--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

"นปช."เปิดเกมรุกจัดทัพ"ตะลุยด่านทหาร"เริ่มพรุ่งนี้

นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำนปช. แถลงถึงกรณีที่ที่ศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ระบุว่าแกนนำนปช.หลายคนอยู่ในขบวนการล้มล้างสถาบันฯ ว่า ยืนยันว่าพวกตนไม่รู้เรื่อง และไม่มีใครมีความคิดจะล้มเจ้าทั้งสิ้น เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง รัฐบาลและกองทัพเชื่อมโยงข้อมูลจากสามส่วนคือนักการเมืองที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล เชื่อมโยงกับคนที่ผลิตสื่อที่แสดงจุดยืนตรงข้ามรัฐบาล บวกกับจินตนาการขั้นสูงสุดเหมารวมว่าเราเป็นกลุ่มล้มเจ้า นปช.ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายแจ้งความดำเนินคดีกับศอฉ.ในข้อหาหมิ่นประมาท กล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้รัฐบาลชี้แจงว่าเหตุใดจึงเรียกพวกเราว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่กลุ่มโจร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีพฤติกรรมโหดเหี้ยม ฆ่าพระ ฆ่าทหาร ตำรวจ ยังถูกเรียกแค่ผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น โดยฝ่ายกฎหมายได้รวบรวมว่าใครเป็นคนกล่าวหาเราเป็นผู้ก่อการร้ายบ้างจะแจ้งความหมิ่นประมาททุกคน ในเบื้องต้นมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด และยังมีคนที่อยู่ในเครือข่ายรัฐบาลอีกหลายคน

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ปฎิบัติการสกัดกั้นทหารตำรวจ 2 วันที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จ ซึ่งนำทหารกลับกรมกองได้ 2 พันนาย และในสิ้นเดือนนี้จะมีทหารอีก 5 หมื่นนายปลดประจำการกลับภูมิลำเนา ดังนั้นด่านสกัดต่างๆของคนเสื้อแดงหลังจากนี้จะมีน้อยลง แต่ละด่านจะกระชับมากขึ้น วันนี้จะประกอบกำลังเป็นชุดปฎิบัติการเคลื่อนที่เร็วราวพันคน เพื่อออกจากราชประสงค์ไปอธิบายความจริงกับประชาชน แจกใบปลิว ซีดีเหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย. หากมีด่านทหาร ตำรวจจะทำการเปิดด่านให้ประชาชนเข้ามาร่วมชุมนุมที่ราชประสงค์ แต่ถ้านายอภิสิทธิ์ จะสลายพวกเราก็ต้องถามว่าเหตุใดจึงไม่สลายกลุ่มเสื้อหลากสีด้วยเพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน

“ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปเราจะเคลื่อนที่ไปรณรงค์คู่ขนานกับคนเสื้อหลากสี โดยจะติดตั้งเครื่องขยายเสียงปราศรัยใช้เวลา 3 - 4 ชั่วโมง ถ้าคนเสื้อหลากสีชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เราจะชุมนุมที่อนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ้าเสื้อหลากอยู่ที่สวนจตุจักร เราจะอยู่ที่สวนลุมพินี แสดงให้เห็นว่าถ้าเสื้อหลากสีทำได้เราก็ทำได้ ” นายณัฐวุฒิ กล่าว


ที่มา.เนชั่น
***************************************************

ยุกติ มุกดาวิจิตร : การเมืองของการฆาตกรรมรวมหมู่

หากการเมืองบนท้องถนนคือหนึ่งในศาสตราของผู้ด้อยอำนาจ (weapons of the weak) การฆาตกรรมรวมหมู่คือหนึ่งในศาสตราของผู้มีอำนาจมั่งคั่ง (weapons of the wealth) ชนชั้นนำทั่วโลกใช้การฆาตกรรมรวมหมู่อยู่เสมอๆ หากแต่เงื่อนไขที่ทำให้รัฐประสบผลสำเร็จหรือประสบภาวะล้มเหลวจากการใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ เกิดจากปัจจัยของโครงสร้างอำนาจที่แตกต่างกันไป ผู้เขียนเชื่อว่าการถกเถียงทำความเข้าใจการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ อาจช่วยหาหนทางคลี่คลายวิกฤติในขณะนี้ได้บ้าง

รัฐไทยใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ในการปกครองมาโดยตลอด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยหลายต่อหลายครั้งมิได้ส่งผลต่อผู้มีอำนาจในทิศทางเดียวกันเสมอไป คำถามคือ เงื่อนไขใดที่ทำให้การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงผู้นำรัฐบาล เงื่อนไขใดที่การฆาตกรรมรวมหมู่ได้รับการยอมรับจากคนทั้งสังคม และทำไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจึงยังคงอยู่ในอำนาจได้ แม้จะก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง

ประโยคที่ว่า “รัฐบาลอยู่ไม่ได้หากมีผู้ชุมนุมตาย” เคยเป็นเสมือนทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนในสังคมไทยมาช้านาน ผู้ที่ยึดมั่นในทฤษฎีนี้มักจะอ้างการเปลี่ยนแปลงหลังจากการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 (ซึ่งหลายคนยังคงตั้งข้อสังเกตว่า การบาดเจ็บล้มตายในเหตุการณ์นั้นอาจจะเกิดขึ้นจากกองกำลังไม่ทราบฝ่าย) การตายในการชุมนุมทางการเมืองที่ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนรัฐบาลครั้งต่อๆ มาคือการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 และการฆาตกรรมรวมหมู่ในเหตุการณ์พฤษภาฯ 35

จนในที่สุดหลายคนปักใจเชื่อกันไปแล้วว่า หากเกิดการตายในการชุมนุมทางการเมือง จะนำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาล การเร่งเร้าให้เกิดการฆาตกรรมรวมหมู่ (ไม่ว่าจะจากฝ่ายใด) กลายเป็นทฤษฎีการเคลื่อนไหวมวลชนที่เหมือนกับจะเชื่อกันว่า “ต้องเสี่ยงให้มากที่สุด จึงจะได้ชัยชนะ”

แต่คงไม่ลืมกันว่า ในการเคลื่อนไหวกดดันรัฐบาลคราวรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ปี 2551 (แม้จะไม่สามารถนับได้ว่าเป็นการฆาตกรรมรวมหมู่อย่างชัดเจน เพราะกำลังตำรวจในวันนั้นไม่ได้ใช้อาวุธสงคราม) การตายของผู้ร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อ 7 ตุลาคม 2553 ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด และเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 การตายของผู้ชุมนุมกลุ่ม นปช. (ที่เป็นผลมาจากการใช้อาวุธสงคราม ด้วยกำลังทหารอย่างชัดเจน) ก็มิได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันทีทันใด

การที่การฆาตกรรมรวมหมู่จะนำไปสู่เปลี่ยนแปลงผู้นำทางการเมืองในประเทศไทยได้หรือไม่ น่าจะต้องพิจารณาเงื่อนไขสามประการคือ

ประการแรก ผู้ตายต้องมีค่าทางการเมือง ต้องเป็นการตายที่มีศักดิ์ศรีเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจ (รวมทั้งชนชั้นกลางกระแสหลักในสังคมไทย ที่พร้อมร่วมฆ่ารวมหมู่ทั้งโดยวาทกรรมและโดยกายกรรม) การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทยที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้งจึงไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนรัฐบาลทุกกรณีไป เพราะคนที่ตายไม่ได้ถูกให้ค่าเท่ากันทุกกรณี ความตายของคนจึงมีค่าไม่เท่ากัน การฆาตกรรมรวมหมู่ในรัฐไทยแต่ละครั้งจึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่แตกต่างกัน

สำหรับชนชั้นนำและชนชั้นกลางกระแสหลัก หากคนที่ตายไปเป็นคนไร้ค่า เป็นขี้ข้า เป็นเนื้อร้าย เป็น“ญวน” เป็นผู้ทำลายระเบียบสังคม เป็นคนบ่อนทำลายชาติ เป็นคนมุ่งล้มล้างสถาบัน เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นศัตรูของชาติ เป็นผู้ก่อการร้าย การฆาตกรรมแม้จะใจกลางเมืองหลวงก็จะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใดๆ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในกรณีพลับพลาไชย กรกฎาคม 2517 หรือที่ไกลศูนย์กลางคือกรณีตากใบ จังหวัดนราธิวาสเมื่อปี 2547

ในกรณีของผู้ชุมนุม นปช. แม้ว่าคนเหล่านี้จะถูกตีตราให้ด้อยค่าด้วยวาทกรรมเหล่านั้นทั้งหมด แต่การฆาตกรรมรวมหมู่ก็ไม่ได้รับการรับรองว่าชอบธรรมโดยสิ้นเชิง ผิดกับกรณีตากใบเมื่อปี 2547 ที่การตายของคนเหล่านั้นไม่ได้มีคุณค่าเพียงพอในสายตาของชนชั้นนำและชนชั้นกลาง

ประการที่สอง หากเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ อำนาจที่จะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นการดำเนินการของอำนาจพิเศษในสภาวะยกเว้นจากการใช้กฎหมาย งดเว้นจากหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตย ผู้นำทางการเมืองที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่จะถูกอำนาจพิเศษชนิดนี้จัดการ เช่น เกิดการรัฐประหาร หรือเกิดนาฏรัฐแสดงอำนาจบารมีพิเศษบนจอโทรทัศน์

กรณี 14 ตุลา 16 และพฤษภา 35 อำนาจพิเศษทำงานด้วยการหยุดยั้งคู่กรณี แล้วถ่ายโอนอำนาจจากผู้นำทางการเมืองคนเก่าไปสู่ผู้นำทางการเมืองคนใหม่ ที่ก็ยังอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำเดิม จากนั้นจึงเริ่มกระบวนการประชาธิปไตยแบบปกติใหม่ กรณี 6 ตุลา 19 การรัฐประหารหลังเหตุการณ์ฆาตกรรมรวมหมู่ที่ธรรมศาสตร์เป็นการเปลี่ยนถ่ายอำนาจที่เป็นการงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน เพียงแต่การงดเว้นจากระบอบประชาธิปไตยนั้นต่อเนื่องยาวนานกว่าสองกรณีข้างต้น

ที่สำคัญคือ หากการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายในศูนย์กลางอำนาจ ขั้วอำนาจเก่ายังอยู่ แต่เปลี่ยนเฉพาะตัวแสดง จึงไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง โครงสร้างอำนาจทางการเมืองยังคงเป็นอย่างเดิม ดังปรากฏว่าผู้นำที่ก่ออาชญากรรมรวมหมู่ก็ไม่เคยถูกลงโทษแต่อย่างใด แถมบางคนยังได้รับการยกย่องในสังคมด้วยซ้ำ

ประการที่สาม กรณีที่เกิดการตายอย่างมีศักดิ์ศรี มีค่าทางการเมือง แต่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใด อาจเพราะเกิดความแตกแยกอย่างร้าวลึกในชนชั้นนำทางอำนาจเอง แสดงว่าในขณะนั้น สังคมการเมืองไทยไม่มีขั้วอำนาจใดสามารถยึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ ในอันที่จะใช้สภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยมาดำเนินการกับผู้ก่อการฆาตกรรมรวมหมู่ได้ อำนาจพิเศษไม่อาจทำงานได้ก็เพราะไม่มีอำนาจยกเว้นที่สูงสุด

ที่เห็นได้ชัดคือกรณี การบาดเจ็บและเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 และการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐในวันที่ 10 เมษายน 2553 ทั้งสองเหตุการณ์นั้นกระทำโดยรัฐบาลที่มาจากคนละขั้วขัดแย้งทางการเมืองภายในระยะเวลาต่างกันไม่นานนัก ความตายในทั้งสองกรณีก็ “มีค่าทางการเมือง” ในสายตาของชนชั้นนำทางอำนาจในแต่ละฝ่ายไม่น้อยไปกว่ากัน

อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 อาจนับได้ว่ามีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบอบประชาธิปไตย เพราะการตายของผู้ชุมนุมได้รับการยกย่องจากชนชั้นนำทางอำนาจว่าเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงอาจส่งผลให้เกิดการเร่งรัดให้ดำเนินการยุบพรรครัฐบาลอย่างกระทันหัน เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯยึดสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมืองในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2551

แต่สำหรับกรณีของสถานการณ์ทางเมืองในปัจจุบัน การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อวันที่ 10 เมษา 53 อาจไม่ได้มีค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจเทียบเท่ากับกรณี 7 ตุลา 51 อำนาจพิเศษ จึงไม่จำเป็นต้องสร้างสภาวะยกเว้นจากระบอบประชาธิปไตยเพื่อเข้ามาแทรกแซงด้วยวิธีพิเศษ แม้กระนั้น การตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็มิได้ด้อยค่าจนไร้อำนาจต่อรองดังกรณีพลับพลาไชยปี 17 หรือกรณีตากใบปี 47

เป็นไปได้ที่การเปลี่ยนแปลงหลังเหตุการณ์ 10 เมษา 53 จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกับกรณี 6 ตุลา 19 ซึ่งผู้ถูกฆาตกรรมรวมหมู่กลายเป็นคนไร้ค่าในสายตาชนชั้นนำทางอำนาจ แต่ยังคงมีค่าพอแก่การเปลี่ยนผู้นำทางการเมืองโดยไม่มีการเปลี่ยนขั้วอำนาจ ด้วยการรัฐประหารหรือวิธีการอื่นใดที่แยบยลยิ่งกว่า แต่การเลือกเดินทางนั้นก็อาจจะเสี่ยงเกินไปสำหรับชนชั้นนำที่กุมอำนาจในขณะนี้อยู่ เนื่องจากภายในชนชั้นนำเองอาจจะไม่ได้มีเอกภาพในการยอมรับสภาวะยกเว้นนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

หนทางที่ยังเหลืออยู่ในออกจากเส้นทางที่จะนำไปสู่การฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐอีกครั้งหนึ่งในขณะนี้มีไม่มาก

หนึ่ง หลังจากที่รัฐบาลปัดข้อเสนอเชิงประนีประนอมของผู้ชุมนุม นปช. แล้ว ผู้ชุมนุมและรัฐบาลอาจยื้อกันไปเรื่อยๆ เพื่อรอผลคดียุบพรรค แต่ในระหว่างนี้ สายเหยี่ยวของทั้งสองฝ่ายอาจเร่งเกมด้วยการเพิ่มระดับความรุนแรงของการกดดัน ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วด้วยการก่อวินาศกรรมสถานที่และชีวิตผู้คน ที่รุนแรงที่สุดคือเมื่อ 22 เมษายนที่ผ่านมา

สอง แต่หากในระหว่างรอผลการตัดสินอยู่นี้ รัฐบาลยังดื้อดึงที่จะใช้การฆาตกรรมรวมหมู่ ความตายของผู้ชุมนุม นปช. ก็อาจจะไร้ค่าเพียงพอที่ชนชั้นนำทางอำนาจจะนิ่งดูดายได้ ทั้งนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของโครงสร้างอำนาจแบบเดิมไว้ การเลือกของผู้ชุมนุมที่จะถูกฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐไทย ด้วยความหวังที่จะพลิกศาสตราของผู้มีอำนาจให้กลายเป็นศาสตราของผู้ด้อยอำนาจ แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจหลังการฆาตกรรมรวมหมู่ ก็อาจจะเป็นการคาดเดาที่ผิดพลาด

สาม เมื่อเริ่มเห็นอยู่รำไรว่าความตายของผู้ชุมนุมจะไร้ราคาแก่การต่อรอง การยุติการชุมนุมโดยสมัครใจของผู้ชุมนุมนปช.และการมอบตัวของแกนนำอาจเป็นอีกหนทางหนึ่งของชัยชนะเหนือการฆาตกรรมรวมหมู่โดยรัฐ ด้วยวิธีการอันสันติ เพื่อผลแห่งการเปลี่ยนแปลงการฆาตกรรมอย่างแท้จริงในระยะยาว


โดย.ยุกติ มุกดาวิจิตร
ที่มา.ประชาไท
****************************************************

“ยุทธศาสตร์พท.”เตรียมยื่น"ซักฟอก"

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคแถลง ภายหลังประชุมคณะยุทธศาสตร์ของพรรคว่า จากกรณีที่รัฐบาลใช้กำลังสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง แสดงว่ารัฐบาลกำลังหลงในอำนาจรัฐ ที่ประชุมจึงหารือเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวและมีมติว่า

1.ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเมืองจึงต้องแก้ด้วยการเมือง
2.ความเสียหายที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลโดยนายอภิสิทธิ์ ขาดความชอบธรรมในการบริหารราชการอย่างร้ายแรง
3.ที่ประชุมคณะทำงานยุทธศาสตร์ฯ จึงต้องยื่นญัตติไม่ไว้วางใจนายกฯและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล
4.จะนำข้อเสนอของคณะยุทธศาสตร์ เข้าสู่การหารือเพื่อขอมติอีกครั้งในการประชุม ส.ส.ของพรรคในวันที่ 27 เม.ย.นี้

“เรื่องนี้ถือเป็นมติของที่ประชุมยุทธศาสตร์ ไม่ได้หารือกับกลุ่มคนเสื้อแดง ฉะนั้นการยื่นญัตติของพรรคยังอยู่ในกรอบเวลา 1 เดือนที่กลุ่มคนเสื้อแดงเสนอให้ยุบสภา จึงไม่ได้เป็นข้อเสนอที่ขัดแย้งกัน”

ส่วนการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จะขัดแย้งกับข้อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาของกลุ่มคนเสื้อแดงหรือไม่นั้น พรรคไม่ได้หารือกับคนเสื้อแดงแต่คนเสื้อแดงเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาภายใน 1 เดือน ทั้งนี้ หากพรรคยื่นญัตติไม่ไว้วางใจจะใช้เวลาในการรอการบรรจุญัตติภายใน 15 วันเท่านั้น ซึ่งอยู่ในกรอบระยะเวลายุบสภาภายใน 1 เดือน ตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้ขัดอะไรกับข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง สำหรับประเด็นที่พรรคจะเน้นในการอภิปรายครั้งนี้ มีด้วยกัน 6 ข้อ คือ 1.การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีความชอบธรรมหรือไม่ 2.การนำอาวุธเข้ามาปราบปรามประชาชน3.การปิดและคุกคามสื่อสารมวลชน 4.การคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชน 5.การยุยงให้ประชาชนมีความเกลียดชังคนเสื้อแดง และ 6.การกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ทั้งนี้เรื่องการยื่นอภิปรายนั้นตนได้พูดคุยกับ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามขอร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) อย่าทำร้ายประชาชนอีกเลย ควรเอาใจเขามาใส่ใจเราเพราะไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียอีก

ขึ้นบัญชี3รมต.-นายกฯเบอร์1

นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร กล่าวว่า หากพรรคมีมติให้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนั้น พท.ก็ยังคงจะยึดรัฐมนตรีรายบุคคล 3 คนก่อนหน้านี้คือ 1.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี 2.นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ 3.นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย บุคคลอื่นอาจหมายรวมถึงรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง นั้นขึ้นอยู่กับการเสนอของที่ประชุม ส.ส.ของพรรค

"เรื่องระยะเวลาไม่มีปัญหา เพราะการยื่นญัตติครั้งที่ผ่านมา นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาได้บรรจุญัตติเข้าสู่การพิจารณาอย่างรวดเร็ว และอย่างช้าที่สุดคือ ไม่เกิน 15 วันนับจากวันญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถอภิปรายได้ทันก่อนปิดสมัยประชุมอย่างแน่นอน และหากที่ประชุมมีมติในวันที่ 27 เมษายน พรรคเพื่อไทย ได้พร้อมที่จะยื่นญัตติทันทีในวันที่ 28 เมษายน" นายพีรพันธุ์กล่าว

ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************

‘พท.’ชงที่ประชุม ส.ส.ตัดสินชี้ขาด

นายวิทยา บุรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะประธานคณะกรรม การประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า ข้อเสนอที่ทางคณะกรรมการยุทธศาสตร์แจ้ง จะต้องนำไปหารือในพรรคต่อไป เนื่องจากขณะนี้มีประเด็นเรื่องความผิดร้ายแรงที่รัฐบาลได้กระทำ และขณะนี้เป็นช่วงสุดท้ายก่อนจะปิดสมัยประชุมสามัญทั่วไปในวันที่ 20 พ.ค.นี้

ดังนั้นการตัดสินใจจะยื่นญัตติหรือไม่นั้นจึงไม่เกี่ยวกับกระบวนการความคิดเห็นอย่างเดียว เพราะสถานะของรัฐบาลอาจยุติลง ไม่ว่าจะด้วยข้อเรียกร้องของกลุ่ม นปช.ก็ดี ทุกอย่างมีห้วงเวลา เพราะดูได้จากการทำงานของรัฐบาล ขณะนี้คนที่ทำงานเห็นว่ามีแค่นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เท่านั้น

ชี้ไม่ยุบต้องใช้ยุทธศาสตร์พรรค

นายวิทยา กล่าวว่า พรรคการเมืองถือเป็นสถาบัน เป็นศูนย์รวมของ ส.ส. ซึ่งกรรมการยุทธศาสตร์จึงมีแนวคิดที่จะดำเนินการเรื่องนี้อีกครั้ง แต่พรรคต้องหารืออย่างรอบคอบ ประกอบกับก็เห็นกันอยู่ว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ตัดสินใจใดๆ เลย จึงฉุกคิดได้ว่าพรรคการเมือง ควรจะดำเนินการหาทางอย่างใดอย่างหนึ่ง เปิดข้อมูลให้สังคมรับรู้ เพราะปัจจุบันมีการปิดกั้นสื่อสารมวลชนจำนวนมาก อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลก็จะได้สำนึก

เมื่อถามว่าการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะดำเนินการยื่นถอดถอนด้วยไม่ นายวิทยา กล่าวว่า ก็คงจะเป็นอย่างนั้นแต่ต้องหารือในที่ประชุม ส.ส.อีกครั้ง เมื่อถามว่าจะต้องอธิบายและทำความเข้าใจกับกลุ่ม นปช.หรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า คิดว่าทุกคนต้องเคารพกติกาอยู่แล้ว ก็อาจมีสัญญาณที่เขาคงรับทราบกันได้ ในส่วนของพรรคก็คงพูดคุยสัญญาณที่คณะทำงานพูดคุยกัน

ให้ ส.ส.ร่วมกันรับผิดชอบ

นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล ส.ส.แพร่ ในฐานะวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ในการเสนอยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนั้น ยังไม่ใช่บทสรุป แต่จะถาม ส.ส.ถึงข้อเสนอเรื่องนี้หาก ส.ส.เห็นด้วยก็จะยื่นแต่ถ้า ส.ส.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ประเด็นการยื่นญัตติก็จะตกไปและจะไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก ดังนั้น ส.ส.ควรจะเข้ามารับรู้และร่วมกันรับผิดชอบ

ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
****************************************************

‘ส.ส.พท.’ประณามนายกฯ

นายประเกียรติ นาสิมมา ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คำพูดของนายกฯถือเป็นการทำลายประเทศ และเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง ส่วนที่เรียกประชุมผู้ว่าฯทั่วประเทศให้เฝ้าระวังผู้ก่อการร้ายแฝงตัวไปตามจังหวัดต่างๆนั้น แสดงให้เห็นว่ามีผู้ก่อการร้ายเต็มไปทั่วประเทศ รวมทั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งก่อนหน้านายอภิสิทธิ์ เคยระบุว่าจะแก้ปัญหาให้แล้วเสร็จภายใน 99 วัน แต่วันนี้ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จึงถามว่าคนไทยที่ต้องอยู่ในประเทศนี้จะอยู่กันอย่างไร ในเมื่อมีผู้ก่อการร้ายเต็มไปหมด

ตนขอประณามคำพูดของนายกฯที่ไม่ยั้งคิด สร้างความเสียหายโดยตรงต่อสถานการณ์การเมือง และเศรษฐกิจประเทศ จึงควรที่จะหยุดได้แล้ว แต่ถ้านายฯยังพูดต่อ ก็ขอให้ประชาชนทั้งประเทศออกมาต่อต้าน

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอชี้แจงกรณีนายอภิสิทธิ์ พาดพิงไปถึง พล.อ.ชวลิต ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการก่อการร้าย ทั้งที่ท่านยืนยันผ่านแถลงการณ์ว่าเป็นหัวหน้าขบวนการประชาธิปไตย มองว่านายกฯ ขาดวุฒิภาวะอย่างมาก และเป็นประเด็นหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นอกจากการใช้อำนาจเกินเลย ล้มเหลว จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ


ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
*************************************************

มาร์ค และเสื้อแดง ต้องอ่าน!!! ใครทำประเทศไทยตาย? เปิดข้อเสนอใหม่ทางออกจากวิกฤตชาติ

กูรู วิพากษ์วิกฤตการเมืองไทย อย่างตรงไปตรงมา ตอกหน้าทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายเสื้อแดง รวมถึงพวก Smarties ใครกันทำให้ประเทศไทยตาย !!! แต่ไม่ใช่แค่วิพากษ์ นักกฎหมายมหาชนผู้นี้ ยังได้นำเสนอทางออกที่เป็นรูปธรรม และเปลี่ยนแปลงได้ทันที ถ้าผู้เกี่ยวข้อง กล้าหาญและเสียสละเพียงพอ

ก่อน ศ.ดร. นันทวัฒน์ บรมานันท์ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ จะเดินทางไปสอนหนังสือที่มหาวิทยาลัย Bretagne Occidentale ประเทศฝรั่งเศส

เขาได้แสดงทัศนะทางวิชาการ ที่ทั้ง ผู้นำ และ เสื้อแดง และพวกหลากสี ควรอ่าน !!!

" มีผู้" นำเสนอทัศนะของนักกฎหมายที่ไม่เลือกข้าง และเลือกสี เพื่อหาทางออกให้กับประเทศชาติ ดังนี้

@ ความสุขวันสงกรานต์ที่หายไป

ช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ไม่แตกต่างอะไรไปจากเทศกาลสงกรานต์ปีที่ผ่านมา เพราะมีเหตุการณ์ทางการเมืองที่ “รุนแรง” สร้างความทุกข์ให้กับประชาชนส่วนหนึ่ง จนทำให้ผู้คนจำนวนมาก “ลืม” ที่จะออกไปหาความสุขใส่ตัวกันครับ
จริง ๆ แล้ว ความสุขในเทศกาลสงกรานต์เป็น “ลักษณะเด่น” ของสังคมไทยและประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ที่พอ “ร้อนนัก” ก็ “รดน้ำ” หรือ “สาดน้ำ” ดับร้อนกัน แต่ในวันนี้ รดน้ำหรือสาดน้ำยังไงก็ไม่หายร้อนไปได้แล้ว เพราะสำหรับคนส่วนหนึ่งแล้ว “ยุบสภา” น่าจะคลายร้อนได้ดีที่สุด ใช่ไหมครับ!!!

1 เดือนก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ การชุมนุมของคนเสื้อแดงได้เริ่มขึ้นโดยมีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรียุบสภา แต่นอกจากนายกรัฐมนตรีจะไม่ยุบสภาแล้ว ในวันที่ 12 มีนาคม ก็ยังประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยความมั่นคงในเขตกรุงเทพมหานครและอีก 6 จังหวัดปริมณฑล “ดักหน้า” การชุมนุมของคนเสื้อแดง และต่อมา เมื่อวันที่ 7 เมษายน รัฐบาลก็ได้ประกาศ “สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรง” ตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินก่อนที่จะมีเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นหลายวันครับ

9 เมษายน หลังจากที่การชุมนุมของคนเสื้อแดงทวีความเข้มข้นขึ้น นายกรัฐมนตรีออกโทรทัศน์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด น้ำเสียงดุดันแสดงความไม่พอใจกับผลที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการที่คนเสื้อแดงเข้าไปบุกยึดสถานีดาวเทียมไทยคมคืนจากทหารและเชื่อมต่อสถานีโทรทัศน์พีทีวีที่รัฐบาลได้ตัดสัญญาณการออกอากาศไป โดยนายกรัฐมนตรีได้แจ้งให้ทราบว่าจะดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเด็ดขาด วันรุ่งขึ้นจึงเกิดการสลายการชุมนุมภายใต้ถ้อยคำที่สวยงามว่า ขอพื้นที่คืน ครับ

@ ไม่แตกต่างจากประเทศตะวันออกกลางที่กำลังมีสงคราม

จากที่ผมได้ฟังและได้อ่านพบ การสลายการชุมนุมเริ่มต้นในช่วงตอนบ่ายแก่ ๆ ของวันที่ 10 เมษายน โดยฝ่ายรัฐใช้รถน้ำฉีดใส่ผู้ชุมนุม ใช้กระสุนยางระดมยิง ใช้ระเบิดแก๊สน้ำตา ระเบิดพริกไทย ใช้กระบองตี ใช้เฮลิคอปเตอร์บรรทุกระเบิดแก๊สน้ำตาทิ้งลงมาใส่ผู้ชุมนุมที่มีทั้งชายฉกรรจ์ คนแก่ เด็กและผู้หญิง นอกจากนี้ก็ยังเห็นจากในข่าว ปรากฏภาพของทหารถือปืนกระบอกโต เห็นรถสายพานลำเลียงพลหุ้มเกราะ ส่วนบนท้องถนนทั่ว ๆ ไปตามสถานที่สำคัญ ๆ ก็มีรถสีเขียวหน้าตาแปลก ๆ จอดอยู่ บางจุดก็มีทหารถือปืนยืนเรียงราย ดู ๆ แล้วไม่แตกต่างไปจากประเทศแถบตะวันออกกลางที่กำลังมีสงครามภายในประเทศครับ

ในสายตาของประชาชนคนหนึ่ง ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสลายการชุมนุมที่มีความรุนแรงจนเป็นเหตุให้มีคนตายจำนวนหนึ่งและมีคนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนมาก และนอกจากนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวก็ยังเกิดการ “ปิดกั้นข่าวสาร” จากภาครัฐอย่างเต็มที่และทุก ๆ ด้าน ทำให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลจากสื่อของรัฐแต่เพียงด้านเดียว เพราะฉะนั้น ความเป็นจริงและสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเป็นอย่างไรจึงไม่มีใครทราบได้แน่ชัดครับ

@ รัฐบาลมองเห็นผู้ชุมนุมเป็น “ศัตรู”

ในวันนี้ เหตุการณ์หนักขึ้นทุกวัน จากการชุมนุมธรรมดาได้กลายมาเป็นการชุมนุมที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนจำนวนมากและสร้างความเสียหายให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมากด้วย เราจะทำอย่างไรกันดีครับ!!!

ความรู้สึกส่วนตัวที่ผมมีนั้น รัฐบาลมองเห็นผู้ชุมนุมเป็น “ศัตรู” มาตั้งแต่แรก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เราได้ข่าวในด้านที่ไม่ดีของคนเสื้อแดงมาตลอด ทำอะไรก็ถูกกล่าวหาว่าทำเพื่อทักษิณฯ ชาวบ้านมาร่วมชุมนุมก็มีข่าวออกมาว่าถูกจ้างมา จะชุมนุมเมื่อใดก็มีการออกข่าวก่อนล่วงหน้าว่าจะต้องเกิดเรื่องร้ายแรง รัฐบาลและสื่อของรัฐวาดภาพทักษิณฯ และคนเสื้อแดงไว้อย่างน่ากลัว และเป็นภาพที่มีลักษณะเชิงลบมาตลอด จนทำให้ประชาชนส่วนหนึ่ง “เกลียด” ทักษิณฯ และคนเสื้อแดงไปตาม ๆ กัน

เช่นเดียวกับที่เมื่อเกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา เราก็ได้ข้อมูลจากทั้งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีและทหารที่เกี่ยวข้องว่า “มีบุคคลจำนวนหนึ่งถือได้ว่าเป็นผู้ก่อการร้าย อาศัยการที่ประชาชนชุมนุมเรียกร้องใช้เป็นเครื่องมือก่อความไม่สงบ หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”

@ ไม่เคยมีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่

ข่าวลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นมาตลอดก่อนที่จะมีการรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 และหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบ ข่าวลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นแล้วก็เงียบไป ไม่เคยมีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้นว่า เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ โดยใคร มีกระบวนการหรือวิธีการดำเนินการอย่างไร เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรเลยที่ภายหลังจากการที่รัฐส่งกำลังทหารตำรวจเข้าสลายการชุมนุมจนทำให้มีทั้งคนเจ็บและคนตาย ข่าวลักษณะดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาอีก

ผมก็ไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริงอย่างไร แต่เท่าที่เห็นปรากฏอยู่ในวันนี้ก็คือ คนเจ็บและคนตายไม่ได้เกิดจากการกระทำของรัฐ แต่มาจากฝีมือของผู้ก่อการร้ายครับ!!!

แล้วก็เป็นที่น่าแปลกใจเป็นอย่างมากด้วยว่ามีคนจำนวนหนึ่งต่างก็ “ปักใจเชื่อ” ข้อมูลดังกล่าวว่าเป็นความจริงทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ใด ๆ ทั้งสิ้น ความเชื่อดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เห็นใจทหารตำรวจที่บาดเจ็บและตาย ในขณะที่ประชาชนผู้บาดเจ็บและตายกลับไม่ได้รับการเหลียวแลเท่าที่ควร และก็ไม่ได้รับแม้กระทั่ง “คำขอโทษ” จากรัฐบาลที่เป็นผู้เข้าไปสลายการชุมนุม จนเป็นที่มาของความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาครับ

@ ทำไมต้องสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายน ?

มีคำถามหนึ่งที่คงต้องมีคำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ทำไมรัฐจึงต้องสลายการชุมนุมในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมาครับ?
เอาในเรื่องของสถานที่ก่อน ข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในขณะนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงปักหลักชุมนุมอยู่ 2 ที่ คือ ที่ผ่านฟ้าและราชประสงค์ ผ่านฟ้าเป็นเส้นทางสัญจรไปมาตามปกติ ในขณะที่ราชประสงค์ก็เป็นเส้นทางสัญจรไปมาตามปกติเช่นกัน แต่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจเพราะมีทั้งศูนย์การค้าและโรงแรมจำนวนหลายแห่ง ถือเป็น “เส้นเลือด” ที่สำคัญเส้นหนึ่งของกรุงเทพมหานครก็ว่าได้ครับ ส่วนวันที่มีการสลายการชุมนุมก็ใกล้กับวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์และมีบางกิจการก็เป็นวันหยุดยาวไปแล้วด้วย

ความคิดของผม หากจะต้องมีการขอพื้นที่คืนในวันดังกล่าว การขอพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์คืนดูจะมีเหตุผลและมีน้ำหนักมากกว่า เพราะในช่วงวันหยุดยาว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศที่เข้ามาร่วมฉลองวันสงกรานต์จะได้สามารถเข้าไปใช้บริการจับจ่ายในศูนย์การค้าและโรงแรมในบริเวณดังกล่าวได้ ซึ่งก็จะเป็นการกระตุ้นสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศได้ดียิ่ง ในขณะที่บริเวณแยกผ่านฟ้าคงไม่มีอะไรทั้งนั้นในช่วงวันหยุดยาวเพราะบริเวณดังกล่าวเป็นที่ตั้งของส่วนราชการเสียเป็นส่วนใหญ่ครับ

@การควบคุมฝูงชน เขาทำกันตอนเช้าหรือตอนกลางวัน (ครับ)

ต่อมาก็เป็นเรื่องเวลาที่ใช้ในการสลายการชุมนุม มีคำถามตามมามากมายว่าทำไมต้องทำตอน 4 โมงเย็น เท่าที่ผมได้ยินมา การสลายการชุมนุมหรือที่เรียกกันว่า การควบคุมฝูงชนนั้น เขาทำกันตอนเช้าหรือตอนกลางวัน มีแสงสว่างที่ชัดเจน มองเห็นความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของมวลชน และนอกจากนี้ก็ต้องเคลียร์พื้นที่โดยรอบก่อนเพื่อให้เกิดความสะดวกในการดำเนินการและไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่ที่เกิดขึ้น เล่นทำกันตอน 4 โมงเย็นลากยาวไปจนพระอาทิตย์ตกดิน ไม่รู้ว่าใครเป็นใครจึงทำให้เกิดความสูญเสียตามมาเช่นที่เกิดขึ้นครับ

ส่วนเรื่องจำนวนคนก็เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ ลองคิดดูว่าการควบคุมฝูงชนจำนวนมากแล้วไม่ให้เกิดความสูญเสียใด ๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ก่อน แค่ทหารยิงแก๊สน้ำตาเข้าใส่แล้วคนวิ่งหนีอย่างสับสนอลหม่าน โอกาสที่จะเหยียบกันตายก็มีอยู่มากแล้วครับ

ดังนั้น การสลายการชุมนุมจึงไม่ควรทำในที่ ๆ มีประชาชนจำนวนมากเช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นที่ผ่านฟ้าเพราะยากแก่การควบคุมครับ
ทั้ง 3 กรณี คือ สถานที่ เวลา และจำนวนคน จึงทำให้ผมมองว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินการ “ขอคืนพื้นที่” เมื่อวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา แต่เมื่อรัฐบาลทำไปแล้ว คำถามประการต่อมาที่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนที่สุดเช่นกันก็คือ ใครจะรับผิดชอบครับ?

@รัฐไทยใหม่-เปลี่ยนแปลงประเทศ ต่อให้คนเสื้อแดงอีกเป็นแสนก็ทำไม่ได้เช่นกันครับ !!!

ผมคิดว่า ไม่ใช่เรื่องที่รัฐจะ “โยนความผิด” ให้กับผู้ชุมนุมหรือผู้ก่อการร้ายที่เป็นใครก็ไม่รู้ พิสูจน์ก็ไม่ได้เหมือนกับข้อกล่าวหาส่วนใหญ่ที่ผ่านมาทั้งหมดเกี่ยวกับทั้งเสื้อแดงและทักษิณฯ ที่มีขึ้นโดยไม่เคยมีการพิสูจน์ว่าจริง เป็นข้อกล่าวหาที่มีขึ้นเพียงเพื่อสร้างความเกลียดชังให้กับฝ่ายตรงข้ามเท่านั้นเองครับ!!!

ส่วนข้ออ้างที่ว่า “เปลี่ยนแปลงประเทศ” นั้นยิ่งแล้วใหญ่ อยากจะถามผู้พูดนักว่า “เปลี่ยนแปลงประเทศ” ที่ว่านี้คืออะไร เห็นอ้างกันบ่อย พูดกันบ่อยเหลือเกิน

ล่าสุดก็เมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ว่าคนเสื้อแดงมีเป้าหมายเพื่อสถาปนารัฐไทยใหม่ ผมว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องมีคำตอบที่ชัดเจนในเรื่องดังกล่าว หากมีข้อมูลหรือพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องก็นำออกมาแสดงกันเสียเลย จะได้รู้ ๆ กันไปเสียทีว่า จะเปลี่ยนแปลงกันอย่างไรและโดยใคร ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศหรือการสถาปนารัฐไทยใหม่ไม่ใช่สิ่งที่ทำกันได้ง่าย ๆ

เพียงมีผู้ก่อการร้ายอยู่แถวผ่านฟ้าไม่กี่คนคงเปลี่ยนแปลงประเทศไม่ได้หรอกครับ ต่อให้คนเสื้อแดงอีกเป็นแสนก็ทำไม่ได้เช่นกันครับ

@ ประชาชนผู้เสียภาษีอากรต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ...คุณต้องรับผิดชอบ

ย้อนกลับมาดูจุดเริ่มของเรื่องดังกล่าวตั้งแต่ต้นประกอบเพื่อหาตัวผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น การที่รัฐประกาศใช้กฎหมายพิเศษ 2 ฉบับ ในช่วงเวลา 1 เดือน ก็เพราะรัฐ “มอง” หรือ “เข้าใจ” ว่าจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ดังนั้น การตัดสินใจใด ๆ ก็คงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเช่นกัน ยิ่งมีการให้ข้อมูลคนเสื้อแดงแก่ประชาชนมาตลอดว่า “ร้าย” มาก ๆ ด้วยแล้ว การสลายการชุมนุมจึงต้องทำอย่างเป็นระบบโดยต้องให้ความสำคัญกับสถานที่ เวลา และจำนวนคน เมื่อข่าวที่รัฐให้กับประชาชนเป็นไปในทางร้ายแรง และต่อมาก็เกิดการสลายการชุมนุมขึ้น นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลจึงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดครับ!

ความรับผิดชอบคงมีอยู่สองส่วนด้วยกัน ในส่วนแรก ก็อย่างที่ทราบกันอยู่ว่า เราเสียภาษีอากรให้พวกคุณเข้ามาบริหารประเทศ มาดูแลทุกข์สุขของเรา มาดูแลความปลอดภัยของเรา มาดูแลความสงบเรียบร้อยของสังคม มาดูแลการประกอบอาชีพของเรา มาดูแลชีวิต มาดูแลทรัพย์สิน และอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณทำหน้าที่ของคุณไม่ได้ คุณต้องรับผิดชอบ จะปฏิเสธไม่ได้เพราะคุณอาสาเข้ามาทำหน้าที่ดังกล่าวเองโดยที่เราไม่ได้บังคับขืนใจคุณ

กับส่วนที่สอง คุณเป็นผู้สั่งสลายการชุมนุม ผู้ใต้บังคับบัญชาของคุณเข้าไปใช้อาวุธและกำลังสลายการชุมนุม ทำให้ประชาชนผู้เสียภาษีอากรต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ ยังไง ๆ คุณก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี ไม่ว่าฝ่ายเสื้อแดงจะเป็นฝ่ายเริ่มต้น หรือจะเป็นผู้ก่อการร้ายที่เป็นผู้ทำ คุณก็ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพราะคุณเป็นผู้สั่งให้สลายการชุมนุมซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสูญเสีย ผมพูดถูกไหมครับ!!!

@ ต่างประเทศใคร อยากมาเที่ยวในเมืองที่มีผู้ก่อการร้ายเดินเพ่นพ่าน

เพราะฉะนั้น ความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐบาล ส่วนจะรับผิดชอบอย่างไรและมากน้อยแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่จะต้องพิจารณากันต่อไป ซึ่งผมเองก็ได้นำเสนอไว้ส่วนหนึ่งแล้วในตอนท้ายของบทบรรณาธิการนี้ นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบอีกสิ่งหนึ่งก็คือ การอ้างผู้ก่อการร้าย ผมมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สร้างความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เรื่องที่เราจะมากล่าวอ้างกันลอย ๆ ได้ว่ามีผู้ก่อการร้ายเดินลอยชายอยู่ในเมืองหลวงและใช้อาวุธสงครามเข่นฆ่าประชาชนและทหาร

ถามจริง ๆ เถอะครับว่า มีคนต่างประเทศคนใดอยากจะมาเดินเที่ยวในเมืองที่มีผู้ก่อการร้ายเดินเพ่นพ่านอยู่แบบนี้ เพราะฉะนั้น รัฐบาลต้องเข้ามารับผิดชอบในคำพูดของตัวเองด้วย ต้องจับให้ได้ ลงโทษ และออกข่าวใหม่ว่า เราจับผู้ก่อการร้ายได้หมดแล้ว ประเทศไทยเราไม่มีผู้ก่อการร้ายแล้ว นักท่องเที่ยวเชิญมาเดินเล่นกันให้สบายใจโดยไม่ต้องกลัวอะไรเลย!

@จาก สีขาว สีชมพู และหลากสี ( Smarties )

แต่ผมก็ไม่เชื่อหรอกนะครับว่า นักท่องเที่ยวจะยังสมัครใจมาบ้านเราอีกหรือเปล่า เพราะภายหลังการรัฐประหารในปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราเหมือน “คนป่วย” ที่นับวันก็ป่วยหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งในวันนี้ ผมไม่แน่ใจแล้วว่า “ประเทศไทยตายแล้ว” หรือยัง ครับ!

“ประเทศไทยตายแล้ว” คงไม่ใช่ถ้อยคำที่รุนแรงเกินไปหาก “คนไทย” เช่นเรามองดูสถานการณ์รอบด้านประกอบ ภายหลังการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 สังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน แม้ต่อมาในบางช่วงเวลา เราจะมี “สีอื่น” เข้ามาสร้างความ “หวือหวา” ให้กับสังคมไม่ว่าจะเป็น สีขาว สีชมพู หรือล่าสุด พวกหลากสี ...น่าจะเรียกพวก Smarties มากกว่า!!!

แต่ถ้าหากเรามาดู “เจตนา” ของทุกสีประกอบ สังคมของเราคงประกอบด้วยกลุ่มคน 2 ฝ่ายคือ ฝ่ายเสื้อแดงและฝ่ายไม่เอาเสื้อแดง เพราะฉะนั้นในวันนี้ หากฝ่ายหนึ่งเสนอสิ่งใดขึ้นมา อีกฝ่ายหนึ่งก็จะไม่ยอมรับในทันทีโดยไม่ดูเนื้อหาสาระหรือองค์ประกอบอื่นใดทั้งสิ้นครับ!

ข้อขัดแย้งจึงเกิดขึ้นได้ทุกเรื่อง สังคมไทยแต่เดิมที่เคยเป็นมา การให้อภัย การอะลุ่มอล่วย การหันหน้าเข้าหากันค่อย ๆ หายไปจากคนไทยในช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ในวันนี้เราจึงได้เห็นภาพที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นในประเทศไทย ภาพของการประจันหน้าท้าทาย ไม่ยอมรับซึ่งกันและกัน และพร้อมที่จะทำลายและพิฆาตเข่นฆ่าให้สิ้นซาก การที่แต่ละฝ่ายต่างมีจุดยืนดังกล่าว ทำให้ความสงบสุขในสังคมหายไปจนเกือบหมด

และยิ่งกฎหมายไม่สามารถใช้บังคับได้มาตั้งแต่ครั้งที่ “เสื้อเหลือง” ปิดถนนราชดำเนิน ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ไม่ปฏิบัติตามหมายศาล ซึ่ง “เสื้อแดง” ก็ “เลียนแบบ” ทุกอย่างโดยอ้างเรื่องสองมาตรฐานว่า เขาทำได้เราก็ต้องทำได้ด้วย!!!

สภาพสังคมที่เป็นอยู่ในวันนี้จึงเป็นสังคมที่ล่มสลาย รัฐไม่มี “อำนาจ” ที่จะบังคับใช้กฎหมายได้ กลุ่มผู้ชุมนุมกลายเป็นกลุ่มที่มีอำนาจในสังคม สามารถปิดถนนก็ได้ กีดขวางการจราจรก็ได้ ใช้อำนาจของตำรวจก็ได้ ทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมายได้อย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายสัปดาห์โดยไม่มีใคร “กล้า” ทำอะไร ประเทศไทย “แบบเดิม ๆ” ที่เคยสงบสุข เป็นเมืองพุทธ เป็นสยามเมืองยิ้ม จึง “ตายแล้ว” ในความเห็นของผมครับ!!

@ เรา “ผ่าน” จุดของการเจรจาไปแล้ว

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มีผู้พยายามนำเสนอ “ทางออก” สำหรับการแก้ปัญหาของประเทศไทยกันมาก ซึ่งผมก็ไม่คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ ข้อเสนอดังกล่าวได้แก่ การเจรจาอย่างสันติ ข้อเสนอนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ในวันนี้เพราะผมเข้าใจว่าเรา “ผ่าน” จุดของการเจรจาไปแล้ว เนื่องจากเกิดการต่อสู้และใช้กำลังเกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น การเจรจาอย่างสันติจึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมได้ ตราบใดก็ตามที่ทั้ง 2 ฝ่ายยัง “คุมเชิง” กันในลักษณะนี้ และตราบใดก็ตามที่รัฐบาลยังไม่สามารถแก้ปัญหา “มือที่ 3” ซึ่งมีอยู่จริงหรือไม่ก็ไม่ทราบได้ เจรจาไปก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ

ส่วนการแก้ปัญหาด้วยการเมืองคือการยุบสภานั้น ผมมองว่ามีอยู่ 2 ขั้นตอนคือ การยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญกับการยุบสภาหลังแก้รัฐธรรมนูญ การยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นยุบสภาภายใน 1 วัน 15 วัน 3 เดือน หรือ 9 เดือน ก็ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เป็นอยู่เพราะตราบใดก็ตามที่เรายังแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ยุบสภาแล้วเลือกตั้งเข้ามาใหม่ภายใต้กติกาเดิม ปัญหาเดิมก็จะกลับมา

ข้อกล่าวอ้างเดิม ๆ เช่น เรื่องซื้อเสียงหรือการยุบพรรคการเมือง ก็ยังคงต้องมีอยู่ต่อไป และที่แย่ไปกว่านั้น หลังยุบสภา รัฐบาลชุดปัจจุบันยังต้องรักษาการอยู่ หากมีแนวโน้มว่า “เสื้อแดงมาแน่” รัฐบาลก็คงบริหารประเทศไทยช่วงเวลานั้นลำบาก สุญญากาศ เกียร์ว่าง คงเกิดขึ้นในระบบราชการปกติที่ “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” ครับ!!!

เราคงไม่ได้อะไรจากการยุบสภาโดยไม่แก้รัฐธรรมนูญเป็นแน่ครับ แต่ถ้าหากยุบสภาหลังแก้รัฐธรรมนูญ ดู ๆ แล้วก็ “อาจจะ” แก้ปัญหาของประเทศไทยได้ แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นคงต้องมาดู “ข้อเท็จจริง” กันก่อนว่า ใครจะแก้รัฐธรรมนูญและแก้เรื่องอะไร แค่โจทย์ 2 ข้อนี้ก็ทะเลาะกันไม่เลิกแล้ว เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่ฝ่ายการเมืองจะเข้ามาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมองข้ามสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตนไป เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงตัว การแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นไปไม่ได้ ถึงเป็นไปได้ก็ไม่เกิดผลดีและไม่สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศได้

@ นายกรัฐมนตรีลาออก น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด !!!

ผมอยากจะถามผู้ที่ “ยุ” ให้แก้รัฐธรรมนูญก่อนแล้วจึงค่อยยุบสภาว่า ได้มีการศึกษาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบแล้วหรือยังว่า ถ้าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาของประเทศจะต้องแก้รัฐธรรมนูญในเรื่องใดบ้างครับ!!!

ถ้ายังไม่มีข้อมูลทั้งหมดแล้วต้องมานั่ง “คลำ” หาทางออกกันใหม่ ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรซึ่งก็คงไม่ทันกับเหตุการณ์ที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน

ในส่วนตัวผม ทางออกที่จะทำให้วิกฤติครั้งนี้ยุติลงก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็เป็นทางออก “เฉพาะกิจ” ที่ไม่สามารถนำมาเป็นบรรทัดฐานได้

ทางออกประการแรกที่ผมมองก็คือ นายกรัฐมนตรีลาออก ซึ่งก็น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เหตุผลที่นายกรัฐมนตรีควรลาออกเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ ก็เพื่อแสดงความรับผิดชอบในสองส่วนสำคัญ ส่วนแรกในฐานะที่รับอาสาเข้ามาทำงานบริหาร มีหน้าที่ต้องดูแลทุกข์สุขของประชาชน รักษาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม แต่ไม่สามารถทำได้

ส่วนที่สอง ในฐานะของผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่ไม่สามารถดูแลให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดได้ และเมื่อมีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ของรัฐสลายการชุมนุมจนเป็นเหตุให้มีคนบาดเจ็บและตาย ผู้บังคับบัญชาย่อมต้องแสดงความรับผิดชอบครับ

สองเหตุผลนี้เองที่ผมคิดว่านายกรัฐมนตรีควรลาออก แต่ถ้าหากจะประเมินดูแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีจะขอลาออกด้วยตัวเองคงเป็นเรื่องยากด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะฉะนั้นผมจึงมองว่าพรรคร่วมรัฐบาลน่าจะถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลมากกว่า ซึ่งก็จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดและไม่ทำให้นายกรัฐมนตรี “เสียหน้า” ด้วยครับ!!!

นับตั้งแต่เกิดความไม่สงบ พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็ออกมามีปากมีเสียงบ้าง แต่ก็ไม่ไปไกลถึงขนาดจะถอนตัวออกจากรัฐบาล แต่ผมสังเกตว่ามีพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่งที่ “เงียบ” ผิดปกติ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองควรจะต้อง “มีปากมีเสียง” มากกว่านี้ พรรคการเมืองดังกล่าวคือพรรคภูมิใจไทยครับ

คงไม่ต้องพูดถึงประวัติและความเป็นมาของพรรคภูมิใจไทยว่า เป็นพรรคการเมืองแบบไหน ของใคร ตั้งขึ้นมาเพื่ออะไร แต่ทุกคนคงทราบว่า ในวันนั้นถ้าพรรคภูมิใจไทยไม่ตกลงเข้าร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ ในวันนี้ก็ไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลได้ ภาพคุณเนวินฯ สวมกอดคุณอภิสิทธิ์ฯ ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของผู้คนจำนวนมาก...คงจำกันได้นะครับ

@ ภูมิใจไทยถอนตัว... รัฐบาลก็คงอยู่ไม่ได้

แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจมากว่า ทำไมในวันนี้ยามที่ประเทศของเราประสบปัญหา พรรคภูมิใจไทยจึงยังเงียบอยู่และเงียบเหลือเกินด้วย หรือมัวแต่ทำงานหนักเพื่อประเทศชาติและประชาชนอยู่จนลืมมองความวิบัติของประเทศที่กำลังก้าวเข้ามาใกล้เข้าไปทุกขณะ ในวันนี้ หากพรรคภูมิใจไทยถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาล รัฐบาลก็คงอยู่ไม่ได้ เหตุการณ์ทางการเมืองก็ “น่าจะ” คลี่คลายลงไปได้ระดับหนึ่ง

จากนั้นก็ค่อยหานักการเมืองที่นิ่ง ๆ ใจเย็น ๆ พอมีบารมีอยู่บ้างสักคนขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและหาทางแก้ปัญหาของประเทศร่วมกันจะแก้รัฐธรรมนูญหรือจะทำอะไรก็ว่ากันไป น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่พอมองเห็นครับ ก็ขอฝากไปยังพรรคภูมิใจไทยให้ลองพิจารณาดูด้วยว่าจะเป็นไปได้ไหมและถ้าทำแล้วจะแก้ปัญหาของประเทศชาติได้หรือไม่ครับ

หากไม่ใช่ทางออกทางการเมืองที่ผมเสนอไปแล้ว เรายังมีทางออกอีกทางหนึ่ง เป็นทางออกที่คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างคุ้นเคย บางคนก็ยอมรับ บางคนก็ไม่ยอมรับ เป็นทางออกที่อาจแก้ปัญหาได้อย่างเฉียบพลันและเด็ดขาด แต่ก็อย่างว่านะครับ คงต้องคิดหนักว่าใครจะเป็นผู้หยิบยื่นทางออกดังกล่าวให้กับเรา และผลกระทบที่ตามมาจะมีมากน้อยแค่ไหน ข้อสำคัญที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดแล้วว่า ในบางครั้ง ทางออกดังกล่าวก็ไม่อาจแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติได้หากผู้พาเราไปสู่ทางออกนั้นเป็นผู้ “ไม่ได้เรื่อง” ผมไม่ได้ยุให้เกิดรัฐประหารนะครับ อย่าเข้าใจผิดเด็ดขาด!!!

@ คนเสื้อแดงต้องรับผิดชอบและชดใช้เช่นเดียวกัน

ฝากไปถึงคนเสื้อแดงด้วยว่า ต่อไปนี้คุณคงจะไม่สามารถกล่าวอ้างได้อีกต่อไปแล้วว่า การชุมนุมของคุณทำโดยสงบ การยึดถนนสาธารณะทำให้การเดินทางเป็นไปได้อย่างยากลำบาก สร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ส่งผลทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ทั้ง “นายทุน” และ “ลูกจ้าง” ต้องได้รับความเดือดร้อน บางรายก็อาจถึงขึ้น “หายนะ” ไปเลยก็ได้ ทำลายชื่อเสียงของประเทศ เพียงเพื่อต้องการ “เอาชนะ” แค่นั้นเอง

วันนี้คุณเสีย “เสียงสนับสนุน” และ “แนวร่วม” ไปมากพอสมควรเพราะการกระทำของพวกคุณเอง พลังเงียบที่เคยอยู่ตรงกลางจำนวนหนึ่งก็เริ่มออกมาเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคุณแล้วนะครับ ถามจริงๆเถิดครับว่าถ้ารัฐบาลยอมยุบสภาภายใน 15 วัน หรือ 30 วัน แล้วจะทำให้มีอะไรดีขึ้น

คิดว่าคุณจะชนะการเลือกตั้งเข้ามาเป็นรัฐบาลหรือครับ ถามจริง ๆ นะครับว่า มั่นใจได้ไหมว่าถ้าพวกคุณเป็นรัฐบาลแล้วจะสามารถบริหารประเทศได้ เสื้อเหลืองยังอยู่ เสื้อขาวยังอยู่ เสื้อชมพูยังอยู่ พวก Smarties ก็ยังอยู่ อย่าหวังว่าจะได้บริหารประเทศอย่างสะดวกเลยครับ ลองตรึกตรองดูสักหน่อย

ส่วนความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมทั้งหมด รวมไปถึงกรณีต้องมีคนบาดเจ็บหรือตายด้วยนั้น พวกคุณ คนเสื้อแดงต้องรับผิดชอบและชดใช้เช่นเดียวกันครับ เพราะถ้าคุณไม่ “ดื้อ” ชุมนุมปิดถนนสาธารณะสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว ก็คงไม่เป็นเหตุให้มีการสลายการชุมนุมครับ !

@ 19 กันยายนทำให้ประเทศไทยตาย

ผมขอกล่าวไว้ชัด ๆ อีกครั้งหนึ่งว่า ต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จนทำให้ประเทศไทยที่เรารู้จัก “ตายแล้ว” ในวันนี้ก็คือ การรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 เพราะการไม่ยอมปล่อยให้ “การเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง” เหมือนที่นายทหารใหญ่คนหนึ่งพูดเอาไว้ในวันนี้ ไปทำรัฐประหารเพื่ออะไรก็ไม่รู้ ทำแล้วก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่มีมาแต่เดิมได้ แถมยังสร้างปัญหาใหม่ให้เกิดขึ้นมาอีกมากจนประเทศไทยของเราต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ คนที่ทำรัฐประหาร คนที่อยู่เบื้องหลัง คนที่สนับสนุนและคนที่เข้าไปร่วมกระบวนการด้วยทุกคน พวกคุณทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญที่ร่วมกันทำให้ “ประเทศไทยตายแล้ว” ครับ !!!

ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

มหกรรม ‘ฆ่าล้างประเทศ’!!

เพราะ กระเหี้ยนกระหือรือ จาก “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี เป็นพิเศษ???มุ่งมั่น มุ่งหมาย ปั้นมือ “สลายม็อบไม่มีสี ไม่มีเส้น” ที่แยกราชประสงค์ให้ได้....จะจับเป็นแกนนำ หัวโจกตัวหลัก “วีระ มุกสิพงศ์”, “จตุพร พรหมพันธุ์”, “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” หรือจับตายเดทสะมอเร่ ก็ได้แล้วแต่กรณีคิดแบบเด็ก “แก๊งไอสติม” ....ปัญญานิ่มซะไม่มีถึงฆ่าวีระ- จะดับชีพจตุพร-ย้อนศรเล่นงานณัฐวุฒิ “ปัญหาประเทศไทย” ก็ไม่จบ...ยิ่งเกิดสงครามการเมือง “ประชาชนฆ่าประชาชน” ส่งผลไฟลามท่วมทุ่ง สถานการณ์ไม่มีวันแผ่ว!!“มาร์ค” จะไม่มีแผ่นดินอยู่.... “ผู้มีบารมี” ที่หนุนให้สู้?....จะบินหมู่ สู่ต่างประเทศเป็นแถว???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
อันดับเหตุการณ์ได้เป็นฉากๆ!!!
สนองอารมณ์ ตัณหา กิเลศ ความคิด ตามเจตนา ของ “นายมาร์ค”??หากว่า “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. กลัวตกกระป๋อง หมดสภาพร่วมหุ้นในการคุมอำนาจประเทศไทย..ต้องทำตามรัฐบาลสั่งซ้ายหัน ขวาหันทุกประการ..ท่านจะเป็นไปทำไมกับ “ประมุขทัพเขียว”เป็นแล้วต้องกลายเป็น “เบ้” ...ไม่เท่ แม้นิดเดียวหากมั่นใจว่า ใน “ม๊อบไม่มีสี-ไม่มีเส้น” มี “กลุ่มก่อการร้าย” โยงและหนุนหลังเป็นแบ็คเป็นเพลย์เมกเกอร์ คอยหนุน คอยป้อนจ่ายลูกให้...ท่านต้องเอา “รูปภาพ” คนที่ว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” มาแจ้งต่อธารกำนัน...มิใช่กระดกลิ้นไม่มีกระดูก พูดจาเอาใจ “แก๊งค์ไอสติม” สนองให้เขาได้ใจอีก ๕ เดือนท่านก็ปลด......กรุณารักษาภาพพจน์?....ที่จะหมดรอมร่อ จะได้มั้ย???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ทุบสถิติ ‘เรคคอร์ด’ ยอดไปเลย!!
แค่ ๓ เดือนในปี ๒๕๕๓..พี่น้องไทยพุทธ พี่น้องไทยมุสลิม ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหาร มียอดตายทะลุเป้า ๒๐๐ กว่าศพ...เจ็บโคม่านับพัน นอนหยอดน้ำเกลืออีกบานกุรุส ..โดย “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” เอาใจแต่ “อำมาตย์ใหญ่ขันทีกระเทย”???ยกกำลังหลัก รักษาความปลอดภัยใต้...ขี่มอเตอร์ไซค์ อาวุธหนักครบมือ ไล่ “เช็คบิลคนเสื้อแดง” กลางใจเมืองหลวง ในกรุงเทพฯรัฐบาลปล่อยมือว่าง..ให้มีการวางระเบิดภาคใต้ มีคนตายมีคนเจ็บนอกจาก “รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน” จะมอง “ผู้รักประชาธิปไตย” คนไม่มีสี-ไม่มีเส้น เป็นพวกไม่มีชีวิต เป็นมนุษย์ไร้ค่า...หากจะฆ่าเมื่อไหร่ก็ทำอย่างตามใจชอบ...เดี๋ยวนี้ เขายังมอง “พี่น้อง ๓ จังหวัดภาคใต้” เป็น “ส่วนเกินของประเทศ” ให้อยู่แบบตามยะถากรรม!!!“รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน”....สนอง “อำมาตย์” อย่างเหลือล้น?....ปล่อยให้คนใต้ ตกตายกันทุกเช้าค่ำ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ประเพณี’ อันทรงเกียรติ!!
ประกวดเทพีวิสุทธิ์กษัตริย์ ที่เลื่อนมาตัดสินวันเสาร์ที่ ๒๔ เมษายน ณ โรงแรมเดอ ม๊อก ทำให้หลายคน รุมด่าประณาม กันอย่างละเอียด???งานประกวดเทพีวิสุทธิ์กษัตริย์... “เป็นงานส่วนรวม” เป็นงานน้ำมิตรที่พี่น้องทุกคน ร่วมกันจัดขึ้น เพื่อสืบสานความดีงาม ที่มีมาหลายอายุชั่วคนแต่มาปีนี้ “เจ๊เพ็ญ” รวบยอดรวบหาง...ทำตาขวาง ใส่ประชาชนที่ซ้ำร้าย ยิ่งไปกว่านั้น, มีบางคนใช้อำนาจ “ผู้พิพากษาสมบทศาลแรงงาน” มาจุ้น...จนงานเขาป่วน...เพราะตามประเพณีปฏิบัติเท่าที่ทราบมาว่า “ผู้พิพากษาสมทบ” เขาจะไม่นำ “สถาบันตุลาที่ทรงเกียรติ”...ไปวางโก้โชว์ตำแหน่ง กันในงานสังคม!!!แต่ “ผู้พิพากษาสมทบ” คนนี้.......แม้ช่างอวดบารมี?..แสดงความยิ่งใหญ่เต็มที่ อย่างไม่เหมาะสม???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
นิ้วไหนร้าย ต้องตัดนิ้วนั้น!!!
กราบเรียน ไปยัง “ท่านบูรณ์ ฐาปนดุลย์” อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลาง ด้วยหัวใจหดหู่กันสักวัน???“สถาบันศาลแรงงาน” ทรงคุณค่าแห่งความศักดิ์สิทธิ์คัดเลือก “ผู้พิพากษาสมทบ”.....ต้องให้คบคุณภาพสักนิดบางคนจ่ายกระดาษเด้งเป็นสปริง....อาศัยความเป็นผู้หญิง อิงผู้ใหญ่ ก็หลุดรอดเข้ามาทำหน้าที่... ทำให้ “สถาบันอันดีงาม” ต้องมีราคีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ..ทำกันเช่นนี้ “ต้องเสื่อมเสีย” กันเสร็จสรรพ!!!อยากเห็น “ท่านบูรณ์” ชำระสะสาง.....ผู้พิพากษาสมทบขี้อ้าง?....ล้างบางได้ ล้างไปเถอะครับ???

คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อยการบูร
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*******************************************************

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

มันอยู่ที่ใจ..!!!!!

ไม่น่าเป็นไปได้..“รัฐบาล” ของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะประเมินหัวจิตหัวใจของ “คนเสื้อแดง” ผิดพลาดอย่างไม่น่าเชื่อครั้งแรกหัวเราะกันเอิ้กอ้าก..เพราะมั่นใจว่า “คนเสื้อแดง” ทะลักเข้ามาด้วย “เงิน”!!โดยเฉพาะ “อภิสิทธิ์” ฟังเสียงแค่ “คนรอบตัว”..เพราะบรรดา “วอลล์เปเปอร์” เป็นประเภทไก่อ่อนเพิ่งจะสอนบินทั้ง

นั้นจึงรับข้อมูลข่าวสารที่เข้าข้างตนเองตลอด!!ความผิดพลาดครั้งมหันต์ครั้งแรกของรัฐบาลคือการ “ปิดข่าว” การนำเสนอของ “พีเพิ้ลแชนแนล” กระบอกเสียงอันเดียวของ “คนเสื้อแดง”นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ “แดงล้นทลัก” และเป็น “แดงทั้งแผ่นดิน” อย่างที่เห็นหม้อต้มน้ำกำลังเดือดพล่าน ..ไปปิดฝาหม้อเมื่อไหร่ก็ระเบิดเมื่อนั้นการผิดพลาดข้อต่อมาคือการนำกำลังเข้าสลาย โดยการที่ใช้คำว่า “ขอพื้นที่คืน” ผิดหลักกฎสากลจากที่ต้องใช้ “เบาไปหา

หนัก”แต่ “รัฐบาล” กลับใช้ “หนักไปหาโหด”!!ตรงนี้ที่ทำให้ทั่วโลกต้องหันมามองประเทศไทยและรัฐบาลไทย เพราะมีคนตายแต่..รัฐบาลไม่ออกมารับผิดชอบแม้แต่นิดเดียว!!นอกจากจะไม่รับผิดชอบแล้วยัง “ไม่รู้สึกรู้สา” กับการล้มเจ็บตายของผู้คน..ตรงกันข้ามกลับโยนขี้ใส่เสื้อแดงว่ามี “ผู้ก่อการร้าย” ปะปน??ด้วยการเสนอข่าวด้านเดียว..ทั้งที่รู้ว่าสถาณการณ์ในวันนี้กับเมื่อ 40 ปีที่แล้วมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง!!นี่ไม่ใช่การใช้ “ผ่ามือปิดแผ่นฟ้า”..แต่ใช้ “เส้นด้ายบังแสง

อาทิตย์” กันเลยละความบ้องตื้นของรัฐบาลไทยคือคิดว่า “คนไทย” และ “คนทั้งโลก” โง่!!ยังพยายามจะใช้ยุทธวิธี “ตีไก่ง่วง” เพื่อกลบเกลื่อนสิ่งผิดพลาดมา..ด้วยคิดว่าทุบ “คนเสื้อแดง” แหลกลานคามือแล้วจะ “บิดเบือน” ยังไงก็ย่อมได้ไม่เอะใจบ้างหรือไร..ถูกยิงตายเห็นๆ แต่คนกลับแน่นกว่าเดิมมันอยู่ที่ใจว้อยยย!!

คอลัมน์ใก็โลกมันเบี้ยวหนุ่ม ชิงชัย
ที่มา.บางกอกทูเดย์
******************************************************

ถามตรงให้ตอบจริง..?

ชนะตัวเองได้นั่นแหละถึงจะชนะทุกสิ่งทุกอย่างและทุกคนได้คือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้แต่ก็ยังเป็นความจริงที่ยังไม่ค่อยมีใครทำได้จริงนอกเสียจากว่าหลอกตัวเองประเทศไทยเราวันนี้ “ทางออก” หายากเข้าไปทุกวันไม่ใช่ไม่มีคนช่วยหา “ทางออก”แต่เพราะ...คนที่เป็น “ตัวการ” สำคัญของปัญหาและความขัดแย้ง

ไม่ยอมแก้ไข ไม่จริงใจที่จะแก้ไข ทำให้มันสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมาใหม่คำพูดเก่าๆ ที่เคยได้ยินว่า “ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ” นั้นน่าจะได้ดีที่สุดของความขัดแย้งระหว่างสองฝ่ายหรือมากกว่าสองฝ่ายเวลานี้คำถามที่ใครก็ถาม แต่ยังไม่มีใครกล้ารับความจริงที่จะตอบก็คือ “ทำไมประชาธิปไตยประเทศไทยจึงไม่เจริญไม่เป็นไปข้างหน้าเสียที?”ผมไม่อยากตอบเอง แต่อยากจะให้นักการเมืองทั้งหลายกลับไปส่องกระจกดูตัวเองแล้วอย่าหลอกตัวเองนะครับแล้วเอาผลสะท้อน

ทั้งหมดตอบมานั่นแหละคือ คำตอบที่แท้จริงนอกจากนั้นจะบอกต่อไปได้อีกว่า...ควรจะเริ่มแก้ไขที่ตัวใครก่อน และแก้อย่างไรยอมรับกันหรือยังล่ะครับว่า...ปัญหาที่เกิดความยุ่งยากวุ่นวายในประเทศไทยที่กำลังจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลวอยู่รอมร่อแล้วเพราะนักการเมืองเป็นต้นเหตุสำคัญเพราะเรามี “นักการเมืองอาชีพ” น้อยกว่า “ผู้คนที่มีอาชีพนักการเมือง”ประชาธิปไตยของประเทศไทยจึงเป็นประติมากรรมที่ยังสร้างไม่เสร็จเสียที ไม่ว่าจะโดยสถาบันพรรคการเมือง

หรือสถาบันกองทัพทำให้การต่อสู้ทางประชาธิปไตยที่กำลังยกระดับขึ้นเป็นสงครามและกำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สุดท้ายผู้คนในประเทศไทยลองช่วยตอบคำถามผมหน่อยว่าคุณเห็นนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ออกทีวีเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางช่อง 11 แล้วคุณจะยังเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ อยู่หรือไม่?

คอลัมน์.ปัญหาโลกแตกมด คันไฟ
ที่มา.บางกอกทูเดย์
************************************************************

ถึงวันนี้ !!!!???

ถึงวันนี้...ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดน่าจะยอมรับกันเสียทีว่า...บ้านเมืองของเรา ประเทศไทยของพวกท่าน..กำลังจะไปไม่ไหวถึงวันนี้ ก็เกือบจะแน่นอนแล้วว่า การจะใช้กำลังเข้าไปล้อมปราบหรือจะดัดจริตใช้คำว่าขอพื้นที่คืน โดยไม่มีการสูญเสียเลือดเนื้อนั้นเป็นไปไม่ได้ ถึงวันนี้ จะยอมรับกันหรือไม่ว่า..การจะสร้างม็อบมาสู้กับม็อบนั้น นอกจากจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ยังจะเป็นอันตรายต่อไปในวันข้างหน้าเมื่อประชาชนสองฝ่าย พร้อมจะเข้าทำร้ายทำลายกัน และคำตอบสุดท้ายนั้น ฝ่ายที่กินกลางดินนอนกลางถนน จะเป็นผู้ที่อดทนกว่า..เรื่องนี้ยืนยันง่ายก็ให้ชุมนุมข้ามคืนข้ามวันกันสักเดือนถึงวันนี้..ต้องยอมรับแล้วว่า..ระหว่างตำรวจผู้รับ

คำสั่ง กับ ม็อบประชาธิปไตย..กลายเป็นคนละฝ่ายที่มีจิตใจเดียวกัน กระทบกันคราวใด ฝ่ายตำรวจจะต้องอ่อนปวกเปียกทันที เพราะมีคดีเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 เป็นความผิดตัวอย่าง..ของการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งรัฐบาล..และรักษากฎหมายถึงวันนี้...ต้องเชื่อว่า..ฝ่ายทหารและแม่ทัพนายกองทั้งหลาย..ก็ได้รับความรู้ที่แจ่มชัดแล้วว่า..การใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง..หยุดยั้งมวลชนไม่ได้..และหากว่ามีบาดเจ็บล้มตาย..เขาทั้งหลายคือผู้ต้องหา..ไม่ว่าจะเป็น ผู้

บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หรือ นายกรัฐมนตรีถึงวันนี้...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า..นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ...ยังไม่มีวิธีที่จะแก้ข้อหา..ขอพื้นที่คืนจนประชาชนทหารต้องตายไป 26 ศพ นั้น..จนต้องไปยืมคำว่า”ผู้ก่อการร้าย” เก็บไว้สู้คดีในอนาคตถึงวันนี้.....ก็แน่นอนแล้วว่า...ผู้บัญชาการทหารบก พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา..ที่ยึดหลักการแน่นหนา..จะไม่ใช้ทหารสังหารประชาชน..จะยังคงรักษา..สัจจะ

วาจานั้นแม้ว่าจะต้องสูญเสียเก้าอี้ ผู้บัญชาการทหารบกถึงวันนี้....มีตัวอย่างจะเล่าให้ฟังว่า..จอมพล ป. พิบูลสงคราม..นายกรัฐมนตรี ขอปลด จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์..จากผู้บัญชาการทหารบก..แต่ผู้ที่ต้องลี้ภัยไปอยู่และตายในต่างประเทศ..คือ..จอมพล ป.พิบูลสงคราม..กับเดอะแก๊งถึงวันนี้.....น่าจะยืนยันได้ว่า..เสียงเพรียกเรียกร้องการเลือกตั้งของ..ม็อบประชาธิปไตยนั้น..มันฝังรากลงดินโดยไม่ต้องพึ่งพาน้ำเลี้ยงใดๆ แล้วอีกทั้งรากแก้วรากฝอยก็สมบูรณ์เต็มที่..ไม่ว่า

จะอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปี..ถึงวันนี้....ก็คงจะพิสูจน์ยืนยันได้ชัดเจนว่า...ม็อบประชาธิปไตยไม่ได้เรียกร้องการล้มรัฐบาลหรือกีดกันผู้ใด....เขาต้องการแค่การเลือกตั้งครั้งใหม่และรับได้ไม่ว่าผลจากการเลือกตั้งจะเป็นเช่นใดถึงวันนี้.....มีคำตอบชัดเจนแล้วว่า...ม็อบประชาธิปไตย...มีกระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัด..และพร้อมสำหรับการเผชิญหน้า..ในทุกรูปแบบกับ..ประชาธิปไตยแบบปรุงสำเร็จ..ที่เป็นรัฐบาลถึงวันนี้....รออยู่ที่ จะถึงวันนั้น


โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
ที่มา.บางกอกทูเดย์
***********************************************

ลึกไม่ลับ(อีกต่อไป) ‘เฒ่าทารก’ กลายพันธุ์!

“จำลอง ศรีเมือง” ในแวดวงการเมืองต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี...ผู้ที่มีฉากหน้าชีวิตมีความคิดเยี่ยง “พระเทวทัต” เพราะโศลกธรรมของคนวงการสงฆ์ต่างก็รู้ดีว่า...กินเจเป็นพวกเทวทัต หมายถึง “พระเทวทัต” ซึ่งเคยทูลขอให้พระเณรทั้งหมดในพุทธศาสนากินเจ...แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตจึงเป็นที่มาของคำว่ากินเจพวกเทวทัต ความคิดความอ่านของ “จำลอง ศรีเมือง” ที่ใครหลายคนไม่เคยรู้มาก่อน ตั้งแต่สมัย “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี ว่ากันว่า...คนๆ นี้เคยดอดเข้าไปพูดคุยกับกลุ่มกองกำลังหลังทำเนียบแต่ถูกปฏิเสธ...ที่ไปก็เพียงหวังจะขอตำแหน่งเป็น “รองนายกรัฐมนตรี” แต่ถูกปฏิเสธจากอดีตนายกฯ...

ด้วยเหตุผลว่า “จำลอง” เคยเป็นลูกพี่เก่า...แต่วันนี้จะมาเป็นลูกน้องได้อย่างไร?! จึงได้มีการหารือและได้ข้อยุติมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีแบบเป็นทางการ...มีเงินเดือน มีรถประจำตำแหน่ง แต่ทว่า “จำลอง ศรีเมือง” ไม่ขอรับ!โดยเฉพาะ “สื่อมวลชน” เวลานั้น...ต่างเกาะติดถึงชีวิตของ “มหาจำลอง” ซึ่งหลายๆ คนเชื่อว่า...เขาจะได้ขึ้นมามีบทบาทสำคัญทางการเมืองในรัฐบาล “ทักษิณ ชินวัตร” จำได้เลาๆ ว่า “ทักษิณ ชินวัตร” เคยพูดว่า...เขาได้ตอบแทน

บุญคุณทางการเมืองกับคนหลายคนไปหมดแล้ว และนับจากนั้นเป็นที่มาของ “จำลอง ศรีเมือง” ที่มีความคิดเปลี่ยนไป...แต่สีหน้าและท่าทางยังคงเดิม...เขาได้ออกมาก่อตัวรวมแก๊งและก๊กก๊วนกับ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เสมือนเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน คือ “อกหักหลักลอย” ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลทักษิณ วันนี้...จำลองออกมาพูดว่า ไม่เคยเห็นทหารยุคไหนอ่อนแอเหมือนยุคนี้ ซึ่งอยากถามคุณจำลองกลับไปว่า...ในปี 35 พฤษภาทมิฬ คุณด่ากราดทหารว่า

อย่างไร?คุณรู้สึกอย่างไรที่พรรคการเมืองเก่าแก่พรรคหนึ่งเคยโจมตีคุณว่า คุณพาคนไปตาย ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างวันนี้ก็มาจากเหตุการณ์ครั้งนั้นคือ พฤษาทมิฬ ปี 35 ที่ประชาชนออกมาเรียกร้อง “ประชาธิปไตย” จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายมาวันนี้ “คุณจำลอง” ยังสบายดีหรือไม่? กับการที่ออกมาเรียกร้องให้มีการประกาศ “กฏอัยการศึก” วันที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนถูก “ปฏิวัติรัฐประหาร” ม็อบของคุณคือ “คนเสื้อเหลือง” ได้ขอกำลังทหารจากหน่วย

หนึ่งจากอดีตเพื่อนรัก “จปร.7” ไปดูแล การนั้น “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่เคยขัดและอนุญาตเสียด้วยซ้ำ...เพราะกลัวเรื่อง “มือที่สาม” แต่วันนี้คุณจำลองออกมาเรียกร้องเพื่อให้ทหารประกาศ “กฏอัยการศึก” ในมุมมองกลับกันหากคุณเป็นแกนนำม็อบในวันนี้...แล้วมีใครสักคนของบ้านของเมืองออกมาพูดกับคุณแบบนี้...คุณจะมีความรู้สึกอย่างไร? ประชาธิปไตยของประเทศไทยไม่จำเป็นจะต้องมีคนชื่อ “จำลอง ศรีเมือง” เพียงคนเดียวมาเรียกร้องแล้วจะต้องประสบความสำเร็จ

เส้นทางชีวิตของ “จำลอง ศรีเมือง” คุณยังมีโอกาสที่จะเลือกใช้ชีวิตที่ดีกว่าบุคคลอื่นอีกหลายคน...ไปอยู่นาป่าสวนอย่างเก่านั้นก็ดีแล้วใช้ชีวิตแบบ “เกษตรกร” ตามที่ตัวเองชอบและอยู่กับมันอย่างมีความสุข อย่าเอาเวลามายุ่งเกี่ยวกับ “การเมือง” และทำลายตัวเองจนกลายพันธุ์เป็น “เฒ่าทารก” อย่างนี้อีกเลย!

ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************

"ในหลวง" ตรัส ขอผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่ซื่อสัตย์เป็นตัวอย่าง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับสั่งกับผู้พิพากษาใหม่ 101 คน ที่เข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญานตน ณ โรงพยาบาลศิริราช ดังนี้

"ความเรียบร้อยของประเทศ เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าท่านทำตามที่ปฏิญาณจะช่วยให้ปท.ชาติเรียบร้อยแน่นอน การที่ประเทศมีผู้ที่สนใจทำหน้าที่อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญมาก เป็นการแสดงว่ามีเจ้าหน้าที่ในประเทศที่ตั้งใจอย่างแน่วแน่ที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างแน่นอน อย่างชัดเจน ตั้งใจรักษาเอาไว้ซึ่งความเรียบร้อยของปท.ทำให้ประชาชนทั่วไปมีความตั้งใจในตัว ที่จะปฏิบัติงานของตนอย่างซื่อสัตย์เหมือนกัน เชื่อว่าการที่ท่านแสดงเป็นตัวอย่างที่ดีของผู้พิพากษาจะทำให้เป็นความตั้งใจของประชาชนทั่วไปที่จะตั้งใจทำงานการอย่างเคร่งครัด อย่างสุจริต ในประเทศอาจมีคนที่ลืมหน้าที่ของตนได้ ก็ท่านแสดงเป็นตัวอย่างว่ามีผู้ปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัด สุจริต ฉะนั้นท่านมีหน้าที่ที่สำคัญมาก ปฏิญานตนว่าจะรักษาความยุติธรรม โดยเคร่งครัดนี้จะช่วยให้ประชาชนทั่วไป ปฏิบัติงานของตนด้วยความเรียบร้อย"

"สุจริตเป็นสิ่งที่ไม่ง่าย เพราะในชีวิตมีสิ่งที่ล่อใจให้มาก ท่านก็ได้ปฏิญาณตนนี้เป้ฯสิ่งสำคัญทำให้ท่านตั้งใจตลอดว่าต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งถ้ามีบุคคลที่ปฏิบัติดีชอบด้วยความแน่วแน่ตั้งใจ ก็เป็นสิ่งที่ส่งให้คนอื่นปฏิบัติตนให้ดี ด้วยความซื่อสัตย์เข้มแข็ง ถ้ารักษาความซื่อสัตย์ไว้ตลอดเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ ตลอดชีวิตจะแสดงว่ามีคนที่อุ้มชูความเรียบร้อยของประเทศจำนวนหนึ่ง ขอให้ท่านสามารถรักษาความตั้งใจทำหน้าที่ตามที่ได้ปฏิญาณตลอดเวลา เป็นตัวอย่างสำหรับคนทั่วประเทศให้มีกำลังใจที่จะปฏิบัติงานอย่างซ่อสัตย์ ดังที่ท่านได้ปฏิญาณ ขอให้ท่านรักษาความซื่อสัตย์อย่างที่ท่านได้กล่าวมาเมื่อครู่จะเป็นทางที่ช่วยให้บ้านเมืองเจริญมั่นคงแน่นอน และในคราวเดียวกันท่านเองจะได้ถือว่าเป็นตัวอย่าง สำหรับประชาชนทั่วไป ทั้งคนที่เป็นข้าราชการ ทั้งผู้ทำหน้าที่ต่างๆ จะช่วยกันอุ้มชูประเทศชาติให้ได้อยู่เย็นมีความผาสุข มีความเข้มแข็งในการงานและทำให้งานการนั้นมีความสำเร็จเรียบร้อย ทำให้ทุกคนมีความสุข

ขอให้ท่านรักษาคำปฏิญาณนี้โดยเข้มแข็ง เชื่อว่าท่านจะได้มีความสุขในหการปฏิบัติหน้าที่ที่ดี ปฎิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ให้เป็นสิ่งที่ท่านมีส่วนในการสร้างบ้านเมืองให้ดี ในเวลาเดียวกันท่านก็สร้างตัวท่านเองให้เป็นคนดี มีความสำเร็จ ขอให้ท่านปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเรียบร้อยตลอดชีวิตของท่าน ขอให้ท่านได้มีความสำเร็จในงานการซึ่งจะเป็นสิ่งที่สูงสุดในการปฏิบัติงานของคนที่เป็นคนสำคัญในชาติ"


ที่มา.เนชั่น
*****************************************