--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“สแปร์” ตัวสำรอง ไว้เหมือนกัน!!

“สแปร์” ตัวสำรอง ไว้เหมือนกัน!!
หาก “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เด็กเส้น เส้นใหญ่ แข็งโป๊ก แน่นปั๋ง ใหญ่ยิ่งกว่า ป้อมปืนนาวาโรน ต้องโล๊ะเมี๊ยะ คดีเงิน ๒๙ ล้านบาท เพราะใช้ผิดประเภท จนต้องถูกยุบพรรคไปนั้น??? “ประชาธิปัตย์” สอดสาดสายตากันแล้ว...จะให้ยีราฟคอยาว สูงโย่งโก๊ะลิบฟ้า อย่าง “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แหกพรรษา ก้าวขึ้นมาเป็น ดีกรีความพร้อมเต็มที่...บดบังรัศมี “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ได้เท่าที่เห็น เจาะอดีตหาเวลา ดูกันแล้ว “ซุเปอร์เค” เกษม จาติกวณิช ผู้นำกลุ่มดุสิต ๙๙ เคยเป็น “ตัวสแปร์” สำรองที่ “ป๋า”?... เคยลุ้นอัดฉีดเต็มพิกัด เพื่อให้เป็น “นายกรัฐมนตรี” แต่ก็ไปสู่ดวงดาวไม่สำเร็จ.. คราวนี้ “หลานรักกรณ์ จาติกวณิช” ผู้เป็นหน่อเนื้อในไส้ จะก้าวเป็น “นายกรัฐมนตรี” เพื่อเชิดชูวงศ์ตระกูล!!! ทั้ง “ชวน-บัญญัติ”ที่ลุ้นอยู่...เห็นทีต้องหมอบไปทั้งคู่?....เพราะผู้ใหญ่หนุน “กรณ์” สุดกู่ เสียด้วยหละคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

“ความจริงด้านเดียว”!!!
แผนโปรประกันดา ให้สื่อทีวี วิทยุ และ หนังสือพิมพ์ พะยี่ห้อให้ “ผู้รักประชาธิปไตย” มวลมิตรมหาชนคนเสื้อแดง เป็น “ผู้ก่อการร้าย” นั้น...ทุ่มทุนอลังการงานสร้าง ด้วยเงินมหาศาล มากมายกองก่าย ที่อัดกันมาเต็มเหนี่ยว??? เม็ดเงิน เป็น ทรัพย์หลวงคลังประเทศ...โยนโครมออกมาจับจ่ายด้วยความสุรุ่ยสุร่าย จนน่าเป็นห่วง....เงินพันล้าน ร้อยล้าน....กันไปนั้น ล้วนเป็น “เงินหลวง” ในฐานะที่ “น้องเดียว” สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้คุมสื่อของรัฐ ต้องแกะรอย ตามดมกลิ่น การปู้ยี่ปู้ย่ำ “เงินก้อนนี้” กันให้ถึงแก่น...เพราะเท่าที่รู้มา มีคนยักย้อน ซ่อนเงินไปเข้ากระเป๋าฟรี ๆ ตั้ง “๕๐๐ล้านบาท” ทีเดียวเท่าที่รู้!!!! “เงินหลวง” ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้....ใครที่อมต้องเร่งคาย?...งาบเอาไปมันไม่น่าดู??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

แต่งตัวทรงเครื่องชะวัป!!
ถึงคิวที่ “ไชยยศ จิรเมธากร” เลชาธิการพรรคเพื่อแผ่นดิน....จะแทรกและเบียดตัว ก้าวขึ้นเป็น “รัฐมนตรี” เพื่อแทน “ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สักทีสิครับ?? เกียรติยศวงศ์ตระกูล ความดี ความเด่น ความดัง ของ “ไชยยศ” ถือว่าครบเครื่อง เรื่องคนมีเส้น เหมือนกัน.... เป็น “บัดดี้เพื่อนเลิฟ”...เติบโตมากับ “นายฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เส้นใหญ่มะลั๊กกั๊ก มั้ยละท่าน แต่มีคนท้วงติง เป็นกษัยยาแก้เครียด ว่ายามนี้ “เทพบุตรมาร์ค แอนโทนี..เอ๊ย..เวชชาชีวะ” ขึ้นเพดานบินเป็น “นายกรัฐมนตรี” ไปแล้ว...ฉะนั้นอยู่ต่อหน้าธารกำนัน “เลขาฯไชยยศ จิรเมธากร” ควรให้เครดิต ยกก้นให้ลอย น่าจะสวยกว่า....จะมาเอะอะ มึงมาพาโวย เหมือนเป็นรุ่นกระเตาะกระทงเดียวกัน สมัยเด็ก ๆสมัย หนุ่ม ๆ นั้น จะไม่เป็นการ รู้กาละและเทศะ!!!! เตือนด้วยความหวังดี..ไม่เป็น “รัฐมนตรี”ครั้งนี้... “หนุ่มไชยยศ” ไม่มี โอกาสแล้วนะ?
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

นั่งเป็นพระอันดับ!!!
ประชุมมือเศรษฐกิจ “มาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่เหลียวตามอง “สามสีภูเขาทอง” ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ มั่งเลยล่ะครับ?? เรียกใช้แต่ หนุ่มสมองไบร์ท ไฟแรง “กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ” เลขาธิการนายกรัฐมนตรี,และ “กรณ์ จาติกวณิช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นทีมเวิร์ค ที่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดี “รองนายกฯไตรรงค์”....เป็น “กระทงหลงทาง” ที่มองข้ามหัวไม่แยแส เลยล่ะพี่ การไม่ดึง หรือ เรียกบริการ ใช้ความคิด ของ “ไตรรงค์ สุวรรณคีรี” เพราะเป็นมือ “เศรษฐศาสตร์”ที่ตกเทรน! ตกแนว! ตกยุค! ไปแล้วนั่นเอง....ทางทีดี “ท่านสามสี ภูเขาทอง” ต้องปรับสภาพการทำงาน เข้ากับคนหนุ่มยุคจรวด เขาให้ทัน!!!! ทำงานมะงุ้มมะหราก๋า......ดูแล้วเหมือนคนหมดน้ำยา.....ปรับท่าที น่าจะดีเหมือนกัน??
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

พูดเอง..เออเอง..แบบ “ยกตน”!!
“เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฐานะ “ผอ.ศอออฉอ” พูดตอกย้ำหัวตะปูร้อยที่แปด ว่าการกระชับพื้นที่ สลายม๊อบเสื้อแดง เป็นไป “ตามหลักสากล”??? แต่ที่สื่อต่างชาติเขาเห็น...ประชาชน คนมือเปล่า ๆ ถูกฆ่าตายไป ๘๘ชีวิต และบาดเจ็บนอนเยียวยากว่า ๒,๐๐๐ ชีวิต นี่ไม่ใช่ “จากเบาไปหาหนัก”....แต่เป็น “วิธีแตกหัก” ไม่ได้มาตรฐาน สักนิด และยิ่งน่าคิดเข้าไปใหญ่ ..เมื่อ “พล.ท.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” รองเสธ.ทบ. คู่หูผู้รู้ใจ ของ ว่าที่ ผบ.ทบ. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. แย้มพรายเปิดไต๋ หลังสลายม๊อบสำเร็จ ว่าการสลายครั้งนี้ “เหมือนกับสงคราม”!!!! “บิ๊กดาว์พงษ์”เอาความจริง ออกมาติว...หน้า “สุเทพ” ก็เหลือแค่สองนิ้ว?..แหกเป็นริ้วไม่น่าถาม????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์

หนังใหญ่ลงโรง

แน่นอนอยู่แล้ว..มี “คนตาย” เป็นเบือ...ใครมั่งที่จะไม่อยากรู้อยากเห็นในการที่ทำให้ “ผู้ชุมนุม” ต้องเสียชีวิตมากขนาดนั้น การอภิปรายในสภาครั้งนี้..จึงเป็นที่สนใจเป็นอย่างยิ่ง!! โดยเฉพาะ ผลจากการสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” เผยว่า ร้อยละ 74.56 เปอร์เซ็นเห็นด้วยที่จะให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นผู้นำในการ

อภิปราย ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก.. เป็นหนัง “ฟอร์มใหญ่” โปรแกรมยักษ์ที่ “ผู้ชม” จะได้ติดตามกันอย่างล้นหลาม แม้..ท้ายสุดจะไม่มีรางวัล “ตุ๊กตาทอง” ติดไม้ติดมือกลับบ้านให้กับพรรคฝ่ายค้าน.. แต่เชื่อแน่ว่าความ “อึมครึมหัวใจ” ของประชาชนที่เป็นกลางจะลดหายไปมากโข ที่สำคัญคือ ดารานักแสดง ตัวจริง-

เสียงจริง หยั่ง จตุพร พรหมพันธ์ ที่ “รอดดงตีน” หลุดมาได้ จะให้ “เสียงพากย์” บรรยายบรรยากาศจริงๆ กันสดๆ ไม่ต้องพึ่ง “รอง เค้ามูลคดี” มาให้เสียงพากย์แทน เหมือนหนังไทยในอดีต ถ้าหาก “จตุพร” ไม่โดน “ล็อกตัว” ออกไปซะก่อน..คนไทยที่เบื่อหน่ายกับ “ฟรีทีวี.” แล้วมารับชมครั้งนี้..คงได้ครางกันฮือ! ยัง

ไงก็ตามเกี่ยวกับ “ความสนุกตื่นเต้น” ในการรับชมก็คงจะหายไปเยอะ..เพราะมีปัญหาเรื่องการ “เซ็นเซ่อร์” เกี่ยวกับ “คลิป” ที่จะนำมาโชว์ หนังทุกเรื่อง.. ถ้ามีการ “เซ็นเซ่อร์” หรือถูก “กรรไกรหั่น” จนเกลี้ยง เนื้อหาสาระคงจะต้องขาดรสชาติหมดสนุกไปโดยปริยาย นี่ถ้า“คลิป” จากเหตุการณ์ “นองเลือด”

เปลี่ยนมาเป็นการคอนเสิร์ตของ “คลิฟ ริชาร์ด” แทน ก็คงจะแฮปปี้กันทั้งสภา..เฮฮามาถึงในบ้านด้วย ว่าไปแล้วทุกคนก็มี “เหตุผล” ของตนเอง..จะโทษ “ใครผิด-ใครถูก” คงไม่ได้ แต่..เหตุการณ์ที่ทำให้ “คนตาย” มากมายเช่นนี้ ก็ต้องหาเหตุผลมา “ลบล้าง” กันว่ามันเกิดมาจากอะไร?? โดน “ปืนตาย” หรือว่า

ถูก “ลมพัดตาย”..ต้องไล่จาก “เหตุ” จึงจะเกิด “ผล” ฝรั่งเขาบอกว่า No smoke without fire. แปลว่า “ไม่มีควันโดยปราศจากไฟ” ก็เห็นไฟลุกท่วมกรุงเทพฯ อยู่โทนโท่.. “มือเผา” อยู่ไหน??..และใครสั่งยิงประชาชนตาย ตรงนี้มันต้องมีที่มาที่ไปแน่นอน!!


คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*****************************************************

‘ลับ ลวง พราง’

คือคำที่ถูกพูดถึง และนำมาใช้หลังเกิดการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 เป็นคำที่มีความหมายในตัวของตัวเองชัดเจนอยู่แล้ว ภาษาไทยมีคำแปลความหมายว่า ไม่มีอะไรชัดเจน กระจ่างแจ้ง ของสถานการณ์ ไม่ว่าจะเกิดจากการคิด หรือการกระทำของใครก็ตาม ก็ไม่มีผลดีต่อส่วนรวมของประเทศเลยแม้แต่น้อย แสดงให้เห็นชัดเจนว่า...ยังมีบางฝ่ายที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดของสังคมไทย แต่มีอิทธิพลต่อการเกิดขึ้นของเกมการ

เมือง สรุปง่ายๆ ตรงไปตรงมา บอกได้ว่า... “ลับ ลวง พราง” ยังเป็นสถานการณ์ของเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยังมีอะไรแอบแฝง ลึกลับซับซ้อน พร้อมที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ร้อนแรงขึ้น เป็นอันว่า... ถ้าหากยังมีเรื่องราวของ “ลับ ลวง พราง” ก็หมายความว่า ประเทศไทยยังไม่มีการคลี่คลาย สถานการณ์ทางการเมือง

เรื่องของการต่อสู้กันทางการเมืองลงได้ ประเทศจะวุ่นวายต่อไป ประชาชนก็จะต้องเดือดร้อน และได้รับความวุ่นวายอยู่ต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น นี่คือ “พิษ” ของ “ลับ ลวง พราง” ที่วันนี้ไม่ใช่เรื่องราวเล่าขานจากตำนานปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 อย่างเดียว จาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ.ผู้ทำปฏิวัติ สถานการณ์

นั้นน่าจะหมดไปจากการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 ซึ่งเป็นการคืนประชาธิปไตยกลับมาให้จากภาวการณ์ปฏิวัติ แต่สถานการณ์ “ลับ ลวง พราง” หาได้หมดไปกับประชาธิปไตยที่ได้รับกลับคืนมาใหม่ อย่างที่คนคิดคนหวังไว้ สถานการณ์ “ลับ ลวง พราง” ยังมีต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เหมือนเป็นโรคติดต่อมาถึงรัฐบาลที่

อ้างตัวว่ามาจากประชาธิปไตย คือ รัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์ และเป็นโรคติดต่อที่รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ยอมแก้ หรือแก้ไม่ได้จริงก็ไม่ทราบ แต่ที่คนไทยอยากรู้ก็คือ...ประเทศไทยจะยัง “ลับ ลวง พราง” อีกนานแค่ไหนกันครับ หรือจะต้องรอให้มันวอดวายทั้งหมดก่อน?
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

“ไม่ไว้วางใจ”

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน 2553 วันที่สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติ “ไม่ไว้วางใจ” นายกฯ และ รัฐมนตรี 5 คน เป็นวันที่สอง...ซึ่งจะจบโดยประชาชนไม่ได้อะไร!! เพราะเวทีสภาฯ เป็นเวทีของ “พรรคประชาธิปัตย์” เป็นเวทีสร้างนักการเมืองพรรคนี้มานาน...2 วันนี้นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว “ฝ่ายค้าน” อาจจะโดน เชือดเลือดสาด โดยมี “ปังตอ” ของท่านผู้นำ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วยซ้ำ!!

อย่าว่าแต่คนไทยเลยที่รู้ว่านักการเมืองไทยคนไหน “โกหกเก่ง” คนต่างชาติเขารู้กันแล้วว่าใคร “โกหกเก่ง” ไม่เชื่อลองถาม “แดน ริเวอร์ส” นักข่าว ซีเอ็นเอ็น และนักข่าวอีกหลายประเทศก็ได้เริ่มเมื่อวาน “ฝ่ายค้าน” ก็แพ้รูดเรื่อง “ตั้งกรรมการตรวจคลิป” แล้ว...ก็ในเมื่อตั้ง ส.ส.ประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะ “ศิริ

โชค โสภา” วอลเปเปอร์ประจำตัวท่านผู้นำเป็นกรรมการตรวจด้วย...ประชาชนจะรู้ความจริงไม่ได้เลย เพราะกรรมการจะไม่ให้ผ่าน “ออกมาแฉ” แน่นอน!! ภาพทหารอยู่บนยอด “ตึกชาญอิสระ” ระดมยิงประชาชนด้วย “ปืนสไนเปอร์” จะไม่มีทางได้เห็นแน่...นอกจากสื่อบางฉบับกับ “สื่อต่างประเทศ” เท่านั้น!!

การอภิปรายคราวนี้ สภาฯ จึง “ไม่ใช่ที่พึ่ง” ของประชาชนอีกต่อไป!! ไม่น่าเชื่อรัฐบาล “เซ็นเซอร์” ได้แม้กระทั่ง หลักฐานของสภาฯ อย่าว่าแต่เซ็นเซอร์สื่อที่รัฐบาลนี้ทำมาตลอดเลย...วังเวง ประเทศไทย!! เริ่มอภิปรายเมื่อวานด้วยการหารือเรื่ององค์ประชุมของ “นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล” ส.ส.เชียงใหม่พรรค

เพื่อไทย กลับถูก “นายธนา ชีรวินิจ” ส.ส.กรุงเทพฯ ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งเป็น “มือใหม่หัดขับ” สอนมวยจนไปไม่ถูก...แถมให้คนอ่านหนังสือไม่แตก อ่านผิดๆ ถูกๆ คำควบกล้ำ ร เรือ ล ลิง ไม่มี อย่าง “นายวิทยา บุรณศิริ” ประธานวิปฝ่ายค้าน มาอ่านร่างญัตติข้อกล่าวหา...อย่างนี้ไม่ต้องถึงมือระดับ

ท่านผู้นำหรอก...แค่ “วิทยา แก้วภารดัย” ก็เอาอยู่แล้ว!! เสียดายมือดี ของ “เพื่อไทย” ถูกดองหมด เช่น จาตุรนต์ ฉายแสง ไม่งั้นมวยจะสนุกกว่านี้เยอะ ผมเขียนด้วย “ความเห็นใจ” ฝ่ายค้านพรรคเพื่อไทย เป็นอย่างยิ่ง และเชื่อด้วย “ความสัตย์จริง” ว่า...สิ่งที่พรรคเพื่อไทยนำมาอภิปรายคราวนี้ “เป็นเรื่อง

จริง” ทั้งสิ้น!! แต่เชื่อผมเถอะ สภาฯ เป็นเวทีของ ประชาธิปัตย์ เขา...ที่เขาเอาตัวรอดได้เสมอ และ “สังคมตอแหล” อย่างสังคมไทยจะเชื่อด้วย...เหมือนที่คนไทยไม่น้อยเชื่อ “การพูดข้างเดียว” ของรัฐบาลนี้ในเหตุการณ์เลือดที่ผ่านมา...เชื่อทั้ง “เรื่องปืน” ที่เอามาจัดฉากแถลง... ....เชื่อทั้ง “เรื่องคาร์บอมบ์” ที่นัดนัก

ข่าวมาแถลง...เชื่อทั้งเรื่องใครก็ไม่รู้ “ใส่ชุดดำ” มายิงประชาชน...เชื่อทั้งเรื่อง “ไม่มีทหารแม้แต่คนเดียว” ยิงประชาชนมือเปล่า คนตาย 88 คนตายเอง นักข่าวญี่ปุ่น อิตาลี เดินชนกระสุนตายเอง ฮ่วย!! บ้ากันไปใหญ่คือแฟนคลับ “ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่กลายเป็น “ฮีโร่” ขวัญใจชาวเน็ตฯ กลุ่ม

หนึ่ง...นี่ไงที่ผมเรียกสังคมไทยเป็น “สังคมตอแหล” เหมือนนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่สร้างตัวจากการตอแหลทั้งชีวิตจน “ได้ดิบได้ดี” ก็อยู่กันแบบตอแหลไปอย่างนี้แหละประเทศไทย...อย่าคิดอะไรมากเลย!!สุดท้าย สุดสงสาร “สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” อาจารย์จุฬาฯ ผู้แสดงออกทางการเมืองตรงไปตรงมา ไม่ตอ

หลดตอแหล ต้องสังเวย “เผด็จการซ่อนรูป” ถูกกักขังในค่ายทหาร หนังสือหนังหาที่เป็นชีวิตจิตใจของอาจารย์ไม่ได้อ่าน อดข้าวประท้วงเป็นวันที่ 5 แล้ว “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ยังเฉย!! ไม่รู้ร้อนหนาว อนิจจาท่านผู้นำ ไฮ ฮิตเลอร์!!
โดย.บางกอกกอสซิบเพชรฉกรรจ์
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

อีกด้านของเหรียญ

ทุกๆเรื่องราว จะมีหลากหลายมุมมอง ในแต่ละมุมมองเรื่องราวหลายเรื่องก็จะมีเกิดและมีดับเป็นธรรมดา อย่างเรื่อง..ข้อหาก่อการร้ายของ พันตำรวจโท ด็อกเตอร์ ทักษิณ ชินวัตร แทนที่จะเป็นการไล่ล่าเพื่อเอาเขากลับมาลงโทษในประเทศตามปราถนาของรัฐบาล ข้อหาก่อการร้ายจะกลายเป็นใบเบิกทางเพื่อที่จะทำ

ให้เขา พันตำรวจโท ด็อกเตอร์ ทักษิณ..ชินวัตร..มีที่ยืนในโลกมากขึ้นและกว้างขวางมากขึ้น บรรดาประเทศทั้งหลาย..ที่เป็นประเทศใหญ่และพัฒนา..รัฐบาลของเขาจะได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประเทศเหล่านี้ในอดีตปฏิเสธการเข้าประเทศของ พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร...เพราะมีคำ

พิพากษากล่าวหาว่าเขามีความผิดในเรื่องผลประโยชน์..ที่เบียดบังไปจากประเทศ การให้ที่พักพิงแก่เขาจึงเป็นเรื่องต้องห้าม..ของกฏหมายระหว่างประเทศที่มีพันธะสัญญาต่อกัน..และกฏหมายนั้นสร้างกันขึ้นมา ก็เพื่อจะบังคับกำหราบปรามปราม..ผู้ที่กระทำผิดต่อประชาชนในประเทศหนึ่งแล้วไปหลบอยู่ในอีกประเทศ

หนึ่ง ถ้าไม่มีการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 และมีการกล่าวโทษต่อศาลสถิตยุติธรรม..อันเป็นปรกติ..และถูกพิพากษาจนครบ 3 ศาล..ว่ามีความผิด.. พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร..จะไม่มีข้ออ้างใดๆ ที่จะให้ประเทศเหล่านั้น..เปิดทางให้เขาเข้าอยู่อาศัยไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร แต่เพราะมีการปฏิวัติ..และมีการ

เปลี่ยนวิธีการกล่าวหา..หรือแม้แต่ที่มาของคำพิพากษา..รวมทั้งยังเห็นต่างกันในเรื่องมีโทษและไม่มีโทษ..ประเทศบางประเทศจึงใช้เป็นเหตุผลในการให้ที่พำนักพักพิง แต่ข้อหาใหม่..ข้อหาก่อการร้ายนั้น..ยังไม่ใช่คำพิพากษาเป็นเพียงคำกล่าวหา.. และมีแค่หมายจับ..ทนายระดับโลกที่สามารถ อาจจะลำดับเรื่องราว

ความเป็นมาตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงบัดนี้..และชี้ให้เห็นว่า..เรื่องราวทั้งหลายเป็นเรื่อง..การช่วงชิงอำนาจทางการเมือง.. และ ทักษิณ ชินวัตร..คือผู้ถูกช่วงชิง..โดยอำนาจอาวุธแห่งกองทัพ ไม่ใช่การสูญเสียอำนาจจากรัฐสภา..ที่ว่าไล่ล่าจะลากเอาตัวเขามาลงโทษนั้น..มันจะกลายเป็นตรงกันข้าม..

โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************

TPBS_ยิง 6 ศพที่วัดปทุมฯ

เหตุแห่งความกล้าหาญ


อะไรหรือที่ทำให้พี่น้องประชาชนมือเปล่าๆ วิ่งเข้าไปหาปืนด้วยความกล้าหาญมุ่งมั่น และด้วยสติอย่างสมบูรณ์?

นี่คือสิ่งที่ผมครุ่นคิดมาตลอดตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงการปะทะรุนแรงในเดือนพฤษภาคม คิดไปก็ทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อช่วยชีวิตและจิตใจของพี่น้องหลายล้าน ในฐานะที่คนพลัดบ้านพลัดเมืองคนหนึ่งจะกระทำได้

แล้วผมก็พบความงามบางอย่างวาบแสงขึ้นในความมืดมิดของระบอบโบราณที่ยังครอบงำไทย

ยังจำได้ไหมว่า พันเอกอัคร ทิพย์โรจน์ เป็นตัวแทนของฝ่ายเผด็จการรับจ้างของระบอบไทยสมัย คมช. ออกมากล่าวาจาสามหาวใส่ ลุงนวมทอง ไพรวัลย์ คนขับแท็กซี่เข้าชนรถถังจนตัวบาดเจ็บสาหัสว่า แก่ บ้า และลงท้ายด้วยการหมิ่นน้ำใจว่าไม่มีคนไทยที่ไหนจะยอมตายเพื่อประชาธิปไตยหรอก

จนสุดท้ายก็ได้ชีวิตทั้งชีวิตของลุงนวมทองมาพลีพิสูจน์ว่าใครคือมนุษย์และใครมีศักดิ์เพียงสัตว์เดรัจฉาน

หากเทพมีจริง วันนี้เทพนวมทองท่านคงกำลังมองลงมายังพื้นดินด้วยความปลื้มใจว่าคนไทยอีกนับจำนวนไม่ถ้วนก็พร้อมพลีชีพเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยในบ้านเมืองเช่นเดียวกัน ถึงจะรู้สึกห่วงใยทุกๆ ชีวิตและไม่ต้องการให้พลีชีพโดยไม่จำเป็นแม้แต่หนึ่งเดียวก็ตาม

ผมมั่นใจว่า ความกล้าหาญที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่าในคราวนี้ คือผลการยกระดับความคิด และทัศนะของผู้เป็นพลเมืองที่ถูกเหยียดหยามให้เป็นไพร่ใต้ตีนมานานหลายศตวรรษ

ใครคิดว่ามวลชนเหล่านี้ยอมเสี่ยงชีวิตเพียงแค่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเพื่อกำจัดคนไร้ค่าอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงต้องคิดใหม่

เป้าหมายแค่นั้นเอาอเวไนยสัตว์มาตายแทนยังไม่คุ้ม

พวกเราวิ่งเข้าหาปืนใส่กระสุนจริง ท้าความตายอยู่กลางถนน เพราะรู้ว่าถ้าเขาวิ่งไปได้ถึงฐานที่มั่นของเจ้าของระบอบอันเลวร้ายเมื่อไหร่ ระบอบประชาธิปไตยที่ถูกกดทับทำลายมานานปี ก็จะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระและได้เติบโตตามธรรมชาติ ส่งผลให้ชีวิตของเขาและคนรุ่นต่อไปดีขึ้น

โดยเฉพาะศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์นั้นดีขึ้นแน่ ยืนยันได้จากตัวอย่างที่ชัดเจนในยุครัฐบาลประชาธิปไตยแท้ๆ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๔-๒๕๔๙ ในเวลาเพียงหกปีเห็นหน้าเห็นหลัง ประชาชนผู้ไร้เส้นสายรู้สึกมีชีวิตชีวา มีความหวัง และรู้สึกว่าบ้านเมืองสูงขึ้นเยอะ

เขาก็จำได้หมายรู้มาตั้งแต่บัดนั้นว่า ประชาธิปไตยไม่ใช่ของเล่นหรูหราของนักวิชาการหรือเจ้าทฤษฎีที่ไหน แต่เป็นของมีค่าที่เขาจับต้องได้จริง

เขาไม่เคยต่อสู้ขนาดนี้มาในอดีต ก็เพราะอดีตไม่ควรค่าแก่การต่อสู้ของเขา

แม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่จัดตั้งมวลชนในกว้างขวางและลึกซึ้งที่สุดรองลงไปจากระบอบศักดินา ก็ยังไม่สามารถสร้างเป้าหมายที่ประชาชนคนสามัญเห็นคุณค่าและพร้อมพลีชีพได้ถึงขนาดนี้

พยายามพูดใส่ความกันเหลือเกินว่านี่คือความตั้งใจที่จะสร้างระบอบทักษิณ

คนที่ชิงชังคุณทักษิณด้วยความเข้าใจคลาดเคลื่อนบ้าง ด้วยความยึดมั่นถือมั่นจนไม่ดูข้อเท็จจริงบ้าง หรือหมั่นไส้ริษยาบ้าง ก็เซ็งแซ่กันว่าประชาชนเหล่านี้สงสัยจะเป็นทาสของคุณทักษิณ

พูดจนลืมไปว่าคนพูดที่มีโซ่ล่ามอยู่รอบคอ ร้องเพลงกันเองแล้วก็น้ำตาไหลกันเอง ปรุงแต่งกันอยู่แถวนั้น เป็นทาสของใคร และลืมหูลืมตาขึ้นหรือไม่

คนที่วิ่งเข้าไปหาปืนและความตายเหล่านี้ล้วนไม่รู้จักคุณทักษิณ ไม่เคยเห็นตัวจริงไม่เคยได้สัมผัส ไม่เคยได้รับประโยชน์ใดๆ จากคุณทักษิณเลยแม้แต่น้อย เขาคงไม่ได้คิดถึงคุณทักษิณในขณะพลีชีพ

บางท่านอาจจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่าท่านเหล่านี้วิ่งเข้าไปด้วยความพิเศษบางอย่างในสมองและระบบความคิด เรียกได้อย่างหนึ่งว่า แนวทาง

เหมือนแดงสยามเสนอแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยในขั้นต่อไป โดยไม่ได้เสนอตัวเป็นกลุ่มก้อนหรือเป็นผู้นำการเมืองในเวทีไหนหรือพรรคใดๆ เลย

แนวทางคือกรอบความคิดใหญ่ที่เราใช้เป็นฐานในการวางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี และกิจกรรมเพื่อให้เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแท้ มีลักษณะเป็นนามธรรม แต่ส่งผลสำคัญและมีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อวิธีการต่อสู้อย่างเป็นรูปธรรมของฝ่ายประชาธิปไตย

ไม่ว่าใครจะรับแนวทางจากคำปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ ผ่านฟ้า สนามหลวงหรือที่อื่นๆ ไม่ว่าใครจะได้อ่านเอกสาร หนังสือ แผ่นซีดี ข้อมูลจากเว็บไซต์ หรือใครมีโอกาสเข้าร่วมเสวนากับกลุ่มใดๆ จนเกิดการปรับทัศนะ เปลี่ยนแปลงจากความล้าหลังและความไม่รู้ร้อนหนาว จนเป็นความห่วงใยบ้านเมืองอย่างที่เรียกว่าก้าวหน้านั้น ถือว่าใช้ได้หมด

ใครยังเหลือธาตุแห่งความดูแคลนประชาชนอยู่ในใจ ผมท้าให้ไปนั่งคุยกับคุณยายคุณป้าคุณลุงคุณอาที่มาร่วมชุมนมสักสิบนาที แล้วจะตื่นอย่างรวดเร็วว่าคนที่มาร่วมชุมนุมในฝ่ายประชาธิปไตยนั้นไม่อาจจะเป็นทาสใครได้เลย เขาต่างมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ก้าวหน้าและชัดเจน จนวันนี้ปรับสภาพจนใกล้จะเป็นการลุกขึ้นสู้อยู่รอมร่อแล้ว

คนจนที่ได้รับการศึกษาตามระบบมาน้อยในวันนี้ ส่วนใหญ่มีจิตวิญญาณการเมืองและสำนึกแห่งความเป็นมนุษย์ ดีกว่าชนชั้นกลางและชนชั้นสูงที่ยอมตัวเป็นไพร่ใต้ตีนคนอื่น ผู้อุตส่าห์หาเหตุผลที่ฟังเผินๆ ก็ไพเราะมาอธิบายความล้าหลังและความเป็นทาสอย่างโงหัวไม่ขึ้นของตัวเอง เพียงเพราะในใจเต็มไปด้วยความอ่อนแอจนพึ่งตัวเองไม่เป็น

ของแบบนี้มีตัวอย่างอยู่เสมอ

ศิลปิน ดารา นักร้อง สื่อมวลชนที่ประกาศจุดยืนต่อต้านฝ่ายประชาธิปไตย ไม่มีความกล้าหาญและบกพร่องในความเป็นมนุษย์อยู่มาก เพราะคนเหล่านี้อยู่ในระบบอุปถัมภ์ตั้งแต่หัวถึงตีน ได้ดีมาก็เพราะเอาตีนคนอื่นคุ้มกบาลตัวเองมาตลอดชีวิตที่ไร้ค่า

ศิลปะของคนเหล่านี้จึงมักแปดเปื้อนไปด้วยมลทิน ไร้ความบริสุทธิ์ แค่จะเปิดละครกันสักเรื่องก็ต้องอาศัยเดรัจฉานวิชามาคุ้มตัวกลัวเจ๊ง ทั้งที่อาศัยพุทธธรรมอย่างเดียวก็เหลือจะพอ

คนที่ยอมตัวอยู่ใต้อำนาจคนอื่น มักจะเห็นว่าระบบอุปถัมภ์นั้นดีวิเศษ เห็นอำนาจที่กดหัวของตัวอยู่เป็นบุพการีของตนไปหมดอย่างน่าเวทนา

แต่คุณค่าของผู้หลงผิดเหล่านี้คือช่วยเปรียบเทียบและทำให้วีรกรรมของฝ่ายประชาธิปไตยมลังเมลืองขึ้นมาก

ถ้าไม่มีไพร่ใต้ตีน ก็ไม่รู้ว่าเทพนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

อยากรู้ก็ส่องกระจกดูครับ.


โดย จักรภพ เพ็ญแข
----------------------------------

มาร์คโมเดล


นอกเหนือจากการตายของประชาชนกว่า 80 ศพ บาดเจ็บนับพัน ที่มีการพูดจาและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางแล้ว

อีกปมที่ถกกันอยู่น่าจะเป็นการดำเนินงานของรัฐบาลผ่านทางศอฉ. ที่เข้าสลายม็อบอย่างดุเดือดและรุนแรง โดยใช้คำที่ดูสละสลวยว่า

"ขอคืนพื้นที่" หรือ "กระชับพื้นที่"

แต่ความหมายก็คือการเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมนั่นเอง

รวมไปถึงแผนยุทธการตั้งแต่การรับมือม็อบ การโฆษณาชวนเชื่อ การสั่งปิดสื่อรูปแบบต่างๆ ที่เชื่อว่าเกี่ยวโยงกับนปช. จวบจนถึงวันสุดท้ายที่เข้าสลายจนมีคนตายจำนวนมาก

ท้ายสุดคือท่าทีของผู้ต้องรับผิดชอบโดยตรงอย่างนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ

กำลังเปรียบกันว่านี่คือ "มาร์คโมเดล"

หากเหตุการณ์นี้ปิดฉากลงโดยฝ่ายอำนาจรัฐไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เชื่อว่านี่จะเป็น "โมเดล" ที่มีการเลียนแบบในอนาคต

พลิกประวัติศาสตร์กลับไปสมัย 14 ตุลา 16 จนถึงเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รัฐบาลถูกขับไล่โดยผู้ชุมนุมทั้งนักศึกษาและประชาชน

รัฐบาลที่ผ่านมาใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามจนมีคนตาย-เจ็บ จำนวนมาก และต้องรับผิดชอบ หรือถูกบีบให้รับผิดชอบด้วยการลงจากอำนาจและหลุดหายไปจากสารบบการเมืองไทย

เพิ่งมีครั้งแรกสมัยนายกฯ ที่ชื่ออภิสิทธิ์ ซึ่งใช้กำลังปราบปรามจนมีคนตายลบสถิติการชุมนุมทุกครั้งที่ผ่านมา

แต่ทำท่าว่าจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

ที่น่าทึ่งก็คือพยายามบอกว่าคนที่ตายๆ ไปนั้นหากไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ก็ถูกผู้ก่อการร้ายฆ่า

ไม่เกี่ยวกับทหาร!?

เพราะทหารได้รับคำสั่งให้ยิงระดับต่ำกว่าหัวเข่า!?

ทั้งที่หากถึงที่สุดแล้วการสลายการชุมนุมครั้งนี้คนของภาครัฐไม่ต้องรับผิดชอบ จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อระบอบประชาธิปไตยของไทยในอนาคต

เพราะทุกประเทศประชาธิปไตย ประชาชนนอกจากมีอำนาจในการลงคะแนนเสียงแล้ว อีกอำนาจที่สำคัญคือการชุมนุมเพื่อเรียกร้องหรือกดดันรัฐบาล

หลังพฤษภาทมิฬมีม็อบออกมาขับไล่รัฐบาลอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีรัฐบาลไหนกล้าใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม เพราะรู้ดีว่าจะพบจุดจบเยี่ยงไร

แต่พลันที่เกิด "มาร์คโมเดล" เมืองไทยก็ก้าวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เป็นต้นแบบให้รัฐบาลอื่นๆ เดินตามชนิดก้าวต่อก้าวหากต้องการเล่นงานผู้ชุมนุมในอนาคต

หากวันหน้าพรรคการเมืองอื่นขึ้นมาเป็นรัฐบาลแล้วเกิดมีม็อบสีอื่นๆ ออกมาอาละวาด อาจจะยึดทำเนียบฯ บุกยึดสนามบิน ฯลฯ เพื่อขับไล่รัฐบาล

"มาร์คโมเดล" คงถูกนำมาใช้อีกครั้ง เพราะได้รับการพิสูจน์แล้วว่า สามารถฆ่าผู้ชุมนุมได้อย่างสบายมือโดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไร

เราต้องการให้เมืองไทยเป็นแบบนั้นหรือ!?

ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
************************************************

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เพื่อไทยยันมีหลักฐานมัดทหารยิงผู้ชุมนุมในวัดปทุมฯ

พท. โชว์พยานบุคคลและวีดิโอแสดงเหตุคนร้ายยิงประชาชนในวัดปทุมวนาราม ซึ่งจะนำไปใช้อภิปรายรัฐบาล ยืนยันไอ้โม่งที่ก่อเหตุเป็นทหาร
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าว ‘การที่นายกรัฐมนตรีอ้างความชอบธรรมในการปราบปรามสลายการชุมนุม โดยอ้างว่ามีกลุ่มติดอาวุธหรือไอ้โม่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม ผมอยากถามว่าทำไมรัฐบาลไม่เคยจับตัวไอ้โม่งได้เลยและเอาแต่ตั้งธงว่าไอ้โม่งเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง เหมารวมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งข้อกล่าวหานั้นผมมีข้อมูลทั้งรูปถ่ายและคลิปวีดีโอยืนยันว่าไอ้โม่งเป็นทหาร โดยมีภาพไอ้โม่งถือปืนเอ็ม 16 ยืนคู่กับทหาร ซึ่งภาพเหล่านี้พร้อมจะนำไปโชว์ในสภาด้วย’

โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ตนเองยังมีภาพทหารอยู่เต็มพื้นที่ดาดฟ้าของตึกชาญอิสระพร้อมอาวุธครบมือ เป็นปืนไรเฟิล เป็นสไนเปอร์ที่มีใช้เฉพาะทหารหน่วยกองพันจู่โจม สังกัดรบพิเศษที่ขึ้นตรงกับผู้บัญชการทหารบก(ผบ.ทบ.) นอกจาก ผบ.ทบ.แล้วจะไม่มีใครสามารถเรียกใช้งานได้เพราะต้องใช้ลายเซ็น ผบ.ทบ.เท่านั้น ซึ่งเป็นภาพก่อนการเสียชีวิตของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก นอกจากนี้ยังมีภาพเหตุการณ์ที่ทหารจับกุมคนเสื้อแดงทั้งชายและหญิงมามัดมือมัดเท้าและปิดตา รวมทั้งคลิปที่ทหารจับชายคนหนึ่งมัดมือมัดเท้าและให้นอนราบลงบริเวณข้างวัดปทุมฯ รวมทั้งภาพที่ทหารจับกุมตัวพระสงฆ์ไปคุมขังในเรือนจำแดนต่างๆ

นายพร้อมพงศ์ กล่าว ‘รัฐบาลชุดนี้ยังเป็นชาวพุทธอยู่หรือไม่ รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ คุกคามละเมิดสิทธิ์ประชาชน บ้านเมืองถูกปกครองโดยรัฐบาลอภิทธิ์ชน ผมดูภาพดูคลิปแล้วต้องหลั่งน้ำตาที่คนไทยด้วยกันทำกันถึงขนาดนี้ง

โฆษกพรรค พท.กล่าวว่า ขอเรียกร้องว่าให้นายกรับมนตรีอนุญาตให้องค์กรระหว่างประเทศที่มีความเป็นอิสระเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพราะถ้ารัฐบาลตั้งหน่วยงาน คณะกรรมการอิสระ หรือองค์ใดๆเข้ามาตรวจสอบจะทำให้ประชาชนไม่มั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม

นายพร้อมพงศ์ กล่าว ‘องค์กรที่เข้ามาอาจจะไม่มีความเป็นกลางหรือเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน วันนี้ต้องยอมรับว่าคนกลางไม่มีแล้วในประเทศไทย เพราะว่าคนกลางกลายเป็นคนกลัว คนกลางกลายเป็นคนเลือกข้าง จึงน่าจะให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาตรวจสอบ รัฐบาลควรจะพิสูจน์ว่ามีความจริงใจอย่างที่พูดจริงหรือไม่’

ที่มา.Voice TV
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

นักวิชาการชี้คดียุบปชป.พิสูจน์อำนาจนอกระบบ

จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์เชื่อนายกรัฐมนตรีไม่คิดเรื่องยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพราะกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม และจะใช้อำนาจสร้างเงื่อนไขตัดทอนกำลังพรรคเพื่อไทยให้ลดลงไปเรื่อยๆ แฉข่าววงในคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ชี้หากไม่ถูกยุบจะเป็นบทพิสูจน์ว่าอำนาจนอกระบบในประเทศนี้ใหญ่จริง “อภิสิทธิ์” ระบุยุบสภาเมื่อเกิดประโยชน์ต่อบ้านเมือง ย้ำเงื่อนไขเดิมต้องสงบไม่มีการต่อต้าน แต่คงยากเพราะยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ “ชวรัตน์” จี้นายกฯแสดงท่าทีใหม่ให้ชัดเจนหลังเงื่อนไขเปลี่ยน

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่รัฐสภาถึงกำหนดการยุบสภาตามแผนปรองดองว่า จะพิจารณาว่าการยุบสภาที่เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองควรมีขึ้นเมื่อไร โดยมีเงื่อนไขสำคัญอยู่ที่ความสงบเรียบร้อย

“ความจริงตั้งใจจะเดินหน้าแผนปรองดองอย่างจริงจังตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ถึงตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะมีกลุ่มคนที่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าจะต่อสู้ในรูปแบบต่างๆอยู่ หากเรื่องแบบนี้ยังไม่หมดคงเป็นเรื่องยากสำหรับการปรองดอง”

นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า ในส่วนของผู้ชุมนุมที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจภาครัฐก็พยายามเข้าไปทำความเข้าใจเพื่อให้ได้รับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ซึ่งอยากให้เปิดใจรับข่าวสารให้ครบถ้วน ส่วนกลุ่มติดอาวุธ กลุ่มที่ใช้ความรุนแรง ยืนยันว่าไม่สามารถปรองดองด้วยได้ ต้องดำเนินการตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ผู้สื่อข่าวถามว่าแผนปรองดองข้อไหนจะทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้เร็วที่สุด นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า บางเรื่องเป็นเรื่องของโครงสร้างที่ต้องใช้เวลา แต่ต้องเริ่มต้นกระบวนการเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะดำเนินการเรื่องต่างๆ อาทิ ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม บางเรื่องก็สามารถทำได้เร็ว เช่น การตรวจสอบข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ บางเรื่องอาจทำได้ช้าเพราะต้องเป็นไปตามกรอบเวลา เช่น เรื่องการเมือง เรื่องปฏิรูปสื่อ เป็นต้น

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.พะเยา พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าไม่มีทางที่นายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาเพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ตามที่เคยประกาศไว้ก่อนหน้านี้

“ผมเชื่อว่าเรื่องยุบสภาไม่เคยอยู่ในหัวของนายกรัฐมนตรีหรือกลุ่มอำนาจที่ให้การสนับสนุนเลย เพราะชัดเจนว่าหากยุบสภาตอนนี้จะแพ้การเลือกตั้ง ดังนั้น จึงต้องอยู่เพื่อใช้อำนาจในมือตัดทอนกำลังของพรรคเพื่อไทยให้อ่อนแรงลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเชื่อว่ากลุ่มอำนาจจะทำทุกวิถีทางที่จะสกัดกั้นไม่ให้พรรคเพื่อไทยเข้ามามีอำนาจ” นายวิสุทธิ์กล่าว

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ เชื่อมั่นเช่นกันว่านายกรัฐมนตรีจะเบี้ยวสัญญาประชาคมเรื่องยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ย. นี้แน่นอน โดยโยนความผิดไปให้คนเสื้อแดงว่าไม่รับเงื่อนไข ทำให้นายกฯจะได้อยู่ในตำแหน่งนานเท่าที่ต้องการ

“รัฐบาลนายอภิสิทธิ์กำลังได้เปรียบทางการเมืองเหนือพรรคเพื่อไทยอยู่มาก โดยจะอาศัยความได้เปรียบตรงนี้อยู่ในอำนาจให้นานที่สุดเพื่อให้คนไทยลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสร้างเป็นเกราะกำบังให้ตัวเอง มีผลทำให้พรรคเพื่อไทยฝ่อไปในที่สุด ส่วนการที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกฟ้องยุบพรรคผมเชื่อว่าจะไม่ถูกยุบ เพราะทราบข่าววงในมาว่ามีตัวช่วยวิ่งเต้นกันฝุ่นตลบ ซึ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถูกยุบก็แสดงว่าระบบอุปถัมภ์ในบ้านเมืองนั้นใหญ่จริง” รศ.อัษฎางค์กล่าวและว่า หากถือเอาบรรทัดฐานก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องถูกยุบ แต่หากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าไม่ยุบจะทำให้ความน่าเชื่อถือขององค์กรต่างๆในประเทศลดลงไปอีก จึงต้องรอดูว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินเรื่องนี้อย่างไร

รศ.สุขุม นวลสกุล นักวิชาการอิสระด้านรัฐศาสตร์ มองต่างมุมว่ารัฐบาลน่าจะอยู่ได้ไม่นาน เพราะนายกรัฐมนตรียังไม่ได้ให้คำตอบที่คนเสื้อแดงต้องการอย่างชัดเจนคือยุบสภาเลือกตั้งใหม่เมื่อไร เมื่อยังไม่มีคำตอบก็ต้องมีการเคลื่อนไหวกันอีก

“การเปลี่ยนรัฐบาลมี 2 วิธีคือ วิธีในระบบกับวิธีนอกระบบ เมื่อรัฐบาลไม่เลือกเปลี่ยนตามวิธีในระบบจะมีการเคลื่อนไหวขับไล่ด้วยวิธีนอกระบบเกิดขึ้นอีก ตรงกันข้ามหากรัฐบาลเลือกเปลี่ยนแปลงตามระบบแม้อาจจะช้าหน่อยแต่หากคนเสื้อแดงไม่ยอมรับความชอบธรรมก็จะมาอยู่ที่รัฐบาล ทีนี้จะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไรก็ได้” รศ.สุขุมกล่าว

นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้เปลี่ยนแปลงไปและมีตัวแปรใหม่เกิดขึ้นมาก ดังนั้น นายกรัฐมนตรีควรแสดงความชัดเจนเรื่องกำหนดการยุบสภาและเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ทราบว่านายกรัฐมนตรีจะนัดหมายแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลหารือกันในเร็วๆนี้ ซึ่งน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นหลังจากนั้น

นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวว่า ไม่ควรเอาเรื่องยุบพรรคประชาธิปัตย์มาตอบโต้กันบนหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะเรื่องนี้อยู่ในอำนาจศาลแล้ว จึงอยู่ที่ดุลยพินิจของศาลว่าจะพิจารณาออกมาอย่างไร

“ขอเตือนบรรดานักวิชาการที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ผ่านสื่อว่ากำลังกระทำเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล และยังไม่เป็นธรรมกับ กกต. อีกด้วย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีข้อมูลหลักฐานอย่างไรก็ควรเก็บเอาไปพูดในศาล ไม่ควรออกมาพูดข้างนอกให้สับสน” นางสดศรีกล่าวและว่า หากเห็น กกต.ชุดนี้ไม่ดีหรือพิจารณาไม่ได้ดี ควรไปแก้กฎหมายให้ ส.ส. มีวาระนานถึง 10 ปี จะได้ไม่ต้องให้ กกต.ชุดนี้จัดการเลือกตั้ง อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้ามาสมานฉันท์กัน เลิกแบ่งแยก เพราะไม่อย่างนั้นการทำงานของ กกต. จะยากลำบาก เพราะถูกการเมืองจ้องเล่นงาน

**********************************************************************

นักปรัชญาชายขอบ : เมื่อเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ถูกฆ่าหน้าต่อตา

นักปรัชญาชายขอบ

ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดในโลก เราย่อมเห็นความจริงว่า เสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ และความเป็นสังคมอารยะ คือสิ่งดีงามที่สนับสนุนส่งเสริมกันและกัน

คานท์ (Immanuel Kant) กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สองโลก” โลกหนึ่งคือโลกของสัญชาตญาณ และอารมณ์ความรู้สึก เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำด้วยสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก โลกของเขาก็ไม่ต่างจากโลกของสัตว์โดยทั่วไป อีกโลกหนึ่งคือโลกของเหตุผล เมื่อมนุษย์ถูกกำกับชี้นำโดยเหตุผล เขาจะมีเสรีภาพจากสัญชาตญาณและอารมณ์ความรู้สึก และด้วยการมีเสรีภาพดังกล่าวจึงทำให้เขาตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆอย่างมีศีลธรรม

ในทัศนะของรุสโซ (Jean-Jaques Rousseau) มนุษย์เกิดมามีเสรี หากเอาเสรีภาพของไปจากมนุษย์ เขาก็จะไม่สามารถที่จะมีการกระทำที่มีศีลธรรม และไม่เหลือความเป็นมนุษย์อยู่เลย นิทเช (Friedrich Wilhelm Nietzsche) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงการมีอำนาจในการกำหนดตัวเอง วาทะที่ว่า “พระเจ้าตายแล้ว” หมายความว่า ไม่มีอำนาจอื่นใดที่จะมากำหนดชะตากรรมของมนุษย์ได้นอกเหนือจากอำนาจของมนุษย์เอง ซาตร์ (Jean-Paul Sartre) ก็เห็นว่า เสรีภาพคือ “แก่นสาร” (essence) ของความเป็นมนุษย์ ชีวิตที่มีค่าคือชีวิตที่มีความกล้าหาญในการใช้เสรีภาพที่จะเลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเห็นว่าถูกต้องและพึงพอใจ

ขณะที่มิลล์ (John Stuart Mill) อธิบายว่า เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็น คือพื้นฐานในการแสวงหาความจริง เพราะถ้าไม่มีเสรีภาพดังกล่าวสังคมจะได้รับฟังแต่ “เสียงข้างเดียว” เมื่อมีแต่เสียงข้างเดียวก็ตัดสินถูก-ผิด จริง-เท็จ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเปรียบเทียบกับข้อเท็จจริง เหตุผล ฯลฯ จาก “เสียงที่แตกต่าง” ได้

ส่วนมาร์กซ์ (Karl Marx) เห็นว่า เสรีภาพหมายถึงเสรีภาพของสังคมที่สามารถปลดแอกตัวเองจากระบบกดขี่ต่างๆ เช่น ระบบชนชั้น ระบบการผลิตแบบนายทุน ทำให้สังคมมีอำนาจในการกำหนดตนเองให้เป็นสังคมที่มีความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ และอื่นๆ

พุทธศาสนาเองก็มองว่า เสรีภาพมีสองด้านคือ ด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายใน หรือเป็นอิสระจากความโลภ ความเห็นแก่ตัว ความเกลียดชัง และความโง่เขลา อีกด้านหนึ่งคือความเป็นอิสระจากพันธนาการภายนอก เช่น ความยากจน ความเจ็บป่วย การถูกกดขี่เอาเปรียบในด้านต่างๆ

ฉะนั้น ไม่ว่าจะมองจากภูมิปัญญาใดๆก็ตาม เสรีภาพคือแก่นสารสำคัญสูงสุดที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่แท้ ทำให้สังคมเป็นสังคมอารยะ เป็นสังคมที่อยู่กันด้วยสัจจะ ศีลธรรม ความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ และอื่นๆ

แต่ถึงแม้มนุษย์จะประกาศ “คุณค่า” ของเสรีภาพดังกล่าวนั้นมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว สังคมไทยในยุคต้นศตวรรษที่ 21 ปี 2010 ยังอยู่ใน “ยุคโศกนาฏกรรมการเข่นฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์”

สังคมนี้ทนอยู่ได้อย่างไร กับการอยู่ในอำนาจต่อไปของ “รัฐบาล 86 ศพ” (ข้อมูลจากศูนย์เอราวัณ) เชื่อถือได้อย่างไรว่ารัฐบาลเช่นนี้จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดอง ไม่ใช่ว่าประเทศนี้ไม่ต้องการความปรองดอง แต่เราจะเชื่อถือ “รัฐบาล 86 ศพ” ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งที่เขาพูดกับสิ่งที่เขาทำมันตรงกันข้ามกันตลอดมา

เขาปรองดองด้วยการ “ฆ่าเสรีภาพ” ใช้ พรก.ฉุกเฉินปิดสื่อที่เสนอความเห็นต่าง โดยอ้างว่าสื่อเหล่านั้นบิดเบือนข้อเท็จจริง และปลุกเร้าความรุนแรง แต่ไม่ปิดสื่อฝ่ายที่สนับสนุนตนเองที่บิดเบือนข้อเท็จจริงและปลุกเร้าความรุนแรงมานานยิ่งกว่า แถมยังยึด “สื่อของรัฐ” (ไม่ใช่ของรัฐบาล) เป็น “กระบอกเสียง” บิดเบือนข้อเท็จจริงและใส่ร้ายฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา

ฟรีทีวีหรือสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ก็กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาล (หลังคนเสื้อแดงกลับบ้าน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นแต่ข่าวการพื้นฟูเยียวยาชาวกรุงเทพฯ และการจะเดินหน้าแผนปรองดอง แต่ไม่มีข่าวการเยียวยา การให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียชีวิต ญาติมิตร และชะตากรรมของคนเสื้อแดง เสมือนว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่คนใน “รัฐเดียวกัน”)

นี่คือปรากฏการณ์ของการฆ่าเสรีภาพทางการพูดและการแสดงความคิดเห็น และมันทำให้ “ความจริงตายแล้ว” ตั้งนานก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองi

ไม่ต้องพูดถึงเสรีภาพที่จะมีอำนาจกำหนดชะตากรรมตัวเองของประชาชนที่ถูกทำลายไปแล้วตั้งแต่รัฐประหาร 2549 เมื่อคนเสื้อแดงกลับมาทวงคืน ผลก็คือความตายของ 86 ชีวิต และบาดเจ็บอีกเกือบสองพันคน การเผาเมือง และความแตกแยกร้าวลึกยิ่งกว่าเดิม!

คนกรุงเทพฯ ประทับใจกับ “ภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้ง” แบบดัดจริต เช่น “บ้านของพ่อ” (ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา แผ่นดินนี้เป็นของเราทุกคน) “ไล่พ่อออกจากบ้าน” “โจรเผาบ้าน” “ขบวนการก่อการร้าย” “ขบวนการล้มเจ้า” แต่ “เอ๋อเหรอ” กับภาษา/วัฒนธรรมซาบซึ้งที่สะท้อนข้อเท็จจริง เช่น “สู้เพื่อเสรีภาพ” “สู้เพื่อประชาธิปไตย” “สู้เพื่อขจัดความเหลื่อมล้ำ” “ไพร่ล้มอำมาตย์”

ไม่อนาทรร้อนใจกับการปิดสื่อ (ที่ไม่ใช่สื่อตัวแทนความเห็นของฝ่ายตน) กับการจับนักวิชาการที่สู้เพื่อเสรีภาพไปคุมขังในค่ายทหารโดยไม่ตั้งข้อหา ไม่ให้รับรู้ข่าวสาร ไม่ให้อ่านหนังสือ ฯลฯ

ตอนนี้ “วีรบุรุษประชาธิปไตยขวัญใจคนชั้นกลางในเมืองฯ” (สนธิ ลิ้มทองกุล) กำลังเรียกร้องให้ “ถวายคืนพระราชอำนาจ” และขอใช้เวลาอีก 3 ปี ในการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปตำรวจ นี่คือข้อเสนอเพื่อ “ฆ่าซ้ำ” เสรีภาพหรืออำนาจในการกำหนดชะตากรรมตนเองของประชาชน!

คนต่างจังหวัด คนชนบทซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ เขาพบว่าเขามีเสรีภาพและอำนาจกำหนดชะตากรรมของตนเองเมื่อเขาลงคะแนนเลือกรัฐบาลพรรคไทยรักไทยที่มีนโยบายทำประโยชน์ให้พวกเขา

ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยมีอำนาจในการกำหนดตัวเองที่ชัดเจน (แม้แต่อำนาจกำหนดตัวเองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายการแจก สปก.4-01) แต่คนชั้นกลางในเมืองก็เรียกร้องรัฐประหารล้มรัฐบาลของพวกเขาด้วยข้ออ้างเรื่องคอร์รัปชัน ไม่จงรักภักดี เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีการรัฐประหาร เขาจึงมาทวงอำนาจของเขาคืน แต่เขาต้องตาย ต้องบาดเจ็บ นี่คือความจริง เป็นความจริงของ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของคนต่างจังหวัดและคนชนบท”

แต่ยิ่งฆ่า! เสรีภาพและความเป็นมนุษย์ของพวกเขาจะยิ่งงอกงามและแข็งแกร่ง ขณะที่เสรีภาพ (จากสัญชาตญาณอย่างสัตว์) และความเป็นมนุษย์ของ “ผู้ฆ่า” และ “กองเชียร์ให้ฆ่า” นับวันจะเสื่อมทรุดและสูญสลาย!

ปล. สื่อ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน เอ็นจีโอ และนักวิชาการ “ผู้มีอำนาจตัดสิน” ทั้งหลายครับ! ทำไมพวกท่านเฉยเมยต่อ “การฆ่าเสรีภาพและความเป็นมนุษย์” หน้าที่ของพวกท่านคือการปกป้อง “อะไร...” กันครับ?

ที่มา.ประชาไท
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ความจริง..คำพิพากษา..และไอ้ฟัก


The dark nights have perhaps in some ways cost mankind less grief than the false dawns, the Prison Houses in which hope persists less grief than the Promised Land where hope expires.
(Louis Kronenberger)

สองวันที่ผ่านมา ผมหยิบหนังสือนวนิยายเรื่อง “คำพิพากษา” ของ ชาติ กอบจิตติ มาอ่านอีกรอบหนึ่ง

สำหรับผู้ที่ไม่เคยอ่าน “คำพิพากษา” เป็นเรื่องราวของ “ฟัก” ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งซึ่งถูกผู้คนในหมู่บ้านตีตราว่าเอาเมียพ่อมาเป็นเมียตัวเอง ซึ่งเมียพ่อหรือ“ม่ายสมทรง” นั้นเป็นหญิงสาวที่ดูเหมือนว่าจะสติ ไม่สมประกอบ ไม่อยู่ในกรอบจารีตของสังคมปกติ ฟักต้องอยู่กับความทรมานจากการถูกตีตราดังกล่าว โดยเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งความจริงต้องประจักษ์ขึ้นและชาวบ้านคงเข้าใจตน แต่ดูเหมือนชาวบ้านในหมู่บ้านจะไม่เข้าใจและไม่เคยคิดจะเข้าใจ ไม่เคยแม่แต่จะถามด้วยว่าอะไรคือความจริง ฟักหนีออกจากความทุกข์ใจด้วยการหันไปหาเหล้าเป็นที่พึ่ง ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงกว่าเดิม ฟักกลายเป็นคนขี้เหล้าที่ไม่มีใครยอมรับเชื่อถือ และนำไปสู่การถูกหักหลังโดยครูใหญ่ของโรงเรียนที่ฟักเคยเป็นภารโรงอยู่ด้วยการโกงเงินค่าแรงที่ฝากเคยไว้ เรื่องราวจบลงด้วยความตายของฟัก พร้อมๆ กับ “ความจริง” ที่สูญหายไปจากการรับรู้ของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งนั่นคือบทสรุปเรื่องราวที่ชาติ กอบจิตติ เรียกว่า “โศกนาฏกรรมสามัญ ที่มนุษย์กระทำและถูกกระทำอย่างเยือกเย็นในภาวะปกติ”

นวนิยายเรื่องนี้ได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2525 (ซึ่งนั่นไม่ใช่ประเด็นเท่าไหร่นัก) และถ้าผมจำไม่ผิด ได้มีการนำนวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นละครโทรทัศน์รวมทั้งภาพยนตร์หลายครั้งหลายเวอร์ชั่น..

ผมวางหนังสือลงเมื่ออ่านจบ..ความหดหู่เศร้าหมองได้เข้ามาแทรกซึมในหัวใจเมื่อได้หวนกลับมาคิดถึงปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นในสังคมไทยขณะนี้ และผมพบว่ามีสองสามประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมการเมืองไทยปัจจุบัน..

ความจริงที่ถูกประกอบสร้างขึ้นจากสังคม

ความจริงบางอย่าง...ถูกประกอบสร้างขึ้นโดยการให้ความหมายจากผู้คนในสังคม.. และโดยที่เราอาจรู้ตัวและไม่รู้ตัว..เราก็ได้เป็นส่วนหนึ่งในการพิพากษาผู้อื่น..ทั้งๆ ที่ “ความจริง” อาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดว่ามันเป็น..และนี่คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวโหดร้ายที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้..

ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมของ นปช. รัฐบาลได้สร้างภาพความจริงขึ้นมาชุดหนึ่งผ่านสื่อมวลชนกระแสหลักมาโดยตลอดว่า การชุมนุมของ นปช. นั้นมีผู้ก่อการร้ายแฝงตัว มีกองกำลังติดอาวุธไม่ทราบฝ่าย มีการสะสมอาวุธร้ายแรงจำนวนมาก ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่เป็นชาวต่างจังหวัดซึ่งถูกหลอก ถูกจ้างมา หรือถูกล้างสมองโดยแกนนำ นปช. ซึ่งมีผู้บงการใหญ่คือ ทักษิณ ชินวัตร และที่สำคัญคือเป็นการเคลื่อนไหวของ “เครือข่ายล้มเจ้า” ที่เป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของรัฐไทย

ผมคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า..มีความรุนแรงส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากฝั่งของผู้ชุมนุม นปช. ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างยิ่งสำหรับการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่ได้เคลื่อนออกไปวิถีแห่งสันติวิธี..

และด้วยภาพความจริงชุดดังกล่าวนี้เอง ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของ “ชนชั้นกลวง” ในเมืองหลวงจำนวนหนึ่งที่กดดันให้รัฐบาลรีบตัดสินใจจัดการใช้กำลังทหารและอาวุธเพื่อสลายการชุมนุม ได้นำไปสู่ปฏิบัติการ “ขอคืนพื้นที่” ที่เวทีชุมนุมผ่านฟ้า และการดำเนินการ “กระชับวงล้อม” ภายใต้ “ปฏิบัติการราชประสงค์” ที่สร้างความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง ทั้งจากการบาดเจ็บล้มตายของประชาชนและการเผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามมาจากการปฏิบัติการดังกล่าว

รัฐบาลและ สอฉ. ได้พยายามที่จะสร้างและควบคุม “ความจริง” ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้อำนาจรัฐผ่านสื่อมวลชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะด้วยการแถลงการณ์ของ สอฉ. ที่เกิดขึ้นอย่างถี่ยิบ การควบคุมเนื้อหาสาระของข่าวสารที่จะถูกนำเสนอ ตลอดจนการการปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์หรือสื่ออื่นๆ ที่พยายามจะแสดงให้เห็น “ความจริง” ในอีกด้านหนึ่ง

และเมื่อ “ความจริง” ที่รัฐบาลได้ประกอบสร้างขึ้น ได้กลายไปเป็น “ความจริง” ของสังคม จึงนำไปสู่การร่วมกันพิพากษาของบรรดาชนชั้นกลางส่วนใหญ่ว่า “การตาย” ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ชอบธรรมแล้ว ซึ่งสำหรับผมแล้ว..นั่นเป็นสิ่งที่เลวร้ายและน่าเศร้าใจอย่างมากที่สุด

...ไม่มีใครในหมู่บ้านได้รู้หรือเห็นว่าไอ้ฟักได้เอาแม่เลี้ยงเป็นเมียจริงหรือไม่ แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็พร้อมที่จะปักใจเชื่ออย่างนั้น..

ความเชื่อ..ที่อยู่เหนือเหตุผล

การคิดเห็นที่แตกต่างเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติในสังคมประชาธิปไตย..เหมือนคนหนึ่งอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง อ่านเรื่อเดียวกันแต่อาจคิดไปได้หลายแบบ..บางคนมองว่าดีมาก..บางคนว่าไม่สนุก..ทัศนะวิจารณ์และ การถกเถียงจึงเป็นเรื่องที่ปกติและสังคมสมควรยอมรับให้ได้

แต่สิ่งที่ไม่ปกติ..มันคือสภาวะของการทนกันไม่ได้และยอมรับให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา..

เรามักเลือกฟังและเชื่อแต่คนที่เราคิดว่าเป็นคนดี..มีความรู้..มีเกียรติน่านับถือ..(อย่างหลวงพ่อหรือครูใหญ่)..และมักจะไม่เชื่อคนที่เรามองว่าการศึกษาต่ำ..คนที่ไม่มีเกียรติ..คนที่ยากจน..(อย่างไอ้ฟักหรือสัปเหร่อไข่) เพราะเรามีความหยิ่งทะนงในตัวว่าคนชั้นต่ำพวกนี้จะมารู้ดีกว่าเราได้อย่างไร

..บางครั้งความเชื่อก็อยู่เหนือเหตุผล..และนั่นคือความ absurd ของโลกใบนี้..

การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ได้ถูกมองว่าเป็นการชุมนุมของผู้คนที่มาจากต่างจังหวัด เป็นพวกชนชั้นล่างเป็นพวกที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา จึงถูกตีตราไว้ก่อนแล้วจาก “ชนชั้นกลวง” ในเมืองว่าคนพวกนี้จะไปรู้เรื่อง “ประชาธิปไตย” ได้ดีกว่าพวกเราชาวศิวิไลซ์ได้อย่างไร

กลุ่มคนเสื้อแดง จึงเป็นเพียงชาวบ้านที่ถูกหลอกมา ถูกจ้างมา ไม่ได้มาเพราะอุดมการณ์ทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น คนเหล่านี้มาเพราะรักทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้ายที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งทั้งหมดที่เกิดขึ้น หรือร้ายไปกว่านั้น คือการมองด้วยสายตาดูถูก เหยียดหยาม ว่าคนพวกนี้เป็นไพร่สถุล เป็นควายแดง พวกก่อความวุ่นวาย รึเป็นอะไรอื่นๆ ที่ไม่ได้มีคุณค่าความเป็นมนุษย์เท่ากับพวกตน

ข้อเสนอและข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของ นปช. จึงถูกทำให้พร่าเลือนไป ทั้งที่การชุมนุมของ นปช. นั้นมีหลายประเด็นที่คนในสังคมสมควรจะต้องใส่ใจ เช่น ประเด็นเรื่องการต่อต้านรัฐประการ เรื่องความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลประชาธิปัตย์ เรื่องการใช้อำนาจรัฐแบบสองมาตรฐาน เรื่องปัญหาความยากจน การกระจายรายได้ การถูกเอารัดเปรียบ การเรียกร้องความเป็นธรรมและความเท่าเทียมทางสังคม ฯลฯ

บรรดา “ชนชั้นกลวง” ทั้งหลาย ได้ให้ความใส่ใจและทำความเข้าใจกับข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด ก่อนที่จะตัดสินว่าไม่สมควรยุบสภา ก่อนที่จะตัดสินว่าสมควรอย่างยิ่งแล้วที่จะต้องรีบยุติการชุมนุมเพื่อคืนความสงบสุขให้กับวิถีชีวิตของตนโดยเร็ว และส่งเสียงสนับสนุนให้รัฐบาลใช้กำลังทหารและอาวุธจริงในการเข้าปราบปรามและสลายการชุมนุม..

และไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะชอบหรือรังเกียจ สังคมไม่ควรพิพากษาหรือผลักให้ใครก็ตามให้ตกไปในอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุด..เพราะในจุดที่ต่ำที่สุดนั้นอาจส่งผลสะท้อนที่รุนแรงเกินกว่าจะคาดการณ์ได้..

..เหมือนอย่างที่ไอ้ฟักต้องทุกข์ทรมาน กลายเป็นคนติดเหล้า..และสะท้อนความคับแค้นใจที่ได้รับ...ด้วยการเอากระดูกของพ่อใส่ลังกระดาษไปร่วมทำบุญกระดูก..

และเมื่อถึงตอนนั้น คำว่า “เสียใจ” อาจไม่สามมารถชดเชยความพินาศและสูญเสียที่เกิดขึ้น

“ความจริง” จะต้องไม่ถูกปล่อยให้หายสาบสูญ..

ในห้วงเวลานี้ที่สังคมไทยกำลังเรียกร้องความปรองดอง สมานฉันท์ สามัคคี หรือภายใต้สโลแกนอะไรก็ตาม

ผมคิดว่าสิ่งที่สังคมไทยต้องพึงตระหนักให้มากในขณะนี้ คือ ความตายของผู้คนนั้นเกิดขึ้นจริง มีผู้คนมากมายจำนวนต้องสูญเสียญาติพี่น้องไปจริงๆ ซึ่งเราไม่สมควรจะปล่อยให้มันผ่านเลยไปโดยปราศจากการตรวจสอบให้ “ความจริง” นั้นปรากฏ

..การตายของผู้บริสุทธิ์ จะต้องมีผู้รับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น..

การเยียวยาและฟื้นฟูสังคมเพื่อประสานความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสังคมไทยครั้งนี้ จึงต้องไม่ใช่แค่เพียงการร่วมกวาดถนนหรือร่วมทำบุญประเทศ แล้วพร่ำบอกว่าเรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันแล้วไป..ลืมมันไปซะเถอะ..แล้วจบเรื่องกันไปโดยไม่ต้องใส่ใจอะไร..

เรามีบทเรียนกับเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเกินไปแล้ว..และเราไม่ต้องการให้เกิดการสูญเสียขึ้นอีกในอนาคต..

การนำภาพคลิปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ทั้งจากฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลและฝ่ายที่สนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง เพื่อที่จะนำมายืนยัน “ความจริง” ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น คลิปต่างๆ ย่อมผ่านกระบวนการ “เลือก” ว่าสิ่งนั้นที่นำเสนอนั้นจะเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายของตน นั่นจึงเป็นเพียงแค่ส่วนเสี้ยวเดียวของ “ความจริง” ที่เกิดขึ้น และไม่สามารถอธิบายถึงสาเหตุที่มาและภาพรวมของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้..

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในกระบวนการตรวจสอบ จึงได้แก่ การดำเนินการอย่างเป็นกลางและต้องเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้เข้าร่วมในกระบวนการด้วยอย่างกว้างขวาง โดยจะต้องเปิดพื้นที่ให้เสียงและคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นผู้ชุมนุม ชาวบ้านที่อยู่อาศัยในบริเวณนั้น ทหาร ตำรวจ อาสาสมัคร สื่อมวลชน ได้ถูกนำมาประกอบการพิจารณาและนำเสนอให้รับรู้ได้อย่างเท่าเทียมด้วย..

การทำความจริงให้ปรากฏ ทั้งเรื่องของสาเหตุการสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชน ทั้งเรื่องการเผาทำลายอาคารสถานที่ต่างๆ จึงต้องไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอข่าวสารข้อมูลจากฝั่งรัฐบาลเท่านั้น และในแง่นี้ หากการตรวจสอบเป็นไปโดยรัฐบาลฝ่ายเดียวหรือแม้กระทั่งโดยคณะกรรมการใดๆ ก็ตามที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะคู่ขัดแย้งหลักจึงไม่อาจยอมรับได้อย่างแน่นอน...

อย่าลืม..ว่าตอนจบไม่มีชาวบ้านคนใดได้รู้ “ความจริง” ว่า “ครูใหญ่” ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนในหมู่บ้านนั้น แท้ที่จริงเป็นคนเลวที่โกงเงินของไอ้ฟัก

”ความจริง” นั้นได้หายสาบสูญไปจากโลกพร้อมกับความตายของไอ้ฟักแล้ว..

..ซึ่งเราต้องไม่ยินยอมให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย..

ที่มา.ประชาไท
.........................................