น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.พรรคเพื่อไทย (พท.) แถลงภายหลังนายซูฮาส ซาคม่าผู้อำนวยการองค์การฮิวแมนไรท์วอชท์ประจำภูมิภาคเอเชีย (ACHR) ซึ่งเป็นศูนย์ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียโดยได้เข้าพบผู้บริหารพรรคพท. อาทิ นายพิทยา พุกกะมาน คณะทำงานด้านต่างประเทศ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรค เมื่อวันที่ 29 เมษายน ว่า นายซูฮาสได้แสดงความเสียใจต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้นในประเทศไทย พร้อมกันนี้ได้แสดงความห่วงใยว่าจะมีการใช้กำลังกับผู้เข้าร่วมชุมนุมโดยเฉพาะการใช้อาวุธสงครามกับประชาชน จึงต้องการเข้ามาสอบถามข้อมูลจากพรรคพท.
"นายซูฮาสยังได้กล่าวว่าจากข้อมูลที่ปรากฏและได้รับ คิดว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย พร้อมกับบอกด้วยว่าหากท้ายที่สุดตรวจพบความชัดเจนว่ามีการดำเนินการเช่นนั้นจริง ก็จะไม่ได้ถูกจำกัดแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่เชื่อว่าประชาคมโลกต้องรับรู้และช่วยกันแก้ปัญหา" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว และว่า ในวันที่ 30 เมษายนนี้ เวลา 09.00 น. นายซูฮาสจะเดินทางไปพูดคุยกับแกนนำ นปช.ที่ด้านหลังเวทีปราศรัยแยกราชประสงค์ จากนั้นจะเข้าพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธาน พท.ซึ่งจะเปิดใจกับสื่อต่างชาติ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
---------------------------------------------------------------------
วันเสาร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
โกหกไว้ก่อน พ่อสอนไว้!!!
โกหกไว้ก่อน พ่อสอนไว้!!!
กลายเป็น “มิสเตอร์ตอแหลแลนด์” ไปหมดแล้ว...ทั้ง “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ “ผอ.ศอฉ.” ผู้ยิ่งใหญ่???ตั้งข้อหาเต็มประตู ทั้ง “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน”ถามหาข้อเท็จจริง....กลับตีแคนนอนชิ่ง ไม่มี “หลักฐาน”เป็นกลยุทธวิธี “แหกตาชาวบ้าน” วันละสามเวลาหลังอาหาร...เหมือนกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกพันธมิตรฯ และ “ยัยปองปากหมา” คอยใส่สีตีไข่...แต่มี “ความจริง” แค่นิดหน่อย!!!ไม่เสียที “มาร์ค” เป็นสาวกเหลือง......ยกระดับปั้นน้ำเป็นตัวได้ทุกเรื่อง?....ทำตัวเชื่องเป็นเด็กดีของ “ลิ้ม” ไม่เสื่อมถอย???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สงครามจิตวิทยา!!!
“ไม้สุดท้าย” ....อีกไม้เดียว ที่ “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขุดขึ้นมาใช้ เห็นแล้ว ก็ให้เวทนา???“ม็อบเสื้อแดง” คนไม่มีสี-ไม่มีเส้น จิตใจและวิญาณนั้น เขาเป็น “นักประชาธิปไตยเต็มใบ” ก้าวข้ามประตูสวรรค์ ในการไม่กลัวตาย“มาร์ค” จะโปรโมท..โจษขานสลายม็อบ เขากลัวเสียเมื่อไหร่ขณะที่ “คนเสื้อแดง” แรงฤทธิ์ไม่กลัวความเป็นความตาย...ผิดกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ใช้บอดี้การ์ดคุ้มกันเป็นร้อย มีอาวุธปืนสงคราม “อูซี่” ครบมือ..เนื่องจาก “สุเทพ” สารภาพเสียงอ่อย กลัว “ไอ้โม่งดำ-ไอ้โม่งขาว” ตามส่องรายวัน!!!“คนเสื้อแดง” หัวใจนักสู้ทั้งหมด....แต่ฝ่ายถืออำนาจเป็นพวก “ใจมด”?.....กลัวหัวหด จนน่าสงสาร???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เข้าขั้น ‘ตรีทูต’!!!
เรื่องเท็จ เรื่องเส็งเคร็ง เป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว..ต้องยกเครดิตอินเตอร์แห่งการโกหก ให้กับ “ลูกกะเป๋ง” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เขาไป ในการ “ลักไก่” ที่จะพูด???โกหกกันทุกนาที..โกหกกันทุกชั่วโมง “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี หมดทางเยียวยา เพราะ “มะเร็ง” กินขั้นสุดท้าย รอวันตายกับตายนี่เป็นอีกหนึ่ง “นวัตกรรม”.....ถ้อยคำโกหกเหลวไหล“ทักษิณ” ยังเดินปร๋อ ต่อยอดทำงาน เพื่อสร้างรากฐานให้กับประเทศไทย ....โดยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับประเทศต่างๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ให้สดใส!!!ยืนยันว่า “ทักษิณ” ยังมีความสุข....ตอนนี้รอดู “สนธิ” เดินเข้าคุก?......กับความสนุกที่บังอาจ “หมิ่นสถาบัน” เอาไว้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ล้างมือในอ่างทองคำ!!!
เป็น “ฮาร์ดคอร์” เบอร์หนึ่งแถวหน้า...ถ้าเกิดระเบิด ยิงกันตูมตามที่ไหน เข็มทิศก็ชี้มาว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นคนทำ???เท่าที่รู้ทราบมา... “บิ๊กพัลลภ” แขวนนวมเรื่องความรุนแรง.. จบฉากไปแล้ว สำหรับ “นักฆ่าตัวจริงเสียงจริง”ท่านลดความห้าวหาญ...ทิ้งงานทั้งหมดเพราะ “ผู้หญิง”อันเนื่องมาจาก ศรีภรรยาคู่แก้วคู่ขวัญ ที่ร่วมหอลงโรงกันมา ขอให้ลดจากงานการเมือง โดยไม่ให้ยุ่งทั้งการทหาร...เพราะเข้าไปข้องแวะคราวใด ครอบครัวถูกยำเละเป็นวุ้น!!!สถานการณ์ที่ยิงกันเปรี้ยงปร้าง... “บิ๊กพัลลภ” ไม่รู้สักอย่าง?....เลิกอ้างว่าท่านทำสักทีเถอะคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ติดดีสเบรก ‘นายกฯ อภิสิทธิ์ชน’!!
อย่าได้เชื่อ “กุนซือ” หรือ “โค้ชข้างสนาม”..เพราะขืน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำตามระวัง จะยิ่งเสียคน???เท่าที่ ประชาชนทหารตายไปแล้ว ๒๘ ศพ บาดเจ็บนอนไอซียูและหยอดน้ำข้าวต้ม ร่วมพันกว่าคนนั้น “ประเทศไทย” ก็วิกฤติยากที่จะแก้ขืนให้เดินหน้า.. “ฆ่าแล้วปิดประเทศ” เหมือนพม่า ไม่ดีแน่คนไทยกับคนไทย ยังพูดจาภาษาดอกไม้เดียวกันได้อยู่เสมอ!!!!!ใครเขาก็รู้ที่ “มาร์ค” ทำขึงขัง.....ล้วนแต่มีคนสั่ง?......อยู่ข้างหลัง เขารู้หมดแล้วล่ะเธอ???
Tags: ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------
กลายเป็น “มิสเตอร์ตอแหลแลนด์” ไปหมดแล้ว...ทั้ง “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “เทพเทือก” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในฐานะ “ผอ.ศอฉ.” ผู้ยิ่งใหญ่???ตั้งข้อหาเต็มประตู ทั้ง “ผู้ก่อการร้าย” และ “ล้มเจ้า-ล้มสถาบัน”ถามหาข้อเท็จจริง....กลับตีแคนนอนชิ่ง ไม่มี “หลักฐาน”เป็นกลยุทธวิธี “แหกตาชาวบ้าน” วันละสามเวลาหลังอาหาร...เหมือนกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หัวโจกพันธมิตรฯ และ “ยัยปองปากหมา” คอยใส่สีตีไข่...แต่มี “ความจริง” แค่นิดหน่อย!!!ไม่เสียที “มาร์ค” เป็นสาวกเหลือง......ยกระดับปั้นน้ำเป็นตัวได้ทุกเรื่อง?....ทำตัวเชื่องเป็นเด็กดีของ “ลิ้ม” ไม่เสื่อมถอย???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สงครามจิตวิทยา!!!
“ไม้สุดท้าย” ....อีกไม้เดียว ที่ “มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ขุดขึ้นมาใช้ เห็นแล้ว ก็ให้เวทนา???“ม็อบเสื้อแดง” คนไม่มีสี-ไม่มีเส้น จิตใจและวิญาณนั้น เขาเป็น “นักประชาธิปไตยเต็มใบ” ก้าวข้ามประตูสวรรค์ ในการไม่กลัวตาย“มาร์ค” จะโปรโมท..โจษขานสลายม็อบ เขากลัวเสียเมื่อไหร่ขณะที่ “คนเสื้อแดง” แรงฤทธิ์ไม่กลัวความเป็นความตาย...ผิดกับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ใช้บอดี้การ์ดคุ้มกันเป็นร้อย มีอาวุธปืนสงคราม “อูซี่” ครบมือ..เนื่องจาก “สุเทพ” สารภาพเสียงอ่อย กลัว “ไอ้โม่งดำ-ไอ้โม่งขาว” ตามส่องรายวัน!!!“คนเสื้อแดง” หัวใจนักสู้ทั้งหมด....แต่ฝ่ายถืออำนาจเป็นพวก “ใจมด”?.....กลัวหัวหด จนน่าสงสาร???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เข้าขั้น ‘ตรีทูต’!!!
เรื่องเท็จ เรื่องเส็งเคร็ง เป็นเด็กเลี้ยงแกะแล้ว..ต้องยกเครดิตอินเตอร์แห่งการโกหก ให้กับ “ลูกกะเป๋ง” ของ สนธิ ลิ้มทองกุล เขาไป ในการ “ลักไก่” ที่จะพูด???โกหกกันทุกนาที..โกหกกันทุกชั่วโมง “พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี หมดทางเยียวยา เพราะ “มะเร็ง” กินขั้นสุดท้าย รอวันตายกับตายนี่เป็นอีกหนึ่ง “นวัตกรรม”.....ถ้อยคำโกหกเหลวไหล“ทักษิณ” ยังเดินปร๋อ ต่อยอดทำงาน เพื่อสร้างรากฐานให้กับประเทศไทย ....โดยเข้าไปคลุกคลีตีโมงกับประเทศต่างๆ เพื่อคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ให้สดใส!!!ยืนยันว่า “ทักษิณ” ยังมีความสุข....ตอนนี้รอดู “สนธิ” เดินเข้าคุก?......กับความสนุกที่บังอาจ “หมิ่นสถาบัน” เอาไว้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ล้างมือในอ่างทองคำ!!!
เป็น “ฮาร์ดคอร์” เบอร์หนึ่งแถวหน้า...ถ้าเกิดระเบิด ยิงกันตูมตามที่ไหน เข็มทิศก็ชี้มาว่า “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” เป็นคนทำ???เท่าที่รู้ทราบมา... “บิ๊กพัลลภ” แขวนนวมเรื่องความรุนแรง.. จบฉากไปแล้ว สำหรับ “นักฆ่าตัวจริงเสียงจริง”ท่านลดความห้าวหาญ...ทิ้งงานทั้งหมดเพราะ “ผู้หญิง”อันเนื่องมาจาก ศรีภรรยาคู่แก้วคู่ขวัญ ที่ร่วมหอลงโรงกันมา ขอให้ลดจากงานการเมือง โดยไม่ให้ยุ่งทั้งการทหาร...เพราะเข้าไปข้องแวะคราวใด ครอบครัวถูกยำเละเป็นวุ้น!!!สถานการณ์ที่ยิงกันเปรี้ยงปร้าง... “บิ๊กพัลลภ” ไม่รู้สักอย่าง?....เลิกอ้างว่าท่านทำสักทีเถอะคุณ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ติดดีสเบรก ‘นายกฯ อภิสิทธิ์ชน’!!
อย่าได้เชื่อ “กุนซือ” หรือ “โค้ชข้างสนาม”..เพราะขืน “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ทำตามระวัง จะยิ่งเสียคน???เท่าที่ ประชาชนทหารตายไปแล้ว ๒๘ ศพ บาดเจ็บนอนไอซียูและหยอดน้ำข้าวต้ม ร่วมพันกว่าคนนั้น “ประเทศไทย” ก็วิกฤติยากที่จะแก้ขืนให้เดินหน้า.. “ฆ่าแล้วปิดประเทศ” เหมือนพม่า ไม่ดีแน่คนไทยกับคนไทย ยังพูดจาภาษาดอกไม้เดียวกันได้อยู่เสมอ!!!!!ใครเขาก็รู้ที่ “มาร์ค” ทำขึงขัง.....ล้วนแต่มีคนสั่ง?......อยู่ข้างหลัง เขารู้หมดแล้วล่ะเธอ???
Tags: ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------------------
สีที่น่าเป็นห่วง
โดนงูกัด ก็ต้องใช้พิษงูแก้ เฉกเช่นเดียวกับ “การเมือง”ต้องแก้ด้วย “การเมือง”ในเมื่อต้องการจะแก้ให้ถูกจุดก็ต้องหา “ต้นเหตุ”แห่งความวุ่นวายให้พบ
สีก็เช่นเดียวกัน..เมื่อจะ “ล้างสี” ทั้งหมดออก จะต้องให้ “สี”มาดับ “สี”กันเองจึงจะถูกต้องด้วยประการทั้งปวงจะให้เจ๊กย้อมผ้ามาช่วยย้อมเปลี่ยนสีให้คงไม่สวยนัก!และ..ในที่สุด ทั้ง “สีเหลือง”และ “สีแดง” ก็ถูกกลืนหายไปกลายเป็น “หลากสี”โดยอัตโนมัติ!!เพราะต่างก็ไม่ยอมเป็น “เป้านิ่ง”ให้ยิงกบาลกันง่ายๆสุภาษิตจอมยุทธจีนกล่าวว่า ต้า จั้ง ฟู เหนิง ซวี เหนิง เซินแปลเป็นไทยว่า “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้”แล้ว..สำมะหาอะไรจะเปลี่ยน “สี”ไม่ได้..เพื่อความอยู่รอดแบบว่า
สะดวกทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ในความเป็นจริง “สีเหลือง” กับ “สีแดง”เป็นสีคู่กัดกันโดยปริยาย!!และเป็นที่น่าสังเกตว่า “สีเหลือง”มากราย ..ได้กลับกลายมาเป็น “สีแดง”ในภายหลังอย่างมากมายมหาศาล??ในทางตรงข้ามไม่เคยเห็น “สีแดง”แปลงร่างกลายเป็น “สีเหลือง”สักคน!เออ!..มันเป็นเพราะอะไรล่ะครับ เจ๊เล้ง??ที่ปวดหัวอยู่ในขณะนี้ เพราะทั้ง “สองสี”กลายพันธุ์เป็น “หลากสี”เดียวกันทั้งหมดไปแล้วหากว่าใครดันพิเรนท์ที่จะจัด “ม็อบ” มาชน “ม็อบ”คงจะยุ่งกัน
ตายชักจะมองออกได้อย่างไรว่า “ใครพวกใคร”ในขณะที่ เฮละโล “พะบู๊”กันนัวเนียจะต้องมีพวกเดียวกัน “หยำฉ่า” กันเอง อย่างน้อยครึ่งขบวน เชื่อเหอะ!เพราะใบหน้าของคนหลากสีคือ “คนไทย”เหมือนกันเดี๊ยะ..ยุ่งละว้อยทีนี้ “แดงจริง” กับ “แดงเทียม”ยังพอที่จะค้นหานำตัวออกมาได้..แต่ “หลากสีเทียม”จะดูกันยังไงวะเนี่ย!ยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนรูปแบบ พลิกไป-พลิกมา ของแกนนำทั้งสองฝ่ายมีหวังชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูก “ลูกหลงตาย” กันเป็นเบือ!!
Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************************************
สีก็เช่นเดียวกัน..เมื่อจะ “ล้างสี” ทั้งหมดออก จะต้องให้ “สี”มาดับ “สี”กันเองจึงจะถูกต้องด้วยประการทั้งปวงจะให้เจ๊กย้อมผ้ามาช่วยย้อมเปลี่ยนสีให้คงไม่สวยนัก!และ..ในที่สุด ทั้ง “สีเหลือง”และ “สีแดง” ก็ถูกกลืนหายไปกลายเป็น “หลากสี”โดยอัตโนมัติ!!เพราะต่างก็ไม่ยอมเป็น “เป้านิ่ง”ให้ยิงกบาลกันง่ายๆสุภาษิตจอมยุทธจีนกล่าวว่า ต้า จั้ง ฟู เหนิง ซวี เหนิง เซินแปลเป็นไทยว่า “ลูกผู้ชายยืดได้หดได้”แล้ว..สำมะหาอะไรจะเปลี่ยน “สี”ไม่ได้..เพื่อความอยู่รอดแบบว่า
สะดวกทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ในความเป็นจริง “สีเหลือง” กับ “สีแดง”เป็นสีคู่กัดกันโดยปริยาย!!และเป็นที่น่าสังเกตว่า “สีเหลือง”มากราย ..ได้กลับกลายมาเป็น “สีแดง”ในภายหลังอย่างมากมายมหาศาล??ในทางตรงข้ามไม่เคยเห็น “สีแดง”แปลงร่างกลายเป็น “สีเหลือง”สักคน!เออ!..มันเป็นเพราะอะไรล่ะครับ เจ๊เล้ง??ที่ปวดหัวอยู่ในขณะนี้ เพราะทั้ง “สองสี”กลายพันธุ์เป็น “หลากสี”เดียวกันทั้งหมดไปแล้วหากว่าใครดันพิเรนท์ที่จะจัด “ม็อบ” มาชน “ม็อบ”คงจะยุ่งกัน
ตายชักจะมองออกได้อย่างไรว่า “ใครพวกใคร”ในขณะที่ เฮละโล “พะบู๊”กันนัวเนียจะต้องมีพวกเดียวกัน “หยำฉ่า” กันเอง อย่างน้อยครึ่งขบวน เชื่อเหอะ!เพราะใบหน้าของคนหลากสีคือ “คนไทย”เหมือนกันเดี๊ยะ..ยุ่งละว้อยทีนี้ “แดงจริง” กับ “แดงเทียม”ยังพอที่จะค้นหานำตัวออกมาได้..แต่ “หลากสีเทียม”จะดูกันยังไงวะเนี่ย!ยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนรูปแบบ พลิกไป-พลิกมา ของแกนนำทั้งสองฝ่ายมีหวังชาวบ้านที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ถูก “ลูกหลงตาย” กันเป็นเบือ!!
Tags: ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************************************
อารยะขัดขืน
ผิดแล้วก็ผิดอีก ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำผิดซ้ำซากนั่นคือ..การดูแลไม่เหมือนกันในเรื่องเดียวกัน....ถ้ามันแค่คนสองคนมันก็ไม่เท่าไหร่..แต่นี่มันเกิดขึ้นกับความรู้สึกของประชาชนทั้งประเทศ...มันถึงเป็นเรื่องใหญ่..ชนิดที่ความตายก็หยุดยั้งมันไม่ได้.. เราจึงได้เห็นคนกลัวผีที่ไม่กลัวปืน เราจึงได้เห็นคนมือเปล่าที่เข้าไปแย่งปืนที่กำลังยิงจากมือทหารเชื่อกันหรือไม่...สิ่งเดียวที่แยกสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่าคนให้แปลกไม่ปนไปกับสัตว์หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั้นคือ ความรู้สึกต่อต้านความอยุติธรรมมนุษย์เป็นสัตว์โลกชนิดเดียวที่มักจะเอาตัวเข้าไปเปรียบเที่ยบกับสิ่งอื่นๆ และโดยเฉพาะ...มนุษย์ด้วยกัน..มนุษย์จึงสร้างโลกในนี้ขึ้นมา
ด้วยความรู้สึกและความรู้สึกนี่แหละ....คือความเป็นมนุษย์ความรู้สึกที่ว่า...เอ็งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ทำไมกูทำอะไรก็ผิดไปหมด..อย่างที่ปรากฏอยู่บนตัวเสื้อของคนเสื้อแดง..มันเป็นความรู้สึกที่กลั่นกันออกมาเป็นตัวอักษร..ความรู้สึกดังกล่าว..เป็นโซ่เหล็กพลังดูดมหึมาที่ที่เร่งร้อยผู้มีความรู้สึกเช่นเดียวกันให้มานอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ด้วยกัน นานเกินวันสู้ด้วยกันนานเกินปีและเมื่อการต่อสู้นั้นมันไม่ได้รับการสนองตอบ..นานเข้านานเข้า..พวกเขาจึงเรียกคำแทน
พวกเขาว่า “ไพร่” และเกาะกลุ่มต่อสู้กันต่อไปในสันดานและความรู้สึกแห่งการเป็นสัตว์มนุษย์ผิดแล้วผิดอีก..แต่ไหนแต่ไรมา..การทำม็อบสัญจรของม็อบเสื้อแดง..ก็ไม่ได้รับการขัดขวางลื่นใหลไปตามถนนหนทาง..นอกจากจะเข้าพื้นที่ที่มีรั้วกางกั้น..แต่ทันทีที่มีม็อบเกิดใหม่มาต้านม็อบ..ม็อบใหม่สามารถเดินไปไหนก็ได้ชุมนุมที่ไหนก็ได้..แต่ม็อบเก่ากลายเป็นม็อบที่ถูกปิดกั้นแม้แต่บนถนนหนทาง..ใช้อาวุธและกำลังแบบห้ามผ่านเด็ดขาดรัฐบาลไปสร้าง ม็อบเขาม็อบเราขึ้น
มา..จนคนทั่วไปรู้สึกว่า..รัฐบาลกำลังต้องการให้ประชาชนชาติเดียวกันต่อสู้กัน และเตรียมที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการต่อสู้นั้นแต่รัฐบาลลืมไปว่า...คนถืออาวุธที่เรียกกันว่าทหาร..คนถืออาวุธที่เรียกกันว่าตำรวจนั้น..เขาก็เป็นคนเป็นมนุษย์..เขาก็มีความรู้สึก..และแยกแยะได้..เขาเป็นไพร่ที่ถูกใช้ให้มาประหัตประหารไพร่ด้วยกัน เขาเหล่านั้นแยกแยะได้ถึงความยุติธรรมกับอยุติธรรมอาระยะขัดขืนจึงอุบัติขึ้น
Tags: พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------
ด้วยความรู้สึกและความรู้สึกนี่แหละ....คือความเป็นมนุษย์ความรู้สึกที่ว่า...เอ็งทำอะไรก็ไม่ผิด แต่ทำไมกูทำอะไรก็ผิดไปหมด..อย่างที่ปรากฏอยู่บนตัวเสื้อของคนเสื้อแดง..มันเป็นความรู้สึกที่กลั่นกันออกมาเป็นตัวอักษร..ความรู้สึกดังกล่าว..เป็นโซ่เหล็กพลังดูดมหึมาที่ที่เร่งร้อยผู้มีความรู้สึกเช่นเดียวกันให้มานอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ด้วยกัน นานเกินวันสู้ด้วยกันนานเกินปีและเมื่อการต่อสู้นั้นมันไม่ได้รับการสนองตอบ..นานเข้านานเข้า..พวกเขาจึงเรียกคำแทน
พวกเขาว่า “ไพร่” และเกาะกลุ่มต่อสู้กันต่อไปในสันดานและความรู้สึกแห่งการเป็นสัตว์มนุษย์ผิดแล้วผิดอีก..แต่ไหนแต่ไรมา..การทำม็อบสัญจรของม็อบเสื้อแดง..ก็ไม่ได้รับการขัดขวางลื่นใหลไปตามถนนหนทาง..นอกจากจะเข้าพื้นที่ที่มีรั้วกางกั้น..แต่ทันทีที่มีม็อบเกิดใหม่มาต้านม็อบ..ม็อบใหม่สามารถเดินไปไหนก็ได้ชุมนุมที่ไหนก็ได้..แต่ม็อบเก่ากลายเป็นม็อบที่ถูกปิดกั้นแม้แต่บนถนนหนทาง..ใช้อาวุธและกำลังแบบห้ามผ่านเด็ดขาดรัฐบาลไปสร้าง ม็อบเขาม็อบเราขึ้น
มา..จนคนทั่วไปรู้สึกว่า..รัฐบาลกำลังต้องการให้ประชาชนชาติเดียวกันต่อสู้กัน และเตรียมที่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการต่อสู้นั้นแต่รัฐบาลลืมไปว่า...คนถืออาวุธที่เรียกกันว่าทหาร..คนถืออาวุธที่เรียกกันว่าตำรวจนั้น..เขาก็เป็นคนเป็นมนุษย์..เขาก็มีความรู้สึก..และแยกแยะได้..เขาเป็นไพร่ที่ถูกใช้ให้มาประหัตประหารไพร่ด้วยกัน เขาเหล่านั้นแยกแยะได้ถึงความยุติธรรมกับอยุติธรรมอาระยะขัดขืนจึงอุบัติขึ้น
Tags: พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
-----------------------------------------------------------------
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553
ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ คือการเจรจา
ไตรรงค์ สุวรรณคีรี ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ”ความมั่นคง” จึงไม่มีหน้าที่ในการปราบปราม หรือเจรจากับ”คนเสื้อแดง”คุณไตรรงค์ เป็นดอกเตอร์ทางเศรษฐศาสตร์ ถือเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งที่”ครบเครื่อง”คำพูดของ ดร.ไตรรงค์ เจ้าของฉายา “สามสี ภูเขาทอง” ที่แสดงความเห็นในสงครามประชาชนที่
กำลังรบพุ่งเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธ์กันเอง เป็น “คำเตือน” ที่คนรุ่นน้องอย่าง อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ น่าจะนำมาคิดและครองกันให้ดีไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ด้าน เศรษฐกิจ บอกว่า การชุมนุมส่งผลในทางลบ ยิ่งยืดเยื้อมากยิ่งเสียหายมาก ส่วนจีดีพีจะลดลงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับตั้งสมมติฐานและการคาดการณ์ ต้องยอมรับว่าการชุมนุมส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวลูกหลง ขณะที่บางส่วนยังมีภาพหลอนจากการยึดสนามบินที่
ผมเห็นว่าน่าสนใจ เห็นจะเป็นความเห็นของคุณไตรรงค์ที่บอกชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือการเจรจา!!ดร.ไตรรงค์ เน้นความเชื่อมั่นของตัวเอง ด้วยการยืนยันว่า ท่านเป็นคนที่เชื่อทฤษฎีของซุนวู ผู้เชี่ยวชาญด้านการสงคราม ซึ่งมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือชัยชนะที่ไม่ต้องทำสงครามคือให้พูดจากัน 2. สงครามยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งเจ๊งทุกฝ่าย ไม่มีใครได้ประโยชน์ และเมื่อถูกถามว่าสงครามครั้งนี้ใครจะได้ชัยชนะ?? คุณไตรรงค์ก็ตอบโดยไม่ต้องรอคิดให้เสียเวลา
ว่า "ไม่มี!! ฉิบหายทุกคน"!!ผมไม่รู้ว่า...ในความสัมพันธ์ หรือความเชื่อถือส่วนตัวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งสองคนนี้จะให้ความเชื่อถือ หรือให้ความสำคัญกับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี แค่ไหน? แต่รู้อยู่อย่างเดียวว่า....สำหรับคนในประชาธิปัตย์แล้ว วันนี้ ความเห็นของไตรรงค์ต่อสถานการณ์การทำสงครามระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงถูกต้องและน่ารับฟังที่สุด....แต่ มาร์ค-เทือก ก็มิได้นำพา!!
Tags: ปัญหาโลกแตกสองคม
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
กำลังรบพุ่งเพื่อทำลายล้างเผ่าพันธ์กันเอง เป็น “คำเตือน” ที่คนรุ่นน้องอย่าง อภิสิทธิ์ กับ สุเทพ น่าจะนำมาคิดและครองกันให้ดีไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ด้าน เศรษฐกิจ บอกว่า การชุมนุมส่งผลในทางลบ ยิ่งยืดเยื้อมากยิ่งเสียหายมาก ส่วนจีดีพีจะลดลงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับตั้งสมมติฐานและการคาดการณ์ ต้องยอมรับว่าการชุมนุมส่งผลเสียต่อการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไม่กล้าเข้ามาเพราะกลัวลูกหลง ขณะที่บางส่วนยังมีภาพหลอนจากการยึดสนามบินที่
ผมเห็นว่าน่าสนใจ เห็นจะเป็นความเห็นของคุณไตรรงค์ที่บอกชัยชนะที่ยิ่งใหญ่คือการเจรจา!!ดร.ไตรรงค์ เน้นความเชื่อมั่นของตัวเอง ด้วยการยืนยันว่า ท่านเป็นคนที่เชื่อทฤษฎีของซุนวู ผู้เชี่ยวชาญด้านการสงคราม ซึ่งมีอยู่ 2 ข้อ คือ 1. ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือชัยชนะที่ไม่ต้องทำสงครามคือให้พูดจากัน 2. สงครามยิ่งยืดเยื้อ ยิ่งเจ๊งทุกฝ่าย ไม่มีใครได้ประโยชน์ และเมื่อถูกถามว่าสงครามครั้งนี้ใครจะได้ชัยชนะ?? คุณไตรรงค์ก็ตอบโดยไม่ต้องรอคิดให้เสียเวลา
ว่า "ไม่มี!! ฉิบหายทุกคน"!!ผมไม่รู้ว่า...ในความสัมพันธ์ หรือความเชื่อถือส่วนตัวของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ทั้งสองคนนี้จะให้ความเชื่อถือ หรือให้ความสำคัญกับ ไตรรงค์ สุวรรณคีรี แค่ไหน? แต่รู้อยู่อย่างเดียวว่า....สำหรับคนในประชาธิปัตย์แล้ว วันนี้ ความเห็นของไตรรงค์ต่อสถานการณ์การทำสงครามระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อแดงถูกต้องและน่ารับฟังที่สุด....แต่ มาร์ค-เทือก ก็มิได้นำพา!!
Tags: ปัญหาโลกแตกสองคม
ที่มา.บางกอกทูเดย์
****************************************************
ผลงานบิ๊กจิ๋วสุดชัดเจน รักชาติรักสถาบันยิ่งชีพ
จะถือว่าเป็นการเล่นเกมการเมืองสกปรก ผ่านกลไกของ ศอฉ.หรือไม่ วินาทีนี้ เป็นสิ่งที่สังคมไทย โดยเฉพาะสังคมในส่วนที่มองสถานการณ์ทุกด้านด้วยสติ
และให้ความเป็นธรรมล้วนต่างจับจ้องมองกันเป็นอย่างมากสำหรับ กรณี “แผนผังล้มสถาบัน” ของศอฉ.คำถามที่อึงอลไปหมดทั้งสังคมไทยก็คือจริงหรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะมีส่วนในการล้มสถาบันฯ อย่างที่ ศอฉ.กล่าวหาบรรดาคนที่พยายามกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากไม่ใช่เป็นเพราะเคยชินกับการได้รับตำแหน่งโดยไม่เคยมีผลงานที่ควรค่าแก่การยกย่อง ก็อาจจะลืมไปจริงๆ ว่า พล.อ.ชวลิต
นั้นมีผลงานที่ทำ เพื่อชาติและราชบัลลังก์มาโดยตลอดคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ซึ่งการเปลี่ยนความคิดทางการเมืองในสังคม จากการปราบปราม มาเป็นการต่อสู้คอมมิวนิสต์เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ ในอดีตมุ่งแต่การปราบปรามเป็นหลัก แต่ก็ไม่เคยได้รับชัยชนะแต่ไม่ใช่วิธีคิดของ พล.อ.ชวลิตผลงานชัดเจนที่สุด คือการมีคำสั่งที่66/2523 ซึ่งมี พล.ต.หาญ ลีนานนท์เจ้ากรมยุทธการทหารบกในขณะนั้น กับพล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ และคณะ เป็นกลไกสำคัญ
ในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางความคิดครั้งสำคัญยิ่งหยุดการปราบปราม แต่มาใช้การต่อสู้โดยยึดกระบวนการทางความคิดเป็นสำคัญพล.อ.ชวลิต ตลอดมาสะท้อนชัดถึงภาพของการยึดมั่นในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นและเป็นอุดมคติที่แท้จริง ไม่ใช่การเสแสร้งปั้นแต่งซึ่งการกำเนิดของอาสามัครทหารพรานซึ่ง พล.อ.ประยุทธ จารุมณี ทั้งในฐานะเสนาธิการทหารบก และ ผบ.ทบ.ในขณะนั้นรู้และยอมรับมาตลอดว่าเป็นการริเริ่มจากพล.อ.
ชวลิต ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งกลไกหนึ่งในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จนสุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทพยายามทำ ให้สงครามเอาชนะคอมมิวนิสต์ของพล.อ.ชวลิต สามารถยุติลงโดยพื้นฐานนับแต่ปี 2524 เป็นต้นมาทั้งหมดสะท้อนชัดเจนว่า นี่คือการทุ่มเทเพื่อปกป้องประเทศชาติ และราชบัลลังก์อย่างแท้จริงดังนั้นในภายหลังที่ พล.อ.ชวลิต ได้เป็นผบ.ทบ. ได้เป็น ผบ.สส. จึงไร้ซึ่งข้อกังขากล่าวได้ว่าไม่มีการที่จะไม่ยอมรับจากภาคส่วนใดๆ เลยของสังคม
ไทยสำคัญที่สุดคือนอกจากตำแหน่งแล้วต้องไม่ลืมว่าการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และเข้าสู่พิธีดื่มนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาเป็นเกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิต ปลาบปลื้มที่สุดเพราะเป็นเกียรติยศอันสูงยิ่งที่ทหารคนหนึ่งซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณยํ้าอีกครั้งว่า เกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิตได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่พยายามดิ้นรนแสวงหา หรือไขว่คว้าเหมือนกับคนการเมืองบางคนในขณะนี้แต่เป็นการได้มาในฐานะที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติและราชบัลลังก์ด้วย
ความซื่อสัตย์นั่นเองดังนั้น การที่ ศอฉ.โดย พ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด ออกมาเผยแผนผังล้มสถาบันโดยที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และผอ.ศอฉ. ออกมาขานรับเป็นปี่เป็นขลุ่ยรวมกระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง5 ปี แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเอามาใช้งานการเมืองเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณในการได้เป็นนายกรัฐมนตรีจึงทำให้นายเนวิน ในวันนี้สามารถ
ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกเรื่อง โดยที่คำตัดสินของศาลไม่สามารถจะกันนายเนวินได้ จึงถึงขั้นเหิมเกริมว่า ณ วันนี้คือผู้ยิ่งใหญ่ที่ใครต่อใครหากอยากจะอยู่ในอำนาจการเมือง ก็ต้องเรียกใช้บริการจึงทำให้ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิตตาม ศอฉ.ตามนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพไปด้วยทั้งๆ ที่หากนายเนวิน ยังมีมโนสำนึกอยู่บ้าง ย่อมควรจะต้องจดจำได้เป็นอย่างดี ว่า พล.อ.ชวลิตเคยช่วย เคยเอื้อเอ็นดู และเคยเป็นฝ่ายให้นายเนวินมามากมายสารพัดเพียงใดสมควรแล้ว
หรือ ที่จะมากล่าวร้ายเช่นนี้ยิ่งหากเปรียบเทียบกันด้วยใจที่เป็นธรรม ต้องถามว่าทั้ง 4 คน ที่กล่าวหา พล.อ.ชวลิตนั้นมีผลงานอะไรที่เป็นเกียรติยศบ้างพ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด มีผลงานในอาชีพราชการทหารอะไรที่ชัดเจนบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นโฆษกมาเป็นกระบอกเสียง แล้วก็มาทำหน้าที่ใน ศอฉ.ครงั้ นี้เคยรู้หรือไม่ว่า เพื่อนร่วมรุ่น หรือแม้กระทั่งรุ่นพี่ รุ่นน้อง หลายคนรู้สึกอย่างไรเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ที่วันนี้เสียงครหาในเรื่องของการรับราชการทหาร ก็ยังไม่เคยจบ
สิ้น เพราะแม้ว่าอาจจะเป็นการไม่ผิดกฎหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ เชื่อมั่นจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีร่องรอยให้มีการตั้งข้อสังเกตได้ว่าไม่สง่างามหลายคนบอกว่า ไอ้เณรทหารเกณฑ์นักศึกษา รด. หรือแม้แต่คนที่ครบเกณฑ์ แล้วใช้การจับใบดำ-ใบแดงตรงๆไปเลย ยังมีความสง่างามและชัดเจนในขณะที่บนเส้นทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นเด็กสร้างประชาธิปัตย์ ที่บรรดาอดีตผู้ใหญ่หลายคนภายในพรรคเคยภูมิอกภูมิใจ แต่มาในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงรู้ได้ด้วย
ตัวเองว่า ท่าทีและความรู้สึกของบรรดาผู้ใหญ่ภายในพรรคเปลี่ยนไปหรือไม่สายตาที่เคยเอื้อเอ็นดู แปรเปลี่ยนไปหรือไม่... เป็นสิ่งที่อยากให้นายอภิสิทธิ์กลับไปคิดให้จงหนักส่วนนายสุเทพ คงต้องให้คนในแวดวงการเมืองร่วมสมัยนั่นแหละ ที่เป็นคนพูดว่า อะไรคือผลงานที่น่าภาคภูมิใจของนายสุเทพบ้างอะไรคือผลงานที่กระทำเพื่อชาติและราชบัลลังก์บ้างแล้วไฉนวันนี้จึงจะมาเอ่ยอ้าง ผูกขาดความจงรักภักดีต่อสถาบัน จนไปกล่าวหาพล.อ.ชวลิตส่วนนายเนวิน ไม่ต้องพูด
ถึง ยังจำภาพในอดีตที่สะพายย่ามเดินตามหลังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอโอกาสทางการเมืองได้หรือไม่ยังจำภาพของตนเองที่ทรุดตัวลงกอดพ.ต.ท.ทักษิณ ได้หรือไม่รู้หรือไม่ว่าสังคม จินตนาการ ชื่อตัดมาสั้นๆ ของนายเนวิน ที่ว่า “เน” นั้น ไปไกลถึงคำว่าอะไรแล้วการที่ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิต เพื่อหวังจะสร้างภาพทางการเมืองนั้น คิดหรือว่าจะดูดีขึ้นมาได้โดยเฉพาะมุกที่พยายามอ้างความจงรักภักดี ผูกขาดการเทิดทูนสถาบัน รวมไปถึงการที่ทำเป็นนํ้าหู
นํ้าตาไหลนั้น... เชื่อมั่นจริงๆ หรือว่า คนไทยจะไม่รู้ทันเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่???... อยากให้นายเนวินถามตัวเองให้ชัดๆเพราะ ณ วันนี้ พล.อ.ชวลิต คนที่ถูกกล่าวหา สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาจ้องปองร้ายแต่ถามว่า นายเนวิน กล้าหรือไม่ที่จะออกจากที่ซ่องสุมแล้วมาเดินถนนอย่างเปิดเผย โดยไม่มีการ์ดห้อมล้อมเกือบ 20 คนถ้าไม่กล้า นั่นก็คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่า นายเนวินสร้างผลงานอะไรเอา
ไว้เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพซึ่งยืนยันมาตลอดว่ามาตามกฎหมายมาตามรัฐธรรมนูญปี 50 และทำหน้าที่อย่างถูกต้องมาตลอดถามว่าทำไมวันนี้จึงต้องหมกตัวอยู่ในราบ 11 แม้แต่บ้านช่องก็ยังไม่ได้กลับ...กลัวอะไรหรือศอฉ.ทั้งหลายเคยฉุกใจคิดหรือไม่ว่าทำไม พล.อ.ชวลิต จึงบริสุทธิ์ใจพอที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้แต่ราบ 11 ก็ยังกล้าไป... เพื่อเข้าไปพบทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพวันนี้อยากให้ ผู้กุมอำนาจและกลไกศอฉ. หันมาทบทวนว่า สิ่งที่ทำลง
ไปนั้นเป็นเพราะเมาหมัด หรือจนแต้ม จนนึกไม่รอบคอบไม่รอบด้าน จึงทำสิ่งผิดพลาดลงไปด้วยการกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากเพราะเมาหมัด หรือเพราะหลงเชื่อคำยุยงของนายเนวินแล้ว คิดเสียใหม่เถิด...บ้านเมืองในวันนี้ ควรที่หยุดเกมใส่ร้ายหยุดเกมการเมืองสกปรก ภายใต้บริการของคนๆ นั้นหรือยัง แล้วกลับลำมาเจรจาอย่างสันติ เลิกทิฐิทำเพื่อประเทศชาติสักครั้งไม่ดีกว่าหรือ???
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************************
และให้ความเป็นธรรมล้วนต่างจับจ้องมองกันเป็นอย่างมากสำหรับ กรณี “แผนผังล้มสถาบัน” ของศอฉ.คำถามที่อึงอลไปหมดทั้งสังคมไทยก็คือจริงหรือ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด จะมีส่วนในการล้มสถาบันฯ อย่างที่ ศอฉ.กล่าวหาบรรดาคนที่พยายามกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากไม่ใช่เป็นเพราะเคยชินกับการได้รับตำแหน่งโดยไม่เคยมีผลงานที่ควรค่าแก่การยกย่อง ก็อาจจะลืมไปจริงๆ ว่า พล.อ.ชวลิต
นั้นมีผลงานที่ทำ เพื่อชาติและราชบัลลังก์มาโดยตลอดคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ซึ่งการเปลี่ยนความคิดทางการเมืองในสังคม จากการปราบปราม มาเป็นการต่อสู้คอมมิวนิสต์เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลต่างๆ ในอดีตมุ่งแต่การปราบปรามเป็นหลัก แต่ก็ไม่เคยได้รับชัยชนะแต่ไม่ใช่วิธีคิดของ พล.อ.ชวลิตผลงานชัดเจนที่สุด คือการมีคำสั่งที่66/2523 ซึ่งมี พล.ต.หาญ ลีนานนท์เจ้ากรมยุทธการทหารบกในขณะนั้น กับพล.ต.ชวลิต ยงใจยุทธ และคณะ เป็นกลไกสำคัญ
ในการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ทางความคิดครั้งสำคัญยิ่งหยุดการปราบปราม แต่มาใช้การต่อสู้โดยยึดกระบวนการทางความคิดเป็นสำคัญพล.อ.ชวลิต ตลอดมาสะท้อนชัดถึงภาพของการยึดมั่นในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์เป็นอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นและเป็นอุดมคติที่แท้จริง ไม่ใช่การเสแสร้งปั้นแต่งซึ่งการกำเนิดของอาสามัครทหารพรานซึ่ง พล.อ.ประยุทธ จารุมณี ทั้งในฐานะเสนาธิการทหารบก และ ผบ.ทบ.ในขณะนั้นรู้และยอมรับมาตลอดว่าเป็นการริเริ่มจากพล.อ.
ชวลิต ซึ่งถือเป็นกลไกที่สำคัญยิ่งกลไกหนึ่งในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์จนสุดท้ายด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทพยายามทำ ให้สงครามเอาชนะคอมมิวนิสต์ของพล.อ.ชวลิต สามารถยุติลงโดยพื้นฐานนับแต่ปี 2524 เป็นต้นมาทั้งหมดสะท้อนชัดเจนว่า นี่คือการทุ่มเทเพื่อปกป้องประเทศชาติ และราชบัลลังก์อย่างแท้จริงดังนั้นในภายหลังที่ พล.อ.ชวลิต ได้เป็นผบ.ทบ. ได้เป็น ผบ.สส. จึงไร้ซึ่งข้อกังขากล่าวได้ว่าไม่มีการที่จะไม่ยอมรับจากภาคส่วนใดๆ เลยของสังคม
ไทยสำคัญที่สุดคือนอกจากตำแหน่งแล้วต้องไม่ลืมว่าการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และเข้าสู่พิธีดื่มนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาเป็นเกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิต ปลาบปลื้มที่สุดเพราะเป็นเกียรติยศอันสูงยิ่งที่ทหารคนหนึ่งซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณยํ้าอีกครั้งว่า เกียรติยศที่ พล.อ.ชวลิตได้รับ ไม่ใช่สิ่งที่พยายามดิ้นรนแสวงหา หรือไขว่คว้าเหมือนกับคนการเมืองบางคนในขณะนี้แต่เป็นการได้มาในฐานะที่มุ่งมั่นทำงานเพื่อชาติและราชบัลลังก์ด้วย
ความซื่อสัตย์นั่นเองดังนั้น การที่ ศอฉ.โดย พ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด ออกมาเผยแผนผังล้มสถาบันโดยที่มี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณรองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และผอ.ศอฉ. ออกมาขานรับเป็นปี่เป็นขลุ่ยรวมกระทั่ง นายเนวิน ชิดชอบ นักการเมืองที่ถูกตัดสินให้เว้นวรรคทางการเมือง5 ปี แต่นายอภิสิทธิ์ กลับเอามาใช้งานการเมืองเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณในการได้เป็นนายกรัฐมนตรีจึงทำให้นายเนวิน ในวันนี้สามารถ
ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกเรื่อง โดยที่คำตัดสินของศาลไม่สามารถจะกันนายเนวินได้ จึงถึงขั้นเหิมเกริมว่า ณ วันนี้คือผู้ยิ่งใหญ่ที่ใครต่อใครหากอยากจะอยู่ในอำนาจการเมือง ก็ต้องเรียกใช้บริการจึงทำให้ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิตตาม ศอฉ.ตามนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพไปด้วยทั้งๆ ที่หากนายเนวิน ยังมีมโนสำนึกอยู่บ้าง ย่อมควรจะต้องจดจำได้เป็นอย่างดี ว่า พล.อ.ชวลิตเคยช่วย เคยเอื้อเอ็นดู และเคยเป็นฝ่ายให้นายเนวินมามากมายสารพัดเพียงใดสมควรแล้ว
หรือ ที่จะมากล่าวร้ายเช่นนี้ยิ่งหากเปรียบเทียบกันด้วยใจที่เป็นธรรม ต้องถามว่าทั้ง 4 คน ที่กล่าวหา พล.อ.ชวลิตนั้นมีผลงานอะไรที่เป็นเกียรติยศบ้างพ.อ.สรรเสริญแก้วกำเนิด มีผลงานในอาชีพราชการทหารอะไรที่ชัดเจนบ้าง ก่อนที่จะมาเป็นโฆษกมาเป็นกระบอกเสียง แล้วก็มาทำหน้าที่ใน ศอฉ.ครงั้ นี้เคยรู้หรือไม่ว่า เพื่อนร่วมรุ่น หรือแม้กระทั่งรุ่นพี่ รุ่นน้อง หลายคนรู้สึกอย่างไรเช่นเดียวกับนายอภิสิทธิ์ ที่วันนี้เสียงครหาในเรื่องของการรับราชการทหาร ก็ยังไม่เคยจบ
สิ้น เพราะแม้ว่าอาจจะเป็นการไม่ผิดกฎหมายอย่างที่นายอภิสิทธิ์ เชื่อมั่นจริงๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็มีร่องรอยให้มีการตั้งข้อสังเกตได้ว่าไม่สง่างามหลายคนบอกว่า ไอ้เณรทหารเกณฑ์นักศึกษา รด. หรือแม้แต่คนที่ครบเกณฑ์ แล้วใช้การจับใบดำ-ใบแดงตรงๆไปเลย ยังมีความสง่างามและชัดเจนในขณะที่บนเส้นทางการเมืองของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นเด็กสร้างประชาธิปัตย์ ที่บรรดาอดีตผู้ใหญ่หลายคนภายในพรรคเคยภูมิอกภูมิใจ แต่มาในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงรู้ได้ด้วย
ตัวเองว่า ท่าทีและความรู้สึกของบรรดาผู้ใหญ่ภายในพรรคเปลี่ยนไปหรือไม่สายตาที่เคยเอื้อเอ็นดู แปรเปลี่ยนไปหรือไม่... เป็นสิ่งที่อยากให้นายอภิสิทธิ์กลับไปคิดให้จงหนักส่วนนายสุเทพ คงต้องให้คนในแวดวงการเมืองร่วมสมัยนั่นแหละ ที่เป็นคนพูดว่า อะไรคือผลงานที่น่าภาคภูมิใจของนายสุเทพบ้างอะไรคือผลงานที่กระทำเพื่อชาติและราชบัลลังก์บ้างแล้วไฉนวันนี้จึงจะมาเอ่ยอ้าง ผูกขาดความจงรักภักดีต่อสถาบัน จนไปกล่าวหาพล.อ.ชวลิตส่วนนายเนวิน ไม่ต้องพูด
ถึง ยังจำภาพในอดีตที่สะพายย่ามเดินตามหลังพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อขอโอกาสทางการเมืองได้หรือไม่ยังจำภาพของตนเองที่ทรุดตัวลงกอดพ.ต.ท.ทักษิณ ได้หรือไม่รู้หรือไม่ว่าสังคม จินตนาการ ชื่อตัดมาสั้นๆ ของนายเนวิน ที่ว่า “เน” นั้น ไปไกลถึงคำว่าอะไรแล้วการที่ออกมากล่าวหา พล.อ.ชวลิต เพื่อหวังจะสร้างภาพทางการเมืองนั้น คิดหรือว่าจะดูดีขึ้นมาได้โดยเฉพาะมุกที่พยายามอ้างความจงรักภักดี ผูกขาดการเทิดทูนสถาบัน รวมไปถึงการที่ทำเป็นนํ้าหู
นํ้าตาไหลนั้น... เชื่อมั่นจริงๆ หรือว่า คนไทยจะไม่รู้ทันเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่???... อยากให้นายเนวินถามตัวเองให้ชัดๆเพราะ ณ วันนี้ พล.อ.ชวลิต คนที่ถูกกล่าวหา สามารถที่จะเดินไปไหนมาไหนก็ได้ โดยไม่ต้องหวาดระแวง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาจ้องปองร้ายแต่ถามว่า นายเนวิน กล้าหรือไม่ที่จะออกจากที่ซ่องสุมแล้วมาเดินถนนอย่างเปิดเผย โดยไม่มีการ์ดห้อมล้อมเกือบ 20 คนถ้าไม่กล้า นั่นก็คือคำตอบที่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่า นายเนวินสร้างผลงานอะไรเอา
ไว้เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ นายสุเทพซึ่งยืนยันมาตลอดว่ามาตามกฎหมายมาตามรัฐธรรมนูญปี 50 และทำหน้าที่อย่างถูกต้องมาตลอดถามว่าทำไมวันนี้จึงต้องหมกตัวอยู่ในราบ 11 แม้แต่บ้านช่องก็ยังไม่ได้กลับ...กลัวอะไรหรือศอฉ.ทั้งหลายเคยฉุกใจคิดหรือไม่ว่าทำไม พล.อ.ชวลิต จึงบริสุทธิ์ใจพอที่จะเดินทางไปที่ไหนก็ได้แม้แต่ราบ 11 ก็ยังกล้าไป... เพื่อเข้าไปพบทั้งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพวันนี้อยากให้ ผู้กุมอำนาจและกลไกศอฉ. หันมาทบทวนว่า สิ่งที่ทำลง
ไปนั้นเป็นเพราะเมาหมัด หรือจนแต้ม จนนึกไม่รอบคอบไม่รอบด้าน จึงทำสิ่งผิดพลาดลงไปด้วยการกล่าวหา พล.อ.ชวลิตหากเพราะเมาหมัด หรือเพราะหลงเชื่อคำยุยงของนายเนวินแล้ว คิดเสียใหม่เถิด...บ้านเมืองในวันนี้ ควรที่หยุดเกมใส่ร้ายหยุดเกมการเมืองสกปรก ภายใต้บริการของคนๆ นั้นหรือยัง แล้วกลับลำมาเจรจาอย่างสันติ เลิกทิฐิทำเพื่อประเทศชาติสักครั้งไม่ดีกว่าหรือ???
ที่มา.บางกอกทูเดย์
**************************************************************
รายงาน : สองมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมในกระแสความขัดแย้ง
การสลายการชุมนุม นปช. เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีผู้ชุมนุมเสียชีวิตไม่น้อยกว่า 20 คน บาดเจ็บกว่า 800 คน ทำให้รัฐบาลอภิสิทธิ์สูญเสียความชอบธรรมทางการเมืองในทันที ทว่าหลังเหตุการณ์ผ่านไปเพียง 2-3 วัน รัฐบาลได้พลิกเกมกลับมาเป็นฝ่ายรุก ด้วยข้ออ้างว่า การตายและบาดเจ็บของทั้งฝ่ายทหารและผู้ชุมนุมเกิดจากการกระทำของผู้ก่อการร้ายที่แต่งกายด้วยชุดดำ ต่อมารัฐบาลอ้างว่า ชายชุดดำแฝงและคนเสื้อแดงเป็นพวกเดียวกัน การแก้เกมทางการเมืองของรัฐบาลเพื่อให้พ้นจากข้อหาทรราชย์มือเปื้อนเลือด สร้างความวิตกให้แก่ผู้คนจำนวนหนึ่งในสังคมว่า รัฐบาลกำลังจะสร้างมาตรฐานใหม่ทางศีลธรรมและจริยธรรมในสังคม
ไชยันต์ รัชชกูล นักสังคมศาสตร์และนักวิชาการด้านสันติวิธี แห่งมหาวิทยาลัยพายัพ ตั้งข้อสังเกตว่า “ย้อนกลับไปในปี 2535 หลังจากพลเอกสุจินดา คราประยูร สั่งฆ่าคนแล้ว จะมีเสียงสะท้อนจากสังคม (public opinion) ที่ชัดว่าการฆ่าคนทำไม่ได้ สมมติมีอาชญากรที่ทำผิด คุณจะลงโทษประหารชีวิตเขาหรือไม่ ยังเป็นประเด็นถกเถียง ทั้งๆ ที่เขาทำผิดแน่ๆ และเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก แต่จะลงโทษด้วยการประหารชีวิตหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้ในทางศีลธรรมและจริยธรรมในหลายๆ ประเทศ แต่การสลายการชุมนุมครั้ง 10 เม.ย. ปีนี้ มันหนักหนากว่าครั้งพฤษภา 2535 เสียอีก ผิดไม่ผิดไม่รู้ แต่เอากันถึงตาย ถ้าเรายอมรับการกระทำแบบนี้ได้ จะเป็นการสร้างมาตรฐานในสังคมข้างหน้า ที่ผมเสียใจมากคือ พวกป่าวประกาศสันติวิธีทั้งหลาย หลังจากเหตุการณ์นี้มีใครออกมาแสดงจุดยืนบ้าง แสดงว่าที่เขาพูดเรื่องสองมาตรฐานมันกระจายไปหมดทุกวงการแล้วทั้งประเทศ อันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ตอนที่สุจินดาสั่งยิง ผมอยู่ที่กรุงเทพ หลังจากยิง มันไปมีการประท้วงที่รามคำแหงในวันรุ่งขึ้น ผมคิดในใจว่าสุจินดาเสร็จแล้วล่ะ คือถ้าใช้มาตรการฆ่าคนขนาดนี้ ก็ไม่มี legitimacy หรือความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา อะไรกันนี่ ฆ่าคนขนาดนี้ก็ยังเชิดหน้าชูตาต่อไป แล้วสังคมก็นิ่งเฉย มันอะไรกันเนี่ย ผมเพิ่งกลับจากอินเดีย เขาพูดถึงเหตุการณ์ในประเทศไทย เขาพูดเรื่องการปะทะกันระหว่างคนที่มีความเห็นแตกต่างกัน คนเขาตีกัน มีคนตาย ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลจัดการไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ รัฐบาลเขายังลาออก ของเรานี่รัฐบาลเป็นคู่กรณีเองเลย”
ภาวะนิ่งเงียบของภาคประชาสังคม ภายหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. ที่มีคนตายและบาดเจ็บ ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการแสดงออกของภาคประชาสังคมเมื่อครั้งที่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งสลายการชุมนุมของ พธม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นำไปสู่คำถามว่า “ใช่หรือไม่ว่า มาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว?” เพราะการนิ่งเฉยของภาคประชาสังคมต่อการตายของคนเสื้อแดง ไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่น นอกจากการส่งสารว่า “สังคมไทยยอมรับการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และยอมให้มีการใช้ความรุนแรงเข้าปราบประชาชนจนเสียชีวิต” คำถามที่ตามมาคือ “อะไรทำให้เส้นมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมมันตกต่ำไปถึงเพียงนี้?”
ในการตอบคำถามดังกล่าว จำเป็นอยู่เองที่จะต้องย้อนไปพิจารณาถึงจุดเปลี่ยนในความขัดแย้ง ดร.ไชยันต์ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ภาพด้านลบของรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีความพยายามของรัฐบาลที่จะเบี่ยงประเด็นข้อโต้แย้งใหม่ “ตอนนี้เป็นการ shift debate ตกลงใครยิงไม่รู้ ทั้งที่แทบจะไม่มีข้อสงสัย ทหารยิงผู้ชุมนุมมันไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว แต่กลายเป็นการตั้งวาระขึ้นมาใหม่ว่า อาจจะเป็นพวกเดียวกันยิงเสื้อแดง หรือคนชุดดำยิงเสื้อแดง ก็นับว่าเป็นความเก่งมากของฝ่ายรัฐบาลและทหารที่เบี่ยงวาระการถกเถียงไปเพื่อ minimize อาชญากรรมครั้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุด เป็นไปตามศัพท์คำว่า blaming the victim คือทำให้เหยื่อกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา เหมือนกับคนทำผิดใส่ร้ายคนถูกทำร้าย เหมือนคนถูกกระทืบ แต่คนที่กระทืบยังมาด่าซ้ำว่า ทำไมไม่อยู่เฉยๆ ให้กระทืบล่ะ ประเด็นนี้ทำให้คิดว่า ในอนาคตมาตรฐานทางศีลธรรมของเราจะมีไหม แรงกดดันทางศีลธรรม (moral force) ที่มีต่อปฏิบัติการทางการเมืองจะยังมีไหม ในสังคมทั่วๆ ไปเขามี แล้วของเราล่ะตอนนี้มีไหม หรือไม่มีแล้ว จะตลบแตลงยังไงก็ได้ เรื่องสองมาตรฐานเกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว มันเห็นชัด จนไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว เมื่อก่อนเราพูดถึงสองมาตรฐานทางกฎหมาย แต่เดี๋ยวนี้มาถึงเรื่องสองมาตรฐานทางศีลธรรมด้วย”
ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นิ่งเงียบของสังคมที่มีการตายของคนเสื้อแดงว่า “ทำไมจึงเกิดบรรยากาศที่ไม่แคร์ว่าใครเป็นใครตาย เป็นไปได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี 2548 กลุ่มสีเหลืองได้ปลุกระดมความคิดว่าทักษิณเลว ฝั่งสีเหลืองโดยมากเป็นปัญญาชนที่เก่งด้านศีลธรรมจริยธรรม สุดท้ายเขาสรุปมาสั้นๆ ด้วยคำว่า “กู้ชาติ” ซึ่งทำให้เกิดความชอบธรรมที่จะฆ่า “ศัตรูของชาติ” พอเลือกตั้งใหม่ สมัครกลับมา เขาก็คิดคำว่า “นอมินีของทักษิณ” ขึ้นมา เพื่อบอกว่าการเลือกตั้งไม่สามารถวัดความถูกต้อง อานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนที่กุมความคิดของสังคมและเอ็นจีโอ เป็นคนที่ไม่ได้มองว่าการเลือกตั้งสำคัญ
“เมื่อความคิดแบบ 2548 ยังครองความคิดของสังคมอยู่หมด เมื่อเกิดการยิงตุ้มตั้มๆๆ ขึ้นมาในวันที่ 10 เม.ย. พอฆ่าแล้วไม่เรียบหมด และมีทหารใหญ่ตายด้วย ก็เลยช็อคคนพวกนี้ ครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา มีการสร้างภาพ “ศัตรูของชาติ” คือคนเสื้อแดง ที่ป่าเถื่อน บ้านนอก เป็นควาย เป็นสมุนทักษิณ รับเงินมา พูดให้ดูดีก็คือ ขอให้รัฐบาลจัดการกับเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด ทันทีที่มีเสื้อดำโผล่ออกมา ก็มองเห็นว่า อันนี้แหละจะมาเป็นตัวช่วย เพื่อให้รัฐบาลบิดประเด็นไป ไม่ต้องพูดเรื่องความตายของคนเสื้อแดงอีกเลย เพราะเขาก็พูดเรื่องฆ่าเสื้อแดงให้หมดไปเลย ดีกว่าปล่อยไปให้เสียเวลา”
วรรณภา ลีระศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มช. ให้ข้อสังเกตว่า “คนกรุงเทพเองที่อยู่แถวนั้น รู้สึกถูกกระทบกระเทือน เด็กก็โดนพ่อแม่คนชั้นกลางพูดใส่หูทุกวัน ก็เลยไปร่วมกลุ่มต่อต้านเสื้อแดง คนจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการอย่างราบคาบ เขาบอกว่ารัฐบาลเลี้ยงเสียข้าวสุก ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ออกไปเถอะ ข้อเรียกร้องแบบนี้บ่งบอกนัยว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดการ ต้องเอาทหารเข้ามาแทนตำรวจ เพราะทหารถูกฝึกมาเพื่อจัดการศัตรูของชาติ เพื่อสร้างความเรียบร้อย ทหารเขามีกฎระเบียบของเขาเอง การใช้ความรุนแรงของทหารเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับมานานแล้ว และเป็นการใช้ความรุนแรงที่ตรวจสอบไม่ได้ด้วย ถ้าใช้ตำรวจก็ไม่ได้แล้ว เพราะตำรวจจำนวนหนึ่งมีเมียเป็นเสื้อแดง เขาก็เอาคนที่มองคนเสื้อแดงเป็นศัตรู ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนไทย เพราะเขาปฏิบัติภายใต้หน้าที่อีกชุดหนึ่ง มาตรฐานทางศีลธรรมของเขาเป็นคนละชุดกับเรา เหมือนกับเรื่องชายแดนใต้ เวลาคนกรุงเทพมองปัญหาชายแดนใต้ก็สงสารทหาร ตอนนี้ก็เอาเรื่องศัตรูของชาติมาใช้กับคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ แต่ด้วยปริมาณคนเสื้อแดงมีมาก ทำให้รัฐไม่สามารถจัดการได้เหมือนที่ทำในบางพื้นที่
“ดังนั้นถ้าเราจะสะท้อนอะไรกลับไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คงต้องเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง หรือให้มองคนเสื้อแดงเป็นคน ซึ่งก็ทำได้ยากทุกที เพราะตอนนี้มีการใช้สื่อภายใต้กำกับของรัฐสร้างภาพทั้งวันทั้งคืน เราไม่มีทางปฏิเสธการรับรู้ความจริงผ่านสื่อเลย สื่อกระตุ้นให้คนทั่วไปรู้สึกว่าเรากำลังเผชิญกับกลียุค ตอนที่มีการใช้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกในสหรัฐอเมริกา สื่อในสหรัฐก็มีการนำเสนอภาพคนตายซ้ำๆ ทั้งวัน ไม่นานรัฐสภาสหรัฐก็มีมติให้กองกำลังทหารเข้าไปบุกอีรัก ตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังใช้วิธีการเดียวกันเลย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปราบ แต่เรามองว่าการปราบประชาชนเป็นอาชญากรรม รัฐกลับบอกว่านั่นคือการทำหน้าที่ เราจะสู้กับวาทกรรมของรัฐได้ยังไง ในเมื่อเราไม่มีช่องทางที่จะพูดแล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ต้องช่วยกันคิด”
รายงานโดย ประชา อภิวัฒน์
ที่มา.ประชาไท
***************************************************************
ไชยันต์ รัชชกูล นักสังคมศาสตร์และนักวิชาการด้านสันติวิธี แห่งมหาวิทยาลัยพายัพ ตั้งข้อสังเกตว่า “ย้อนกลับไปในปี 2535 หลังจากพลเอกสุจินดา คราประยูร สั่งฆ่าคนแล้ว จะมีเสียงสะท้อนจากสังคม (public opinion) ที่ชัดว่าการฆ่าคนทำไม่ได้ สมมติมีอาชญากรที่ทำผิด คุณจะลงโทษประหารชีวิตเขาหรือไม่ ยังเป็นประเด็นถกเถียง ทั้งๆ ที่เขาทำผิดแน่ๆ และเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงมาก แต่จะลงโทษด้วยการประหารชีวิตหรือไม่ ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันได้ในทางศีลธรรมและจริยธรรมในหลายๆ ประเทศ แต่การสลายการชุมนุมครั้ง 10 เม.ย. ปีนี้ มันหนักหนากว่าครั้งพฤษภา 2535 เสียอีก ผิดไม่ผิดไม่รู้ แต่เอากันถึงตาย ถ้าเรายอมรับการกระทำแบบนี้ได้ จะเป็นการสร้างมาตรฐานในสังคมข้างหน้า ที่ผมเสียใจมากคือ พวกป่าวประกาศสันติวิธีทั้งหลาย หลังจากเหตุการณ์นี้มีใครออกมาแสดงจุดยืนบ้าง แสดงว่าที่เขาพูดเรื่องสองมาตรฐานมันกระจายไปหมดทุกวงการแล้วทั้งประเทศ อันนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ตอนที่สุจินดาสั่งยิง ผมอยู่ที่กรุงเทพ หลังจากยิง มันไปมีการประท้วงที่รามคำแหงในวันรุ่งขึ้น ผมคิดในใจว่าสุจินดาเสร็จแล้วล่ะ คือถ้าใช้มาตรการฆ่าคนขนาดนี้ ก็ไม่มี legitimacy หรือความชอบธรรมที่จะอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา อะไรกันนี่ ฆ่าคนขนาดนี้ก็ยังเชิดหน้าชูตาต่อไป แล้วสังคมก็นิ่งเฉย มันอะไรกันเนี่ย ผมเพิ่งกลับจากอินเดีย เขาพูดถึงเหตุการณ์ในประเทศไทย เขาพูดเรื่องการปะทะกันระหว่างคนที่มีความเห็นแตกต่างกัน คนเขาตีกัน มีคนตาย ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล แต่รัฐบาลจัดการไม่ได้ ป้องกันไม่ได้ รัฐบาลเขายังลาออก ของเรานี่รัฐบาลเป็นคู่กรณีเองเลย”
ภาวะนิ่งเงียบของภาคประชาสังคม ภายหลังรัฐบาลอภิสิทธิ์สั่งสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เม.ย. ที่มีคนตายและบาดเจ็บ ได้ถูกนำไปเปรียบเทียบกับการแสดงออกของภาคประชาสังคมเมื่อครั้งที่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สั่งสลายการชุมนุมของ พธม. เมื่อวันที่ 7 ต.ค. นำไปสู่คำถามว่า “ใช่หรือไม่ว่า มาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว?” เพราะการนิ่งเฉยของภาคประชาสังคมต่อการตายของคนเสื้อแดง ไม่อาจแปลความเป็นอย่างอื่น นอกจากการส่งสารว่า “สังคมไทยยอมรับการใช้กำลังเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และยอมให้มีการใช้ความรุนแรงเข้าปราบประชาชนจนเสียชีวิต” คำถามที่ตามมาคือ “อะไรทำให้เส้นมาตรฐานทางศีลธรรมและจริยธรรมมันตกต่ำไปถึงเพียงนี้?”
ในการตอบคำถามดังกล่าว จำเป็นอยู่เองที่จะต้องย้อนไปพิจารณาถึงจุดเปลี่ยนในความขัดแย้ง ดร.ไชยันต์ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า ภาพด้านลบของรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อมีความพยายามของรัฐบาลที่จะเบี่ยงประเด็นข้อโต้แย้งใหม่ “ตอนนี้เป็นการ shift debate ตกลงใครยิงไม่รู้ ทั้งที่แทบจะไม่มีข้อสงสัย ทหารยิงผู้ชุมนุมมันไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว แต่กลายเป็นการตั้งวาระขึ้นมาใหม่ว่า อาจจะเป็นพวกเดียวกันยิงเสื้อแดง หรือคนชุดดำยิงเสื้อแดง ก็นับว่าเป็นความเก่งมากของฝ่ายรัฐบาลและทหารที่เบี่ยงวาระการถกเถียงไปเพื่อ minimize อาชญากรรมครั้งนี้ให้เหลือน้อยที่สุด เป็นไปตามศัพท์คำว่า blaming the victim คือทำให้เหยื่อกลายเป็นผู้ถูกกล่าวหา เหมือนกับคนทำผิดใส่ร้ายคนถูกทำร้าย เหมือนคนถูกกระทืบ แต่คนที่กระทืบยังมาด่าซ้ำว่า ทำไมไม่อยู่เฉยๆ ให้กระทืบล่ะ ประเด็นนี้ทำให้คิดว่า ในอนาคตมาตรฐานทางศีลธรรมของเราจะมีไหม แรงกดดันทางศีลธรรม (moral force) ที่มีต่อปฏิบัติการทางการเมืองจะยังมีไหม ในสังคมทั่วๆ ไปเขามี แล้วของเราล่ะตอนนี้มีไหม หรือไม่มีแล้ว จะตลบแตลงยังไงก็ได้ เรื่องสองมาตรฐานเกือบจะไม่ต้องพูดแล้ว มันเห็นชัด จนไม่รู้จะชัดยังไงแล้ว เมื่อก่อนเราพูดถึงสองมาตรฐานทางกฎหมาย แต่เดี๋ยวนี้มาถึงเรื่องสองมาตรฐานทางศีลธรรมด้วย”
ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์จากคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้มุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์นิ่งเงียบของสังคมที่มีการตายของคนเสื้อแดงว่า “ทำไมจึงเกิดบรรยากาศที่ไม่แคร์ว่าใครเป็นใครตาย เป็นไปได้ไหมว่า ตั้งแต่ปี 2548 กลุ่มสีเหลืองได้ปลุกระดมความคิดว่าทักษิณเลว ฝั่งสีเหลืองโดยมากเป็นปัญญาชนที่เก่งด้านศีลธรรมจริยธรรม สุดท้ายเขาสรุปมาสั้นๆ ด้วยคำว่า “กู้ชาติ” ซึ่งทำให้เกิดความชอบธรรมที่จะฆ่า “ศัตรูของชาติ” พอเลือกตั้งใหม่ สมัครกลับมา เขาก็คิดคำว่า “นอมินีของทักษิณ” ขึ้นมา เพื่อบอกว่าการเลือกตั้งไม่สามารถวัดความถูกต้อง อานันท์ ปันยารชุน ซึ่งเป็นตัวแทนของคนที่กุมความคิดของสังคมและเอ็นจีโอ เป็นคนที่ไม่ได้มองว่าการเลือกตั้งสำคัญ
“เมื่อความคิดแบบ 2548 ยังครองความคิดของสังคมอยู่หมด เมื่อเกิดการยิงตุ้มตั้มๆๆ ขึ้นมาในวันที่ 10 เม.ย. พอฆ่าแล้วไม่เรียบหมด และมีทหารใหญ่ตายด้วย ก็เลยช็อคคนพวกนี้ ครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ 14 ตุลา 6 ตุลา มีการสร้างภาพ “ศัตรูของชาติ” คือคนเสื้อแดง ที่ป่าเถื่อน บ้านนอก เป็นควาย เป็นสมุนทักษิณ รับเงินมา พูดให้ดูดีก็คือ ขอให้รัฐบาลจัดการกับเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด ทันทีที่มีเสื้อดำโผล่ออกมา ก็มองเห็นว่า อันนี้แหละจะมาเป็นตัวช่วย เพื่อให้รัฐบาลบิดประเด็นไป ไม่ต้องพูดเรื่องความตายของคนเสื้อแดงอีกเลย เพราะเขาก็พูดเรื่องฆ่าเสื้อแดงให้หมดไปเลย ดีกว่าปล่อยไปให้เสียเวลา”
วรรณภา ลีระศิริ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มช. ให้ข้อสังเกตว่า “คนกรุงเทพเองที่อยู่แถวนั้น รู้สึกถูกกระทบกระเทือน เด็กก็โดนพ่อแม่คนชั้นกลางพูดใส่หูทุกวัน ก็เลยไปร่วมกลุ่มต่อต้านเสื้อแดง คนจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการอย่างราบคาบ เขาบอกว่ารัฐบาลเลี้ยงเสียข้าวสุก ถ้าทำอะไรไม่ได้ก็ออกไปเถอะ ข้อเรียกร้องแบบนี้บ่งบอกนัยว่า รัฐบาลไม่สามารถจัดการ ต้องเอาทหารเข้ามาแทนตำรวจ เพราะทหารถูกฝึกมาเพื่อจัดการศัตรูของชาติ เพื่อสร้างความเรียบร้อย ทหารเขามีกฎระเบียบของเขาเอง การใช้ความรุนแรงของทหารเป็นเรื่องที่สังคมยอมรับมานานแล้ว และเป็นการใช้ความรุนแรงที่ตรวจสอบไม่ได้ด้วย ถ้าใช้ตำรวจก็ไม่ได้แล้ว เพราะตำรวจจำนวนหนึ่งมีเมียเป็นเสื้อแดง เขาก็เอาคนที่มองคนเสื้อแดงเป็นศัตรู ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนไทย เพราะเขาปฏิบัติภายใต้หน้าที่อีกชุดหนึ่ง มาตรฐานทางศีลธรรมของเขาเป็นคนละชุดกับเรา เหมือนกับเรื่องชายแดนใต้ เวลาคนกรุงเทพมองปัญหาชายแดนใต้ก็สงสารทหาร ตอนนี้ก็เอาเรื่องศัตรูของชาติมาใช้กับคนเสื้อแดงที่กรุงเทพ แต่ด้วยปริมาณคนเสื้อแดงมีมาก ทำให้รัฐไม่สามารถจัดการได้เหมือนที่ทำในบางพื้นที่
“ดังนั้นถ้าเราจะสะท้อนอะไรกลับไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็คงต้องเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรง หรือให้มองคนเสื้อแดงเป็นคน ซึ่งก็ทำได้ยากทุกที เพราะตอนนี้มีการใช้สื่อภายใต้กำกับของรัฐสร้างภาพทั้งวันทั้งคืน เราไม่มีทางปฏิเสธการรับรู้ความจริงผ่านสื่อเลย สื่อกระตุ้นให้คนทั่วไปรู้สึกว่าเรากำลังเผชิญกับกลียุค ตอนที่มีการใช้เครื่องบินพุ่งเข้าชนตึกในสหรัฐอเมริกา สื่อในสหรัฐก็มีการนำเสนอภาพคนตายซ้ำๆ ทั้งวัน ไม่นานรัฐสภาสหรัฐก็มีมติให้กองกำลังทหารเข้าไปบุกอีรัก ตอนนี้รัฐบาลไทยกำลังใช้วิธีการเดียวกันเลย เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการปราบ แต่เรามองว่าการปราบประชาชนเป็นอาชญากรรม รัฐกลับบอกว่านั่นคือการทำหน้าที่ เราจะสู้กับวาทกรรมของรัฐได้ยังไง ในเมื่อเราไม่มีช่องทางที่จะพูดแล้ว นี่คือปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ต้องช่วยกันคิด”
รายงานโดย ประชา อภิวัฒน์
ที่มา.ประชาไท
***************************************************************
"ปทีป"พร้อมสลายชุมนุม ชี้ต้องอาศัยเวลาเหมาะ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รรท.ผบ.ตร.) กล่าวถึงการสืบสวนสอบสวนเครือข่ายล้มสถาบัน ตามที่ศอฉ. ออกแผนผัง ว่า เรื่องนี้ตรวจสอบร่วมกันกับ ดีเอสไอ ซึ่งทำงานเป็นทีมชุดใหญ่ ในสำนวนสอบสวนต้องลงลึก เพราะเรื่องละเอียดอ่อน แต่ขณะนี้ยังไม่มีการออกหมายจับหรือหมายเรียกแก่ผู้ใด กำลังเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน ต้องค่อยๆเก็บรายละเอียดเป็นรายวัน
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีกระแสข่าว ศอฉ. ไม่พอใจ พล.ต.อ.ปทีป โดยจะเปลี่ยนตัว รรท.ผบ.ตร.โดย เรียก พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.ไปช่วยทำงาน แทน พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีความเห็น ตนบอกไปแล้วว่าเรื่องเกี่ยวกับตนออกความเห็นไม่ได้ เมื่อถามว่า ศอฉ. ตำหนิ ตำรวจมะเขือเทศ ที่เป็นเหตุให้การข่าวข้อมูลของศอฉ.รั่ว พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับตำรวจทั้ง 2 แสนนาย เหมารวมไม่ได้ ทั้งนี้ตำรวจคนใดทำผิดตนยืนยันว่าดำเนินอาญาและวินัยควบคู่ไป
ถามว่ามีข่าวว่า ศอฉ.บอกว่าหากสั่งสลายชุมนุม ท่านจะไม่ทำ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ ไม่ได้พูดอะไรเลย ถามว่าไม่จริงใช่ไหม รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ ถามว่า หรือหากสั่งให้ทำท่านจะลาออกจากตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ข่าวว่างั้นหรือ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่บอกว่าผมไม่ทราบเหมือนกันและยังไม่ได้รับคำสั่งอะไร
ถามว่าถ้ามีคำสั่งสลายการชุมนุมท่านจะปฏิบัติตามหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถึงเวลานั้นคงตอบ
เมื่อถามถึงจุดยืน ต่อการสลายการชุมนุม รรท.ผบ.ตร. กล่าว่า ตนจะดูเรื่องบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก ทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ถามว่ากลัวจะเป็นแบบพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.ที่ต้องออกจากราชการเพราะสลายการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ตนไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้ว ถ้ามีคำสั่งมาแล้วจะตอบ
เมื่อถามว่าการบังคับใช้กฎหมาย หมายความว่าชุมนุมไม่ได้ แสดงว่าพร้อมจะใช้กำลังเข้าจัดการหากศอฉ.สั่ง พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถ้ามีความผิดเกิดขึ้นต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่การดำเนินการตามกฎหมายต้องดูความเหมาะสมในการทำด้วย หากยังไม่เหมาะสม ไม่ทำ ต้องอาศัยเวลาด้วย
ถามว่า หากถึงเวลาเหมาะสมแล้วทหารเริ่มปฏิบัติการกำลังตำรวจพร้อมเข้าไปช่วยปฏิบัติการหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า พร้อม
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีมีกระแสข่าว ศอฉ. ไม่พอใจ พล.ต.อ.ปทีป โดยจะเปลี่ยนตัว รรท.ผบ.ตร.โดย เรียก พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร.ไปช่วยทำงาน แทน พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่มีความเห็น ตนบอกไปแล้วว่าเรื่องเกี่ยวกับตนออกความเห็นไม่ได้ เมื่อถามว่า ศอฉ. ตำหนิ ตำรวจมะเขือเทศ ที่เป็นเหตุให้การข่าวข้อมูลของศอฉ.รั่ว พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตำรวจที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ไม่เกี่ยวกับตำรวจทั้ง 2 แสนนาย เหมารวมไม่ได้ ทั้งนี้ตำรวจคนใดทำผิดตนยืนยันว่าดำเนินอาญาและวินัยควบคู่ไป
ถามว่ามีข่าวว่า ศอฉ.บอกว่าหากสั่งสลายชุมนุม ท่านจะไม่ทำ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ ไม่ได้พูดอะไรเลย ถามว่าไม่จริงใช่ไหม รรท.ผบ.ตร.กล่าวว่า ไม่ได้พูดอะไรเลยนะครับ ถามว่า หรือหากสั่งให้ทำท่านจะลาออกจากตำแหน่ง รรท.ผบ.ตร. กล่าวว่า ข่าวว่างั้นหรือ ผมไม่ทราบเหมือนกัน ไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่บอกว่าผมไม่ทราบเหมือนกันและยังไม่ได้รับคำสั่งอะไร
ถามว่าถ้ามีคำสั่งสลายการชุมนุมท่านจะปฏิบัติตามหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถึงเวลานั้นคงตอบ
เมื่อถามถึงจุดยืน ต่อการสลายการชุมนุม รรท.ผบ.ตร. กล่าว่า ตนจะดูเรื่องบังคับใช้กฎหมายเป็นหลัก ทำผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย
ถามว่ากลัวจะเป็นแบบพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร.ที่ต้องออกจากราชการเพราะสลายการชุมนุมหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ตรงนี้ตนไม่ตอบ เพราะตอบไปแล้ว ถ้ามีคำสั่งมาแล้วจะตอบ
เมื่อถามว่าการบังคับใช้กฎหมาย หมายความว่าชุมนุมไม่ได้ แสดงว่าพร้อมจะใช้กำลังเข้าจัดการหากศอฉ.สั่ง พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า ถ้ามีความผิดเกิดขึ้นต้องดำเนินการตามกฎหมาย แต่การดำเนินการตามกฎหมายต้องดูความเหมาะสมในการทำด้วย หากยังไม่เหมาะสม ไม่ทำ ต้องอาศัยเวลาด้วย
ถามว่า หากถึงเวลาเหมาะสมแล้วทหารเริ่มปฏิบัติการกำลังตำรวจพร้อมเข้าไปช่วยปฏิบัติการหรือไม่ พล.ต.อ.ปทีป กล่าวว่า พร้อม
ที่มา.เนชั่น
---------------------------------------------------------------------
"องค์กรสิทธิฯ UN"เยี่ยมเสื้อแดง แนะรัฐ-นปช.เปิดเจรจา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. นายซูฮัก จั๊ก ม่า ประธาน องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Centre For Human Rights) หรือ ACHR ซึ่งเป็นองค์กที่ปรึกษาคณะมนตรีเศรษฐกิจและสังคม สหประชาชาติ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบการชุมนุมของ นปช. และคนเสื้อแดง บริเวณแยกราชประสงค์เพื่อหาข้อมูลการละเมิดสิทธิฯตามที่มีการร้องเรียน โดยมี น.พ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. และนายพิทยา พุกะมาน อดีต เอกอัครราชทูต ให้การต้อนรับและชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมทั้งพาตรวจเยี่ยมผู้ชุมนุม
นายซูฮัก จั๊ก ม่า ได้กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาภายใน 30 วัน เพื่อสืบหาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุให้มีการสังหารประชาชน และเปิดเผยผลการสอบสวนให้ประชาชนได้รับทราบ เนื่องจากข้อมูลและภาพวิดีโอมีผู้ร้องเรียนส่งไปให้ พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้มาตรการเกินกว่าเหตุ จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และยังมีการปิดกั้นสื่อ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไม่ให้เสนอข้อเท็จจริง ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติฉบับที่ 9 ที่ห้ามใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติของประชาชน เว้นแต่จะเป็นการติดอาวุธและก่อการร้าย และละเมิดข้อตกลงกรุงโรมของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ
นายซูฮัก จั๊ก ม่า กล่าวอีกว่า ในนาม ACHR ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการกระทำดังกล่าว และเปิดการเจรจากับพรรคเพื่อไทยและ นปช. เพื่อยุติความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตของประชาชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------------
นายซูฮัก จั๊ก ม่า ได้กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลไทย เร่งดำเนินการตั้งคณะกรรมการร่วมระดับรัฐสภาตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีสลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาภายใน 30 วัน เพื่อสืบหาว่าใครเป็นผู้ก่อเหตุให้มีการสังหารประชาชน และเปิดเผยผลการสอบสวนให้ประชาชนได้รับทราบ เนื่องจากข้อมูลและภาพวิดีโอมีผู้ร้องเรียนส่งไปให้ พบว่าเหตุการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ใช้มาตรการเกินกว่าเหตุ จนมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก และยังมีการปิดกั้นสื่อ ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลไม่ให้เสนอข้อเท็จจริง ซึ่งตนเห็นว่าการดำเนินการดังกล่าวเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามกฎบัตรสหประชาชาติฉบับที่ 9 ที่ห้ามใช้อาวุธสงครามสลายการชุมนุมเรียกร้องอย่างสันติของประชาชน เว้นแต่จะเป็นการติดอาวุธและก่อการร้าย และละเมิดข้อตกลงกรุงโรมของศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศ
นายซูฮัก จั๊ก ม่า กล่าวอีกว่า ในนาม ACHR ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยุติการกระทำดังกล่าว และเปิดการเจรจากับพรรคเพื่อไทยและ นปช. เพื่อยุติความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความสูญเสียชีวิตของประชาชนและการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ที่มา.เนชั่น
--------------------------------------------------------------
ตัวแทนองค์กรครู-ปชช.-ตบเท้าให้กำลังใจ"บิ๊กจิ๋ว"
ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 12.00 น. กลุ่มองค์กรเครือข่ายครู นำโดย นางมัชรี สุทธิวงศ์ พร้อมประชาชนที่เดินทางมาจากเวทีเสื้อแดงแยกราชประสงค์ ประมาณ 100 คนเดินทางเข้าให้กำลังใจพร้อมมอบดอกกุหลาบให้พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย บริเวณห้องโถงที่ทำหารพรรคเพื่อไทย โดยนางมัชรี ได้กล่าวว่า ตัวแทนครูและประชาชนทั่วไปเพื่อให้กำลังใจให้ต่อสู้ต่อไป เพราะไม่เชื่อว่าพล.อ.ชวลิต จะเป็นอย่างที่รัฐบาลกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการกระทบสถาบัน เพราะเป็นถึงอดีตนายกรัฐมนตรีที่มีความคิดเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ในเวลาที่มีความทุกข์ แต่พี่น้องก็ยังมาให้กำลังใจไม่เคยขาด ทุกวันนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จคือการแก้ปัญหาเรื่องความยากจน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม ขณะนี้มีการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกติกา แต่ไม่เรียกร้องกฎหมายที่เป็นธรรม ซึ่งจุดนี้คือความแตกต่างระหว่างไพร่และอำมาตย์ ดังนั้นขอสัญญาว่าตนจะอยู่เคียงข้างประชาชนเพื่อแก้ไขเรื่องนี้แน่นอน
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ส่วนการเดินทางไปที่กรมทหารราบที่ 11 รอ.เมื่อช่วงเช้า เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องออกหมายเรียก ไม่ต้องพูดว่าจะออกหมาย หรือจะออกหมายจับ โดยนำเอกสารการทำงานไปให้อ่าน ไปให้ความรู้จะได้ไม่ต้องมาพูดว่าตนไม่จงรักภักดี แต่พอไปถึงมันไม่ให้เข้า และให้เดินลงมีทหารประกบเหมือนกับตนถูกคุมตัว ตนปากคอสั่นอยากจะด่าแต่ก็ไม่ทำ จนชาวบ้านที่ไปให้กำลังใจเขาเห็นและบอกว่าไม่ต้องกลัว ถ้าจับอีกไม่นานจะมีพี่น้องแห่กันมาอีกมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ ชวลิต ได้พูดคุยกับตัวแทนประชาชน อย่างเป็นกันเอง และมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
ที่มา.เนชั่น
**************************************************************
พล.อ.ชวลิต กล่าวว่า ตนรู้สึกดีใจที่ในเวลาที่มีความทุกข์ แต่พี่น้องก็ยังมาให้กำลังใจไม่เคยขาด ทุกวันนี้ยังมีเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จคือการแก้ปัญหาเรื่องความยากจน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันในสังคม ขณะนี้มีการเรียกร้องให้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามกติกา แต่ไม่เรียกร้องกฎหมายที่เป็นธรรม ซึ่งจุดนี้คือความแตกต่างระหว่างไพร่และอำมาตย์ ดังนั้นขอสัญญาว่าตนจะอยู่เคียงข้างประชาชนเพื่อแก้ไขเรื่องนี้แน่นอน
พล.อ.ชวลิต กล่าวอีกว่า ส่วนการเดินทางไปที่กรมทหารราบที่ 11 รอ.เมื่อช่วงเช้า เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องออกหมายเรียก ไม่ต้องพูดว่าจะออกหมาย หรือจะออกหมายจับ โดยนำเอกสารการทำงานไปให้อ่าน ไปให้ความรู้จะได้ไม่ต้องมาพูดว่าตนไม่จงรักภักดี แต่พอไปถึงมันไม่ให้เข้า และให้เดินลงมีทหารประกบเหมือนกับตนถูกคุมตัว ตนปากคอสั่นอยากจะด่าแต่ก็ไม่ทำ จนชาวบ้านที่ไปให้กำลังใจเขาเห็นและบอกว่าไม่ต้องกลัว ถ้าจับอีกไม่นานจะมีพี่น้องแห่กันมาอีกมาก ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ ชวลิต ได้พูดคุยกับตัวแทนประชาชน อย่างเป็นกันเอง และมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา
ที่มา.เนชั่น
**************************************************************
จับแล้วจ่าเอ็ม79 ที่แท้ค้าชายแดน
โยงรง.ที่วังน้อย ไม่เกี่ยวม็อบแดง
ตร.ชาร์จจับจ.ส.ต.เจ้าของระเบิดเอ็ม 79 ได้แล้วกลางสี่แยกที่ลำลูกกา-ปทุมธานี ขณะขับปิกอัพไปเบิกเงิน 7 แสนบาทเตรียมเผ่นไปต่างจังหวัด ผบช.ภาค 1 ระบุตามเช็กความเคลื่อนไหวของคนร้ายพบมีการไปเบิกเงินหลายแบงก์จึงส่งทีมออกไล่ล่ากระทั่งมาเจอที่กลางสี่แยก ค้นในรถพบปืน 9 ม.ม. 1 กระบอก จ.ส.ต.สารภาพหมดเปลือกกำลังจะเอาเอ็ม 79 ทั้ง 63 ลูกไปส่งรถทัวร์ไปแม่สาย ขายให้ชนกลุ่มน้อย แต่มาเจอด่านสห.ไล่กวดจับจนต้องโยนของกลางทิ้ง บัตรปชช.ที่พบขโมยมาจากโรงพักใช้เป็นหลักฐานส่งพัสดุทางรถทัวร์ อาวุธทั้ง หมดรับมาจากโรงงานอาวุธสงครามที่วังน้อย-อยุธยา ปฏิเสธลั่นไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง
จากเหตุการณ์ด่านทหารอากาศที่ดอนเมืองพบชายต้องสงสัยขี่รถจักรยานยนต์ตรงจุดหน้าฐาน ทัพอากาศดอนเมือง ฝั่งวิภาวดีฯ ขาเข้า ช่วงหลังเกิดการปะทะกันระหว่างทหารตำรวจกับม็อบเสื้อแดง จึงขอตรวจค้น แต่ชายคนดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านบัณฑิตโฮม เป็นซอยตัน ปรากฏว่าคนร้ายทิ้งรถจักรยานยนต์ และถุงสีดำขนาดใหญ่ไว้ ก่อนปีนหนีเข้าป่าหญ้าหลบหนีไปได้ จากการตรวจสอบภายในถุงพบกระสุนเอ็ม 79 จำนวน 63 นัด รุ่นเจาะเกราะหรือเอ็ม 43 HEDP จำนวน 42 นัด รุ่นหัวแตกหรือเอ็ม 406 HE จำนวน 20 นัด ถุงดังกล่าวมีเอกสาร และบัตรประชา ชนตกอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทราบว่าผู้ต้องหารายนี้คือจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามจับกุมตัว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่ม นปช.ออกแถลง การณ์ว่า ศอฉ.แถลงข่าวการจับอาวุธเอ็ม 79 และอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมากได้ที่หน้ากองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการจัดฉากของ ศอฉ.ว่า ตนไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน ขอให้จำไว้ว่านิสัยของตนไม่เคยจัดฉาก และใครจะมองว่าอย่างไรตนก็ไม่ทราบ ตนทำตามข้อเท็จจริง ตนไม่เคยสร้างสถานการณ์ ตนทำตามข้อเท็จจริงโดยไม่กลัวการใส่ร้ายป้ายสีอะไรทั้งนั้น และไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ตนเห็นว่าวันนี้มีหน้าที่รักษาบ้านเมือง รักษาสถาบันตนก็จะทำให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่ามีการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากจากผู้ชุมนุมคนหนึ่งทิ้งไว้ระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ไล่จับกุมใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ มีคนคนนี้พยายามเข้าไปสนับสนุนฝ่ายผู้ชุมนุมแต่ถูกตำรวจจราจรและสารวัตรทหารอากาศเห็นพิรุธจึงเข้าจับกุม และเกิดการหลบหนีจึงทิ้งลังอาวุธไว้ ซึ่งเป็นระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก พร้อมกับบัตรประจำตัวต่างๆ ก่อนปีนกำแพงหลบหนีไป แต่ขณะนี้จากหลักฐานทั้งหมดทราบแล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ก็จะติดตามมาดำเนินคดีต่อไป ยืนยันว่าอาวุธที่จับกุมได้ไม่ใช่การจัดฉาก เพราะเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานไว้พร้อมแล้ว
ต่อข้อถามว่าอาวุธที่ตรวจสอบเชื่อมโยงกับการก่อวินาศกรรมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นอาวุธที่เตรียมไปให้ยิงทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งนี้ อาวุธที่ตรวจพบไม่มีเลขรหัสที่ยืนยันว่าเป็นของทางราชการ จึงยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวไม่ใช่อาวุธของทางราชการ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ทหารยึดระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกที่ดอนเมือง ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญา ผู้ต้องหารับราชการที่ สภ.คูคต ตั้งแต่จบโรงเรียนพลตำรวจ จ.สระ บุรี บ้านเกิดอยู่ที่ อ.เถิน จ.ตาก มีภรรยาและลูกชายอายุ 3 ขวบ อยู่ที่ จ.เชียงราย
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศปก.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการรับราช การตำรวจของจ.ส.ต.ปริญญา ตลอด 15 ปีที่ สภ.คูคต ไม่พบประวัติเสีย ส่วนความเกี่ยวข้องกับอาวุธเอ็ม 79 ที่ตรวจพบพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธ โดยใช้เส้นทางลำเลียงจากต่างจังหวัดผ่านเส้นทางที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มนปช.
ผู้สื่อข่าวถามว่า อาวุธเอ็ม 79 ที่พบเชื่อมโยงกับการใช้อาวุธชนิดเดียวกันก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้าหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าอาวุธเหล่านี้เคยถูกนำไปใช้ที่ใดบ้าง เช่นนำไปเปรียบเทียบกับลูกที่ใช้ก่อเหตุแต่ยังไม่ระเบิด โดยเรื่องนี้มอบให้ดีเอสไอและสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบร่วมกัน ส่วนความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธในระดับใด ส่วนกรณีตำรวจจับกุมนายสมพร กัสยากร อายุ 46 ปี พนักงานฝ่ายซ่อมเครื่องบินบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุนจำนวนมาก และมีข่าวว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ยิงพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น จากการสืบสวนสอบสวนยังไม่ยืนยันในเรื่องนี้ แต่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มนปช. โดยนายสมพรเป็นผู้ขับรถพาคนมาร่วมชุมนุม
เช้าวันเดียวกัน ที่ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.กฤษฎา พันธ์คงชื่น ผบช. ภาค 1, พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภาค 1, พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก. ภ.จว.ปทุมธานี, พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ ผกก. สภ.คูคต พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ สวน ร่วมประชุมเกี่ยวกับกรณีจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.คูคต ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนเครื่องกระสุนชนิดเอ็ม 79 จำนวนมากใกล้อนุสรณ์สถานดอนเมือง
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบ้านพักย่านสายไหม กทม. และรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 323 สีแดง ทะเบียน กค-7163 สระบุรี สภาพเก่า ไม่สามารถใช้งานได้ ตรวจสอบเป็นทะเบียนรถ ปลอมของจ.ส.ต.ปริญญา พบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนและอุปกรณ์อีกหลายรายการ ส่วนใหญ่เป็นอะไหล่อาวุธสงคราม เบื้องต้นทราบว่า จ.ส.ต.ปริญญาไม่ได้เดินทางเข้าทำงานเมื่อเวลา 08.00 น.ของวันนี้ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวออกจากราชการแล้ว พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าจะมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ดังกล่าวและคดีอื่นๆ หรือไม่ และเตรียมออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี
พ.ต.อ.สุรพันธ์ กอบเงินทอง ผกก.ฝ่ายสรรพา วุธ 3 หน่วยเก็บกู้ระเบิด กองสรรพาวุธตำรวจ เปิดเผยว่า หลังได้รับแจ้งว่ามีการตรวจสอบพบอาวุธของจ.ส.ต.ปริญญา จากที่บ้านพักและรถเก๋ง จึงเข้าตรวจสอบภายในรถดังกล่าวเนื่องจากเกรงว่าจะมีวัตถุระเบิดหรืออาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในรถชนิดคาร์บอมบ์ เพราะรถคันดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้มานานอยู่ที่บริเวณที่จอดรถด้านข้างแฟลตตำรวจ มีสภาพเก่า หม้อแบตเตอรี่ถูกถอดออก และจากการตรวจสอบไม่พบระเบิดในรถ ส่วนอาวุธที่ตรวจพบได้ต้องนำไปตรวจสอบอีกครั้ง
พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวเคยเป็นทหารเกณฑ์จากทหารอากาศ แล้วสอบเข้าเตรียมพลตำรวจ รุ่นที่ 5 จ.สระบุรี จากนั้นเข้ารับราชการตำรวจฝ่ายงานจราจร สภ.คูคต มานานจนได้รับเลื่อนเป็น ผบ.หมู่ปราบปราม กระทั่งมาเกิดเรื่อง แต่โดยปกติเพื่อนตำรวจด้วยกันจะทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญามีนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เดิมเป็นคน จ.เชียงราย และทำธุรกิจส่วนตัวในการซื้อขายอาวุธปืนสั้น ซ่อมและหาอะไหล่อาวุธปืน และสืบสวนก็ทราบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นพบอาวุธสงครามที่ อ.วังน้อย จ.พระนคร ศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวออกจากราชการแล้ว และออกหมายจับติดตามตัวต่อไป
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.กฤษฎา พร้อมด้วยพล.ต.ต.เมธี นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม จ.ส.ต. ปริญญาได้ที่สี่แยกไฟแดงคลอง 7 หมู่ 5 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยของกลางรถปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตาร์ด้า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ณส-4360 กทม. ตรวจสอบเป็นทะเบียนปลอม, อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. 1 กระบอก, อุปกรณ์ลำกล้องส่องติดตั้งปืน 1 ชุด, อาวุธมีดพก 2 เล่ม, เงินสด 7 แสนบาท, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณน-7305 กทม. 2 แผ่นป้าย, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณต-9925 กทม. เสื้อผ้าและกระเป๋าลายพรางทหารจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จ.ส.ต.ปริญญาให้การว่า ติดต่อซื้อขายอาวุธปืน หาอะไหล่และซ่อมปืนให้กับเพื่อนตำรวจ และพรรคพวกที่รู้จักกันเป็นเจ้าของอาวุธต่างๆ ที่ถูกตรวจยึดได้นั้นจริง แต่ไม่ได้เป็นคนเสื้อแดงและไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงใดๆ ส่วนกระสุนปืนชนิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกมีผู้ติดต่อซื้อกับตนในราคาลูกละ 1,000 บาทเมื่อวานนี้ จึงจะนำไปส่งให้กับลูกค้าแถวไปรษณีย์ย่านคูคต แต่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นจับกุมจึงหลบหนีไป ส่วนผู้ซื้อตอนนี้ทราบว่าหลบหนีไปประเทศลาวแล้ว ตนทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจะจับกุมจึงเดินทางไปเบิกเงินที่ธนา คารย่านตลาดสี่มุมเมืองและที่ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จากนั้นขับรถมาที่ห้างบี๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกาเพื่อเบิกเงินอีก จากนั้นขับรถออกมาตามถนนลำลูกกาเพื่อจะหลบหนี แต่ยังไม่รู้จะไปที่ไหน เมื่อมาถึงแยกไฟแดงก็มาถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้เสียก่อน
พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ได้ติดตามตัว จ.ส.ต.ปริญญา โดยติดตามจากการเบิกจ่ายเงินกระทั่งทราบว่าเวลา 10.30 น. จ.ส.ต.ปริญญาเข้าไปเบิกเงินสดจำนวน 290,000 บาทที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซียร์ รังสิต จากนั้นก็เข้าไปเบิกเงินอีกครั้งที่ธนาคารกรุงไทย สาขาตลาดสี่มุมเมือง จำนวน 300,000 บาท จึงประสานงานให้ทีมสืบสวนทั่ว จ.ปทุมธานี ติดตามดูพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์และการเบิกจ่ายเงิน กระทั่งมาทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญาเดินทางมาทำธุรกรรมเบิกเงินที่ห้างบิ๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกา จึงวิทยุสกัดจึงสามารถจับกุมได้ขณะ ติดไฟแดงบริเวณดังกล่าว โดยจับกุมได้โดยละม่อมและไม่มีการต่อสู้รุนแรง
พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ในส่วนอาวุธต่างๆ ที่ถูกจับได้เป็นของจ.ส.ต.ปริญญา แต่ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง และในวันที่ถูกตรวจค้นเจอเครื่องอาวุธต่างๆ นั้น ก็เพราะจะนำของเหล่านั้นไปส่งให้ลูกค้า เบื้องต้นเรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของ จ.ส.ต. ปริญญา เพราะทางการสืบสวนนั้นพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ที่เคยถูกจับกุมไปแล้วที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเราคงต้องควบคุมตัวไว้สอบสวนอย่างละ เอียดอีกครั้ง โดยอาจจะมีการโอนคดีไปยัง สภ.คูคต เพื่อสะดวกต่อการทำงาน อีกทั้งยังไม่ทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรับโอนคดีไปทำเองหรือไม่ เพราะยังอยู่ในช่วงการประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งคงจะได้ประสานงานกันต่อไป
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการสอบสวน จ.ส.ต.ปริญญาให้การรับสารภาพหมดเปลือกว่าระเบิดเอ็ม 79 ทั้งหมดรับมาจากโรงงานผลิตอาวุธที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเตรียมจะนำไปส่งให้ชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บแนวชายแดนไทย ซึ่งก่อนถูกจับกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งให้ที่ท่ารถทัวร์แห่งหนึ่งย่านประชาชื่น แต่เกิดฝนตกหนักจึงต้องเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้ประจำ ก่อนมาเจอด่าน สห.ทหารอากาศจึงต้องหลบหนี จ.ส.ต.ปริญญายังให้การอีกว่า การส่งอาวุธสงครามจะใช้ส่งทางรถทัวร์เป็นประจำ โดยปลายทางเป็น อ.แม่สาย จ.เชียง ราย ซึ่งลูกค้าจะส่งคนมารับที่ปลายทาง ส่วนบัตรประชาชนที่พบตกอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นได้ขโมยมาจากโรงพัก เพราะการส่งพัสดุทางรถทัวร์ต้องมีบัตรประชาชนเป็นหลักฐาน นอกจากนี้จ.ส.ต.ปริญญายังยืนยันว่าระเบิดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับม็อบเสื้อแดงเลย
วันเดียวกัน พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วยพ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผกก.สน.บางมด พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีสุรางค์ รอง ผกก.ปป.สน.บางมด แถลงข่าวจับกุมนายโยธิน หรือเล่ นันทา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109/1 หมู่ 5 ต.ห้วยขมิ้น อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมของกลางระเบิดแบบขว้าง เอ็มเค-2 (ระเบิดน้อย หน่า) 1 ลูก ปืนอัดลมพลาสติกแบบลูกซองสไลด์สีดำ 1 กระบอก กระบอกไม้ไผ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้วครึ่ง 1 ใบ เศษผ้ายืดสีชมพู 1 ผืน เศษโฟมสีขาว 3 ชิ้น และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีดำ ทะเบียน ษกย-349 กรุงเทพฯ
เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันมีสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ขณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันออกตรวจตราพื้นที่ โดยจัดเป็นกลุ่มชุดรถจักรยานยนต์และรถยนต์ร่วมกันออกลาดตระเวน เมื่อผ่านไปถึงปากซอยพุทธบูชา 26/2 พบนายโยธินขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีนายบีเป็นคนซ้อนท้าย สังเกตพบนายบีกำลังถือปืนแบบลูกซองสไลด์อยู่ในมือข้างซ้าย จึงเข้าประกบและบังคับให้หยุดรถตรวจค้น ตรวจสอบพบว่าเป็นปืนอัดลมพลาสติก และพบเป็นระเบิดขว้างอีก 1 ลูก จากการสอบสวนผู้ต้องหาอ้างว่า ระเบิดดังกล่าวซื้อมานานแล้วในราคา 400 บาทและกำลังจะนำไปทิ้ง เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ระหว่างทางก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเสียก่อน โดยที่ผ่านมาไม่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง
ต่อมา ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 บช.น. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะทำงานสืบสวนคดีระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เรียกประชุมติดตามความคืบหน้า โดยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เป็นต้นมา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีเหตุเกิด 46 คดี ในส่วนของภาคอื่นมี 15 คดี โดยการสืบสวนคืบหน้าไปมากพอสมควร โดยขณะนี้ที่ชัดเจนคือ การจัดกลุ่มชุดคนร้ายที่กระทำผิด โดยสามารถรวบรวมพยาน หลักฐาน และออกหมายจับได้เป็นบางกลุ่ม โดยมี 4 กลุ่มในตอนนี้ กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 ซึ่งจะเชื่อมคดีที่กระทรวงกลาโหม โดยในส่วนนั้นสามารถออกหมายจับส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีตตำรวจสระแก้ว และชายไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากการประมวลและรวบ รวมหลักฐานทั้งหมด ตำหนิ รูปพรรณ อาวุธที่ใช้ปรากฏว่า อาวุธที่ใช้คือเอ็ม 67 ไปตรงกับอีก 8 คดี ซึ่งพอสรุปเบื้องต้นได้ว่าคนร้ายที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 มี 1 ชุดที่ปฏิบัติการในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งตนได้จัดชุดดำเนินการจับกุมโดยเฉพาะแล้ว
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวอีกว่า กลุ่มที่ 2 เป็นส่วนที่ใช้การยิงเอ็ม 79 ซึ่งมีทั้งหมด 14 คดี ตำรวจได้ตำหนิรูปพรรณที่ชัดเจนในหลายคดีที่มาประกอบกัน โดยได้มีการจัดชุดของ บช.น. และบช.ก. ในการติดตามจับกุมคนร้ายในชุดนี้เช่นเดียวกัน กลุ่มที่ 3 สามารถตรวจสอบตำหนิ รูปพรรณ ยานพาหนะได้ คือ ชุดที่ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว และบางยี่ขัน และกลุ่มที่ 4 ที่รวบรวมหลักฐาน และออกหมายจับได้คือคาร์บอมบ์ที่โพไซดอนได้ โดยออกหมายจับนายอัครเดช สุขลักษณ์ และชายไทยอีกคน
ที่ จ.จันทบุรี นายสุชาติ ล้อมวงศ์ อายุ 44 ปี ที่อยู่เลขที่ 73/1 หมู่ที่ 1 ต.ตะกาดเง้า อ.ท่า ใหม่ จ.จันทบุรี เป็นคนงานขุดวางท่อเมนการประปา ส่วนภูมิภาคจันทบุรี เข้าแจ้งความ ร.ต.ท.ไชยเชษฐ์ แก้วไตรรัตน์ พนักงานสอบ สวน สภ.เมืองจันทบุรี ว่าพบถุงผ้าสีเขียว สงสัยว่าจะมีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดจำนวน 2 ถุง แขวนที่ลวดหนาม และพงหญ้ารกข้างทาง ริมถนนสายวัดจันทนาราม-แยกบ้านเกาะรงค์ หมู่ที่ 11 ต.พลับพลา อ.เมืองจันทบุรี จึงรายงานถึงพ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผกก.สภ.เมืองจันท บุรี รุดไป ตรวจสอบพบระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 ลูก พบปลอกกระสุนชนิดเดียวกัน 12 นัด และซองใส่กระสุนพลาสติกจำนวน 2 ตับ จึงกู้เก็บขึ้นไปเก็บรักษาไว้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจเพิ่มเติมพบเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ห่างจากจุดที่พบระเบิดประมาณ 2 ก.ม. โดยจะเร่งตรวจสอบว่าเป็นของใคร และเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ หรือไม่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************************************
ตร.ชาร์จจับจ.ส.ต.เจ้าของระเบิดเอ็ม 79 ได้แล้วกลางสี่แยกที่ลำลูกกา-ปทุมธานี ขณะขับปิกอัพไปเบิกเงิน 7 แสนบาทเตรียมเผ่นไปต่างจังหวัด ผบช.ภาค 1 ระบุตามเช็กความเคลื่อนไหวของคนร้ายพบมีการไปเบิกเงินหลายแบงก์จึงส่งทีมออกไล่ล่ากระทั่งมาเจอที่กลางสี่แยก ค้นในรถพบปืน 9 ม.ม. 1 กระบอก จ.ส.ต.สารภาพหมดเปลือกกำลังจะเอาเอ็ม 79 ทั้ง 63 ลูกไปส่งรถทัวร์ไปแม่สาย ขายให้ชนกลุ่มน้อย แต่มาเจอด่านสห.ไล่กวดจับจนต้องโยนของกลางทิ้ง บัตรปชช.ที่พบขโมยมาจากโรงพักใช้เป็นหลักฐานส่งพัสดุทางรถทัวร์ อาวุธทั้ง หมดรับมาจากโรงงานอาวุธสงครามที่วังน้อย-อยุธยา ปฏิเสธลั่นไม่เกี่ยวกับเสื้อแดง
จากเหตุการณ์ด่านทหารอากาศที่ดอนเมืองพบชายต้องสงสัยขี่รถจักรยานยนต์ตรงจุดหน้าฐาน ทัพอากาศดอนเมือง ฝั่งวิภาวดีฯ ขาเข้า ช่วงหลังเกิดการปะทะกันระหว่างทหารตำรวจกับม็อบเสื้อแดง จึงขอตรวจค้น แต่ชายคนดังกล่าวขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปทางหมู่บ้านบัณฑิตโฮม เป็นซอยตัน ปรากฏว่าคนร้ายทิ้งรถจักรยานยนต์ และถุงสีดำขนาดใหญ่ไว้ ก่อนปีนหนีเข้าป่าหญ้าหลบหนีไปได้ จากการตรวจสอบภายในถุงพบกระสุนเอ็ม 79 จำนวน 63 นัด รุ่นเจาะเกราะหรือเอ็ม 43 HEDP จำนวน 42 นัด รุ่นหัวแตกหรือเอ็ม 406 HE จำนวน 20 นัด ถุงดังกล่าวมีเอกสาร และบัตรประชา ชนตกอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นทราบว่าผู้ต้องหารายนี้คือจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต จ.ปทุมธานี ซึ่งตำรวจกำลังเร่งติดตามจับกุมตัว ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 29 เม.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกลุ่ม นปช.ออกแถลง การณ์ว่า ศอฉ.แถลงข่าวการจับอาวุธเอ็ม 79 และอื่นๆ ได้เป็นจำนวนมากได้ที่หน้ากองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา เป็นการจัดฉากของ ศอฉ.ว่า ตนไม่ทำเช่นนั้นแน่นอน ขอให้จำไว้ว่านิสัยของตนไม่เคยจัดฉาก และใครจะมองว่าอย่างไรตนก็ไม่ทราบ ตนทำตามข้อเท็จจริง ตนไม่เคยสร้างสถานการณ์ ตนทำตามข้อเท็จจริงโดยไม่กลัวการใส่ร้ายป้ายสีอะไรทั้งนั้น และไม่กลัวผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ตนเห็นว่าวันนี้มีหน้าที่รักษาบ้านเมือง รักษาสถาบันตนก็จะทำให้ดีที่สุด
เมื่อถามว่ามีการยึดอาวุธสงครามจำนวนมากจากผู้ชุมนุมคนหนึ่งทิ้งไว้ระหว่างถูกเจ้าหน้าที่ไล่จับกุมใช่หรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 28 เม.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังแก้ปัญหากลุ่มผู้ชุมนุมอยู่ มีคนคนนี้พยายามเข้าไปสนับสนุนฝ่ายผู้ชุมนุมแต่ถูกตำรวจจราจรและสารวัตรทหารอากาศเห็นพิรุธจึงเข้าจับกุม และเกิดการหลบหนีจึงทิ้งลังอาวุธไว้ ซึ่งเป็นระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 62 ลูก พร้อมกับบัตรประจำตัวต่างๆ ก่อนปีนกำแพงหลบหนีไป แต่ขณะนี้จากหลักฐานทั้งหมดทราบแล้วว่าเป็นใคร ชื่ออะไร ก็จะติดตามมาดำเนินคดีต่อไป ยืนยันว่าอาวุธที่จับกุมได้ไม่ใช่การจัดฉาก เพราะเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานไว้พร้อมแล้ว
ต่อข้อถามว่าอาวุธที่ตรวจสอบเชื่อมโยงกับการก่อวินาศกรรมหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เป็นอาวุธที่เตรียมไปให้ยิงทหารที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ ทั้งนี้ อาวุธที่ตรวจพบไม่มีเลขรหัสที่ยืนยันว่าเป็นของทางราชการ จึงยืนยันว่าอาวุธดังกล่าวไม่ใช่อาวุธของทางราชการ
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกตร. กล่าวถึงกรณีที่ทหารยึดระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกที่ดอนเมือง ว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญา ผู้ต้องหารับราชการที่ สภ.คูคต ตั้งแต่จบโรงเรียนพลตำรวจ จ.สระ บุรี บ้านเกิดอยู่ที่ อ.เถิน จ.ตาก มีภรรยาและลูกชายอายุ 3 ขวบ อยู่ที่ จ.เชียงราย
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกศปก.ตร. กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติการรับราช การตำรวจของจ.ส.ต.ปริญญา ตลอด 15 ปีที่ สภ.คูคต ไม่พบประวัติเสีย ส่วนความเกี่ยวข้องกับอาวุธเอ็ม 79 ที่ตรวจพบพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธ โดยใช้เส้นทางลำเลียงจากต่างจังหวัดผ่านเส้นทางที่มีการปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มนปช.
ผู้สื่อข่าวถามว่า อาวุธเอ็ม 79 ที่พบเชื่อมโยงกับการใช้อาวุธชนิดเดียวกันก่อเหตุรุนแรงก่อนหน้าหรือไม่ พล.ต.ต.ประวุฒิกล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนอยู่ระหว่างการตรวจสอบว่าอาวุธเหล่านี้เคยถูกนำไปใช้ที่ใดบ้าง เช่นนำไปเปรียบเทียบกับลูกที่ใช้ก่อเหตุแต่ยังไม่ระเบิด โดยเรื่องนี้มอบให้ดีเอสไอและสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลางตรวจสอบร่วมกัน ส่วนความเชื่อมโยงกับขบวนการค้าอาวุธในระดับใด ส่วนกรณีตำรวจจับกุมนายสมพร กัสยากร อายุ 46 ปี พนักงานฝ่ายซ่อมเครื่องบินบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พร้อมอาวุธและเครื่องกระสุนจำนวนมาก และมีข่าวว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่ยิงพ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิตเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น จากการสืบสวนสอบสวนยังไม่ยืนยันในเรื่องนี้ แต่พบว่ามีความเชื่อมโยงกับกลุ่มนปช. โดยนายสมพรเป็นผู้ขับรถพาคนมาร่วมชุมนุม
เช้าวันเดียวกัน ที่ สภ.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พล.ต.ท.กฤษฎา พันธ์คงชื่น ผบช. ภาค 1, พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รอง ผบช.ภาค 1, พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก. ภ.จว.ปทุมธานี, พ.ต.อ.นราเดช ทิพย์รักษ์ ผกก. สภ.คูคต พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบ สวน ร่วมประชุมเกี่ยวกับกรณีจ.ส.ต.ปริญญา มณีโคตม์ ผบ.หมู่งานปราบปราม สภ.คูคต เจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.คูคต ที่คาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนเครื่องกระสุนชนิดเอ็ม 79 จำนวนมากใกล้อนุสรณ์สถานดอนเมือง
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจค้นบ้านพักย่านสายไหม กทม. และรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 323 สีแดง ทะเบียน กค-7163 สระบุรี สภาพเก่า ไม่สามารถใช้งานได้ ตรวจสอบเป็นทะเบียนรถ ปลอมของจ.ส.ต.ปริญญา พบอาวุธปืน, เครื่องกระสุนและอุปกรณ์อีกหลายรายการ ส่วนใหญ่เป็นอะไหล่อาวุธสงคราม เบื้องต้นทราบว่า จ.ส.ต.ปริญญาไม่ได้เดินทางเข้าทำงานเมื่อเวลา 08.00 น.ของวันนี้ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวออกจากราชการแล้ว พร้อมทั้งตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าจะมีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ดังกล่าวและคดีอื่นๆ หรือไม่ และเตรียมออกหมายจับเพื่อติดตามตัวมาสอบสวนดำเนินคดี
พ.ต.อ.สุรพันธ์ กอบเงินทอง ผกก.ฝ่ายสรรพา วุธ 3 หน่วยเก็บกู้ระเบิด กองสรรพาวุธตำรวจ เปิดเผยว่า หลังได้รับแจ้งว่ามีการตรวจสอบพบอาวุธของจ.ส.ต.ปริญญา จากที่บ้านพักและรถเก๋ง จึงเข้าตรวจสอบภายในรถดังกล่าวเนื่องจากเกรงว่าจะมีวัตถุระเบิดหรืออาวุธสงครามซุกซ่อนอยู่ในรถชนิดคาร์บอมบ์ เพราะรถคันดังกล่าวถูกจอดทิ้งไว้มานานอยู่ที่บริเวณที่จอดรถด้านข้างแฟลตตำรวจ มีสภาพเก่า หม้อแบตเตอรี่ถูกถอดออก และจากการตรวจสอบไม่พบระเบิดในรถ ส่วนอาวุธที่ตรวจพบได้ต้องนำไปตรวจสอบอีกครั้ง
พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดังกล่าวเคยเป็นทหารเกณฑ์จากทหารอากาศ แล้วสอบเข้าเตรียมพลตำรวจ รุ่นที่ 5 จ.สระบุรี จากนั้นเข้ารับราชการตำรวจฝ่ายงานจราจร สภ.คูคต มานานจนได้รับเลื่อนเป็น ผบ.หมู่ปราบปราม กระทั่งมาเกิดเรื่อง แต่โดยปกติเพื่อนตำรวจด้วยกันจะทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญามีนิสัยไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เดิมเป็นคน จ.เชียงราย และทำธุรกิจส่วนตัวในการซื้อขายอาวุธปืนสั้น ซ่อมและหาอะไหล่อาวุธปืน และสืบสวนก็ทราบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตรวจค้นพบอาวุธสงครามที่ อ.วังน้อย จ.พระนคร ศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ขณะนี้ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวออกจากราชการแล้ว และออกหมายจับติดตามตัวต่อไป
ต่อมาเวลา 14.00 น. พล.ต.ท.กฤษฎา พร้อมด้วยพล.ต.ต.เมธี นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม จ.ส.ต. ปริญญาได้ที่สี่แยกไฟแดงคลอง 7 หมู่ 5 ต.บึงคำพร้อย อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมด้วยของกลางรถปิกอัพยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นสตาร์ด้า สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน ณส-4360 กทม. ตรวจสอบเป็นทะเบียนปลอม, อาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. 1 กระบอก, อุปกรณ์ลำกล้องส่องติดตั้งปืน 1 ชุด, อาวุธมีดพก 2 เล่ม, เงินสด 7 แสนบาท, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณน-7305 กทม. 2 แผ่นป้าย, แผ่นป้ายทะเบียนปลอม ณต-9925 กทม. เสื้อผ้าและกระเป๋าลายพรางทหารจำนวนหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
จ.ส.ต.ปริญญาให้การว่า ติดต่อซื้อขายอาวุธปืน หาอะไหล่และซ่อมปืนให้กับเพื่อนตำรวจ และพรรคพวกที่รู้จักกันเป็นเจ้าของอาวุธต่างๆ ที่ถูกตรวจยึดได้นั้นจริง แต่ไม่ได้เป็นคนเสื้อแดงและไม่เกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงใดๆ ส่วนกระสุนปืนชนิดเอ็ม 79 จำนวน 63 ลูกมีผู้ติดต่อซื้อกับตนในราคาลูกละ 1,000 บาทเมื่อวานนี้ จึงจะนำไปส่งให้กับลูกค้าแถวไปรษณีย์ย่านคูคต แต่เจ้าหน้าที่จะตรวจค้นจับกุมจึงหลบหนีไป ส่วนผู้ซื้อตอนนี้ทราบว่าหลบหนีไปประเทศลาวแล้ว ตนทราบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนจะจับกุมจึงเดินทางไปเบิกเงินที่ธนา คารย่านตลาดสี่มุมเมืองและที่ศูนย์การค้าเซียร์ รังสิต จากนั้นขับรถมาที่ห้างบี๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกาเพื่อเบิกเงินอีก จากนั้นขับรถออกมาตามถนนลำลูกกาเพื่อจะหลบหนี แต่ยังไม่รู้จะไปที่ไหน เมื่อมาถึงแยกไฟแดงก็มาถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้เสียก่อน
พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ได้ติดตามตัว จ.ส.ต.ปริญญา โดยติดตามจากการเบิกจ่ายเงินกระทั่งทราบว่าเวลา 10.30 น. จ.ส.ต.ปริญญาเข้าไปเบิกเงินสดจำนวน 290,000 บาทที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาเซียร์ รังสิต จากนั้นก็เข้าไปเบิกเงินอีกครั้งที่ธนาคารกรุงไทย สาขาตลาดสี่มุมเมือง จำนวน 300,000 บาท จึงประสานงานให้ทีมสืบสวนทั่ว จ.ปทุมธานี ติดตามดูพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์และการเบิกจ่ายเงิน กระทั่งมาทราบว่าจ.ส.ต.ปริญญาเดินทางมาทำธุรกรรมเบิกเงินที่ห้างบิ๊กซี คลอง 5 ถนนลำลูกกา จึงวิทยุสกัดจึงสามารถจับกุมได้ขณะ ติดไฟแดงบริเวณดังกล่าว โดยจับกุมได้โดยละม่อมและไม่มีการต่อสู้รุนแรง
พล.ต.ท.กฤษฎากล่าวว่า ในส่วนอาวุธต่างๆ ที่ถูกจับได้เป็นของจ.ส.ต.ปริญญา แต่ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนเสื้อแดง และในวันที่ถูกตรวจค้นเจอเครื่องอาวุธต่างๆ นั้น ก็เพราะจะนำของเหล่านั้นไปส่งให้ลูกค้า เบื้องต้นเรายังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของ จ.ส.ต. ปริญญา เพราะทางการสืบสวนนั้นพบว่าจ.ส.ต. ปริญญามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธสงครามรายใหญ่ที่เคยถูกจับกุมไปแล้วที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา และที่ จ.สมุทรปราการ ซึ่งเราคงต้องควบคุมตัวไว้สอบสวนอย่างละ เอียดอีกครั้ง โดยอาจจะมีการโอนคดีไปยัง สภ.คูคต เพื่อสะดวกต่อการทำงาน อีกทั้งยังไม่ทราบว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะรับโอนคดีไปทำเองหรือไม่ เพราะยังอยู่ในช่วงการประกาศใช้พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งคงจะได้ประสานงานกันต่อไป
รายงานข่าวเปิดเผยว่า จากการสอบสวน จ.ส.ต.ปริญญาให้การรับสารภาพหมดเปลือกว่าระเบิดเอ็ม 79 ทั้งหมดรับมาจากโรงงานผลิตอาวุธที่ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยเตรียมจะนำไปส่งให้ชนกลุ่มน้อยตามตะเข็บแนวชายแดนไทย ซึ่งก่อนถูกจับกำลังจะขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งให้ที่ท่ารถทัวร์แห่งหนึ่งย่านประชาชื่น แต่เกิดฝนตกหนักจึงต้องเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้ประจำ ก่อนมาเจอด่าน สห.ทหารอากาศจึงต้องหลบหนี จ.ส.ต.ปริญญายังให้การอีกว่า การส่งอาวุธสงครามจะใช้ส่งทางรถทัวร์เป็นประจำ โดยปลายทางเป็น อ.แม่สาย จ.เชียง ราย ซึ่งลูกค้าจะส่งคนมารับที่ปลายทาง ส่วนบัตรประชาชนที่พบตกอยู่ในที่เกิดเหตุนั้นได้ขโมยมาจากโรงพัก เพราะการส่งพัสดุทางรถทัวร์ต้องมีบัตรประชาชนเป็นหลักฐาน นอกจากนี้จ.ส.ต.ปริญญายังยืนยันว่าระเบิดดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับม็อบเสื้อแดงเลย
วันเดียวกัน พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.น. พร้อมด้วยพ.ต.อ.เศรษฐศักดิ์ ยิ้มเจริญ ผกก.สน.บางมด พ.ต.ท.ธวัชชัย ศรีสุรางค์ รอง ผกก.ปป.สน.บางมด แถลงข่าวจับกุมนายโยธิน หรือเล่ นันทา อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 109/1 หมู่ 5 ต.ห้วยขมิ้น อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี และนายบี (นามสมมติ) อายุ 17 ปี พร้อมของกลางระเบิดแบบขว้าง เอ็มเค-2 (ระเบิดน้อย หน่า) 1 ลูก ปืนอัดลมพลาสติกแบบลูกซองสไลด์สีดำ 1 กระบอก กระบอกไม้ไผ่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 นิ้วครึ่ง 1 ใบ เศษผ้ายืดสีชมพู 1 ผืน เศษโฟมสีขาว 3 ชิ้น และรถจักรยานยนต์ฮอนด้า รุ่นคลิก สีดำ ทะเบียน ษกย-349 กรุงเทพฯ
เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย, ร่วมกันมีสิ่งเทียมอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย
ทั้งนี้ ขณะเจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันออกตรวจตราพื้นที่ โดยจัดเป็นกลุ่มชุดรถจักรยานยนต์และรถยนต์ร่วมกันออกลาดตระเวน เมื่อผ่านไปถึงปากซอยพุทธบูชา 26/2 พบนายโยธินขับขี่รถจักรยานยนต์โดยมีนายบีเป็นคนซ้อนท้าย สังเกตพบนายบีกำลังถือปืนแบบลูกซองสไลด์อยู่ในมือข้างซ้าย จึงเข้าประกบและบังคับให้หยุดรถตรวจค้น ตรวจสอบพบว่าเป็นปืนอัดลมพลาสติก และพบเป็นระเบิดขว้างอีก 1 ลูก จากการสอบสวนผู้ต้องหาอ้างว่า ระเบิดดังกล่าวซื้อมานานแล้วในราคา 400 บาทและกำลังจะนำไปทิ้ง เนื่องจากมีเหตุการณ์ไม่ปกติ แต่ระหว่างทางก็ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมเสียก่อน โดยที่ผ่านมาไม่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดง
ต่อมา ที่ห้องประชุมปารุสกวัน 1 บช.น. พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ที่ปรึกษา (สบ 10) หัวหน้าคณะทำงานสืบสวนคดีระเบิดในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เรียกประชุมติดตามความคืบหน้า โดยพล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวก่อนเริ่มประชุมว่า ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค. เป็นต้นมา ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีเหตุเกิด 46 คดี ในส่วนของภาคอื่นมี 15 คดี โดยการสืบสวนคืบหน้าไปมากพอสมควร โดยขณะนี้ที่ชัดเจนคือ การจัดกลุ่มชุดคนร้ายที่กระทำผิด โดยสามารถรวบรวมพยาน หลักฐาน และออกหมายจับได้เป็นบางกลุ่ม โดยมี 4 กลุ่มในตอนนี้ กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 ซึ่งจะเชื่อมคดีที่กระทรวงกลาโหม โดยในส่วนนั้นสามารถออกหมายจับส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม อดีตตำรวจสระแก้ว และชายไทยอีกคนหนึ่ง ซึ่งจากการประมวลและรวบ รวมหลักฐานทั้งหมด ตำหนิ รูปพรรณ อาวุธที่ใช้ปรากฏว่า อาวุธที่ใช้คือเอ็ม 67 ไปตรงกับอีก 8 คดี ซึ่งพอสรุปเบื้องต้นได้ว่าคนร้ายที่ใช้ระเบิดขว้างเอ็ม 67 มี 1 ชุดที่ปฏิบัติการในห้วงที่ผ่านมา ซึ่งตนได้จัดชุดดำเนินการจับกุมโดยเฉพาะแล้ว
พล.ต.อ.ภาณุพงศ์กล่าวอีกว่า กลุ่มที่ 2 เป็นส่วนที่ใช้การยิงเอ็ม 79 ซึ่งมีทั้งหมด 14 คดี ตำรวจได้ตำหนิรูปพรรณที่ชัดเจนในหลายคดีที่มาประกอบกัน โดยได้มีการจัดชุดของ บช.น. และบช.ก. ในการติดตามจับกุมคนร้ายในชุดนี้เช่นเดียวกัน กลุ่มที่ 3 สามารถตรวจสอบตำหนิ รูปพรรณ ยานพาหนะได้ คือ ชุดที่ใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงธนาคารกรุงเทพ สาขาสะพานขาว และบางยี่ขัน และกลุ่มที่ 4 ที่รวบรวมหลักฐาน และออกหมายจับได้คือคาร์บอมบ์ที่โพไซดอนได้ โดยออกหมายจับนายอัครเดช สุขลักษณ์ และชายไทยอีกคน
ที่ จ.จันทบุรี นายสุชาติ ล้อมวงศ์ อายุ 44 ปี ที่อยู่เลขที่ 73/1 หมู่ที่ 1 ต.ตะกาดเง้า อ.ท่า ใหม่ จ.จันทบุรี เป็นคนงานขุดวางท่อเมนการประปา ส่วนภูมิภาคจันทบุรี เข้าแจ้งความ ร.ต.ท.ไชยเชษฐ์ แก้วไตรรัตน์ พนักงานสอบ สวน สภ.เมืองจันทบุรี ว่าพบถุงผ้าสีเขียว สงสัยว่าจะมีวัตถุต้องสงสัยคล้ายระเบิดจำนวน 2 ถุง แขวนที่ลวดหนาม และพงหญ้ารกข้างทาง ริมถนนสายวัดจันทนาราม-แยกบ้านเกาะรงค์ หมู่ที่ 11 ต.พลับพลา อ.เมืองจันทบุรี จึงรายงานถึงพ.ต.อ.ผดุงศักดิ์ รักษาสุข ผกก.สภ.เมืองจันท บุรี รุดไป ตรวจสอบพบระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 ลูก พบปลอกกระสุนชนิดเดียวกัน 12 นัด และซองใส่กระสุนพลาสติกจำนวน 2 ตับ จึงกู้เก็บขึ้นไปเก็บรักษาไว้
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจเพิ่มเติมพบเครื่องยิงระเบิดเอ็ม 79 ห่างจากจุดที่พบระเบิดประมาณ 2 ก.ม. โดยจะเร่งตรวจสอบว่าเป็นของใคร และเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมในกรุงเทพฯ หรือไม่
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
**********************************************************************
จาตุรนต์ เตือน ‘อภิสิทธิ์’ ขึ้นแท่น ‘อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’
จาตุรนต์ เปิดกฎหมายโลก เตือนอภิสิทธิ์นิ่มๆ ขึ้นแท่น ‘อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ ยันแม้ไทยยังไม่เป็นภาคี แต่มีช่องยกเว้นให้สำหรับรัฐบาลยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศได้หากเปลี่ยนขั้ว
29 เมษายน 2553 โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง แถลงถึงการตั้งข้อกล่าวหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อการชุมนุม ผู้ชุมนุม ในเรื่องการก่อการร้าย ล้มสถาบัน และศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ โดยกล่าวเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมือง และต้องแสดงความห่วงใยต่อนายกฯอภิสิทธิ์เองด้วย การที่รัฐบาลได้ดำเนินการในการยกระดับข้อกล่าวหาในลักษณะบิดเบือนใส่ร้าย กล่าวหาผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้ยุบสภา และได้พยายามทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวการชุมนุมมีลักษณะเป็นขบวนการที่มีลักษณะเป็นการก่อการร้าย และเป็นขบวนการที่ต้องการล้มล้างสถาบัน ซึ่งการกล่าวหาในลักษณะนี้ ไม่ได้มีหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งยังได้กล่าวหาเกินจริงไปมาก มุ่งที่จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุม และสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังเข้าปราบปราม ถึงขั้นที่จะใช้กำลังอาวุธเข้าเข่นฆ่าประชาชน
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในลักษณะอย่างนี้ ถ้ายังทำต่อไป จะทำให้สุญเสียชีวิตเลือดเนื้อประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งจะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงตอนนี้จึงมีจำเป็นที่จะต้องมาเตือน ช่วยกันเรียกร้องกดดันต่อนายกฯอภิสิทธิ์เปลี่ยนใจเสียใหม่ ล้มเลิกการกระทำและความพยายามต่างๆ เหล่านี้
“การกล่าวหาว่า การชุมนุมนี้เป็นการชุมนุมโดยผู้ก่อการร้าย หรือมีผู้ก่อการร้ายร่วมอยู่ในการขบวนการชุมนุม เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แล้วยังไม่มีข้อกฎหมายรองรับเลย ถ้าจะพิจารณาจากความเห็นของรองเลขาธิการศาลยุติธรรม จะเห็นว่า การชุมนุมของ นปช. - คนเสื้อแดง ไม่เข้าข่ายที่จะถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งยังมีข้อกฎหมายที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม การชุมนุมที่คุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย จะเอากฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายมาใช้กับผู้ชุมนุมเหล่านี้ไม่ได้”
อดีตรองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวด้วยว่า หากดูจากข้อกฎหมายในเรื่องที่จะบอกว่า การกระทำอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นการก่อการร้ายนั้น แม้แต่การที่มีบุคคลไปยิงเอ็ม 79 ในที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งกรณีมีกลุ่มคนชุดดำที่ยิงใส่ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อการทำงานของเจ้าพนักงาน หรืออย่างมากก็พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน แต่ก็ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย แม้แต่คนที่ยิงปืนเอ็ม 79 หรือคนที่ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ ก็ยังไม่ถือเป็นการก่อการร้าย เพราะการก่อการร้ายจะต้องมีเจตนาพิเศษ เป็นการก่อการร้ายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำการหรือไม่กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
“ข้ออื่นๆ ในคำชี้แจงของรองเลขาธิการศาลยุติธรรมก็เห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ไม่มีอะไรที่ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของประชาชนและแกนนำของ นปช.ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นการชุมนุมที่เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตย ยิ่งไม่เข้าข่ายการชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้าย แต่รัฐบาลก็ยังคงดึงดันที่จะใช้คำนี้ และใช้หลักกฎหมายเรื่องนี้ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุมและสร้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธเข้าประหัตประหารผู้ชุมนุม” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์ ยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ในช่วง 6 ปีมานี้ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 4,100 กว่าคน และมีผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสอีก 6,500 กว่าคน รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังไม่เรียกเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ว่าเป็นการก่อการร้ายแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในกรณีนี้ที่มีการชุมนุมของประชาชนให้ยุบสภา กลับเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาของรัฐบาลที่ต้องการใช้ความรุนแรงและมาตรการที่รุนแรงในการปราบปรามประชาชน
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลใช้มาเป็นข้อกล่าวหาต่อผู้ชุมนุม คือ การกล่าวหาว่ามีขบวนการล้มสถาบันล้มเจ้า การกล่าวหานี้ได้ทำในลักษณะจับแพะชนแกะ เอาชื่อคน ชื่อองค์กรต่างๆ มารวมกันเข้า และใช้การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ไม่มีพยานหลักฐาน และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ นอกจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันทั้งสิ้น การกล่าวหาในลักษณะนี้ ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อประชาชนผู้ชุมนุม เพระว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน อ่อนไหว ประชาชนย่อมไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับเลยแม้แต่น้อย
“ทำให้เห็นได้ว่า ทั้ง 2 เรื่อง คือ ข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย กับเรื่องล้มเจ้าล้มสถาบัน เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย เพื่อมุ่งที่จะปราบเข่นฆ่าประชาชน”
นายจาตุรนต์ ได้กล่าวถึงการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ด้วยว่า เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ใช้กำลังทหารไปขัดขวางการสัญจรของประชาชน และนำไปสู่การใช้อาวุธต่อประชาชนบาดเจ็บไปจำนวนมาก รวมทั้งยังได้เกิดอุบัติเหตุที่เจ้าหน้าที่ยิงกันเอง จนกระทั่งทำให้ทหารเสียชีวิตไป 1 คน แสดงให้เห็นถึงการใช้กำลังอาวุธ ใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น ไม่เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสมกับการกระทำของผู้ชุมนุม
การดำเนินการในลักษณะนี้ของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักว่าด้วยมาตรการในการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดว่า การจะใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม จะทำได้เฉพาะในกรณียกเว้นและเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งจะต้องทำในลักษณะที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับการชุมนุม เช่น หากผู้ชุมนุมใช้อาวุธ จึงจะใช้อาวุธตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่ แต่การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ในทั้ง 2 เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเมื่อวานนี้ (28 เมษายน 2553) ได้ใช้เกินกว่าความจำเป็นอย่างมาก
“ในหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ยังได้ระบุไว้ด้วยว่า แม้ว่าจะได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดยังต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้ชุมนุม ไม่สามารถที่จะใช้อาวุธเข้าประหัตประหารประชาชนได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ – พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะยิงใครทิ้งเล่นๆ ได้ตามใจชอบ หลักการเหล่านี้ได้มีเป็นหลักสากลไว้อยู่แล้ว และขณะนี้รัฐบาลนี้ได้ละเมิดหลักการนี้อย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ยังได้เปิดประเด็นเพื่อเตือนถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “ผมอยากจะเตือนไปถึงนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเฮก เมื่อลงนามในอนุสัญญาแล้วนี้ รัฐบาลที่ได้ดำเนินการขัดต่อหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ต่อไปข้างหน้า เมื่อมีพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล และรัฐบาลนั้นสามารถที่จะลงนามเพื่อเป็นภาคีในอนุสัญญานี้ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็สามารถที่จะหยิบยกเรื่องการสลายการชุมนุมทั้งวันที่ 10 เมษายน วันที่ 28 เมษายน 2553 รวมถึงถ้าจะมีการสลายการชุมนุมขึ้นอีกที่ราชประสงค์ มาเป็นคดีฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญาที่กรุงเฮกได้
“การฟ้องนี้จะเป็นการฟ้องต่อบุคคล เช่น การฟ้องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่เป็นพลเรือน แม้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารโดยตรง แต่เป็นพลเรือนที่สั่งการให้ทหารเข้ากระทำการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน การดำเนินคดีในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นและถูกตัดสินโดยศาลคดีอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เหมือนกับผู้นำบางประเทศได้ถูกดำเนินคดีกันมาแล้ว”
“เพราะฉะนั้นที่อยากจะเตือนก็คือว่า ต้องหยุดการสร้างเรื่อง บิดเบือน ให้ข่าวแต่ฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความเกลียดชังและสร้างความชอบธรรมในการปราบเข่นฆ่าประชาชน เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศ จะทำให้ประเทศเข้าสู่กลียุค ในยุคที่ประชาชนกับรัฐต่อสู้ใช้ความรุนแรงต่อกัน หรือ ประชาชนต่อประชาชนประหัตประหารกันเอง สิ่งที่ต้องเตือนก็คือ ถ้ายังคงทำอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตคุณอภิสิทธิ์ในฐานะบุคคลคนหนึ่งไม่ว่าจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใดหรือไม่ อาจจะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ และจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงมาก จึงอยากให้พิจารณาทบทวนการดำเนินการอย่างที่ทำโดยเร็วที่สุด” นายจาตุรนต์ กล่าวย้ำ
ในตอนท้าย ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงสถานะของอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ นายจาตุรนต์ อธิบายว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นภาคี แต่จะเป็นภาคีหรือไม่ก็ตาม ก็มีช่องทางหรือข้อยกเว้นที่สามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้พิจารณาได้โดยรับบาลลงนามยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งหากได้รัฐบาลที่ไม่ใช่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเมื่อใด การไปลงนามภาคีในอนุสัญญานี้ก็ทำได้ง่ายๆ และสามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ความผิดก็จะเป็นความผิดฐาน ‘เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ เมื่อมีการปราบปรามโดยใช้กำลังอาวุธทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ซึ่งเวลานี้ถือได้ว่าเข้าข่ายแล้ว แต่ว่าหากมีการสลายที่ราชประสงค์อีก และเกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลายที่ทำให้คนเสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก ก็จะเข้าการเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายตามอนุสัญญานี้ทันที” นายจาตุรนต์กล่าว
ที่มา.ประชาไท
-----------------------------------------------------------------------
29 เมษายน 2553 โรงแรมเรดิสัน พระราม 9 นายจาตุรนต์ ฉายแสง แถลงถึงการตั้งข้อกล่าวหาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อการชุมนุม ผู้ชุมนุม ในเรื่องการก่อการร้าย ล้มสถาบัน และศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ โดยกล่าวเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า ด้วยความห่วงใยต่อบ้านเมือง และต้องแสดงความห่วงใยต่อนายกฯอภิสิทธิ์เองด้วย การที่รัฐบาลได้ดำเนินการในการยกระดับข้อกล่าวหาในลักษณะบิดเบือนใส่ร้าย กล่าวหาผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้ยุบสภา และได้พยายามทำให้เห็นว่า การเคลื่อนไหวการชุมนุมมีลักษณะเป็นขบวนการที่มีลักษณะเป็นการก่อการร้าย และเป็นขบวนการที่ต้องการล้มล้างสถาบัน ซึ่งการกล่าวหาในลักษณะนี้ ไม่ได้มีหลักฐานข้อเท็จจริง ทั้งยังได้กล่าวหาเกินจริงไปมาก มุ่งที่จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุม และสร้างความชอบธรรมให้กับการใช้กำลังเข้าปราบปราม ถึงขั้นที่จะใช้กำลังอาวุธเข้าเข่นฆ่าประชาชน
นายจาตุรนต์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการในลักษณะอย่างนี้ ถ้ายังทำต่อไป จะทำให้สุญเสียชีวิตเลือดเนื้อประชาชนจำนวนมาก รวมทั้งจะทำให้เกิดความขัดแย้งของคนในชาติอย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ถึงตอนนี้จึงมีจำเป็นที่จะต้องมาเตือน ช่วยกันเรียกร้องกดดันต่อนายกฯอภิสิทธิ์เปลี่ยนใจเสียใหม่ ล้มเลิกการกระทำและความพยายามต่างๆ เหล่านี้
“การกล่าวหาว่า การชุมนุมนี้เป็นการชุมนุมโดยผู้ก่อการร้าย หรือมีผู้ก่อการร้ายร่วมอยู่ในการขบวนการชุมนุม เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ แล้วยังไม่มีข้อกฎหมายรองรับเลย ถ้าจะพิจารณาจากความเห็นของรองเลขาธิการศาลยุติธรรม จะเห็นว่า การชุมนุมของ นปช. - คนเสื้อแดง ไม่เข้าข่ายที่จะถือได้ว่าเป็นการก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งยังมีข้อกฎหมายที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การชุมนุมเรียกร้องความเป็นธรรม การชุมนุมที่คุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญนั้น ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย จะเอากฎหมายว่าด้วยการก่อการร้ายมาใช้กับผู้ชุมนุมเหล่านี้ไม่ได้”
อดีตรองนายกรัฐมนตรี ยังได้กล่าวด้วยว่า หากดูจากข้อกฎหมายในเรื่องที่จะบอกว่า การกระทำอย่างใดจึงจะถือว่าเป็นการก่อการร้ายนั้น แม้แต่การที่มีบุคคลไปยิงเอ็ม 79 ในที่ต่างๆ หรือแม้กระทั่งกรณีมีกลุ่มคนชุดดำที่ยิงใส่ทหารในวันที่ 10 เมษายน 2553 ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดขวางต่อการทำงานของเจ้าพนักงาน หรืออย่างมากก็พยายามฆ่าเจ้าพนักงาน แต่ก็ไม่ถือเป็นการก่อการร้าย แม้แต่คนที่ยิงปืนเอ็ม 79 หรือคนที่ยิงปืนใส่เจ้าหน้าที่ ก็ยังไม่ถือเป็นการก่อการร้าย เพราะการก่อการร้ายจะต้องมีเจตนาพิเศษ เป็นการก่อการร้ายเพื่อขู่เข็ญหรือบังคับรัฐบาลไทย รัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์กรระหว่างประเทศให้กระทำการหรือไม่กระทำการอันอาจก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง
“ข้ออื่นๆ ในคำชี้แจงของรองเลขาธิการศาลยุติธรรมก็เห็นได้ชัดเจนว่า การกระทำทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม ไม่มีอะไรที่ถือได้ว่าเป็นการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชุมนุมของประชาชนและแกนนำของ นปช.ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นการชุมนุมที่เรียกร้องความเป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตย ยิ่งไม่เข้าข่ายการชุมนุมที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นการก่อการร้าย แต่รัฐบาลก็ยังคงดึงดันที่จะใช้คำนี้ และใช้หลักกฎหมายเรื่องนี้ เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อผู้ชุมนุมและสร้างความชอบธรรมในการใช้อาวุธเข้าประหัตประหารผู้ชุมนุม” นายจาตุรนต์กล่าว
นายจาตุรนต์ ยังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจด้วยว่า เหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ ในช่วง 6 ปีมานี้ มีผู้เสียชีวิตไปแล้วประมาณ 4,100 กว่าคน และมีผู้บาดเจ็บที่มีอาการสาหัสอีก 6,500 กว่าคน รัฐบาลทุกรัฐบาลที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ยังไม่เรียกเหตุการณ์ 3 จังหวัดภาคใต้ว่าเป็นการก่อการร้ายแม้แต่ครั้งเดียว แต่ในกรณีนี้ที่มีการชุมนุมของประชาชนให้ยุบสภา กลับเรียกว่าเป็นการก่อการร้าย ซึ่งเป็นการแสดงเจตนาของรัฐบาลที่ต้องการใช้ความรุนแรงและมาตรการที่รุนแรงในการปราบปรามประชาชน
ส่วนอีกกรณีหนึ่งที่รัฐบาลใช้มาเป็นข้อกล่าวหาต่อผู้ชุมนุม คือ การกล่าวหาว่ามีขบวนการล้มสถาบันล้มเจ้า การกล่าวหานี้ได้ทำในลักษณะจับแพะชนแกะ เอาชื่อคน ชื่อองค์กรต่างๆ มารวมกันเข้า และใช้การกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง ไม่มีพยานหลักฐาน และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีกับบุคคลเหล่านี้ นอกจากนั้นก็เห็นได้ชัดว่า บุคคลที่ถูกกล่าวหาเป็นฝ่ายการเมืองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับรัฐบาลปัจจุบันทั้งสิ้น การกล่าวหาในลักษณะนี้ ก็จะทำให้เกิดความเกลียดชังต่อประชาชนผู้ชุมนุม เพระว่าเป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อน อ่อนไหว ประชาชนย่อมไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ข้อกล่าวหาเหล่านี้ เกิดขึ้นโดยไม่มีหลักฐานข้อเท็จจริงรองรับเลยแม้แต่น้อย
“ทำให้เห็นได้ว่า ทั้ง 2 เรื่อง คือ ข้อกล่าวหาเรื่องการก่อการร้าย กับเรื่องล้มเจ้าล้มสถาบัน เป็นข้อกล่าวหาที่เลื่อนลอย เพื่อมุ่งที่จะปราบเข่นฆ่าประชาชน”
นายจาตุรนต์ ได้กล่าวถึงการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 ด้วยว่า เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวานนี้ที่ใช้กำลังทหารไปขัดขวางการสัญจรของประชาชน และนำไปสู่การใช้อาวุธต่อประชาชนบาดเจ็บไปจำนวนมาก รวมทั้งยังได้เกิดอุบัติเหตุที่เจ้าหน้าที่ยิงกันเอง จนกระทั่งทำให้ทหารเสียชีวิตไป 1 คน แสดงให้เห็นถึงการใช้กำลังอาวุธ ใช้ความรุนแรงเกินความจำเป็น ไม่เป็นสัดส่วนอย่างเหมาะสมกับการกระทำของผู้ชุมนุม
การดำเนินการในลักษณะนี้ของรัฐบาล เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักว่าด้วยมาตรการในการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ซึ่งกำหนดว่า การจะใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม จะทำได้เฉพาะในกรณียกเว้นและเป็นกรณีพิเศษ รวมทั้งจะต้องทำในลักษณะที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับการชุมนุม เช่น หากผู้ชุมนุมใช้อาวุธ จึงจะใช้อาวุธตอบโต้ เพื่อเป็นการป้องกันชีวิตของเจ้าหน้าที่ แต่การใช้อาวุธของเจ้าหน้าที่ในทั้ง 2 เหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และเมื่อวานนี้ (28 เมษายน 2553) ได้ใช้เกินกว่าความจำเป็นอย่างมาก
“ในหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ยังได้ระบุไว้ด้วยว่า แม้ว่าจะได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดยังต้องเคารพในความเป็นมนุษย์ของผู้ชุมนุม ไม่สามารถที่จะใช้อาวุธเข้าประหัตประหารประชาชนได้ตามอำเภอใจ ไม่ใช่ว่าเมื่อมีการประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ – พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินแล้ว จะยิงใครทิ้งเล่นๆ ได้ตามใจชอบ หลักการเหล่านี้ได้มีเป็นหลักสากลไว้อยู่แล้ว และขณะนี้รัฐบาลนี้ได้ละเมิดหลักการนี้อย่างชัดเจน”
ทั้งนี้ ยังได้เปิดประเด็นเพื่อเตือนถึงนายอภิสิทธิ์ด้วยว่า “ผมอยากจะเตือนไปถึงนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเฮก เมื่อลงนามในอนุสัญญาแล้วนี้ รัฐบาลที่ได้ดำเนินการขัดต่อหลักว่าด้วยการสลายการชุมนุมของสหประชาชาติ ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ต่อไปข้างหน้า เมื่อมีพรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวกันกับพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นรัฐบาล และรัฐบาลนั้นสามารถที่จะลงนามเพื่อเป็นภาคีในอนุสัญญานี้ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ก็สามารถที่จะหยิบยกเรื่องการสลายการชุมนุมทั้งวันที่ 10 เมษายน วันที่ 28 เมษายน 2553 รวมถึงถ้าจะมีการสลายการชุมนุมขึ้นอีกที่ราชประสงค์ มาเป็นคดีฟ้องคดีอาญาต่อศาลอาญาที่กรุงเฮกได้
“การฟ้องนี้จะเป็นการฟ้องต่อบุคคล เช่น การฟ้องต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในฐานะที่เป็นพลเรือน แม้จะไม่ได้เป็นผู้บัญชาการทหารโดยตรง แต่เป็นพลเรือนที่สั่งการให้ทหารเข้ากระทำการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน การดำเนินคดีในลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นและถูกตัดสินโดยศาลคดีอาญาระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เหมือนกับผู้นำบางประเทศได้ถูกดำเนินคดีกันมาแล้ว”
“เพราะฉะนั้นที่อยากจะเตือนก็คือว่า ต้องหยุดการสร้างเรื่อง บิดเบือน ให้ข่าวแต่ฝ่ายเดียว เพื่อสร้างความเกลียดชังและสร้างความชอบธรรมในการปราบเข่นฆ่าประชาชน เพราะจะก่อให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศ จะทำให้ประเทศเข้าสู่กลียุค ในยุคที่ประชาชนกับรัฐต่อสู้ใช้ความรุนแรงต่อกัน หรือ ประชาชนต่อประชาชนประหัตประหารกันเอง สิ่งที่ต้องเตือนก็คือ ถ้ายังคงทำอย่างนี้ต่อไป ในอนาคตคุณอภิสิทธิ์ในฐานะบุคคลคนหนึ่งไม่ว่าจะอยู่ในฐานะตำแหน่งใดหรือไม่ อาจจะถูกดำเนินคดีในศาลคดีอาญาระหว่างประเทศ และจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงมาก จึงอยากให้พิจารณาทบทวนการดำเนินการอย่างที่ทำโดยเร็วที่สุด” นายจาตุรนต์ กล่าวย้ำ
ในตอนท้าย ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงสถานะของอนุสัญญาว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ นายจาตุรนต์ อธิบายว่า ประเทศไทยได้ลงนามในอนุสัญญาไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นภาคี แต่จะเป็นภาคีหรือไม่ก็ตาม ก็มีช่องทางหรือข้อยกเว้นที่สามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาให้พิจารณาได้โดยรับบาลลงนามยอมรับอำนาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งหากได้รัฐบาลที่ไม่ใช่ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเมื่อใด การไปลงนามภาคีในอนุสัญญานี้ก็ทำได้ง่ายๆ และสามารถหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“ความผิดก็จะเป็นความผิดฐาน ‘เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ’ เมื่อมีการปราบปรามโดยใช้กำลังอาวุธทำให้ประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ซึ่งเวลานี้ถือได้ว่าเข้าข่ายแล้ว แต่ว่าหากมีการสลายที่ราชประสงค์อีก และเกิดเหตุการณ์ลุกลามบานปลายที่ทำให้คนเสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก ก็จะเข้าการเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เข้าข่ายตามอนุสัญญานี้ทันที” นายจาตุรนต์กล่าว
ที่มา.ประชาไท
-----------------------------------------------------------------------
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)