--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ทหาร - การ์ดนปช.ตกลงถอนกำลังหน้าเซียร์รังสิต

ที่ถนนพหลโยธิน หน้าห้างเซียร์รังสิต มีผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงประมาณ 1,000 คน รวมตัวกันอยู่ และกลุ่มการ์ดกำลังเจรจากับเจ้าหน้าที่เพื่อขอให้ตำรวจเปิดทางเพื่อเข้าไปสมทบที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ผู้ชุมนุมยังทยอยมาเพิ่ม ขณะที่ตำรวจกำลังรอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาอีกที โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกระบองและโล่ ส่วนทหารมีปืนกระสุนยาง ปืนเอ็ม 16 ส่วนผู้ชุมนุมมีไม้ ขวด ก้อนหิน และหนังสติ๊กเป็นอาวุธ ส่วนการจราจร ใช้ถนนพหลโยธินได้เพียงช่องทางเดียว แต่หน้าเซียร์มีน้ำท่วมขัง ทำให้การจราจรติดขัดอย่างหนัก

ต่อมาเวลาประมาณ 17.45 น. เจ้าหน้าที่และการ์ด นปช.สามารถเจรจาตกลงกันได้ว่าต่างฝ่ายต่างจะถอนกำลังกลับ เนื่องจากมืดค่ำแล้ว อาจมีการฉวยโอกาสเข้ามาก่อเหตุของมือที่สาม ล่าสุดมีการรื้อสิ่งกีดขวางออกจากถนนพหลโยธิน และสามารถเปิดการจราจรได้ตามปกติแล้ว


ที่มา.เนชั่น
************************************************

ไม่อยู่ข้างผู้ถูกเอาเปรียบ/ไม่-ประชาธิปไตย

ผมเองเคยใส่เสื้อเหลืองไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อยู่หนึ่งครั้ง ตอนที่มีการชุมนุมใหญ่ครั้งแรกที่ลานพระบรมรูปทรงม้า และเคยเขียนบทความหลายชิ้นสนับสนุนแนวทางการต่อสู้เพื่อล้มรัฐบาลคอร์รัปชัน จนเมื่อแรกเกิดรัฐประหารก็ได้แต่รู้สึกเสียใจ แต่ไม่ได้แสดงออกถึงการต่อต้านอย่างเป็นกิจจะลักษณะ (นี่อาจเป็นความโง่ หรือความผิดของผมเอง)

ต่อมาเมื่อความขัดแย้งแบ่งขั้วเป็นเหลือง-แดง อย่างชัดเจน ที่แต่ละฝ่ายต่างอ้างว่าตนเองถูกต้อง และเรียกร้องให้คนในสังคมเลือกข้าง “ความถูกต้อง” ผู้เขียนก็ยังเลือกที่จะไม่เลือกข้างใด เพราะเห็นว่าทุกฝ่ายก็มีถูกมีผิด

ผมเห็นด้วยกับพันธมิตรฯ ในเรื่องการตรวจสอบและต่อต้านคอร์รัปชัน แต่ก็เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงในเรื่องการต้านรัฐประหาร การมีอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ หรือพูดให้ตรง คือ “อุดมการณ์ประชาธิปไตยสากล”

แต่ยิ่งวันเวลาผ่านไปๆ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นว่า ฝ่ายพันธมิตรฯนั้นสนับสนุนการคงอยู่ของระรอบประชาธิปไตยภายใต้การกำกับของระบบอำมาตย์ นับแต่ที่เรียกร้องให้ใช้วิธีรัฐประหารแก้ปัญหาคอร์รัปชัน สนับสนุนความชอบธรรมของรัฐประหาร สนับสนุนรัฐบาลที่สืบทอดแนวทางรัฐประหาร การใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเงื่อนไขสร้างการแบ่งแยกผู้คนในสังคม และรวมถึงการโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “ล้มสถาบัน” ควบคู่กับการเรียกร้องให้รัฐบาลและทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงอยู่ในเวลานี้

จึงทำให้ผมตั้งคำถามจริงจังขึ้นว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอะไรกันที่เรียกร้องอำนาจรัฐ อำนาจทหารอยู่ตลอดเวลา ให้จัดการขั้นเด็ดขาดกับประชาชนจำนวนมากที่ออกมาชุมนุม (ต่อให้มี “ผู้ก่อการร้าย”อยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมจริง นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยย่อมมีมนุษยธรรมคำนึงถึงชีวิตของประชาชนมากกว่า)

ฉะนั้น ยิ่งนานวันเข้า ถ้าเอาหลักการ/อุดมการณ์ประชาธิปไตยมาจับ จะยิ่งพบว่าความถูกต้องของพันธมิตรฯ นับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ หรือแทบไม่เหลืออยู่เลย เพราะเราไม่อาจเข้าใจได้ หรืออธิบายด้วยเหตุผลไม่ได้ว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทำไมจึงไม่อยู่ข้างประชาชนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ แต่กลับไปค้ำจุนสถานะที่ได้เปรียบของคนส่วนน้อยในสังคม

ผมจึงเห็นว่า ในสภาวะความเป็นจริงของความขัดแย้งทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ แทนที่เราจะให้วาทกรรม “เลือกข้างความถูกต้อง” ซึ่งเป็นนามธรรมมากมาเป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกข้าง เราควรใช้เกณฑ์ที่เป็นรูปธรรมกว่า คือ “การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยต้องอยู่ข้างคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ”

จากเกณฑ์นี้เราจะเห็นได้ชัดว่า คนเสื้อแดงคือคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ แม้จะเป็นไปได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายถูกเสมอไป แต่เราก็ไม่อาจจินตนาการได้ว่า การต่อสู้ที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ จะเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยได้อย่างไร

คนเสื้อแดง (บางคน,บางกลุ่ม) อาจกระทำในสิ่งที่ (สังคมมองว่า) เป็นความผิดหลายอย่าง เช่น การชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้คนกรุงเทพฯ การละเมิดสิทธิ์คนอื่น การนิยมความรุนแรง การตั้งคำถามต่อสถาบัน ฯลฯ แต่นั่นก็เกิดจากความคับแค้นที่เขาถูกกระทำด้วยความรุนแรงมากกว่า คือการใช้กำลังทหารทำรัฐประหารปล้นสิทธิการเลือกตั้งของพวกเขาไป (ไม่ใช่อ้างความเลวเพื่อสนับสนุนการทำเลวเหมือนกันหรือมากกว่า แต่อ้างเพื่อให้เข้าใจสาเหตุของปัญหา)

ฉะนั้น เมื่อพิจารณาว่าคนเสื้อแดงคือคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบในสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำสูง (โดยโครงสร้างเศรษฐกิจ การเมืองที่ไม่เป็นธรรม) ถูกปล้นสิทธิ์ ถูกเลือกปฏิบัติในหลายๆเรื่อง (ใช้สองมาตรฐาน) และเขาจึงออกมาต่อสู้เพื่อทวงสิทธิ ทวงความเสมอภาคในความเป็นมนุษย์ ทวงเสรีภาพในการพูดความจริง หรือทวงประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ การต่อสู้ที่เรียกว่า “เพื่อประชาธิปไตย” จึงจำเป็นต้องอยู่ข้าง หรือสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ของคนเสื้อแดง

ผมเองไม่ใช่คนเสื้อแดง (เพราะไม่มีคุณสมบัติพอ เป็นเพียงผู้ไปสังเกตการชุมนุมที่ไม่ได้ใส่เสื้อแดง เทียบกับชาวบ้านที่มาชุมนุมแล้วเขามีความทรหดและกล้าหาญจนทำให้ผมรู้สึกละอายตัวเอง) เคยวิจารณ์คุณทักษิณและแกนนำเสื้อแดงหลายเรื่องบนจุดยืน “สองไม่เอา” แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นองเลือด 10 เมษายน 2553 และยิ่งเห็นท่าทีแข็งกร้าวของรัฐบาลและพันธมิตรฯ ทำให้ผมต้องกลับมาทบทวนความคิดของตนเองอย่างจริงจัง และผมไม่อาจมองเห็นเหตุผลใดๆที่จะไม่เลือกข้างคนเสื้อแดง หรือสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ของคนเสื้อแดง

คือ ประเด็นการต่อสู้เพื่อให้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่เพื่อนำไปสู่การออกแบบกติกาประชาธิปไตยที่พ้นไปจากการครอบงำของระบบอำมาตย์ (ไม่ใช่ล้มสถาบัน แต่การมีอยู่ของสถาบันต้องไม่ปิดกั้นเสรีภาพในการพูดความจริง ไม่ทำลายความเสมอในความเป็นมนุษย์ ไม่ละเมิดอำนาจการตัดสินใจของประชาชน และต้องโปร่งใสตรวจสอบได้) และการออกกฎหมายที่ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง

ผมอาจเคยเขียนบทความหลายชิ้นสนับสนุน “ประเด็นหลัก” ดังกล่าวของคนเสื้อแดง แต่ไม่ใช่บนความชัดเจนว่าผมตัดสินใจเลือกข้างคนเสื้อแดง วันนี้ผมชัดเจนว่าผมเลือกข้างคนเสื้อแดง ไม่ใช่ด้วยเหตุผลว่าผมเลือกข้าง “ความถูกต้อง” แต่ด้วยเหตุผลว่า “การอยู่ข้างประชาธิปไตย ต้องอยู่ข้างคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ”

เพราะไม่มีการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอยู่จริงบนจุดยืนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ที่ถูกเอาเปรียบ หรือบนจุดยืนที่มุ่งปกป้องเชิดชูสถานะที่ได้เปรียบของคนส่วนน้อยให้พวกเขาเอาเปรียบคนส่วนใหญ่อยู่ตลอดไป

ฉะนั้น ไม่เลือกสู้ข้างผู้ถูกเอาเปรียบ จึงไม่ใช่สู้เพื่อประชาธิปไตย!

โดย.นักปรัชญาชายขอบ
*****************************************************

"ขวัญชัย"นำทีมเสื้อแดงเคลื่อนพลไปตลาดไท ฉลุยห้าแยกลาดพร้าว ไร้ด่านตรวจสกัด จราจรติดหนัก

"ขวัญชัย"นำทีมเสื้อแดงเคลื่อนพลไปตลาดไทฉลุยห้าแยกลาดพร้าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไทยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)นำโดยนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายตลาดไท ล่าสุดเวลา 12.20 น.เดินทางถึงห้าแยกลาดพร้าว เรียบร้อยแล้ว

โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจหรือสกัดแต่อย่างใด นอกจากคอยอำนวยความสะดวกด้านการตจราจร แต่ก็ยังทำให้การจราจรถนนวิภาวดีติดขัดหนัก

"แดง"นัดรวมพลไป"ตลาดไท"เล็งสลายด่านตรวจหากเจอสกัด

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 28 เม.ย. นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เปิดเผยภายหลังการประชุม แกนนำ ว่า ในเวลา 10.30 น. จะเคลื่อนขบวนผู้ชุมนุมไปยังตลาดไท เพื่อให้กำลังใจมวลชนคนเสื้อแดงที่ปักหลักอยู่ที่นั่น โดยให้มวลชนที่ต้องการจะร่วมขบวนไปรวมตัวที่ศาลาแดงแล้วร่วมเดินทางไปรถปิคอัพจำนวน 150 คัน เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้ข่าวว่าศอฉ.จะขนอาวุธเข้ามาในกรุงเทพฯเพื่อปราบปรามประชาชนจึงเป็นภารกิจที่เสื้อแดงจะต้องสกัดกั้นเอาไว้

นายขวัญชัย กล่าวต่อว่า สำหรับภารกิจหลักที่ตลาดไทวันนี้ คือให้กำลังใจคนเสื้อแดง แต่ถ้าเจอด่านของตำรวจสกัดกั้น ก็ต้องคิดตรงนั้นว่าเราจะต้องสลายด่านตำรวจด้วยหรือไม่ เพื่อเปิดทางให้คนเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมและสกัดกั้นทหารไม่ให้นำอาวุธเข้ามาทำร้ายประชาชน ขณะนี้มีคนเสื้อแดงที่พร้อมจะร่วมขบวนประมาณ 2,000 คน

ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

ฮือฮา นักโบราณคดีอ้างพบ"ซากเรือโนอาห์"ตามพระคัมภีร์ไบเบิล

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 28 เม.ย.ว่า กลุ่มนักโบราณคดีจีนฮ่องกงและตุรกรี ได้ค้นพบซากเรือโนอาห์ ซึ่งอยู่บนเขา"อรารัต"ทางภาคตะวันออกของตุรกี โดยจากการพิสูจน์ด้วยกระบวนการน้ำยาคาร์บอนตรวจสอบสิ่งโบราณย้อนยุค พบว่าวัตถุดังกล่าวมีอายุ 4,800 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เรือดังกล่าวถูกระบุว่ามีอยู่บนโลก ขณะที่เจ้าหน้าที่รายหนึ่งบอกว่า กลุ่มเชื่อว่า ซากดังกล่าวเป็นเรือโนอาห์ 99.99 %

รายงานระบุว่า ซากเรือดังกล่าวมีลักษณะเป็นโครงสร้างที่แบ่งเป็นหลายส่วน บางส่วนรวมทั้งคานไม้ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นส่วนที่ใช้เป็นที่พักของสัตว์ต่าง ๆ ที่โนอาห์นำขึ้นเรือ ด้านเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นตุรกียังได้เรียกร้องให้รัฐบาลตุรกี ขอให้ยูเนสโก้ขึ้นทะเบียนวัตถุดังกล่าวเป็นมรดกโลก

ทั้งนี้ ตามพระคัมภีร์ไบเบิลระบุว่า พระเจ้าตัดสินใจที่จะทำลายล้างโลก หลังจากเห็นว่าโลกเต็มไปด้วยสิ่งชั่วร้าย และได้สั่งให้โนอาห์สร้างเรือขึ้นมาพร้อมบรรทุกสัตว์ทุกประเภททั้งเพศผู้เพศเมียขึ้นเรือ และเมื่อน้ำท่วมโลกลดลง เรือโนอาห์ได้ขึ้นไปอยู่ในเขา"อรารัต"


ที่มา.มติชนออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล: "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ"

นักคิดที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในลักษณะโศกนาฏกรรม (tragedy) ครั้งที่สอง ในลักษณะตลกชวนสมเพช (farce)

(หมายเหตุ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้มีรายชื่ออยู่ในเอกสาร "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่รัฐบาลและศอฉ. นำมาเผยแพร่ ได้เขียนบทความชื่อ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ: กำลังแต่งภาพละครแขวนคอ" และนำไปเผยแพร่ในเว็บไซต์และเว็บบอร์ดจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะมีผู้นำบทความดังกล่าวไปแพร่กระจายในเว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก มติชนออนไลน์เห็นว่าบทความของสมศักดิ์มีเนื้อหาน่าสนใจและให้แง่คิดบางประการในสถานการณ์ปัจจุบันอันล่อแหลม จึงขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ -โดยมีการปรับเปลี่ยนบ้างถ้อยคำ- ในเว็บไซต์)

นักคิดที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคยกล่าวว่า ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกในลักษณะโศกนาฏกรรม (tragedy) ครั้งที่สอง ในลักษณะ ตลกชวนสมเพช (farce)

เมื่อ 34 ปีก่อน ขณะที่ พรรคประชาธิปัตย์ เป็นรัฐบาล โดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี และมี ชวน หลีกภัย ฮีโร่ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นกำลังสำคัญคนหนึ่งของรัฐบาล กลุ่มปฏิกิริยาขวาจัดได้ร่วมมือกันสร้างสถานการณ์ปลุกระดม ด้วยการนำภาพถ่ายการแสดงละครของนักศึกษาธรรมศาสตร์ เพื่อประท้วงเหตุการณ์ที่มีช่างไฟฟ้านครปฐม 2 คน ที่กำลังร่วมกับขบวนการนักศึกษาขณะนั้นรณรงค์ต่อต้านการกลับมาของทรราชถนอม เพื่อฟื้นเผด็จการ ถูกแขวนคอตายอย่างสยดสยอง มาโฆษณาว่า นักศึกษากำลังกระทำการดูหมิ่นองค์รัชทายาท

อาศัยข้ออ้างนี้ อันธพาลการเมืองและกำลังตำรวจ ตชด. ได้บุกโจมตีเข้าไปธรรมศาสตร์ ในเช้าตรู่ของวันที่ 6 ตุลาคม

สิ่งที่ตามมาคือ การฆ่าหมู่กลางเมืองที่ป่าเถื่อนที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย

หลังเหตุการณ์นั้น ชวน หลีกภัย เอง กับเพื่อน "ปีกซ้าย" ประชาธิปัตย์ อย่างสุรินทร์ มาศดิตถ์ บิดาของคุณหญิงสุพัตรา ต้องหลีกหนีภัยการเมืองขวาจัดกลับไปบ้านเกิดทางใต้ คุณสุรินทร์ต้องหนีไปบวช ขณะที่ ชวน หันไปจับปากกา เขียนสารคดีชุด "เย็นลมป่า" เพื่อเตือนให้ผู้มีอำนาจเห็นว่า ผลจากการปราบปรามครั้งนั้น ได้ผลักดันให้คนดีๆจำนวนมาก ไม่มีทางเลือกทางอื่น นอกจากเข้าป่าจับปืนขึ้นสู้

34 ปีผ่านไป โดยการคอยยุเชียร์ของชวน หลีกภัย ที่ตอนนี้ สวมวิญญาณเหยี่ยวการเมืองกระหาย...เสียเอง รัฐบาลประชาธิปัตย์ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังดำเนินการสร้างภาพ "ละครแขวนคอ" ชุดใหม่ เพื่อเตรียมใช้กำลังติดอาวุธเข้าปราบผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์

"ภาพละครแขวนคอ" ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ครั้งนี้ แม้หน้าตาภายนอกจะต่างออกไปจาก "ภาพละครแขวนคอ" ครั้งก่อน แต่เนื้อหาไม่ต่างกัน คือ ออกมาในรูปของ "แผนภูมิ" ของสิ่งที่รัฐบาลอภิสิทธิ์เรียกว่า "เครือข่ายล้มเจ้า" ที่เผยแพร่โดย ศอฉ. เมื่อวันที่ 26 เมษายนที่ผ่านมา

ที่ไม่ต่างกันเลยคือ การใช้ข้อหาว่า มีการล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์เกิดขึ้น โดยที่ข้อหานั้น ไม่เป็นความจริงเลย (เช่นเดียวกับที่ ไม่เคยมีการเล่นละครแขวนคอหุ่นหรือคนที่แต่งหน้าเป็นองค์รัชทายาท ในสมัยนั้น ในปัจจุบัน ก็ไม่มี "เครือข่าย" เพื่อการ "ล้มเจ้า" แต่อย่างใด)

และจุดมุ่งหมายของ "ภาพละครแขวนคอ" ครั้งนี้ ก็เหมือนกันกับครั้งก่อน คือ เพื่อปูทาง เป็นข้ออ้างสำหรับการฆ่ากลางเมือง

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โชคดีที่โตไม่ทัน เมื่อมีเหตุการณ์ 6 ตุลา จึงไม่ต้องผ่านประสบการณ์ที่มีลักษณะ "บาดแผลร่วม" (collective trauma) ของสังคมไทย ที่เจ็บปวดและร้าวลึกอย่างไม่อาจบรรยายได้ ที่เป็นผลตามมาจากเหตุการณ์นั้น

เสียดายที่ ชวน หลีกภัย ครูการเมืองของอภิสิทธิ์เอง ได้เสียสติ เสียความจำไปเสียแล้ว

อย่างไรก็ตาม ผมหวังอย่างยิ่งว่า วินาทีนี้ ยังไม่สายเกินไป ที่ อภิสิทธิ์ จะตั้งสติ คิดถึงผลที่จะตามมา ของสิ่งที่เขากำลังตระเตรียมทำอยู่นี้

อันที่จริง ถ้าเพียงแต่ผมเป็นหนึ่งใน "เครือข่ายล้มเจ้า" จริง และถ้าเพียงแต่ผมจะต้องการอำนาจอย่างไม่คำนึงถึงอะไรทั้งสิ้นในลักษณะเดียวกับที่อภิสิทธิ์กำลังหวงอำนาจของตัวเอง, ผมควรยุเสียด้วยซ้ำว่า Bring It On "เอาเลยครับ" รีบทำขั้นตอนต่อไป หลังจากแต่งภาพ "ละครแขวนคอ" (เผยแพร่ "แผนภูมิเครือข่ายล้มเจ้า") ไปแล้ว แบบเดียวกับที่พวกขวาจัด ทำต่อไปหลังโฆษณาภาพ "ละครแขวนคอ" ของพวกเขาเมื่อ 34 ปีก่อน

เพราะผมเชื่อแน่นอนว่า ถ้าอภิสิทธิ์ทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ผู้คนจะตายเป็นเบือ แต่สิ่งที่จะตามมา จะเป็นการเริ่มต้นของจุดจบ ไม่เพียงของอภิสิทธิ์เอง แต่ของ "เครือข่าย" จริงๆ ที่หนุนหลังอภิสิทธิ์ตอนนี้ด้วย

ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************

‘ผลาญงบ’ อย่างไม่จบสิ้น!!

‘ผลาญงบ’ อย่างไม่จบสิ้น!!
หาก “หัวหน้าแก๊งไอติม” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี “ใช้งบลับ” ด้วยความถนอม ไม่ถลุง กันอย่างถนิมสร้อย กันแล้ว...ป่านนี้คง ขจัดปัญหา “ภัยแล้ง” ไปได้ทั้งแผ่นดิน??เงินหลวง คลังประเทศ..แค่ ๔๐ กว่าวัน ถูกเบิกไปอย่าง “หนำใจ” กว่า ๑๐๐,๐๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ฆ่าคนไทยด้วยกัน..ปราบม็อบ “คนไม่มีสีคนไม่มีเส้น”ละลายหายวับ ฉิบหายเป็นว่าเล่นเบี้ยเลี้ยงไอ้เณร พลตำรวจปลายแถว อัดฉีดกันสนุกมือ... ขุนเงินให้แก่ “ขุนพล” นายใหญ่นายโตกันอย่างไม่ยั้ง....ค่าเฮลิคอปเตอร์ พา “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกฯ ใช้บินหนีกันหัวซุกหัวซุน.....จ่ายเสร็จสรรพไปตอนนี้แล้ว เป็น “แสนล้านบาท” ที่ได้ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำไป...แต่สถานการณ์ก็ยังถลำลึก มีแต่ความป่นปี้!!!แสนล้านไม่ใช่เงินขี้ประติ๋ว.......ที่ซ้ำร้ายมีคนจ้อง “กินหัวคิว”?....เป็น “เสือหิว” เสียด้วยนะซี่????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
สถานการณ์พัฒนารุนแรง!!!
เข้าสู่จุดอันตรายขั้นที่ ๓ ระหว่าง “รัฐบาลไอติม” ของ “นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กับ “คนเสื้อแดง”???“ขั้นที่ ๓” เป็นการยกระดับ เปิดฉากสงครามการเมือง ยิงล้างผลาญจอตุง ยิ่งกว่าสงครามกลางอากาศ “สตาร์วอร์” จากนั้นพัฒนายกเกรด อัพเกรด “เข้าขั้นที่ ๔” อย่างไม่รีรอเป็นการ “ปฏิวัติ” ล้างกระดาน ล้มกระดาน “รัฐบาลไอสติม” ของ “นายมาร์ค” กันให้สิ้นซาก...ซึ่งหัวขบวนที่มองกันว่า จะเป็น “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ผู้เป็นบูรพาพยัคฆ์แถวหน้า จะลงมือ อาจจะเป็นการคาดการณ์ที่ผิดคน“ทหารวงศ์เทวัญ” ที่นั่งเงียบๆ ....อาจลุกขึ้นมาเสียบ?....ล้มกระดานเงียบๆ ก็ได้นะหน้ามล???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เลือดเข้าตา!!!
ยิ่ง “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้อำนวยการ ศอฉ. หลงในลาภยศ แสดงอำนาจมากเท่าไหร่ ยิ่งมีแต่คนด่า???จะออกหมายเรียก “จิ๋ว หวานเจี๊ยบ” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เข้ามาสอบที่ราบ ๑๑เป็นการ “แหย่รังแตน”..เพิ่มแค้นอีกเบ็ดเสร็จและมากไปกว่านั้น..เมื่อ “เทพเทือก” เลือกที่จะใช้อำนาจอย่างไม่เกรงอกเกรงใจใคร...ไม่ว่าจะเป็น “ขุนทหารใหญ่” คนไหน หากไม่สลายม๊อบคนเสื้อแดง ก็จะโยกย้ายตำแหน่งไม่ละเว้น กระทั่ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ก็จะฟันให้จั๋งหนับ!!!!แค่ม็อบเสื้อแดง “สุเทพ” ยังเอาไม่อยู่....นี่คิดเอากองทัพมาเป็นศัตรู?.....เป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ไปแล้วล่ะครับ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
บ้านเมืองไม่ใช่ของเล่น!!!
“มาร์ค” นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี อย่าเอาประชาชน มาเป็นเครื่องเซ่น???เห็นอยู่ตำตา “ม็อบสีเหลือง” ปลดเปลื้องมาเป็น “ม็อบสีชมพู” จนกลายเป็น “ม็อบลูกกวาด” และ “ม็อบสลิ่ม” ไปแล้วนั้น.......ไปขุดม็อบเหลืองผีตายซาก...กากเดนประเทศขึ้นมาทำไมกันจงใจให้เกิดการ ประหัตประหาร ผลาญชีวิตกันกลางเมือง...ภาพที่ทหารถืออาวุธครบมือ ขี่มอเตอร์ไซด์ไล่ล่าชีวิตคนเสื้อแดง...และถือปืนเอ็ม ๑๖ จังก้าอยู่เหนือศรีษะ ผู้หญิงและผู้ชายที่สั่งสลายบริเวณหน้าตลาดไท ริมถนนพหลโยธิน ก็เป็นการรังแกประชาชนกันอย่างสุดขีด!!!!เกมประชาชนฆ่าประชาชน....นับเป็นความสับปะดน...ไม่รู้ว่าใครหนอเป็นคนคิด????
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
เหมือน “ปลิง”ที่เกาะขา “ดูดเลือด”!!
ไม่คิดสะระตะ เป็นฝีมือใคร “หนูนา” กัญจนา ศิลปอาชา ลูกสาวผู้นั่งอยู่บนคานทองนิเวศน์ ของ “ป๋าเติ้ง” บรรหาร ศิลปะอาชา ก็ออกอาการเดือด???
ระเบิดที่ถล่มบ้านจรัญสนิทวงศ์ ที่พำนักบ้านพัก ของ “เสด็จเตี่ยบรรหาร ศิลปอาชา” นั้น...มองให้ดีใครได้ประโยชน์“ม็อบแดง” ไม่มีวันทำ....เรื่องริยำ อันเสียภาพพจน์ระเบิดสังหารที่ลง ทันทีที่มีคนเจ็บระนาว “รัฐบาลไอตีม” มีแต่ได้ผลประโยชน์เนื้อๆ ...ที่จะดึง “พรรคชาติไทยพัฒนา” ให้อยู่ร่วมกับ “รัฐบาลเผด็จการสั่งฆ่าประชาชน”...เกมตื้นๆ ใครลงมือยังมองไม่ออก “พรรคบรรหาร” จึงเป็นแค่ “พรรคลูกไล่”???เขาเอาชีวิต พ่อตัวเองมาต่อลอง......แม้แต่คนไร้กึ๊นส์ไร้สมอง.....เขายังมองออกเลยจะบอกให้???

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
****************************************************

ยุคดิจิตอล

14 ตุลา 16...6 ตุลา 19...มาจนวันนี้ 28 เมษา 53การเอาชนะทางการเมืองในอดีตถึงปัจจุบัน...ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกัน!โดยเฉพาะการ “ยัดเยียด” ข้อกล่าวหาต่างๆ นานา...และการใช้สื่อบิดเบือนข้อมูล “ความเป็นจริง” จะว่าไปแล้ว...สิ่งเหล่านี้ “ผู้มีอำนาจ” ทุกยุคทุกสมัยมีความถนัด และมักเป็นผู้สร้างสรรค์ในเชิง “ทำลาย” มากกว่าเพื่อประเทือง “สติปัญญา”เพียงแต่ผู้มีอำนาจในยุคนี้จะรู้บ้างหรือไม่ว่า...ยุคสมัยนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปโลกทั้งใบถูกเปลี่ยนจากยุคอนาลอค ไปสู่ยุคดิจิตอล...คนทั่วโลกเปลี่ยนจากใช้ “พิมพ์ดีด” มาเป็น “คอมพิวเตอร์” ผมจะพูดว่า...นี่คือเหตุผลสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติบ้านเมือง

เปลี่ยนแปลงไป...หากคนไทยรู้จักคิดและตามโลกให้ทันดูได้จากความรู้เท่าทัน “เกมการเมือง” ของรัฐบาล...ซึ่งพวกเขายังคงใช้วิธีการ “เก่าคร่ำครึ” พวกเขาเปลี่ยนจากการใส่ร้ายด้วยการให้คนไปตะโกนในโรงหนัง...เป็นมาตะโกนใส่ร้ายกันทางทีวีหากวันนี้เป็นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน...อะไรจะเกิดขึ้น?ในเมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงถูก “ใส่ร้ายป้ายสี” ให้เป็นคนไม่รักชาติ...ไม่รักสถาบัน...ทั้งที่จุดมุ่งหมาย คือ การเรียกร้องประชาธิปไตยเต็มใบไม่ใช่การเปลี่ยนประเด็น “ใส่สีตีไข่” เป็น

เรื่องร้ายแรงตามคำใครกล่าวอ้าง!ถามว่า...การที่เรา “ถูกจับกรอกหู” ทุกวี่วัน แต่ไม่รู้สึก “คล้อยตาม” กับสิ่งที่ถูกยัดเยียดให้...แต่ยิ่งรู้สึกถึงเป้าหมายอัน “สัปดน” ของคนกลุ่มนี้นั่นเป็นเพราะอะไร?เพราะว่า...ประชาชนจำนวนไม่น้อยเปิดตาเปิดใจกลายเป็นคนในโลกยุค “ดิจิตอล” พวกเขารู้ว่าใครคือ ผู้ก่อการร้ายระดับชาติ ที่ตอกลิ่มให้แผ่นดินไทย แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ ตัวจริงวันนี้สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่าง “ถาวร” เป็นอาวุธสำคัญของประชาชนที่เรียกว่า สติ และ

ปัญญา นั่นคือ “ความรู้” ซึ่งเปรียบเป็น “ยาชูกำลัง” เพื่อให้มีแรงไว้ต่อกรกับพวกมีปืน...มีล้อรถถังให้เคลื่อนที่หยุดเถิด “ความกระเหี้ยนกระหือรือ” รุกไล่ประชาชนแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ...เพราะมันจะกลายเป็น “คมหอกดาบ” ที่ย้อนศรกลับมาทำลายล้างตัวท่านเองเชื่อหรือไม่? ผู้มีอำนาจ “กล้ามใหญ่วางโต” บางคน...แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ยังเปิดปิดเองไม่เป็น!
คอลัมน์. ปัญหาโลกแตกภูผาหิน
**************************************************

หนี้แห่งชีวิต

เป็นได้ยังไง..จากเหตุการณ์ “ขอพื้นที่คืน” จาก รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อวันที่ 10 เมษายน ที่ผ่านมา “คนบาดเจ็บ” ไม่ต้องพูดถึงว่ามีจำนวนเท่าใด..แต่ “คนตาย” เป็นเบือ!!เล่นจริง/โดนจริง/ตายจริง...ไม่มีการใช้ “แสตนด์อิน” หรือ ใช้ “หุ่น” เหมือนการแสดงหนังพระสวดศพกันจริง ท่ามกลางเสียงร้องไห้

คร่ำครวญของบรรดา ญาติของผู้เสียชีวิตจริงๆไม่มีการรับจ้างมา“ร้องไห้หน้าศพ” แบบรัฐมนตรีบางคนที่เราเคยเห็นมีการ“แห่ศพ”ให้พี่น้อง ทั่วทั้งกรุงเทพมหานคร ได้รับรู้..ขบวนแห่ศพยิ่งใหญ่มหาศาล ยิ่งกว่าแห่ “โฆษณาคอนเสิร์ต” ลูกทุ่งปิดวิกตามต่างจังหวัดซะอีกแปลกแต่จริง.. “นายกฯ อภิสิทธิ์” กลับทำหน้างง-งง แกมสงสัยว่า มีอะไรเกิดขึ้นวะเนี่ย??แถมยังทำเป็น“สะดุ้ง” เมื่อรู้ว่ามี ทหารเสียชีวิตในครั้งนั้น..“ตั้งหลักสลบ”อยู่ในราบ 11 อีกห้าวันเต็มๆต่อเมื่อ “ลูกหาบ”

คิดมุกได้ จึงได้ ออกมาปรากฏตัวแถมประกาศต่อมาว่า มี “ผู้ก่อการร้าย” ที่ซ่อนตัวมากับฝูงชนของ “คนเสื้อแดง”!!ทั้งๆ ที่บรรดา “ทูต”เกือบทั่วโลกรุดไปพิสูจน์ด้วยตัวเองที่ “ราชประสงค์” จึงได้เห็นผู้ก่อการร้ายซึ่งมี อายุตั้งแต่ 1 ขวบ ถึง 90 ปี..อนิจจัง!!จากนั้น.. “อภิสิทธิ์” จึงควง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ไปโชว์ตัวในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย..เหมือนจะบอกว่า..ขอให้เชื่อมั่นเถอะว่า “รัฐบาล” พร้อมจะ “ยิงคนไทย” ได้ทุกเมื่อ??เรียกว่า ของเก่าจะเบี้ยวไม่

ชดใช้ พร้อมจะสร้างหนี้ชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกจึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม “ออง ซาน ซูจี” สัญลักษณ์ ประชาธิปไตย ของพม่า กับ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดหลัก ประชาธิปไตยเหมือนกัน64 ปี อายุของ “ออง ซาน”ที่เกิด กับ ประชาธิปัตย์ ที่เริ่มตั้งพรรคเท่ากันแต่..หลักการแห่งความเป็น “ประชาธิปไตย”ห่างกันเหมือนฟ้ากับเหว!!
คอลัมน์. ก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
************************************************

“ตัวช่วย”??

๐การเมืองไทย ไม่เหมือนใครในโลก ไม่มีใน ตำราทุกเล่มของฝรั่ง? ไม่แปลกที่ เสาหลักปักแน่นของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในยามก่อสงครามรอบตัว?? มี บัญญัติ บรรทัดฐาน นี่แหละคอยเป็น “ตัวช่วย”?? อีกไม่นาน สุเทพ เทือกสุบรรณ อาจต้องตะโกนในใจ “ทำไมมันถึงห้าวอย่างนี้วะ??......

๐ “กุหลาบพิษ” รายงานข่าวสังคม BANGKOK GOSSIP หนังสือพิมพ์รายวัน บางกอก ทูเดย์ ยึดมั่นความเป็นกลาง เสนอทุกข่าวบนความจริง ไม่อิงกระแส ในมือท่านฉบับนี้ ประจำวันพุธที่ 28 เมษายน 2553......

๐ ถึงจะพูดกันติดปาก มาร์คอภิสิทธิ์ เป็นแค่ “นายกฯ กุมาร” แต่มีคนกระซิบบอก! ลองมอง “แววตามาร์ค” ดีๆ จะเห็นความ “แข็งกร้าว” ดุดันกว่าหัวหน้าพรรคร่วมบางคนที่ทำท่า “เก่งแต่ปาก” เอาเข้าจริง ปอดแหก ไม่กล้าเผชิญหน้า.!!.....

๐ ดังไปทั้งโลกคือ “ม็อบเสื้อแดง” ฝรั่งรายงานข่าวใช้คำว่า “Bloody Shirt” น่ากลัวกว่า “เสื้อแดง” เป็นไหนๆ ?? เพราะมันแปลว่า “เสื้อสีเลือด” สามแกนนำ วีระ-ณัฐวุฒิ-จตุพร รับทราบไว้ก็ดี......

๐ แต่ที่ฝรั่งเรียกผิด คิดว่า...กรุงเทพฯ เมืองฟ้าเมืองอมร คือ angeles city ทั้งที่มันกำลังจะเป็น “เมืองนรก” เพราะกากเดนสงครามที่จ้อง ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันเอง ทุกวัน??.....

๐ ประเทศไทยวันนี้ มี “ทารกสามคน” กุมบังเหียนประเทศ พอบ้านเมืองยุ่งเหยิงได้ที่ คนที่ออกมาแสดงท่าเป็น “พระเอกขี่ม้าแกลบ” กลับกลายเป็น “กุมารกลายพันธุ์” เฒ่าวัย 78 อาบน้ำวันละ 5 ขัน โดดก๋า ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลประกาศกฎอัยการศึก เพื่อปราบเสื้อแดงให้ได้ใน 2 ชั่วโมง?? ต้องถือว่าตาเฒ่าคนนี้ “บ้าได้ที่แล้ว”!!......

๐ ไม่ต้องมาลือกันมากความ?? “กุหลาบพิษ” ยืนยันตอนนี้ ทักษิณ ชินวัตร อยู่ระหว่างเยือนมอนเตเนโกร ชาติแถบทะเลอะเดรียติค หาลู่ทางการลงทุน ในฐานะพลเมืองชาวมอนเตเนโกร ชนิดเต็มร้อย! เพราะมอนเตเนโกร ก็เป็นประเทศของ “ทักษิณ” ตอนนี้ก็ถือหนังสือเดินทางของประเทศนี้อยู่.....

๐ อดีตนายกฯไทย ยืนยันเจตนารมย์เดิม จะยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับ “คนเสื้อแดง” เรียกร้องประชาธิปไตยและความยุติธรรมให้ได้!!......

๐ กษิต ภิรมย์!! เอ๊ย!! อย่าไปรบกวนประเทศมอนเตเนโกร ให้ส่ง ทักษิณ ชินวัตร กลับไทยเสียให้ยากเลย?? เพราะที่นั่นไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน!! เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศต้องฉลาดกว่านี้และไม่ใช้อารมณ์ในการทำงานอย่างที่เห็น.....

๐ อนิจจา วะตะสังขารา จนบัดนี้ ยังไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตัวจริง เป็นได้แค่รักษาการ มานานหลายเดือนจนตอนนี้ขาดสิทธิ์-ขาดคุณสมบัติที่จะแต่งตั้ง! แต่ อนิจจา!! เพราะคำว่า “ตำรวจเกียร์ว่าง” คำเดียวแท้ๆ นายกฯ ราบ 11 ที่ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็คิดจะเปลี่ยนตัว “แม่ทัพตำรวจ” เสียใหม่ จาก พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ มาเป็นใครก็ไม่รู้?? ก.ตร.ก็จ้องดู ว่า “มาร์คจะเอาใคร?” ตำรวจไทยจะได้มี ผบ.ตร.ตัวจริง ตัวเป็นๆ เสียที.......

๐ “สนธิบัง” ทำเท่อีกแล้ว?? คืนก่อนออกรายการ “VOICE TV” ยืนยันกับ จอม แก้วประดับ ตอนนี้ การปฏิวัติยังไม่ถึงเวลา!! เพราะรัฐบาลยังไม่มีปัญหา......

๐ แปลไทยเป็นไทยว่า บ้านเมืองยุ่งเหยิงขนาดไหน จะไม่มีใครออกมา “ปฏิวัติ” เพราะรัฐบาลชุดนี้ คือ รากเหง้าของ “ป.ว.49” แล้ว พล.อ.สนธิ บุญยกลิน ก็พูดเหมือนจำมาจาก ผบ.ทบ. รุ่นน้อง “อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ที่ย้ำตลอดเวลา... “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง”!!......๐

คอลัมน์. บางกอกกอสซิบกุหลาบพิษ
................................................

เหตุแห่งสงคราม

ไม่มีการเจรจา..ก็แปลว่า จะใช้ แพ้ใช้ชนะในการแก้ไขปัญหา..ความขัดแย้งของการเมืองในประเทศไทยการเมืองนั้นเป็นเรื่องของการเจรจา..สงครามต่างหากเป็นเรื่องของการแพ้และชนะ แต่เมื่อนักการเมือง ทั้งสองฟากทั้งสองฝ่าย ต่างสนใจแต่จะแพ้ชนะกันด้วยสงคราม..มันก็เป็นประวัติศาสตร์ตอนเศร้าของประเทศ

ไทยเพราะสงครามเป็นเรื่องของไฟกับศพว่ากันไปแล้ว..ฝ่ายรัฐบาล นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้เปิดทางกว้างถ่างทางออกให้อย่างเต็มที่ กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม..เรียกร้องการยุบสภาเวลา ระหว่าง เก้าเดือนและยังต่อรองได้...น่าจะนำไปสู่การเจรจา..แต่น่าเสียดายที่ ฝ่ายผู้ชุมนุมได้ปฏิเสธการเจรจาในวาระสาม..ทางออกของวิกฤติการณ์จึงถูกปิดและนำไปสู่การสูญเสียของประชาชนและทหาร..โดยไม่จำเป็นและยิ่งเมื่อฝ่ายผู้ชุมนุม..เรียกร้องให้รัฐบาลลา

ออกในทันทีและให้ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และรองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณ เดินทางไปต่างประเทศนั้นนั่นคือการยื่นคำขอในสิ่งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้สังคมใหญ่ของคนไทยทั่วไป..จึงเริ่มสงสัย ความสงสัยนี้เป็นเรื่องอันตรายกับฝ่ายเรียกร้อง..และเป็นคุณกับฝ่ายรัฐบาล..เพราะสังคมส่วนใหญ่..เป็นพลังของเหตุและผล..เหตุผลที่ว่า...การชุมนุมเช่นนี้ จะอยู่ยั้งยืนยาวจนปราศจากวันจบไม่ได้..มันจะต้องเปลี่ยนแปลงและยุติลงไม่แบบใดก็แบบหนึ่งในวัน

หนึ่งวัดใดและจะต้องไม่นานจนเกินกว่าเหตุรัฐบาลกำลังได้เปรียบในส่วนนี้..และรัฐบาลกำลังขยายผล..และสะสมความชอบธรรมให้กับการล้อมปราบครั้งใหม่..คำว่าผู้ก่อการร้ายจึงเกิดขึ้นนับจากวันนี้..ฝ่ายตั้งรับจะกลับไปเป็นของฝ่ายผู้ชุมนุมเรียกร้อง..มวลชนเริ่มอ่อนเปลี้ย..ทันทีที่สบโอกาส..รัฐบาลจะส่งกำลังเข้าล้อมปราบ..นั่นคือวันที่สงครามได้เริ่มต้น..ประชาชนที่บาดเจ็บล้มตาย..จะทำให้การต่อสู้ด้วยเหตุและผลกลับกลาย..กรือแซะและตากใบ..สร้างสงครามใต้อย่าง

ไร..ตายและเจ็บของผู้ชุมนุม..จะสร้างสงครามใหม่..จงกลับไปสู่โต๊ะเจรจา..ในขณะที่เวลายังมีอยู่..ถอยหลังกันคนละก้าว..แล้วเราจะมองเห็นแสงสว่างที่ไม่เคยมองเห็น ผู้ชุมนุมต้องให้เวลากับรัฐบาล..รัฐบาลต้องหยุดกระเหี้ยนกระหือรือที่จะล้อมปราบ..จงกลับไปที่โต๊ะเจรจา..เพราะทันทีที่สงครามเริ่ม..ประเทศจะย่อยยับ..จงกลับไปที่เวทีแห่งการเจรจา..แพ้ชนะกันที่ผลประโยชน์ของชาติ..หรือไม่ก็พินาศลงไปด้วยกัน

โดย. พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
................................................

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

ทหาร ก็เกียร์ว่าง!

เพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆเลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ.เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐเป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่าการแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไรสำนวนไทยที่ว่า “ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง เหมือนลิงแก้แห” ดูเหมือนว่า จะสะท้อนภาพที่เกิดขึ้นกับรัฐบาล กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และ ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)เพราะแหที่ลิงพยายามแก้ พยายามดึงนั้น ยิ่งพันยุ่งเหยิงและมัดตัวลิงมากยิ่งขึ้นได้แต่เป็นห่วงว่า สุดท้ายจะไม่จบเหมือนใน

นิทานภาษิตสอนใจ ที่แหพันตัวลิงจนดิ้นตกน้ำ ช่วยตัวเองไม่ได้ กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าซึ่งความต้องการของการใช้ กลไก ศอฉ. เป็นเครื่องมือหลักในการที่จะสลายการชุมนุม ทวงคืนพื้นที่ราชประสงค์คืนจากผู้ชุมนุมเสื้อแดงให้ได้นั้น กำลังกลายเป็นสร้างเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาอีรุงตุงนังมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆที่น่ากลัวที่สุดคือ ยิ่งทำยิ่งกลายเป็นการแบ่งแตกแยกขั้วในสังคมไทยมากขึ้นหรือไม่???ตรงนี้ทั้งนายอภิสิทธิ์ ทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่น

คง และ 2 โฆษกสำคัญของ ศอฉ. คือ พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และ นายปณิธาน วัฒนายากรทั้งหมดควรจะตั้งสติให้มากๆ และใคร่ครวญไตร่ตรองให้จงหนัก ว่า การสลายการชุมนุมแล้ว จะสามารถยุติปัญหาวิกฤติของบ้านเมืองได้จริงๆ หรือการยึดคืนพื้นที่สี่แยกราชประสงค์ โดยไม่ให้มีการเสียเลือดเสียเนื้อ หรือว่าเกิดการสูญเสียของฝ่ายใดๆ ก็ตามซ้ำรอย 10 เมษายนนั้น เป็นไปได้จริงๆ หรือหากเกิดการสูญเสียชีวิตไม่ว่าจะกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง กลุ่มทหารตำรวจเจ้า

หน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน รวมไปทั้งประชาชนกลุ่มอื่นๆ นั้น ไม่เพียงแค่คำถามว่า “รัฐบาล และ ศอฉ. รับผิดชอบไหวหรือ?” เท่านั้น แต่ยังตามมาด้วยคำถามที่ว่าจะยุติความแตกแยกได้อย่างไร?!?มองไม่เห็นหนทางเลยจริงๆ เพราะทั้ง นปช. และกลุ่มคนเสื้อแดง ในวันนี้ก็ยืนยันว่า เป็นการชุมนุมเพื่อเรียกร้องทวงคืนประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาล และ ศอฉ. ก็บอกว่าต้องทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ โดยกฎหมายที่ต้องการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ แต่บังเอิญดันเป็น พ.ร.ก.การบริหาร

สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง ซึ่งบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย จะไม่ถือว่าเป็นกฎหมายลักษณะนี้ เป็นกฎหมายพื้นฐานตามสิทธิมนุษยชนเสียด้วยนี่แหละที่บอกว่า ยิ่งทำยิ่งยุ่งเหมือนลิงแก้แห เพราะไปตั้งสมมุติฐานว่า ถ้าประกาศใช้กฎหมายภาวะฉุกเฉิน ประกาศใช้กฎอัยการศึกแล้ว ทุกอย่างต้องยุติได้ด้วยอำนาจกฎหมายพิเศษบังเอิญมาเกิดขึ้นในยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟูไปทั่วโลกแล้ว อำนาจกฎหมายติดหนวดในอดีตจึงไม่เป็นที่เกรงขามของกลุ่มผู้ชุมนุมทวง

คืนประชาธิปไตย ซึ่งมั่นใจว่า เป็นการใช้สิทธิตามวิถีทางประชาธิปไตย สุดท้าย ก็เลย“ยุ่งตายห่ะ” เหมือนสำนวนของนักการเมืองอาวุโส อดีตประธานสภาผู้วายชนม์ ประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ เคยพูดติดปากไว้ไม่มีผิดเสียดายว่า นายอภิสิทธิ์ อาจจะเกิดไม่ทัน จึงไม่มีภูมิความรู้ทางการเมืองในเรื่องนี้เพียงพอ ในขณะที่นายสุเทพ แม้จะเกิดทัน แต่ในภาวะที่ไม่ปกติจนหน้าเคร่งเครียดไม่เว้นแต่ละวัน จึงอาจจะลืมเลือน เลยไม่ได้เตือนนายอภิสิทธิ์ ในประเด็นที่ว่า ยิ่งดึงดันจะยิ่ง

ยุ่งเพราะในวันนี้มองไม่เห็นเอกภาพใดๆ เลย แม้แต่กระทั่งใน ศอฉ. เองก็ตามการที่มีบรรดานายทหารระดับสูง ออกมาสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ขณะนี้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก รู้สึกอึดอัดต่อการแก้ปัญหาสถานการณ์ชุมนุมของ นปช.มาก เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ จะกล่าวในที่ประชุม ศอฉ.ทุกครั้ง ว่าให้กองทัพเร่งรัดสลายชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงโดยเร็ว สะท้อนว่านายอภิสิทธิ์ พยายามจะใช้ทหารในฐานะเป็นกลไกของรัฐ

เป็นเครื่องมือดำเนินการ ในขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ พยายามแสดงจุดยืนว่า การแก้ปัญหาไม่ใช่ให้ทหารนำกำลังพร้อมอาวุธไปปราบประชาชน เพราะย่อมมีการสูญเสียชีวิตได้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่หากสามารถแยกประชาชนผู้บริสุทธิ์ออกจากกลุ่มที่ติดอาวุธได้ อย่างนั้นทหารก็พร้อมทำหน้าที่ “วันนี้รัฐบาลควรแก้ปัญหาให้สถานการณ์ของประเทศยุติความรุนแรงให้ได้ก่อนสิ่งที่รัฐบาลพยายามพูดว่าต้องรักษานิติรัฐ แต่ขณะนี้มีคนตายจำนวนมากทั้งเสื้อแดง ทหาร และคน

หลากสี ไม่รู้ว่าจะรอให้เกิดมิคสัญญีก่อนหรือถึงจะหาทางยุติปัญหา” คือความรู้สึกของนายทหารที่ นายอภิสิทธิ์ และคนรอบข้างควรที่จะรับฟังบ้างเพราะในความเป็นจริงที่ต้องยอมรับสำหรับสถานการณ์ขณะนี้ บรรดาผบ.เหล่าทัพเห็นตรงกันว่าแนวทางการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ การเจรจา รัฐบาลต้องยอมเสียสละ (บ้าง) เพื่อให้บ้านเมืองกลับมาสู่ภาวะปกติให้ได้โดยเร็ว กรอบเจรจาจะกำหนดเงื่อนไขยุบสภาภายในกี่เดือนก็ต้องหารือกันไป รัฐบาลไม่ควรรีบปฏิเสธการหา

ทางออกร่วมกันตามที่แกนนำเสื้อแดงเสนอ แต่สามารถต่อรองกรอบเวลาให้ชัดเจน และรัฐบาลต้องยอมเสียสละบ้าง เพื่อให้คลี่คลายปัญหาบ้านเมืองเวลานี้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ การกระทำของรัฐบาล และ ศอฉ. คือ การอ้างแต่ว่าต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายภาวะฉุกเฉินทั้งๆ ที่หากยกเลิกกฎหมายภาวะฉุกเฉินที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เสียให้หมด ใช้เพียงกฎหมายพื้นฐานตามประชาธิปไตยที่แท้จริง รัฐบาลเองก็จะไม่รู้สึกกดดันว่าต้องทำอะไรเพื่อรักษาหน้า

รักษากฎหมายของตัวเองก็ขนาดที่มีข่าวหลุดออกมาว่า ขณะนี้แม้แต่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาราชการ ผบ.ตร. ยังทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการที่จะให้จัดการกับผู้ชุมนุม หรือสลายการชุมนุมนั้น จะต้องทำหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้นยังไม่เพียงพอที่จะสะท้อนอีกหรือว่า ทั้ง ผบ.ทบ. และ รรท.ผบ.ตร. อึดอัดกับวิธีคิดว่า จะต้องสลายการชุมนุมเพราะด้วยประสบการณ์ในหน้าที่ราชการที่กว่าจะขึ้นมาสู่จุดสูง จนใกล้จะเกษียณอายุราชการในสิ้น

เดือนกันยายนนี้ของคนทั้งคู่แล้วย่อมรู้ดีว่า สลายการชุมนุมเมื่อไหร่ ก็ต้องมีการสูญเสียเมื่อนั้นที่สำคัญเมื่อหัวใจไม่ยอมรับ หัวใจไม่ยอมสยบ อย่าได้หวังเลยว่าการชุมนุมจะยุติดีไม่ดีหากบาดเจ็บล้มตายมากๆ ก็อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะลงใต้ดินเล่นไม่เลิก หรือไม่เช่นนั้นก็จะมีการแปลงรูปจากเสื้อสีแดงไปเป็นสีอื่นใดก็ได้ เพราะกลยุทธ์เช่นนี้ไม่ใช่กลยุทธ์แปลกใหม่ใดๆ เลยเสื้อหลากสี ในวันนี้ ก็แปลงรูปมาจากม็อบพันธมิตรเดิมนั่นเอง เพราะ น.พ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์

เป็นหลักฐานที่ชัดเจน เนื่องจากเป็น ม็อบพันธมิตรเก่าเสื้อสีน้ำเงิน ที่เชื่อกันว่า เป็นกลไกของ นายเนวิน ชิดชอบ ผู้ถูกเว้นวรรคทางการเมืองแต่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองได้ทุกรูปแบบ ซึ่งมีภาพปรากฏชัดเมื่อครั้งนายเนวิน ไปบัญชาการและตรวจสอบปฏิบัติการที่พัทยา มาในวันนี้เสื้อสีน้ำเงินก็แปลงรูปไปแฝงในฝูงชนแล้วเช่นกันแม้แต่ม็อบพันธมิตรอีกส่วนหนึ่งยังแปลงรูปไปเป็นพรรคการเมืองใหม่เลยดังนั้นนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ และแกนนำ ศอฉ. เคยคิดเรื่องการแปลงรูป

แปลงสีเสื้อแต่ยังคงต่อสู้ด้วยอุดมการณ์เดิมบ้างหรือไม่???หากยังไม่คิดก็คิดเสียเถิด เพราะยังไม่สายเกินไปที่จะกลับลำการที่ดึงดันจะสลายการชุมนุม ได้ลากให้เกิดภาพสะท้อนที่กระทบไปทั่วแล้วในเวลานี้กลุ่มคนเสื้อแดงก็พยายามย้ำมาตลอดว่า รัฐบาลไม่ควรพยายามสร้างภาพผูกขาดการจงรักภักดีเอาไว้เฉพาะกลุ่ม แล้วกล่าวหาว่ากลุ่มโน้นกลุ่มนั้นไม่จงรักภักดีต่อสถาบันจิตวิทยาลักษณะนี้แหละที่คงต้องขอเตือนสติรัฐบาลว่า หมิ่นเหม่ต่อการกระทบกับสถาบันสูงสุด

ซึ่งอาจจะยิ่งทำให้สังคมไทยเกิดการขัดแย้ง เกิดการแตกแยกหนักขึ้นกว่านี้ไปอีกเชื่อว่าในวันนี้นายอภิสิทธิ์ คงไม่มีความสุขกับภาพการเผชิญหน้ากันเองของคนไทย ระหว่าง ผู้ชุมนุมกับทหารตำรวจ ระหว่างกลุ่มคนเสื้อแดงกับกลุ่มชาวสีลม ซึ่งทั้ง 2 กรณีเกิดความสูญเสียไปแล้วและมาวันนี้ กลุ่มคนเสื้อหลากสี กำลังได้รับการกระตุ้นจากน.พ.ตุลย์ ให้ออกมาแสดงพลังกันให้ได้เป็นหลักหมื่นหลักแสนนายอภิสิทธิ์ จะสบายใจได้หรือ หากมีการปะทะกันขึ้นมาระหว่างคน

เสื้อต่างสี แต่จริงๆแล้วก็เป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้นวันนี้ยังไม่สายที่หยุดการแตกแยกในสังคมไทย เพียงแค่รัฐบาลและนายอภิสิทธิ์ ยอมเสียสละและเจรจา อย่างที่บรรดานายทหารในกองทัพอยากเห็นรวมทั้งอย่างที่บรรดาคณะทูต 29 ประเทศทั่วโลก ก็เห็นพ้องกันว่า ต้องเจรจาให้ได้ข้อยุติสโลแกนที่ว่า “วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?” คงต้องเปลี่ยนเป็น “วันนี้คุณจะเสียสละได้หรือยัง?”แล้วล่ะ จึงจะหยุดวิกฤติบ้านเมืองแตกแยกได้อย่างถาวร

ที่มาบางกอกทูเดย์
..................................................

อำนาจรัฐ! ต้องหยุด‘คุกคามสื่อ’

บทบาทหน้าที่ของ “อาชีพสื่อมวลชน” คือ ตะเกียงส่องทางให้กับสังคม...เป็นสุนัขเฝ้าบ้าน...เป็นยามเฝ้าแผ่นดิน...คอยสอดส่องดูแลและทำหน้าที่รายงานข่าวสารตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ หรือ วิทยุ ล้วนแต่เป็น “สื่อมวลชน” ที่ไม่สามารถเลือกปฏิบัติหน้าที่ได้ แม้จะต้องทำงานในช่วงที่บ้านเมืองไม่สงบสุขเกิดภาวะศึกสงคราม...ทุกคนก็จำเป็นต้องทำหน้าที่เพื่อนำข่าวสารต่างๆ มาเผยแพร่ให้ประชาชนได้ติดตามและได้รับรู้ถึง

ความเป็นจริงในสถานการณ์ แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับสื่อมวลชน? เพราะข้อเท็จจริง...สื่อมวลชนถูกฝ่ายการเมืองสั่งการ “เซ็นเซอร์” ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของไปเสียเองมิหน่ำซ้ำ...ยังมีคำสั่งให้ปิดบังการนำเสนอข้อเท็จจริง จนการรายงานข่าวนั้นเกิดความ “ไม่เป็นกลาง” และ “ไม่เป็นธรรม”เช่นนั้นแล้ว...จรรณยาบรรณของวิชาชีพนี้จะมีคุณค่าอะไร...ในเมื่อถูกผู้มีอำนาจ “เหยียบย่ำ” จนบางครั้งสื่อมวลชนยังรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีค่า ในวิชาชีพนี้โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวัน

ที่ 22 เม.ย. ที่ผ่านมา...ควรถูกยกขึ้นมาเป็น “อุทาหรณ์สอนใจ” กับการชุมนุนมที่บริเวณถนนสีลม ซึ่งได้มีเหตุรุนแรงโดยมือดียิงระบิด M 79 จำนวน 5 ครั้ง...ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บกว่า 80 คน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นถือเป็นโศกนาฏกรรมต่อเนื่องจากวันที่ 10 เมษา ที่ประชาชนและทหารถูกมือที่ 3 หรือ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ปั่นป่วนเข้าสร้างสถานการณ์...จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก แต่การสื่อสารในวันนั้นเราต้องยอมรับว่า...มันกว้าง

เกินไปสำหรับการแสดงความคิดเห็น...กระทั่งไปพบข้อความหนึ่งของ “ฐปณีย์ เอียดศรีไชย” ผู้สื่อข่าวรายการข่าว3 มิติ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 โดยข้อความนั้นระบุว่า... “นี่คือ ข้อเท็จจริงจากปากคำตำรวจยอมรับไล่กลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คน ที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลังแนวทหาร แต่กลับถูกทหารเอาปืนจ่อหัวบอกไม่ต้องตามไป” ซึ่งข้อความนี้...เป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะเธอเป็นคนรายงานข่าวในคืนที่ 22 เมษานั่นเอง “ฐปณีย์” ได้รายงานข่าวโดยสวมหมวก

กันน็อคที่เสื้อมีรอยเปื้อน...ซึ่งบ่งบอกด้วยการชมในตอนนั้นว่า...ผู้สื่อข่าวคนนี้กำลังเข้าไปคลุกวงใน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเมื่อรายงานจบเราก็แทบไม่รู้ชะตากรรมของเธอว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร?โดยเฉพาะเมื่อได้อ่านข้อความในทวิตเตอร์ของ “ฐปณีย์” ใครหลายคนคงไม่ได้สนใจว่าทหารจะเอาปืนจ่อหัวตำรวจจริงหรือไม่? แต่ความรู้สึกมันบ่งบอกว่า “ฐปณีย์” และผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 กำลังใช้สองมือกำ “เผือกร้อน” เอาไว้แน่นเพราะ

อำนาจรัฐจะเข้าไปจัดการกับความเห็นที่ส่งผลเสียต่อการทำงานของรัฐบาลหลังจากนั้นไม่นาน “ฐปณีย์” ก็ได้ออกมาแถลงเป็นข้อความผ่านทวิตเตอร์...ทำให้รู้ทันทีว่าเธอโดนเล่นงานจากอำนาจ “ในมุมมืด” ในที่สุด เธอก็โดนสั่งระงับไม่ให้รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง! ถามว่า...ประสบการณ์การทำงานไม่ต่ำกว่า 10 ปีของเธอ...ซึ่งรู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง...แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจต้านทานต่อ “แรงอิทธิพล” ทางอำนาจ วันนี้ในฐานะ “สื่อมวลชน” ทุกคนรู้ดีว่า

อะไรเป็นอะไร...แต่ถ้าจะให้พูด “ปากเปียกปากแฉะ” ก็คงฝากบอกไปถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ให้ท่านรู้จักและเข้าใจถึงคำว่า “เอาใจเขามาใส่ใจเรา”เพราะอาชีพสื่อมวลชนคือ...การเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมาและไม่ใช่อาชีพที่มีไว้เพื่อให้นักการเมืองเยียบย่ำหรือใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เห็นได้ชัดว่า...ตราบใดที่ยังมีการปิดกั้นสื่อก็แสดงให้เห็นว่า...สงครามระหว่างรัฐบาลกับประชาชนจะยังไม่จบสิ้น!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
...............................................