ต้องเชื่ออย่างหนึ่งว่า.. “อเมริกา” คือ “พี่เบิ้ม” ในโลกนี้..เพราะความยิ่งใหญ่ในทุกด้าน..ที่สำคัญเป็น ประเทศ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง!!ที่โลกทั้งใบจะเถียงเรื่องนี้ไม่ได้!!ในความ “เกลียดชัง”ของคนอเมริกา..เอากันตั้งแต่ ประธานาธิบดี จนถึง อเมริกันชน คนกวาดถนนคือ...คือ ขบวนการก่อการร้าย!!เพราะเขาเจ็บ
ปวดกับ “ผู้ก่อการร้าย”มามากพอ ช้ำชอกหัวใจกับ “การกระทำ” ของการก่อการร้าย ในประเทศของเขา สุดแสนสาหัสมาแล้วกำลังจะเขียนบอกว่า “อเมริกา” เกลียด “ผู้ก่อการร้าย” เข้ากระดูกดำ!!เคิร์ท แคมเบลล์.. คงไม่เป็นญาติกับนักร้องคันทรี่ ที่ชื่อ เกลน แคมเบลล์..และไม่น่าจะนับญาติกับ ไมเคิล แคมเบลล์ นักกอล์ฟมือต้นๆ ของโลก“เคิร์ท แคมเบลล์” เป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ครับเป็นผู้ช่วยของนางฮิลลารี่ คลินตัน รมว.ต่างประเทศ ของ สหรัฐ
อเมริกานั่นเองแทนที่ “ผู้ยิ่งใหญ่” ที่เป็นตัวแทนของ อเมริกา จะเข้าหารือกับฝ่าย รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ?? แต่กลับไขว้ไปเจี๊ยะเต้คุยกับ “จาตุรน ฉายแสง” และ “นพดล ปัทมะ” เรื่องปัญหาวิกฤติกับของการเมืองไทย “เคิร์ท” ไม่สนว่าที่จะนั่งคุยกับฝ่ายที่รู้กันอยู่ว่าเป็น ฝ่าย “คนเสื้อแดง” ..ตรงนี้สิสำคัญมันมี “นัยยะ” และ “ความหมาย” ว่าอย่างไร..แท้จริงมันคือเป็นการ “การันตี” ว่า การชุมนุม “คนเสื้อแดง” ไม่มี “ผู้ก่อการร้าย” อย่างที่ถูกรัฐบาลไทยกล่าวหาอยู่
ตลอดเวลานี่คือมุมมองของ “อเมริกา” ประเทศที่มี “การข่าว” และ “การทำสงคราม” แหลมคมระดับ “พญาอินทรี” ที่สำคัญคือเกลียดผู้ก่อการร้าย สุดขั้วหัวใจทำเอา “ผู้ก่อการดี” หยั่ง กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ก็ต้องดิ้นพราดๆ เป็น ปลาช่อนถูกทุบหัว หยั่งที่เห็นนี่แหละครับโดนอเมริกา “ตบหน้า” ครั้งนี้ มันชาตึบตั้งแต่บนสุดของกะโหลกหัวยันปลายตีนทีเดียวแหละ!!
โดย.ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
...................................................................
วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
หัวเลี้ยวหัวต่อ
8 ชั่วโมงกับการนั่งอ่านกระทู้ตาม “เว็บบอร์ดการเมือง” ภายหลังแกนนำ นปช. มีมติ “รับข้อเสนอ” แผนปรองดองของนายกรัฐมนตรี“คนเสื้อแดง” กำลังสับสนเพราะมติ “แกนนำ” ที่ว่าจะมีการสลายการชุมนุม...ซึ่งแกนนำลืมไปแล้วหรือว่าได้เคย “สัญญา” อะไรไว้ต่อกัน“ถ้าไม่ยุบสภา (ให้เห็นผล)...เราจะไม่กลับ”“ชีวิตของวีรชนที่จากไป...พวกเขาอยากได้อะไรกลับคืนมา?”ถ้อยคำหลากหลายทำให้ผมรู้ว่า “แนวร่วมเสื้อแดง” กำลังสับสนจนหวั่นไหวยิ่งนักเพราะไม่รู้จะ “บุก” หรือ “ปรองดอง” เพื่อแถลงไขให้กระจ่าง “ผ่าทางตัน”“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เคยพูดเปรียบระหว่างแกนนำกับคนเสื้อแดงว่า...พวกเราเป็นเหมือน “ลิ้นกับฟัน” เป็น
เหมือน “ผัวกับเมีย”ทะเลาะกันบ้าง...กระทบกระทั่งกันบ้าง...ขัดเคืองใจกันบ้าง...แต่ก็ต้องต่อสู้ร่วมกันหากไม่มีแกนนำ เสื้อแดงก็จะไม่มี...หากเสื้อแดงไม่มี ก็ไม่มีแกนนำเช่นเดียวกันยอมรับเถิดว่า...ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่พวกคุณร่วมต่อสู้กันมา...ทุกคนคือ “คนใน” ครอบครัวเดียวกันไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย...โดยเฉพาะการ “ขุดรากถอนโคน” ระบอบเผด็จการที่ฝังรากแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาไปทั่วประเทศที่ผ่านมา...มันเหนื่อยยาก “แสนเข็ญ” เพียงใด กว่าจะได้เห็นผู้คิดร้ายทำ
ร้ายชาติ “ตัวเป็นๆ” ที่หลบอยู่ในมุมมืด...โดยใช้เพียง “ปาก” ออกคำสั่งคนเหล่านี้ทำตัวเป็น “กาฝาก” เกาะกินประชาธิปไตยถ่ายทอด “สืบเผ่าพันธุ์” มานานตั้งแต่พุทธศักราช 2475 และวันนี้เราก็ได้เห็นโฉมหน้าของเผด็จการ “เจเนอเรชั่น” ล่าสุด...และกระบวนการ “ชั่วร้าย” แต่ “ทำเนียน” ในการมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามผมคิดว่าไม่ผิดอะไรเลยที่ “คนเสื้อแดง” บางส่วนจะรู้สึก “ผิดหวัง” กับการตัดสินใจของแกนนำเพราะร่างกายย่อมรู้สึก “เหนื่อยล้า” เมื่อต้องทุ่มเท
ออกมาเต็มกำลังโดยเฉพาะการถือธง ถือไม้ วิ่งใส่คนถือปืน วิ่งใส่รถหุ้มเกราะ ก็เคยทำกันมาแล้วการเดินหน้าต่อไปครั้งนี้จะเป็น “บทพิสูจน์” ที่ยากขึ้นไปสำหรับคนเสื้อแดง...เพราะมันเป็นการพิสูจน์ในเรื่อง “หัวจิตหัวใจ” ว่าต้องไม่หวั่นไหว...ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวหลายครั้ง “แกนนำ” ทำท่าพลาดพลั้ง...แต่ก็ซ่อน “หมากกล” ไว้สองสามชั้นทุกที...ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน!
โดย. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เหมือน “ผัวกับเมีย”ทะเลาะกันบ้าง...กระทบกระทั่งกันบ้าง...ขัดเคืองใจกันบ้าง...แต่ก็ต้องต่อสู้ร่วมกันหากไม่มีแกนนำ เสื้อแดงก็จะไม่มี...หากเสื้อแดงไม่มี ก็ไม่มีแกนนำเช่นเดียวกันยอมรับเถิดว่า...ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่พวกคุณร่วมต่อสู้กันมา...ทุกคนคือ “คนใน” ครอบครัวเดียวกันไม่มีอะไรได้มาโดยง่าย...โดยเฉพาะการ “ขุดรากถอนโคน” ระบอบเผด็จการที่ฝังรากแผ่ขยายกิ่งก้านสาขาไปทั่วประเทศที่ผ่านมา...มันเหนื่อยยาก “แสนเข็ญ” เพียงใด กว่าจะได้เห็นผู้คิดร้ายทำ
ร้ายชาติ “ตัวเป็นๆ” ที่หลบอยู่ในมุมมืด...โดยใช้เพียง “ปาก” ออกคำสั่งคนเหล่านี้ทำตัวเป็น “กาฝาก” เกาะกินประชาธิปไตยถ่ายทอด “สืบเผ่าพันธุ์” มานานตั้งแต่พุทธศักราช 2475 และวันนี้เราก็ได้เห็นโฉมหน้าของเผด็จการ “เจเนอเรชั่น” ล่าสุด...และกระบวนการ “ชั่วร้าย” แต่ “ทำเนียน” ในการมุ่งทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามผมคิดว่าไม่ผิดอะไรเลยที่ “คนเสื้อแดง” บางส่วนจะรู้สึก “ผิดหวัง” กับการตัดสินใจของแกนนำเพราะร่างกายย่อมรู้สึก “เหนื่อยล้า” เมื่อต้องทุ่มเท
ออกมาเต็มกำลังโดยเฉพาะการถือธง ถือไม้ วิ่งใส่คนถือปืน วิ่งใส่รถหุ้มเกราะ ก็เคยทำกันมาแล้วการเดินหน้าต่อไปครั้งนี้จะเป็น “บทพิสูจน์” ที่ยากขึ้นไปสำหรับคนเสื้อแดง...เพราะมันเป็นการพิสูจน์ในเรื่อง “หัวจิตหัวใจ” ว่าต้องไม่หวั่นไหว...ประสานกันเป็นหนึ่งเดียวหลายครั้ง “แกนนำ” ทำท่าพลาดพลั้ง...แต่ก็ซ่อน “หมากกล” ไว้สองสามชั้นทุกที...ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน!
โดย. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
ที่มา.บางกอกทูเดย์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!!
๐ เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้เมื่อไร เมืองไทยก็จะสงบเมื่อนั้น?? หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอกทูเดย์ ยืนหยัดกับความจริง ไม่อิงกระแส ในมือท่านฉบับนี้ ประจำวันพุธที่ 12 พฤษภาคม 2553.... “กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP.....
๐ ถึงวันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดวงตาเริ่มเห็นธรรม!! อันอำนาจที่ได้มาโดยวิธีที่ผ่านมา มันไม่จีรังยั่งยืน?? นิยายบู๊ชีวิต-เลือดท่วมจอ-น้ำตานองใบหน้า มีอนุสติสอนใจอยู่บทเดียวสำหรับ นายกฯ ฟันน้ำนม....เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!!......
๐ มาร์คจอมดื้อดึง จะเป็น “โคถึก” หรือ “ขุนพล” ต้องถามมหาอำมาตย์ที่เป็นคนเขียนสคริปต์ นิยายชีวิตน้ำเน่าเรื่องนี้กันเอาเอง?......
๐ “กุหลาบพิษ” ยินดีด้วย สำหรับการประชุม ครม.ในทำเนียบรัฐบาล แทน ราบ 11 รอ. อย่างน้อยก็จะพูดได้เต็มคำว่า...อันตัวกระผมนั้น มิได้เป็นผีไม่มีศาล!! (ตามที่คนไทยค่อนประเทศคิด).....
๐ เอาเถิด!! ผิดถูกชั่วดีอย่างไร จะมีอะไร “ซ่อนเงื่อน” สำหรับการ “แผนการปรองดองแห่งชาติ” ของ มาร์คอภิสิทธิ์ แต่ก็ต้องถือว่า เขาได้พยายามรู้จัก “ความถูกต้อง” และ แสวงหามันมาทันในนาทีเกือบจะสุดท้าย......๐ สำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป คงไม่ต้องหารือ “ผู้ใหญ่แห่ง ศ.อ.ฉ.” อย่างไก่อู “สรรเสริญ แก้วกำเนิด”!! เพราะถึงนาทีนี้ ยี่เกคณะ “ศิษย์โหยหวล” กำลัง “เก็บฉาก” ร่ำลาแม่ยก!!.....
๐ แม้คำพูดต่อไปนี้อาจจะมีบางวรรค ต้องแปลไทยเป็นไทยบ้าง แต่ต้องเห็นใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่พูดอย่างคนเหลืออายุราชการแค่ 4 เดือนเศษพึงพูด?? การเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. เคยพูดไปชัดเจน!!......
๐ ชัดเจนประมาณว่า ศอฉ.มีความจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้จนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย เช่นการอำนวยความสะดวกของกลุ่มผู้ชุมนุม หรือ การเข้าเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย!! แปลว่า...งานนี้เป็นเรื่องของ “ฝ่ายการเมือง”?? (ทหารไม่เกี่ยว)....
๐ เข้าล็อค? การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง!!....“กุหลาบพิษ” หลับตานึกภาพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ออก!! ทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.คนนี้คิด เหมือนป้ายติดใน “เขตก่อสร้าง” คือคำว่า “SAFETY FIRST” ปลอดภัยไว้ก่อนพ่อสอนไว้??......
๐ อนิจจา!! ไปๆ มาๆ ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็คิดตรงกัน (อย่างปรองดอง?) การบาดเจ็บลัมตายมากมายในเหตุการณ์ “10 เมษายน 53” เป็นความผิดของ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” !! น่าเศร้ากว่านั้น...คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ทำได้แค่ร้อง แบ๊ะๆๆๆ ไม่ใช่แพะ แต่เป็นอะไรชนิดหนึ่งซึ่งน่าเวทนากว่า “ไอ้เคราแพะ”!!.....
๐ “กุหลาบพิษย์” ขอออกนอกวงการเมืองเรื่องวุ่นสักสองสามนาที?? สะดุ้ง 8 ตลบ เมื่อพบข่าว กทม.เริ่มดีเดย์ รณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก เริ่มโครงการใน 15 พฤษภาคม ที่ สวนจตุจักร มีผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธาน......
๐ ที่สะดุ้ง เหมือนคนขวัญอ่อน เพราะความเร่งรีบจนดันไปอ่านว่า...“กทม. เริ่มดีเดย์ รณรงค์ลดการใช้ถุงยางอนามัย” ขืนเป็นอย่างนั้น?? เลิกใช้ “คอนดอม” กันเมื่อไร ก็บัลลัยกันเมื่อนั้นประชาชนชาว”เอดส์” จะฟูเฟื่องรุ่งเรืองเต็มเมืองขึ้นมาอีกครั้ง??.....๐
โดย. บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มาบางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
๐ ถึงวันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดวงตาเริ่มเห็นธรรม!! อันอำนาจที่ได้มาโดยวิธีที่ผ่านมา มันไม่จีรังยั่งยืน?? นิยายบู๊ชีวิต-เลือดท่วมจอ-น้ำตานองใบหน้า มีอนุสติสอนใจอยู่บทเดียวสำหรับ นายกฯ ฟันน้ำนม....เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล!!......
๐ มาร์คจอมดื้อดึง จะเป็น “โคถึก” หรือ “ขุนพล” ต้องถามมหาอำมาตย์ที่เป็นคนเขียนสคริปต์ นิยายชีวิตน้ำเน่าเรื่องนี้กันเอาเอง?......
๐ “กุหลาบพิษ” ยินดีด้วย สำหรับการประชุม ครม.ในทำเนียบรัฐบาล แทน ราบ 11 รอ. อย่างน้อยก็จะพูดได้เต็มคำว่า...อันตัวกระผมนั้น มิได้เป็นผีไม่มีศาล!! (ตามที่คนไทยค่อนประเทศคิด).....
๐ เอาเถิด!! ผิดถูกชั่วดีอย่างไร จะมีอะไร “ซ่อนเงื่อน” สำหรับการ “แผนการปรองดองแห่งชาติ” ของ มาร์คอภิสิทธิ์ แต่ก็ต้องถือว่า เขาได้พยายามรู้จัก “ความถูกต้อง” และ แสวงหามันมาทันในนาทีเกือบจะสุดท้าย......๐ สำหรับ สุเทพ เทือกสุบรรณ จะเดินหน้าอย่างไรต่อไป คงไม่ต้องหารือ “ผู้ใหญ่แห่ง ศ.อ.ฉ.” อย่างไก่อู “สรรเสริญ แก้วกำเนิด”!! เพราะถึงนาทีนี้ ยี่เกคณะ “ศิษย์โหยหวล” กำลัง “เก็บฉาก” ร่ำลาแม่ยก!!.....
๐ แม้คำพูดต่อไปนี้อาจจะมีบางวรรค ต้องแปลไทยเป็นไทยบ้าง แต่ต้องเห็นใจ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่พูดอย่างคนเหลืออายุราชการแค่ 4 เดือนเศษพึงพูด?? การเรียกร้องให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้น รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. เคยพูดไปชัดเจน!!......
๐ ชัดเจนประมาณว่า ศอฉ.มีความจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้จนกว่าสถานการณ์จะเรียบร้อย เช่นการอำนวยความสะดวกของกลุ่มผู้ชุมนุม หรือ การเข้าเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อย!! แปลว่า...งานนี้เป็นเรื่องของ “ฝ่ายการเมือง”?? (ทหารไม่เกี่ยว)....
๐ เข้าล็อค? การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง!!....“กุหลาบพิษ” หลับตานึกภาพ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ออก!! ทุกอย่างที่ ผบ.ทบ.คนนี้คิด เหมือนป้ายติดใน “เขตก่อสร้าง” คือคำว่า “SAFETY FIRST” ปลอดภัยไว้ก่อนพ่อสอนไว้??......
๐ อนิจจา!! ไปๆ มาๆ ทั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็คิดตรงกัน (อย่างปรองดอง?) การบาดเจ็บลัมตายมากมายในเหตุการณ์ “10 เมษายน 53” เป็นความผิดของ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” !! น่าเศร้ากว่านั้น...คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ทำได้แค่ร้อง แบ๊ะๆๆๆ ไม่ใช่แพะ แต่เป็นอะไรชนิดหนึ่งซึ่งน่าเวทนากว่า “ไอ้เคราแพะ”!!.....
๐ “กุหลาบพิษย์” ขอออกนอกวงการเมืองเรื่องวุ่นสักสองสามนาที?? สะดุ้ง 8 ตลบ เมื่อพบข่าว กทม.เริ่มดีเดย์ รณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติก เริ่มโครงการใน 15 พฤษภาคม ที่ สวนจตุจักร มีผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธาน......
๐ ที่สะดุ้ง เหมือนคนขวัญอ่อน เพราะความเร่งรีบจนดันไปอ่านว่า...“กทม. เริ่มดีเดย์ รณรงค์ลดการใช้ถุงยางอนามัย” ขืนเป็นอย่างนั้น?? เลิกใช้ “คอนดอม” กันเมื่อไร ก็บัลลัยกันเมื่อนั้นประชาชนชาว”เอดส์” จะฟูเฟื่องรุ่งเรืองเต็มเมืองขึ้นมาอีกครั้ง??.....๐
โดย. บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
ที่มาบางกอกทูเดย์
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
คน 2 หน้า
ก็เชื่อใจได้แน่นอนว่า มังกรการเมืองอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ..คงจะเดินทางไปมอบตัวแน่ๆ หาก...ฝ่ายราชการมีหมายเรียกมาสู้กับข้อหาฆ่าคนตายเมื่อ 10 เมษายนนปช...ฉลาดที่โยนกลับการสลายการชุมนุมให้กลับไปอยู่กับฝ่ายรัฐบาล โดยเฉพาะ 2 ผู้นำแห่งเหตุการณ์ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณพร้อมกับยืนยันที่จะไปสู้คดีผู้ก่อการร้าย..และไม่ปรารถนาการนิรโทษกรรมข้อหาฆ่าคนตายบนกองศพคนไทยทั้งทหารและประชาชน 26 ศพนั้น...หากไม่มีคดีสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ซึ่งทำให้ นายกรัฐมนตรีรองนายกรัฐมนตรีและนายตำรวจระดับสูงกลายเป็นผู้
ถูกกล่าวหา ต้องออกจากราชการและเสียเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังพอจะตะแบงกันไปได้แต่.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านเอง มิใช่หรือที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า... “ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามี รัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิตบาดเจ็บสาหัสแล้วเรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ”แต่ เมษายน 2552 กับ เมษายน 2553 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี..จะอธิบายถึง
การล้มตายและข้อหาการก่อการร้าย..ที่หยิบยื่นให้กับศพประชาชนที่ดาหน้าเข้าชนกับรถถังและกระสุนสังหารได้อย่างไรท่านรับได้หรือกับพฤติกรรมที่ท่านเคยยืนยันต่อสาธาณชนว่า... “เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ”ไม่มีคนไทยคนใดที่มีจิตใจเป็นคนไทยมีสัญชาติไทยและเชื้อชาติไทย..จะยินดีกับการเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน..และยิ่งเมื่อคำขอของเขาเหล่านั้น เพียงแค่การเลือกตั้งครั้งใหม่..จะไม่มีทหารไทยคนใด..สบายใจต่อการไล่สังหารผู้คนเหล่านั้น..ให้จัดตั้งกองกำลัง
โหดเหี้ยมขึ้นมา..เข่นฆ่าสลายผู้ชุมนุม..ก็เท่ากับว่า..ท่านกำลังเขียนคำพิพากษาให้กับตัวท่านเอง..เพราะในที่สุดหลังเลือดท่วมถนนบนกองศพคนไทย..ปืนจะหันกลับไปสู่พวกท่าน..นำท่านสู่สถานะอาชญากรของประชาชน..หยดเดียวของโลหิตท่านจะไม่มีแผ่นดินไทยให้รองรับ..นามสกุลของพวกท่าน..จะไม่มีลูกหลานกล้านำไปใช้…หลัง 10 เมษายน 2553 การเมืองของท่าน จบแล้ว
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่ท่.บางกอกทูเดย์
...........................................................
ถูกกล่าวหา ต้องออกจากราชการและเสียเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแล้ว ก็ยังพอจะตะแบงกันไปได้แต่.. อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อครั้งเป็นผู้นำฝ่ายค้านเอง มิใช่หรือที่กล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า... “ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามี รัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิตบาดเจ็บสาหัสแล้วเรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ”แต่ เมษายน 2552 กับ เมษายน 2553 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี..จะอธิบายถึง
การล้มตายและข้อหาการก่อการร้าย..ที่หยิบยื่นให้กับศพประชาชนที่ดาหน้าเข้าชนกับรถถังและกระสุนสังหารได้อย่างไรท่านรับได้หรือกับพฤติกรรมที่ท่านเคยยืนยันต่อสาธาณชนว่า... “เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ”ไม่มีคนไทยคนใดที่มีจิตใจเป็นคนไทยมีสัญชาติไทยและเชื้อชาติไทย..จะยินดีกับการเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน..และยิ่งเมื่อคำขอของเขาเหล่านั้น เพียงแค่การเลือกตั้งครั้งใหม่..จะไม่มีทหารไทยคนใด..สบายใจต่อการไล่สังหารผู้คนเหล่านั้น..ให้จัดตั้งกองกำลัง
โหดเหี้ยมขึ้นมา..เข่นฆ่าสลายผู้ชุมนุม..ก็เท่ากับว่า..ท่านกำลังเขียนคำพิพากษาให้กับตัวท่านเอง..เพราะในที่สุดหลังเลือดท่วมถนนบนกองศพคนไทย..ปืนจะหันกลับไปสู่พวกท่าน..นำท่านสู่สถานะอาชญากรของประชาชน..หยดเดียวของโลหิตท่านจะไม่มีแผ่นดินไทยให้รองรับ..นามสกุลของพวกท่าน..จะไม่มีลูกหลานกล้านำไปใช้…หลัง 10 เมษายน 2553 การเมืองของท่าน จบแล้ว
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่ท่.บางกอกทูเดย์
...........................................................
รุมบีบมาร์ค ห้ามเลิก‘ศอฉ.’!

สังคมไทย เป็นสังคมที่ประทับใจในความจริงใจ ในความมั่นคงซื่อสัตย์นักการเมืองคนใดก็ตาม หากสามารถที่จะมีคุณสมบัติ 2 ประการนี้ได้โดยแท้จริง รับรองได้ว่า จะเป็นภาพลักษณ์ที่ช่วยให้อยู่ยั้งยืนยงได้นานก็ดูเหตุการณ์ที่ทำให้คนไทยน้ำตาซึมในเวลานี้ก็ได้ กับข่าวการแต่งงานกับเจ้าบ่าวนิทรา ที่ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มก่อนวันแต่งงานเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ทำให้ นายอดิศักดิ์ ไค่นุ่นกา เจ้าบ่าว ลูกจ้างประจำกรมสวัสดิการทหารเรือ ต้องถูกส่งตัวเข้าไปนอน
รักษาเป็นเจ้าชายนิทรา อยู่ในห้องศัลยกรรมประสาทชายชั้น 4 ตึกเฉลิมพระเกียรติ ที่โรงพยาบาลตำรวจปรากฏว่า น.ส.วิภาวรรณ ทองชูแสง พนักงานข้าราชการโรงเรียนนายเรือ ก็ยืนยันมั่นคงในความรัก และได้แสดงความจริงใจซื่อสัตย์ ด้วยการแต่งชุดเจ้าสาวเข้าพิธีแต่งงานกับเจ้าบ่าวเหมือนเดิม แม้ว่าเจ้าบ่าวจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้วก็ตามเท่านั้นแหละสังคมไทยน้ำตาซึม น้ำตาไหลรืนไปตามๆ กัน บอกว่านี่คือ ตำนานรักแท้สุดประทับใจแม้สุดท้ายจะจบ
ลงด้วยความเศร้า เพราะหลังพิธีแต่งงาน นายอดิศักดิ์ ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบนี่คือ ลักษณะสำคัญของจิตใจคนไทยโดยพื้นฐานตรงนี้แหละที่ทำให้เกิดคำถามว่า แล้วเกิดอะไรขึ้นกับสภาพการเมืองของไทยในเวลานี้ ที่ทำให้นักการเมือง หรือกลุ่มบุคคลที่แสวงหาอำนาจทางการเมือง และการทหารทั้งหลาย ถึงได้ลืมพื้นฐานของสังคมไทยมุ่งหน้าทำลายล้างกัน จนกลายเป็นวิกฤติของประเทศเช่นในขณะนี้แผนปรองดองของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ซึ่งคิด
ว่าน่าจะเป็นบันไดทอดลง และนำไปสู่การยุติปัญหา เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้จบง่ายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ หวังกลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มแกนนำ นปช. ยังไม่เท่าไหร่ ยังสามารถที่จะเจรจาได้แต่กลับกลายเป็นว่า กลุ่มผู้ที่สูญเสียประโยชน์ กลุ่มที่แปลงร่างกลายสภาพ พยายามกลบเกลื่อนพันธุกรรมกันอุตลุดนั้น กลับเป็นฝ่ายที่ไม่ยินยอม ถึงขนาดสลัดภาพเดิมที่เคยฉาบทาเอาไว้ แล้วกลายเป็นมาร ฮึ่มเข้าใส่นายอภิสิทธิ์ เข้าใส่รัฐบาล เข้าใส่คนเสื้อแดงว่าจะจบลงด้วยการเจรจาโดย
สันติวิธีเช่นนี้ไม่ได้… จะต้องจบด้วยความรุนแรงเท่านั้นวันนี้จึงทำให้สถานการณ์กลายเป็นเสือปะทะสิงห์ แล้วดันมาเจอจระเข้รองาบไม่เลือกหน้า ก็วุ่นกันอย่างที่เห็นในเวลานี้นั่นแหละ… เชื่อว่าวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงรู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่า คนที่เคยคิดว่าเป็นมิตร คิดว่าเคยหนุนส่งให้ได้รับเก้าอี้นายกรัฐมนตรีแต่เมื่อไม่ได้ดั่งใจขึ้นก็ลืมความเป็นมิตรได้ทันทีทันควัน และพร้อมที่จะทำลายล้างได้ทุกรูปแบบซึ่งนายอภิสิทธิ์ ไม่ใช่นักการเมืองคนแรกที่โดนเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็โดนมาแล้วเช่นกันไม่ได้สัมปทานสื่ออย่างที่หวัง ไม่ได้รับความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ไม่ได้การปัดเป่าในเรื่องปัญหาหนี้อย่างที่ต้องการจากที่เคยเห็นว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่สุด มีวิสัยทัศน์ระดับสากล ก็กลับกลายเป็นถูกประโคมว่า เป็นนักการเมืองที่เลวร้าย พิพากษาเองเสร็จสรรพว่าเต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นทั้งๆ ที่วันนี้เอาผิดคอร์รัปชั่นชนิดคดีที่เจ๋งๆ ประจักษ์พยานชัดแจ้งให้คนไทยเห็นและยอมรับได้อย่างประจักษ์ตาและ
หัวใจจริงๆ สักคดีหนึ่งก็ยังไม่มีผลงานของ คตส. ถูกมองว่าเป็นกลไกเพื่อการป้ายสีและทำลายล้าง ด้วยระบบยุติธรรม 2 มาตรฐาน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมาจนทุกวันนี้กลุ่มคนเสื้อแดงวันนี้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า สู้เพื่อทวงคืนประชาธิปไตยที่แท้จริง และต้องการที่จะหยุดระบบ 2 มาตรฐานที่เกิดกับเสาหลักตุลาการในเวลานี้ไม่ได้เป็นการต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่ถูกป้ายสีจากเครือข่ายอำมาตย์และกลไกการเมืองของรัฐ รวมทั้งวิชามารของนักการ
เมืองที่ไม่เคยซื่อสัตย์จริงใจกับใครเลยสิ่งที่ยืนยันว่า แกนนำ นปช. หรือกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้มุ่งสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นหลัก ก็คือ ความไม่ลงตัวในเรื่องแกนนำ นปช. รุ่น 2 นี่แหละ คือประจักษ์พยานที่ชัดเจนที่สุด เพราะล่าสุดนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ประกาศชัดว่า ที่มีการออกมาระบุกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้สั่งการให้แต่งตั้ง นปช.รุ่น 2 แทนแกนนำชุดแรก เป็นแค่เรื่องของข้อมูลคลาดเคลื่อน เพราะนปช. ไม่ใช่บริษัทเอกชน จะโละผู้บริหารได้ ไม่มีใครมี
อำนาจเปลี่ยนตัวแกนนำ แม้แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ เองก็ตาม เพราะไม่อยู่ในฐานะที่ตัดสินใจเปลี่ยนตัวแกนนำ ซึ่งทางแกนนำ นปช. ก็ได้พูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงสารทุกข์สุขดิบ ต่างๆ บ้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้สอบถามสถานการณ์โดยเฉพาะการเป็นห่วงที่มีผู้เสียชีวิตจากการชุมนุม ไม่มีการติดต่อทาบทาบให้มีการแต่งตั้งแกนนำรุ่น 2 แต่อย่างใดนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ออกมาให้ข้อมูลในแนวทางเดียวกันว่า ที่มีข่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะ
ให้นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง และนายขวัญชัย ไพรพนา เป็นแกนนำคนเสื้อแดงชุด 2 แทน นายวีระ มุสิกพงษ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นั้นถือเป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ทราบเรื่อง ก็ได้โทรศัพท์มาหา เพื่อให้ช่วยชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะไปตัดสินใจเปลี่ยนตัวแกนนำ เป็นเรื่องของมวลชนเสื้อแดงเองล้วนๆดังนั้น เงื่อนไขกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ยังไม่ยอมสายการชุมนุม ก็เป็น
เพราะเรื่องกรณีวีรชนที่เสียชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม และคนสั่งการยังไม่ถูกดำเนินคดีตามกฎหมายไม่ใช่เพราะจะต่อสู้เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือเพื่อล้มล้างสถาบันอย่างที่มีความพยายามในการป้ายสีมาโดยตลอดเชื่อว่าวันนี้ ลึกๆ นายอภิสิทธิ์ เองก็คงจะรู้ซึ้งอยู่แก่ใจแล้วว่า จริงๆ แล้วใครคือ ศัตรูที่แท้จริงกันแน่จะเห็นได้จากท่าทีของนายอภิสิทธิ์ ที่ยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม กรณีสั่งสลายม็อบหลังจากที่สมาชิกพรรคเพื่อไทย และญาติผู้เสียชีวิต ได้มีการร้องทุกข์
กล่าวโทษนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะ ผอ.ศอฉ. กับทาง ดีเอสไอ ไปแล้วซึ่งนายสุเทพ ตัดสินใจไปพบนายธาริต เพื่อไปรับทราบการร้องทุกข์กล่าวโทษ เช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ด้วยเช่นกัน แต่กรณีของนายอภิสิทธิ์ จะต้องผ่านขั้นตอนของกระบวนการรัฐสภาก่อน เนื่องจากเป็น ส.ส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง หากสภามีมติไม่ให้ความคุ้มครองจึงสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปได้นายอภิสิทธิ์ ระบุชัดเจนว่า ยินดีที่จะเข้าสู่กระบวนการ ซึ่งการทำ
งานของ ศอฉ. และหน่วยงานด้านความมั่นคง สามารถที่จะอธิบายได้ และพร้อมที่จะนำหลักฐานต่างๆ มาต่อสู้กันในกระบวนการยุติธรรมซึ่งหากนายสุเทพ และนายอภิสิทธิ์ แสดงความจริงใจในการรับทราบข้อกล่าวหาจริงๆ ในขณะที่ทางดีเอสไอ ก็ต้องไม่มี 2 มาตรฐานดำเนินการไปตามเนื้อผ้า พิสูจน์ความจริงตามข้อกล่าวหาว่ามีการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288,289 มาตรา 82,83 และ 84 และมีการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัต
หน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 82 และ 83 ตามที่ญาติผู้เสียชีวิตมาร้องถูกกล่าวโทษกับดีเอสไอจริงหรือไม่???ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ต้องไปต่อสู้กันตามกระบวนการยุติธรรมแต่แน่นอนว่า นี่คือ การลดเงื่อนไขในการเจรจาลงมา และน่าที่จะทำให้การเจรจาในการหาข้อยุติทำได้ง่ายขึ้นเพียงแต่ว่าจะถูกใจกลุ่มพันธมิตรฯ และกลุ่มเสื้อหลากสีหรือไม่กับการที่จะยุติลงโดยสันติวิธี เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกัน ว่านายอภิสิทธิ์ จะรับมืออย่างไรเช่นเดียวกันกับ
กรณี พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ที่ไม่รู้ว่ากลัวจะไม่เหลือบทบาท หรือหมดโอกาสออกทีวี ก็เลยยังออกมายืนกรานว่าศอฉ. ได้เสนอนายกรัฐมนตรีไปว่า ยังไม่ควรยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งเรื่องการถอนกำลังทหาร ก็ยังไม่ควรดำเนินการ แม้คนเสื้อแดงจะสลายชุมนุมไปแล้ว อ้างว่ายังมีผู้ก่อการร้ายแฝงอยู่ในการชุมนุมไปโน่นเลยข้ออ้างเหล่านี้แหละที่ทำให้ ศอฉ. ยังใช้กำลังทหารสร้างผลกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบานทั่วไปอย่างไม่หยุดหย่อน มีการ
เพิ่มด่านจาก 6 ด่าน เป็น 11 ด่าน บางคืนก็มีการปิดถนนจนรถราติดขัดไปหมด ไม่เว้นแม้แต่วันอาทิตย์กรณีเหล่านี้นายอภิสิทธิ์ จะรับมืออย่างไร???เพราะนี่คือ เงื่อนไขที่เกิดขึ้นมาเพื่อจะทำให้การชุมนุมยืดเยื้อทั้งสิ้นกลายเป็นว่าการเจรจากับคนเสื้อแดง นายอภิสิทธิ์ กับนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ สามารถทำได้ง่ายกว่า การเจรจากับคนรอบข้างที่เป็นพวกเดียวกันเอง แล้วแบบนี้ทำไมไม่ทำตามข้อเสนอของกลุ่มคนเสื้อแดง มอบตัวในคดีสั่งสลายการชุมนุมในวันที่ 10
เมษายน เช่นเดียวกับแกนนำ นปช.ที่ต้องคดี เพราะ นปช. ก็บอกแล้วว่าถ้าเข้ามอบตัววันไหน วันนั้นแกนนำ นปช. จะประกาศยุติการชุมนุมทันที และคนเสื้อแดงพร้อมกลับบ้านทันทีรวมทั้งตัดสินใจยกเลิก พ.ร.ก.บริหารราชการในภาวะฉุกเฉิน ยกเลิก ศอฉ. ไปเลยพิสูจน์ความจริงใจ เพื่อให้ปัญหายุติ รับรองมีแม่ยกเชียร์มากกว่าม็อบหลากสี ชัวร์
ที่มา.บางกอกทูเดย์
................................................................
ฤา...นิรโทษกรรม คือ‘ทางออก’
การชุมนุมของกลุ่ม นปช. มีข้ออ้างที่ชัดเจนประการหนึ่งว่า...เขายอมรับไม่ได้กับรัฐบาลที่จัดตั้งในค่ายทหาร มิได้มาตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
จึงเรียกร้องให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” คืนอำนาจให้กับประชาชน ข้ออ้างและข้อเรียกร้องนี้ประชาชนในประเทศจะเห็นด้วยหรือเห็น
ต่าง ก็เป็นความแตกต่างทางความคิดเห็นที่ต้องยอมรับว่ามันดำรงอยู่ และก็เป็นสิทธิของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับนปช. ที่จะออกมาชุมนุมแสดงจุดยืนของพวกเขาเช่นเดียวกัน เพราะสิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการชุมนุมเป็นสิทธิของพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ คนไทยต้องเลิกเสียที “.. ถ้าพวกเรา หรือคิดเหมือนเรามาชุมนุมประท้วง ก็ทำได้ และทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าพวกเขาหรือคิดไม่เหมือนเรามาชุมนุมบ้าง ทำไม่ได้ และทำอะไรก็ผิดไป
หมด” การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นเสรีภาพและเป็นสิทธิทางการเมืองที่ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายสามารถกระทำได้ ส่วนประชาชนจะเห็นด้วยกับเหตุผล ข้ออ้าง ข้อเรียกร้องในการชุมนุมแต่ละครั้ง แต่ละหนหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของประชาชนอย่างพวกเราที่จะวิเคราะห์ พิจารณา ถ้าเห็นด้วยก็สามารถเข้าร่วมหรือสนับสนุนการชุมนุม ถ้าต้องการหรือถ้าไม่เห็นด้วยก็ปฏิเสธการชุมนุม หรือจะชุมนุมประท้วงผู้ชุมนุมอย่างที่ทำอยู่ก็ทำได้ เพราะเป็นสิทธิทางการเมืองของ
ประชาชนไทยปัญหาการชุมนุมนี้ รัฐบาลจะแก้อย่างไร ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ ต้องพิจารณาและตัดสินใจ การเสนอแนวทางปรองดองของท่านนายกรัฐมนตรี กำหนดวันเลือกตั้ง 14 พ.ย. ถือเป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลแต่ต้องแยกให้ออกว่า...การชุมนุมใดๆ ก็ตามที่เป็นการละเมิดและฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น การกระทำนั้นย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย และผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม การ
แก้ไขปัญหาทางการเมืองของรัฐบาล ไม่สามารถมาลบล้างการกระทำความผิด หรือมาเปลี่ยนผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิดได้ เพราะความถูกผิดตามกฎหมาย เป็นปัญหากฎหมาย เราไม่อาจเปลี่ยนถูกผิดตามกฎหมายได้ด้วยความประสงค์หรือนโยบายของรัฐบาลบางคนอาจคิดว่าแล้วเช่นนี้จะปรองดองได้อย่างไร .. หากสังคมคนส่วนใหญ่เห็นว่า...การให้อภัยจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยทำให้สังคมไทยเดินออกจากวิกฤตได้ ก็ต้องใช้วิถีทางกฎหมายในการแก้ปัญหานี้ การออก
กฎหมาย “นิรโทษกรรม” ลบล้างการกระทำความผิดให้กับผู้กระทำความผิดมาแล้ว เป็นเรื่องที่สามารถทำได้และเคยทำมาแล้วทั้งในนานาอารยประเทศและในประเทศไทย อยากให้สังคมไทยเกิดความชัดเจนว่า...ในทางกฎหมายเราสามารถทำได้ ขนาดฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ล้มล้างกฎหมายสูงสุด ยังนิรโทษกรรมได้เลย แต่ขอย้ำว่า...สมควรทำหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งประชาชนอย่างพวกเราก็สามารถเห็นแตกต่างกันได้ครับ!
รศ. ดร. กำชัย จงจักรพันธ์
ที่มา.บางกอกทูเดย์
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
จึงเรียกร้องให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี “ยุบสภา” คืนอำนาจให้กับประชาชน ข้ออ้างและข้อเรียกร้องนี้ประชาชนในประเทศจะเห็นด้วยหรือเห็น
ต่าง ก็เป็นความแตกต่างทางความคิดเห็นที่ต้องยอมรับว่ามันดำรงอยู่ และก็เป็นสิทธิของกลุ่มผู้ไม่เห็นด้วยกับนปช. ที่จะออกมาชุมนุมแสดงจุดยืนของพวกเขาเช่นเดียวกัน เพราะสิทธิในการแสดงความคิดเห็น สิทธิในการชุมนุมเป็นสิทธิของพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ คนไทยต้องเลิกเสียที “.. ถ้าพวกเรา หรือคิดเหมือนเรามาชุมนุมประท้วง ก็ทำได้ และทำอะไรก็ไม่ผิด ถ้าพวกเขาหรือคิดไม่เหมือนเรามาชุมนุมบ้าง ทำไม่ได้ และทำอะไรก็ผิดไป
หมด” การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ เป็นเสรีภาพและเป็นสิทธิทางการเมืองที่ทุกคน ทุกกลุ่ม ทุกฝ่ายสามารถกระทำได้ ส่วนประชาชนจะเห็นด้วยกับเหตุผล ข้ออ้าง ข้อเรียกร้องในการชุมนุมแต่ละครั้ง แต่ละหนหรือไม่ ก็เป็นสิทธิของประชาชนอย่างพวกเราที่จะวิเคราะห์ พิจารณา ถ้าเห็นด้วยก็สามารถเข้าร่วมหรือสนับสนุนการชุมนุม ถ้าต้องการหรือถ้าไม่เห็นด้วยก็ปฏิเสธการชุมนุม หรือจะชุมนุมประท้วงผู้ชุมนุมอย่างที่ทำอยู่ก็ทำได้ เพราะเป็นสิทธิทางการเมืองของ
ประชาชนไทยปัญหาการชุมนุมนี้ รัฐบาลจะแก้อย่างไร ก็เป็นโจทย์ที่รัฐบาลต้องแก้ ต้องพิจารณาและตัดสินใจ การเสนอแนวทางปรองดองของท่านนายกรัฐมนตรี กำหนดวันเลือกตั้ง 14 พ.ย. ถือเป็นการแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลแต่ต้องแยกให้ออกว่า...การชุมนุมใดๆ ก็ตามที่เป็นการละเมิดและฝ่าฝืนต่อกฎหมาย หากข้อเท็จจริงชัดเจนว่าเป็นเช่นนั้น การกระทำนั้นย่อมเป็นความผิดตามกฎหมาย และผู้กระทำผิดจะต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม การ
แก้ไขปัญหาทางการเมืองของรัฐบาล ไม่สามารถมาลบล้างการกระทำความผิด หรือมาเปลี่ยนผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิดได้ เพราะความถูกผิดตามกฎหมาย เป็นปัญหากฎหมาย เราไม่อาจเปลี่ยนถูกผิดตามกฎหมายได้ด้วยความประสงค์หรือนโยบายของรัฐบาลบางคนอาจคิดว่าแล้วเช่นนี้จะปรองดองได้อย่างไร .. หากสังคมคนส่วนใหญ่เห็นว่า...การให้อภัยจะเป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยทำให้สังคมไทยเดินออกจากวิกฤตได้ ก็ต้องใช้วิถีทางกฎหมายในการแก้ปัญหานี้ การออก
กฎหมาย “นิรโทษกรรม” ลบล้างการกระทำความผิดให้กับผู้กระทำความผิดมาแล้ว เป็นเรื่องที่สามารถทำได้และเคยทำมาแล้วทั้งในนานาอารยประเทศและในประเทศไทย อยากให้สังคมไทยเกิดความชัดเจนว่า...ในทางกฎหมายเราสามารถทำได้ ขนาดฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง ล้มล้างกฎหมายสูงสุด ยังนิรโทษกรรมได้เลย แต่ขอย้ำว่า...สมควรทำหรือไม่ เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งประชาชนอย่างพวกเราก็สามารถเห็นแตกต่างกันได้ครับ!
รศ. ดร. กำชัย จงจักรพันธ์
ที่มา.บางกอกทูเดย์
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
‘ปฏิบัติการ’ชิงพื้นที่สื่อ! ‘เทือก’มอบตัว DSI
“ดีเอสไอ” ไม่มีอำนาจสอบคดี “มาร์ค - เทพเทือก”คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติหรือ ป.ป.ช. ได้ออกมาพูดถึงกรณีที่ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ ดีเอสไอ ไม่มีสิทธิสอบสวนคดี กรณีสั่งปฏิบัติการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย.จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บซึ่งสอดคล้องกับ “กระบวนการ” ตามข้อเท็จจริงที่ว่า...กรณี“สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ได้เดินทางไป “มอบตัว” ที่ดีเอสไอ...ย่อมไม่ส่งผลอะไรเพราะทาง “ดีเอสไอ” ไม่มีอำนาจ!โดยเฉพาะกระบวนการเข้ามอบตัวเพื่อ “รับทราบข้อกล่าวหา”เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งต้องมีการเข้ารายงานตัวที่“กองปราบปราม”และหากคดีดังกล่าวจะไปถึงการพิจารณาของ “ดีเอสไอ” หรือไม่นั้น...ยังต้องผ่าน “กระทรวงยุติธรรม” ซึ่งต้องทำการประชุมหารือก่อนทำเรื่องขอไป
ยัง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้มีการนำคดีนั้นขึ้นสู่การพิจารณาเห็นได้ว่า...จะมีกระบวนการ “หลายขั้นหลายตอน” เพราะการไต่สวนดังกล่าวเป็นที่ “สนใจ” ของประชาชน...ดังนั้นต้องทำด้วยความรอบคอบและจะเอา “คำสั่งอ้าง” ในการอยู่ในภาวะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากำหนดใช้ไม่ได้หากแต่เวลานี้รัฐบาลกำลัง “ลัดขั้นตอน” ซึ่งนั่นจะไม่ส่งผลอะไรต่อรูปคดี...อีกทั้งยังเป็นการ “ประชาสัมพันธ์ชั้นเลิศ”ว่ารัฐบาลได้ทำตามการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมกรณี
ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนว่าตนจะเข้า “มอบตัว” ที่ดีเอสไอ...หากมองในภาพความเป็นจริง...ไม่ว่าใครก็ได้ก็สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอได้อย่างนั้นหรือ“ดีเอสไอ” ไม่ได้เหมือน “กองปราบปราม” ที่แบ่งแยกองค์กรมีการกระจายไปทั่วประเทศ...ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นได้ “ดีเอสไอ”คงต้องมีสาขาประจำตามหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเรียกว่า...เป็นปฏิบัติที่ได้ใจคนดูไปเต็มๆ เพราะหลังจาก “สุเทพ” เข้ามอบตัว...อธิบดีดี
เอสไอ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ก็ออกมากล่าวว่า...หากแกนนำ นปช. จะเข้ามอบตัว ทางดีเอสไอก็จะปฏิบัติด้วยความ “เท่าเทียมกัน” ไม่มีสองมาตรฐานหากมองกันให้ลึกซึ้ง...รัฐบาลยิ่งต้องการ “ตีกรอบ” ให้คนเสื้อแดงหลงผิดไม่มีทางสู้...ต่อหน้าใจดียื่นผลไม้รูปลักษณ์สุกงอมให้กับมือ...แต่ข้างในหารู้ไม่ว่ากำลัง “อาบยาพิษ”สำหรับบรรยากาศที่กรมดีเอสไอที่เมื่อวานนี้ “สุเทพเทือกสุบรรณ” ก็นั่งสนทนาประเด็นสอบสวนคดี กรณีสั่งปฏิบัติการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย.
กับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ด้วยอารมณ์สบายๆ เนิบๆ จิบกาแฟไป...คุยกันไปถึงตอนนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะสวัสดิผล ขึ้นมาจับใจ...โดยเฉพาะการต่อสู้ทุกวันนี้มันเป็นในรูปแบบของ “สงคราม”แต่สงครามที่ว่า...เป็นสงครามในการแย่งชิง “พื้นที่สื่อ” โดยกลุ่มคนหลายฝ่ายทั้ง กลุ่มคนเสื้อแดง กองทัพประชาชน และ ฝ่ายรัฐบาลใครยึดพื้นที่ได้มากกว่ากัน...โอกาสลอยลำมีสูง!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................................
ยัง “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ” ให้มีการนำคดีนั้นขึ้นสู่การพิจารณาเห็นได้ว่า...จะมีกระบวนการ “หลายขั้นหลายตอน” เพราะการไต่สวนดังกล่าวเป็นที่ “สนใจ” ของประชาชน...ดังนั้นต้องทำด้วยความรอบคอบและจะเอา “คำสั่งอ้าง” ในการอยู่ในภาวะประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากำหนดใช้ไม่ได้หากแต่เวลานี้รัฐบาลกำลัง “ลัดขั้นตอน” ซึ่งนั่นจะไม่ส่งผลอะไรต่อรูปคดี...อีกทั้งยังเป็นการ “ประชาสัมพันธ์ชั้นเลิศ”ว่ารัฐบาลได้ทำตามการเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมกรณี
ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ที่ออกมาให้ข้อมูลกับประชาชนว่าตนจะเข้า “มอบตัว” ที่ดีเอสไอ...หากมองในภาพความเป็นจริง...ไม่ว่าใครก็ได้ก็สามารถเดินดุ่มๆ เข้าไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ดีเอสไอได้อย่างนั้นหรือ“ดีเอสไอ” ไม่ได้เหมือน “กองปราบปราม” ที่แบ่งแยกองค์กรมีการกระจายไปทั่วประเทศ...ซึ่งถ้าทำอย่างนั้นได้ “ดีเอสไอ”คงต้องมีสาขาประจำตามหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอเรียกว่า...เป็นปฏิบัติที่ได้ใจคนดูไปเต็มๆ เพราะหลังจาก “สุเทพ” เข้ามอบตัว...อธิบดีดี
เอสไอ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ก็ออกมากล่าวว่า...หากแกนนำ นปช. จะเข้ามอบตัว ทางดีเอสไอก็จะปฏิบัติด้วยความ “เท่าเทียมกัน” ไม่มีสองมาตรฐานหากมองกันให้ลึกซึ้ง...รัฐบาลยิ่งต้องการ “ตีกรอบ” ให้คนเสื้อแดงหลงผิดไม่มีทางสู้...ต่อหน้าใจดียื่นผลไม้รูปลักษณ์สุกงอมให้กับมือ...แต่ข้างในหารู้ไม่ว่ากำลัง “อาบยาพิษ”สำหรับบรรยากาศที่กรมดีเอสไอที่เมื่อวานนี้ “สุเทพเทือกสุบรรณ” ก็นั่งสนทนาประเด็นสอบสวนคดี กรณีสั่งปฏิบัติการขอคืนพื้นที่เมื่อวันที่ 10 เม.ย.
กับ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ด้วยอารมณ์สบายๆ เนิบๆ จิบกาแฟไป...คุยกันไปถึงตอนนี้ทำให้นึกถึงคำพูดของ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะสวัสดิผล ขึ้นมาจับใจ...โดยเฉพาะการต่อสู้ทุกวันนี้มันเป็นในรูปแบบของ “สงคราม”แต่สงครามที่ว่า...เป็นสงครามในการแย่งชิง “พื้นที่สื่อ” โดยกลุ่มคนหลายฝ่ายทั้ง กลุ่มคนเสื้อแดง กองทัพประชาชน และ ฝ่ายรัฐบาลใครยึดพื้นที่ได้มากกว่ากัน...โอกาสลอยลำมีสูง!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
..................................................................
"สุรชัย แซ่ด่าน"อัด นปช.แก้เกี้ยวรายวัน
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ แกนนำ “สยามแดง” กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. กรณี นพ.เหวง โตจิราการ ระบุว่านายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ ผอ.ศอฉ. ต้องไปมอบตัวกับตำรวจเท่านั้น จึงจะยุติการชุมนุม ว่า เลอะเทอะ สร้างมุกตลกรายวัน ตั้งแง่แก้เกี้ยวรายวัน ยุติก็ประกาศยุติเลย ไม่ต้องมีเงื่อนไข ไม่ต้องรับโรคแมปหรือแผนปรองดองอะไรทั้งสิ้น แต่คนต้องสู้ต่ออย่าจมเรือ 3 เกลอคิดจะลงเรือก็ลงไปเลย แต่ตอนนี้ 3 เกลอจมเรือไปแล้ว การสร้างข้อเรียกร้องจะมีความหมายอะไร การนำที่เกิดขึ้นเป็นความล้มเหลวไปแล้ว ยอมรับสารภาพเสีย หลังจากนี้ขอให้หยุดแล้วมอบให้คนอื่นนำการต่อสู้กันต่อไป ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมษายนปีที่แล้ว การยื่นถวายฎีกา มาถึงการชุมนุมรอบนี้ ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก คนเสื้อแดงครึ่งต่อครึ่ง ไม่เอาแนวทางของ 3 เกลออีกแล้ว เพราะไม่เชื่อแนวนี้อีกแล้ว
จะนำกลุ่มผู้ชุมนุมแทนหรือไม่ นายสุรชัย ยืนยันว่าไม่อย่างแน่นอน อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเอา 3เกลอต่อไปก็เอาไป 3เกลอเองอย่ามาอ้างว่าไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชุมนุมกันนั้น 3 เกลอ หรือที่ไปขายไร่ขายนาเอาเงินมาใช้จ่ายในการชุมนุม มันไม่ใช่การต่อสู้ระหว่าง 3 เกลอกับอภิสิทธิ์ แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างทุนใหม่กับทุนเก่า ส่วนจะจบแบบไหน วันนี้ต้องดูกันต่อว่า แต่ที่แน่ๆ 3 เกลอจบแล้ว เสื้อแดงจำนวนมากปฏิเสธการนำแล้ว ถ้ายุติในวันนี้แกนนำส่วนใหญ่ถูกคดี แล้วจะเอาอะไรมารุกต่อ
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับ เสธ.แดง จะมานำแทนนั้นเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ทั้ง เสธ.แดง และ 3 เกลอ ไม่มีขีดความสามารถเพียงพอ แค่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสองเดือนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ยอมรับว่าบางคนก็มีค่าหัว แล้วคนพวกนี้เอาเงินมาจากไหน อาจเป็นคนนำแทนก็ได้ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยินยอม ส่วนตนเองจะให้ไปนำนั้นไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าคอยให้คำปรึกษานั้นยินดี นายวีระไม่ใช่นักสู้ที่แท้จริง เป็นแค่นักการเมืองผู้กว้างขวาง รวมทั้งนายณัฐวุฒิก็ไม่ใช่นักต่อสู้ เป็นเพียงแค่นักพูดที่เก่งปล่อยมุก ส่วนนายจตุพรก็ไม่เข้าใจเข้าถึง เป็นแค่คนต่อสู้ที่มีบทบาทในเดือนพฤษภา คนนำต่อไปนั้นต้องมีลักษณะของการต่อสู้ที่แท้จริง เป็นนักต่อสู้ตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย หรือหมอพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ที่มา.เนชั่น
*************************************************************
จะนำกลุ่มผู้ชุมนุมแทนหรือไม่ นายสุรชัย ยืนยันว่าไม่อย่างแน่นอน อยู่ที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะเอา 3เกลอต่อไปก็เอาไป 3เกลอเองอย่ามาอ้างว่าไม่เกี่ยวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ชุมนุมกันนั้น 3 เกลอ หรือที่ไปขายไร่ขายนาเอาเงินมาใช้จ่ายในการชุมนุม มันไม่ใช่การต่อสู้ระหว่าง 3 เกลอกับอภิสิทธิ์ แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างทุนใหม่กับทุนเก่า ส่วนจะจบแบบไหน วันนี้ต้องดูกันต่อว่า แต่ที่แน่ๆ 3 เกลอจบแล้ว เสื้อแดงจำนวนมากปฏิเสธการนำแล้ว ถ้ายุติในวันนี้แกนนำส่วนใหญ่ถูกคดี แล้วจะเอาอะไรมารุกต่อ
นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับ เสธ.แดง จะมานำแทนนั้นเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้ทั้ง เสธ.แดง และ 3 เกลอ ไม่มีขีดความสามารถเพียงพอ แค่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสองเดือนไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ยอมรับว่าบางคนก็มีค่าหัว แล้วคนพวกนี้เอาเงินมาจากไหน อาจเป็นคนนำแทนก็ได้ ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ยินยอม ส่วนตนเองจะให้ไปนำนั้นไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าคอยให้คำปรึกษานั้นยินดี นายวีระไม่ใช่นักสู้ที่แท้จริง เป็นแค่นักการเมืองผู้กว้างขวาง รวมทั้งนายณัฐวุฒิก็ไม่ใช่นักต่อสู้ เป็นเพียงแค่นักพูดที่เก่งปล่อยมุก ส่วนนายจตุพรก็ไม่เข้าใจเข้าถึง เป็นแค่คนต่อสู้ที่มีบทบาทในเดือนพฤษภา คนนำต่อไปนั้นต้องมีลักษณะของการต่อสู้ที่แท้จริง เป็นนักต่อสู้ตลอดนับสิบปีที่ผ่านมา เช่น นายภูมิธรรม เวชยชัย หรือหมอพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช
ที่มา.เนชั่น
*************************************************************
ทำกร้าวไปงั้นแหละ
หลายคนได้ฟังรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะนายกฯ มีท่าทีแข็งกร้าวใส่ม็อบ
จนน่าเป็นห่วงว่า สถานการณ์อาจจะไม่คลี่คลายได้ง่ายๆ!?
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีสัญญาณจากทั้งสองฝ่าย เห็นพ้องต้องกันกับแผนปรองดอง คงจะยอมจบในเร็ววัน
จู่ๆ นายกฯ มาแสดงอาการรุกไล่แบบนี้ ฝ่ายม็อบฟังแล้วก็คงไม่พอใจเป็นแน่
เลยกลัวว่า จะหันมารบกันต่อหรือเปล่า
อย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง ต้องการให้เหตุการณ์คลี่คลาย โดยไม่มีการนองเลือด
ไม่มีใครอยากให้ประชาชนทุกสีเสื้อต้องโดนเข่นฆ่ากลางถนน
คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่มีจิตใจอำมหิต ไม่เรียกร้องให้รัฐบาลปราบม็อบ ด้วยข้ออ้างบังคับใช้กฎหมาย
ปรารถนาอย่างยิ่งให้จบได้ด้วยการเจรจาและสันติวิธี
นั่นคือสิ่งที่ผู้มีจิตใจประชาธิปไตย เจริญด้วยปัญญาและเปี่ยมด้วยมนุษยธรรม ต้องการเห็น
แต่เอาเข้าจริงๆ ที่นายกฯ แสดงออกดุดันทางทีวีนั้น คงเพียงแค่ไม่อยากให้กองเชียร์ที่ใส่เสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีรู้สึกผิดหวัง
แค่ต้องการแสดงออกว่า เหนือกว่าสีแดง!!
ปลอบใจกันเองเท่านั้น ไม่มีอะไร
ในความเป็นจริงนายกฯ ต้องรู้ดีว่า กลไกศอฉ.ในเวลานี้ เบาเครื่องยนต์หมดแล้ว ใกล้เก็บข้าวของกลับบ้านกันแล้ว
ถ้าสมมติม็อบแดงยังยืดเยื้อต่อไป รัฐบาลก็ไม่มีกลไกทหาร-ตำรวจ ไปจัดการปราบม็อบให้หรอก
นายกฯ อยู่ในสภาพหมดไพ่เล่นแล้ว
ฝ่ายนปช.เองก็รู้ดีว่า การกำหนดเลือกตั้งในเดือนพ.ย. ซึ่งเท่ากับต้องยุบสภาในอีก 4 เดือนข้างหน้า เป็นชัยชนะที่พอสมควรแล้ว
เพียงแต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนอีกนิด ตกลงในรายละเอียดกันอีกหน่อย
แล้วก็พร้อมจะสลายตัว
ทำเป็นขึงขังแข็งกร้าวกันไปงั้นแหละ
ทั้งที่รู้ตัวกันดีว่า ไม่มีทางเลือกมากไปกว่านี้
เลิกกลัวเสียหน้าตา แล้วหาทางลงอย่างสงบและสง่ากันเถอะ!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จนน่าเป็นห่วงว่า สถานการณ์อาจจะไม่คลี่คลายได้ง่ายๆ!?
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีสัญญาณจากทั้งสองฝ่าย เห็นพ้องต้องกันกับแผนปรองดอง คงจะยอมจบในเร็ววัน
จู่ๆ นายกฯ มาแสดงอาการรุกไล่แบบนี้ ฝ่ายม็อบฟังแล้วก็คงไม่พอใจเป็นแน่
เลยกลัวว่า จะหันมารบกันต่อหรือเปล่า
อย่าลืมว่าคนส่วนใหญ่ในบ้านเมือง ต้องการให้เหตุการณ์คลี่คลาย โดยไม่มีการนองเลือด
ไม่มีใครอยากให้ประชาชนทุกสีเสื้อต้องโดนเข่นฆ่ากลางถนน
คนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่มีจิตใจอำมหิต ไม่เรียกร้องให้รัฐบาลปราบม็อบ ด้วยข้ออ้างบังคับใช้กฎหมาย
ปรารถนาอย่างยิ่งให้จบได้ด้วยการเจรจาและสันติวิธี
นั่นคือสิ่งที่ผู้มีจิตใจประชาธิปไตย เจริญด้วยปัญญาและเปี่ยมด้วยมนุษยธรรม ต้องการเห็น
แต่เอาเข้าจริงๆ ที่นายกฯ แสดงออกดุดันทางทีวีนั้น คงเพียงแค่ไม่อยากให้กองเชียร์ที่ใส่เสื้อเหลืองและเสื้อหลากสีรู้สึกผิดหวัง
แค่ต้องการแสดงออกว่า เหนือกว่าสีแดง!!
ปลอบใจกันเองเท่านั้น ไม่มีอะไร
ในความเป็นจริงนายกฯ ต้องรู้ดีว่า กลไกศอฉ.ในเวลานี้ เบาเครื่องยนต์หมดแล้ว ใกล้เก็บข้าวของกลับบ้านกันแล้ว
ถ้าสมมติม็อบแดงยังยืดเยื้อต่อไป รัฐบาลก็ไม่มีกลไกทหาร-ตำรวจ ไปจัดการปราบม็อบให้หรอก
นายกฯ อยู่ในสภาพหมดไพ่เล่นแล้ว
ฝ่ายนปช.เองก็รู้ดีว่า การกำหนดเลือกตั้งในเดือนพ.ย. ซึ่งเท่ากับต้องยุบสภาในอีก 4 เดือนข้างหน้า เป็นชัยชนะที่พอสมควรแล้ว
เพียงแต่ต้องการให้เกิดความชัดเจนอีกนิด ตกลงในรายละเอียดกันอีกหน่อย
แล้วก็พร้อมจะสลายตัว
ทำเป็นขึงขังแข็งกร้าวกันไปงั้นแหละ
ทั้งที่รู้ตัวกันดีว่า ไม่มีทางเลือกมากไปกว่านี้
เลิกกลัวเสียหน้าตา แล้วหาทางลงอย่างสงบและสง่ากันเถอะ!
ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปรองดองหากจะเกิดต้องจริงใจให้แก่กัน

วันนี้มาตรการปรองดองของนายกฯอภิสิทธิ์ดูท่าจะไม่เป็นไปตามดังใจที่ต้องการ เพราะไม่เดินหน้า ซ้ำมาตรการนี้ยังมีเรื่องการปองร้ายและปองด่าขึ้นมาแทน สุดท้ายอาจมีการดองศพ
มองดูแล้วทั้ง 2 ฝ่ายยังคงเล่นเกมกัน โดยเอาแนวทางปรองดองมาเป็นเกม เล่นกันตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะรัฐบาลมีความเชื่อว่า นปช. คงปัดแนวทางการปรองดองนี้ แม้จะกำหนดให้วันที่ 14 พ.ย. เป็นวันเลือกตั้งมาเป็นตัวล่อ แต่ นปช. คงไม่เอาด้วย ถ้าเป็นไปตามนั้นคะแนนนิยมจะไหลกลับมาเห็นใจท่านนายกฯในฐานะที่อย่างน้อยรัฐบาลยอมถอยให้บ้างแล้ว และความเลวร้ายจะไปตกที่ นปช. เพราะจะถูกมองว่าเอาแต่ได้ ไม่สนใจประเทศ
แต่ผิดคาด เพราะดูเหมือนว่า นปช. จะทันเกม รีบรับข้อเสนอยอมถอย แต่มีเงื่อนไขว่านายกฯต้องระบุวันยุบสภาก่อนแล้ว นปช. จะยอมยุติการชุมนุม
แม้วันนี้ยังไม่เห็นว่าความปรองดองจะเริ่มอย่างไร แต่อย่างน้อยทั้ง 2 ฝ่ายก็ทำให้สถานการณ์ความตรึงเครียดน้อยลง และมองเห็นความสงบสุขขึ้นมาบ้าง แม้จะมีคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ อย่างพันธมิตรฯและกลุ่มเสื้อหลากสี
วันนี้ดูเหมือนว่าแผนการปรองดองยังไม่สามารถเดินหน้าได้ และไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นอย่างไรในเมื่อข้อเสนอของแต่ละฝ่ายยังไม่ได้รับการสนอง เนื่องจากต่างฝ่ายยังไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหาให้บ้านเมือง เพราะยังเห็นเล่นเกมกันอยู่
การจะทำให้แผนปรองดองเดินหน้าต่อไปได้จริง ให้มันบรรจบพบกันได้ ต้องอาศัยความจริงใจ ถามว่าอะไรเป็นตัวสมานความปรองดองได้ดีที่สุด คงต้องบอกว่าคงไม่ใช่โรดแม็พของท่านนายกฯหรอก แต่ต้องเป็นโรดแม็พที่มาจากจิตใจของทั้ง 2 ฝ่าย และมาด้วยความซื่อตรง ไม่มีการซ่อนเงื่อนไขอะไรทั้งสิ้น ฝ่ายรับก็รับตรงๆ ฝ่ายเสนอก็ต้องเสนอด้วยความจริงใจอย่างตรงไปตรงมา แต่ที่เราเห็นเสนอมาพร้อมกับซ่อนเกมการต่อรองด้วย หรือเสนอเพื่อหวังคะแนนนิยมสร้างความได้เปรียบคู่ต่อสู้ ย่อมทำให้ความปรองดองทำได้ช้า หรืออาจจะทำไม่ได้
ยิ่งมีคนไม่เห็นด้วยกับแนวทางปรองดองที่มาในลักษณะแจม ออกมาพูดกดดันต่างๆยิ่งทำให้เกิดอาการไขว้เขวและอยากทำให้เป็นจริง
ทีแรกที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับแผนการปรองดองทำให้ประชาชนในประเทศมีความหวัง มีความสุข คิดว่าปัญหาน่าจะจบลง แต่ยังอุตส่าห์มีพวกมาขอแจมด้วยการแสดงความไม่เห็นด้วยโดยการใช้อาวุธสงครามมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ เพราะขัดขวางแนวทางปรองดอง เรียกว่าพยายามหาทางตอกลิ่มให้เกิดความแตกหักให้ได้
ฉะนั้นอยากฝากไว้ว่าหากคิดจะปรองดอง รากฐานของมันคือทุกฝ่ายต้องมีความจริงใจให้แก่กัน ไม่ใช่ต้นตรงแต่ปลายคด ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะรับพิษพยศตรงนั้นไป คือหากฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำผิดพลาด อีกฝ่ายหนึ่งก็พร้อมจะขึ้นขย่มเพื่อเก็บคะแนนนิยมเข้าพวกตัวเองชนิดที่ไม่สนใจว่าประเทศจะเป็นอย่างไร เพราะคิดแต่จะรับเกมที่ตัวเองโยนถามทาง เหมือนโยนหินถามทาง ถ้าตรงไหนได้ประโยชน์ก็รีบรับ แต่ถ้าโยนไปแล้วอันไหนเข้าเนื้อคงไม่เอา ส่วนเรื่องทำแล้วได้เศรษฐกิจกลับมา ได้ประเทศที่สงบสุขกลับมา แต่ถ้าตัวเองเสียประโยชน์มักจะไม่ค่อยสนใจ ชอบเอาความได้เปรียบ เอาชัยชนะเป็นหลัก แล้วเอาความสงบ เอาความตรงไปตรงมาเป็นรอง ถ้าคิดอย่างนี้ก็ยากที่จะปรองดองกันได้ตราบใดที่ทุกฝ่ายยังไม่มีความจริงใจและจริงจังต่อกัน
ความปรองดองไม่เกิด บ้านเมืองเดินหน้าไม่ได้ หรือจะเปลี่ยนจากความปรองดองมาดองศพ รอพิสูจน์เมื่อสงครามกลางเมืองเกิด เพราะไม่มีความจริงใจให้แก่กัน เวลานี้ฐานแห่งความจริงใจ ฐานแห่งความซื่อตรง อยากถามว่าในตัวของนักการเมืองมีฐานเหล่านี้แน่นพอที่จะแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองเข้าสู่สภาวะปรกติ พอเพียงแข็งแกร่งได้หรือไม่ ฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องการคนตรง คนตรงนั้นจะไม่ซ่อนพิษพยศ เขาบอกว่าอุปสรรคหรือปัญหาใหญ่ของคนตรงมีอยู่เรื่องเดียวคือความดื้อ เปรียบได้ดังคนขับรถที่คิดแต่ว่าจะตรง ใครจะโผล่จะเลี้ยวออกมา ถึงชนไปตัวเองก็เป็นฝ่ายถูกเพราะมาทางตรง เวลานี้รัฐบาลเองก็มาสายตรง เป็นผู้รักษากฎหมาย บริหารด้วยความตรง ส่วน นปช. ก็คิดว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตยสายตรง ทำตามระบอบประชาธิปไตย
แต่ทั้งหมดก็ไม่ใช่สายตรงแห่งความเป็นมนุษย์ สายตรงที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความเจริญรุ่งเรือง แต่ตรงบนความต้องการของการชิงไหวชิงพริบ เอาชัยชนะเป็นหลัก เอาความสงบให้บ้านเมืองเป็นรอง จึงปรองดองไม่สำเร็จ ได้แต่ปองร้าย และในที่สุดคงต้องมีการดองศพ เพราะเผาไม่ทันต้องเก็บไว้รอพิสูจน์
จึงอยากฝากทุกฝ่ายไว้ว่าทั้งกิจกรรมทางการเมือง ทั้งปัญหาของบ้านเมืองที่เป็นอยู่ จำเป็นต้องใช้คนที่ตรงจริงๆ ตรงตั้งแต่ต้น ตรงแท้ๆ ไม่ใช่มาคดตอนปลาย จะทำให้คนเจ็บใจ
คนตรงมักจะดื้อเพราะถือว่าตัวเองตรง และฟังใครยาก เหมือนอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะแกนนำทั้งหลายที่บอกว่าตัวเองตรง จึงไม่หลบ ไม่เลี่ยงที่จะปะทะอะไรที่ควรจะบ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงได้ ฉะนั้นขอให้แก้ไขกันด้วยความตรง ความจริงใจ แล้วทุกอย่างจะแก้ได้
เจริญพร
คอลัมน์.สำนัก(ข่าว)พระพยอม
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย พระพยอม กัลยาโณ
**********************************************************************
อย่ามา“มาร์ค”(อีกที)
ถึงวันนี้เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศในปฏิบัติการตามวาทกรรม “ขอคืนพื้นที่” กับคำสั่งเด็ดขาดว่าจะต้องสลายการชุมนุมยึดพื้นที่คืนให้ได้ จนทำให้มีคนตายทันทีในเหตุการณ์วันนั้นเกือบ 20 คน (ไม่นับรวมผู้เสียชีวิตในภายหลัง) และบาดเจ็บทันทีอีกกว่า 800 คน แต่เวลาผ่านไป 1 เดือนแล้วเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อัปยศนี้เกิดขึ้นในประเทศไทย
ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดออกมาเรียกร้อง ออกมาตรวจสอบหาคนผิด และคนสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนเจ็บและตายจำนวนมากก็ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ได้ต่อไป
กรณีนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนอย่างไร
ย้อนไปหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภาเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ให้หลังจากนั้น 2 วัน ในวันที่ 9 ตุลาคม นายอภิสิทธิ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงต่อสื่อมวลชนหลังประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ ที่ประกอบด้วยแกนนำและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ว่า
“วันนี้ในทางการเมืองความชอบธรรมหมดไปแล้ว เราเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกฯ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) จะลาออก หรือถ้ากลัวว่าลาออกแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะมีอำนาจจะยุบสภาก็ได้ แต่ไม่ควรเพิกเฉย เพราะถ้าไม่ทำอะไรก็เท่ากับทำร้ายบ้านเมือง และกำลังทำร้ายระบบการเมือง เพราะระบบการเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ....
...วันนี้นายกฯต้องรู้ตัวเองว่าเป็นผู้นำประเทศหรือไม่ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง 1 วัน เจ็บกว่า 400 คน มีทั้งสาหัสและเสียชีวิต เพียงเพราะนายกฯต้องการเข้าไปอ่านเอกสาร 33 หน้า (แถลงนโยบายในสภา) อ่านเสร็จแล้วก็ไม่สามารถทำได้ตามที่อ่าน จึงมองไม่เห็นว่าอยู่ในฐานะอะไรที่จะมาตั้งคนขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ถ้าบอกว่าทั้งหมดเป็นเรื่องตำรวจ อย่างนั้นก็ลาออกไปให้ตำรวจบริหารบ้านเมืองไปเลย ถ้าบอกว่าตัดสินใจไม่ได้ต้องฟังโทรศัพท์จากลอนดอน ก็เอาคนที่ลอนดอนกลับมา...
....นายกฯก็มีแต่สร้างปัญหาให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ห่วงว่ารัฐบาลจะอยู่สั้นอยู่ยาว แต่ห่วงว่าบ้านเมืองจะเดินอย่างไร รัฐบาลยังอยู่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรให้บ้านเมือง สถานการณ์ตอนนี้นายกฯมีแต่ความหวาดระแวง หวาดกลัว อยากถามว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร อยู่เพื่อกลัวคนคนหนึ่งติดคุกหรืออย่างไร จะให้บาดแผลในสังคมลุกลามบานปลายไปถึงขนาดไหน ไม่อยากเชื่อว่านี่คือคนที่เคยเป็นผู้บริหารสูงสุดในกระทรวงยุติธรรม...
ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมสถานการณ์ในขณะนี้ที่ถือว่าวิกฤตสูงสุดแล้ว นายสมชายยังอยู่ได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ผมตอบไม่ได้ ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผมรู้จักก็คงไม่เป็นแบบนี้”
นี่แหละธาตุแท้ของคนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ทุกครั้งที่สถานะเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน เขามักจะเปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลยคือการไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ไม่ค่อยรักษาคำพูด สามารถพูดขาวให้เป็นดำ พูดดำให้เป็นขาวได้ตลอดเวลา
ถ้าเทียบจำนวนผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ห่างไกลกันมาก
หากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผู้เขียนรู้จักก็ไม่เป็นแบบนี้
คอลัมน์.เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
**********************************************************************
ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดออกมาเรียกร้อง ออกมาตรวจสอบหาคนผิด และคนสั่งสลายการชุมนุมจนมีคนเจ็บและตายจำนวนมากก็ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ได้ต่อไป
กรณีนี้เป็นอีกกรณีหนึ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนอย่างไร
ย้อนไปหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯที่หน้ารัฐสภาเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ให้หลังจากนั้น 2 วัน ในวันที่ 9 ตุลาคม นายอภิสิทธิ์ ซึ่งตอนนั้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้แถลงต่อสื่อมวลชนหลังประชุมคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ ที่ประกอบด้วยแกนนำและ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ว่า
“วันนี้ในทางการเมืองความชอบธรรมหมดไปแล้ว เราเรียกร้องความรับผิดชอบจากนายกฯ (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์) จะลาออก หรือถ้ากลัวว่าลาออกแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะมีอำนาจจะยุบสภาก็ได้ แต่ไม่ควรเพิกเฉย เพราะถ้าไม่ทำอะไรก็เท่ากับทำร้ายบ้านเมือง และกำลังทำร้ายระบบการเมือง เพราะระบบการเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตยไม่มีที่ไหนในโลกที่ประชาชนถูกทำร้ายจากภาครัฐ แต่รัฐบาลที่มาจากประชาชนไม่แสดงความรับผิดชอบ....
...วันนี้นายกฯต้องรู้ตัวเองว่าเป็นผู้นำประเทศหรือไม่ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในบ้านเมือง 1 วัน เจ็บกว่า 400 คน มีทั้งสาหัสและเสียชีวิต เพียงเพราะนายกฯต้องการเข้าไปอ่านเอกสาร 33 หน้า (แถลงนโยบายในสภา) อ่านเสร็จแล้วก็ไม่สามารถทำได้ตามที่อ่าน จึงมองไม่เห็นว่าอยู่ในฐานะอะไรที่จะมาตั้งคนขึ้นมาสอบข้อเท็จจริง ถ้าบอกว่าทั้งหมดเป็นเรื่องตำรวจ อย่างนั้นก็ลาออกไปให้ตำรวจบริหารบ้านเมืองไปเลย ถ้าบอกว่าตัดสินใจไม่ได้ต้องฟังโทรศัพท์จากลอนดอน ก็เอาคนที่ลอนดอนกลับมา...
....นายกฯก็มีแต่สร้างปัญหาให้กับสังคมมากขึ้นเรื่อยๆ ผมไม่ห่วงว่ารัฐบาลจะอยู่สั้นอยู่ยาว แต่ห่วงว่าบ้านเมืองจะเดินอย่างไร รัฐบาลยังอยู่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะทำอะไรให้บ้านเมือง สถานการณ์ตอนนี้นายกฯมีแต่ความหวาดระแวง หวาดกลัว อยากถามว่าจะอยู่ไปเพื่ออะไร อยู่เพื่อกลัวคนคนหนึ่งติดคุกหรืออย่างไร จะให้บาดแผลในสังคมลุกลามบานปลายไปถึงขนาดไหน ไม่อยากเชื่อว่านี่คือคนที่เคยเป็นผู้บริหารสูงสุดในกระทรวงยุติธรรม...
ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมสถานการณ์ในขณะนี้ที่ถือว่าวิกฤตสูงสุดแล้ว นายสมชายยังอยู่ได้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ผมตอบไม่ได้ ผมก็ไม่เคยเห็นคนแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผมรู้จักก็คงไม่เป็นแบบนี้”
นี่แหละธาตุแท้ของคนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ทุกครั้งที่สถานะเปลี่ยน เวลาเปลี่ยน เขามักจะเปลี่ยนไปไม่ใช่คนเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลยคือการไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย ไม่ค่อยรักษาคำพูด สามารถพูดขาวให้เป็นดำ พูดดำให้เป็นขาวได้ตลอดเวลา
ถ้าเทียบจำนวนผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต เหตุการณ์เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กับเหตุการณ์เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ห่างไกลกันมาก
หากเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผู้เขียนรู้จักก็ไม่เป็นแบบนี้
คอลัมน์.เป็นประชารัฐ
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย ลอย ลมบน
**********************************************************************
ล้างไพ่!

วิกฤตบ้านเมืองไล่ฆ่ากันวันนี้ เป็นเพราะ “กิเลส-ตัณหา” ที่ยังไม่หมดไปจาก “ตัวกู-ของกู” จึงทำให้เป็นปัญหา “หนักแผ่นดิน”
โดยเฉพาะ “คนหนักแผ่นดิน” ยิ่งแก้ยาก เพราะพวกนี้ถ้ายังไม่ตายก็จะทำให้แผ่นดินวุ่นวายหรือนองไปด้วยเลือด
แม้จะมีโรดแม็พ “หล่อหลักลอย” ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเกิดความสงบสันติ ต้องใช้เวลาซึ่งจะพิสูจน์ว่าใครที่รักชาติและรักประชาชนจริง ขณะที่ “หล่อหลักลอย” ก็ไม่ได้แสดงความชัดเจนในเรื่องวัน “ยุบสภา” หรือการดำเนินคดีกับทุกฝ่ายอย่างชัดเจน ยกเว้น “ไพร่ไม่มีเส้น”
สถานการณ์ที่น่าวิตกขณะนี้จึงไหลไปอยู่กับพวก “บ่างช่างยุ” และพวกฉวยโอกาส “โหนสถานการณ์” ที่ได้จังหวะโผล่ “ขอส่วนบุญ” ทั้งที่ไม่ทำงานและไม่มีผลงาน
โดยเฉพาะพวกสัตว์การเมือง “ลากตั้ง” ที่จัดอยู่ในพวกสัตว์เลื้อยคลาน ซึ่งรู้ดีว่าหากการเมืองพลิกขั้วหรือกลับสู่สถานการณ์ปรกติก็ต้องนับถอยหลัง
ที่สำคัญ “ผู้มีพระคุณ” ก็ไม่พร้อมจะออกมาเล่นตามกติกา!
บรรดาสัตว์การเมือง “ลากตั้ง” จึงต้องออกมาอาละวาดอย่างหนัก โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้เป็น “ผู้มีพระคุณ”
เกมไล่บี้ “หล่อหลักลอย” จึงเป็นไปตามผลประโยชน์ “ของกูและพวกกู” ซึ่งต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้มีการยุบสภาและเลือกตั้ง
ไม่ใช่แค่อำนาจจะกลับคืนสู่ประชาชนเท่านั้น แต่ยังเป็นการนับถอยหลังอำนาจของ “อีแอบ” และบรรดา “เขียวช้ำเลือดช้ำหนอง” อีกด้วย
แค่ก้าวแรกโรดแม็พของ “หล่อหลักลอย” จึงเต็มไปด้วยระเบิดและสงครามข่าวที่ขยายวงความขัดแย้งให้แตกขั้วแตกกลุ่ม
แม้แต่ “ไพร่ไม่มีเส้น” ยังเกิด “โรคแทรกซ้อน” เพราะพวกหนึ่งไม่เชื่อคำพูด “หล่อหลักลอย” โดยเฉพาะ “เสธ.แดง” ประกาศจะเป็นกองกำลังอิสระต่อสู้กับ “หล่อหลักลอย” กับ “กองทัพตุ๊ด” ต่อไป
ที่สำคัญไม่ว่าจะสีอะไร หล่อหรืออัปลักษณ์ ล้วนมี “แผล” เต็มตัวทั้งสิ้น
จึงต้องจับตาการ “ล้างไพ่” ที่จะเป็นเกมหักมุมสำคัญของบรรดาสัตว์การเมืองที่จะ “เกี๊ยะเซียะ” ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการ “หักหลัง” ประชาชน
โดยเฉพาะ “ไพร่ไม่มีเส้น” ที่นอนกลางถนน นั่งสู้ทั้งแดดทั้งฝน แต่สุดท้าย “กลับบ้านมือเปล่า”
กลับไปเป็น “ไพร่” ที่ถูกโขกถูกสับเหมือนเดิม
เพราะในที่สุดประชาธิปไตยก็เป็นของ “พวกมึง” ไม่ใช่ “พวกกู” อีกตามเคย!
คอลัมน์.ฉุก(ละหุก)คิด
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
โดย นายหัวดี
**********************************************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)