นายสุชาติ ลายน้ำเงิน ส.ส.ลพบุรี พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ได้รับโทรศัพท์จากนายทหารชั้นผู้ใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งมีภรรยาเป็นชาวจ.สุราษฎร์ธานี แจ้งว่ามีนักการเมืองใหญ่ระดมคนจากจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะ จ.สุราษฎร์ฯและ จ.ภูเก็ต มายัง กทม. ซึ่งเริ่มเดินทางเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (25 เมษายน) อีกทั้งยังมีการใช้หน่วยงานภายใต้สังกัดรัฐ เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ไประดมคนจากหลายพื้นที่ทั่วประเทศรวมถึงจาก กทม. เพื่อมาชุมนุมต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง ตามแผนการมวลชนปะทะมวลชน เนื่องจากที่ผ่านมาใช้กำลังทหารตำรวจไม่ได้สำเร็จ ในกรณีเกิดการปะทะกันและหากสถานการณ์รุนแรง ทหารจะใช้เป็นเหตุยึดอำนาจหรือรัฐประหารเพื่อให้มีอำนาจเต็มดำเนินการ
ที่มา.ข่าวเพื่อไทย
**************************************************
วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553
ปธ.วุฒิยันไม่ลาออกแล้ว หวั่นไร้คนทำงาน
นายประสพสุข บุญเดช รับตอนแรกตั้งใจจะยื่นใบลาออก 1 พ.ค.นี้ แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมือง จึงอยู่ต่อ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยอมรับว่า ในตอนแรก ตนตั้งใจจะยื่นใบลาออก ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ แต่เนื่องด้วย สถานการณ์ปัจจุบัน บ้านเมืองเกิดความไม่ปกติ และมีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่าย ก็แนะนำตนว่า หากนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชี เกิดตัดสินใจยุบสภาขึ้นมาในช่วงนี้ จะทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ และไม่มีใครปฏิบัติหน้าที่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ดังนั้นทำให้ตนเองจำเป็นเปลี่ยนความตั้งใจไม่คิดจะลาออก ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าบ้านเมืองจะกลับเข้าสู่ปกติ ถึงจะคิดเรื่องการลาออกอีกครั้ง
ส่วนหากเมื่อลาออกแล้ว จะตัดสินใจลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานวุฒิสภา อีกครั้งหรือไม่นั้น นายประสพสุข กล่าวว่า ก็คงต้องแล้วแต่บรรดาเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา หากส่วนใหญ่ยังสนับสนุนตนก็ต้องลงสมัครอีกครั้ง
ที่มา.VOICE TV
*****************************************************
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ยอมรับว่า ในตอนแรก ตนตั้งใจจะยื่นใบลาออก ในวันที่ 1 พ.ค.นี้ แต่เนื่องด้วย สถานการณ์ปัจจุบัน บ้านเมืองเกิดความไม่ปกติ และมีความรุนแรงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหลายฝ่าย ก็แนะนำตนว่า หากนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชี เกิดตัดสินใจยุบสภาขึ้นมาในช่วงนี้ จะทำให้เกิดสุญญากาศทางอำนาจ และไม่มีใครปฏิบัติหน้าที่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ดังนั้นทำให้ตนเองจำเป็นเปลี่ยนความตั้งใจไม่คิดจะลาออก ออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าบ้านเมืองจะกลับเข้าสู่ปกติ ถึงจะคิดเรื่องการลาออกอีกครั้ง
ส่วนหากเมื่อลาออกแล้ว จะตัดสินใจลงสมัครชิงเก้าอี้ประธานวุฒิสภา อีกครั้งหรือไม่นั้น นายประสพสุข กล่าวว่า ก็คงต้องแล้วแต่บรรดาเพื่อนสมาชิกวุฒิสภา หากส่วนใหญ่ยังสนับสนุนตนก็ต้องลงสมัครอีกครั้ง
ที่มา.VOICE TV
*****************************************************
เลื่อนฟันป้ายเถื่อน-รอม็อบแดงเลิก กทม.อ้างเหตุเจ้าหน้าที่รื้อป้าย"ยุบสภา"ถูกฮือล้อม
นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการจัดเก็บป้ายโฆษณาผิดกฎหมายว่า จากที่ตนตั้งเป้าว่าจะมีการจับปรับจริงหลังวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเป็นช่วงหมดฤดูกาลเสียภาษีแล้ว แต่เกิดปัญหาซึ่ง กทม.คงต้องเลื่อนจัดเก็บดังกล่าวออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด หรือจนกว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิป ไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะยกเลิกไป เนื่องจากหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมาได้มอบหมายให้ผู้อำนวยการเขตลงพื้นที่ เพื่อสำรวจป้ายผิดกฎหมายและจัดเก็บภาษีป้าย แต่มีปัญหาในส่วนของป้ายของกลุ่มเสื้อแดงที่มีการติดป้ายยุบสภา หรือป้ายอื่นๆ ของกลุ่มซึ่งเข้าข่ายเป็นป้ายผิดกฎหมาย แต่เมื่อเจ้าหน้าที่เขตลงพื้นที่เพื่อเก็บป้าย ทางกลุ่ม นปช.จะเข้ามาขัดขวางการทำงานและล้อมผู้อำนวยการเขตและเจ้าหน้าที่ไม่ให้ดำเนินการ กทม.จึงยังไม่สามารถเดินหน้าโครงการได้ ทั้งนี้ จากการสำรวจพบว่าป้ายผิดกฎหมายที่ยังไม่มีการเสียภาษีก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะมีการเก็บป้ายออกไปแล้วก่อนหน้านี้
นายธีระชนกล่าวต่อว่า ขณะนี้ทางเขตสามารถจัดเก็บภาษีป้ายได้แล้วประมาณ 300,000 ป้าย รวมทั้งได้ติดสติ๊กเกอร์เพื่อให้ทราบว่าป้ายใดที่มีการเสียภาษีแล้ว และกำลังบันทึกข้อมูลการเสียภาษีให้เป็นระบบ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ทั้งนี้ แม้จะมีการเลื่อนการจับปรับออกไปก่อน แต่ตนจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดป้ายทับว่าเป็นป้ายเถื่อนตามปกติ จากนั้นหากพร้อมก็จะดำเนินการจับปรับทันที
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
นายธีระชนกล่าวต่อว่า ขณะนี้ทางเขตสามารถจัดเก็บภาษีป้ายได้แล้วประมาณ 300,000 ป้าย รวมทั้งได้ติดสติ๊กเกอร์เพื่อให้ทราบว่าป้ายใดที่มีการเสียภาษีแล้ว และกำลังบันทึกข้อมูลการเสียภาษีให้เป็นระบบ เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ทั้งนี้ แม้จะมีการเลื่อนการจับปรับออกไปก่อน แต่ตนจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่สำรวจและติดป้ายทับว่าเป็นป้ายเถื่อนตามปกติ จากนั้นหากพร้อมก็จะดำเนินการจับปรับทันที
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
"แกนนำนปช."สั่งแดงทั่วปท.ขวางทหาร-ตร.เข้ากรุง
นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แถลงท่าทีการเคลื่อนไหวของทหารและตำรวจว่า ทราบข่าวมีการวางกำลังตำรวจเพื่อเข้ามาสลายการชุมนุมในช่วงเที่ยงวันนี้ ดังนั้นนปช.จึงมีมติเปิดเกมรุกและตอบโต้รัฐบาลโดยสันติวิธีด้วยการให้คนเสื้อแดงทั่วประเทศวางกำลังสกัดกั้นทหาร-ตำรวจ ไม่ให้เข้ามาเสริมกำลังที่ราชประสงค์ ขณะนี้มีหลายจังหวัดที่เตรียมพร้อมแล้ว อาทิ พิษณุโลก นครสวรรค์ หลายจังหวัดในภาคกลาง ขณะที่โรงกษาปณ์นั้นทราบว่าคนเสื้อแดงรังสิตได้นำกำลังตำรวจกลับเข้าที่ตั้งเป็นที่เรียบร้อย
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กองทัพหยุดส่งหน่วยทหารไล่ล่าติดอาวุธสงครามขับขี่มอเตอร์ไซต์ไปทั่วกทม.ถ้ายังไม่หยุดเราจะส่งหน่วยมอเตอร์ไซต์สันติวิธีของคนเสื้อแดงตระเวนสกัดกั้นทุกจุดเพื่อขอร้องให้ทหารนำอาวุธสงครามกลับเข้ากรมกอง นอกจากนี้อยากให้นายอภิสิทธิ์ มีความละอายต่อบาปหลังจากที่นางอองซานซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เปรียบเทียบว่ารัฐบาลไทยมีความเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญมาจากทหาร ควรจะละอายแล้วตัดสินใจยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน “ ขอเรียกร้องข้าราชการประจำทุกท่านตั้งแต่ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการฯ ให้เลิกรับใช้รัฐบาลนี้ เพราะในเร็วๆนี้นายกฯต้องยุบสภาอย่างแน่นอน หรือไม่เช่นนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกยุบ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกตัดสิทธิ์ ไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้ ถ้าข้าราชการคนไหนยังรับใช้รัฐบาล และถ้าคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะจะต้องรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมายอย่างสาสม” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า เช้าวันนี้มีตำรวจจราจร 2 นายมาแจ้งให้ตนทราบที่หลังเวทีว่าขณะนี้มอเตอร์ไซต์สีส้ม-ขาวของตำรวจจราจร 2 พันคัน ถูกนำไปส่งที่ราบ 11 เพื่อให้ทหารปลอมตัวเป็นจราจรเข้ามายังพื้นที่การชุมนุม โดยตำรวจเตือนว่าอาจจะมาวางระเบิดคาร์บอม ดังนั้นขอให้การ์ดเข้มงวดในการตรวจตรามอเตอร์ไซต์ที่เข้าออกที่ชุมนุม และในเร็วๆนี้ตนจะเปิดคลิปวิดิโอที่ชี้ให้เห็นว่าไอ้โม่งคนที่ยิงประชาชนในเหตุการณ์ 10 เม.ย.เป็นใคร
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กรณีที่มีการ์ดและผู้ชุมนุมนปช.ติดหวัด 2009 นั้นตนไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะคนกลุ่มนี้เข้ารักษาพยาบาลได้ 1 สัปดาห์แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวก็ไม่พบผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเพิ่มเติม แสดงว่าเชื้อจำกัดเฉพาะคนกลุ่มนั้น ไม่มีการขยายวงออกไป ยืนยันว่าที่ราชประสงค์นั้นเป็นที่โล่งแจ้งมีอุณหภูมิสูง เป็นปฎิปักษ์ต่อเชื้อหวัด 2009 ขอเตือนรัฐบาลว่าใช้เรื่องนี้เป็นเกมทำลายคนเสื้อแดง นอกจากนี้ การอ้างว่าราชประสงค์ซ่องสุมอาวุธแล้วเข้ามาสลายการชุมนุมนั้นเป็นข้ออ้างผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มีความผิดอาญาตามแนวทางของศาลอาญาระหว่างประเทศ
ที่มา.เนชั่น
******************************************
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้กองทัพหยุดส่งหน่วยทหารไล่ล่าติดอาวุธสงครามขับขี่มอเตอร์ไซต์ไปทั่วกทม.ถ้ายังไม่หยุดเราจะส่งหน่วยมอเตอร์ไซต์สันติวิธีของคนเสื้อแดงตระเวนสกัดกั้นทุกจุดเพื่อขอร้องให้ทหารนำอาวุธสงครามกลับเข้ากรมกอง นอกจากนี้อยากให้นายอภิสิทธิ์ มีความละอายต่อบาปหลังจากที่นางอองซานซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน เปรียบเทียบว่ารัฐบาลไทยมีความเผด็จการ เพราะรัฐธรรมนูญมาจากทหาร ควรจะละอายแล้วตัดสินใจยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน “ ขอเรียกร้องข้าราชการประจำทุกท่านตั้งแต่ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการฯ ให้เลิกรับใช้รัฐบาลนี้ เพราะในเร็วๆนี้นายกฯต้องยุบสภาอย่างแน่นอน หรือไม่เช่นนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องถูกยุบ นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถูกตัดสิทธิ์ ไม่สามารถอยู่ในอำนาจได้ ถ้าข้าราชการคนไหนยังรับใช้รัฐบาล และถ้าคนเสื้อแดงได้รับชัยชนะจะต้องรับผิดชอบทางการเมือง และทางกฎหมายอย่างสาสม” นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กล่าวว่า เช้าวันนี้มีตำรวจจราจร 2 นายมาแจ้งให้ตนทราบที่หลังเวทีว่าขณะนี้มอเตอร์ไซต์สีส้ม-ขาวของตำรวจจราจร 2 พันคัน ถูกนำไปส่งที่ราบ 11 เพื่อให้ทหารปลอมตัวเป็นจราจรเข้ามายังพื้นที่การชุมนุม โดยตำรวจเตือนว่าอาจจะมาวางระเบิดคาร์บอม ดังนั้นขอให้การ์ดเข้มงวดในการตรวจตรามอเตอร์ไซต์ที่เข้าออกที่ชุมนุม และในเร็วๆนี้ตนจะเปิดคลิปวิดิโอที่ชี้ให้เห็นว่าไอ้โม่งคนที่ยิงประชาชนในเหตุการณ์ 10 เม.ย.เป็นใคร
นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำนปช. กรณีที่มีการ์ดและผู้ชุมนุมนปช.ติดหวัด 2009 นั้นตนไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะคนกลุ่มนี้เข้ารักษาพยาบาลได้ 1 สัปดาห์แล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าวก็ไม่พบผู้ที่ป่วยเป็นโรคทางเดินหายใจเพิ่มเติม แสดงว่าเชื้อจำกัดเฉพาะคนกลุ่มนั้น ไม่มีการขยายวงออกไป ยืนยันว่าที่ราชประสงค์นั้นเป็นที่โล่งแจ้งมีอุณหภูมิสูง เป็นปฎิปักษ์ต่อเชื้อหวัด 2009 ขอเตือนรัฐบาลว่าใช้เรื่องนี้เป็นเกมทำลายคนเสื้อแดง นอกจากนี้ การอ้างว่าราชประสงค์ซ่องสุมอาวุธแล้วเข้ามาสลายการชุมนุมนั้นเป็นข้ออ้างผิดกฎหมาย ขัดรัฐธรรมนูญ มีความผิดอาญาตามแนวทางของศาลอาญาระหว่างประเทศ
ที่มา.เนชั่น
******************************************
แดงพิษณุโลกปิดค่ายเจ้าพระยาจักรีกัน ตชด.เข้ากรุง
นายภาณุกฤษ พัชรอารีย์ แกนนำเสื้อแดงพิษณุโลก นำมวลชนคนเสื้อแดงประมาณ 100 คน มาปิดทางเข้าออกค่ายเจ้าพระยาจักรี กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 31 (กก.ตชด.31) ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยมวลชนเสื้อแดงได้ยืนขวางปิดทางเข้าออกค่ายที่มีเพียงทางเดียว ไม่ยอมให้กองร้อยตชด.ชุดควบคุมฝูงชนของ กก.ตชด .31 เดินทางออกไปได้ ขณะนี้ภายในค่ายฯ ตำรวจตระเวนชายแดนได้เตรียมกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน 1 กองร้อย หรือ 150 นาย ใช้รถบรรทุก 7 คัน เตรียมพร้อมนำกำลังไปสับเปลี่ยนที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
นายภาณุกฤษ กล่าวว่า ไม่ต้องการให้ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสลายฝูงชนในกรุงเทพฯ จึงต้องมาขัดขวาง โดยจะยอมเปิดทางให้ประชาชนที่สัญจรผ่านได้ แต่ตำรวจผ่านไม่ได้
ขณะที่ พ.ต.ท.สมหวัง คำทอง รอง ผกก.กก.ตชด .31 ได้เข้ามาเจรจากับกลุ่มเสื้อแดง ยืนยันว่าจำเป็นต้องส่งกองร้อยชุดควบคุมฝูงชนไปสับเปลี่ยนกำลังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่มา.เนชั่น
******************************************
นายภาณุกฤษ กล่าวว่า ไม่ต้องการให้ตำรวจตระเวนชายแดนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการสลายฝูงชนในกรุงเทพฯ จึงต้องมาขัดขวาง โดยจะยอมเปิดทางให้ประชาชนที่สัญจรผ่านได้ แต่ตำรวจผ่านไม่ได้
ขณะที่ พ.ต.ท.สมหวัง คำทอง รอง ผกก.กก.ตชด .31 ได้เข้ามาเจรจากับกลุ่มเสื้อแดง ยืนยันว่าจำเป็นต้องส่งกองร้อยชุดควบคุมฝูงชนไปสับเปลี่ยนกำลังที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ที่มา.เนชั่น
******************************************
ทำไมต้องยุบสภา
อนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.) อธิบายว่าทำไมต้องแก้ปัญหาทางการเมืองในขณะนี้ด้วยการยุบสภา
วันนี้หลายคนชอบตั้งคำถามว่ายุบสภาแล้วจะได้อะไร? เพราะทุกคนไม่ว่าจะสีไหน ก็ดูเหมือนจะรู้แก่ใจกันดีอยู่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังยุบสภา เดี๋ยวพันธมิตรก็ออกมาอีก แล้วเรื่องก็จะไม่จบ ดูเหมือนจะไม่มีตรรกะอื่นนอกเหนือจากนี้ และทุกคนที่มองเห็นตรรกะเช่นนี้ก็จะไม่ยอมรับการยุบสภาว่าเป็นทางแก้ปัญหา (แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบ ได้ว่าจะเดินไปอย่างไรต่อไป หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ ไหม?)
ยุบสภาคือคำตอบที่ดีที่สุด ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ทำไมพอมาถึงเมืองไทย คนหลายคนในเวลานี้กลับบอกว่าไม่ใช่? ก็เป็นเพราะตรรกะวิธีคิดแบบข้างบน ว่าต้องมีคนออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก แล้วทำไมแทนที่จะตั้งคำถามว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" ทำไมเราไม่ถามแทนว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง?"
ปัญหาทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากการไม่ยอมเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้พูดปาวๆ กันแทบตาย ทุกฝ่ายหมดแล้ว ต่างคนต่างมีสื่อทางเลือกของตนเองที่หาซื้อได้ในท้องตลาดเต็มไปหมดในราคาถูกๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ทั่วไป หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เนชั่น ความจริงวันนี้ กระทั่งจานดาวเทียมที่ดู ASTV ได้ ก็สามารถดูของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน ปัญหาวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการขาดข้อมูลหรือการไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตารับฟังฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายตน ทุกอย่างจากนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกๆ คนแล้ว สภาพการณ์ของทุกวันนี้คือทุกคนต่าง "อิ่ม" ในข้อมูลแล้ว และได้ทำการย่อยจนอยาก "ถ่าย" ออกมาแล้ว และการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็คือการเปิดทางให้พวกเขาได้ "ถ่าย" ข้อมูลที่พวกเขาย่อยแล้ว สรุปออกมาเป็นปัญหาและความต้องการ ให้พวกเขาได้พูดว่าอะไรคือปัญหา ของบ้านเมืองในเวลานี้ และได้เลือกทางเดินของพวกเขาเอง
ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นจากการที่คนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับผลการตัดสินใจจากคนส่วนมาก ซึ่งทำกันเช่นนี้มาตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยาฯ แล้ว และต่อเนื่องมาสู่พันธมิตรฯ ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางข้ามหัวคนส่วนใหญ่ ผูกขาดความถูกต้องไว้กับตัวเอง คนเดียว ใช้ตรรกะข้ออ้างว่าพวกตนคนส่วนน้อยคือคนที่รู้ดีที่สุด คือ "คนดี" "มีความรู้" และด่าทอคนส่วนมากที่ยากจนว่า "โง่" "ขาดข้อมูล" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ และใช้ข้ออ้างเหล่านี้ผูกขาดความ ถูกต้องไว้กับตัวเอง ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ ข้ามหัวคนส่วนใหญ่ รัฐประหาร ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตุลาการวิบัติ ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา
วันนี้คนเสื้อแดงคือคนส่วนมากของประเทศ คือคนที่เลือกรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และเพื่อไทย และคนที่รักประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ ที่ยอมรับกระบวนการรัฐประหารและสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ได้ ผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนได้เสียงส่วนใหญ่ จากจำนวนผู้ลงคะแนนคิดเป็นแบบแบ่งเขต 26 ล้านคน คิดเป็นแบบสัดส่วน 12 ล้านคน (จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44 ล้านคน) พวกเขาเลือกรัฐบาลของเขามาด้วยวิจารณญาณและเจตจำนงของเขาเอง แต่สิทธิเหล่านี้ถูกทำลาย ข้ามหัวและช่วงชิงเอาไปตลอดเวลาด้วยข้อหาว่าพวกเขา "ถูกหลอก" "ถูกใช้เป็นเครื่องมือ" "ถูกซื้อ" ฯลฯ วันนี้พวกเขามาทวงคืนสิงที่ถูกขโมยไปเท่านั้นเอง
และอีกความจริงที่คนจำนวนมากไม่เห็นก็คือพวกเขาไม่ได้มาเพราะถูกจัดจ้างจัดตั้งจากนักการเมือง พวกเขามาด้วยหัวใจของเขาเอง จิตสำนึกของพวกเขาถูกปลุกให้ตื่น จากการถูกกระทำย่ำยีหนักหน่วง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วันนี้พวกเขามาเอง เขาไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยนักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว
นักการเมืองอาจจะมีวาระของตนเองในการเข้าร่วมขบวนการกับมวลชน หรือชักนำมวลชนออกมาสู้ แต่ความจริงก็คือไม่ใช่เพียงนักการ เมืองเท่านั้นที่มีวาระ แต่ทว่ามวลชนก็มีของตัวเองเหมือนกัน วันนี้มวลชนก็กำลังใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือของตนเองเหมือนกัน
เพราะนับแต่มีนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ทำได้สำเร็จจริงหลายๆ ประการ แม้จะเต็มไปด้วยปัญหาบ้าง แต่อย่างน้อยการที่นักการเมืองได้ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ได้จริง มันก็ได้พัฒนาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจแล้ว ว่าประชาธิปไตยหรือ "สิทธิที่จะเลือก" นักการเมืองพร้อมชุดนโยบายที่พวก เขาต้องการ คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ มันคือกลไกในการดึงเอาทรัพยากรลงมาสู่พวกเขาในรูปแบบที่พวกเขาต้องการได้ เขาสำนึกแล้วว่าวันนี้ประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้เขามี สิทธิเลือกตัวเลือกที่ถูกใจ ที่สุดในการพัฒนาชีวิตของพวก เขา ถ้านักการเมืองทำได้ดีจริง พวกเขาก็จะเลือกต่อไป ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เลือกต่อไป สิ่งนี้ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความต้องการของประชาชนตลอดเวลา ทำให้นักการเมืองถูกกดดันที่จะต้องทำให้ประชาชนพอใจ มิเช่นนั้น มันอาจหมายถึงการดับสูญของอนาคตทางการเมืองของพวกเขาได้
เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ได้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการได้มาซึ่งคะแนนเสียงและตำแหน่งเท่านั้น นักการเมืองวันนี้ กลับกลายมาเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการดึงการพัฒนามาสู่ ชุมชนและชีวิตของพวกเขาด้วย เช่นกัน มันคือการแลกเปลี่ยนกันผ่านกลไก การเลือกตั้ง มันเป็นเหมือนการยื่นหมูยื่นแมว หากฝ่ายการเมืองไม่ได้ยื่นสิ่งที่ประชาชนต้องการให้แก่ประชาชน ประชาชนก็จะไม่ยื่นในสิ่งที่นักการเมืองต้องการให้แก่นักการเมือง
ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ผลประโยชน์ของนักการเมือง จะสามารถสอดคล้องและไปด้วยกันกับผลประโยชน์ของประชาชนได้เช่นนี้ ซึ่งนี่เป็นกลไกปกติที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ในบ้านเมืองนี้ ซึ่งเผด็จการไม่สามารถมีให้ได้ วันนี้พวกเขาเลือกนักการเมืองด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ พวกเขามาด้วยจิตสำนึกเช่นนี้
เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามที่ดูไม่ใช่คำถามของคน ที่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ทำไมแทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของ คนส่วนมาก แทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของพวก เขาอย่างแข็งขัน แทนที่เราจะยืนยันเพื่อที่จะเคารพสิทธิของพวกเขา และเชื่อในวิจารณญาณของพวกเขา แทนที่เราจะยืนยันในหลักการประชาธิปไตย ที่ให้เสียงข้างมากได้ ชี้ขาด และให้เสียงข้างน้อยได้พูดโน้ม น้าว เรากลับไปยืนยันสิทธิของคนส่วน น้อยที่จะเอาอย่างที่กูต้อง การให้ได้โดยไม่สนวิถีทาง
ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะตราบใดที่เราให้น้ำหนักแก่ความเอาแต่ใจของเสียงข้างน้อยที่จะทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ให้น้ำหนักถึงขั้นที่ว่าเราไม่ กล้าที่จะยืนยันความชอบธรรม ของเสียงข้างมาก ด้วยตรรกะประเภทที่ว่า "ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะพันธมิตรจะกลับมาล้มรัฐบาล อีก" หลายคนอาจพูดด้วยความรู้สึกเป็น กลาง แต่หารู้ไม่เลยว่าการพูดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับให้พันธมิตร กลับมาได้ เพราะเป็นการยืนยันว่าเสียงข้าง น้อยอย่างพันธมิตรมีสิทธิ ที่จะทำตามใจชอบได้ แทนที่จะยืนยันในสิทธิของเสียงข้างมาก
แล้วคำถามก็คือทำไมเราต้องยอม ให้พันธมิตรกลับมาล้มรัฐบาลล่ะ? ทำไมเรายังคงยืนยันให้พันธมิตรกลับมาได้แทนที่จะต่อต้านอย่างแข็งขันล่ะ ทำไมแทนที่เราจะยอมรับประชาชนคนส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย เรากลับไปยอมรับว่าพันธมิตรสามารถกลับมาล้มรัฐบาลได้? ไม่ใช่ว่าพันธมิตรไม่มีสิทธิออก มาเคลื่อนไหวเลย แต่พันธมิตรมีสิทธิที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายในการ "โน้มน้าว" ใจคนส่วนใหญ่ให้เชื่ออย่างที่ตน เห็นว่าจริง เพื่อนำเอาประชาชนส่วนใหญ่ไปล้มรัฐบาลตามวิถีประชาธิปไตย แต่ทว่าที่ผ่านมา พันธมิตรฯกลับเคลื่อนไหวในแนวทาง ของการ "จะเอาให้ได้" ตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยสามารถกินใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ได้เลย ซึ่งไม่ใช่หลักการใช้เสียข้างน้อยที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย
ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว หากเสียงข้างน้อยทำไม่สำเร็จในการโน้มน้าวใจคน นั่นก็คือความล้มเหลวของเสียง ข้างน้อยเอง ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตนเองได้ ไม่ว่าจะด้วยการที่ไม่พยายามมาก พอ หรือไม่พยายามเลย กระทั่งมีความอดทนไม่มากพอ หรือแม้แต่การที่ความเชื่อของพวกเขานั้นผิดและไม่สามารถสอดคล้องไปกับความต้องการของมวลชนที่แท้จริงได้
แต่วันนี้กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก ที่เสียงข้างน้อยที่ล้มเหลวในการกินใจประชาชนอย่างขบวนการพันธมิตรฯ กลับไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง กลับไปโทษว่าเป็นความผิดของชาวบ้านที่ "งมงาย" หรือ "ขาดข้อมูล" ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย (อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ข้อมูลข่าวสารในท้องตลาดของทุกฝ่าย มีออกมาในราคาถูกพอหาซื้อได้เต็มไปหมด) น่าเสียใจที่ขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีคนเป็น "สหาย" เก่าในขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ไม่สามารถจะซึมซับเอาวิธีการบทเรียนแห่งความอดทนของพรรคมาใช้ได้
ในอดีต ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำงานด้วยความอดทนในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อพยายามโน้มน้าวมวลชนให้ได้ พวกเขาใช้เวลานับสิบปี ยี่สิบปี พยายามทำให้สำเร็จ แม้จะล้มเหลวก็ตามทีในบั้นปลาย ด้วยความพ่ายแพ้ป่าแตก แต่วันนี้มวลชนจำนวนมากในชนบทที่เคยผ่านการใช้ความพยายามของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลงไปทำงานความคิดกับพวกเขา กลับยังคงเชื่อมั่นและนับถือพรรค ที่เคยต่อสู้เพื่อพวกเขา และหลายคนยังคงรอวันพรรคกลับมาอยู่ด้วยซ้ำไป พวกเขาก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดและสำเร็จในขั้นหนึ่งในการกินใจประชาชน แม้จะล้มเหลวในการเปลี่ยนประเทศ นี้ก็ตามที
ต่างกับพันธมิตรที่ไม่เคยใช้ความพยายามเหล่านี้เลย ความพยายามที่พวกเขาใช้มาตลอดเวลา กลับกลายเป็นความพยายามในการผลักมวลชนและแนวร่วมออกไปไกลยิ่งขึ้น ด้วยการด่าทอพวกเขาว่า "โง่" "งมงาย" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ
สิ่งที่เราควรจะสื่อสารถึงทุกฝ่าย ในวันนี้ควรจะเป็นว่า 1. คุณมีสิทธิแสดงความคิดเห็น และใช้โอกาสนั้นโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ให้เห็นด้วยกับคุณให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณล้มเหลวเอง 2. คุณต้องยอมรับผลของการเลือกตั้ง จากคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะพันธมิตรในนามพรรคการเมืองใหม่ ฝ่ายเนวิน ประชาธิปัตย์ หรือใครๆ ก็ตามล้วนแต่มี 1 คน 1 เสียงเท่ากัน
ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่ายุบสภาแล้วไม่จบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าการยุบสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันไม่จบเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อย แต่กดขี่ข่มเหงคนส่วนมากตลอดเวลา ขโมยสิทธิของเขาตลอดเวลาและไม่ยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย
วันนี้คนเสื้อแดงแค่มาทวงในสิ่งที่เป็นของตนเองอย่างชอบธรรมกลับคืนเท่านั้นเอง พวกเขาถูกขโมยไปอย่างหน้าด้านๆ เมื่อครั้ง 19 กันยาฯ พวกเขาถูกปฏิเสธเมื่อครั้งพันธมิตรชุมนุม และรัฐบาลทุกวันนี้ก็ไม่ใช่รัฐบาลที่พวกเขาเลือก
ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ว่าไม่ถูกต้อง ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อครั้งพันธมิตรฯ มาล้มรัฐบาลเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ร่วมกับทหาร และตุลาการวิบัติ ทำไมเรายืนยันนั่งยันนอนยันให้ พวกเขาถูกกดขี่เหยียดหยามช่วงชิงขโมยสิทธิตลอดเวลาด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
ทำไมเราไม่ออกมาปกป้องสิทธิของคนส่วนมาก จะไม่พูดก็ได้ไม่เป็นไรหรอก จะอยู่เฉยๆ ไปตลอดก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เวลาตัวเองไม่เดือดร้อน แต่มาโวยวายเวลาตัวเองเดือดร้อน โดยไม่เคยคิดถึงเลยว่าสิ่งที่เขา ถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอดเวลา หลายปี เขาเดือดร้อนมายาวนานมากพอแล้ว และพวกเขาต้องทนเดือดร้อนอย่าง นั้นอยู่หลายปี ก็เพราะไม่มีใครออกมาปกป้องช่วยพวกเขาตอนถูกปล้นอำนาจไปเลย ด้วยการอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิต "ปกติ" ให้พวกเขาถูกกดขี่ตาม "ปกติ" ต่อไป หลายครั้งรวมถึงการยินดีชมชอบกับการรัฐประหารและสิ่งพวกนี้ด้วยซ้ำ
ทุกๆ อย่างมันจะไม่แย่ลงๆ ถ้าเรายอมรับในเสียงข้างมาก และเข้าใจหลักประชาธิปไตยที่ให้เสียงข้างมากชี้ขาด และเสียงข้างน้อยได้พูด (ซึ่งได้พูดกันมากมายบานตะไทอยู่แล้ว เต็มตลาดแผงหนังสือและสัญญาณจานดาวเทียมที่มีมากมายเต็มไปหมด) แต่มันจะแย่ลงก็เพราะคนจำนวนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยแต่จะเอาอย่างที่ต้องการให้ได้ต่างหาก แทนที่จะจี้คนเสื้อแดงให้หยุดการเคลื่อนไหวยุบสภา ทำไมเราไม่ไปจี้ไอ้พวกเสียงข้างน้อยพวกนั้นให้หยุดการกระทำย่ำยีคนส่วนมากตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนติดต่อมาถึงทุกวันนี้ล่ะ ปัญหามันเกิดจากคนพวกนั้นต่างหาก
การยุบสภาคือการแก้วิกฤติที่ดีที่สุด วันนี้ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างว่ายุบสภายังไม่ได้ เพราะยังมีวิกฤติความขัดแย้งที่ต้องแก้ แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาวิกฤติทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการที่เสียงข้างน้อยไม่ได้เป็นเสียงข้างน้อยที่ดีตามระบอบประชาธิปไตยต่างหาก แนวทางการแก้ปัญหาวันนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะคืนสิ่งที่เป็นของประชาชนโดยชอบธรรมคืนให้แก่ประชาชน
โดย.อนุธีร์ เดชเทวพร
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
วันนี้หลายคนชอบตั้งคำถามว่ายุบสภาแล้วจะได้อะไร? เพราะทุกคนไม่ว่าจะสีไหน ก็ดูเหมือนจะรู้แก่ใจกันดีอยู่ว่าถ้าพรรคเพื่อไทยเข้ามาเป็นรัฐบาลหลังยุบสภา เดี๋ยวพันธมิตรก็ออกมาอีก แล้วเรื่องก็จะไม่จบ ดูเหมือนจะไม่มีตรรกะอื่นนอกเหนือจากนี้ และทุกคนที่มองเห็นตรรกะเช่นนี้ก็จะไม่ยอมรับการยุบสภาว่าเป็นทางแก้ปัญหา (แต่ตัวเองก็ไม่สามารถหาคำตอบ ได้ว่าจะเดินไปอย่างไรต่อไป หรือมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ ไหม?)
ยุบสภาคือคำตอบที่ดีที่สุด ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก แต่ทำไมพอมาถึงเมืองไทย คนหลายคนในเวลานี้กลับบอกว่าไม่ใช่? ก็เป็นเพราะตรรกะวิธีคิดแบบข้างบน ว่าต้องมีคนออกมาไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก แล้วทำไมแทนที่จะตั้งคำถามว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" ทำไมเราไม่ถามแทนว่า "ทำไมถึงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง?"
ปัญหาทุกวันนี้ไม่ใช่เกิดจากการไม่ยอมเปิดใจรับฟังซึ่งกันและกัน เพราะทุกคนได้พูดปาวๆ กันแทบตาย ทุกฝ่ายหมดแล้ว ต่างคนต่างมีสื่อทางเลือกของตนเองที่หาซื้อได้ในท้องตลาดเต็มไปหมดในราคาถูกๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ทั่วไป หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ เนชั่น ความจริงวันนี้ กระทั่งจานดาวเทียมที่ดู ASTV ได้ ก็สามารถดูของฝ่ายตรงข้ามได้เช่นกัน ปัญหาวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการขาดข้อมูลหรือการไม่มีโอกาสได้เปิดหูเปิดตารับฟังฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ฝ่ายตน ทุกอย่างจากนี้ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของทุกๆ คนแล้ว สภาพการณ์ของทุกวันนี้คือทุกคนต่าง "อิ่ม" ในข้อมูลแล้ว และได้ทำการย่อยจนอยาก "ถ่าย" ออกมาแล้ว และการยุบสภาให้มีการเลือกตั้งใหม่ ก็คือการเปิดทางให้พวกเขาได้ "ถ่าย" ข้อมูลที่พวกเขาย่อยแล้ว สรุปออกมาเป็นปัญหาและความต้องการ ให้พวกเขาได้พูดว่าอะไรคือปัญหา ของบ้านเมืองในเวลานี้ และได้เลือกทางเดินของพวกเขาเอง
ปัญหาวันนี้เกิดขึ้นจากการที่คนส่วนน้อยจำนวนหนึ่งไม่ยอมรับผลการตัดสินใจจากคนส่วนมาก ซึ่งทำกันเช่นนี้มาตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยาฯ แล้ว และต่อเนื่องมาสู่พันธมิตรฯ ที่พร้อมจะทำทุกวิถีทางข้ามหัวคนส่วนใหญ่ ผูกขาดความถูกต้องไว้กับตัวเอง คนเดียว ใช้ตรรกะข้ออ้างว่าพวกตนคนส่วนน้อยคือคนที่รู้ดีที่สุด คือ "คนดี" "มีความรู้" และด่าทอคนส่วนมากที่ยากจนว่า "โง่" "ขาดข้อมูล" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ และใช้ข้ออ้างเหล่านี้ผูกขาดความ ถูกต้องไว้กับตัวเอง ทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ ข้ามหัวคนส่วนใหญ่ รัฐประหาร ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ตุลาการวิบัติ ไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา
วันนี้คนเสื้อแดงคือคนส่วนมากของประเทศ คือคนที่เลือกรัฐบาลของพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และเพื่อไทย และคนที่รักประชาธิปไตยส่วนอื่นๆ ที่ยอมรับกระบวนการรัฐประหารและสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นไม่ได้ ผลการเลือกตั้งพรรคพลังประชาชนได้เสียงส่วนใหญ่ จากจำนวนผู้ลงคะแนนคิดเป็นแบบแบ่งเขต 26 ล้านคน คิดเป็นแบบสัดส่วน 12 ล้านคน (จากผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 44 ล้านคน) พวกเขาเลือกรัฐบาลของเขามาด้วยวิจารณญาณและเจตจำนงของเขาเอง แต่สิทธิเหล่านี้ถูกทำลาย ข้ามหัวและช่วงชิงเอาไปตลอดเวลาด้วยข้อหาว่าพวกเขา "ถูกหลอก" "ถูกใช้เป็นเครื่องมือ" "ถูกซื้อ" ฯลฯ วันนี้พวกเขามาทวงคืนสิงที่ถูกขโมยไปเท่านั้นเอง
และอีกความจริงที่คนจำนวนมากไม่เห็นก็คือพวกเขาไม่ได้มาเพราะถูกจัดจ้างจัดตั้งจากนักการเมือง พวกเขามาด้วยหัวใจของเขาเอง จิตสำนึกของพวกเขาถูกปลุกให้ตื่น จากการถูกกระทำย่ำยีหนักหน่วง ในรอบหลายปีที่ผ่านมา วันนี้พวกเขามาเอง เขาไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยนักการเมืองแต่เพียงฝ่ายเดียว
นักการเมืองอาจจะมีวาระของตนเองในการเข้าร่วมขบวนการกับมวลชน หรือชักนำมวลชนออกมาสู้ แต่ความจริงก็คือไม่ใช่เพียงนักการ เมืองเท่านั้นที่มีวาระ แต่ทว่ามวลชนก็มีของตัวเองเหมือนกัน วันนี้มวลชนก็กำลังใช้นักการเมืองเป็นเครื่องมือของตนเองเหมือนกัน
เพราะนับแต่มีนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ทำได้สำเร็จจริงหลายๆ ประการ แม้จะเต็มไปด้วยปัญหาบ้าง แต่อย่างน้อยการที่นักการเมืองได้ทำนโยบายที่หาเสียงไว้ได้จริง มันก็ได้พัฒนาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจแล้ว ว่าประชาธิปไตยหรือ "สิทธิที่จะเลือก" นักการเมืองพร้อมชุดนโยบายที่พวก เขาต้องการ คือสิ่งที่จะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพวกเขาได้ มันคือกลไกในการดึงเอาทรัพยากรลงมาสู่พวกเขาในรูปแบบที่พวกเขาต้องการได้ เขาสำนึกแล้วว่าวันนี้ประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้เขามี สิทธิเลือกตัวเลือกที่ถูกใจ ที่สุดในการพัฒนาชีวิตของพวก เขา ถ้านักการเมืองทำได้ดีจริง พวกเขาก็จะเลือกต่อไป ถ้าทำไม่ได้ พวกเขาก็จะไม่เลือกต่อไป สิ่งนี้ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวเองให้เข้ากับความต้องการของประชาชนตลอดเวลา ทำให้นักการเมืองถูกกดดันที่จะต้องทำให้ประชาชนพอใจ มิเช่นนั้น มันอาจหมายถึงการดับสูญของอนาคตทางการเมืองของพวกเขาได้
เพราะฉะนั้น ประชาชนไม่ได้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองในการได้มาซึ่งคะแนนเสียงและตำแหน่งเท่านั้น นักการเมืองวันนี้ กลับกลายมาเป็นเครื่องมือของประชาชน ในการดึงการพัฒนามาสู่ ชุมชนและชีวิตของพวกเขาด้วย เช่นกัน มันคือการแลกเปลี่ยนกันผ่านกลไก การเลือกตั้ง มันเป็นเหมือนการยื่นหมูยื่นแมว หากฝ่ายการเมืองไม่ได้ยื่นสิ่งที่ประชาชนต้องการให้แก่ประชาชน ประชาชนก็จะไม่ยื่นในสิ่งที่นักการเมืองต้องการให้แก่นักการเมือง
ไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ผลประโยชน์ของนักการเมือง จะสามารถสอดคล้องและไปด้วยกันกับผลประโยชน์ของประชาชนได้เช่นนี้ ซึ่งนี่เป็นกลไกปกติที่สุดตามระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแล้ว ในบ้านเมืองนี้ ซึ่งเผด็จการไม่สามารถมีให้ได้ วันนี้พวกเขาเลือกนักการเมืองด้วยจิตสำนึกเช่นนี้ พวกเขามาด้วยจิตสำนึกเช่นนี้
เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่า "ยุบสภาแล้วได้อะไร?" เป็นคำถามที่ดูไม่ใช่คำถามของคน ที่เข้าใจประชาธิปไตยเลย ทำไมแทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของ คนส่วนมาก แทนที่เราจะยืนยันในสิทธิของพวก เขาอย่างแข็งขัน แทนที่เราจะยืนยันเพื่อที่จะเคารพสิทธิของพวกเขา และเชื่อในวิจารณญาณของพวกเขา แทนที่เราจะยืนยันในหลักการประชาธิปไตย ที่ให้เสียงข้างมากได้ ชี้ขาด และให้เสียงข้างน้อยได้พูดโน้ม น้าว เรากลับไปยืนยันสิทธิของคนส่วน น้อยที่จะเอาอย่างที่กูต้อง การให้ได้โดยไม่สนวิถีทาง
ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะตราบใดที่เราให้น้ำหนักแก่ความเอาแต่ใจของเสียงข้างน้อยที่จะทำทุกอย่างได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ให้น้ำหนักถึงขั้นที่ว่าเราไม่ กล้าที่จะยืนยันความชอบธรรม ของเสียงข้างมาก ด้วยตรรกะประเภทที่ว่า "ยุบสภาไม่ใช่ทางออก เพราะพันธมิตรจะกลับมาล้มรัฐบาล อีก" หลายคนอาจพูดด้วยความรู้สึกเป็น กลาง แต่หารู้ไม่เลยว่าการพูดเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยอมรับให้พันธมิตร กลับมาได้ เพราะเป็นการยืนยันว่าเสียงข้าง น้อยอย่างพันธมิตรมีสิทธิ ที่จะทำตามใจชอบได้ แทนที่จะยืนยันในสิทธิของเสียงข้างมาก
แล้วคำถามก็คือทำไมเราต้องยอม ให้พันธมิตรกลับมาล้มรัฐบาลล่ะ? ทำไมเรายังคงยืนยันให้พันธมิตรกลับมาได้แทนที่จะต่อต้านอย่างแข็งขันล่ะ ทำไมแทนที่เราจะยอมรับประชาชนคนส่วนใหญ่ตามระบอบประชาธิปไตย เรากลับไปยอมรับว่าพันธมิตรสามารถกลับมาล้มรัฐบาลได้? ไม่ใช่ว่าพันธมิตรไม่มีสิทธิออก มาเคลื่อนไหวเลย แต่พันธมิตรมีสิทธิที่จะเคลื่อนไหวเพื่อเป้าหมายในการ "โน้มน้าว" ใจคนส่วนใหญ่ให้เชื่ออย่างที่ตน เห็นว่าจริง เพื่อนำเอาประชาชนส่วนใหญ่ไปล้มรัฐบาลตามวิถีประชาธิปไตย แต่ทว่าที่ผ่านมา พันธมิตรฯกลับเคลื่อนไหวในแนวทาง ของการ "จะเอาให้ได้" ตลอด ทั้งๆ ที่ไม่เคยสามารถกินใจประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ได้เลย ซึ่งไม่ใช่หลักการใช้เสียข้างน้อยที่ถูกต้องเลยแม้แต่น้อย
ตามหลักประชาธิปไตยแล้ว หากเสียงข้างน้อยทำไม่สำเร็จในการโน้มน้าวใจคน นั่นก็คือความล้มเหลวของเสียง ข้างน้อยเอง ที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนส่วนใหญ่หันมาเชื่อตนเองได้ ไม่ว่าจะด้วยการที่ไม่พยายามมาก พอ หรือไม่พยายามเลย กระทั่งมีความอดทนไม่มากพอ หรือแม้แต่การที่ความเชื่อของพวกเขานั้นผิดและไม่สามารถสอดคล้องไปกับความต้องการของมวลชนที่แท้จริงได้
แต่วันนี้กลับเป็นเรื่องแปลกประหลาดยิ่งนัก ที่เสียงข้างน้อยที่ล้มเหลวในการกินใจประชาชนอย่างขบวนการพันธมิตรฯ กลับไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเอง กลับไปโทษว่าเป็นความผิดของชาวบ้านที่ "งมงาย" หรือ "ขาดข้อมูล" ซึ่งไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่น้อย (อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ข้อมูลข่าวสารในท้องตลาดของทุกฝ่าย มีออกมาในราคาถูกพอหาซื้อได้เต็มไปหมด) น่าเสียใจที่ขบวนการพันธมิตรฯ ที่มีคนเป็น "สหาย" เก่าในขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศไทย ไม่สามารถจะซึมซับเอาวิธีการบทเรียนแห่งความอดทนของพรรคมาใช้ได้
ในอดีต ผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์ ทำงานด้วยความอดทนในพื้นที่ ต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อพยายามโน้มน้าวมวลชนให้ได้ พวกเขาใช้เวลานับสิบปี ยี่สิบปี พยายามทำให้สำเร็จ แม้จะล้มเหลวก็ตามทีในบั้นปลาย ด้วยความพ่ายแพ้ป่าแตก แต่วันนี้มวลชนจำนวนมากในชนบทที่เคยผ่านการใช้ความพยายามของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ลงไปทำงานความคิดกับพวกเขา กลับยังคงเชื่อมั่นและนับถือพรรค ที่เคยต่อสู้เพื่อพวกเขา และหลายคนยังคงรอวันพรรคกลับมาอยู่ด้วยซ้ำไป พวกเขาก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดและสำเร็จในขั้นหนึ่งในการกินใจประชาชน แม้จะล้มเหลวในการเปลี่ยนประเทศ นี้ก็ตามที
ต่างกับพันธมิตรที่ไม่เคยใช้ความพยายามเหล่านี้เลย ความพยายามที่พวกเขาใช้มาตลอดเวลา กลับกลายเป็นความพยายามในการผลักมวลชนและแนวร่วมออกไปไกลยิ่งขึ้น ด้วยการด่าทอพวกเขาว่า "โง่" "งมงาย" "ถูกซื้อได้" ฯลฯ
สิ่งที่เราควรจะสื่อสารถึงทุกฝ่าย ในวันนี้ควรจะเป็นว่า 1. คุณมีสิทธิแสดงความคิดเห็น และใช้โอกาสนั้นโน้มน้าวคนส่วนใหญ่ให้เห็นด้วยกับคุณให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณล้มเหลวเอง 2. คุณต้องยอมรับผลของการเลือกตั้ง จากคนส่วนใหญ่ของประเทศ และการยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่คือทางออกที่ดีที่สุด เพราะพันธมิตรในนามพรรคการเมืองใหม่ ฝ่ายเนวิน ประชาธิปัตย์ หรือใครๆ ก็ตามล้วนแต่มี 1 คน 1 เสียงเท่ากัน
ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่ว่ายุบสภาแล้วไม่จบ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าการยุบสภาไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่ามันไม่จบเพราะมีคนส่วนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อย แต่กดขี่ข่มเหงคนส่วนมากตลอดเวลา ขโมยสิทธิของเขาตลอดเวลาและไม่ยอมรับความจริงที่ตัวเองเป็นเสียงข้างน้อย
วันนี้คนเสื้อแดงแค่มาทวงในสิ่งที่เป็นของตนเองอย่างชอบธรรมกลับคืนเท่านั้นเอง พวกเขาถูกขโมยไปอย่างหน้าด้านๆ เมื่อครั้ง 19 กันยาฯ พวกเขาถูกปฏิเสธเมื่อครั้งพันธมิตรชุมนุม และรัฐบาลทุกวันนี้ก็ไม่ใช่รัฐบาลที่พวกเขาเลือก
ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อเกิดรัฐประหาร 19 กันยา ว่าไม่ถูกต้อง ทำไมเราไม่พูดอะไรเมื่อครั้งพันธมิตรฯ มาล้มรัฐบาลเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ร่วมกับทหาร และตุลาการวิบัติ ทำไมเรายืนยันนั่งยันนอนยันให้ พวกเขาถูกกดขี่เหยียดหยามช่วงชิงขโมยสิทธิตลอดเวลาด้วยการอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร
ทำไมเราไม่ออกมาปกป้องสิทธิของคนส่วนมาก จะไม่พูดก็ได้ไม่เป็นไรหรอก จะอยู่เฉยๆ ไปตลอดก็ไม่มีใครว่า แต่ไม่ใช่อยู่เฉยๆ เวลาตัวเองไม่เดือดร้อน แต่มาโวยวายเวลาตัวเองเดือดร้อน โดยไม่เคยคิดถึงเลยว่าสิ่งที่เขา ถูกกระทำย่ำยีมาโดยตลอดเวลา หลายปี เขาเดือดร้อนมายาวนานมากพอแล้ว และพวกเขาต้องทนเดือดร้อนอย่าง นั้นอยู่หลายปี ก็เพราะไม่มีใครออกมาปกป้องช่วยพวกเขาตอนถูกปล้นอำนาจไปเลย ด้วยการอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิต "ปกติ" ให้พวกเขาถูกกดขี่ตาม "ปกติ" ต่อไป หลายครั้งรวมถึงการยินดีชมชอบกับการรัฐประหารและสิ่งพวกนี้ด้วยซ้ำ
ทุกๆ อย่างมันจะไม่แย่ลงๆ ถ้าเรายอมรับในเสียงข้างมาก และเข้าใจหลักประชาธิปไตยที่ให้เสียงข้างมากชี้ขาด และเสียงข้างน้อยได้พูด (ซึ่งได้พูดกันมากมายบานตะไทอยู่แล้ว เต็มตลาดแผงหนังสือและสัญญาณจานดาวเทียมที่มีมากมายเต็มไปหมด) แต่มันจะแย่ลงก็เพราะคนจำนวนหนึ่งที่เป็นเสียงข้างน้อยแต่จะเอาอย่างที่ต้องการให้ได้ต่างหาก แทนที่จะจี้คนเสื้อแดงให้หยุดการเคลื่อนไหวยุบสภา ทำไมเราไม่ไปจี้ไอ้พวกเสียงข้างน้อยพวกนั้นให้หยุดการกระทำย่ำยีคนส่วนมากตั้งแต่เมื่อ 3 ปีก่อนติดต่อมาถึงทุกวันนี้ล่ะ ปัญหามันเกิดจากคนพวกนั้นต่างหาก
การยุบสภาคือการแก้วิกฤติที่ดีที่สุด วันนี้ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างว่ายุบสภายังไม่ได้ เพราะยังมีวิกฤติความขัดแย้งที่ต้องแก้ แต่หารู้ไม่ว่าปัญหาวิกฤติทุกวันนี้ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะการที่เสียงข้างน้อยไม่ได้เป็นเสียงข้างน้อยที่ดีตามระบอบประชาธิปไตยต่างหาก แนวทางการแก้ปัญหาวันนี้ จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะคืนสิ่งที่เป็นของประชาชนโดยชอบธรรมคืนให้แก่ประชาชน
โดย.อนุธีร์ เดชเทวพร
ที่มา.ประชาไท
**********************************************
ความพ่ายแพ้ของสันติวิธี?
ชญานิษฐ์ พูลยรัตน์
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน จนนำไปสู่ยอดการเสียชีวิตกว่า 25 ศพและมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 865 ราย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนวันที่ 22 เมษายน เมื่อระเบิด M79 จำนวน 5 ลูกถูกยิงไปตกที่แยกสีลม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและบาดเจ็บอีกหลายสิบ นับเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงอันเลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งในรอบ 18 ปี ผู้คนจำนวนมาก (กว่าร้อยละ 60 จากผลสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย และอีกไม่น้อยถึงกับสรุปว่านี่คือความพ่ายแพ้ของสันติวิธี แต่จริงหรือที่ว่าสันติวิธีไม่มีที่ทางในสังคมนี้อีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสังคมไทยมีทางเลือกอื่นใด และทางเลือกนั้นจะนำพาสังคมของเราให้เป็นอย่างไร
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายอ้างความชอบธรรมของตนผ่านวิถีทางที่เรียกว่าสันติวิธี ทว่าแต่ละกลุ่มกลับมีนิยามของคำนี้แตกต่างกันไป แม้ว่าสันติวิธีจะไม่ได้มีคำจำกัดความที่ตายตัว หากก็คงไม่ได้หมายถึงอะไรก็ได้ ตามแต่ใครอยากจะเลือกนิยาม ในระดับพื้นฐานที่สุด สันติวิธีคือการไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นในทางกายภาพ หากพิจารณาตามหลักการเบื้องต้นนี้ จะพบว่าก่อนเหตุการณ์การปะทะกันในวันที่ 10 เมษายน หลายฝ่ายพยายามยึดมั่นในหลักการสันติวิธีอยู่ไม่น้อย ทั้งการชุมนุมแสดงพลังโดยปราศจากอาวุธของกลุ่มต่างๆ ควบคู่ไปกับการอำนวยการจากภาครัฐ คงยากจะปฏิเสธว่าพลังแห่งสันติวิธีนี้มีส่วนสำคัญให้คู่ขัดแย้ง ได้แก่ ตัวแทนจากรัฐบาลและแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. สามารถนั่งร่วมโต๊ะเจรจากันได้ ถึงแม้การเจรจาระหว่างสองฝ่ายจะไม่อาจนำไปสู่ข้อยุติของความขัดแย้ง แต่ภาพการเจรจาดังกล่าวก็ได้จุดประกายความหวังให้แก่สังคม อีกทั้งยังเป็นอีกหมุดหลักสำคัญในเส้นทางสันติวิธีและประชาธิปไตยไทย
ต่อมาไม่นาน ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดที่สุดของคืนวันที่ 10 เมษายน ขณะเจ้าหน้าที่ทหารกำลังถอนกำลังที่สี่แยกคอกวัว ชายฉกรรจ์คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งพากันรุกคืบเข้าไปหา ชายหนุ่มซึ่งไม่มีอาวุธในมือแม้แต่ชิ้นเดียว ตัดสินใจเข้าไปยืนขวางระหว่างคนสองกลุ่มเพื่อพยายามห้ามปราม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ยอมรับฟังและหยุดอยู่กับที่ ไม่มีใครรู้ว่าหากเหตุการณ์ในมุมเล็กๆ ไม่ได้คลี่คลายไปเช่นนั้น จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าไร สำหรับหลายคน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าการใช้สันติวิธีในมุมเล็กๆ โดยคนธรรมดาคนหนึ่งสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แม้เพียงชีวิตเดียว ก็อาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สำคัญยิ่งแล้วไม่ใช่หรือ
แม้ในปัจจุบันที่สถานการณ์ตึงเครียด มีการแบ่งฝ่ายและหวาดระแวงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เชื่อมั่นในสันติวิธีอย่างไม่ลดละ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ในฐานะ “สันติอาสาสักขีพยาน” เพื่อบันทึกความเป็นไปในพื้นที่ชุมนุม กระทั่งต้องยอมเสี่ยงอันตรายสวมบทบาทเป็นผู้ร่วมไกล่เกลี่ยคลี่คลายสถานการณ์ระหว่างคู่ขัดแย้งในบางเวลา ผู้คนอีกกลุ่มรวมตัวกันในนาม “เพื่อนรับฟัง” เดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจและฟังความทุกข์จากบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยไม่แบ่งฝักฝ่าย ขณะที่อีกหลากหลายองค์กรภาคประชาชนยืดหยัดเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีและการเจรจาในการยุติข้อขัดแย้ง คุณยายวัย 60 ปีคนหนึ่งกล่าวว่าเธอออกมาร่วมแสดงพลังกับกลุ่มเหล่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้
ในบรรดาเสียงเรียกร้องที่ยังคงมีมาจากหลายฝ่าย ให้คู่ขัดแย้งกลับมาร่วมโต๊ะเจรจากันเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี กลุ่มที่สังคมไทยควรรับฟังมากที่สุดน่าจะเป็นเสียงของบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงในคืนวันที่ 10 เมษายนนั่นเอง ทั้งพลทหารและสมาชิกกลุ่ม นปช. ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความรุนแรง ต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ขึ้นกับใครอีก
ในวันนี้ที่ความอดกลั้นของผู้คนในสังคมดูจะลดน้อยลงเรื่อยๆ กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะยกระดับการกดดันให้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็มีแนวโน้มจะ “ขอพื้นที่คืน” จากกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง และหลากหลายกลุ่มเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดเสียที กระทั่งทยอยกันออกมาเคลื่อนไหวและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ด้วยตนเอง สังคมไทยเริ่มเห็นความรุนแรงเป็นวิธีการ “อันหลีกเลี่ยงไม่ได้” แต่คำถามสำคัญประการหนึ่งที่คนในสังคมอาจจำเป็นต้องช่วยกันตอบได้ให้ก่อน คือ เป็นไปได้จริงหรือที่จะสามารถมีสังคมสงบสันติ โดยก่อร่างสร้างขึ้นมาจากวิธีการรุนแรงท่ามกลางความเกลียดชังกันและกัน
สำหรับอีกหลายคนที่เรียกร้องให้ความขัดแย้งครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะโดยวิธีการอะไร อาจลองพิจารณาย้อนไปถึงรัฐประหารเมื่อปี 2549 ในฐานะวิธีการ “อะไรก็ได้” เพื่อให้ปัญหาจบไปโดยเร็ว ในเวลานี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าไม่เพียงวิธีการอะไรก็ได้นั้นไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งในสังคมยุติหรือบรรเทาลง หากยังพอกพูนให้ปัญหามีความสลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก และส่งผลกระทบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยเลือกจะยุติปัญหาด้วยความรุนแรงควรจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวันนี้ การที่คนไทยลุกขึ้นมาฆ่ากันเองทำให้เราบอบช้ำและยังคงต้องจ่ายราคาให้กับบาดแผลในอดีตกันไม่พออีกหรือ หลายคนจึงเรียกร้องให้เลือกความรุนแรงเป็นวิธีในการยุติปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้อีกครั้ง
แม้สันติวิธีจะไม่เคยรับประกันว่าผู้ใช้สันติวิธีจะไม่เผชิญกับความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม แต่ความตั้งใจให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าต่อผู้ใดฝ่ายใดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็คงไม่อาจถือเป็นชัยชนะของสันติวิธีไปได้ เป็นไปได้ไหมว่าในวันนี้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายจะนิยามชัยชนะแห่งสันติวิธีของตนเสียใหม่ สำหรับฝ่ายรัฐบาล อาจหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงและการสูญเสีย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโดยไม่ใช้อาวุธและกระทำต่อผู้ชุมนุมในฐานะเพื่อนร่วมสังคม ส่วนชัยชนะแห่งสันติวิธีสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดง อาจหมายถึงการแสดงพลังเพื่อกดดันรัฐบาลและสังคม จนกลายมาเป็นตัวแสดงสำคัญในทางการเมือง ทว่าพลังทางการเมืองโดยลำพังย่อมไม่ใช่จุดมุ่งหมายในตัวของมันเอง วันนี้โจทย์สำคัญสำหรับคนเสื้อแดงจึงอาจไม่ใช่การกดดันยืดเยื้อและมุ่งสร้างความเกลียดชัง โดยไม่สนใจว่าจะมีความสูญเสียใดตามมา หากแต่จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเรียกร้องของกลุ่ม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือยังคงรักษาชีวิตของมวลชนเอาไว้ได้
วันนี้ไม่ว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายใดหรือเห็นว่าสังคมการเมืองไทยควรดำเนินต่อไปในทิศทางไหน หากเราเห็นตรงกันว่าอยากให้อนาคตของสังคมไทยยังคงเป็นสังคมแห่งความสงบสุขสันติ อาจถึงเวลาแล้วที่ผู้คนในสังคมจะหันมายึดมั่นกับสันติวิธีอย่างจริงจังในฐานะวิถีทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่มา.ประชาไท
********************************************
คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เมื่อคืนวันที่ 10 เมษายน จนนำไปสู่ยอดการเสียชีวิตกว่า 25 ศพและมีผู้บาดเจ็บรวมทั้งสิ้น 865 ราย และความรุนแรงที่เกิดขึ้นอีกครั้งในคืนวันที่ 22 เมษายน เมื่อระเบิด M79 จำนวน 5 ลูกถูกยิงไปตกที่แยกสีลม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและบาดเจ็บอีกหลายสิบ นับเป็นความรุนแรงซึ่งเกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวงอันเลวร้ายที่สุดอีกครั้งหนึ่งในรอบ 18 ปี ผู้คนจำนวนมาก (กว่าร้อยละ 60 จากผลสำรวจความคิดเห็นของสวนดุสิตโพล) ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ในประเทศไทย และอีกไม่น้อยถึงกับสรุปว่านี่คือความพ่ายแพ้ของสันติวิธี แต่จริงหรือที่ว่าสันติวิธีไม่มีที่ทางในสังคมนี้อีกต่อไป ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงสังคมไทยมีทางเลือกอื่นใด และทางเลือกนั้นจะนำพาสังคมของเราให้เป็นอย่างไร
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง หลายฝ่ายอ้างความชอบธรรมของตนผ่านวิถีทางที่เรียกว่าสันติวิธี ทว่าแต่ละกลุ่มกลับมีนิยามของคำนี้แตกต่างกันไป แม้ว่าสันติวิธีจะไม่ได้มีคำจำกัดความที่ตายตัว หากก็คงไม่ได้หมายถึงอะไรก็ได้ ตามแต่ใครอยากจะเลือกนิยาม ในระดับพื้นฐานที่สุด สันติวิธีคือการไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นในทางกายภาพ หากพิจารณาตามหลักการเบื้องต้นนี้ จะพบว่าก่อนเหตุการณ์การปะทะกันในวันที่ 10 เมษายน หลายฝ่ายพยายามยึดมั่นในหลักการสันติวิธีอยู่ไม่น้อย ทั้งการชุมนุมแสดงพลังโดยปราศจากอาวุธของกลุ่มต่างๆ ควบคู่ไปกับการอำนวยการจากภาครัฐ คงยากจะปฏิเสธว่าพลังแห่งสันติวิธีนี้มีส่วนสำคัญให้คู่ขัดแย้ง ได้แก่ ตัวแทนจากรัฐบาลและแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. สามารถนั่งร่วมโต๊ะเจรจากันได้ ถึงแม้การเจรจาระหว่างสองฝ่ายจะไม่อาจนำไปสู่ข้อยุติของความขัดแย้ง แต่ภาพการเจรจาดังกล่าวก็ได้จุดประกายความหวังให้แก่สังคม อีกทั้งยังเป็นอีกหมุดหลักสำคัญในเส้นทางสันติวิธีและประชาธิปไตยไทย
ต่อมาไม่นาน ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียดที่สุดของคืนวันที่ 10 เมษายน ขณะเจ้าหน้าที่ทหารกำลังถอนกำลังที่สี่แยกคอกวัว ชายฉกรรจ์คนเสื้อแดงกลุ่มหนึ่งพากันรุกคืบเข้าไปหา ชายหนุ่มซึ่งไม่มีอาวุธในมือแม้แต่ชิ้นเดียว ตัดสินใจเข้าไปยืนขวางระหว่างคนสองกลุ่มเพื่อพยายามห้ามปราม ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่กลุ่มชายฉกรรจ์ก็ยอมรับฟังและหยุดอยู่กับที่ ไม่มีใครรู้ว่าหากเหตุการณ์ในมุมเล็กๆ ไม่ได้คลี่คลายไปเช่นนั้น จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าที่เป็นอยู่อีกเท่าไร สำหรับหลายคน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาจเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้าการใช้สันติวิธีในมุมเล็กๆ โดยคนธรรมดาคนหนึ่งสามารถรักษาชีวิตไว้ได้ แม้เพียงชีวิตเดียว ก็อาจถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สำคัญยิ่งแล้วไม่ใช่หรือ
แม้ในปัจจุบันที่สถานการณ์ตึงเครียด มีการแบ่งฝ่ายและหวาดระแวงกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมีผู้คนอีกไม่น้อยที่เชื่อมั่นในสันติวิธีอย่างไม่ลดละ อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของตนโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ในฐานะ “สันติอาสาสักขีพยาน” เพื่อบันทึกความเป็นไปในพื้นที่ชุมนุม กระทั่งต้องยอมเสี่ยงอันตรายสวมบทบาทเป็นผู้ร่วมไกล่เกลี่ยคลี่คลายสถานการณ์ระหว่างคู่ขัดแย้งในบางเวลา ผู้คนอีกกลุ่มรวมตัวกันในนาม “เพื่อนรับฟัง” เดินทางไปเยี่ยมเยียนเพื่อให้กำลังใจและฟังความทุกข์จากบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บในเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เมษายน โดยไม่แบ่งฝักฝ่าย ขณะที่อีกหลากหลายองค์กรภาคประชาชนยืดหยัดเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใช้สันติวิธีและการเจรจาในการยุติข้อขัดแย้ง คุณยายวัย 60 ปีคนหนึ่งกล่าวว่าเธอออกมาร่วมแสดงพลังกับกลุ่มเหล่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เพียงเพราะไม่อยากเห็นความรุนแรงเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้
ในบรรดาเสียงเรียกร้องที่ยังคงมีมาจากหลายฝ่าย ให้คู่ขัดแย้งกลับมาร่วมโต๊ะเจรจากันเพื่อหาทางออกจากความขัดแย้งโดยสันติวิธี กลุ่มที่สังคมไทยควรรับฟังมากที่สุดน่าจะเป็นเสียงของบรรดาผู้ได้รับบาดเจ็บจากความรุนแรงในคืนวันที่ 10 เมษายนนั่นเอง ทั้งพลทหารและสมาชิกกลุ่ม นปช. ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากความรุนแรง ต่างก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงแบบนี้ขึ้นกับใครอีก
ในวันนี้ที่ความอดกลั้นของผู้คนในสังคมดูจะลดน้อยลงเรื่อยๆ กลุ่มคนเสื้อแดงประกาศจะยกระดับการกดดันให้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลก็มีแนวโน้มจะ “ขอพื้นที่คืน” จากกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้ง และหลากหลายกลุ่มเรียกร้องกดดันให้รัฐบาลจัดการกับปัญหานี้อย่างเด็ดขาดเสียที กระทั่งทยอยกันออกมาเคลื่อนไหวและเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ความขัดแย้งนี้ด้วยตนเอง สังคมไทยเริ่มเห็นความรุนแรงเป็นวิธีการ “อันหลีกเลี่ยงไม่ได้” แต่คำถามสำคัญประการหนึ่งที่คนในสังคมอาจจำเป็นต้องช่วยกันตอบได้ให้ก่อน คือ เป็นไปได้จริงหรือที่จะสามารถมีสังคมสงบสันติ โดยก่อร่างสร้างขึ้นมาจากวิธีการรุนแรงท่ามกลางความเกลียดชังกันและกัน
สำหรับอีกหลายคนที่เรียกร้องให้ความขัดแย้งครั้งนี้จบลงอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะโดยวิธีการอะไร อาจลองพิจารณาย้อนไปถึงรัฐประหารเมื่อปี 2549 ในฐานะวิธีการ “อะไรก็ได้” เพื่อให้ปัญหาจบไปโดยเร็ว ในเวลานี้น่าจะเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนแล้วว่าไม่เพียงวิธีการอะไรก็ได้นั้นไม่ได้ทำให้ความขัดแย้งในสังคมยุติหรือบรรเทาลง หากยังพอกพูนให้ปัญหามีความสลับซับซ้อนมากขึ้นไปอีก และส่งผลกระทบต่อมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ที่สังคมไทยเลือกจะยุติปัญหาด้วยความรุนแรงควรจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับวันนี้ การที่คนไทยลุกขึ้นมาฆ่ากันเองทำให้เราบอบช้ำและยังคงต้องจ่ายราคาให้กับบาดแผลในอดีตกันไม่พออีกหรือ หลายคนจึงเรียกร้องให้เลือกความรุนแรงเป็นวิธีในการยุติปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่นี้อีกครั้ง
แม้สันติวิธีจะไม่เคยรับประกันว่าผู้ใช้สันติวิธีจะไม่เผชิญกับความรุนแรงจากฝ่ายตรงข้าม แต่ความตั้งใจให้เกิดความสูญเสียไม่ว่าต่อผู้ใดฝ่ายใดเพื่อประโยชน์ทางการเมือง ก็คงไม่อาจถือเป็นชัยชนะของสันติวิธีไปได้ เป็นไปได้ไหมว่าในวันนี้คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายจะนิยามชัยชนะแห่งสันติวิธีของตนเสียใหม่ สำหรับฝ่ายรัฐบาล อาจหมายถึงการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ให้เกิดความรุนแรงและการสูญเสีย เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการโดยไม่ใช้อาวุธและกระทำต่อผู้ชุมนุมในฐานะเพื่อนร่วมสังคม ส่วนชัยชนะแห่งสันติวิธีสำหรับกลุ่มคนเสื้อแดง อาจหมายถึงการแสดงพลังเพื่อกดดันรัฐบาลและสังคม จนกลายมาเป็นตัวแสดงสำคัญในทางการเมือง ทว่าพลังทางการเมืองโดยลำพังย่อมไม่ใช่จุดมุ่งหมายในตัวของมันเอง วันนี้โจทย์สำคัญสำหรับคนเสื้อแดงจึงอาจไม่ใช่การกดดันยืดเยื้อและมุ่งสร้างความเกลียดชัง โดยไม่สนใจว่าจะมีความสูญเสียใดตามมา หากแต่จะทำอย่างไรเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อเรียกร้องของกลุ่ม โดยมีเงื่อนไขสำคัญคือยังคงรักษาชีวิตของมวลชนเอาไว้ได้
วันนี้ไม่ว่าจะเลือกอยู่ฝ่ายใดหรือเห็นว่าสังคมการเมืองไทยควรดำเนินต่อไปในทิศทางไหน หากเราเห็นตรงกันว่าอยากให้อนาคตของสังคมไทยยังคงเป็นสังคมแห่งความสงบสุขสันติ อาจถึงเวลาแล้วที่ผู้คนในสังคมจะหันมายึดมั่นกับสันติวิธีอย่างจริงจังในฐานะวิถีทางในการแก้ปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ที่มา.ประชาไท
********************************************
"บิ๊กป๊อก"จวกพวกอำมหิตยิงปชช.ที่สีลม เผยรู้ตัวคนทำแล้ว ชี้บางคนอยู่ในกองทัพแต่ไร้ตำแหน่ง
"บิ๊กป๊อก"จวกพวกอำมหิตยิงปชช.ที่สีลม เผยรู้ตัวคนทำแล้ว ชี้บางคนอยู่ในกองทัพแต่ไร้ตำแหน่ง
"อนุพงษ์"ชี้พวกอำมหิตยิงคนที่สีลม รู้ตัวคนทำแล้ว คาดพวกใช้อาวุธเป็น"อดีตทหาร-ขรก." หมอพรทิพย์มั่นใจ1เดือนรู้ผลอาวุธ เปรยคนส่งข่าวให้ระวังตัว นปช.ท้ารบ.ส่งจนท.พิสูจน์ยิงจากม็อบ พท.พาญาติเหยื่อ10เม.ย.ร้องปปช.
"พรทิพย์"คาด1เดือนรู้ผลอาวุธ
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะกรรมการศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ยังคงเร่งตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมในการติดตามหากลุ่มคนร้ายยิงเอ็ม79ใส่ประชาชนบริเวณแยกศาลาแดง ถนนสีลม กรุงเทพหมานคร เมื่อวันที่ 22 เมษายน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งนี้เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เมษายน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เดินทางมายังรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดงเพื่อนำหลังคาที่มีร่องรอยระเบิดกลับไปตรวจหาวิถีอีกครั้ง
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบว่ารฟม.(การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) จะปรับเปลี่ยนอาคารที่ได้รับความเสียหาย จึงมาขอหลังคาจำนวน 3 แผ่น ที่โดนกระสุน 3 จุด เพื่อจะนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธตรวจหาวิถีที่ยิงมา และเพื่อดูร่องรอยว่าเป็นกระสุนปืนชนิดไหน เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุอีก 2 จุดว่าเป็นกระสุนชนิดเดียวกันหรือไม่ เมื่อทราบว่าเป็นกระสุนชนิดใดจะสามารถบอกถึงอาวุธที่ยิงได้ ไม่เกิน 1 เดือนน่าจะรู้ผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ปฏิเสธจะตอบคำถามว่ากระสุนยิงมาจากตึกสูงจริงหรือไม่ จากนั้นกล่าวทีเล่นทีจริงว่า แค่นี้ก็มีคนส่งข่าวให้หมอระวังตัวแล้วเนี่ย
"ป๊อก"ชี้พวกอำมหิตยิงสีลม
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวตอบคำถามพิธีกรในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"เช้าวันเดียวกัน ตอนหนึ่งถึงเหตุการณ์ใช้อาวุธยิงประชาชนที่ถนนสีลม ว่า เหตุการณ์เมื่อ 2-3 วัน (สีลม)ที่ผ่านมา ได้รับมอบภารกิจให้ดูแลย่านสีลม ไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้าไปมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทหารก็วางกำลัง รวมทั้งการป้องกันตนเองจากบทเรียนในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ว่าป้องกันไม่ให้ยิงที่ตั้งของทางทหารได้ และแบ่งหน้าที่อีกส่วนหนึ่งให้ตำรวจดูแลมวลชนสองกลุ่ม อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าตำรวจเอง และทหารเองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนจิตใจอำมหิตที่จะใช้อาวุธยิงเข้าไปในกลุ่มประชาชนได้ และอย่างที่ทราบบางคนนั้นไม่ได้อยู่ในการชุมนุมด้วย เพราะฉะนั้นมาตรการทางทหารก็ต้องมีมาตรการเข้มข้นขึ้น และต้องรัดกุมด้วย
รู้ตัวกลุ่มใช้อาวุธจัดตั้งมา
เมื่อถามว่ามีการยิงเอ็ม 79 กว่า 40 กว่าครั้ง ยืนยันได้หรือไม่ว่าอาวุธไม่ได้หลุดไปจากคลังอาวุธของกองทัพ โดยเฉพาะอาร์พีจีที่ยิงใส่คลังน้ำมันปตท. พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่าก่อนหน้าวันนั้นได้รับข่าว และท่านนายกฯ(นายอภิสิทธิ์) ก็ได้ทราบแล้ว ท่านรองนายกฯ สุเทพ(นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ก็ทราบแล้วว่าจะมีการเอาอาวุธอาร์พีจีเข้ามาจำนวน และเราก็พยายามให้หน่วยนี้ได้สกัดกั้น ไม่ทราบว่าจะเป็นจำนวนเดียวกันหรือไม่อย่างไรก็ตาม และมีเหตุการณ์เกิดขึ้น
"ถ้าถามว่าอาวุธยุทโธปกรณ์บ้านเมืองนี้ก็ต้องใช้กฎหมาย เราเป็นทหารก็จะช่วยเหลือตำรวจอย่างเต็มความสามารถที่จะช่วยกันกำจัดอาวุธสงครามเหล่านี้ให้หมดจากสังคมไป อันนั้นคือเรื่องตัวอาวุธ ส่วนเรื่องของตัวบุคคลนั้น ก็ทราบๆ กันอยู่ว่ามีการจัดตั้งกันขึ้นมา ซึ่งบางคนก็ยังอยู่ในกองทัพ แต่ว่าไม่มีตำแหน่งหน้าที่เท่าที่ทราบ ส่วนที่เหลือนั้นคาดว่าคงจะไม่ใช้ อาจจะเป็นอดีตหรือเป็นผู้ที่เคยเป็นข้าราชการที่เคยใช้อาวุธมา"ผบ.ทบ.กล่าว
นปช.ท้ารัฐบาลพิสูจน์ม็อบยิง
ก่อนหน้านี้ เวลา 11.20 น. นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการยิงระเบิดเอ็ม79 ไปยังถนนสีลม เป็นการยิงออกมาจากพื้นที่ชุมนุมสวนลุมพินี ว่าขอให้นายอภิสิทธิ์ เลิกหลอกลวงคนไทย เพราะกองพิสูจน์หลักฐาน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังไม่ได้ออกมายืนยันว่ายิงมาจากทิศทางใด หากรัฐบาลมีมือยิงเอ็ม79 ที่ดีที่สุดให้ออกมาทดลองยิง โดยใช้พื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง แล้วทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาได้ ตนพร้อมคนเสื้อแเดงจะหยุดชุมนุมและจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป แต่หากรัฐบาลทำไม่ได้ ก็ขอให้รัฐบาลหยุดพูด เพราะจะสร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มเสื้อแดงอย่างมาก
พท.พาเหยื่อ10เม.ย.ร้องปปช.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่าจะพาญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อ 10 เมษายนที่ผ่านมาไปยื่นข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ใน เวลา 10.00 น. วันที่ 26 เมษายนนี้ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และผู้บังคับบัญชาทหารที่เกี่ยวข้อง ทีใช้กำลังและสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม ล้อมปราบ และสลายการชุมนุมประชาชนโดยมิชอบโดยกฎหมาย ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมเสียชีวิต และบาดเจ็บ ซึ่งมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการ ฐานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ปูด"รบพิเศษ"ยิงเอ็ม79สีลม
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีที่มีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมถนนสีลม ว่า การยิงเป็นลักษณะเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ศูนย์รักษาความปลอดภัย กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงให้ข้อมูลว่าอาวุธที่ยิงที่สีลม กับกรมทหารราบที่ 1 น่าจะเป็นชนิดเดียวกัน คือเอ็ม 32 ที่บรรจุกระสุนเอ็ม 79 ได้ครั้งละ 6 นัดแบบเหมือนลูกโม่ ซึ่งมีอยู่ประจำการในหน่วยรบพิเศษเท่านั้น หน่วยทหารปกติทั่วไปจะไม่มีใช้
"ทั้งนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า 1. อาวุธที่ยิงกระสุน เอ็ม 79 ที่ถนนสีลม เป็นอาวุธร้ายแรงที่อยู่ในหน่วยรบพิเศษ การนำมาใช้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่ประจำการเท่านั้น 2.ผู้ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บทั้งหมดเป็นประชาชนไม่มีทหาร 3. การยิงกระสุน เอ็ม 79 ที่กรมทหารราบที่ 1 ขณะนี้คดียังไม่คืบหน้าหาคนผิดยังไม่ได้ เงียบไปเฉยๆ เหมือนเจอตอ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล และ พล.อ.อนุพงษ์ ให้ตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่าอาวุธร้ายแรงหลุดมาก่อเหตุจากหน่วยไหน ใครเป็นคนสั่งให้ไอ้โม่งสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เรื่องนี้เกลือเป็นหนอนท่ามกลาง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถ้ารัฐบาลและพล.อ.อนุพงษ์ มีความจริงใจคงจะหาคนผิดมาลงโทษได้ไม่ยาก"โฆษกพท.ระบุ
หา"กสม."ตั้งอนุฯไม่เป็นกลาง
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อ 10 เมษายน ว่า การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวน่าจะไม่มีความเป็นกลาง จนอาจทำให้ผลการตรวจสอบการสลายการชุมนุมของอนุกรรมการชุดนี้มีปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับไปด้วย เนื่องจากอนุกรรมการหลายคนน่าจะมีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมตรวจสอบเหตุการณ์ด้วย เช่น นายนิรันด์ พิทักษ์วัชระ น.ส.สารี อ่องสมหวัง และ พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ผู้ที่มีส่วนในการใช้กำลังทหารในการสลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน 2553
"ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสิทธิฯ บางคนขอให้พท.และกลุ่มนปช.เสนอบุคคลเข้าเป็นอนุกรรมการ ฝ่ายละ 2 คน แต่ยังไม่ทันเสนอก็ยังรีบลุกลี้ ลุกลน แต่งตั้งกันไปก่อน อย่างผิดสังเกต ทำให้มองได้ว่ากสม.น่าจะถือหางฝ่ายรัฐบาล เรื่องนี้ไม่ต้องสอบก็พอจะรู้ผลว่าจะออกมาเช่นไร "โฆษกพท.กล่าวและว่า ควรให้ศาลยุติธรรมดำเนินการไต่สวน ตามที่ญาติของผู้ที่เสียชีวิตแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสน.ชนะสงคราม ซึ่งจะทำให้เป็นที่ยอมรับของญาติผู้เสียหายและทุกฝ่าย
พท.จี้ตำรวจฮึดถูกปืนจี้หัว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ไกรสีห์ สุวรรณงาม รองผกก.ป.สน.พระโขนง นำกำลังเข้าจับกุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ แต่กลับถูกนายทหารเอาปืนจี้ศีรษะ เพื่อไม่ให้จับกุมและยังขู่ให้ถอยกลับออกไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะมีนัยยะ 2 ประการ คือ 1. กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีวันที่ 22 เมษายนถูกจัดตั้งขึ้นมาบางส่วน โดยการรับรู้ของฝ่ายทหารเพื่อมาสร้างสถานการณ์ และ 2. การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยุคนายอภิสิทธิ์ถูกปกครองโดยมีทหารเป็นใหญ่ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และหมิ่นเกียรติยศศักดิ์ศรีของตำรวจที่รักษากฎหมาย
"จึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ปัจจุบันและเกษีณรอายุราชการไปแล้วได้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติยศ โดยเฉพาะพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร. ควรออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกระทำย่ำยีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับการอยู่ภายใต้ท๊อปบูทของทหาร ถ้าเรื่องเงียบหายไปพล.ต.อ.ปทีปคงอยู่ในตำแหน่งไม่ได้"โฆษกพท.กล่าว
ตร.เผยบิ๊ก2สีกำลังเคลียร์
ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5(ผบก.น.5) กล่าวว่ายังอยู่ระหว่างรอ พ.ต.ท.ไกรสีห์ ทำรายงานชี้แจงมาถึงกรณีมีข่าวเหตุการณ์ถูกทหารเอาปืนจี้หัวไม่จับกุมกลุ่มผู้ยั่วยุก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกัน เพราะเหตุการณ์วันเกิดเหตุที่ถนนสีลม ระหว่างกลุ่มคนสีลมเผชิญหน้าอยู่กับคนเสื้อแดง มีกลุ่มฮาร์ดคอร์2กลุ่มรวมประมาณ 40 คน ปะปนอยู่กับกลุ่มคนสีลมขว้างปาสิ่งของใส่กลุ่มนปช.เพื่อให้เกิดความยั่วยุกัน ทำให้สิ่งของที่ถูกขว้างปามาจากฝ่ายตรงข้าม ถูกตำรวจชุดกองร้อยควบคุมฝูงชนปราบจลาจล(ปจ.)และพ.ต.อ.วราวุธ ทวีชัยการ รองผบก.น.5 บาดเจ็บ
"ทางตำรวจปจ.ซึ่งตั้งแถวป้องกันอยู่ตรงกลางจึงใช้เครื่องมือปจ.ผลักดันกลุ่มคนสีลมและเชื่อว่ามีกลุ่มฮาร์ดคอร์ปะปนอยู่ด้วยเข้าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆบนถนนหลังแนวรั้วกั้นของทหารอยากจะทำความเข้าใจในจุดนี้ หากทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันประเทศไทยก็จะไม่มีใครเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะทั้งสองหน่วยมีทั้งรุ่นพี่-รุ่นน้อง"ผบก.น.5ระบุ
กทม.ทำบุญเหยื่อ10เมษาฯ
ก่อนหน้านี้ เวลา 07.00 น. ที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. และคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าภาพจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน บนถนนราชดำเนินและสี่แยกคอกวัว โดยนิมนต์พระราชาคณะ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และมีการตักบาตรพระสงฆ์ 199 รูป พร้อมกับสวดบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลด้วย มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 300 คน อาทิ สมาคมผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล สมาคมผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ ประชาชนในชุมนุมใกล้เคียง แต่ไม่มีญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์10 เมษายนเข้าร่วมแต่อย่างใด
นายถนอม อ่อนเกตุพล โฆษก กทม. เปิดเผยว่า เหตุที่ไม่มีญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุ 10 เมษายน อาจเป็นเพราะมีที่พักอยู่ในต่างจังหวัด
ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************
"อนุพงษ์"ชี้พวกอำมหิตยิงคนที่สีลม รู้ตัวคนทำแล้ว คาดพวกใช้อาวุธเป็น"อดีตทหาร-ขรก." หมอพรทิพย์มั่นใจ1เดือนรู้ผลอาวุธ เปรยคนส่งข่าวให้ระวังตัว นปช.ท้ารบ.ส่งจนท.พิสูจน์ยิงจากม็อบ พท.พาญาติเหยื่อ10เม.ย.ร้องปปช.
"พรทิพย์"คาด1เดือนรู้ผลอาวุธ
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ในฐานะกรรมการศูนย์อำนวยการสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) ยังคงเร่งตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมในการติดตามหากลุ่มคนร้ายยิงเอ็ม79ใส่ประชาชนบริเวณแยกศาลาแดง ถนนสีลม กรุงเทพหมานคร เมื่อวันที่ 22 เมษายน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ทั้งนี้เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 เมษายน พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เดินทางมายังรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีศาลาแดงเพื่อนำหลังคาที่มีร่องรอยระเบิดกลับไปตรวจหาวิถีอีกครั้ง
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ให้สัมภาษณ์ว่า ทราบว่ารฟม.(การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย) จะปรับเปลี่ยนอาคารที่ได้รับความเสียหาย จึงมาขอหลังคาจำนวน 3 แผ่น ที่โดนกระสุน 3 จุด เพื่อจะนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธตรวจหาวิถีที่ยิงมา และเพื่อดูร่องรอยว่าเป็นกระสุนปืนชนิดไหน เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับที่เกิดเหตุอีก 2 จุดว่าเป็นกระสุนชนิดเดียวกันหรือไม่ เมื่อทราบว่าเป็นกระสุนชนิดใดจะสามารถบอกถึงอาวุธที่ยิงได้ ไม่เกิน 1 เดือนน่าจะรู้ผล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ปฏิเสธจะตอบคำถามว่ากระสุนยิงมาจากตึกสูงจริงหรือไม่ จากนั้นกล่าวทีเล่นทีจริงว่า แค่นี้ก็มีคนส่งข่าวให้หมอระวังตัวแล้วเนี่ย
"ป๊อก"ชี้พวกอำมหิตยิงสีลม
ด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวตอบคำถามพิธีกรในรายการ"เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์"เช้าวันเดียวกัน ตอนหนึ่งถึงเหตุการณ์ใช้อาวุธยิงประชาชนที่ถนนสีลม ว่า เหตุการณ์เมื่อ 2-3 วัน (สีลม)ที่ผ่านมา ได้รับมอบภารกิจให้ดูแลย่านสีลม ไม่ให้เกิดการบุกรุกเข้าไปมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ ทหารก็วางกำลัง รวมทั้งการป้องกันตนเองจากบทเรียนในวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ว่าป้องกันไม่ให้ยิงที่ตั้งของทางทหารได้ และแบ่งหน้าที่อีกส่วนหนึ่งให้ตำรวจดูแลมวลชนสองกลุ่ม อย่างไรก็ตามเข้าใจว่าตำรวจเอง และทหารเองก็ไม่คาดคิดว่าจะมีคนจิตใจอำมหิตที่จะใช้อาวุธยิงเข้าไปในกลุ่มประชาชนได้ และอย่างที่ทราบบางคนนั้นไม่ได้อยู่ในการชุมนุมด้วย เพราะฉะนั้นมาตรการทางทหารก็ต้องมีมาตรการเข้มข้นขึ้น และต้องรัดกุมด้วย
รู้ตัวกลุ่มใช้อาวุธจัดตั้งมา
เมื่อถามว่ามีการยิงเอ็ม 79 กว่า 40 กว่าครั้ง ยืนยันได้หรือไม่ว่าอาวุธไม่ได้หลุดไปจากคลังอาวุธของกองทัพ โดยเฉพาะอาร์พีจีที่ยิงใส่คลังน้ำมันปตท. พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่าก่อนหน้าวันนั้นได้รับข่าว และท่านนายกฯ(นายอภิสิทธิ์) ก็ได้ทราบแล้ว ท่านรองนายกฯ สุเทพ(นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ก็ทราบแล้วว่าจะมีการเอาอาวุธอาร์พีจีเข้ามาจำนวน และเราก็พยายามให้หน่วยนี้ได้สกัดกั้น ไม่ทราบว่าจะเป็นจำนวนเดียวกันหรือไม่อย่างไรก็ตาม และมีเหตุการณ์เกิดขึ้น
"ถ้าถามว่าอาวุธยุทโธปกรณ์บ้านเมืองนี้ก็ต้องใช้กฎหมาย เราเป็นทหารก็จะช่วยเหลือตำรวจอย่างเต็มความสามารถที่จะช่วยกันกำจัดอาวุธสงครามเหล่านี้ให้หมดจากสังคมไป อันนั้นคือเรื่องตัวอาวุธ ส่วนเรื่องของตัวบุคคลนั้น ก็ทราบๆ กันอยู่ว่ามีการจัดตั้งกันขึ้นมา ซึ่งบางคนก็ยังอยู่ในกองทัพ แต่ว่าไม่มีตำแหน่งหน้าที่เท่าที่ทราบ ส่วนที่เหลือนั้นคาดว่าคงจะไม่ใช้ อาจจะเป็นอดีตหรือเป็นผู้ที่เคยเป็นข้าราชการที่เคยใช้อาวุธมา"ผบ.ทบ.กล่าว
นปช.ท้ารัฐบาลพิสูจน์ม็อบยิง
ก่อนหน้านี้ เวลา 11.20 น. นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) กล่าวถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าการยิงระเบิดเอ็ม79 ไปยังถนนสีลม เป็นการยิงออกมาจากพื้นที่ชุมนุมสวนลุมพินี ว่าขอให้นายอภิสิทธิ์ เลิกหลอกลวงคนไทย เพราะกองพิสูจน์หลักฐาน และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยังไม่ได้ออกมายืนยันว่ายิงมาจากทิศทางใด หากรัฐบาลมีมือยิงเอ็ม79 ที่ดีที่สุดให้ออกมาทดลองยิง โดยใช้พื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง แล้วทำให้เกิดเหตุการณ์เหมือนวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาได้ ตนพร้อมคนเสื้อแเดงจะหยุดชุมนุมและจะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป แต่หากรัฐบาลทำไม่ได้ ก็ขอให้รัฐบาลหยุดพูด เพราะจะสร้างความเกลียดชังให้กับกลุ่มเสื้อแดงอย่างมาก
พท.พาเหยื่อ10เม.ย.ร้องปปช.
ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) กล่าวว่าจะพาญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อ 10 เมษายนที่ผ่านมาไปยื่นข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ใน เวลา 10.00 น. วันที่ 26 เมษายนนี้ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และผู้บังคับบัญชาทหารที่เกี่ยวข้อง ทีใช้กำลังและสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธสงคราม ล้อมปราบ และสลายการชุมนุมประชาชนโดยมิชอบโดยกฎหมาย ทำให้ประชาชนที่มาชุมนุมเสียชีวิต และบาดเจ็บ ซึ่งมีความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในทางราชการ ฐานปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ปูด"รบพิเศษ"ยิงเอ็ม79สีลม
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณีที่มีคนร้ายยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมถนนสีลม ว่า การยิงเป็นลักษณะเดียวกับที่คนร้ายเคยใช้อาวุธปืนเอ็ม 79 ยิงเข้าใส่ศูนย์รักษาความปลอดภัย กรมทหารราบที่ 1 รักษาพระองค์ ร.1 รอ. ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา โดยแหล่งข่าวด้านความมั่นคงให้ข้อมูลว่าอาวุธที่ยิงที่สีลม กับกรมทหารราบที่ 1 น่าจะเป็นชนิดเดียวกัน คือเอ็ม 32 ที่บรรจุกระสุนเอ็ม 79 ได้ครั้งละ 6 นัดแบบเหมือนลูกโม่ ซึ่งมีอยู่ประจำการในหน่วยรบพิเศษเท่านั้น หน่วยทหารปกติทั่วไปจะไม่มีใช้
"ทั้งนี้ขอตั้งข้อสังเกตว่า 1. อาวุธที่ยิงกระสุน เอ็ม 79 ที่ถนนสีลม เป็นอาวุธร้ายแรงที่อยู่ในหน่วยรบพิเศษ การนำมาใช้ต้องเป็นเจ้าหน้าที่ที่ประจำการเท่านั้น 2.ผู้ที่เสียชีวิต และบาดเจ็บทั้งหมดเป็นประชาชนไม่มีทหาร 3. การยิงกระสุน เอ็ม 79 ที่กรมทหารราบที่ 1 ขณะนี้คดียังไม่คืบหน้าหาคนผิดยังไม่ได้ เงียบไปเฉยๆ เหมือนเจอตอ จึงขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล และ พล.อ.อนุพงษ์ ให้ตรวจสอบอย่างจริงจัง ว่าอาวุธร้ายแรงหลุดมาก่อเหตุจากหน่วยไหน ใครเป็นคนสั่งให้ไอ้โม่งสร้างสถานการณ์ความรุนแรง เรื่องนี้เกลือเป็นหนอนท่ามกลาง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ถ้ารัฐบาลและพล.อ.อนุพงษ์ มีความจริงใจคงจะหาคนผิดมาลงโทษได้ไม่ยาก"โฆษกพท.ระบุ
หา"กสม."ตั้งอนุฯไม่เป็นกลาง
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณีนางอมรา พงศาพิชญ์ ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อพิจารณาตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงจากการขอคืนพื้นที่จากกลุ่มผู้ชุมนุม เมื่อ 10 เมษายน ว่า การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการชุดดังกล่าวน่าจะไม่มีความเป็นกลาง จนอาจทำให้ผลการตรวจสอบการสลายการชุมนุมของอนุกรรมการชุดนี้มีปัญหาไม่เป็นที่ยอมรับไปด้วย เนื่องจากอนุกรรมการหลายคนน่าจะมีส่วนได้เสียเข้ามาร่วมตรวจสอบเหตุการณ์ด้วย เช่น นายนิรันด์ พิทักษ์วัชระ น.ส.สารี อ่องสมหวัง และ พล.ท.ดาวพงษ์ รัตนสุวรรณ รองเสนาธิการทหารบก ผู้ที่มีส่วนในการใช้กำลังทหารในการสลายการชุมนุมเมื่อ 10 เมษายน 2553
"ก่อนหน้านี้คณะกรรมการสิทธิฯ บางคนขอให้พท.และกลุ่มนปช.เสนอบุคคลเข้าเป็นอนุกรรมการ ฝ่ายละ 2 คน แต่ยังไม่ทันเสนอก็ยังรีบลุกลี้ ลุกลน แต่งตั้งกันไปก่อน อย่างผิดสังเกต ทำให้มองได้ว่ากสม.น่าจะถือหางฝ่ายรัฐบาล เรื่องนี้ไม่ต้องสอบก็พอจะรู้ผลว่าจะออกมาเช่นไร "โฆษกพท.กล่าวและว่า ควรให้ศาลยุติธรรมดำเนินการไต่สวน ตามที่ญาติของผู้ที่เสียชีวิตแจ้งความร้องทุกข์กับกองปราบปราม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสน.ชนะสงคราม ซึ่งจะทำให้เป็นที่ยอมรับของญาติผู้เสียหายและทุกฝ่าย
พท.จี้ตำรวจฮึดถูกปืนจี้หัว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ไกรสีห์ สุวรรณงาม รองผกก.ป.สน.พระโขนง นำกำลังเข้าจับกุมกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ แต่กลับถูกนายทหารเอาปืนจี้ศีรษะ เพื่อไม่ให้จับกุมและยังขู่ให้ถอยกลับออกไปว่า เหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะมีนัยยะ 2 ประการ คือ 1. กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อหลากสีวันที่ 22 เมษายนถูกจัดตั้งขึ้นมาบางส่วน โดยการรับรู้ของฝ่ายทหารเพื่อมาสร้างสถานการณ์ และ 2. การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยยุคนายอภิสิทธิ์ถูกปกครองโดยมีทหารเป็นใหญ่ และการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และหมิ่นเกียรติยศศักดิ์ศรีของตำรวจที่รักษากฎหมาย
"จึงขอเรียกร้องให้ข้าราชการตำรวจทั้งที่รับราชการอยู่ปัจจุบันและเกษีณรอายุราชการไปแล้วได้ออกมาปกป้องศักดิ์ศรี และเกียรติยศ โดยเฉพาะพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผบ.ตร. ควรออกมาปกป้องผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างทันที ไม่ใช่ปล่อยให้ถูกระทำย่ำยีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเท่ากับเป็นการยอมรับการอยู่ภายใต้ท๊อปบูทของทหาร ถ้าเรื่องเงียบหายไปพล.ต.อ.ปทีปคงอยู่ในตำแหน่งไม่ได้"โฆษกพท.กล่าว
ตร.เผยบิ๊ก2สีกำลังเคลียร์
ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5(ผบก.น.5) กล่าวว่ายังอยู่ระหว่างรอ พ.ต.ท.ไกรสีห์ ทำรายงานชี้แจงมาถึงกรณีมีข่าวเหตุการณ์ถูกทหารเอาปืนจี้หัวไม่จับกุมกลุ่มผู้ยั่วยุก่อเหตุ ซึ่งขณะนี้ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างพูดคุยเพื่อปรับความเข้าใจกัน เพราะเหตุการณ์วันเกิดเหตุที่ถนนสีลม ระหว่างกลุ่มคนสีลมเผชิญหน้าอยู่กับคนเสื้อแดง มีกลุ่มฮาร์ดคอร์2กลุ่มรวมประมาณ 40 คน ปะปนอยู่กับกลุ่มคนสีลมขว้างปาสิ่งของใส่กลุ่มนปช.เพื่อให้เกิดความยั่วยุกัน ทำให้สิ่งของที่ถูกขว้างปามาจากฝ่ายตรงข้าม ถูกตำรวจชุดกองร้อยควบคุมฝูงชนปราบจลาจล(ปจ.)และพ.ต.อ.วราวุธ ทวีชัยการ รองผบก.น.5 บาดเจ็บ
"ทางตำรวจปจ.ซึ่งตั้งแถวป้องกันอยู่ตรงกลางจึงใช้เครื่องมือปจ.ผลักดันกลุ่มคนสีลมและเชื่อว่ามีกลุ่มฮาร์ดคอร์ปะปนอยู่ด้วยเข้าไปตามตรอกซอกซอยต่างๆบนถนนหลังแนวรั้วกั้นของทหารอยากจะทำความเข้าใจในจุดนี้ หากทั้งสองฝ่ายเกิดความขัดแย้งกันประเทศไทยก็จะไม่มีใครเข้ามาแก้ไขปัญหา เพราะทั้งสองหน่วยมีทั้งรุ่นพี่-รุ่นน้อง"ผบก.น.5ระบุ
กทม.ทำบุญเหยื่อ10เมษาฯ
ก่อนหน้านี้ เวลา 07.00 น. ที่หน้าสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. และคณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร เป็นเจ้าภาพจัดพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมื่อวันที่ 10 เมษายน บนถนนราชดำเนินและสี่แยกคอกวัว โดยนิมนต์พระราชาคณะ 9 รูป มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ และมีการตักบาตรพระสงฆ์ 199 รูป พร้อมกับสวดบังสุกุลอุทิศส่วนกุศลด้วย มีประชาชนเข้าร่วมกว่า 300 คน อาทิ สมาคมผู้ค้าสลากกินแบ่งรัฐบาล สมาคมผู้ค้าตลาดโบ๊เบ๊ ประชาชนในชุมนุมใกล้เคียง แต่ไม่มีญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์10 เมษายนเข้าร่วมแต่อย่างใด
นายถนอม อ่อนเกตุพล โฆษก กทม. เปิดเผยว่า เหตุที่ไม่มีญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุ 10 เมษายน อาจเป็นเพราะมีที่พักอยู่ในต่างจังหวัด
ที่มา.มติชนออนไลน์
********************************************
ป่วนเมือง ปาระเบิดบ้าน"บรรหาร"เจ็บ 11
เมื่อเวลา 22.30 น.พ.ต.ท.วิโรจน์ ทองประไพ สารวัตรเวร สน.บางยี่ขันรับ แจ้งเกิดเหตุระเบิดหน้าบ้านนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ซอยจรัลสนิทวงศ์ 55 รุดไปตรวสอบ ขณะที่นายบรรหารเดินออกมาสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตำรวจ แต่ไม่ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวแตออย่างใด ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณกลางหน้าบ้านนายบรรหารพบหลุมกว้างประมาณ 10 เซ็นติเมตร สะเก็ดระเบิดจำนวนมาก ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 เมตรพบกระเดื่องระเบิดยังไม่ทราบชนิดตกอยู่ ส่วนพบผู้บาดเจ็บจำนวน 7 ราย ถูกนำส่งรพ.วชิรพยาบาล รพ.ศิริราชและ รพ.เจ้าพระยา
นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุยังพบรถเก๋งฮอนด้าแอคคอร์ดสีเทา ทะเบียน ษฬ 9579 เสียหาย กทม.กระจกด้านคนขับแตกทั้งบาน ยางทั้ง 4 ล้อแตก ส่วนน.ส.ณมน สรวงศ์ เจ้าของรถเก๋งคันดังกล่าวได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดเข้าสีข้างขวาและแขน และรถแท็กซี่โตโยต้าสีชมพู ทะเบียน ทย 4659 กทม.ยางหน้าซ้ายแตก กระจกหน้า ฝากระโปรงเป็นรูทะลุหม้อน้ำ มีนายเกษมศักดิ์ สกุลภักดีบุรี อายุ 48 ปี เป็นคนขับ
สอบสวนด.ต.สามารถ สลุงอยู่ ผบ.ป.สน.บางพลัดซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดเข้าขาขวาให้การว่า ตนเข้าเวรตั้งแต่เวลา 16.00 น.ขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 22.20 น.ตนพร้อมเพื่อนตำรวจรวม 4 นายนั่งอยู่ภายในเต็นท์หน้าบ้านนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยินเสียงคล้ายวัตถุหล่นลงบนฟุตบาทก่อนจะกลิ้งไปบนถนนแล้วก็มีดังระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจึงรีบหมอบลงกับพื้น หลังจากนั้นก็เห็นกลุ่มควันสีขาวจำนวนมากอยู่กลางถนน ขณะเดียวกันก็เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของประชาชนที่ป้ายรถเมล์ห่างจากเต็นท์ประมาณ 5 เมตร
พยานรายหนึ่งให้การว่า เห็นคนร้ายขี่รถจักรยายนต์ยี่ห้อฮอนด้าโซนิค ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียนมากัน 2 คน โดยคนั่งซ้อนท้ายใส่เสื้อขาวปาระเบิดใส่เต็นท์หน้านายบรรหาร ศิลปอาชาก่อนจะขับหนีไปอย่างรวดเร็ว
ที่มา.เนชั่น
**********************************************
นอกจากนี้ ที่เกิดเหตุยังพบรถเก๋งฮอนด้าแอคคอร์ดสีเทา ทะเบียน ษฬ 9579 เสียหาย กทม.กระจกด้านคนขับแตกทั้งบาน ยางทั้ง 4 ล้อแตก ส่วนน.ส.ณมน สรวงศ์ เจ้าของรถเก๋งคันดังกล่าวได้รับบาดเจ็บสาหัสเนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดเข้าสีข้างขวาและแขน และรถแท็กซี่โตโยต้าสีชมพู ทะเบียน ทย 4659 กทม.ยางหน้าซ้ายแตก กระจกหน้า ฝากระโปรงเป็นรูทะลุหม้อน้ำ มีนายเกษมศักดิ์ สกุลภักดีบุรี อายุ 48 ปี เป็นคนขับ
สอบสวนด.ต.สามารถ สลุงอยู่ ผบ.ป.สน.บางพลัดซึ่งถูกสะเก็ดระเบิดเข้าขาขวาให้การว่า ตนเข้าเวรตั้งแต่เวลา 16.00 น.ขณะเกิดเหตุเวลาประมาณ 22.20 น.ตนพร้อมเพื่อนตำรวจรวม 4 นายนั่งอยู่ภายในเต็นท์หน้าบ้านนายบรรหาร ศิลปอาชา อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยินเสียงคล้ายวัตถุหล่นลงบนฟุตบาทก่อนจะกลิ้งไปบนถนนแล้วก็มีดังระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวจึงรีบหมอบลงกับพื้น หลังจากนั้นก็เห็นกลุ่มควันสีขาวจำนวนมากอยู่กลางถนน ขณะเดียวกันก็เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของประชาชนที่ป้ายรถเมล์ห่างจากเต็นท์ประมาณ 5 เมตร
พยานรายหนึ่งให้การว่า เห็นคนร้ายขี่รถจักรยายนต์ยี่ห้อฮอนด้าโซนิค ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียนมากัน 2 คน โดยคนั่งซ้อนท้ายใส่เสื้อขาวปาระเบิดใส่เต็นท์หน้านายบรรหาร ศิลปอาชาก่อนจะขับหนีไปอย่างรวดเร็ว
ที่มา.เนชั่น
**********************************************
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553
นักวิเคราะห์ต่างชาติชี้"ทักษิณ"ยังเป็นศูนย์กลางความขัดแย้ง-ความโกรธแค้นเป็นอันตรายต่อเมืองไทยมากว่า
นักวิเคราะห์ชี้ไทยจำเป็นต้องเร่งเจรจาเหล่ากลุ่มขัดแย้ง หลีกเลี่ยงเหตุปะทะเลือดซ้ำรอย ชี้เมืองไทยกำลังเสี่ยงเจอสถานการณ์ปะทะนองเลือดรอบใหม่ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งยอมเจรจา
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ว่า นักวิเคราะห์ระบุว่า เมืองไทยจะต้องหาฉันทามิตทางการเมืองที่สามารถยอมรับได้กับทุกกลุ่มขัดแย้ง เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ปะทะนองเลือดซ้ำรอยซึ่งจะเขย่าภาพลักษณ์สยามเมืองยิ้มของเมืองไทย โดยความจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง หลังจากเมืองไทยต้องเผชิญเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายโจมตีถนนสีลม ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และเหตุการณ์ปะทะเลือดที่ถนนราชดำเนินเมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายไมเคิล มอนเตซาโน ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันศีกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงทัศนะว่า การที่บรรยากาศการชุมนุมไทย กลายเป็นเหตุรุนแรง เป็นผลจากความเก็บกดที่ถูกซ่อนในสังคมไทย และทำให้สังคมไทยทั้งมวลได้ประจักษ์เห็นว่า ความรุนแรงนั้นซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้สถานการณ์ชุมนุมเครียด
นอกจากนี้ เอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นศูนย์กลางของการขัดแย้ง โดยการโกรธแค้นต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นอันตรายต่อเมืองไทยมากกว่าตัว พ.ต.ทงทักษิณเอง เพราะรัฐบาลไทยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ทำให้ปฎิเสธที่จะเจรจาและประนีประนอม ขณะที่ในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่น่าวิตกมากกว่าก็คือ การต่อสู้บนท้องถนนของคนไทย โดยแม้ว่า เมืองไทยจะเป็นสังคมแห่งฉันทามติส่วนใหญ่ แต่เมื่อถึงจุดที่เปราะบางที่สุด มันก็พร้อมจะปะทุเป็นความรุนแรงได้
นอกจากนี้ นายมอนเตซาโน ชี้ด้วยว่า ขณะนี้หลายฝ่ายวิตกว่า กลุ่มต่าง ๆ จะใช้ความรุนแรงก่อนการเจรจา โดยขณะนี้มีความรู้สึกว่า หากเมืองไทยเกิดเหตุการณ์นองเลือดอย่างมากพอ ก็จะทำให้ทุกฝ่ายหันมานั่งลงเจรจากันได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 25 เม.ย.ว่า นักวิเคราะห์ระบุว่า เมืองไทยจะต้องหาฉันทามิตทางการเมืองที่สามารถยอมรับได้กับทุกกลุ่มขัดแย้ง เพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ปะทะนองเลือดซ้ำรอยซึ่งจะเขย่าภาพลักษณ์สยามเมืองยิ้มของเมืองไทย โดยความจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องใหญ่ยิ่ง หลังจากเมืองไทยต้องเผชิญเหตุการณ์กลุ่มคนร้ายโจมตีถนนสีลม ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 1 ราย และเหตุการณ์ปะทะเลือดที่ถนนราชดำเนินเมื่อ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา
นายไมเคิล มอนเตซาโน ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบันศีกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงทัศนะว่า การที่บรรยากาศการชุมนุมไทย กลายเป็นเหตุรุนแรง เป็นผลจากความเก็บกดที่ถูกซ่อนในสังคมไทย และทำให้สังคมไทยทั้งมวลได้ประจักษ์เห็นว่า ความรุนแรงนั้นซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้สถานการณ์ชุมนุมเครียด
นอกจากนี้ เอเอฟพีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ยังเป็นศูนย์กลางของการขัดแย้ง โดยการโกรธแค้นต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่าเป็นอันตรายต่อเมืองไทยมากกว่าตัว พ.ต.ทงทักษิณเอง เพราะรัฐบาลไทยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายต่าง ๆ ทำให้ปฎิเสธที่จะเจรจาและประนีประนอม ขณะที่ในอนาคตข้างหน้า สิ่งที่น่าวิตกมากกว่าก็คือ การต่อสู้บนท้องถนนของคนไทย โดยแม้ว่า เมืองไทยจะเป็นสังคมแห่งฉันทามติส่วนใหญ่ แต่เมื่อถึงจุดที่เปราะบางที่สุด มันก็พร้อมจะปะทุเป็นความรุนแรงได้
นอกจากนี้ นายมอนเตซาโน ชี้ด้วยว่า ขณะนี้หลายฝ่ายวิตกว่า กลุ่มต่าง ๆ จะใช้ความรุนแรงก่อนการเจรจา โดยขณะนี้มีความรู้สึกว่า หากเมืองไทยเกิดเหตุการณ์นองเลือดอย่างมากพอ ก็จะทำให้ทุกฝ่ายหันมานั่งลงเจรจากันได้
ที่มา.มติชนออนไลน์
***********************************************
รอง ผบช.ภ.1 เจรจาเสื้อแดงยึดรถตำรวจกว่า 50 คัน
กรณีผู้ชุมนุมเสื้อแดงรวมตัวกันปิดถนนพหลโยธินขาเข้า ช่องทางคู่ขนาน บริเวณฝั่งตรงข้ามบริษัทกู๊ดเยียร์ จำกัด ม.4 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยยึดรถตู้และหกล้อลูกกรงเหล็กของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินทางมาจากภาคอีสานและภาคกลางบางส่วนเพื่อเข้าไปในกรุงเทพฯ โดยอ้างว่าตำรวจเหล่านี้ได้รับคำสั่งให้เข้าไปปราบปรามกลุ่มคนเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ทั้งนี้เหตุการณ์เป็นไปอย่างสงบ โดยกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่จะไม่สวมเสื้อสีแดงได้ทำการปิดถนนช่างทางคู่ขนาดและเปิดช่องทางด่วนให้ประชาชนเดินทางเข้า กทม.ได้
จากการตรวจสอบพบว่าขบวนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดต่างๆ คือ นครพนม นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี จำนวนทั้งหมด 50คัน เป็นรถตู้สีขาว 36 คัน รถตู้หกล้อแบบติดลูกกรงสีดำจำนวน 9 คัน และรถกระบะตราโล่จำนวน 5 คัน มีกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดราว 500 นาย
ต่อมา พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ และเข้าเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงที่นำโดยนายกร ลำลูกกา รอง ผอ.สถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงอยู่ย่านคลองสี่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทั้งนี้นายกร ระบุว่าจะกางเต้นท์ทำที่พักเพื่อคอยตรวจสอบเส้นทางพหลโยธินเพื่อสกัดกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บริเวณต่อไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆจากนี้คงต้องรอการประสานงานจากแกนนำใน กทม.อีกครั้งว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
ที่มา.เนชั่น
************************************************
จากการตรวจสอบพบว่าขบวนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจจากจังหวัดต่างๆ คือ นครพนม นครสวรรค์ ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี จำนวนทั้งหมด 50คัน เป็นรถตู้สีขาว 36 คัน รถตู้หกล้อแบบติดลูกกรงสีดำจำนวน 9 คัน และรถกระบะตราโล่จำนวน 5 คัน มีกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดราว 500 นาย
ต่อมา พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พร้อมด้วย พล.ต.ต.เมธี กุศลสร้าง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี ได้เดินทางมายังที่เกิดเหตุ และเข้าเจรจากับแกนนำคนเสื้อแดงที่นำโดยนายกร ลำลูกกา รอง ผอ.สถานีวิทยุชุมชนคนเสื้อแดงอยู่ย่านคลองสี่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ทั้งนี้นายกร ระบุว่าจะกางเต้นท์ทำที่พักเพื่อคอยตรวจสอบเส้นทางพหลโยธินเพื่อสกัดกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่บริเวณต่อไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใดๆจากนี้คงต้องรอการประสานงานจากแกนนำใน กทม.อีกครั้งว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป
ที่มา.เนชั่น
************************************************
รัฐบาลมาร์ค อยู่นาน-ยิ่งน่วม
เหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ถล่มบริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดงและหน้าโรงแรมดุสิตธานี
จุดชุมนุมของฝูงชนเสื้อหลากสีที่ออกมาต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง
เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบร้อยคน เมื่อค่ำวันที่ 22 เมษายน
รวมถึงเหตุการณ์ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมสองฝ่าย
ที่ยึดเอาพื้นที่ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุง แบ่งฟากเปิดศึกขว้างปากันด้วยขวดแก้ว ก้อนอิฐ หนังสติ๊ก และระเบิดเพลิง โดยเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจไม่สามารถเข้าคุมสถานการณ์ไว้ได้
ทำให้ภาพออกมาใกล้เคียงกับการเป็น "สงครามประชาชน" เข้าไปทุกที
นับจากเหตุการณ์ทหารปะทะกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน
รัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตกอยู่ในห้วงคับขัน
ต้องพึ่งพาวิชาเทพและวิชามารสารพัดกว่าจะพาตัวเองรอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้
โดยที่นายกฯ ไม่ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หรือยุบสภาตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง
ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ถึง 25 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 800 คน
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนที่บาดเจ็บล้มตาย ถูกกลบทับด้วยกระแส "ผู้ก่อการร้าย" ที่ฝ่ายรัฐบาลปล่อยออกมาเป็นซีรีส์ผ่านสื่อในมือ
ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ได้ปรับโครงสร้างใหม่ให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เข้ามารับผิดชอบด้านการสั่งการใช้กำลัง
ได้พยายามป่าวประกาศข่มขู่ต่างๆ นานาให้ผู้ชุมนุมถอนตัวจากพื้นที่แยกราชประสงค์
พร้อมยืนยันไม่ยอมให้คนเสื้อแดงขยายพื้นที่เข้าไปในย่านสีลมอย่างเด็ดขาด โดยส่งกำลังทหารติดอาวุธจำนวนมากตรึงสกัดไว้บริเวณแยกศาลาแดง
ท่ามกลางข่าวหนาหูรัฐบาลเตรียมหาจังหวะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกระลอก
อย่างไรก็ตามบรรยากาศเผชิญหน้าระหว่างทหารกับคนเสื้อแดงลดความตึงเครียดลงไป
เมื่อศาลแพ่งเปิดไต่สวนฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ไม่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. สั่งการเจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง
นอกจากนี้ล่าสุดแกนนำเสื้อแดงยังได้ลดข้อต่อรองของตนเองลงจากเดิมให้นายกฯ ประกาศยุบสภาในทันที
มาเป็นยุบสภาใน 30 วัน
แต่แล้วความเป็นห่วงที่เข้ามาแทนที่คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่ออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลืองที่กดดันรัฐบาลให้ใช้วิธีการเด็ดขาดเข้าแก้ไขสถานการณ์
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของคนเสื้อหลากสีที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มเดียวกับคนเสื้อเหลือง
หรือแม้แต่กลุ่มคนรักสีลมที่จับกลุ่มชุมนุมในสถานที่ล่อแหลม จนเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับคนเสื้อแดง 2 วันติดกันช่วงปลายสัปดาห์ต่อหน้าต่อตาทหาร-ตำรวจที่ตรึงกำลังเต็มพื้นที่
ผลที่ตามมาคือสังคมเกิดข้อสงสัยถึงมาตรฐานการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และทำให้ข้อครหาว่ามีคนในรัฐบาลให้การหนุนหลังการชุมนุมของคนเหล่านี้
กลายเป็นมีน้ำหนักขึ้นมาทันที
ในภาพรวมของเหตุการณ์ยิงเอ็ม 79 ถล่มย่านสีลม มีรายงานข่าวระบุถึงเหตุการณ์กรณีทหารใช้ปืนจ่อตำรวจ ไม่ให้ติดตามผู้ชุมนุมที่ปาระเบิดเพลิงใส่กลุ่มคนเสื้อแดง
รวมถึงการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ออกมาด่วนสรุปกล่าวหา "ผู้ก่อการร้าย" ในฝ่ายคนเสื้อแดงเป็นคนยิงระเบิดเอ็ม 79 และการออกข่าวจำนวนคนตายเกินกว่าความเป็นจริง
เหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
ประเด็นเรื่องผู้ก่อการร้ายชุดดำนั้นถึงจะมี "คลิป" หลักฐานยืนยันจากฝ่ายรัฐบาล และแกนนำเสื้อแดงเองก็ยอมรับว่าเป็นกองกำลังที่มีอยู่จริง
แต่การที่ฝ่ายรัฐบาลด่วนสรุปลากโยงผู้ก่อการร้ายเข้าหากลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่ยังขาดหลักฐานประกอบชัดเจน
นอกจากทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาได้ไม่ตรงจุดเพราะตั้งโจทย์ผิดแต่แรก
ยังทำให้สถานการณ์ในภาพรวมบานปลายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุการณ์วันที่ 22 เมษายน คือตัวบ่งชี้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีคู่ขัดแย้งบนท้องถนนเพิ่มขึ้น
ในฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็มีสายพันธุ์แตงโม-มะเขือเทศแทรกซึมอยู่เต็มไปหมดจนไม่รู้ใครเป็นใคร แม้แต่ในกองทัพและศอฉ.ก็ยังหวาดระแวงกันเอง
ในสถานการณ์ขณะนี้รัฐบาลพยายามผลักภาระไปตกหนักอยู่ที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบสั่งการใช้กำลังของ ศอฉ.
ซึ่งกำลังถูกกดดันรอบด้านทั้งรัฐบาล นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ กลุ่มคนหลากสี กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงที่ต้องการเห็นทหารใช้ความเด็ดขาดเข้าสลายการชุมนุม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลและนายกฯ จะลอยตัวเหนือปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 เมษายน หลายองค์กรระดับโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจสถานการณ์ภายในประเทศไทย
ผู้นำหลายประเทศ รวมถึงสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง พร้อมกับเสนอแนะให้คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าเจรจากันเพื่อแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
ถึงเนื้อหาของแถลงการณ์จะไม่เข้าใครออกใคร
แต่ก็มีผลทำให้การดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกฯ ต้องเจอกับแรงเสียดทานมากกว่าเดิม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
******************************************
จุดชุมนุมของฝูงชนเสื้อหลากสีที่ออกมาต่อต้านกลุ่มคนเสื้อแดง
เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเกือบร้อยคน เมื่อค่ำวันที่ 22 เมษายน
รวมถึงเหตุการณ์ความชุลมุนวุ่นวายระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมสองฝ่าย
ที่ยึดเอาพื้นที่ย่านธุรกิจสำคัญใจกลางกรุง แบ่งฟากเปิดศึกขว้างปากันด้วยขวดแก้ว ก้อนอิฐ หนังสติ๊ก และระเบิดเพลิง โดยเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจไม่สามารถเข้าคุมสถานการณ์ไว้ได้
ทำให้ภาพออกมาใกล้เคียงกับการเป็น "สงครามประชาชน" เข้าไปทุกที
นับจากเหตุการณ์ทหารปะทะกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน
รัฐบาลของนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตกอยู่ในห้วงคับขัน
ต้องพึ่งพาวิชาเทพและวิชามารสารพัดกว่าจะพาตัวเองรอดพ้นจากวิกฤตการณ์มาได้
โดยที่นายกฯ ไม่ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ หรือยุบสภาตามข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง
ทั้งที่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ถึง 25 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 800 คน
เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลรับผิดชอบต่อชีวิตผู้คนที่บาดเจ็บล้มตาย ถูกกลบทับด้วยกระแส "ผู้ก่อการร้าย" ที่ฝ่ายรัฐบาลปล่อยออกมาเป็นซีรีส์ผ่านสื่อในมือ
ขณะเดียวกันศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ได้ปรับโครงสร้างใหม่ให้พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. เข้ามารับผิดชอบด้านการสั่งการใช้กำลัง
ได้พยายามป่าวประกาศข่มขู่ต่างๆ นานาให้ผู้ชุมนุมถอนตัวจากพื้นที่แยกราชประสงค์
พร้อมยืนยันไม่ยอมให้คนเสื้อแดงขยายพื้นที่เข้าไปในย่านสีลมอย่างเด็ดขาด โดยส่งกำลังทหารติดอาวุธจำนวนมากตรึงสกัดไว้บริเวณแยกศาลาแดง
ท่ามกลางข่าวหนาหูรัฐบาลเตรียมหาจังหวะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมอีกระลอก
อย่างไรก็ตามบรรยากาศเผชิญหน้าระหว่างทหารกับคนเสื้อแดงลดความตึงเครียดลงไป
เมื่อศาลแพ่งเปิดไต่สวนฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
ไม่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้อำนวยการ ศอฉ. สั่งการเจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง
นอกจากนี้ล่าสุดแกนนำเสื้อแดงยังได้ลดข้อต่อรองของตนเองลงจากเดิมให้นายกฯ ประกาศยุบสภาในทันที
มาเป็นยุบสภาใน 30 วัน
แต่แล้วความเป็นห่วงที่เข้ามาแทนที่คือการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อหลากสีที่ออกมาต่อต้านคนเสื้อแดง และกลุ่มเสื้อเหลืองที่กดดันรัฐบาลให้ใช้วิธีการเด็ดขาดเข้าแก้ไขสถานการณ์
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของคนเสื้อหลากสีที่เชื่อกันว่าเป็นกลุ่มเดียวกับคนเสื้อเหลือง
หรือแม้แต่กลุ่มคนรักสีลมที่จับกลุ่มชุมนุมในสถานที่ล่อแหลม จนเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกับคนเสื้อแดง 2 วันติดกันช่วงปลายสัปดาห์ต่อหน้าต่อตาทหาร-ตำรวจที่ตรึงกำลังเต็มพื้นที่
ผลที่ตามมาคือสังคมเกิดข้อสงสัยถึงมาตรฐานการบังคับใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และทำให้ข้อครหาว่ามีคนในรัฐบาลให้การหนุนหลังการชุมนุมของคนเหล่านี้
กลายเป็นมีน้ำหนักขึ้นมาทันที
ในภาพรวมของเหตุการณ์ยิงเอ็ม 79 ถล่มย่านสีลม มีรายงานข่าวระบุถึงเหตุการณ์กรณีทหารใช้ปืนจ่อตำรวจ ไม่ให้ติดตามผู้ชุมนุมที่ปาระเบิดเพลิงใส่กลุ่มคนเสื้อแดง
รวมถึงการที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ออกมาด่วนสรุปกล่าวหา "ผู้ก่อการร้าย" ในฝ่ายคนเสื้อแดงเป็นคนยิงระเบิดเอ็ม 79 และการออกข่าวจำนวนคนตายเกินกว่าความเป็นจริง
เหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล
ประเด็นเรื่องผู้ก่อการร้ายชุดดำนั้นถึงจะมี "คลิป" หลักฐานยืนยันจากฝ่ายรัฐบาล และแกนนำเสื้อแดงเองก็ยอมรับว่าเป็นกองกำลังที่มีอยู่จริง
แต่การที่ฝ่ายรัฐบาลด่วนสรุปลากโยงผู้ก่อการร้ายเข้าหากลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งที่ยังขาดหลักฐานประกอบชัดเจน
นอกจากทำให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาได้ไม่ตรงจุดเพราะตั้งโจทย์ผิดแต่แรก
ยังทำให้สถานการณ์ในภาพรวมบานปลายออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุการณ์วันที่ 22 เมษายน คือตัวบ่งชี้ว่าสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากมีคู่ขัดแย้งบนท้องถนนเพิ่มขึ้น
ในฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐก็มีสายพันธุ์แตงโม-มะเขือเทศแทรกซึมอยู่เต็มไปหมดจนไม่รู้ใครเป็นใคร แม้แต่ในกองทัพและศอฉ.ก็ยังหวาดระแวงกันเอง
ในสถานการณ์ขณะนี้รัฐบาลพยายามผลักภาระไปตกหนักอยู่ที่พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบสั่งการใช้กำลังของ ศอฉ.
ซึ่งกำลังถูกกดดันรอบด้านทั้งรัฐบาล นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ กลุ่มคนหลากสี กลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยกับคนเสื้อแดงที่ต้องการเห็นทหารใช้ความเด็ดขาดเข้าสลายการชุมนุม
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลและนายกฯ จะลอยตัวเหนือปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 เมษายน หลายองค์กรระดับโลกเริ่มหันมาให้ความสนใจสถานการณ์ภายในประเทศไทย
ผู้นำหลายประเทศ รวมถึงสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วง พร้อมกับเสนอแนะให้คู่ขัดแย้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าเจรจากันเพื่อแก้ปัญหาโดยสันติวิธี
ถึงเนื้อหาของแถลงการณ์จะไม่เข้าใครออกใคร
แต่ก็มีผลทำให้การดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกฯ ต้องเจอกับแรงเสียดทานมากกว่าเดิม
ที่มา.ข่าวสดรายวัน
******************************************
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)