ได้ อย่างคาหนัง คาตา?? “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ของ “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง”, “ว่าที่ รต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี”, “พินิจ จารุสมบัติ”, “ปรีชา เลาหะพงษ์ชนะ” ชี้นิ้วว่าใครเป็นขโมย..แทนที่ “กัปตันมาร์ค” นักแซ็งค์ นักงาบ ลงจากเรือตกทะเลไป ดัน “อุ้มโจร”....ถีบ “คนดี” ตกทะเล นี่มันเรื่องอะไร หรือว่า “หัวขโมยตัวร้าย” กุมไต๋ รู้หัวใจ การบุกสลาย “คนเสื้อแดง” จึงยอมหมอบราบคาบแก้ว ให้กับ “หัวขโมย” แก๊งค์นี้ เสร็จสรรพ!! เลี้ยงคนร้ายไว้ข้างเอว...รับประกันสิ่งเลวเลว?....นำความล้มเหลว มาอีกมาก เลยล่ะครับ??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
“เส้นใหญ่” แต่ก็รอดยากส์!!
คดีเงิน ๒๙ ล้าน ใช้ผิดประเภท ผิดประสงค์ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบ สิ้นสภาพไปพร้อมกับ “นายกฯมาร์ค”??? เพราะ “มาตรฐาน” ฟูลออฟชั่น ที่ “บริสุทธิ์” ใครมาใช้ “อำนาจนอกเหนือรัฐธรรมนูญ” ไม่ได้แล้ว... “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องโดนยุบสิ้นสภาพ ๑๙ พรรคการเมืองไทย...โดนยุบหมดสภาพไป อย่างราบคาบ “พรรคพลังธรรม” จากน้ำมือปลุกปล้ำ “มหาห้าขัน” พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ใช้เงินเขียม ตามจุดมุ่งหมายของ “กกต.” ยังถูกยุบ...เพื่อรักษามาตรฐาน ไว้คงอยู่คู่ประเทศไทย “อภิชาต สุขัคคานนท์” ประธานกตต. และ “ชัช ชลวร” ประธานตุลการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องยึดกฎหมายเหนือพรรคประชาธิปัตย์...ที่หลายคนมองกันว่าซี้!!! “ยุบพรรค ปชป.” เร็วเท่าไหร่.....มาตรฐานเมืองไทย...ที่หายไป จะได้กลับมาเสียที??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ใช้แผน “ลับลวงพราง”ทุกช็อต
ถ้า “หัวเสธ-สองไบร์ท” วางแผนทำงานเพื่อประชาชน หยั่งงี้ ต้องบอกว่า “สุดยอด”??? ปล่อยข่าวโคมลอย ให้ฟุ้ง! ให้เฟื่อง!ตลอดระยะ..จะปลด “กษิต ภิรมย์” รมว.ต่างประเทศ และ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายก ศัตรูตัวฉกรรจ์คนเสื้อแดง เป็นการปล่อยข่าวลวงโลก...เป็นการ “ยกเมฆ” ที่เสแสร้ง ไม่ปรับ ไม่โยก ไม่ย้าย..คงหนีบกะเต้ง เอา “รัฐมนตรีกษิต” และ “รัฐมนตรีสาทิตย์” เอาเหนียวแน่น..โดยเฉพาะใครที่มีผลงานตามราวี “คนเสื้อแดง” ต่างได้อำนาจ และยิ่งมีบทบาท!! ผลงานห่วยไม่ว่า....ขอให้ตามไล่ตามล่า?...ควานหา “เสื้อแดง” ก็ยิ่งใหญ่ ได้โดยอัตโนมัติ
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลมน์.ตอดนิดตอดหน่อยกาบรู
ที่มา.บางกอกทูเดย์
เจ้าของประเทศ
การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งล่าสุดเมื่อ 5 มิถุนายน 2553 เป็นแค่ปรากฏการณ์ทางการเมืองหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะถามว่า...มันตอบโจทย์ของประเทศไทยหรือไม่? ผมบอกได้เลยว่า “ไม่” แต่เป็นการตอบโจทย์นักการเมืองมากกว่าตอบโจทย์ของประเทศ เรื่องจริงที่ยิ่งกว่าจริง และจริงแท้แน่นอนก็คือ มันเป็นการตอบโจทย์นักการเมืองอย่างชัดเจนอย่างน้อยสองคน คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ สองนายกรัฐมนตรี กับ เนวิน ชิดชอบ ผู้ทำให้ปรากฏการณ์ทางการเมืองมีการเปลี่ยนขั้วจากเพื่อไทยมาเป็นประชาธิปัตย์ และยังตอบโจทย์
ทางการเมืองต่อไปอีกนั่นคือการชำระบัญชีแค้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถามต่อว่า... ปรับ ครม.หนนี้แก้ปัญหาเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านไหม ตอบได้เลยทันทีว่า “ไม่” ถามต่อว่า แล้วจะทำให้ภาพการทุจริตของคนในรัฐบาลลดลงหรือไม่? ตอบได้เลยว่า “ไม่” ถ้าเช่นนั้นการปรับ คณะรัฐมนตรีหนนี้
ทำเพื่ออะไร? ต้องตอบตามความจริงว่า...เพื่อความมั่นคงของรัฐบาล และความไม่มั่นคงของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นี่คือเกมการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลือกที่จะเล่น และเล่นเป็นทีมกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคช่วยรัฐบาลด้วย ถามว่าจากนี้ไปการเมืองประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? ตอบว่า...
ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า...คนที่เลือกให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป จะมีแผนและเกมอย่างไรในอนาคตข้างหน้านี้ แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไร? ตอบได้แค่ว่า...ประชาชนคนไทยคงได้แต่รอให้สถานการณ์ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรครัฐบาลถามว่า...วันหน้าอนาคต
ประเทศไทยฝากไว้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวหรือ? ผมเองคงตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกครับ แต่เจ้าของประเทศตัวจริงอย่างประชาชนคนไทยคงตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมจากการแสดงออกของพลังประชาชน ถ้าพวกท่านปรารถนาจะเป็นเจ้าของประเทศ และใช้อำนาจของท่านเองอย่างแท้จริง
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................
ทางการเมืองต่อไปอีกนั่นคือการชำระบัญชีแค้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถามต่อว่า... ปรับ ครม.หนนี้แก้ปัญหาเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้านไหม ตอบได้เลยทันทีว่า “ไม่” ถามต่อว่า แล้วจะทำให้ภาพการทุจริตของคนในรัฐบาลลดลงหรือไม่? ตอบได้เลยว่า “ไม่” ถ้าเช่นนั้นการปรับ คณะรัฐมนตรีหนนี้
ทำเพื่ออะไร? ต้องตอบตามความจริงว่า...เพื่อความมั่นคงของรัฐบาล และความไม่มั่นคงของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล นี่คือเกมการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเลือกที่จะเล่น และเล่นเป็นทีมกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมกับพรรคช่วยรัฐบาลด้วย ถามว่าจากนี้ไปการเมืองประเทศไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป? ตอบว่า...
ไม่มีใครหยั่งรู้ได้ว่า...คนที่เลือกให้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ต่อไป จะมีแผนและเกมอย่างไรในอนาคตข้างหน้านี้ แล้วประชาชนคนไทยควรทำอย่างไร? ตอบได้แค่ว่า...ประชาชนคนไทยคงได้แต่รอให้สถานการณ์ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรครัฐบาลถามว่า...วันหน้าอนาคต
ประเทศไทยฝากไว้กับอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวหรือ? ผมเองคงตอบคำถามนี้ไม่ได้หรอกครับ แต่เจ้าของประเทศตัวจริงอย่างประชาชนคนไทยคงตอบเรื่องนี้ได้ดีกว่าผมจากการแสดงออกของพลังประชาชน ถ้าพวกท่านปรารถนาจะเป็นเจ้าของประเทศ และใช้อำนาจของท่านเองอย่างแท้จริง
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................
กรุงเทพ-ชนบท
ชัยชนะอย่างท่วมท้นของ พรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานคร...เป็นชัยชนะที่สะสมมาอย่างเนิ่นนาน...ประชาธิปัตย์...ครอบครองเก้าอี้ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร...ตั้งแต่สมัยเริ่มของ อภิรักษ์ โกษะโยธิน...และชนะอีกครั้งเมื่อครบสมัย...แต่เมื่อพบกับปัญหา...และส่งผู้ว่าคนปัจจุบัน...หม่อมราชวงศ์ สุขุมพันธุ์ บริพัตร...ก็ทำคะแนนเพิ่มได้อีกอย่างถล่มทลาย ในการเลือกตั้งใหญ่...ประชาชนคนกรุงก็เลือกพรรคประชธิปัตย์มากกว่าพรรคอื่น...อธิบายได้ว่า...พรรคประชาธิปัตย์...กับผู้ว่าทั้ง 2 ท่าน ประสพความสำเร็จ
ในการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร...และหากว่า... อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสพความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...ประชาธิปัตย์จะพลิกประวัติศาสตร์...การชุมนุมอย่างยืดเยื้อและจบลงด้วยสงครามกลางเมืองและการลั่นกระสุนสังหารเผาอาคารหรูหรากลางกรุง...ทำให้ประชาชน
แบ่งแยกแตกความคิดเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งปรารถนาความสงบไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้ปกครองเป็นรัฐบาลก็เป็นไป อีกฝ่ายหนึ่งฝักใฝ่ในการต่อสู้และเรียกร้อง...ชัยชนะครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า...คนกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรง...แกนนำเสื้อแดง...เมื่อปฏิเสธข้อเสนอปรองดองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ครั้งล่าสุดคือ
กำหนดการเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน...เคยเตือนไว้แล้วว่า...ฝ่ายรุนแรงของแกนนำเสื้อแดง..ขอในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้...ถึงแม้ว่ามีทีท่าจะยอมในวันหลัง...มันก็สายเกินไป...ความแตกแยกทางความเห็นของแกนนำ...เปิดทางให้กับการล้อมปราบ...ประกอบกับการชุมนุมอย่างยาวนาน...สร้างความอ่อนล้ากับความอ่อนแอ...
กรุงเทพวันนี้ จึงเป็นของ ประชาธิปัตย์...ยังเหลือแต่ชนบท...ภาคเหนือและภาคอิสาน...รัฐบาล...จะดำเนินนโยบายปรองดองประสพผลสำเร็จหรือไม่...ทำได้...ประเทศก็พ้นภัย ทำไม่ได้ประเทศก็เหมือน...จีนยุค...เหมาเจ๋อตุง รบกับเจียงไคเช็ค...ชนบท กับ เมือง ทำสงครามต่อกัน
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................
ในการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร...และหากว่า... อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสพความสำเร็จในการบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...ประชาธิปัตย์จะพลิกประวัติศาสตร์...การชุมนุมอย่างยืดเยื้อและจบลงด้วยสงครามกลางเมืองและการลั่นกระสุนสังหารเผาอาคารหรูหรากลางกรุง...ทำให้ประชาชน
แบ่งแยกแตกความคิดเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งปรารถนาความสงบไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้ปกครองเป็นรัฐบาลก็เป็นไป อีกฝ่ายหนึ่งฝักใฝ่ในการต่อสู้และเรียกร้อง...ชัยชนะครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า...คนกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่ต้องการเห็นความรุนแรง...แกนนำเสื้อแดง...เมื่อปฏิเสธข้อเสนอปรองดองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ครั้งล่าสุดคือ
กำหนดการเลือกตั้ง 14 พฤศจิกายน...เคยเตือนไว้แล้วว่า...ฝ่ายรุนแรงของแกนนำเสื้อแดง..ขอในสิ่งที่เขาให้ไม่ได้...ถึงแม้ว่ามีทีท่าจะยอมในวันหลัง...มันก็สายเกินไป...ความแตกแยกทางความเห็นของแกนนำ...เปิดทางให้กับการล้อมปราบ...ประกอบกับการชุมนุมอย่างยาวนาน...สร้างความอ่อนล้ากับความอ่อนแอ...
กรุงเทพวันนี้ จึงเป็นของ ประชาธิปัตย์...ยังเหลือแต่ชนบท...ภาคเหนือและภาคอิสาน...รัฐบาล...จะดำเนินนโยบายปรองดองประสพผลสำเร็จหรือไม่...ทำได้...ประเทศก็พ้นภัย ทำไม่ได้ประเทศก็เหมือน...จีนยุค...เหมาเจ๋อตุง รบกับเจียงไคเช็ค...ชนบท กับ เมือง ทำสงครามต่อกัน
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................
จะเลือกใคร?
กามิกาเซ่.. คำนี้แปลว่า “ลมแห่งเทวะ” หรือ “ลมสวรรค์”ซึ่งกองทัพญี่ปุ่นนำมาใช้เป็นชื่อ “ฝูงบิน” เพื่อพุ่งใส่เรือรบของพันธมิตร เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งสร้างความ “ข่มขวัญ” และ “สยบ” คู่ต่อสู้ได้อย่างชะงัดที่สุด!! ถือเป็นการ “พลีชีพ” ที่สร้าง “ความตื่นตะลึง” ให้กับสายตาของคนทั้งโลก..เพราะใช้เครื่องบินลำจิ๋วบรรทุก ระเบิด และพุ่งเข้าชนเรือรบที่ว่ากันว่าใหญ่ที่สุด ! เรียกว่า “ลงทุนน้อย” แต่ฝ่ายตรงข้าม “เสียหายมาก” นี่คือการ บวก ลบ คูณ หาร ที่ได้ “กำไรมหาศาล” และ เป็นการประกาศให้โลกรู้ ว่า “คนญี่ปุ่น”
คือ “ของจริง”!! พรรค “เพื่อแผ่นดิน” ในวันนี้ภายใต้การนำของ ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง โดยเฉพาะ สายของ ไพโรจน์ สุวรรณฉวี/พินิจ จารุสมบัติ/ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่แสดงความกล้าหาญให้คนไทยได้ประจักษ์..ด้วยการสวมบท “กามิกาเซ่” พุ่งเข้าใส่ “รัฐมนตรี"ของ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชนิดไม่เหลือซาก
คือ รัฐมนตรีในพรรค “ภูมิใจไทย” สองคน ทั้ง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล และ โสภณ ซารัมย์ ซึ่งเป็นตัวหลักของพรรค ง่อยเปลี้ย-เสียขา ในบัดดล!! แม้ว่า “กามิกาเซ่ไทย” อาจจะถูก “ปรับออก” และ “ถูกเฉดหัว” ทิ้ง!! แต่..ในเร็ววันนี้ กลุ่มก้อนของก๊วนนี้..จะได้รับการ “ชูมือ” จากคนไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน..
เพราะกล้า “แลกหมัด” แลกหมัดเพื่อจะช่วยกวาดล้าง “เนื้อร้าย” เหล่านี้ ให้หลุดออกไปจากรัฐบาล ในทางกลับกัน รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซะอีกที่จะต้อง หา“คำตอบ” มาบอกกับประชาชนว่า ..ปรับ “คนกล้า” เหล่านี้ออกไปได้อย่างไร..ด้วยเหตุผลอันใด?? ระหว่าง “ผู้กล้าหาญ” กับ “ผู้กล้าแซะซากประเทศ”
หาก แกนนำรัฐบาลควรจะเลือกใคร..หาก “เลือกผิด” ผู้คนก็ต้องสงสัยในพฤติกรรมทันที!! ฆ่า “คนกล้า” ทิ้ง..แต่หอบขึ้นหิ้งด้วย “คนมีรอย” แค่นี้ก็คิดผิดแล้ว รัฐบาลจะสง่างาม หรือ ดำปี๋ อยู่ที่การตัดสินใจเลือกว่าจะเอา “ธรรมะ” หรือ “อธรรม” โจทย์ง่ายๆ แค่นี้..คิดเอา!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
คือ “ของจริง”!! พรรค “เพื่อแผ่นดิน” ในวันนี้ภายใต้การนำของ ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง โดยเฉพาะ สายของ ไพโรจน์ สุวรรณฉวี/พินิจ จารุสมบัติ/ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ ที่แสดงความกล้าหาญให้คนไทยได้ประจักษ์..ด้วยการสวมบท “กามิกาเซ่” พุ่งเข้าใส่ “รัฐมนตรี"ของ รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างชนิดไม่เหลือซาก
คือ รัฐมนตรีในพรรค “ภูมิใจไทย” สองคน ทั้ง ชวรัตน์ ชาญวีรกูล และ โสภณ ซารัมย์ ซึ่งเป็นตัวหลักของพรรค ง่อยเปลี้ย-เสียขา ในบัดดล!! แม้ว่า “กามิกาเซ่ไทย” อาจจะถูก “ปรับออก” และ “ถูกเฉดหัว” ทิ้ง!! แต่..ในเร็ววันนี้ กลุ่มก้อนของก๊วนนี้..จะได้รับการ “ชูมือ” จากคนไทย ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปแน่นอน..
เพราะกล้า “แลกหมัด” แลกหมัดเพื่อจะช่วยกวาดล้าง “เนื้อร้าย” เหล่านี้ ให้หลุดออกไปจากรัฐบาล ในทางกลับกัน รัฐบาลอภิสิทธิ์ ซะอีกที่จะต้อง หา“คำตอบ” มาบอกกับประชาชนว่า ..ปรับ “คนกล้า” เหล่านี้ออกไปได้อย่างไร..ด้วยเหตุผลอันใด?? ระหว่าง “ผู้กล้าหาญ” กับ “ผู้กล้าแซะซากประเทศ”
หาก แกนนำรัฐบาลควรจะเลือกใคร..หาก “เลือกผิด” ผู้คนก็ต้องสงสัยในพฤติกรรมทันที!! ฆ่า “คนกล้า” ทิ้ง..แต่หอบขึ้นหิ้งด้วย “คนมีรอย” แค่นี้ก็คิดผิดแล้ว รัฐบาลจะสง่างาม หรือ ดำปี๋ อยู่ที่การตัดสินใจเลือกว่าจะเอา “ธรรมะ” หรือ “อธรรม” โจทย์ง่ายๆ แค่นี้..คิดเอา!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*********************************************
‘มังกรเหินหาว’!!
‘มังกรเหินหาว’!!
แต่ ๓ ประสาน “มิสเตอร์พี” ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี, พินิจ จารุสมบัติ และ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ นำพรรคเพื่อแผ่นดิน สู่เส้นทางคว่ำข้าวเม่า?? ว่ากันไปแล้ว ออกหน้าเป็นตัวแทนสั่งสอน “พรรคภูมิใจไทย” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบให้ด่าวดิ้น มีการ “ส่งซิก”...ให้ตามจิก เล่นงาน “รัฐมนตรีของเนวิน” ในการโหวตสวน ไม่การันตีความสะอาดหมดจด ให้กับ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.๑ และ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม ที่ “ชวน หลีกภัย”,บัญญัติ บรรทัดฐาน” จะถูกใจแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ครื้นเครง ไม่น้อย!!! “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ทำเพื่อชาติ...ทำเพื่อประชาธิปัตย์..แต่ต้องมาถูกอัด นี่ใจดำไปหน่อย
✮✮✮✮✮
ขวาง ‘เนวิน’ กันไม่อยู่!!!
บันไดสามขั้น เพื่อนั่งบัลลังก์ทอง เป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ใกล้ความจริง เข้ามาทุกวันแล้วล่ะหนู??? ขนาด “ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ ชวน-นายหัวชวน-บัญญัติ บรรทัดฐาน” ไปยืมมือ ยืมจมูก “พรรคเพื่อแผ่นดิน” เล่นงานโหวตไม่รับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ผู้มีลุ๊คใหม่ เทรนใหม่ และ กำลังภายในดี มาปล่อยเกาะ “พรรคเพื่อแผ่นดิน”....ทั้งที่เกลียดชัง “เนวิน” เต็มที่ โดย ๓ ประสาน “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ต่างปล่อยฟรีโหวต..เพราะ “พรรคเนวิน” มีอำนาจคุมชะตาประเทศไทยมากเกินไป?...เมื่อมีซิกส่งมา ให้หวดกระหน่ำ “ มท.๑ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” และ “โสภณ ซารัมย์” เจ้ากระทรวงต้นหูกวาง จึงทำด้วยความเต็มใจ กันทุกคน!!! ครั้งนี้ “ปชป.” เล่นสองบทเกมลึก.....เข้าตำราเสร็จนาฆ่าโคถึก...เสร็จศึกฆ่าขุนพล???
✮✮✮✮✮
กลืนเลือดเต็มปาก!!
หลุดสนามแม่เหล็ก พ้นวงโคจร การเป็น “รัฐมนตรี” ทำให้ “ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน หงุดหงิดเป็นอันมาก?? แต่จะออกอาการ เฮิร์ตฟิลลิ่งฮาร์ด จะเสียรังวัด นักการเมืองพรรษาสูง ซึ่งผ่านการเป็น “รัฐมนตรี” มาอย่างโชกโชน..จึงเก็บอาการน้อยใจยา ลึกๆ ไว้ข้างใน โผงผางระเบิดอารมณ์....กลัวความล่มจม ไปตกกับลูกชาย เพราะใครรู้ว่า, “รัฐมนตรีไพฑูรย์” ฟูมฟัก ลูกชายยิ่งกว่าไข่ในหิน..จึงไม่อยากให้เกิดการกระทบไปถึง “นราพัฒน์ แก้วทอง” ส.ส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ ที่อนาคตเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง!!! ไปกระทบกับ “นายกฯ อภิสิทธิ์”....ไปออกอาการหงุดหงิด?....ลูกชายจะติดพิษ โดนผู้ใหญ่ในพรรคแกล้ง???
✮✮✮✮✮
รกคนดีกว่ารกหญ้า!!
แต่หาก ลิ่วล้อ ลูกกระโท่ สร้างแต่เรื่องยุ่ง นำความวุ่นวายมาให้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ว่าที่รัฐมนตรีป้ายแดงคนใหม่ อย่ามีลูกน้อง ดีกว่า???เพราะก่อน ที่ท่านจะย้อน เข้ามาสะด๊วป เป็น “รัฐมนตรี” ใน “รัฐบาลมาร์ค ๕” นั้น...ท่านแอ่นระแน้เป็น “ประธานกรรมาธิการตำรวจ” ลูกน้องก็เข้ามาวุ่น ที่ห้องทำงาน กันแน่นเอี๊ยด ทำตัวยิ่งใหญ่....มองข้ามหัวคนหลายฝ่าย อย่างไม่ให้เกียรติ เมื่อส้มหล่นทับบาทาบวมส์ “เฉลิม ศรีอ่อน” ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ในโควต้าสัมปทานพรรคประชาธิปัตย์..ท่านต้องกำชับอย่าให้ ลูกหาบหางเครื่อง ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตาม เข้ามาวุ่นที่กระทรวง!!! ปล่อยชั้นปลายแถวมากร่าง......เกรง “ว่าที่รัฐมนตรีเฉลิมชัย” จะพัง.....จึงสะกิดสีข้าง ด้วยความเป็นห่วง???
✮✮✮✮✮
ชิ่งแคนนอล ทิ้ง ‘ทักษิณ’!!
“คุณป้าพันปี” พิมพา จันทร์ประสงค์ สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ..สู้อุตส่าห์พาลูกชาย “มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์” ตีจากพรรคพลังประชาชน..เข้ามาหมอบราบคาบแก้ว เป็น ส.ส.อยู่ที่พรรคภูมิใจไทยของ “เนวิน”??? แต่ไม่รู้เหตุใด “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. กลับอายัดทรัพย์....กล่าวหาว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”..ส่งเสบียง แก่ “เสื้อแดง” เสร็จสรรพหัวใจดวงน้อย ร่างกายอ้อนแอ้น นั้น “ป้าพิมพา จันทร์ประสงค์” สลัดทิ้งหนีห่าง ไม่มีเยื่อใยให้กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว....แต่ยังถูกขึ้นป้ายแขวน ว่าเป็น “แฟนคลับ” ตัวยงซะอีก..ทั้งๆ ที่ พาลูกชาย “ส.ส.มานะศักดิ์” ย้ายมาเป็น ส.ส.พรรคภูมิใจไทย!!! ฉะนั้น, ขอกราบเรียน...เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ขึ้นทะเบียน?....เป็น “ความเพี้ยน” ที่ประกาศ กันอย่างมักง่าย????
✮✮✮✮✮
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
แต่ ๓ ประสาน “มิสเตอร์พี” ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี, พินิจ จารุสมบัติ และ ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ นำพรรคเพื่อแผ่นดิน สู่เส้นทางคว่ำข้าวเม่า?? ว่ากันไปแล้ว ออกหน้าเป็นตัวแทนสั่งสอน “พรรคภูมิใจไทย” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบให้ด่าวดิ้น มีการ “ส่งซิก”...ให้ตามจิก เล่นงาน “รัฐมนตรีของเนวิน” ในการโหวตสวน ไม่การันตีความสะอาดหมดจด ให้กับ “ปู่จิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล มท.๑ และ “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม ที่ “ชวน หลีกภัย”,บัญญัติ บรรทัดฐาน” จะถูกใจแล้ว “นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ครื้นเครง ไม่น้อย!!! “พรรคเพื่อแผ่นดิน” ทำเพื่อชาติ...ทำเพื่อประชาธิปัตย์..แต่ต้องมาถูกอัด นี่ใจดำไปหน่อย
✮✮✮✮✮
ขวาง ‘เนวิน’ กันไม่อยู่!!!
บันไดสามขั้น เพื่อนั่งบัลลังก์ทอง เป็น “นายกรัฐมนตรี” ของ “นายใหญ่ห้อย บุรีรัมย์” เนวิน ชิดชอบ ใกล้ความจริง เข้ามาทุกวันแล้วล่ะหนู??? ขนาด “ประชาธิปัตย์” ของ “นายกฯ ชวน-นายหัวชวน-บัญญัติ บรรทัดฐาน” ไปยืมมือ ยืมจมูก “พรรคเพื่อแผ่นดิน” เล่นงานโหวตไม่รับ “พรรคภูมิใจไทย” ของ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ผู้มีลุ๊คใหม่ เทรนใหม่ และ กำลังภายในดี มาปล่อยเกาะ “พรรคเพื่อแผ่นดิน”....ทั้งที่เกลียดชัง “เนวิน” เต็มที่ โดย ๓ ประสาน “ว่าที่ ร.ต.ไพโรจน์ สุวรรณฉวี-พินิจ จารุสมบัติ-ปรีชา เลาหพงศ์ชนะ” ต่างปล่อยฟรีโหวต..เพราะ “พรรคเนวิน” มีอำนาจคุมชะตาประเทศไทยมากเกินไป?...เมื่อมีซิกส่งมา ให้หวดกระหน่ำ “ มท.๑ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล” และ “โสภณ ซารัมย์” เจ้ากระทรวงต้นหูกวาง จึงทำด้วยความเต็มใจ กันทุกคน!!! ครั้งนี้ “ปชป.” เล่นสองบทเกมลึก.....เข้าตำราเสร็จนาฆ่าโคถึก...เสร็จศึกฆ่าขุนพล???
✮✮✮✮✮
กลืนเลือดเต็มปาก!!
หลุดสนามแม่เหล็ก พ้นวงโคจร การเป็น “รัฐมนตรี” ทำให้ “ไพฑูรย์ แก้วทอง” รมว.แรงงาน หงุดหงิดเป็นอันมาก?? แต่จะออกอาการ เฮิร์ตฟิลลิ่งฮาร์ด จะเสียรังวัด นักการเมืองพรรษาสูง ซึ่งผ่านการเป็น “รัฐมนตรี” มาอย่างโชกโชน..จึงเก็บอาการน้อยใจยา ลึกๆ ไว้ข้างใน โผงผางระเบิดอารมณ์....กลัวความล่มจม ไปตกกับลูกชาย เพราะใครรู้ว่า, “รัฐมนตรีไพฑูรย์” ฟูมฟัก ลูกชายยิ่งกว่าไข่ในหิน..จึงไม่อยากให้เกิดการกระทบไปถึง “นราพัฒน์ แก้วทอง” ส.ส.พิจิตร พรรคประชาธิปัตย์ ที่อนาคตเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง!!! ไปกระทบกับ “นายกฯ อภิสิทธิ์”....ไปออกอาการหงุดหงิด?....ลูกชายจะติดพิษ โดนผู้ใหญ่ในพรรคแกล้ง???
✮✮✮✮✮
รกคนดีกว่ารกหญ้า!!
แต่หาก ลิ่วล้อ ลูกกระโท่ สร้างแต่เรื่องยุ่ง นำความวุ่นวายมาให้ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” ว่าที่รัฐมนตรีป้ายแดงคนใหม่ อย่ามีลูกน้อง ดีกว่า???เพราะก่อน ที่ท่านจะย้อน เข้ามาสะด๊วป เป็น “รัฐมนตรี” ใน “รัฐบาลมาร์ค ๕” นั้น...ท่านแอ่นระแน้เป็น “ประธานกรรมาธิการตำรวจ” ลูกน้องก็เข้ามาวุ่น ที่ห้องทำงาน กันแน่นเอี๊ยด ทำตัวยิ่งใหญ่....มองข้ามหัวคนหลายฝ่าย อย่างไม่ให้เกียรติ เมื่อส้มหล่นทับบาทาบวมส์ “เฉลิม ศรีอ่อน” ได้เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ในโควต้าสัมปทานพรรคประชาธิปัตย์..ท่านต้องกำชับอย่าให้ ลูกหาบหางเครื่อง ลูกน้องที่ติดสอยห้อยตาม เข้ามาวุ่นที่กระทรวง!!! ปล่อยชั้นปลายแถวมากร่าง......เกรง “ว่าที่รัฐมนตรีเฉลิมชัย” จะพัง.....จึงสะกิดสีข้าง ด้วยความเป็นห่วง???
✮✮✮✮✮
ชิ่งแคนนอล ทิ้ง ‘ทักษิณ’!!
“คุณป้าพันปี” พิมพา จันทร์ประสงค์ สมาชิกบ้านเลขที่ ๑๑๑ ..สู้อุตส่าห์พาลูกชาย “มานะศักดิ์ จันทร์ประสงค์” ตีจากพรรคพลังประชาชน..เข้ามาหมอบราบคาบแก้ว เป็น ส.ส.อยู่ที่พรรคภูมิใจไทยของ “เนวิน”??? แต่ไม่รู้เหตุใด “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. กลับอายัดทรัพย์....กล่าวหาว่าเป็น “ท่อน้ำเลี้ยง”..ส่งเสบียง แก่ “เสื้อแดง” เสร็จสรรพหัวใจดวงน้อย ร่างกายอ้อนแอ้น นั้น “ป้าพิมพา จันทร์ประสงค์” สลัดทิ้งหนีห่าง ไม่มีเยื่อใยให้กับ “อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร” แล้ว....แต่ยังถูกขึ้นป้ายแขวน ว่าเป็น “แฟนคลับ” ตัวยงซะอีก..ทั้งๆ ที่ พาลูกชาย “ส.ส.มานะศักดิ์” ย้ายมาเป็น ส.ส.พรรคภูมิใจไทย!!! ฉะนั้น, ขอกราบเรียน...เรื่อง “ท่อน้ำเลี้ยง” ที่ขึ้นทะเบียน?....เป็น “ความเพี้ยน” ที่ประกาศ กันอย่างมักง่าย????
✮✮✮✮✮
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
อย่าแปลกใจ!
ความสนใจทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่องบ้านเมืองของคนไทย...ยามนี้ กลายเป็นเรื่องที่แกนนำรัฐบาล อย่างพรรคประชาธิปัตย์ และ นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะปรับใครเข้า-ออกใน ครม. ชุดใหม่? ปรับกันอย่างไร? พรรคไหนจะมา และใครจะไป?ประเด็นการ โหวตสวนมติพรรคร่วมรัฐบาล หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมาของ ส.ส.บางส่วนในพรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ กลบ! เรื่องหลักอันเป็นสาระสำคัญที่
พรรคฝ่ายค้าน...เพื่อไทย นำมาอภิปรายฯ ไปเสียฉิบ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “คำสั่งฆ่าประชาชน” หรือเรื่อง“ทุจริตคอร์รัปชั่น”นับเป็นความอัศจรรย์ที่ฝรั่งต่างบ้านต่างเมือง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน...อะเมซิ่งโคตรๆ!!! แหม...คนไทยช่างลืมเหตุการณ์ “ฆ่าประชาชน”ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่กี่สิบวัน...รวดเร็วเสียจริง
ขณะที่คนไทยถูกยัดเยียดและมอมเมาไปกับข่าวสารและข้อมูลด้านเดียว ผ่านสื่อแขนงต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง สื่อหนังสือพิมพ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า...ยืนข้างประชาชน???แต่คนต่างชาติทั่วโลก ที่ได้รับข่าวสารและข้อมูลจากสื่อต่างๆ แตกต่างไปจากคนไทยในเมืองไทย กลับมี
คำถามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคนในรัฐบาลชุดนี้ คงไม่อยากฟัง...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม ด้วยสองมือเปล่า ต้องถูกฆ่าตายกว่า 80 ชีวิต บาดเจ็บ “หนัก-เบา” ที่หากไม่ตายในอนาคตอันใกล้ ก็คงพิการทั้งร่างกายและจิตใจอีกกว่า2,000 คนฝรั่งถาม...คนตาย
มากมายขนาดนี้ นายกฯ เมืองไทย ยังจะกล้านั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ได้อีกหรือ? จริยธรรมทั้งทางการเมืองและทางสังคม หล่นหายไปไหนกันหมด???กลับมาที่สื่อหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา อย่างว่าแหละครับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ถือครองอำนาจรัฐ และวันๆ สัมผัสอยู่กับงบประมาณแผ่นดินปีละหลายหมื่นล้าน
หลายแสนล้าน และหลายล้านล้านนั้นหากจะ “ซิกแซก” ส่วนแบ่งเงินปากถุงของบางโครงการเพื่อนำไปสร้างสื่อหนังสือพิมพ์ แล้วขยายต่อไปยังสื่อต่างๆสักห้าร้อยล้าน หรือพันล้าน ผ่าน “นอมินี” ค่ายสื่อบางค่าย...ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก!ทำภายนอกให้ดูเหมือนเป็น “สื่อกระแสหลัก” จริงๆและทำเหมือน “คนสื่อ”
เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อกันจริงๆ เวลาจะเชียร์ จะด่าใคร? มันจะได้ดูเนียนอย่าแปลกใจ! ทำไม? ทุกๆ วิกฤติความขัดแย้งของคนไทยในวันนี้และพรุ่งนี้ สื่อจึงต้องเลือกข้าง และคนไทยจึงต้องถูกยัดเยียดข่าวสารและข้อมูล ชนิดหาความเป็นกลางเป็นธรรมและเป็นจริงไม่เจอ!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
พรรคฝ่ายค้าน...เพื่อไทย นำมาอภิปรายฯ ไปเสียฉิบ! ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “คำสั่งฆ่าประชาชน” หรือเรื่อง“ทุจริตคอร์รัปชั่น”นับเป็นความอัศจรรย์ที่ฝรั่งต่างบ้านต่างเมือง ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน...อะเมซิ่งโคตรๆ!!! แหม...คนไทยช่างลืมเหตุการณ์ “ฆ่าประชาชน”ที่เพิ่งจะผ่านพ้นมาได้ไม่กี่สิบวัน...รวดเร็วเสียจริง
ขณะที่คนไทยถูกยัดเยียดและมอมเมาไปกับข่าวสารและข้อมูลด้านเดียว ผ่านสื่อแขนงต่างๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุอินเตอร์เน็ต ฯลฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง สื่อหนังสือพิมพ์ ที่ครั้งหนึ่งเคยได้ชื่อว่า...ยืนข้างประชาชน???แต่คนต่างชาติทั่วโลก ที่ได้รับข่าวสารและข้อมูลจากสื่อต่างๆ แตกต่างไปจากคนไทยในเมืองไทย กลับมี
คำถามที่ นายกฯ อภิสิทธิ์ และคนในรัฐบาลชุดนี้ คงไม่อยากฟัง...ประชาชนผู้บริสุทธิ์ ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม ด้วยสองมือเปล่า ต้องถูกฆ่าตายกว่า 80 ชีวิต บาดเจ็บ “หนัก-เบา” ที่หากไม่ตายในอนาคตอันใกล้ ก็คงพิการทั้งร่างกายและจิตใจอีกกว่า2,000 คนฝรั่งถาม...คนตาย
มากมายขนาดนี้ นายกฯ เมืองไทย ยังจะกล้านั่งบนเก้าอี้ตัวนี้ ได้อีกหรือ? จริยธรรมทั้งทางการเมืองและทางสังคม หล่นหายไปไหนกันหมด???กลับมาที่สื่อหนังสือพิมพ์ของบ้านเรา อย่างว่าแหละครับพรรคการเมือง และนักการเมือง ที่ถือครองอำนาจรัฐ และวันๆ สัมผัสอยู่กับงบประมาณแผ่นดินปีละหลายหมื่นล้าน
หลายแสนล้าน และหลายล้านล้านนั้นหากจะ “ซิกแซก” ส่วนแบ่งเงินปากถุงของบางโครงการเพื่อนำไปสร้างสื่อหนังสือพิมพ์ แล้วขยายต่อไปยังสื่อต่างๆสักห้าร้อยล้าน หรือพันล้าน ผ่าน “นอมินี” ค่ายสื่อบางค่าย...ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก!ทำภายนอกให้ดูเหมือนเป็น “สื่อกระแสหลัก” จริงๆและทำเหมือน “คนสื่อ”
เป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ เจ้าของสื่อกันจริงๆ เวลาจะเชียร์ จะด่าใคร? มันจะได้ดูเนียนอย่าแปลกใจ! ทำไม? ทุกๆ วิกฤติความขัดแย้งของคนไทยในวันนี้และพรุ่งนี้ สื่อจึงต้องเลือกข้าง และคนไทยจึงต้องถูกยัดเยียดข่าวสารและข้อมูล ชนิดหาความเป็นกลางเป็นธรรมและเป็นจริงไม่เจอ!.
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกภูตะวัน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************
เปิดข้อกล่าวหา 8 เหตุการณ์ "โค่นอำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย
มติชนออนไลน์เปิดเผยบันทึกลับดีเอสไอยก 8 เหตุการณ์โค่น "อำมาตย์ องคมนตรี-บงการป่วนเมือง" แจ้งข้อหา 'ณัฐวุฒิ' คดีก่อการร้าย
มติชนออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจากรัฐบาลปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย สาราคำ (ขวัญชัย ไพรพนา) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาบุคคลทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวณชายแดน (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ยกเว้นนายจตุพร ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะใช้เอกสิทธิ์ในความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงคนเดียว
ในค่ำวันเดียวกันทั้ง 5 คนถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
"มติชนออนไลน์" เปิดบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ต่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อเวลา ประมาณ 20.40 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ดังนี้
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ที่ปรากฎตามรายชื่อท้ายบันทึกนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า
ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง พฤษภาคม 2553 ได้มีกลุ่มบุคคลเรียกชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า กลุ่ม นปช. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมี (1) นายวีระ มุสิกพงศ์ (2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (3) นายจตุพร พรหมพันธุ์ (4) นายเหวง โตจิราการ (5) นายอริสมันต์ หรือ กี้ พงษ์เรืองรอง (6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน (7) พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (8) นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา (9) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมากเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการ หรืออำนวยการ หรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประท้วง โต้แย้ง เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาในทันทีโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้ง หรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริง หรือยุยุงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงก้าวร้าว สร้างปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้ายให้เกลียดชังรัฐบาล จนทำให้ไม่สามารถชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธได้
จากการสอบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ในระหว่างการชุมนุมหรือเคลื่อนไหว ได้มีกองกำลัง ของการ์ด นปช. หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้มีการกระทำผิดตามกฏหมาย โดยสั่งสมกำลังอาวุธสงคราม มีและใช้อาวุธปืน เครื่องอาวุธ และวัตถุระเบิด ก่อวินาศกรรม หรือใช้ความรุนแรง ในการตอบโต้ต่อต้านรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนการชุมนุมเคลื่อนไหวให้บรรลุวัตถุประสงค์ในข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
โดยแกนนำหลักยอมรับอย่างเปิดเผยหรือโดยปริยายว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ หรือ สนับสนุนคนเสื้อแดง แท้จริงแล้วทั้งการ์ด หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ส่วนหนึ่งของกลุ่ม นปช.นั้นเอง
ผลจากการกระทำความดังกล่าวข้างต้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจำนวนมาก มีทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงต่างๆ หรือทำให้ประชาชน ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการหรือของเอกชนตลอดทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารสูญหายเสียหาย ก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นความผิด เช่น
วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการปิดถนนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร กทม. โดยกลุ่ม นปช. และวันที่ 3 เมษายน 2553 เคลื่อนพลเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งเวทีชุมนุมกดดัน ขู่เข็ญ หรือบังคับให้รัฐบาลยุบสภา คู่ขนานไปกับการชุมนุมสะพานผ่านฟ้า โดยมีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวจำนวนหลายหมื่นคนอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้ยังคงมีเวทีชุมุนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นศูนย์บัญชาการหรืออำนวยการ สั่งการไปยังกลุ่ม นปช. ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ผู้ชุมนุมบางส่วนแบบดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมการขนส่งของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนที่ผ่าน แจกจ่ายสติ๊กเกอร์ สีแดงให้ยุบสภา นำเลือดมนุษย์ไปเทราดตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง กล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีที่มาโดยไม่ชอบธรรม หรือมาจากการปฏิวัติรัฐประหารหรือจากเผด็จการ
กล่าวโจมตีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐว่ากระทำหรือปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช.อย่างสองมาตรฐาน ต้องการโค่นล้มอำมาตย์ หรือองคมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้ผู้ชุมนุมให้เกลียงชัง อาฆาตมาดร้ายรัฐบาล ปลุกใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีความกล้า ฮึกเหิมเพื่อจะต่อสู้กับรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น ประกาศว่าหากมีการสลายการชุมนุมให้คนเสื้อแดงทั่งประเทศฌาปนกิจศาลากลางทันที
วันที่ 19 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.ได้บุกรุกไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมที่ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และต่อเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์ PTV ได้สำเร็จ ทั้งๆที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการตามกฏหมายปิดชั่วคราวแล้ว
วันที่ 7 เมษายน 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในรัฐสภา แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และใช้กำลังทำร้ายร่างกายทหารที่สวมเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งได้ยึดอาวุธประจำกายที่รัฐสภา
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลได้มีการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจผลักดันกลุ่ม นปช.เพื่อขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร และที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างฝ่ายทหารหรือตำรวจกับกลุ่ม นปช.โดยการปลุกระดม ยุยงของแกนนำบนเวทีให้ผู้ชุมนุมช่วยกันต่อต้านและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเอาฟื้นที่คืนไปได้ และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแฝงตัวอยู่กลับกลุ่ม นปช.ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารและประชาชนทั่วไปเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
กลุ่ม นปช.ได้ถอดชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถหุ้มเกราะจนไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้ มีการสกัดกั้นรถยนต์ของทางราชการ ยานพาหนะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์บรรทุกทหารจนไม่สามรถใช้การได้ที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าและสี่แยกคอกวัว ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปจำนวนมาก และรถยนต์พาหนะไปบางส่วน ส่วนที่เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์บางส่วนยังไม่ได้คืนมา นอกจากนี้ยังมีการจับกุมทหารไปเป็นตัวประกัน
วันที่ 16 เมษายน 2553 กลุ่ม นปช.ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมแกนนำตามหมายจับของศาล ที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค แขวง/เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อช่วยเหลือแกนนำคนดังกล่าวไม่ให้ถูกจับและตำรวจถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมไปเป็นตัวประกันด้วย ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว
วันที่ 22 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันบนถนนสีลม เขตบางรัก กทม. ระหว่าง นปช. กับชาวสีลม ที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. และซึ่งได้รวมตัวกันประท้วงและสนับสนุนรัฐบาล ในการปะทะดังกล่าวได้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ประมาณ 5 ลูก จากกลุ่มบุคคลที่แฝงตัวอยู่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
วันที่ 28 เมษายน 2553 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้นำผู้ชุมนุมบางส่วนไปตามถนนวิภาวดี รังสิต โดยอ้างว่าจะไปให้กำลังใจแก่กลุ่ม นปช. อีกส่วนหนึ่งที่ได้กระทำการปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและตรวจค้นยานพาหนะของประชาชน จนเกิดการปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลได้รับความเสียหาย
วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นและยึดอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอาวุธดังกล่าวตลอดจนทั้งลูกระเบิดเอ็ม 67 ,เอ็ม 26,เอ็ม 79 รวม 12 ลูก ประทัดยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง แก็สน้ำตา พร้อมทั้งสัญลักษณ์ของกลุ่ม นปช. และรถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซีอาร์วี 1 คันที่ซอยอ่อนนุช แขวงสวนหลวง กทม.
ตามพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวของกลุ่ม นปช. จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการชุมุนุมเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร่วมกันบังคับขู่เข็ญรัฐบาลเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการตามวัตถุประสงค์ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนที่จะดำเนินชีวิตตามปกติสุข
โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของกลุ่มในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือกด้วยวิธีการอื่นใดหรือโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีการร่วมกันเป็นขบวนการหรือเป็นเครือข่าย มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แบ่งหน้าที่กันทำ แต่มีอุดมการณ์และวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน หรือ กระทำการโดยการตระเตรียมหรือสมคบหรือสนับสนุนการก่อการร้าย
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในข้อหา...ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
เหตุเกิดที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายคือ
1.สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
2.สิทธิที่จะมีทนายความ
3.สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
4.สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
5.ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาและสิทธิให้ผู้ต้องหานี้ทราบก่อนเริ่มสอบสวนปากคำโดยมิได้มีการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ได้อ่านบันทึกนี้ให้ผู้ต้องหาฟังแล้ว รับว่าถูกต้อง จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ ผู้ต้องหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา /บันทึก/อ่าน
ลงชื่อ พ.ต.ต.แดนชัย ทูลอ่อง ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ น้อยน้ำค ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ นายธเนศ พ่วงพูล ทนายความผู้ต้องหา
ที่มา: มติชนออนไลน์
**********************************************
มติชนออนไลน์รายงานว่า ภายหลังจากรัฐบาลปฏิบัติการณ์กระชับวงล้อมเพื่อขอคืนพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ จากกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มเสื้อแดง เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายขวัญชัย สาราคำ (ขวัญชัย ไพรพนา) นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท และ นายนิสิต สินธุไพร แกนนำ นปช. ได้เข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ต่อมาบุคคลทั้งหมดถูกส่งตัวไปคุมขังที่ค่ายตำรวจตระเวณชายแดน (ค่ายนเรศวร) อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ยกเว้นนายจตุพร ที่ได้รับการปล่อยตัวเพราะใช้เอกสิทธิ์ในความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เพียงคนเดียว
ในค่ำวันเดียวกันทั้ง 5 คนถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
"มติชนออนไลน์" เปิดบันทึกแจ้งข้อกล่าวหาของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ต่อนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เมื่อเวลา ประมาณ 20.40 น. วันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ดังนี้
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวน ที่ปรากฎตามรายชื่อท้ายบันทึกนี้ ได้แจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทราบว่า
ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึง พฤษภาคม 2553 ได้มีกลุ่มบุคคลเรียกชื่อว่า แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า กลุ่ม นปช. หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กลุ่มคนเสื้อแดง โดยมี (1) นายวีระ มุสิกพงศ์ (2) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ (3) นายจตุพร พรหมพันธุ์ (4) นายเหวง โตจิราการ (5) นายอริสมันต์ หรือ กี้ พงษ์เรืองรอง (6) นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน (7) พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ (8) นายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา (9) พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง และบุคคลอื่นๆ อีกจำนวนมากเป็นแกนนำหลักทำหน้าที่ในการวางแผนควบคุม สั่งการ หรืออำนวยการ หรือสลับสับเปลี่ยน กล่าวปราศรัยโจมตีฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายตรงข้ามบนเวทีชุมนุม เคลื่อนไหว ได้ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นชุมนุมประท้วง โต้แย้ง เคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบาลที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ยุบสภาในทันทีโดยเร็ว ปลุกระดมมวลชนขับเคลื่อนการชุมนุมให้เข้าสู่ความขัดแย้ง หรือปลุกปั่น บิดเบือนความจริง หรือยุยุงส่งเสริมด้วยคำพูดที่รุนแรงก้าวร้าว สร้างปมขัดแย้ง อาฆาตมาดร้ายให้เกลียดชังรัฐบาล จนทำให้ไม่สามารถชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธได้
จากการสอบสวนสอบสวนของคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ในระหว่างการชุมนุมหรือเคลื่อนไหว ได้มีกองกำลัง ของการ์ด นปช. หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายได้มีการกระทำผิดตามกฏหมาย โดยสั่งสมกำลังอาวุธสงคราม มีและใช้อาวุธปืน เครื่องอาวุธ และวัตถุระเบิด ก่อวินาศกรรม หรือใช้ความรุนแรง ในการตอบโต้ต่อต้านรัฐบาล หรือเจ้าหน้าที่รัฐ หรือฝ่ายตรงข้ามเพื่อช่วยเหลือ สนับสนุนการชุมนุมเคลื่อนไหวให้บรรลุวัตถุประสงค์ในข้อเรียกร้องหรือเงื่อนไขต่างๆ ควบคู่ไปด้วย
โดยแกนนำหลักยอมรับอย่างเปิดเผยหรือโดยปริยายว่า กองกำลังไม่ทราบฝ่ายเข้ามาช่วยเหลือ หรือ สนับสนุนคนเสื้อแดง แท้จริงแล้วทั้งการ์ด หรือกองกำลังไม่ทราบฝ่ายก็เป็นกองกำลังติดอาวุธ ส่วนหนึ่งของกลุ่ม นปช.นั้นเอง
ผลจากการกระทำความดังกล่าวข้างต้นทำให้ มีผู้เสียชีวิตและได้รับอันตรายสาหัสจำนวนมาก มีทั้งประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าปฏิบัติหน้าที่เพื่อแก้ไขสถานการณ์รุนแรงต่างๆ หรือทำให้ประชาชน ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทางราชการหรือของเอกชนตลอดทั้งอาวุธยุทธภัณฑ์ทางทหารสูญหายเสียหาย ก่อให้เกิดหรือน่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เศรษฐกิจอย่างร้ายแรง โดยมีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นความผิด เช่น
วันที่ 12 มีนาคม 2553 มีการปิดถนนที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร กทม. โดยกลุ่ม นปช. และวันที่ 3 เมษายน 2553 เคลื่อนพลเข้ายึดสี่แยกราชประสงค์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม.ซึ่งเป็นศูนย์กลางย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานครทั้งเวทีชุมนุมกดดัน ขู่เข็ญ หรือบังคับให้รัฐบาลยุบสภา คู่ขนานไปกับการชุมนุมสะพานผ่านฟ้า โดยมีประชาชนจากต่างจังหวัดเดินทางเข้าร่วมชุมนุมเคลื่อนไหวจำนวนหลายหมื่นคนอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบันนี้ยังคงมีเวทีชุมุนุมที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว มีลักษณะเป็นศูนย์บัญชาการหรืออำนวยการ สั่งการไปยังกลุ่ม นปช. ต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด
มีกิจกรรมเคลื่อนไหว ผู้ชุมนุมบางส่วนแบบดาวกระจายไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ส่งผลกระทบต่อการคมนาคมการขนส่งของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงเส้นทางที่กลุ่ม นปช. เคลื่อนที่ผ่าน แจกจ่ายสติ๊กเกอร์ สีแดงให้ยุบสภา นำเลือดมนุษย์ไปเทราดตามสถานที่สำคัญหลายแห่ง กล่าวโจมตีรัฐบาลว่ามีที่มาโดยไม่ชอบธรรม หรือมาจากการปฏิวัติรัฐประหารหรือจากเผด็จการ
กล่าวโจมตีหน่วยงานหรือองค์กรของรัฐว่ากระทำหรือปฏิบัติต่อกลุ่ม นปช.อย่างสองมาตรฐาน ต้องการโค่นล้มอำมาตย์ หรือองคมนตรีซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร ยุยง ปลุกปั่น บิดเบือนข้อมูลข่าวสารให้ผู้ชุมนุมให้เกลียงชัง อาฆาตมาดร้ายรัฐบาล ปลุกใจให้ผู้เข้าร่วมชุมนุมมีความกล้า ฮึกเหิมเพื่อจะต่อสู้กับรัฐบาลทุกรูปแบบ เช่น ประกาศว่าหากมีการสลายการชุมนุมให้คนเสื้อแดงทั่งประเทศฌาปนกิจศาลากลางทันที
วันที่ 19 มีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.ได้บุกรุกไปที่สถานีดาวเทียมไทยคมที่ตำบลลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี และต่อเชื่อมสัญญาณโทรทัศน์ PTV ได้สำเร็จ ทั้งๆที่รัฐบาลได้ใช้มาตรการตามกฏหมายปิดชั่วคราวแล้ว
วันที่ 7 เมษายน 2553 กลุ่มคนเสื้อแดงได้บุกเข้าไปในรัฐสภา แขวงอู่ทองใน เขตดุสิต กทม.ซึ่งเป็นสถานที่ราชการ และใช้กำลังทำร้ายร่างกายทหารที่สวมเครื่องแบบในการปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งได้ยึดอาวุธประจำกายที่รัฐสภา
เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 รัฐบาลได้มีการสั่งการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารและตำรวจผลักดันกลุ่ม นปช.เพื่อขอพื้นที่คืนจากผู้ชุมนุมที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ เขตพระนคร และที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ได้เกิดการปะทะกันขึ้นระหว่างฝ่ายทหารหรือตำรวจกับกลุ่ม นปช.โดยการปลุกระดม ยุยงของแกนนำบนเวทีให้ผู้ชุมนุมช่วยกันต่อต้านและขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเอาฟื้นที่คืนไปได้ และมีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายแฝงตัวอยู่กลับกลุ่ม นปช.ได้ใช้อาวุธปืนสงคราม ระเบิดขว้าง เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ยิงใส่ทหารและประชาชนทั่วไปเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ทหารและประชาชนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
กลุ่ม นปช.ได้ถอดชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถหุ้มเกราะจนไม่สามารถใช้ปฏิบัติการได้ มีการสกัดกั้นรถยนต์ของทางราชการ ยานพาหนะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์บรรทุกทหารจนไม่สามรถใช้การได้ที่บริเวณสะพานพระปิ่นเกล้าและสี่แยกคอกวัว ยึดอาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการทหารไปจำนวนมาก และรถยนต์พาหนะไปบางส่วน ส่วนที่เป็นอาวุธยุทธภัณฑ์บางส่วนยังไม่ได้คืนมา นอกจากนี้ยังมีการจับกุมทหารไปเป็นตัวประกัน
วันที่ 16 เมษายน 2553 กลุ่ม นปช.ได้ต่อสู้ขัดขวางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมแกนนำตามหมายจับของศาล ที่โรงแรม เอสซี ปาร์ค แขวง/เขตวังทองหลาง กทม. เพื่อช่วยเหลือแกนนำคนดังกล่าวไม่ให้ถูกจับและตำรวจถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บ มีการควบคุมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าจับกุมไปเป็นตัวประกันด้วย ปัจจุบันได้รับการปล่อยตัวแล้ว
วันที่ 22 เมษายน 2553 เกิดการปะทะกันบนถนนสีลม เขตบางรัก กทม. ระหว่าง นปช. กับชาวสีลม ที่ไม่เห็นด้วยกับ นปช. และซึ่งได้รวมตัวกันประท้วงและสนับสนุนรัฐบาล ในการปะทะดังกล่าวได้มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ประมาณ 5 ลูก จากกลุ่มบุคคลที่แฝงตัวอยู่จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก
วันที่ 28 เมษายน 2553 แกนนำกลุ่ม นปช. ได้นำผู้ชุมนุมบางส่วนไปตามถนนวิภาวดี รังสิต โดยอ้างว่าจะไปให้กำลังใจแก่กลุ่ม นปช. อีกส่วนหนึ่งที่ได้กระทำการปิดถนนวิภาวดีรังสิตขาเข้าและตรวจค้นยานพาหนะของประชาชน จนเกิดการปะทะต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารหรือตำรวจที่เข้าไปแก้ไขสถานการณ์ บริเวณอนุสรณ์สถานแห่งชาติ ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี จนทำให้เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิตและทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคลได้รับความเสียหาย
วันที่ 3 พฤษภาคม 2553 เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้เข้าตรวจค้นและยึดอาวุธปืนอาร์ก้า จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืน เอ็ม 16 จำนวน 1 กระบอก อาวุธปืนคาร์บิน 1 กระบอก เครื่องกระสุนปืนอาวุธดังกล่าวตลอดจนทั้งลูกระเบิดเอ็ม 67 ,เอ็ม 26,เอ็ม 79 รวม 12 ลูก ประทัดยักษ์อีกจำนวนหนึ่ง แก็สน้ำตา พร้อมทั้งสัญลักษณ์ของกลุ่ม นปช. และรถยนต์ฮอนด้ารุ่น ซีอาร์วี 1 คันที่ซอยอ่อนนุช แขวงสวนหลวง กทม.
ตามพฤติกรรมต่างๆ ดังกล่าวของกลุ่ม นปช. จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการชุมุนุมเคลื่อนไหวที่มีเจตนาร่วมกันบังคับขู่เข็ญรัฐบาลเพื่อให้กระทำการใดหรือไม่กระทำการตามวัตถุประสงค์ อันจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือสร้างความปั่นป่วนโดยทำให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชนที่จะดำเนินชีวิตตามปกติสุข
โดยมีผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในแกนนำหลักของกลุ่มในฐานะเป็นตัวการร่วมหรือผู้ใช้ให้กระทำความผิดด้วยการยุยงส่งเสริมหรือกด้วยวิธีการอื่นใดหรือโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำผิด หรือยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กระทำผิดกฎหมาย โดยมีการร่วมกันเป็นขบวนการหรือเป็นเครือข่าย มีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนและดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แบ่งหน้าที่กันทำ แต่มีอุดมการณ์และวัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน หรือ กระทำการโดยการตระเตรียมหรือสมคบหรือสนับสนุนการก่อการร้าย
การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดในข้อหา...ร่วมกันหรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ,135/2 ,135/3 ประกอบมาตรา 83, 84 , 85
เหตุเกิดที่ กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในพื้นที่บางจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง เมื่อระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2552 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แจ้งข้อหาให้ผู้ต้องหาทราบและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนให้ทราบว่าผู้ต้องหามีสิทธิตามกฎหมายคือ
1.สิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
2.สิทธิที่จะมีทนายความ
3.สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้
4.สิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้
5.ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้น อาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้แจ้งข้อหาและสิทธิให้ผู้ต้องหานี้ทราบก่อนเริ่มสอบสวนปากคำโดยมิได้มีการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยมิชอบด้วยประการใดๆ ผู้ต้องหาทราบและเข้าใจดีแล้ว ได้อ่านบันทึกนี้ให้ผู้ต้องหาฟังแล้ว รับว่าถูกต้อง จึงให้ลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ลงชื่อ นายณัฐวุฒิใสยเกื้อ ผู้ต้องหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.พเยาว์ ทองเสน ผู้แจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา /บันทึก/อ่าน
ลงชื่อ พ.ต.ต.แดนชัย ทูลอ่อง ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ ร.ต.อ.ณัฐพงษ์ น้อยน้ำค ผู้ร่วมแจ้งข้อกล่าวหา
ลงชื่อ นายธเนศ พ่วงพูล ทนายความผู้ต้องหา
ที่มา: มติชนออนไลน์
**********************************************
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553
อารยะ/อนารยะ
นักปรัชญาชายขอบ
มีคำถามว่า ฝ่ายเชียร์คนเสื้อแดงที่เอาแต่วิจารณ์ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้วิธีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่เป็นไปตามหลักสากลอย่างอารยประเทศเขาทำกัน ควรย้อมกลับมามองด้วยว่า ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองแบบม็อบอารยะประเทศหรือไม่ (โดยไม่ต้องพูดถึงไอ้โม่งชุดดำ ระเบิดขวด เอ็ม 79 แม้แต่อาวุธ เช่นท่อนไม้ เสาธง บ้องไฟ หนังสะติ๊ก ฯลฯ ม็อบอารยประเทศเขาทำกันแบบนี้หรือไม่?)
คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ อาจไม่ได้ต้องการจะบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมที่จะสลาย “ม็อบอนารยะ” ด้วยวิธีที่อนายระยิ่งกว่า แต่สำหรับเสื้อเหลือง เสื้อหลากสีที่คัดค้านการยุบสภาและเรียกร้องให้ใช้กฎอัยการศึกจัดการม็อบเสื้อแดงเพื่อ “คืนความสุขให้คนกรุงเทพฯ” ย่อมเห็นว่า รัฐบาลมีการชอบธรรมในการปราบม็อบและอยู่ในอำนาจต่อไปบนกองศพของประชาชน
เรามาทบทวนความเป็น “อนารยะ” กับ “อารยะ” กันหน่อยดีไหม ก่อนที่จะเดินหน้าปรองดอง (หรือไม่ปรองดอง) กันต่อไป!
1. อนารยะ/อารยะ ของ “คู่กรณี”
ทักษิณ (ถูกกล่าวหาว่า) คอร์รัปชัน ขายหุ้นไม่เสียภาษี = วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์ขอเสียง ส.ส.ฟากไทยรักไทยมาร่วมลงชื่อเพื่อเปิดอภิปรายทักษิณในประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าว = วิธีอารยะ ...ทักษิณยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน=วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์โจมตีว่ายุบสภาหนีการตรวจสอบและชวนพรรคการเมืองอื่นร่วมบอยคอตการเลือกตั้ง พันธมิตรฯ รณรงค์ให้โนโหวด ฉีกบัตรเลือกตั้ง (ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ) =วิธีอารยะ
ทักษิณให้ขอมีการเลือกตั้งใหม่ และประกาศหลังชนะการเลือกตั้งจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี =วิธีอนารยะ ...พันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานองคมนตรี องคมนตรี นักวิชาการ สื่อ คนชั้นกลางในเมือง เสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และเรียกร้อง สนับสนุน หรือสมรู้ร่วมคิดให้ทหารทำรัฐประหาร = วิธีอารยะ
สรุป – ฝ่ายถูกทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอนารยะ! ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอารยะ!
2. อนารยะ/อารยะ ของ “เสื้อสี” และ “รัฐบาล”
เกิด นปก.(ต่อมาเปลี่ยนเป็น นปช.) ชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ขับแท็กซี่ชนรถถังเสียชีวิต และต่อมามีการใช้เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ชุมนุมและใช้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐประหาร = วิธีอนารยะ ...ฝ่ายเสื้อเหลืองจัดฉากมอบดอกไม้ให้ทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร ดารา นักร้อง คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ร่วมถ่ายรูปกับรถถังแสดงความยินดีต้อนรับรัฐประหาร บรรดาแกนนำ นักวิชาการ สื่อฟากเสื้อเหลืองเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐประหารทั้งในและต่างประเทศ = วิธีอารยะ
รัฐบาลอำมาตย์ “เขายายเที่ยง” เป็นรัฐบาลอารยะ! รัฐบาลสมัคร “พ่อครัวทำกับข้าวออกทีวี” เป็นรัฐบาลอนารยะ! รัฐบาลสมชาย “ตาย 2 ศพ” เป็น “รัฐบาลอนารยะ” ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ใส่ร้ายผู้ชุมนุม ต้องยุบสภา! (ไม่ยอมยุบสภาถูกศาลสั่งยุบพรรค) รัฐบาลอภิสิทธิ์ “ตาย 89 ศพ” เป็น “รัฐบาลอารยะ” ที่มีความสามารถขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยวิธีที่ดีที่สุด ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มีความชอบธรรมที่สุดที่จะอยู่ในอำนาจและเดินหน้านำพาประเทศชาติสู่การปรองดองภายใต้คำเชิญอันแสนโรแมนติกของ “สุภาพบุรุษแห่งอ๊อกฟอร์ด” ที่ว่า “รัฐบาลต้องไล่ล่าโจรเผาบ้านมาติกคุก และพวกเราทุกฝ่ายมาร่วมซ่อมแซมบ้านด้วยกัน”
3. มหกรรมอวตารปราบมารการเมือง
การ์ตูน “อวตาร: มารการเมือง” ของ เรณู ปัญญาดี (วารสาร “อ่าน” มกราคม-มีนาคม 53) แสดงเรื่องราวของ “กองทัพยักษ์แดง” บุกเมืองสวรรค์เพื่อขอ “ประชาธิปไตยที่กินได้” และขอ “1 คน หนึ่งเสียง” เหล่าเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ทั้งหลายซึ่งประกอบด้วย ราษฎรอาวุโส สื่อผู้ทรงศีล กูรูสันติภาพ ปราชญ์ชาวบ้าน ฤษีสถาปนิก ที่ร่วมมหกรรมอวตารลงมาสอนศีลธรรมกำราบกองทัพยักษ์แดงไม่ให้ใช้วิธีรุนแรง ต่างประสานเสียงว่า...
“ปราศจากศีลธรรม ประชาธิปไตยจะมีความหมายแค่การเลือกตั้ง”... “ปราศจากศีลธรรม การเมืองเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจ”... “ปราศจากศีลธรรม การชุมนุมประท้วงจะมีแต่ความรุนแรง”... “ถ้าคนไทยไร้ศีลธรรม ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด”
แล้วบรรดาผู้ทรงศีลธรรมเหล่านั้นก็ระดมสอนศีลธรรมเพื่อเปลี่ยนใจกองทัพยักษ์แดง พวกเขาต่างเสนอว่า...
“ศีลธรรมต้องไม่รุนแรง-ท่องบ่นและตะโกนคำว่าความรุนแรงใส่การชุมนุม/สันติวิธีคือยอมรับความเจ็บปวดเสียเอง” ... “ศีลธรรมยิ่งใหญ่กว่าตัวเลข-จำนวนไม่สามารถบ่งบอกความถูก/ผิด ดี/เลว คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นตัวเลขที่ไร้ศีลธรรมกำกับ” ... “ศีลธรรมอยู่เหนือชนชั้น- เมื่อยักษ์ประกาศสงครามชนชั้น ป่วยการไปโต้ว่าสังคมไทยไม่มีชนชั้น เพียงแต่บอกว่าชนชั้นต้องมีศีลธรรมกำกับ/ทำไมคนไทยไม่รักกัน?” ... “ศีลธรรมต้องมาก่อนเสรีภาพ-การปิดทีวีและเว็บไซต์ที่พวกยักษ์ชอบดูเป็นมาตรการทางศีลธรรมที่เทวดาต้องสนับสนุน”... “ศีลธรรมเฟซบุ๊ค-สร้างเครือข่ายสื่อเทวดา ทำเมืองไทยให้เป็นประเทศของเฟซบุ๊ค”
“ศีลธรรมต้องสะอาด-เวลายักษ์อ้างสัญลักษณ์หรืออ้างศีลธรรมของฝ่ายตน เช่น ทำพิธีเอาเลือดไปเทหน้าทำเนียบ เทวดาต้องสู้ด้วยจำนวนและตัวเลข เช่น เอาจำนวนเชื้อโรคในเลือดมาข่มขู่”... “ศีลธรรมต้องไม่ปิดศูนย์การค้าและทำรถติด-สอนยักษ์ให้เข้าใจว่าการปิดศูนย์การค้าและทำรถติดมีสองแบบ คือแบบมีกับไม่มีศีลธรรมกำกับ ถ้าเทวดาทำจะเป็นแบบแรก ถ้ายักษ์ทำจะเป็นแบบหลัง”
เข็มทิศทางศีลธรรมของเทวดา คือ ...ปิดทำเนียบ ปิดสนามบิน = มีศีลธรรม...ปิดเกษร บิ๊กซี เวิลด์เทรด พารากอน = ก่อการร้าย
แต่ปรากฏว่า กองทัพยักษ์ไม่ยอมฟังคำสอนศีลธรรมของเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ที่อวตารลงมากำราบ “มารประชาธิปไตย” ฉะนั้น เหล่าผู้อวตารจึงแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยการใช้ “มาตรการทางศีลธรรม” ตาม “แผนสอง”
ภาพสุดท้ายที่สากลโลกได้เห็นคือ...กองกำลังติดอาวุธของ “รัฐบาลเทวดา” ปิดล้อมกองทัพยักษ์ พร้อมเสียงตะโกนจากกองเชียร์ ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!...
(นี่มันเป็นเรื่องราวของเทวดาผู้ทรงศีลธรรมอวตารลงมาปราบมาร หรือเป็นเรื่องราวดังวรรคหนึ่งในบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ “เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้” กันแน่? – ผมสงสัย!)
สรุป – ใครจะวิจารณ์ความไม่อารยะของม็อบเสื้อแดง (กองทัพยักษ์แดง) อย่างไรก็เชิญวิจารณ์กันไปเถิด! แต่คุณยังตั้งคำถามกับ “วิถีอารยะ” ของเหล่าเทวดาแห่งเมืองสวรรค์น้อยเกินไปหรือไม่?
ที่มา.ประชาไท
..................................................
มีคำถามว่า ฝ่ายเชียร์คนเสื้อแดงที่เอาแต่วิจารณ์ว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้วิธีสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงที่สะพานผ่านฟ้าและราชประสงค์ไม่เป็นไปตามหลักสากลอย่างอารยประเทศเขาทำกัน ควรย้อมกลับมามองด้วยว่า ม็อบเสื้อแดงเป็นม็อบที่เคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองแบบม็อบอารยะประเทศหรือไม่ (โดยไม่ต้องพูดถึงไอ้โม่งชุดดำ ระเบิดขวด เอ็ม 79 แม้แต่อาวุธ เช่นท่อนไม้ เสาธง บ้องไฟ หนังสะติ๊ก ฯลฯ ม็อบอารยประเทศเขาทำกันแบบนี้หรือไม่?)
คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ อาจไม่ได้ต้องการจะบอกว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์มีความชอบธรรมที่จะสลาย “ม็อบอนารยะ” ด้วยวิธีที่อนายระยิ่งกว่า แต่สำหรับเสื้อเหลือง เสื้อหลากสีที่คัดค้านการยุบสภาและเรียกร้องให้ใช้กฎอัยการศึกจัดการม็อบเสื้อแดงเพื่อ “คืนความสุขให้คนกรุงเทพฯ” ย่อมเห็นว่า รัฐบาลมีการชอบธรรมในการปราบม็อบและอยู่ในอำนาจต่อไปบนกองศพของประชาชน
เรามาทบทวนความเป็น “อนารยะ” กับ “อารยะ” กันหน่อยดีไหม ก่อนที่จะเดินหน้าปรองดอง (หรือไม่ปรองดอง) กันต่อไป!
1. อนารยะ/อารยะ ของ “คู่กรณี”
ทักษิณ (ถูกกล่าวหาว่า) คอร์รัปชัน ขายหุ้นไม่เสียภาษี = วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์ขอเสียง ส.ส.ฟากไทยรักไทยมาร่วมลงชื่อเพื่อเปิดอภิปรายทักษิณในประเด็นข้อกล่าวหาดังกล่าว = วิธีอารยะ ...ทักษิณยุบสภาให้ประชาชนตัดสิน=วิธีอนารยะ ...ประชาธิปัตย์โจมตีว่ายุบสภาหนีการตรวจสอบและชวนพรรคการเมืองอื่นร่วมบอยคอตการเลือกตั้ง พันธมิตรฯ รณรงค์ให้โนโหวด ฉีกบัตรเลือกตั้ง (ศาลตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ) =วิธีอารยะ
ทักษิณให้ขอมีการเลือกตั้งใหม่ และประกาศหลังชนะการเลือกตั้งจะไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี =วิธีอนารยะ ...พันธมิตรฯ พรรคประชาธิปัตย์ ประธานองคมนตรี องคมนตรี นักวิชาการ สื่อ คนชั้นกลางในเมือง เสนอให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และเรียกร้อง สนับสนุน หรือสมรู้ร่วมคิดให้ทหารทำรัฐประหาร = วิธีอารยะ
สรุป – ฝ่ายถูกทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอนารยะ! ฝ่ายทำรัฐประหารเป็นฝ่ายอารยะ!
2. อนารยะ/อารยะ ของ “เสื้อสี” และ “รัฐบาล”
เกิด นปก.(ต่อมาเปลี่ยนเป็น นปช.) ชุมนุมต่อต้านรัฐประหาร ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ ขับแท็กซี่ชนรถถังเสียชีวิต และต่อมามีการใช้เสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ชุมนุมและใช้สื่อวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านรัฐประหาร = วิธีอนารยะ ...ฝ่ายเสื้อเหลืองจัดฉากมอบดอกไม้ให้ทหารที่ออกมาทำรัฐประหาร ดารา นักร้อง คนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ร่วมถ่ายรูปกับรถถังแสดงความยินดีต้อนรับรัฐประหาร บรรดาแกนนำ นักวิชาการ สื่อฟากเสื้อเหลืองเดินหน้าโฆษณาชวนเชื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่รัฐประหารทั้งในและต่างประเทศ = วิธีอารยะ
รัฐบาลอำมาตย์ “เขายายเที่ยง” เป็นรัฐบาลอารยะ! รัฐบาลสมัคร “พ่อครัวทำกับข้าวออกทีวี” เป็นรัฐบาลอนารยะ! รัฐบาลสมชาย “ตาย 2 ศพ” เป็น “รัฐบาลอนารยะ” ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ใส่ร้ายผู้ชุมนุม ต้องยุบสภา! (ไม่ยอมยุบสภาถูกศาลสั่งยุบพรรค) รัฐบาลอภิสิทธิ์ “ตาย 89 ศพ” เป็น “รัฐบาลอารยะ” ที่มีความสามารถขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุมด้วยวิธีที่ดีที่สุด ทำให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุด มีความชอบธรรมที่สุดที่จะอยู่ในอำนาจและเดินหน้านำพาประเทศชาติสู่การปรองดองภายใต้คำเชิญอันแสนโรแมนติกของ “สุภาพบุรุษแห่งอ๊อกฟอร์ด” ที่ว่า “รัฐบาลต้องไล่ล่าโจรเผาบ้านมาติกคุก และพวกเราทุกฝ่ายมาร่วมซ่อมแซมบ้านด้วยกัน”
3. มหกรรมอวตารปราบมารการเมือง
การ์ตูน “อวตาร: มารการเมือง” ของ เรณู ปัญญาดี (วารสาร “อ่าน” มกราคม-มีนาคม 53) แสดงเรื่องราวของ “กองทัพยักษ์แดง” บุกเมืองสวรรค์เพื่อขอ “ประชาธิปไตยที่กินได้” และขอ “1 คน หนึ่งเสียง” เหล่าเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ทั้งหลายซึ่งประกอบด้วย ราษฎรอาวุโส สื่อผู้ทรงศีล กูรูสันติภาพ ปราชญ์ชาวบ้าน ฤษีสถาปนิก ที่ร่วมมหกรรมอวตารลงมาสอนศีลธรรมกำราบกองทัพยักษ์แดงไม่ให้ใช้วิธีรุนแรง ต่างประสานเสียงว่า...
“ปราศจากศีลธรรม ประชาธิปไตยจะมีความหมายแค่การเลือกตั้ง”... “ปราศจากศีลธรรม การเมืองเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจ”... “ปราศจากศีลธรรม การชุมนุมประท้วงจะมีแต่ความรุนแรง”... “ถ้าคนไทยไร้ศีลธรรม ประชาธิปไตยจะไปไม่รอด”
แล้วบรรดาผู้ทรงศีลธรรมเหล่านั้นก็ระดมสอนศีลธรรมเพื่อเปลี่ยนใจกองทัพยักษ์แดง พวกเขาต่างเสนอว่า...
“ศีลธรรมต้องไม่รุนแรง-ท่องบ่นและตะโกนคำว่าความรุนแรงใส่การชุมนุม/สันติวิธีคือยอมรับความเจ็บปวดเสียเอง” ... “ศีลธรรมยิ่งใหญ่กว่าตัวเลข-จำนวนไม่สามารถบ่งบอกความถูก/ผิด ดี/เลว คะแนนเสียงเลือกตั้งเป็นตัวเลขที่ไร้ศีลธรรมกำกับ” ... “ศีลธรรมอยู่เหนือชนชั้น- เมื่อยักษ์ประกาศสงครามชนชั้น ป่วยการไปโต้ว่าสังคมไทยไม่มีชนชั้น เพียงแต่บอกว่าชนชั้นต้องมีศีลธรรมกำกับ/ทำไมคนไทยไม่รักกัน?” ... “ศีลธรรมต้องมาก่อนเสรีภาพ-การปิดทีวีและเว็บไซต์ที่พวกยักษ์ชอบดูเป็นมาตรการทางศีลธรรมที่เทวดาต้องสนับสนุน”... “ศีลธรรมเฟซบุ๊ค-สร้างเครือข่ายสื่อเทวดา ทำเมืองไทยให้เป็นประเทศของเฟซบุ๊ค”
“ศีลธรรมต้องสะอาด-เวลายักษ์อ้างสัญลักษณ์หรืออ้างศีลธรรมของฝ่ายตน เช่น ทำพิธีเอาเลือดไปเทหน้าทำเนียบ เทวดาต้องสู้ด้วยจำนวนและตัวเลข เช่น เอาจำนวนเชื้อโรคในเลือดมาข่มขู่”... “ศีลธรรมต้องไม่ปิดศูนย์การค้าและทำรถติด-สอนยักษ์ให้เข้าใจว่าการปิดศูนย์การค้าและทำรถติดมีสองแบบ คือแบบมีกับไม่มีศีลธรรมกำกับ ถ้าเทวดาทำจะเป็นแบบแรก ถ้ายักษ์ทำจะเป็นแบบหลัง”
เข็มทิศทางศีลธรรมของเทวดา คือ ...ปิดทำเนียบ ปิดสนามบิน = มีศีลธรรม...ปิดเกษร บิ๊กซี เวิลด์เทรด พารากอน = ก่อการร้าย
แต่ปรากฏว่า กองทัพยักษ์ไม่ยอมฟังคำสอนศีลธรรมของเทวดา “ผู้ทรงศีลธรรม” ที่อวตารลงมากำราบ “มารประชาธิปไตย” ฉะนั้น เหล่าผู้อวตารจึงแก้ปัญหาประชาธิปไตยด้วยการใช้ “มาตรการทางศีลธรรม” ตาม “แผนสอง”
ภาพสุดท้ายที่สากลโลกได้เห็นคือ...กองกำลังติดอาวุธของ “รัฐบาลเทวดา” ปิดล้อมกองทัพยักษ์ พร้อมเสียงตะโกนจากกองเชียร์ ฆ่ามัน! ฆ่ามัน!...
(นี่มันเป็นเรื่องราวของเทวดาผู้ทรงศีลธรรมอวตารลงมาปราบมาร หรือเป็นเรื่องราวดังวรรคหนึ่งในบทกวีของ อังคาร กัลยาณพงศ์ “เทพไท้เบื่อหน่ายวิมาน ทะยานลงดินมากินขี้” กันแน่? – ผมสงสัย!)
สรุป – ใครจะวิจารณ์ความไม่อารยะของม็อบเสื้อแดง (กองทัพยักษ์แดง) อย่างไรก็เชิญวิจารณ์กันไปเถิด! แต่คุณยังตั้งคำถามกับ “วิถีอารยะ” ของเหล่าเทวดาแห่งเมืองสวรรค์น้อยเกินไปหรือไม่?
ที่มา.ประชาไท
..................................................
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)