--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทักษิณ"เปิดใจกับ"สำนักข่าวเนชั่น "ยังไม่ตาย-แข็งแรงดี"

ชี้หากอยากให้บ้านเมืองสงบ รัฐต้องใจกว้าง ลืมอดีต อย่าอาฆาตกัน
พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวเนชั่น" นานกว่า 10 นาที หลังเกิดกระแสข่าวลืออย่างหนัก ทั้งเรื่องการเสียชีวิตและข่าวการป่วยเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะ 3

การให้สัมภาษณ์ดังกล่าวนี้ มีขึ้นภายหลังจากผู้สื่อข่าวได้ขอสัมภาษณ์นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ถึงข่าวที่มีการระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ สั่งการผ่าน ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ให้นำมวลชนมาเติมให้กับผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง โดยนายประชา ปฎิเสธว่าไม่ทราบกระแสข่าวนี้ ส.ส.ทำเพียงแค่ช่วยดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมบ้างเท่านั้น แต่ถ้าหากสงสัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณเสียชีวิตหรือป่วยหนัก ตนเพิ่งคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งถ้าสงสัยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ให้โทรไปสอบถามได้เลย

ผู้สื่อข่าวจึงได้ขอเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ ซึ่งนายประชาได้ให้มา 2 เบอร์ จากนั้นเวลา 15.00 น.ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์เข้าไปยังเบอร์ที่นายประชาให้มา ปรากฏว่าปลายทางเป็นชายที่เสียงคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณรับสาย โดยบอกว่า "ผมกำลังอยู่บนเครื่องบิน ตอนนี้เครื่องกำลังเทคออฟ ให้โทรมาใหม่อีกที" จากนั้นได้วางสายไป โดยไม่ได้บอกว่า กำลังจะเดินทางไปยังสถานที่แห่งใด

ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อเป็นระยะ ๆ และประสบผลสำเร็จเมื่อเวลา 18.50 น.โดยเมื่อถามว่า ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ ปลายสายบอกว่า "ผมนี่แหล่ะ ไม่ใช่ผี"

หลังจากนั้นจึงเป็นการให้สัมภาษณ์เปิดใจ ต่อสื่อมวลชนไทยเป็นครั้งแรก หลังยุติการโฟนอินไปเป็นเวลานานนับเดือน ซึ่งการสนทนา มีดังนี้

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมาหลังยุติการโฟนอิน มีข่าวลือต่อเนื่อง ทั้งข่าวมะเร็ง ข่าวเสียชีวิต ป่วยจริงหรือไม่
ไม่ได้ป่วยอะไร ผมแข็งแรงดี และเดินทางตลอด ไปตรวจร่างกายมีคลอเรสเตอรอล ตัวดี นิดหน่อย ออกกำลังไม่พอ

มีข่าวว่าทางครอบครัวแต่งชุดดำ เดินทางไปหาที่ฮ่องกง
ยังไม่เจอกัน ผมไม่ได้เจอกับเมียมา 1- 2 ปีแล้ว

ล่าสุดรัฐบาลเสนอแผนปฎิรูปประเทศไทย โดยดึงภาคประชาชนฝ่ายต่างๆ มาร่วมจัดทำแผนเพื่อแก้ปัญหาการเมืองทั้งระบบ ท่านจะเสนอโรดแมพแก้ปัญหาด้วยหรือไม่เพราะขณะนี้เกิดวิกฤตใหม่หนักแล้ว
คงไม่ได้เสนออะไร แต่ถ้าจะไปเขียนจะเขียนสวยหรู แบบตั้งท่าทะเลาะกัน ไปตอบโต้กัน ก็ให้เปลี่ยนเป็นว่า เอาทัศนคติมาคุยกัน เราพร้อมจะเป็นมิตรกันหรือยัง มีทัศนคติที่ไม่อาฆาตมาดร้าย ไม่เอาเปรียบ ไม่กลั่นแกล้ง อาฆาตมาดร้าย เพราะถ้าเราอยากเห็นประเทศไทยสงบ อยากเห็นทุกคนหันหน้าเข้าหากัน แล้วลืมเรื่องในอดีต มองในอนาคตดีกว่า

ยุบสภาแล้วจะจบหรือไม่ เพราะมีการมองเป้าหมายของนปช.และเสื้อแดง ไม่ได้แค่ยุบสภา แต่เลยไปพูดเรื่องล้มสถาบัน หลังจากที่ ศอฉ.เปิดเผยแผนผังโดยมีการมองว่าพ.ต.ท.ทักษิณอยู่เบื้องหลัง
นี่ไง ถ้าหากว่าก็สู้กันทางการเมืองก็แย่แล้ว แล้วเอาประชาชนมาแอบอ้างให้ตัวเองดูน่าเกลียดก็ยิ่งไปใหญ่ สถาบันถือเป็นสิ่งสูง อย่าเอามายุ่งต่อการทะเลาะเบาะแว้ง อย่าเอามากล้าวอ้าง เพราะข้อกฎหมายก็มีชัดเจนอยู่แล้ว ก็ต้องดำเนินการตามกฏหมาย ไม่ใช่ทำให้คนไปอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน แล้วรบกันตลอด สิ่งนี้เคยเป็นบทเรียนในอดีตแล้ว เอามาใช้อีกทำไม ต้องเอาความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นคนพุทธ เข้าหากัน ทุกอย่างจะจบ ไม่อาฆาตกัน มองโลกไปข้างหน้า เพราะวันข้างหน้าเราต้องพัฒนาเพื่อลูกหลาน ตัวอย่างง่ายๆ อย่างตัวผมนี่ เอาผมไปใช้ประโยชน์กับประเทศ อย่าเอาผมเป็นอะไรก็ไม่รู้ จะได้ประโยชน์อะไรมากกว่ากัน

ยกตัวอย่าง มาบอกคุณทักษิณนะ ช่วยประสานประเทศนั้นประเทศนี้ให้หน่อย อยากเจาะตลาดเรื่องนี้ มีประโยชน์กว่าไหมกับการมาบอกว่า ประเทศนี้อย่าให้ทักษิณเข้านะ ปิดประตูเลยนะ ทั้งที่เขาเป็นมิตรกับผม และเขาก็เป็นมิตรกับประเทศไทย ต้องใจกว้างบ้านเมืองถึงจะสงบ

การเจรจาตอนนี้เลยจุดไปแล้วหรือไม่ และมีการมองว่าการยุบสภาอาจไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง
ผมไม่ทราบ ต้องไปคุยพวกแกนนำเขาก็แล้วกัน ผมไม่รู้เรื่อง คุยกับทางโน้น แล้วไปคุยกับพี่น้อง ต้องไปถามประชาชนที่เขามาสู้ด้วยว่า เป็นอย่างนี้เขารับได้ไหม เขาได้ต่อสู้กันมานาน เขาได้เสียชีวิตไป เสียเลือด เสียเนื้อกันไป บางคนโดนลูกปืนยางยิง บางคนโดนควักลูกตา บางคนเสียชีวิตไป บางคนตอนนี้กระสุนยังฝังในอยู่ ต้องมีเหตุผลที่ดีให้เขาฟัง ดูว่าเขารับได้ไหม

เหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน และเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายนที่ดอนเมือง ท่านได้ติดตามตลอดหรือไม่ รับรู้เหตุการณ์ตลอดหรือไม่
ติดตามตลอด

มีการพูดเรื่องคนชุดดำและมือที่ 3 การข่าวของท่านทราบหรือไม่ว่าคนชุดดำเป็นใคร
ผมทราบผิวเผิน แต่ถ้าจะกล่าวหา ถ้าจะฟื้นฝอยหาตะเข็บกล่าวหากัน มันก็ไม่จบ แต่ถ้าวันนี้เรามองไปข้างหน้าจะดีกว่า ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างไร ถ้าเรามองไปข้างหน้ากันได้ เป็นหนึ่งเดียวได้ ก็ไม่มีอะไร ทุกอย่างจบ

คนเสื้อแดงถูกมองว่าทำให้ รพ.จุฬาฯ เดือดร้อนจนกลายเป็นว่าขณะนี้กระแสตีกลับ
ผมไม่รู้รายละเอียด ไม่รู้ครับ ...

จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณได้วางสาย
ที่มา.กรุงเทพธุรกิจ
------------------------------------------------------------------------

ไม่รับผิดชอบ

"ผมไม่นึกไม่ฝันว่าเรามีรัฐที่ได้ทำร้ายประชาชนถึงขั้นเสียชีวิต บาดเจ็บสาหัส แล้วเรายังมีรัฐที่พยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชนอีก เป็นพฤติกรรมที่รับไม่ได้ครับ"

นี่คือวาทะของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมัยที่เป็นผู้นำฝ่ายค้าน กล่าวประณามรัฐบาล นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้รับผิดชอบการสลายการชุมนุมของม็อบพันธมิตรที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551

ตอนนั้นมีผู้เสียชีวิต 2 รายบาดเจ็บหลายร้อยราย

วาทะของนายอภิสิทธิ์นี้พูดเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนั้นคงไม่คาดฝันว่าจะมาเป็นรัฐบาล ไม่คาดคิดว่าจะต้องเป็นผู้สั่งการสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

ยังมีเหตุการณ์ม็อบชนม็อบที่สีลมจนเกิดระเบิดพินาศ และเหตุการณ์ทหารสลายม็อบแดงที่ดอนเมือง

ทั้ง 3 เหตุการณ์มีผู้เสียชีวิตรวม 27 ศพ แยกเป็นม็อบแดง 20 ศพ ทหาร 6 ศพ และม็อบสีลม 1 ศพ

มีผู้บาดเจ็บเกือบพันคนทีเดียว

แล้วรัฐบาลนายกฯอภิสิทธิ์ จะไม่รับผิดชอบการสูญเสียที่เกิดขึ้นเลยหรือ!?

เหตุการณ์สลายม็อบ 7 ตุลาที่หน้ารัฐสภา นายอภิสิทธิ์ในเวลานั้นประณามรัฐบาลพลังประชาชนว่าพยายามยัดเยียดความผิดกลับไปให้ประชาชน

เหตุการณ์สลายม็อบ 10 เมษาเลือด นายอภิสิทธิ์ในตอนนี้กลับยัดเยียดความผิดให้ม็อบแดง กล่าวหาว่ามีผู้ก่อการร้ายอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม

รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ไม่รู้สึกเลยหรือว่าต้นตอของความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจากคำสั่งส่งกองทหารเข้าสลายการชุมนุม

แทบไม่เชื่อว่านายกฯอภิสิทธิ์ที่ประกาศตัวมาตลอดว่ายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย

จะปฏิเสธแนวทางสันติแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคม

กลับเลือกใช้วิธีการนองเลือดแทน !!

ตอนนี้องค์กรนานาชาติหลายองค์กรกำลังจับจ้องดูเหตุการณ์ความขัดแย้งในเมืองไทย

ล่าสุด ฮิวแมนไรท์วอตช์ องค์กรคุ้มครองสิทธิมนุษยชนชั้นนำของโลก ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้สอบสวนเหตุสลายม็อบ 10 เม.ย.จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

ศูนย์สิทธิมนุษยชนเอเชีย (เอซีเอชอาร์) ที่ปรึกษาด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ ก็ออกแถลง การณ์ว่าในเหตุการณ์ 10 เม.ย.มีหลักฐานชัดเจนว่าทหารไทยใช้กำลังโดยไม่เหมาะสม ละเมิดสิทธิในการมีชีวิตอยู่ของพลเรือนจำนวนมาก

และยังเตือนว่าหากการสอบสวนของรัฐบาลไทยไม่มีความน่าเชื่อถือ เอซีเอชอาร์อาจแทรกแซงโดยให้ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) เปิดการพิจารณาคดีนี้แทน

ถึงเวลานั้นนายอภิสิทธิ์คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว
ข่าวสดรายวัน
เหล็กใน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

ศักดิ์ศรีที่หายไป

วิกฤตการเมืองไทยขณะนี้ไม่ได้ถูกจำกัดเฉพาะในประเทศไทยแล้ว แต่ทั่วโลกได้จับตามองประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงองค์การสหประชาชาติและสหภาพยุโรปก็แสดงความวิตกกังวลอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในประเทศไทยที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ

โดยเฉพาะเอกอัครราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้เรียกร้องให้มีการเคารพกฎหมายการเจรจาที่เป็นประโยชน์ และการหาทางออกอันเป็นผลจากการเจรจาที่จะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤตทางการเมืองอย่างสันติวิธีและเป็นประชาธิปไตย

รัฐบาลและกองทัพจึงจะทำเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” หรือ “ลิงหลอกเจ้า” หรือลิงที่ปิดหู ปิดตา ปิดปาก กับปฏิกิริยาที่นานาชาติมีต่อประเทศไทยไม่ได้ หากยังยืนยันว่าเป็นรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่รัฐบาลเผด็จการทหารอย่างพม่าที่ปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรง โดยปิดประเทศและปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทุกชนิดไม่ให้เผยแพร่ออกมาภายนอก

อย่างกรณี 47 ประเทศที่ประกาศเตือนการเดินทางเข้าประเทศไทยและกรุงเทพฯ ซึ่งประเทศที่ห้ามเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว อาทิ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สเปน จีน อังกฤษ และแคนาดา ส่วนกระทรวงต่างประเทศสหรัฐเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังในการเที่ยวประเทศไทย ซึ่งถือเป็นความเสียหายกับประเทศไทยอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องการท่องเที่ยว แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและการลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งไม่ว่าสถานการณ์จะยุติเร็วหรือช้า ประเทศไทยก็ต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนเชื่อมั่นเหมือนเดิมได้

ทุกฝ่ายต่างก็ยอมรับว่าการแก้ปัญหาวิกฤตการเมืองไทยวันนี้ไม่ใช่ยุติที่การเจรจา แต่ทำอย่างไรที่จะแก้ปัญหามากมายที่ฝังลึกอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม โดยเฉพาะเรื่องช่องว่างทางชนชั้นและความยุติธรรม ไม่ใช่แค่แก้รัฐธรรมนูญ หรือให้ทหารกลับเข้ากรมกองและเป็นกองทัพของประชาชนเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธว่าสิ่งแรกที่จะต้องเกิดขึ้นคือ การยุติปัญหาอย่างสันติวิธี ซึ่งทุกฝ่ายต้องเสียสละ อดทน อดกลั้น ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เคยพูดไว้ครั้งเป็นฝ่ายค้านว่าไม่มีเหตุผลใดๆที่รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมถึงการเจรจา รัฐบาล ผู้นำ หรือผู้มีอำนาจ จะต้องเป็นฝ่ายเริ่มถอยก่อนเพื่อแสดงถึงความจริงใจ แสดงความรับผิดชอบที่จะแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี

วันนี้จึงมีคนจำนวนมากถามนายอภิสิทธิ์ว่าทำอย่างที่เคยพูดไว้หรือไม่
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
**********************************************************************

วันจันทร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ข้อสังเกตจากการรายงานข่าวเสื้อแดงบางกรณีของนสพ.

ผู้สื่อข่าวอาวุโส ภายใต้นามปากกา ส. หัตถา ตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมสื่อ ในการรายงานข่าวความขัดแย้งทางการเมือง ทั้งในแง่วิชาชีพ และความรอบด้านในประเด็นที่รายงาน ซึ่งพบได้ว่าไม่ต่างอะไรกับการรายงานข่าวสถานการณ์ใต้ ที่เต็มไปด้วยอคติและเมินเฉยต่อความสูญเสียของประชาชนมากว่าเจ้าหน้าที่รัฐ

ในความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างเสื้อเหลืองกับเสื้อแดง สื่อและนสพ.ไทยถูกวิจารณ์เรื่อยมาว่าไม่ได้ทำหน้าที่ตามวิชาชีพของตนเอง ถูกตำหนิด้วยข้อหาตั้งแต่ว่ารายงานข่าวอย่างลำเอียงและเลือกข้างไปจนถึงเรื่องบิดเบือนข่าวสาร

ในรอบไม่กี่วันที่ผ่านมามีตัวอย่างสองเรื่องที่แสดงให้เห็นพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของสื่อ

เรื่องแรกคือกรณีการรายงานข่าวการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ดอนเมืองเมื่อวันที่ 28 เมษายน ซึ่งในเหตุการณ์นี้มีทหารเสียชีวิตหนึ่งนาย และมีผู้บาดเจ็บซึ่งตัวเลขจากการแถลงของกระทรวงสาธารณสุขวันรุ่งขึ้นระบุว่ามีจำนวน 16 คน ในกลุ่มนี้เป็นทหารสองนาย และเป็นผู้บาดเจ็บสาหัสสามรายที่ยังต้องรับการรักษาตัวในห้องไอซียูในโรงพยาบาล ทั้งสามรายนี้บาดเจ็บด้วยบาดแผลจากกระสุนปืน กล่าวคือคนหนึ่งถูกยิงที่หัว อีกสองรายเจอเข้าที่ท้อง

การรายงานข่าวของนสพ.ในเรื่องการเสียชีวิตของทหารสรุปไว้ว่า จะต้องรอการสอบสวนเพราะไม่ชัดเจนว่าเป็นฝีมือใคร

สื่อต่างประเทศส่วนหนึ่งรายงานตั้งแต่วันเกิดเหตุว่าทหารที่เสียชีวิตถูกเพื่อนทหารด้วยกันยิงเพราะความเข้าใจผิดคิดว่าเป็นคนเสื้อแดง ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐบาล เช่นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินหรือศอฉ.กลับมีท่าทีคลุมเครือขอให้รอการสอบสวน

แม้ว่าในเหตุการณ์ก่อนๆหน้านี้ ศอฉ.และรองนายกรัฐมนตรีนายสุเทพ เทือกสุบรรณมักจะมีบทสรุปที่มาที่ไปของเหตุการณ์ต่างๆได้อย่างรวดเร็วเกินคาดเสมอ ยกตัวอย่างเช่นในเรื่องของการยิงเอ็ม 79 ใส่กลุ่มคนเสื้อหลากสีเมื่อวันที่ 22 เมษายน ก็สามารถระบุได้ทันทีหลังเกิดเหตุโดยไม่ต้องรอการสอบสวน ว่าเป็นฝีมือของคนเสื้อแดง

ในบรรดานสพ.ฉบับต่างๆนั้น นสพ.สามฉบับที่คาดว่ายังพอจะรักษาความน่าเชื่อถือไว้ได้บ้างในสายตาของนักสังเกตุการณ์การเมืองเมืองไทยจำนวนหนึ่งในแง่ของการมี “ข้อเท็จจริง” ก็คือ ไทยรัฐ มติชน และข่าวสด ปรากฏว่าไทยรัฐและมติชน เลือกที่จะพาดหัวประเด็นความสูญเสียของทหารเช่นเดียวกันกับนสพ.อื่นๆ

ในเนื้อข่าวรายงานตามคำอธิบายของศอฉ. แม้จะอ้างด้วยว่ามีสื่อต่างประเทศรายงานว่าเป็นการยิงจากเพื่อนทหารด้วยกันแต่ก็เลือกที่จะไม่ลงในรายละเอียด ในขณะที่นสพ.ข่าวสดกลับพาดหัวประเด็นการทำงานพลาดของทหาร และลงรายละเอียดในประเด็นนี้มากกว่าฉบับอื่นๆ

การที่นสพ.สองฉบับแรกไม่ตามประเด็นทหารยิงพลาดอาจเป็นเครื่องหมายแสดงว่าไม่ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้ ซึ่งก็อาจจะชี้ให้เห็นถึงทัศนะของสื่อที่ดูเสมือนว่าพร้อมจะมองข้ามกรณีที่เป็นการทำงานที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ ซึ่งกรณีนี้คงไม่ใช่เรื่องของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยเท่านั้น แต่อาจสะท้อนความผิดพลาดในระดับสั่งการด้วย

ที่สำคัญการยอมรับคำอธิบายเรื่องการทำงานของศอฉ. เห็นได้ชัดว่ามีส่วนทำให้สื่อมองข้ามประเด็นที่แรงกว่า นั่นคือเรื่องการเลือกใช้วิธีการรับมือกับกลุ่มคนเสื้อแดงของเจ้าหน้าที่ที่ใช้ความรุนแรงเกินเหตุ กล่าวคือการใช้กระสุนจริงยิงเข้าใส่หรือพร้อมจะยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม

ในวันถัดมา ก็ยังไม่ปรากฏว่านสพ.เหล่านี้จะติดตามประเด็นเรื่องของการใช้กระสุนนี้เพิ่มเติมแต่อย่างใด ยังคงไม่มีข้อมูลใดๆเรื่องกลุ่มผู้บาดเจ็บที่ยังอยู่ในรพ. เท่ากับว่าประเด็นของการใช้ความรุนแรงเกินจำเป็นกับผู้ชุมนุมไม่ได้รับการติดตามหรือให้ความสนใจราวกับว่าชีวิตของผู้ชุมนุมเสื้อแดงนั้นไร้ค่าเต็มที

มีสื่อและนสพ.ไทยน้อยรายที่จะพูดเรื่องนี้ ราวกับว่าพวกเขาพากันเจ็บป่วยจากอาการสายตาพิการรวมหมู่

ในขณะที่ประเด็นที่สื่อให้ความสนใจกันอย่างยิ่ง กลับกลายเป็นเรื่องพฤติกรรมของนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเสื้อแดงที่ถูกวิจารณ์ว่ากระทำตัวไม่เหมาะสม นอกจากจะนำพาคนเสื้อแดงไปพบกับความตายแล้ว ในนาทีวิกฤติของการปะทะก็ยังไม่รับผิดชอบทอดทิ้งมวลชนเอาตัวรอด รวมทั้งเรื่องการมีคนเสื้อดำมีอาวุธแอบแฝงอยู่ข้างทางบวกกับการที่คนเสื้อแดงบางคนมีปืนพกตามคลิปข่าวของสำนักข่าวอัลจาซีร่า

จริงอยู่สิ่งที่นสพ.และสื่อไทยหยิบยกมารายงานแทบทุกเรื่อง ล้วนมีช่วยช่วยเติมข้อมูลให้กับสังคม แต่น่าสนใจว่า การใช้ความเป็นมืออาชีพแบบเลือกสรร กล่าวคือขยายส่วนเลวและผิดพลาดของฝ่ายใดฝ่ายเดียวในความขัดแย้งนี้ และพร้อมที่จะยอมรับคำอธิบายแบบง่ายๆหรือบางครั้งแทบจะไร้ที่มาที่ไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ดูจะเป็นวิธีการทำงานของสื่อที่เห็นได้ชัด

วิธีการรายงานข่าวเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายนนั้น ความสนใจของสื่อต่อประเด็นเรื่องความตายของคนเสื้อแดง การสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรงเกินจริง และการขนอาวุธยุทโธปกรณ์เข้ากรุงเทพฯมากมายด้วยเจตนาที่มองเป็นอื่นไม่ได้นอกจากว่าจะใช้กับฝูงชน ถูกบดบังอย่างสิ้นเชิงด้วยความสนใจที่พุ่งเป้าไปที่ประเด็นการตามหาคนเสื้อดำที่ยิงทหารตายและขัดขวางการสลายการชุมนุม (ด้วยกำลัง) ของเจ้าหน้าที่

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเรื่องของการรายงานข่าวกรณีการ์ดนปช.บุกตรวจค้นรพ.จุฬาซึ่งแน่นอนว่าเป็นการกระทำที่สมควรถูกประนามอย่างยิ่งเพราะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ที่มีปัญหาเจ็บป่วยอยู่แล้ว และหลายคนอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ แต่การรายงานข่าวของสื่อดูจะประสานเสียงกัน ให้ภาพที่สร้างความสะเทือนอารมณ์ประหนึ่งว่าคนเสื้อแดงกลุ่มที่เข้าไปยังรพ.จุฬานั้นไปเพื่อไล่ล่าทำร้ายคนในรพ.อย่างป่าเถื่อน โหดร้าย ลุแก่โทสะ ไม่ยั้งคิด และเสื้อแดงเป็นกลุ่มคนที่ไม่ใส่ใจกับชีวิตของคนอื่น เนื่องจากวิธีการนำเสนอข่าวที่เต็มไปด้วยภาพที่แสดงความสุดโต่งของเหตุการณ์

อันที่จริงการรายงานของสื่อในประเด็นความเดือดร้อนของโรงพยาบาลนั้น กล่าวได้ว่าให้รายละเอียดได้มากเป็นอย่างยิ่งจนน่าชื่นชม เพราะมีทั้งแอคชั่นและความเห็นแทบทุกแง่ทุกมุมจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมโดยเฉพาะบุคคลากรต่างๆในรพ.ที่พากันขวัญเสีย แม้กระทั่งความเห็นของผู้สื่อข่าวรายหนึ่งที่อึดอัดคับข้องใจจากการทำข่าวท่ามกลางกลุ่มคนเสื้อแดงและถูกท้าทายจากแกนนำคนเสื้อแดงกรณีมีทหารในโรงพยาบาลจริงหรือไม่และที่ไปออกในบลอคชื่อ “คนสามัญประจำเมือง” ก็มีนสพ.นำไปเล่นกันต่อหลายฉบับ ความน่าเชื่อถือของสื่อคงจะได้รับการหนุนเสริมอีกมาก

แต่หากสื่อจะใช้ความเป็นมืออาชีพของตนในฐานะสื่อสารมวลชน สื่อควรจะต้องรายงานให้รอบด้าน หรืออย่างน้อยก็ควรจะต้องได้ทั้งสองด้านในความขัดแย้งนี้ และด้านหนึ่งที่ดูเหมือนจะตกหล่นไปอย่างสำคัญก็คือคำถามที่ว่า เหตุใดคนเสื้อแดงจึงเชื่อว่ามีทหารอยู่ภายในรพ.ถึงกับต้องลุยเข้าไปตรวจค้นสร้างความแตกตื่นโกลาหลขนาดนั้น

เป็นที่รู้กันว่ารพ.จุฬานั้น แม้บุคคลากรส่วนใหญ่อาจจะพยายามรักษาความเป็นวิชาชีพ ดังที่หลายคนได้นำป้ายมาแสดงเพื่อประท้วงคนเสื้อแดงให้ช่วยเคารพการทำงานของพวกเขา แต่เหตุการณ์หลายอย่างกลับให้ภาพรพ.จุฬาอีกด้านหนึ่ง

ที่รพ.นี้เองที่แพทย์ของรพ.เคยออกมาประกาศว่าจะร่วมมือกับเพื่อนๆบุคคลากรที่เป็นหมอและพยาบาลในรพ.อีกหลายแห่งไม่รับรักษาตำรวจที่บาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมของพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยเมื่อ 7 สค. 2552 ซึ่งเป็นการแสดงอาการของผู้ที่ไม่ได้เคารพในวิชาชีพของตนเองอย่างแท้จริง

แพทย์ในรพ.จุฬายังออกมาเคลื่อนไหวในทางการเมือง คือ นพ.พีร์ เหมะรัชตะที่ใช้เฟสบุคล่ารายชื่อเพื่อนๆเสนอให้มีการสอบหมอที่ไปช่วยเจาะเลือดคนเสื้อแดงและเร่งให้เอาผิดถึงขนาดจะไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์ ทั้งแกนนำของกลุ่มคนเสื้อหลากสีหรืออันที่จริงก็คือคนเสื้อเหลืองคือนพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ก็เป็นแพทย์ของโรงพยาบาลจุฬา

แม้รพ.จะชี้แจงว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวส่วนตัวไม่เกี่ยวกับองค์กรแต่ก็ยากที่จะไม่ทำให้ภาพขององค์กรกระทบไปด้วย คนเสื้อแดงบางรายยังสงสัยถึงขนาดว่า ต้นตอของจุดยิงระเบิด M 79 ในวันที่ 22 เมษายนซึ่งฝ่ายรัฐบาลชี้นิ้วไปที่ฝ่ายเสื้อแดงนั้นอันที่จริงอาจจะมาจากรพ.จุฬาก็ได้

ทั้งหมดนี้ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาพื้นฐานความสัมพันธ์ระหว่างรพ.จุฬากับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ร้าวฉานและสถานะของรพ.ในสายตาพวกเขาที่ขาดความน่าเชื่อถือทางวิชาชีพ เมื่อบวกกับการที่คนเสื้อแดงรู้สึกว่าตนถูกคุมคามยิ่งย่อมเพิ่มน้ำหนักให้ความสงสัยและกลายเป็นที่มาของพฤติกรรมที่ไม่สามารถจะแก้ตัวได้ในปัจจุบันแม้ว่าอาจจะไม่เหลือบ่ากว่าแรงมากนักที่จะทำความเข้าใจ

ทว่าในเวลาเดียวกันบทบาทของบุคคลากรในรพ.จุฬาที่ส่งผลกระทบต่อสถานะขององค์กรและวิชาชีพของพวกเขาก็ไม่มีสื่อกล่าวถึงอีกเช่นกัน มีแต่เพียงการยอมรับคำอธิบายของรพ.ที่พูดอย่างแกนๆว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

การนำเสนอข่าวอย่างลำเอียงนั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นการบิดเบือนข่าวอย่างโจ๋งครึ่ม แค่การเลือกบางเรื่องบางประเด็น แสร้งลืมบางอย่าง โหมกระพือบางกรณีโดยไม่คำนึงถึงความรอบด้านจนทำให้เกิดอาการเสนอข่าวเฉพาะประเด็นที่ล้นเกินปริมาณที่ควรจะเป็น - out of proportion – โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกระทำร่วมกันอย่างเป็นหมู่คณะและไม่มีใครดึงรั้งสติใครกลับได้ จุดนี้จะยิ่งกลายเป็นบูมเมอแรงส่งแรงกระแทกเข้าหาตัวเอง

คนทำสื่อจำนวนหนึ่งบ่นว่าเสรีภาพของสื่อที่ได้ต่อสู้เรียกร้องกันมาอย่างยากเย็นในหลายสิบปีที่ผ่านมาถูกคุกคามเพราะการกระทำของสื่อทางเลือกที่รายงานข่าวแบบไม่รับผิดชอบทำให้วงการสื่อเสียชื่อ การออกแถลงการณ์ของสมาคมนักข่าวในกรณีที่รัฐบาลสั่งปิดพีทีวียังคงเป็นประเด็นที่สมาชิกหลายคนของสมาคมไม่พอใจ

เห็นได้ชัดว่าความคิดเห็นที่แตกแยกในกลุ่มนสพ.เป็นอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเรื่องจะรับมือเรื่องสื่อทางเลือกอย่างไร หลายคนในหมู่รัฐบาลและสื่อส่วนหนึ่งเห็นไปว่าสื่อทางเลือกคือตัวปัญหา แต่สิ่งที่คนทำสื่อจำนวนหนึ่งไม่ได้ตระหนักหรือว่ายอมรับก็คือ สื่อทางเลือกที่ผลุดโผล่กันเป็นดอกเห็ดในระยะหลังนี้เป็นผลพวงของความด้อยประสิทธิภาพของสื่อกระแสหลักนั่นเอง ซึ่งทำให้ในที่สุดผู้คนในสังคม และไม่ลำพังเฉพาะกลุ่มคนเสื้อแดง จำเป็นต้อง DIY/ Do it yourself หรือลุกขึ้นมาทำสื่อเสียเอง

ทั้งนี้เพราะวิธีการนำเสนอข่าวที่ไม่ตอบโจทก์ความปรองดองของสังคมที่บรรดา “มืออาชีพ” ในวงการสื่อกระแสหลักพอใจกันอยู่ทุกวันนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล

ในพื้นที่ความขัดแย้งอื่นเช่นภาคใต้

อาการป่วยเพราะไข้สื่อใส่ไฟก็มีสภาพไม่ต่างกันเท่าใดนัก

ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชากรมุสลิมที่ถูกทำให้รู้สึกเป็นอื่นถูกยันไว้ให้มีระยะห่างจากรัฐไทยด้วยประสบการณ์กับสื่อในทำนองเดียวกันกับที่เกิดกับคนเสื้อแดง

ในความสูญเสียคือการบาดเจ็บล้มตายของผู้คนทั้งพุทธและมุสลิม สื่อเลือกที่จะเป็นตัวแทนของคนกลุ่มเดียวคือคนพุทธ แสดงภาพความสูญเสียของพวกเขาอย่างท่วมท้น แต่แทบจะเรียกได้ว่าเฉยเมยต่อความสูญเสียของมุสลิม

ครอบครัวมุสลิมที่ถูกฆ่ายกครอบครัวเก้าศพยังไม่ได้รับความสนใจจากสื่อเทียบเท่ากับศพๆหนึ่งของพุทธ

การสังหารหมู่มุสลิมสิบเอ็ดศพที่หมู่บ้านไอปาร์แย หมู่บ้านเล็กๆที่ห่างไกลในนราธิวาส จนบัดนี้การสืบสวนสอบสวนก็ยังไม่คืบหน้าไปไหน และไม่มีสื่อรายไหนในกรุงเทพฯที่สนใจติดตามเรื่องคดีของมุสลิมอย่างจริงจังเสมือนว่าพวกเขาเป็นพลเมืองชั้นสอง

วันนี้สิ่งที่สื่อกระทำในส่วนของรายงานเรื่องคนเสื้อแดงก็ไม่ต่างจากรายงานที่พวกเขาทำในเรื่องราวของมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

เสียงเรียกร้องให้จัดการปัญหาด้วยความรุนแรง โดยไม่ใส่ใจผลกระทบที่จะเกิดกับชีวิตประชากรในพื้นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ วันนี้ในกรุงเทพฯ กลุ่มเสื้อหลากสีเริ่มร้องเพลงชาติ ขณะที่รัฐบาลบอกว่าเสื้อแดงมีกลุ่มล้มสถาบันแอบแฝง และพธม.เรียกร้องให้ใช้กฏอัยการศึกจัดการกลุ่มคนเสื้อแดง

ทั้งหมดล้วนบ่งบอกนัยนะว่าคนเสื้อแดงกำลังถูกมองเป็นอื่น เป็นศัตรูไม่ใช่คนไทยและสามารถจะละเลยคุณค่าของชีวิตพวกเขาได้ ด้วยวิธีการนำเสนอข่าวแบบที่ทำอยู่

สื่อกำลังเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้วิธีคิดเช่นนี้

คงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีคนไม่น้อยเห็นว่า สื่อไทยปัจจุบันเป็นสื่อเสื้อเหลืองและร่วมเล่นเกมช่วยเสื้อเหลือง ขณะที่กลุ่มคนเสื้อแดงเองคงจะยิ่งเข้าใกล้ข้อสรุปที่ว่าสื่อกระแสหลักคือศัตรูของพวกเขาเข้าไปทุกขณะ การเลือกข้างของบรรณาธิการยิ่งทำให้การทำงานของนักข่าวภาคสนามลำบากหนักขึ้นเช่นที่เห็นตัวอย่างจากนักข่าวที่อยู่ในวงเสื้อแดง

ไม่วาจะรู้ตัวหรือไม่ พวกเขาก็กำลังช่วยกระพือภาพคนชั้นกลางที่ตนเลือกเป็นกระบอกเสียงให้เห็นว่า พวกเขาเป็นคนที่ไร้สามัญสำนึกมากขึ้นทุกวัน
โดย. ส หัตถา
....................................................................

เรื่องจริงในกระทรวงวัฒนธรรม "ธีระ สลักเพชร" เจียดเงินบูรณะโบราณสถาน น้อยกว่า"หนังพระนเรศวร"

กระทรวงวัฒนธรรม เป็นกระทรวงเล็กแต่มีความสำคัญไม่แพ้กระทรวงใหญ่ ล่าสุดตกเป็นข่าวกรณีทุ่มเงินในโครงการไทยเข้มแข็ง ปี 2555 สนับสนุนภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3 และภาค 4 ถึง 100 ล้านบาท

การทุ่มงบประมาณ สร้างภาพยนตร์ ถูกนายมานิต ศรีวานิชภูมิ ช่างภาพและผู้กำกับภาพยนตร์อิสระ และนายอภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ออกมาเคลื่อนไหวทางเฟซบุ๊กตั้งคำถามถึงความเหมาะสม เพราะหนังเรื่องนี้นอกจากได้เงินอัดฉีดจากกระทรวงวัฒนธรรมแล้วยังรับจากกระทรวงพาณิชย์อีก 330 ล้านบาท รวมเงินอีดฉีดกว่า 400 ล้านบาท

ประกอบกับมีข้อมูลว่าค่ายภาพยนตร์ยักษ์แห่งหนึ่งอยู่เบื้องหลังทำให้ข้อครหาไม่เป็นธรรมกับผู้สร้างภาพยนตร์อิสระรายอื่นจึงเพิ่มน้ำหนักทีเดียว

กระทั่งนายธีระ สลักเพชร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นัดทำความเข้าใจกับผู้ออกมาคัดค้านในวันอังคารที่ 4 พฤษภาคมนี้
บทสรุปจะลงเอยอย่างไรต้องติดตามกันต่อไป

อย่างไรก็ตาม หากตรวจสอบการใช้เม็ดเงินของกระทรวงวัฒนธรรมในช่วงปี 2552 - เดือนมีนาคม 2553 พบข้อมูลดังนี้

กรมศิลปากรเป็นหน่วยงานที่ใช้งบประมาณมากสุด
อันดับแรก ก่อสร้างโครงการพัฒนาหอสมุดแห่งชาติ โดยบริษัท เอ็นแอล วีเวลลอปเมนต์จำกัด จำนวน 438 ล้านบาท

รองลงมา ก่อสร้างอาคารศึกษาวิจัยศิลปกรรมวัฒนธรรมและประเพณีแห่งอันดามัน จังหวัดพังงา ต.เกาะปันหยี อ.เมือง จ.พังงา โดยบริษัท นิวเทคโนโลยี เอ็นจิเนียริ่ง คอนสตรัคชั่น จำกัด จำนวน 188.3 ล้านบาท

บูรณะวัดพระธาตุดอยสุเทพ จ.เชียงใหม่ (เสริมความมั่นคง และ ปรับปรุงทางลาดเชิงเขาระยะที่ 1) โดยบริษัทเคนเบอร์จีโอเทคนิคจำกัด จำนวน 70.1 ล้านบาท

ก่อสร้างอาคารจัดการศึกษาวิชาชีพเฉพาะ โดยบริษัท ส.ตะวันวิศวกรรม จำกัด จำนวน 55.2 ล้านบาท
บูรณะกำแพงเมืองเชียงแสน จ.เชียงราย โดย บริษัท ศิวกรการช่าง จำกัด จำนวน 31.9 ล้านบาท

ปรับปรุงหอประชุมเป็นห้องนิทรรศการและให้บริการด้านศิลปวัฒนธรรมสู่ประชาชน โดยบริษัท ไร้ท์แมน จำกัด จำนวน 30 ล้านบาท

ก่อสร้างอาคาร วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี อ.เมือง จ.ลพบุรี โดย หจก.พุ่มพฤกษ์ก่อสร้าง จำนวน 24.4 ล้านบาท

ก่อสร้างอาคารหอสมุดและห้องนิทรรศการ วิทยาลัยช่างศิลป์ ลาดกระบัง โดยบริษัท อาร์ซีจี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จำนวน 21.8 ล้านบาท

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ก่อสร้างถ้ำปู่เจ้าสมิงพราย ตามโครงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม อุทยานลิลิตพระลอบริเวณบ้านธาตุพระลอ ม.1 ต.บ้านกลาง อ.สอง จ.แพร่ โดย หจก.แพร่ธีรพันธ์ก่อสร้าง จำนวน 10.3 ล้านบาท

ปรับปรุงอาคารสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดย บริษัท โพรมิเนนท์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด 8.6 ล้านบาท

สร้างอาคารสำนักงานวัฒนธรรม จ.ลำพูน หมู่1 ต.เวียงยองจ.ลำพูน โดย หจก.เดชากุล 8.6 ล้านบาท

สร้างอาคารบริเวณเขตอุทยานพุทธอุทยานนครสวรรค์ โดย หจก.ตั้งในธรรม 7.8 ล้านบาท

สร้างอาคารศูนย์ข้อมูลบริการนักท่องเที่ยวและออกแบบจัดนิทรรศการภายใน ณ แหล่งโบราณคดีทุ่งดึก ต.เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา โดยบริษัท พิพิธภัณฑ์เอเชีย จำกัด 2.9 ล้านบาท

กรมการศาสนา งบประมาณกว่า 15.8 ล้านบาท จากทั้งหมด 20.6 ล้านบาท หมดไปกับจ้างพิมพ์หนังสือ แผ่นพับ โปสเตอร์ และบัตรอวยพร โดยโรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย เป็นผู้รับจ้างรายเดียว

สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จ้างจัดงานในกิจกรรมศิลปการแสดงภายใต้โครงการเทศการศิลปวัฒนธรรม โดยมูลนิธิละครธรรมะในพระสังฆราชูปถัมภ์ จำนวน 4.2 ล้านบาท จัดกิจกรรมการแสดงดนตรี งานเทศกาลศิปวัฒนธรรมฯ โดย บริษัท แฟตดีกรีจำกัด จำนวน 3.6 ล้านบาท และจัดกิจกรรมเทศกาลศิลปวัฒนธรรม "บางกอก กล๊วย กล้วย" โดย บริษํท ตั้ง 360 องศา จำกัด 3 ล้านบาท

สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม จัดงานมหกรรมวัฒนธรรมแห่งชาติ 2552 โดย หจก.พ้อยเตอร์ วิชั่น จำนวน 9.9 ล้านบาท

ปีงบประมาณ ปี 2553 (ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 เป็นต้นมาจนถึงมีนาคม 2553) กรมศิลปากรใช้เงินเพื่อบูรณะโบราณสถานวัดพระปฐมเจดีย์ โดย บริษัท กัณต์กนิษฐ์ก่อสร้าง จำกัด 19.8 ล้านบาท

รองลงมา โครงการฟื้นฟูคูเมือง กำแพงเมืองสุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย โดย หจก. เหมลักษณ์ก่อสร้าง 14.4 ล้านบาท

บูรณะซ่อมแซมวัดมหาธาตุวรวิหาร โดย หจก.ฐานอนุรักษ์ 14.2 ล้านบาท

ปรับปรุงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ อู่ทอง โดย บริษัท ซิตี้นีออน ดิสเพลส์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด 12 ล้านบาท

โครงการอนุรักษ์และพัฒนาโบราณสถานวัดมัชฌิมาวาสวรวิหาร โดย บริษัท วิศวกรการช่าง จำกัด 9.8 ล้านบาท

โครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังจันทร์ จ.พิษณุโลก งานบูรณะกำแพงเมืองพิษณุโลก บริเวณวัดโพธิญาณ ต.หัวรอ อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดย หจก. สามเพชร 6.5 ล้านบาท

บูรณะมณฑปยอดปรางค์วัดย่านอ่างทอง ณ วัดย่านอ่างทอง ต.บ้านใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดย หจก.สุรินทร์ประดิษฐ์ทรัพย์ 6 ลัานบาท

บูรณะวิหารพระนอนวัดสามวิหาร ณ วัดสามวิหาร ต.หัวรอ อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยาบริษัท อาคารวิศวกร จำกัด 4.5 ล้านบาท

สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สร้างอาคารสำนักภาพยนตร์และวีดีทัศน์พร้อมครุภัณฑ์ ณ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ โดยบริษัท เอกค้าไทย วงเงิน 89.7 ล้านบาท

ถือเป็นงบฯก้อนใหญ่สุด

กล่าวได้ว่างบประมารณในการบูรณะอนุรักษ์โบราณสถานในช่วงต้นปีงบประมาณ 2553 จนถึงขณะนี้ น้อยกว่างบฯอุดหนุนสร้างหนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯเสียอีก

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
************************************************************

พ.ต.ท.ทักษิณฯเผยอาจกลับไทยปีนี้

นสพ.นิวส์ สเตรทส์ ไทม์สของสิงคโปร์ สัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ ย้ำยังมีชีวิตอยู่ ประณามรัฐบาลไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ
นายเนียร์มาน โกช ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์นิวส์ สเตรทส์ ไทม์สของสิงคโปร์ รายงานข่าวโดยระบุว่าได้สัมภาษณ์พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรทางโทรศัพท์ เมื่อวันที่ 2 พ.ค. โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้ประสานงานให้ได้

พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าตนยังมีชีวิตอยู่ พร้อมกล่าวย้ำอีกว่า ผู้สื่อข่าวกำลังพูดกับคน ไม่ใช่ผี พร้อมประณามรัฐบาลไทยว่า “ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ” เนื่องจากใช้สื่อในสังกัดรัฐบาลเป็นเครื่องมือเผยแพร่ข้อมูลด้านเดียวเพื่อโฆษณาชวนเชื่อ และสั่งปิดกั้นสื่อสารมวลชนอื่น ๆ ที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจนหมด

ผู้สื่อข่าวของนิวส์ สเตรทส์ ไทม์ส ไม่ได้รายงานว่าทักษิณอยู่ที่ประเทศไหน

วันเดียวกัน www.emergingmarkets.org เวบไซต์ด้านเศรษฐกิจของอังกฤษ ยังเผยแพร่บทสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งกล่าวยืนยันว่ายังสบายดี ถึงฝ่ายตรงข้ามจะบอกว่าตายไปแล้ว พร้อมกล่าวหยอกล้อว่า ที่จริงแล้วได้โทรสนทนากับผู้สื่อข่าวจากสวรรค์ ที่นี่สัญญาณมือถือดีมากได้ยินชัดเจน

นอกจาก นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังระบุว่ารัฐบาลทตั้งใจที่จะปราบปรามผู้ชุมนุม แต่ต้องอย่าลืมว่ากลุ่มคนเสื้อแดง มีเป็นล้านคนและมีอยู่ทุกที่ทุกแห่ง รัฐบาลจะฆ่าคนเป็นล้านเชียวหรือ หนทางเดียวที่จะก้าวไปข้างหน้าได้ คือต้องปรองดองกัน ส่วนจะมีโอกาสกลับประเทศไทยภายใน 3 เดือนนี้หรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดเผยว่าอาจเป็นไปได้ภายในปีนี้

เวบไซต์นี้ยังสัมภาษณ์ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังด้วย โดยนายกรณ์ กล่าวว่าความแตกแยกของรัฐบาลกับผู้ชุมนุมร้าวลึกลงเรื่อย ๆ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต้องการใช้รอยร้าวเป็นเครื่องมือต่อรองข่มขู่ประเทศ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องก็คือการได้เงินและอำนาจกลับคืนให้ตัวเอง ซึ่งนายกรณ์ว่ายืนยันว่าไม่มีทางเกิดขึ้น ถ้าอยากจะกลับประเทศก็ขอต้อนรับ แต่ต้องมาชดใช้โทษในคุก

Content by VoiceTV
****************************************************************

หน่วยพยาบาลภาคสนามหลังเวทีใหญ่ราชประสงค์ (ด่วนมาก)




หน่วยพยาบาลภาคสนาม มีความต้องการ เวชภัณฑ์และ อุปกรณ์ทำแผล-ยาสามัญ สำหรับผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก
จึงขอความอนุเคราะห์ จากผู้มีจิตศรัทธาและรักประชาธิปไตย ร่วมช่วยเหลือผู้ชุมนุมด้วย นะครับ..
เต้นท์พยาบาลภาคสนาม อยู่ติดหลังเวทีปราศรัยใหญ่ราชประสงค์
หรือติดต่อ คุณ สุรีพร บุญช่วย (ปุ๊ก) 089-2001237,085-1187680
หรือ คุณ หญิง 081-2547343

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ปทีป"สั่งเด้งผู้การฯขอนแก่นฐานปล่อยม็อบแดงกร้าว

รายงานข่าวแจ้งว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งตร.ที่ 233/2553 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม ให้ พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น (ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น) มาช่วยราชการที่สำนักงาน ผบ.ตร.โดยให้ พล.ต.ต.ศักดา เตชะเกรียงไกร รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 รักษาราชการแทน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไป โดยไม่มีกำหนด ซึ่งในคำสั่งได้อ้างเหตุผลเพื่อประโยชน์แก่ทางราชการ

นอกจากนั้นมีรายงานด้วยว่า ในเวลา 13.30 น. วันที่ 3 พฤษภาคม พล.ต.ต.ศักดา จะเรียกประชุมผู้บังคับบัญชาหน่วยงานใน บก.ภ.จว.ขอนแก่น เพื่อประชุมมอบนโยบายที่ บก.ภ.จว.ขอนแก่น

อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการเคลื่อนไหวของมวลชนคนเสื้อแดงในพื้นที่ขอนแก่นอย่างหนักในช่วงก่อนหน้านี้ เช่น การปิดกั้นสถานนีรถไฟไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารเดินทางเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ใน กทม. ล่าสุดปิดทางเข้าออกท่าอากาศยานขอนแก่นเพื่อไม่ให้ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อหลากสีเข้าพบมวลชนในพื้นที่ได้ เมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่าน จนเกิดคำว่า ขอนแก่นโมเดลใช้ในกลุ่มเสื้อแดง ทั้งนี้ ถือเป็นคำสั่งย้ายผู้บังคับบัญชาระดับสูงที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ปล่อยให้ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเคลื่อนไหว โดยถือเป็นคำสั่งแรกของ พล.ต.อ.ปทีป หลังจากที่รัฐบาล และศอฉ.ออกมาพูดกดดันเรื่องนี้บ่อยครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

ที่มา.เนชั่น
********************************************************

จะทำยังไงกับลัทธิล่าแม่มดใหม่ ใน ค.ศ 2010

"ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์" ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 2010 ในแวดวงผู้เล่นเฟสบ๊ค (Facebook) ไทย เว็บไซท์ประเภท Social Network ที่ปัจจุบัน นับเป็นเวทีสาธารณะสำคัญเวทีหนึ่งที่ผู้คนในยุคข้อมูลข่าวสารใช้เป็นสถานที่แลกเปลี่ยน เรียนรู้ ระบาย ใส่ร้าย ฯลฯ เรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันในหมู่เพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือคนอยากรู้จัก สำหรับ "ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์" ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กลุ่มเฟสบุคที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า "Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม" [1] นั้น น่าจะมีแรงขับเคลื่อนหลักเป็นความ "เกลียดชัง" ที่มีต่อตัวผู้ชุนนุมประท้วง รวมทั้งผู้ที่เห็นด้วย หรือทำท่าว่าจะเห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งในระยะหลังถูกจับไปเชื่อมโยง หรือยัดเยียดข้อหาเป็นอีกขบวนการหนึ่งที่เรียกว่า "ขบวนการล้มเจ้า" ซึ่งถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดย "ขบวนการ ศอฉ.”

ลัทธิ กรรมวิธี หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามแต่เกี่ยวกับการล่าและประหัตประหารแม่มดอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดยพระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 13 หรือช่วงปลายยุคกลาง (เรื่องราวการต่อต้านแม่มด และคุณไสยมีอยู่ก่อนยุคกลางแล้ว แต่ไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย) แต่การเข่นฆ่า ทารุณกรรมแม่มดขนานใหญ่ เกิดขึ้นตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 15 ต่อเนื่องไปจนถึงศตวรรษที่ 17 โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังเหตุการณ์ทรมานให้รับสารภาพ และประหารแม่มดจำนวนมากด้วยการเผาไฟทั้งเป็น ในข้อหากบฏ เพราะมีแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสก๊อตแลนด์ ในคดีที่ นอร์ธ เบอร์วิก (North Berwick) ลัทธิล่าแม่มดนี้ถือเป็นรอยแปดเปื้อนรอยใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์มนุษยชาติของโลกตะวันตก เป็นสิ่งที่คนยุคหลังล้วนสรุปต้องตรงกันว่า มันเป็นวิธีการอันป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม มุ่งใส่ความประจานหยามเหยียด เป็นเครื่องมือเพื่อใช้กำจัดผู้มีความคิดเห็นต่างจากผู้มีอำนาจ ทั้งนี้ไม่เฉพาะในวงศาสนจักรแต่ยังล่วงเข้าไปถึงฝ่ายอาณาจักร ด้วยการยัดเยียดข้อหาร้ายแรงโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน หรือเหตุผลที่หนักแน่นมารองรับ ซึ่งล้วนขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งสิ้น

ด้วยเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวมา อันที่จริงแล้ว จึงไม่น่าจะมีเหตุผลหรือความชอบธรรมใด ๆ อีกเลยที่แนวความคิดสามานย์ ที่ว่าด้วยการใส่ร้าย หรือยัดเยียดข้อกล่าวหาที่รุนแรง ประจาน และลงโทษกันเองโดยขาดเหตุผลแบบนี้ จะกลับฟื้นคืนชีพ กลายเป็นสิ่งพึงพิศมัย สามารถปรากฏตัว และผสมผสานอยู่ได้กับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ต คนที่อ้างหรือเชื่อว่าตนมีความเป็นศิวิไลน์แล้วในยุคข้อมูลข่าวสาร ที่สำคัญกว่านั้น คือ มันกำลังกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์หรือโลกเสมือน นอกเหนือจากความรุนแรงในโลกแห่งความเป็นจริงที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ชนิดที่ยังไม่มีใครล่วงรู้ถึงจุดจบ อนึ่ง ปัจจุบัน มิเพียงแต่ในเครือข่าย Social Network อย่าง Feacbook เท่านั้น แต่กลุ่มที่มีแนวความคิดแบบเดียวกันนี้ยังใช้วิธีการส่งต่อข้อมูลทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเมลเพื่อประจานเหยื่อแบบเป็นกลุ่มลูกโซ่อีกด้วย

การถูกนำ ชื่อจริง นามสกุลจริง ประวัติการศึกษา ชื่อบิดามารดา เบอร์โทรศัพท์ รสนิยมส่วนตัวในเรื่องต่าง ๆ มาเปิดเผย การถูกรุมด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ถูกสมาชิกในกลุ่มล่าแม่มด ฯ วิเคราะห์ไปในเชิงที่จะถูกดูหมิ่น เสื่อมเสียเกียรติยศ ชื่อเสียง การถูกไล่ออกจากงาน ถูกเจ้าหน้าที่รัฐจับในข้อหาต่าง ๆ อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับการถูกโทรศัพท์ข่มขู่จะเอาชีวิต และร่างกาย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แต่หลายคนอาจยังไม่รู้

ด้วยผลพวงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการปรากฏการณ์การ "ล่าแม่มด" ในอินเทอร์เน็ต (ไทย) ซึ่งกำลังปฏิบัติการกันอยู่อย่างเป็นการเป็นงาน อีกทั้งดูเหมือนจะได้รับการสนับสนุนจากผู้มีอำนาจในบ้านเมืองบางกลุ่มอยู่ด้วย ในทศวรรษนี้ ผู้เขียนมีข้อสังเกต รวมทั้งอยากให้ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำเหล่านี้ ดังนี้

1. เรื่องนี้อาจทำให้หลาย ๆ คนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจ หรือให้ความสำคัญนักกับ "ข้อมูลส่วนบุคคล" ของตัวเอง ที่ถูกคีย์ หรือส่งเข้าไปโลดแล่นอยู่ในเครือข่ายออนไลน์สาธารณะ ทั้งจะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจให้คนอื่นนำไปใช้ต่อก็ตาม เริ่มหันมองปัญหา หรือกระทั่งมองหากฎหมายที่ว่าด้วย "การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" ในประเทศไทยมากขึ้น แต่ความสนใจในปัญหานี้ย่อมยังไม่เพียงพอ เพราะที่ถูกแล้วคนไทยควรต้องหันมาสนใจมาตรการการป้องกันตนเอง จากการถูกใช้ข้อมูลส่วนบุคคลไปในทางอื่นใดที่มิชอบด้วยกฎหมายด้วย

2. น่าเศร้าใจว่า คนรุ่นใหม่ที่ควรคาดหวังได้ว่ามีหัวก้าวหน้า เคารพในสิทธิเสรีภาพในความเชื่อความศรัทธา เคารพพื้นที่ความเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเคารพข้อมูลส่วนบุคคล "ทรัพย์ดิจิตอล" ที่ถูกยกให้มีความสำคัญ และควรได้รับความคุ้มครองที่สุดในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศ กลุ่มคนที่ครั้งหนึ่งเรียกร้องให้คนอื่นเคารพสิทธิเสรีภาพของตนเพราะได้รับผลกระทบจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง กลับไม่มีความศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ความเสมอภาคในการแสดงความคิดเห็น ขาดความเคารพในสิทธิเสรีภาพ ไม่ แม้กระทั่งเคารพข้อมูลของบุคคลอื่น หลายคนทำลืมไปว่า "ข้อมูล" ของตนเอง ณ ปัจจุบันก็โลดแล่นอยู่ในระบบออนไลน์นี้เช่นกัน บางคนทำเป็นไม่ใส่ใจว่าถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตนบ้างตนจะมีความรู้สึกหรือต้องได้รับความเสียหายอย่างไร บุคคลผู้เรียกตัวเองว่าเป็นคนทันสมัยเหล่านี้ กลับมีความคิดคับแคบ และใช้วิธีการแย่เสียยิ่งกว่า Hacker คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอาชญากรคอมพิวเตอร์ แต่ในยุคหนึ่งพวกเขาเคยกำหนดจรรยาบรรณร่วมกันไว้ข้อหนึ่งว่า "จงใช้ข้อมูลสาธารณะ ในขณะที่ต้องคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" [2]

3. น่าสนใจว่า ในขณะที่หลักการ และเหตุผลในกระบวนการลงโทษทางสังคม (Social Sanction) ที่ตั้งอยู่บนอารมณ์ ความรู้สึก หลาย ๆ กรณีที่ปรากฏอยู่ในขบวนการดังกล่าว ไม่ได้สอดคล้องกับหลักการที่ปรากฏในบทบัญญัติของกฎหมายเลย แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไทยกลับตอบสนองข้อเสนอของขบวนการนี้ด้วยความรวดเร็วฉับไว ผิดกับการตอบสนองต่อการร้องเรียนให้ตรวจสอบการกระทำต่าง ๆ ที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ทั้งที่กระทำโดยเจ้าหน้าที่รัฐ และของบุคคลกลุ่มอื่นใด ที่ไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดง หรือกลุ่มที่ดูเหมือนจะสนับสนุนคนเสื้อแดง ซึ่งมักเป็นไปด้วยความล่าช้า ประวิงเวลา หรือกระทั่งโยนข้อร้องเรียนนั้นทิ้งด้วยข้ออ้างว่าตนไม่มีอำนาจ

แม้ มาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาทประมุขแห่งรัฐฯ มีหลักเกณฑ์ที่แตกต่างจากการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาอยู่หลายประการ กล่าวคือ ใครกล่าวโทษฟ้องร้องก็ได้, ยอมความไม่ได้, ไม่มีข้อยกเว้นความผิด หรือยกเว้นโทษ และมีโทษหนักมาก แต่ควรต้องเข้าใจด้วยว่า องค์ประกอบความผิดในมาตรานี้ไม่ได้มีความแตกต่างไปจากองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 326 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาเลยคือ ต้องเป็นการใส่ความ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้ถูกใส่ความนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง จากบุคคลอื่น หรือบุคคลที่สาม

จริงอยู่ที่ว่า การใส่ความนั้นไม่ได้หมายเฉพาะแต่การพูด การเขียน แต่หมายรวมไปถึงพฤติกรรม การกระทำ การแสดงท่าทางด้วย จริงอยู่ที่พฤติกรรมบางอย่าง ที่ถือไม่ได้ว่าถึงขั้นใส่ความแล้ว กับคนในสถานะหนึ่ง อาจเป็นการใส่ความที่เป็นหมิ่นประมาทได้เหมือนกัน ถ้าพูด เขียน หรือกระทำกับคนในอีกสถานะหนึ่ง แต่การวินิจฉัยว่าการกระทำหนึ่ง ๆ จะถึงขั้นหมิ่นประมาทหรือไม่ อย่างไร นอกจากต้องพิจารณาจากมุมผู้ถูกใส่ความเอง และศาล แล้ว จำเป็นต้องดูความคิดความเห็นของ "วิญญูชน" อื่น ๆ (ไม่ใช่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ชัดเจนว่ามีความเกลียดชัง หรือมีอคติต่อผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด) ประกอบด้วยว่า มีความร้ายแรงถึงขนาดที่จะทำให้บุคคลผู้ถูกใส่ความ ถูกสังคม และผู้คนเกลียดชัง ดูถูกดูแคลน ได้หรือไม่

จากเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นย่อมถือเป็นสิ่งท้าทายความกล้าหาญทางวิชาชีพของ นักกฎหมาย และนักปฏิบัติการตามกฎหมาย เช่นกัน ที่จะต้องร่วมกันตั้งคำถามและวินิจฉัยให้ได้ว่าการ "ปลดรูป" ลง ถือเป็นการกระทำที่ถึงระดับขั้นที่ว่านี้แล้วหรือไม่ การกระทำเช่นนั้นแสดงได้แล้วหรือว่าจะทำให้ผู้คนทั่วไปที่ได้รู้เหตุการณ์นี้ เกิดความเกลียดชังเจ้าของรูป ทำนองเดียวกันกับกรณีการ "ไม่ยืน" เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีดังขึ้น ถือเป็นพฤติกรรม หรืออาชญากรรมหนึ่งที่ถึงขั้นใส่ความแล้วฉะนั้นหรือ ? ที่สำคัญไม่ควรลืมว่า กฎหมายอาญาจะลงโทษ หรือจะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่การกระทำความผิดในกลุ่ม "หมิ่นประมาท" นี้ได้ ก็ต่อเมื่อ "ความเสียชื่อเสียง การถูกดูหมิ่น หรือการถูกเกลียดชัง" นั้น เกิดขึ้นหรือน่าจะเกิดขึ้นกับ "ผู้ถูกกระทำ" หาใช่ "ผู้กระทำ" ไม่ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างมากในประเทศไทย ก็คือ มิเพียงการตีความการกระทำความผิดในฐานนี้จะกว้างขวางไร้ขอบเขตแล้ว ยังดูเหมือนว่าความเสื่อมเสียทั้งหลายบรรดามี มักเกิดขึ้นทันทีต่อตัวผู้กระทำเอง และบางครั้งถึงขั้นเกี่ยวพันหรือมีอิทธิพลต่อความเป็นกลางของหน่วยงานผู้ตัดสิน

กฎหมายอาญาเปรียบเสมือนของมีคม ถูกนำไปใช้ลงโทษผู้ใดเมื่อใดผู้นั้นก็ต้องได้รับบาดเจ็บ หลักสำคัญที่สุดที่ถูกวางไว้ทั้งในแง่มุมของการบัญญัติ และการใช้บังคับกฎหมายประเภทนี้ จึงมีถึง 4 ประการด้วยกัน คือ ต้องบัญญัติให้ชัดเจนว่าอะไรห้าม หรืออะไรไม่ห้าม ต้องไม่ใช้วิธีตีความเทียบเคียงจากกฎหมายอื่นใดมาให้เป็นโทษแก่ผู้ถูกกล่าวหา ห้ามลงโทษย้อนหลัง รวมกระทั่งห้ามเอาจารีตประเพณีมาใช้ในทางที่เป็นโทษกับผู้ต้องหา แต่การณ์กลับปรากฏว่า กฎหมายหลายต่อหลายฉบับ และการใช้กฎหมายหลายต่อหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาในประเทศ หมิ่นเหม่ และถูกตั้งคำถามถึงความชอบด้วยหลักการทางกฎหมายอาญาอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคนไทยจำนวนมาก (ที่ยุยงให้ใช้กฎหมายอาญาโดยไม่สนใจหลักการที่ถูกต้อง) จะไม่เคยเรียนรู้ หรืออยากที่จะเรียนรู้ถึงความเสียหาย หรือรู้สึกหวาดผวากับผลกระทบใด ๆ เลย ตราบใดที่ผลกระทบและปัญหาเหล่านั้นยังไม่เกิดขึ้นกับตัวเขา หรือครอบครัวของเขาเอง

4. คงไม่แปลกอีกต่อไปแล้วกระมัง หากจะไม่ปรากฏข้อเรียกร้องความเป็นธรรมใด ๆ จากกลุ่มที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน หรือกลุ่มสันติวิธีที่ตั้งขึ้นเองจำนวนมาก เกี่ยวกับการนำรูป นำข้อมูลส่วนบุคคล ออกมาเผยแพร่ (เสียบ)ประจาน คนที่เห็นด้วย หรือทำท่าว่าจะเห็นด้วยกับการชุมนุมของคนเสื้อแดง เพื่อให้คนอีกจำนวนมากที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเข้ามาต่อว่า ด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย รุนแรง หรือกระทั่งปลุกปั่น ยุงยงให้คนที่พบเห็นทำร้ายชีวิตร่างกายของบุคคลนั้น

5. ไม่แน่ใจว่า ในประเทศไทยเคยมีความเคลื่อนไหวใด ๆ จากภาคสังคม กลุ่มพนักงาน แรงงาน ฯลฯ ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับการเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรมด้วยข้ออ้างที่ไร้เหตุผล และพยานหลักฐานที่ไม่แน่นหนา โดยผู้ประกอบการบ้างหรือไม่ อาจเคยมีก็ได้ แต่ครั้งนี้ยังไม่เห็น

ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ใดก็ตามที่ถูกขบวนการดังกล่าวนำข้อมูลส่วนบุคคลของตน มาเปิดเผย นำออกแสดง หรือนำไปใช้ในทางที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น

1. เบื้องต้น ในประเด็นด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ธรรมชาติของสื่อสาธารณะออนไลน์ รวมทั้งปัญหาช่องโหว่ของกฎหมาย (สถานภาพปัจจุบันของ "พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล" คือ "ร่าง") โปรดเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น ในการส่งข้อมูลส่วนบุคคลในแง่มุมต่าง ๆ ของท่านไปไว้ในบริการต่าง ๆ บนเครือข่ายออนไลน์ ทั้งนี้ไม่เฉพาะแต่เครือข่ายขนาดใหญ่อย่างอินเทอร์เน็ต แต่หมายรวมถึงเครือข่ายภายในอย่างอินทราเน็ต ด้วย

สำหรับข้อมูลใด ๆ ที่อยู่ในระบบสาธารณะอยู่แล้ว ปัญหาที่ต้องสนใจ ก็คือ บุคคลอื่นใดจะนำไปเปิดเผยที่อื่นนอกเหนือจากที่ ๆ เจ้าของนำไปโพสไว้ได้หรือไม่ ? ซึ่งประเด็นนี้อาจยังติดปัญหาดังกล่าวไปแล้วเรื่อง คือ กฎหมายที่จะเข้ามาคุ้มครองตรง ๆ ยังไม่มี แต่หากปรากฎชัด หรือผู้ได้รับความเสียหายมีพยานหลักฐานในเบื้องต้น หรือมีเหตุอันชัดเจนว่า ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ เจาะระบบ ดักรับ หรือจรากรรมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นใดที่ผู้เป็นเจ้าของไม่เคยนำไปโพสไว้ในบอร์ด หรือพื้นที่สาธารณะที่ไหนเลย การกระทำของสมาชิกขบวนการแม่มดฯ ดังกล่าวย่อมเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 5, 7 หรือ 8 ได้

2. หากผู้ถูกประจานประเมินแล้วว่า ตนได้รับความเสียหายจากการกระทำต่าง ๆ โดยขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ในที่นี้หมายถึง ทั้งจากการที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปเปิดเผยในที่อื่นใดโดยฝ่าฝืนต่อความประสงค์ เป็นเหตุให้ข้อมูลนั้นแพร่กระจายหรือถูกนำไปใช้ต่อด้วยวัตถุประสงค์อื่น และทั้งจากการถูกรุมด่าประณามด้วยถ้อยคำเสียหายแบบขาดไร้พยานหลักฐาน ก่อให้ถูกดูหมิ่น เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียง ถูกเกลียดชัง และข้อความต่าง ๆ เหล่านั้นไม่เป็นความจริง กรณีต่าง ๆ เหล่านี้ สามารถพิจารณาได้กับความเสียหายในทางแพ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในข้อหา "ละเมิด" ตามมาตรา 420 อันเป็นบททั่วไป หรือมาตรา 423 ที่ว่าด้วยการหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเหล่านี้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน หรือให้ศาลใช้มาตรการเยียวยาอื่นใดได้ เช่น ลบข้อความนั้นเสีย หรือลงข้อความขอโทษในสื่อตามระยะเวลากำหนด (มาตรา 447 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์)

"มาตรา 420 ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่น โดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่า ผู้นั้นทำละเมิด จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น"

"มาตรา 423 ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่น ก็ดีหรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้ หรือทางเจริญของเขาโดย ประการอื่นก็ดี ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อ ความนั้นไม่จริง แต่หากควรจะรู้ได้

ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง หากว่าตนเอง หรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้วท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหม ทดแทนไม่"

3. นอกจากข้อพิจารณาในทางแพ่งแล้ว การกระทำของขบวนการดังกล่าวยังอาจเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาที่ว่าด้วยการ "หมิ่นประมาทบุคคลอื่น" ตามมาตรา 326 หรือ 328 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีทั้งโทษจำคุก และหรือปรับ ด้วย

"มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะ ทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือ ปรับไม่เกินสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ"

"มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณา ด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ ทำให้ปรากฏด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท"

โดยเมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ขบวนการล่าแม่มดออนไลน์กระทำแล้ว กล่าวคือ เพื่อ "(เสียบ)ประจาน" (ตามถ้อยคำที่กลุ่มใช้เอง) ย่อมถือไม่ได้ว่าการต่าง ๆ เหล่านั้นเป็น "การติชมโดยสุจริต" อันจะเป็นเหตุให้ได้รับยกเว้นความผิดตามมาตรา 329 ได้

อนึ่ง หากประสงค์จะยื่นคำฟ้องต่อศาลใด ๆ ควรเตรียมเก็บพยานหลักฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เตรียมพร้อมไว้ เนื่องจากข้อมูล ถ้อยคำ ข้อความ รูปภาพในลักษณะนี้ สามารถถูกเปลี่ยนแปลง ทำลาย หรือโยกย้ายเปลี่ยนที่ทางได้ในเวลาอันรวดเร็ว

4. มิเพียงแต่ความผิดที่กระทำต่อ ข้อมูลส่วนบุคคล เกียรติยศ ชื่อเสียง เท่านั้น ที่ขบวนการล่าแม่มดดังกล่าวควรต้องรับผิดชอบ แต่การกระทำความผิดต่อความปลอดภัย หรือเสรีภาพในชีวิต ร่างกาย อนามัย รวมทั้งสุขภาพจิตของเหยื่อผู้ถูกกระทำ ก็ควรตกอยู่ในความรับผิดชอบร่วมกันของขบวนการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ อาจเป็นได้ทั้งในนามตัวการร่วม ผู้ใช้หรือยุยง หรือผู้สนับสนุนให้เกิดการกระทำความผิดในฐานอื่นใด (หากจะเกิดขึ้นจริง) อาทิ การข่มขืนใจผู้อื่น โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ฯลฯ (มาตรา 309 ประมวลกฎหมายาอาญา) , ทำร้ายร่างกาย (มาตรา 297 ประมวลกฎหมายอาญา) ฯลฯ

5. หากมีบุคคลใดถูกไล่ออกจากงาน หรือถูกกระทำการใด ๆ โดยไม่เป็นธรรมในที่ทำงาน ด้วยเหตุผลเพียงเพราะถูกกลุ่มบุคคล หรือขบวนการลักษณะนี้กล่าวหา ประจานอย่างเลื่อนลอย บุคคลนั้นควรคิดหาทางเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วย การเลิกจ้างอันไม่เป็นธรรม เพื่อเรียกร้องเงิน หรือมาตรการชดเชยควบคู่ไปด้วย

6. อาจรวมกลุ่มกันดำเนินการยื่นหนังสือเปิดผนึก หรือบันทึกร้องเรียนไปยัง ผู้บริหาร Facebook เกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของขบวนการล่าแม่มดฯ ดังกล่าว โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า นอกจากจะเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายแล้ว ยังขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และหลักการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วย ขอให้ Facebook ใช้มาตรการที่เหมาะสมในการจัดการดูแลต่อไป

7. การตั้งกลุ่มต่อต้านขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ อาทิ กลุ่ม "Anti -Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม" [3] ย่อมถือเป็นสิทธิ และทำได้ตามสมควร แต่ต้องระมัดระวัง และไม่ควรใช้วิธีการเช่นเดียวกับที่กลุ่ม "Social Sanction: ยุทธการลงทัณฑ์ทางสังคม" ใช้อยู่ ทั้งนี้เพื่อไม่ให้กลายเป็นการผลิตซ้ำความรุนแรง และแนวความคิดสามานย์ที่มีลักษณะทั้งขัดต่อกฎหมาย และขัดต่อสิทธิมนุษยชนเสียเอง

สุดท้ายนี้ ขอความสันติ อหิงสา จงมีมาพร้อม ๆ กับความเท่าเทียมเสมอภาค ไม่ว่าจะในโลกจริง หรือโลกเสมือนจริง

จากใจ แม่มดตนหนึ่ง ที่รอคอยการล่า
โดย.สาวตรี สุขศรี
ที่มา.ประชาไท
**********************************************************

ชำแหละ"คนเสื้อแดง"บนสี่แยกราชประสงค์ ม็อบเติมเงิน หรือ เสรีชนผู้ตื่นตัวทางการเมือง ?

คำถามว่า เสื้อแดง เป็นใครกันแน่ ? คนในรัฐบาลตอบว่า แกนนำเสื้อแดงกับผู้ก่อการร้าย มีความเกี่ยวพันกัน ขณะที่ ชนชั้นกลางในกรุงเทพ ฯ เชื่อว่า ...ก็แค่ม็อบเติมเงิน ถ้า"นายใหญ่"ตาย ม็อบก็สลายตัวไปเองเพราะท่อน้ำเลี้ยงแห้ง แต่ ดร. อภิชาต สถิตนิรามัย นักเศรษฐศาสตร์การเมือง สำนักท่าพระจันทร์ มีคำอธิบายที่แตกต่าง ลองพินิจพิเคราะห์ดูว่า เสื้อแดง คือ ใครกันแน่ ?

ประโยคทำนองว่า "เมื่อสิ่งใหม่กำลังจะเกิดขึ้น แต่สิ่งเก่าไม่ยอมที่จะตาย สิ่งที่จะปรากฏขึ้นก็คือ อสุรกาย" ของอันโตนีโอ กรัมชี่ นักคิดฝ่ายซ้ายลือนามของอิตาลี น่าจะเหมาะสมกับความขัดแย้งทางการเมืองในรอบห้าปีที่ผ่านมา และจะขัดแย้งกันต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า
ประเด็นหลักของสังคมก็คือ จะทำอย่างไรไม่ให้อสุรกายแห่งความรุนแรงปรากฏตัวขึ้นมากไปกว่าที่ได้เกิดขึ้นแล้วในช่วงการเปลี่ยนผ่านของดุลกำลังทางชนชั้นนี้
สิ่งหนึ่งที่จะช่วยได้ในทรรศนะของผมคือ สังคมการเมืองจะต้องยอมรับความจริงว่า "คนเสื้อแดง" นั้นมีอยู่จริง และเขาเป็น "เสรีชน" มีความตื่นตัวทางการเมือง เฉกเช่นเดียวกับชนชั้นกลางรุ่นเก่าที่ยุคหนึ่งเป็นพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของเดือนตุลาคม 2516
ไม่ว่าเราจะชอบ เห็นด้วย หรือไม่ชอบและต่อต้านความคิดของคนเสื้อแดงก็ตาม เราต้องเข้าใจและยอมรับว่า เขาเป็นกลุ่มพลังทางการเมืองที่ดำรงอยู่จริง และจะไม่ยอมอยู่เฉย ๆ โดยไม่ต่อสู้อีกต่อไป ก็เฉกเช่นเดียวกับเมื่อก่อนเดือนตุลาคม 2516 ที่รัฐบาลสามทรราชปฏิเสธการมีอยู่จริงของพลังชนชั้นกลางในเวลานั้น ซึ่งมีขบวนการนักศึกษา-ปัญญาชนเป็นกองหน้า
รัฐบาลสามทรราชและชนชั้นนำทางอำนาจในขณะนั้นไม่มองกลุ่มพลังชนชั้นกลางว่าเป็นเสรีชน มีความคิด มีผลประโยชน์และมีข้อเรียกร้องของชนชั้น แต่กลับมองว่าเป็นกลุ่มที่ถูกปั่นหัว ถูกหลอก ฯลฯ พูดอีกแบบคือ ชนชั้นนำในยุคนั้นก็ไม่ยอมรับความจริงว่า ชนชั้นกลางในขณะนั้นได้กลายเป็นเสรีชน ผู้มีความตื่นตัวทางการเมืองแล้ว และเรียกร้องต้องการส่วนแบ่งทางอำนาจ/การมีส่วนร่วมทางการเมืองจากชนชั้นนำ
เช่นเดียวกับการก่อตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของชนชั้นกลางเก่า ซึ่งเติบโตขึ้นมากทั้งในทางปริมาณและเชิงคุณภาพ นับตั้งแต่การเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจยุคจอมพลสฤษดิ์ ความเติบโตทางเศรษฐกิจและการเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างเศรษฐกิจจากเกษตรกรรมเป็นอุตสาหกรรมในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะช้าลง แต่ก็พอเพียงที่จะให้กำเนิดแก่ "ชนชั้นกลางใหม่" ซึ่งเป็นฐานพลังของคนเสื้อแดง
ในแง่นี้ผมเห็นว่า คนเสื้อแดงนั้นไม่ใช่กลุ่มคนที่ยากจนที่สุดของสังคม ในภาษาเศรษฐศาสตร์ หากเราแบ่งคนทั้งประเทศออกเป็นห้าชนชั้นตามรายได้ และเรียงลำดับตั้งแต่จนที่สุดไปรวยที่สุดแล้ว คนเสื้อแดงน่าจะเป็นคนตั้งแต่บนสุดของชั้นที่หนึ่งไปจนกระทั่งด้านล่างสุดของชั้นที่สาม
ดังนั้นในแง่อาชีพส่วนใหญ่ของคนเสื้อแดงน่าจะเป็นผู้ประกอบการอิสระรายย่อยตั้งแต่แม่ค้าแผงลอย-ตลาดนัด แท็กซี่ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง (หรือ informal sector ทั้งหมด) เกษตรกรที่ผลิตเพื่อตลาด แรงงานในโรงงาน หรือแรงงานระดับคอปกน้ำเงิน ฯลฯ
ลักษณะร่วมของคนกลุ่มนี้คือ มีเงินออมน้อย หรือไม่พอเพียง ดังนั้นความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจมหภาคจะมีผลโดยตรง หรือเกือบจะทันทีต่อความอยู่ดีกินดีของเขา กล่าวอีกแบบคือ เป็นกลุ่มคนที่อ่อนไหวต่อความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ หรือพูดได้ว่าชีวิตขาดความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่นโยบาย "ประชานิยม" ของรัฐบาลทักษิณโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 30 บาทรักษาโรค เบี้ยคนชรา กองทุนหมู่บ้าน การรับจำนำพืชผล จะโดนใจคนเสื้อแดงเต็ม ๆ เนื่องจากมันสอดรับกับความต้องการทางเศรษฐกิจของเขา
อาจพูดได้ว่า เกษตกรหรือคนชนบทเป็นฐานกำลังหลักของคนเสื้อแดงในแง่จำนวนคน สิ่งนี้ทำให้คนชั้นกลางเก่า "หลงผิด" อยู่กับภาพเก่า ๆ ของชนบทว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากยุคก่อนรัฐบาลชาติชายเลย
แต่บทความหนึ่งของ "อัมมาร สยามวาลา" ชี้ว่า ครอบครัวในชนบทที่มีสัดส่วนของรายได้จากภาคเกษตรมากกว่า 50% ลดลงจาก 44.4% เหลือ 29.1% ของครอบครัวชนบททั้งหมดในช่วงปี 2533-2537 อย่าลืมว่าตัวเลข 29.1% หรือไม่ถึงหนึ่งในสามของครอบครัวชนบทนี้เป็นตัวเลขในปี 2537
ตัวเลขนี้ย่อมต้องน้อยลงไปอีกมากในปัจจุบัน
การที่มากกว่าสองในสามของครอบครัวชนบทมีแหล่งรายได้หลักอยู่นอกภาคเกษตรนั้นมีนัยว่า ความสัมพันธ์ทางสังคมที่รองรับวิถีชีวิตของชาวชนบทต้องเปลี่ยนตามไปด้วย สิ่งสำคัญคือสิ่งที่เรียกกันว่า "ระบบอุปภัมถ์"
คำ ๆ นี้นักเศรษฐศาสตร์ใช้ในความหมายว่า มันเป็นความสัมพันธ์ระยะยาวที่ผูกพันกันในหลายมิติของคนสองฝ่าย
ตัวอย่างเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างชาวไร่-ชาวนากับพ่อค้ารับซื้อผลผลิต พ่อค้านอกจากจะรับซื้อผลผลิตแล้ว ยังทำตัวเป็นผู้อุปถัมภ์ในแง่อื่นด้วย เช่น ให้ชาวไร่เอายา ปุ๋ย เมล็ดพันธุ์ไปใช้ก่อน แล้วจึงหักเงินคืนเมื่อตอนชาวไร่เอาผลผลิตมาขาย เมื่อชาวบ้านต้องใช้เงินสดก็มากู้ได้ หรือเมื่อถูกตำรวจจับไพ่ก็ให้ช่วยประกันตัว ฯลฯ
หากฝ่ายใด "โกง" ก่อน ความสัมพันธ์นี้ก็จะยุติลงและทั้งสองฝ่ายก็จะเสียประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งมักจะไม่คุ้ม
นักวิจัยมักจะแปลกใจมากเมื่อพบว่าชาวไร่ยอมเสียเปรียบในรูปของการขายผลผลิตให้ในราคาต่ำกว่าตลาด หรือยอมรับอัตราดอกเบี้ยที่แพงโดยไม่โกงเงินกู้ โดยลืมไปว่า สิ่งที่ชาวไร่ต้องการจากพ่อค้านั้น รวมเอาบริการ "การประกันภัย (insurance)" ความไม่แน่นอนจากความผันผวนทางเศรษฐกิจไว้ด้วย
เช่น เงินกู้ หรือความช่วยเหลืออื่น ๆ เมื่อเดือดร้อน เครือข่ายความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้จึงถูกใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งพ่วงไปด้วย หากพ่อค้า (หรือผู้อุปถัมภ์ในรูปแบบอื่น ๆ) ทำหน้าที่เป็นหัวคะแนน ไม่ว่าจะมีการแจกเงินด้วยหรือไม่ก็ตาม
ในอดีตชาวบ้านอาจจะเลือกตามหัวคะแนนด้วยสองเหตุผลคือ หนึ่ง กลัวเสียการอุปถัมภ์ในภายหน้าจากหัวคะแนน สอง เลือกพรรคการเมืองไหน หรือ ส.ส.คนไหนก็ไม่มีผลต่อชีวิตของตนอยู่ดี เพราะไม่เคยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งก่อนหน้าพรรคไทยรักไทยที่ผลิตนโยบายรับใช้ชนบท
เมื่อเงินได้ส่วนใหญ่มาจากนอกภาคเกษตร สิ่งนี้อย่างน้อยก็หมายความว่า แหล่งเงินได้ของชาวชนบทมีหลายแหล่งมากขึ้น รวมทั้งแหล่งเงินกู้ในระบบ เช่น กองทุนหมู่บ้าน กลุ่มออมทรัพย์ ธ.ก.ส. ก็เพิ่มขึ้นด้วย
ดังนั้นชาวชนบทจึงมีความจำเป็นที่จะต้องพึงพิงผู้อุปถัมภ์ในภาคการเกษตรน้อยลงด้วย ในอีกด้านหนึ่ง นโยบายประชานิยมหลายแบบก็ทำให้ชาวชนบทไม่จำต้องพึ่งพิงผู้อุปถัมภ์ท้องถิ่นอีกต่อไป พูดอีกแบบคือ นโยบายประชานิยมทำหน้าที่แทนผู้อุปถัมภ์ดั้งเดิม
ในแง่นี้ ชาวชนบทส่วนใหญ่จึงกลายเป็นเสรีชนที่หลุดออกจากเครือข่ายอุปถัมภ์แบบเดิม ๆ แล้ว เขาไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องเชื่อฟังหัวคะแนนอีกต่อไป
ถ้าภาพข้างต้นเป็นจริง คำถามคือ คนเสื้อแดงเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยเหตุผลใด ชนชั้นกลางเก่าและสื่อของเขามักไม่รอช้าที่จะประณามว่า คนเสื้อแดงเป็นแค่ม็อบเติมเงิน หรือถูกหลอกให้หลงผิดสู้เพื่อทักษิณเท่านั้น
แต่อย่าลืมว่า รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลแรกที่สร้างนโยบายที่กินได้ให้แก่เขา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งที่คะแนนเสียงของเขามีความหมายในทางการเมือง การรัฐประหาร 19 กันยายนและรัฐธรรมนูญ 2550 จึงเป็นการตัดสิทธิทางการเมืองของคนเสื้อแดงโดยตรง
เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรตั้งแต่การชุมนุมยืดเยื้อ การยึดทำเนียบรัฐบาล การยึดสนามบิน นายกฯสมัครถูกปลดเพราะทำกับข้าวโชว์ พรรคทักษิณถูกยุบรอบสอง การปราบม็อบเสื้อแดงเมื่อเมษายนปีที่แล้ว ไม่แปลกเลยที่เหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้คนเสื้อแดงสู้ไม่ถอย
พูดให้ถึงที่สุดแล้ว การต่อสู้ของคนเสื้อแดงในปัจจุบันจึงเป็นการสู้เพื่อรักษาสิทธิ-เสียงทางการเมืองของเขา
แต่เผอิญว่าสิทธิ-เสียงของเขาผูกพันโดยตรงกับพรรคของทักษิณเท่านั้นเอง
คงมีคนไม่มากนักที่จะยอมสู้ตายเพื่อคนอื่น โดยที่ตนไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย และแกนนำเสื้อแดงคงจะไม่เก่งพอที่จะชักจูง ซื้อ หรือหลอกคนจำนวนมหาศาลมาเสี่ยงชีวิตกับอาวุธสงครามได้จนทุกวันนี้ หากเขาไม่มีจิตใจที่พร้อมจะเข้าร่วมการต่อสู้เอง ในแง่นี้คนเสื้อแดงจึงเป็นเสรีชนในแบบเดียวกับคนชั้นกลางเก่านั่นเอง
ผมได้แต่หวังว่า คนชั้นกลางเก่าจะพยายามเข้าใจคนเสื้อแดงในด้านที่เขาเป็นเสรีชนเช่นเดียวกับชนชั้นกลางเก่าให้มากขึ้น
การยอมรับวาทกรรมว่า คนเสื้อแดงถูกหลอก ถูกซื้อให้สู้เพื่อทักษิณเท่านั้น โดยไม่มีเจตจำนงที่เป็นอิสระของตัวเองเลย จะเป็นการทำลายความชอบธรรมทางการเมืองของคนเสื้อแดงมากขึ้น และอสุรกายแห่งความรุนแรงจะยิ่งมีอำนาจมากขึ้น.
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
..................................................................

ศอฉ.ไม่ให้ทนายร่วมสอบ เลขาฯสนนท.-นศ. อ้างเพียงเรียกมาคุย ด้าน สนนท.จี้รัฐหยุดคุกคาม

เลขา สนนท.และนักศึกษาอีก 2 คน ไปราบ 11 รายงานตัว ศอฉ.ตามหมายเรียก พร้อมขอทนายเข้าร่วมแต่ถูกปฎิเสธ เจ้าหน้าที่อ้างเป็นการเรียกมาคุยไม่จำเป็นต้องมีทนาย ขณะที่สมาชิก สนนท.ร่วมออกแถลงการณ์ประณามการคุกคามจากรัฐทหารของรัฐบาล

จากกรณีที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้เรียกนายอนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) และนักศึกษาอีก 2 คน ให้ไปรายงานตัวต่อ ศอฉ. ที่กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ราบ 11) ในวันที่ 2 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น.

วันนี้ (2 พ.ค.53) นายอนุธีร์ และเพื่อนนักศึกษาอีก 2 คน ได้เดินทางไปรายงานตัวตามหมายเรียก จากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. พ.ท.วิบูลย์ ศรีเจริญสุขยิ่ง รองผู้บังคับกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (รอง ผบ.พัน มทบ.11) จึงได้มารับตัว โดยทั้ง 3 คน ขอให้มีทนายได้เข้าไปร่วมรับฟังข้อมูลในการรายงานตัวด้วย แต่เจ้าหน้าที่ปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า ไม่ต้องกังวล เป็นการเรียกมาคุย จึงไม่จำเป็นต้องมีทนาย และชี้แจงว่าการพูดคุยสอบปากคำนี้ ตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การรายงานตัวในครั้งนี้มีผู้ที่ทราบข่าวและมาร่วมให้กำลังใจที่บริเวณหน้ากรมทหารราบที่ 11 กว่า 50 คน โดยผู้ให้กำลังใจคาดว่าจะรออยู่จนกว่าทั้ง 3 คนจะได้ออกมา อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการแจ้งว่าการรายงานตัวจะเสร็จสิ้นในเวลาเท่าไร

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวระบุว่า ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 เม.ย.53 นายสลักธรรม โตจิราการ นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 5 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บุตรชายของ น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. ได้เข้ารายงานตัวที่ ศอฉ. ทำให้ขณะนี้มีนักศึกษาอย่างน้อย 4 รายที่ถูก ศอฉ. เรียกไปรายงานตัว

ในส่วนสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) ได้มีการออกแถลงการณ์ “หยุดคุกคามเพื่อนของเรา หยุดคุกคามประชาชน” ประณามการคุกคามจากรัฐทหารของรัฐบาลในการออกหมายเรียกดังกล่าว โดยระบุว่าเป็นการข่มขู่คุกคามประชาชน พร้อมเรียกร้องการดำเนินการที่โปร่งใสต่อสมาชิกของ สนนท.และประชาชนที่อาจจะถูกคุกคามเช่นเดียวกันนี้ในอนาคต อีกทั้งยังระบุให้ยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในการคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ

“สนนท.ของยืนยันในสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการต่อสู้กับอำนาจอธรรมของรัฐบาลรัฐทหาร และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยระบบเลือกตั้งและระบบรัฐสภาฯ ที่เห็นและเคารพสิทธิทางการเมืองของประชาชน อันจะนำพาสังคมไทยไปสู้ความมีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียม และจะไม่โอนอ่อนต่อการคุกคามของรัฐบาลรัฐทหารชุดนี้แต่อย่างใด” แถลงการณ์ระบุ

แถลงการณ์มีรายละเอียดดังนี้



แถลงการณ์ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
เรื่อง หยุดคุกคามเพื่อนของเรา หยุดคุกคามประชาชน



สืบเนื่องจาก ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ได้มีหมายเรียกถึง สมาชิก สนนท. 2 ท่าน ในวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 โดยระบุให้ไปรายงานตัวต่อ ศอฉ. ณ กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ (ราบ 11) อย่างมิได้แจ้งข้อหาหรือรายละเอียดที่ชัดเจนแต่อย่างใดนั้น

สนนท.มีความเห็นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้

1. สนนท.ขอประณามการคุกคามจากรัฐทหารของรัฐบาลในการออกหมายเรียกดังกล่าว เนื่องจากเป็นที่แน่ชัดแก่ประชาชนในสังคมไทยว่า รัฐบาลรัฐทหารได้ทำการข่มขู่คุกคามพี่น้องประชาชนจำนวนมากมาตลอด โดยเลือกปฏิบัติคุกคามเฉพาะผู้ที่มีจุดยืนใกล้เคียงกับ “กลุ่มคนเสื้อแดง” หรือแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และยังลุกลามไปถึงผู้ที่ไม่ได้เห็นด้วยกับรัฐบาลรัฐทหารอีกด้วย อาทิ การออกหมายเรียกบุคคลจำนวนมากของ ศอฉ. และการเผยแพร่เครือข่าย “ล้มเจ้า” อันมีวัตถุประสงค์ที่แท้จริงในการหว่านแหล้อมจับประชาชนที่มิได้เห็นด้วยกับการเถลิงอำนาจของรัฐบาลรัฐทหาร ดังนั้น สนนท.เห็นว่าการออกหมายเรียกแก่เพื่อนของเรา 2 คนนี้นั้น เป็นอีกเพียงมาตรการหนึ่งในการคุกคามประชาชนนั่นเอง

2. สนนท.ขอเรียกร้องให้รัฐบาลรัฐทหารมีความโปร่งใสในการปฏิบัติต่อเพื่อนของเราทั้ง 2 คน และประชาชนคนอื่นๆ ที่อาจจะถูกคุกคามในอนาคตอีก และขอให้ยกเลิกการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) ในการคุกคามสิทธิเสรีภาพอันประกันไว้ในรัฐธรรมนูญ

3. สนนท.ขอยืนยันในสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนในการต่อสู้กับอำนาจอธรรมของรัฐบาลรัฐทหาร และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตยระบบเลือกตั้งและระบบรัฐสภาฯ ที่เห็นและเคารพสิทธิทางการเมืองของประชาชน อันจะนำพาสังคมไทยไปสู้ความมีสิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียม และจะไม่โอนอ่อนต่อการคุกคามของรัฐบาลรัฐทหารชุดนี้แต่อย่างใด

ด้วยความเชื่อมั่นและศรัทธาในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน

สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
แถลง ณ วันที่ 2 พฤษภาคม 2553
กรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์
ที่มา.ประชาไทย
*****************************************************

ประเทศไทยที่ถูกชี้นำโดยสังคมตอแหลดราม่า ไม่มีที่ยืนสำหรับเสื้อแดง


ในตลอดเกือบ2เดือนนับจากเสื้อแดงเคลือนไหวใหญ่ ผมต้อง"ทน"อย่างแสนสาหัสกับสังคมที่ผมอยู่

ที่พร้อมจะสอดส่องหาความชั่วร้ายของเสื้อแดง มาด่าทอเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ และซ้ำเติมในทุกเรื่องที่เสื้อแดงทำผิดพลาดไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ พวกเขาพร้อมจะมองข้ามความพยายามที่จะทำให้เกิดการชุมนุมอย่างสันติของเสื้อแดง และพร้อมประนามความรุนแรงที่เกิดจากเสื้อแดงในทุกๆเรื่อง

สังคมhypocrite แปลตรงตัวก็คือสังคมที่ปากพูดว่าตัวเองทำดีเป็นคนดี แต่การกระทำและจิตใจต่ำทราม หรือหลายคนนิยามว่าสังคมตอแหล มันก็คือสังคมชนชั้นกลาง ที่เรียกตัวเองว่า"คนส่วนใหญ่"ของประเทศ

สังคมตอแหลยังอุปโลกข์ตัวเองเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างหน้าไม่แดง ทั้งๆที่กลัวการเลือกตั้งขี้หดตดหาย สังคมตอแหลพร่ำพูดถึงสันติจากปาก แต่ลิ้นไก่สั่นระรัวว่า"ฆ่ามัน"

สังคมที่ยื่นมืออันขาวเนียนไปบริจาคนู่นบริจาคนี่ให้" คนจน" แต่เอาตีนถีบหน้าเขาส่งเมื่อ"คนจน"เหล่านั้นจะยืนขึ้นแอะปากเถียง สังคมที่ดีดดิ้นเมื่อได้ยินคำว่าทุจริตในรัฐบาลทักษิณ แต่หูทวนลมต่อมจริยธรรมพิการทันทีในรัฐบาลอภิสิทธิ์

อภิสิทธิ์เป็นตัวแทนของชนชั้นนี้อย่างแท้จริง! ! ทุกอย่างที่อภิสิทธิ์เป็น สังคมตอแหลก็เป็นแบบนั้น

ไม่มีที่ยืนสำหรับชนชั้นล่างสำหรับประเทศไทยที่มีชนชั้นกลางส่วนใหญ่เป็นพวกตอแหล จะมีก็แต่ที่ให้นอนราบให้เหยียบ โดยมีพวกตามมาหยอดเข้าต้มเมื่อเห็นว่าอาการร่อแร่

เสื้อแดงไม่มีทางชนะได้ด้วยสันติวิธีอีกต่อไป จะว่าแกนนำเดินเกมผิดหรือก็ไม่สามารถโยนความผิดให้แกนนำได้ทั้งหมด เดินเกมถูก8ผิด2 ไอ้ที่ผิดสองถูกเอามาต่อยอดเป็นดราม่าใหญ่โต

สังคมที่เต็มไปด้วยดราม่าละครหลังข่าว อ่อนไหวกับการบิดดราม่าบีบน้ำตา พล็อตละครหลังข่าวไม่มีเหตผลอย่างไร สังคมดราม่าก็ไม่ใช้เหตผลอย่างนั้น เน้นไปแต่ที่อารมณ์ ความรู้สึก รักคนนั้น เกลียดคนนี้ สงสารคนนั้น อยากถีบคนนี้ ซาบซึ้งตลอดเวลา น้ำตาไหลพราก

ข่าวที่เสื้อแดงเข้าไปรพ. ถูกเอามาdramatizedคูณไปสิบ จากที่ตอนแรกผมรู้สึกผิดที่เสื้อแดงทำไปแบบนั้น พร้อมขอโทษคนที่มาต่อว่าการกระทำของเสื้อแดง แต่รพ.ก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ย้ายผู้ป่วยเพิ่มอความเป็นดราม่าเข้าไปอีก

ข่าวทุกสำนักพร้อมใจกันถ่ายภาพผู้คนร้องห่มร้องไห้ ลำบากยากแค้น เมื่อต้องโดนย้ายรพ. เสื้อแดงเข้าไปสร้างความวุ่นวายในรพ.ขนาดไหน ถึงกับต้องย้ายหนี"ภัยสงคราม"ขนาดนั้น ถือเป็นการช่วงชิงโอกาสดราม่าของฝ่ายเชียร์รัฐบาลได้อย่างจุใจ

สังคมตอแหลดราม่าพร้อมกันประกาศว่าเสื้อแดงหมดความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวอีกต่อไป

อย่าดัดจริตให้มากนักเลยสังคมตอแหลดราม่า สังคมหายใจเข้าออกด้วยความดัดจริต คิดจะรอดพ้นวิกฤติด้วยการใช้ความดัดจริตคงไม่ง่าย

ต่อจากนี้แดงคงต้องสู้ให้หนักกว่าเดิม ความชอบธรรมมีเปี่ยมล้นอยู่ตั้งแต่ต้น ถึงแม้สังคมตอแหลดราม่าจะทำเป็นลืมเหตการณ์วันที่10เมษา แต่พี่น้องเสื้อแดงยังไม่ลืม การเข้าไปรพ.มันผิดแน่นอน แต่การสั่งการสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้าผิดกว่าหลายเท่า เสื้อแดงสร้างความลำบากให้คนไข้ แต่รัฐใช้อำนาจทหารสร้างความสูญเสียถึงแก่ชีวิต มันเทียบกันไม่ได้

พวกที่ออกมาประนามการเข้าไปรพ. แต่ละเลยการประนามการสลายการชุมนุมในวันที่10เมษาฯถือว่าเป็นพวก hypocrite ตอแหลดัดจริต ซึ่งหากสังคมยังถูกชี้นำด้วยคนพวกนี้ เสื้อแดงไม่มีทางชนะด้วยสันติวิธี

หากต่อมดราม่ามันพีคถึงจุดที่ลงมติกันให้ฆ่าเสื้อแดงที่ราชประสงค์ รับรองว่าได้เห็นดราม่ารายวันทั่วประเทศแน่นอน!
โดย. ปืนลั่นแสกหน้า
ที่มา .บอร์ดคนเหมือนกัน
***************************************************************