‘ถอดหัว-ถอดใจ’..มุดลงเวที!!
เข้าไปคารวะ “ผู้กุมอำนาจประเทศไทย”?..... “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ขอถอนสายบัว การเป็น “นายกรัฐมนตรี”???รู้ดี หากล้างมือเปื้อนเลือดตั้งแต่หัววัน..ยังมีสิทธิ์ กลับมาเดินฉุยฉาย บนถนนการเมืองได้อีก...เพราะ “คนไทย-ใจอ่อน” ลืมอะไรง่ายแต่เจอเป่ากระหม่อมพรวดเดียว... “มาร์ค” ก็อ่อนเป็นขี้ผึ้ง “เปลี่ยนใจ”ที่ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องออกมาฮึด โชว์แม่ไม้มวยไทย ยก ๔ ยก ๕ กันอย่างเต็มเกียร์...ที่สำคัญอยากให้ “มาร์ค” รู้เอาไว้ วันใดที่ท่านถูกจับแพ้น็อคทีเคโอ...คนที่บอบช้ำ “รับกรรม” อย่างสาหัสและทารุณ ก็คือ “มาร์ค”!!!ไปเชื่อลูกยุ ให้สู้กับประชาชน......ไม่มีใครต้านได้สักหน?...มีแต่ปี้ป่นตายซาก???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ให้ “กำเนิด” มากับมือ!!!
“บูรพาพยัคฆ์” ที่เป็นหนึ่งในตองอู ก้าวขึ้นมาใหญ่เจี้ยวจ๊าว...เป็น “เจ้ายุทธจักรสีเขียว” ได้นั้น...เพราะแรงผลักดัน ของ “เจ้าพ่อวังน้ำเย็น” เสนาะ เทียนทอง ชายผู้ลือชื่อ???วันนั้น, ถ้าไม่ได้ “มีดหมอ” ทำคลอด อย่างบรรจงดิบดี ให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” แล้ว..ป่านนี้ “บูรพาพยัคฆ์” ยังเป็นแค่แมวหง่าวนอนหลับสนิทสนมกับ “บูรพาพยัคฆ์” จนเป็นคอเดียวกัน..จึงทำให้ “ป๋าเหนาะ” มองเห็น “เอ็ม ๗๙” ที่ถล่มเป็นรายวัน ออกทุกช็อตเลยล่ะครับหากมีการ “เปิดวอร์รูม” มะรุมมะตุ้ม..พูดกันถึงเรื่องการเมืองที่ร้อนแรง..โดยมี “ไอ้โม่งเสื้อดำ” และ “ไอ้โม่งเสื้อขาว” ออกมาสร้างสถานการณ์ป่วนกรุงเทพฯ จนยุ่ง และยิงสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส เจ็บตายระนาวนั้น...“ป๋าเหนาะ วังน้ำเย็น” ก็ฟันธงชั้วะๆ ว่าเป็น “ฝีมือรัฐบาลของรัฐบาลที่ก่อกรรม”!!!“รองนายกฯ สุเทพ” และ “นายกฯ อภิสิทธิ์”.....เลิกโยนความผิด?....ใช้มือปิดฟ้า เสียเหอะเพราะมันไม่งาม???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
รู้ดียิ่งกว่า ‘ลายมือตัวเอง’!!!
เส้นทาง สี่แยกศาลาแดง ตั้งแต่หัวถนนจากโรงแรมดุสิตธานี ...ไล่ถนน ไล่ซอย ไล่แยก เข้าไปใน “ถนนสีลม” แล้ว.. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รองผบ.ทบ. ท่านรู้ดีอย่างแสนเก่ง??โดยเฉพาะกับ “โรงแรมดุสิตธานี” ด้วยแล้ว....เป็น “ทางเสือผ่าน” ที่ “บิ๊กตู่”เคยแวะเวียน มาใช้บริการอยู่เสมอก่อนกระโดดค้ำถ่อ เป็น เดี่ยวมือรอง “รองผู้บัญชาการทหารบก”..ใครผ่านมาที่โรงแรมดุสิต เป็นต้องเจอดังนั้น, บนถนนสีลม เข็มเย็บผ้าตกเล่มเดียว ..เสียงงี้, แสนจะเงียบกริบปานใด..แต่ “บิ๊กตู่”ก็รู้เหตุการณ์ทะลุปรุโปร่ง ด้วยโสตประสาท อันแสนไว!!!
ยิ่งมีอะไรเกิดแถว “ดุสิตธานี”.....รับประกันซ่อมฟรี?..ไม่มีใครปิด “บิ๊กตู่” ท่านได้???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
ชีวิตนี้..เพื่อลูก!!!
ล้างมือในอ่างทองคำ ดร็อปชีวิตการเมือง ที่ยุ่งเป็นยุงตีกันแล้ว...แต่วันนี้ “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เจอะเจอการเมืองเล่นงานงอมพระรามเสียจุก????เมื่อ “เทพเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ใช้อำนาจ “ศอฉ.” ให้ “เสธ.ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ให้ไปรายงานที่ราบ ๑๑ยัดข้อกล่าวหาใส่ไฟเปรี้ยงๆ ว่าเป็น “นายทุนท่อน้ำเลี้ยง” ให้ม็อบเสื้อแดง เบ็ดเสร็จตลอดเวลา หลังจาก พ้นสนามแม่เหล็ก หลุดวงโคจร เป็น “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม” มาแล้ว “เสี่ยเพ้ง” ก็มุ่งมั่นเดินทางไปอังกฤษหาที่เล่าเรียนให้กับลูก...ฉะนั้น, จึงไม่มีเวลาไปจ่าย “ท่อน้ำเลี้ยง” ให้ใครเสร็จสรรพ!!!“ศอฉ.” ยัดข้อหาโมเม....... “เสี่ยเพ้ง” หรือไม่จ่าย “ท่อน้ำเลี้ยงสักเก๊”!...มาใช้เล่ห์เช่นนี้ ถูกแล้วหรือครับ???
๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐
‘ลูก’อยู่ทาง.. ‘พ่อ’ อยู่ทาง!!!
ทันทีที่ “ศอฉ.” มีหมายเรียกตัว “เสี่ยเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ก็ต้องทิ้งลูกให้อยู่ที่อังกฤษ...ตัวเองต้องบินกลับไทยด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า..นับเป็นเรื่องที่น่าเห็น “หัวอกผู้เป็นพ่อเสียจัง”??เพราะต้องทิ้งขว้าง ลูกให้อยู่ที่อังกฤษ..โดยตัวเองบินชะแว๊ป เข้าไปรายงานตัวกับ “ศอฉ.” ที่ยัดข้อหา “ท่อน้ำเลี้ยง” แบบละเมิดกฎหมาย กันอย่างเต็มที่“กุนซือ” หน้าปลาจวด หน้าปลาลิ้นหมา...ใครหนอที่ให้คำแนะนำ กับ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ให้ทำ.. ถือว่าเลวซะไม่มีทำให้คุณพ่อผู้แสนดี “เสี่ยเพ้ง” ต้องพลัดพรากจากลูก ขณะที่บินไปหาที่เรียนยังเมืองอังกฤษด้วยกัน...ทั้งที่ “ท่อน้ำเลี้ยง” นี้ก็ไม่เคยจ่ายสักนิด!!!มีอำนาจใช้อย่างบาทใหญ่......นึกจะยัดข้อหาให้กับใครๆ ?...ไม่มากไปหรือ “นายอภิสิทธิ์”???
คอลัมน์.ตอดนิดตอดหน่อย
โดย.การบูร
************************************************
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553
‘ถอดหัว-ถอดใจ’..มุดลงเวที!!
โลกนี้คือกระเทย
นับจากนี้ต่อไป..ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น..ทั้ง “คนเสื้อแดง” และ “รัฐบาล” จะ ชนะ แพ้ หรือ เสมอ..ต้องถือว่าเป็น “ผลกำไร” ที่วิเศษสุดๆเพราะที่ “เชิดฉิ่ง” กันมานาน..ได้สร้างความสนใจให้ประชาชนทั่วทั้งแผ่นดิน!!โดยเฉพาะ “คนรากหญ้า” ที่ไม่ประสีประสาเรื่อง “การเมือง” และ “ประชาธิปไตย”บัดนี้ได้ซึมซับเข้าไปในเส้นเลือดหมดทั้งตัวแล้วนี่ไงถึงได้บอกว่ามันคือ “ผลกำไร” อันมหาศาล!!ไม่จำเป็นจะต้อง มี “หน่วยงาน” ที่ไปให้ความรู้เรื่อง ประชาธิปไตย เพราะ คน
รากหญ้าได้ใช้ “จิตวิญญาณ” และ “ร่างกาย” เข้าไปสัมผัสด้วยตนเองและหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า..นักการเมืองประเภท“ขยะ” จะไม่มีโอกาสเหยียบเข้าสภาค่อนข้างแน่นอนนี่คือ..การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ของคนในประเทศยิ่งกว่ารื้อบ้านสร้างใหม่ซะอีก!! “ในดีมีเสีย-ในเสียมีดี” ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้ง “คุณ” และ “โทษ” ในตัวมันเอง ที่งง-งง อยู่ก็เกี่ยวกับ กระเทยพุงพลุ้ย ที่ออกมาพล่ามว่า “1 เสียงมีความรู้.. กับ 1 เสียงมีความรู้น้อย..ไม่ควรมีค่าเท่ากัน”??อีดอกกระทุ่มแบนยัง
พูดต่อไปว่า “เพราะเสียงมีความรู้น้อยส่วนมากเป็นคนรากหญ้าซึ่งมีจำนวนมากกว่า” ใช้ปากหรือตูดพูดวะเนี่ย!!ความคิด“อัปรีย์” อย่างนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสมองของกระเทย ระดับด็อกเตอร์เป็นครูบาอาจารย์มาได้ยังไงในเมื่อปฐมบทของประชาธิปไตย ก็ยังยกขาไม่ขึ้นทำให้คิดถึง เจียง ไคเชก เมื่อครั้งที่อพยพไปตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติที่เกาะไต้หวัน “เจียง” เลือกจะนำ “ชาวจีน” ที่จะไปร่วมกัน “สร้างเมืองใหม่” ด้วยการคัดเอาเฉพาะบรรดาพวกสมประกอบและมี
คุณภาพ!!เน้นเลย.. ไม่ให้นำกระเทยขึ้นเรือไปด้วยเพราะไม่มีประโยชน์ในการสร้างชาติ!!จากนั้นจวบมาบัดนี้ “ไต้หวัน” มีแต่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเพราะทั้งเกาะหา มี “กระเทย” มานวยนาดเหนี่ยวรั้งความเจริญโชคดีของ “อีคอหมูย่าง” ที่ยังสะดิ้ง “สะหยอยดอง” อยู่ได้ในประเทศนี้ถ้าหลุดไปอยู่ที่ “ไต้หวัน” ป่านนี้โดนถีบตกทะเลไปนานแล้ว!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยว
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
**************************************************
รากหญ้าได้ใช้ “จิตวิญญาณ” และ “ร่างกาย” เข้าไปสัมผัสด้วยตนเองและหากมีการเลือกตั้งครั้งหน้า..นักการเมืองประเภท“ขยะ” จะไม่มีโอกาสเหยียบเข้าสภาค่อนข้างแน่นอนนี่คือ..การตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ของคนในประเทศยิ่งกว่ารื้อบ้านสร้างใหม่ซะอีก!! “ในดีมีเสีย-ในเสียมีดี” ทุกสรรพสิ่งล้วนมีทั้ง “คุณ” และ “โทษ” ในตัวมันเอง ที่งง-งง อยู่ก็เกี่ยวกับ กระเทยพุงพลุ้ย ที่ออกมาพล่ามว่า “1 เสียงมีความรู้.. กับ 1 เสียงมีความรู้น้อย..ไม่ควรมีค่าเท่ากัน”??อีดอกกระทุ่มแบนยัง
พูดต่อไปว่า “เพราะเสียงมีความรู้น้อยส่วนมากเป็นคนรากหญ้าซึ่งมีจำนวนมากกว่า” ใช้ปากหรือตูดพูดวะเนี่ย!!ความคิด“อัปรีย์” อย่างนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสมองของกระเทย ระดับด็อกเตอร์เป็นครูบาอาจารย์มาได้ยังไงในเมื่อปฐมบทของประชาธิปไตย ก็ยังยกขาไม่ขึ้นทำให้คิดถึง เจียง ไคเชก เมื่อครั้งที่อพยพไปตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติที่เกาะไต้หวัน “เจียง” เลือกจะนำ “ชาวจีน” ที่จะไปร่วมกัน “สร้างเมืองใหม่” ด้วยการคัดเอาเฉพาะบรรดาพวกสมประกอบและมี
คุณภาพ!!เน้นเลย.. ไม่ให้นำกระเทยขึ้นเรือไปด้วยเพราะไม่มีประโยชน์ในการสร้างชาติ!!จากนั้นจวบมาบัดนี้ “ไต้หวัน” มีแต่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเพราะทั้งเกาะหา มี “กระเทย” มานวยนาดเหนี่ยวรั้งความเจริญโชคดีของ “อีคอหมูย่าง” ที่ยังสะดิ้ง “สะหยอยดอง” อยู่ได้ในประเทศนี้ถ้าหลุดไปอยู่ที่ “ไต้หวัน” ป่านนี้โดนถีบตกทะเลไปนานแล้ว!!
คอลัมน์.ก็โลกมันเบี้ยว
โดย.หนุ่ม ชิงชัย
**************************************************
ฐปนีย์ เอียดศรีไชย
ถามว่า...อะไรคือ “ความจริง” ในช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ “มิคสัญญีกลียุค”คำตอบ คือ ความจริงมีเพียงหนึ่ง...ในขณะที่ “เรื่องตอหลกตอแหล” มีเป็นสิบเป็นร้อยเรื่อง“ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ผู้สื่อข่าวรายการ “ข่าว 3 มิติ” ได้โพสต์ข้อความในทวิตเตอร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ตำรวจไล่ตามจับกลุ่มคน “ปาระเบิดขวด”ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง...ภายหลังกลุ่มผู้ไม่หวังดียิงระเบิด M79 บริเวณสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง เมื่อคืนวันก่อนที่ผ่านมาเธอย้ำว่า...เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการ
ตามตัวคนร้ายที่ยิง M79 แต่เป็นการตามตัวคนร้าย “ปาระเบิดขวด” ที่เข้ามาสร้างสถานการณ์รุนแรงให้ยิ่งย่ำแย่ลงไป“คุณฐปนีย์” เล่าเรื่องในช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่หลังเวลา 5 ทุ่ม...โดยสถานการณ์บริเวณแยกสีลมเริ่ม “กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ” แต่ไม่วายเกิดเหตุการณ์ “ตำรวจไล่จับผู้ร้าย” ซึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คนที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลัง “แนวทหาร”แต่ทว่ากลับถูกทหาร “เอาปืนจ่อหัว” บอกไม่ต้อง! เท่าที่ “คุณฐปนีย์” ได้สอบถามกับ “ตำรวจ” ทำให้รู้
ว่า...กลุ่มคนที่ก่อเหตุไม่ใช่คนสีลมหรือคนเสื้อหลากสี...แต่เป็นกลุ่มคนที่ถูก “จัดตั้ง” โดยใครบางคนซึ่งตำรวจที่ถูกเอาปืนจ่อหัวเป็นถึง “รองผู้กำกับ” และ “ผู้บังคับหมู่”เธอย้ำอีกครั้งว่า...นี่เป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว!เหตุการณ์ในสนามข่าว...เพื่อรายงานสถานการณ์ “ความเป็นจริง” ใครทำอะไร...ที่ไหน...อย่างไรคงทำให้ประชาชนคนไทยได้รู้ว่า...ยังมี “ลับ ลวง พราง” โดยมือที่มองไม่เห็นคอย “ชักใยสั่งการ” เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง
แล้วสุดท้าย “โยนบาป” ไปไว้ที่ฝั่งตรงข้ามถึงตรงนี้ท่านจะเชื่อ “ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ทีมข่าวช่อง 3 หรือจะเชื่อใคร...ผมเป็นเพียง “สื่อสารมวลชน” ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่พวกท่านวิจารณญาณ คือ การคิดอย่างมีเหตุและมีผล “ตอนนี้สีลมนิ่งแล้ว...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องตัดสินกันเองนะคะในการรับข่าวสารอย่างรอบด้าน...ดิฉันไม่ใช่นักข่าวมีสี...แค่ต้องการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวที่ควรทำ” คุณฐปนีย์...กล่าวทิ้งท้ายในทวิตเตอร์!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตก
โดย.ภูผาหิน
************************************************
ตามตัวคนร้ายที่ยิง M79 แต่เป็นการตามตัวคนร้าย “ปาระเบิดขวด” ที่เข้ามาสร้างสถานการณ์รุนแรงให้ยิ่งย่ำแย่ลงไป“คุณฐปนีย์” เล่าเรื่องในช่วงที่เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่หลังเวลา 5 ทุ่ม...โดยสถานการณ์บริเวณแยกสีลมเริ่ม “กลับเข้าสู่ภาวะปรกติ” แต่ไม่วายเกิดเหตุการณ์ “ตำรวจไล่จับผู้ร้าย” ซึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์ 20 คนที่ปาระเบิดขวดวิ่งหนีไปหลัง “แนวทหาร”แต่ทว่ากลับถูกทหาร “เอาปืนจ่อหัว” บอกไม่ต้อง! เท่าที่ “คุณฐปนีย์” ได้สอบถามกับ “ตำรวจ” ทำให้รู้
ว่า...กลุ่มคนที่ก่อเหตุไม่ใช่คนสีลมหรือคนเสื้อหลากสี...แต่เป็นกลุ่มคนที่ถูก “จัดตั้ง” โดยใครบางคนซึ่งตำรวจที่ถูกเอาปืนจ่อหัวเป็นถึง “รองผู้กำกับ” และ “ผู้บังคับหมู่”เธอย้ำอีกครั้งว่า...นี่เป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ความคิดเห็นส่วนตัว!เหตุการณ์ในสนามข่าว...เพื่อรายงานสถานการณ์ “ความเป็นจริง” ใครทำอะไร...ที่ไหน...อย่างไรคงทำให้ประชาชนคนไทยได้รู้ว่า...ยังมี “ลับ ลวง พราง” โดยมือที่มองไม่เห็นคอย “ชักใยสั่งการ” เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง
แล้วสุดท้าย “โยนบาป” ไปไว้ที่ฝั่งตรงข้ามถึงตรงนี้ท่านจะเชื่อ “ฐปนีย์ เอียดศรีไชย” ทีมข่าวช่อง 3 หรือจะเชื่อใคร...ผมเป็นเพียง “สื่อสารมวลชน” ที่นำเสนอข้อมูลข่าวสารแก่พวกท่านวิจารณญาณ คือ การคิดอย่างมีเหตุและมีผล “ตอนนี้สีลมนิ่งแล้ว...แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ต้องตัดสินกันเองนะคะในการรับข่าวสารอย่างรอบด้าน...ดิฉันไม่ใช่นักข่าวมีสี...แค่ต้องการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวที่ควรทำ” คุณฐปนีย์...กล่าวทิ้งท้ายในทวิตเตอร์!
คอลัมน์.ปัญหาโลกแตก
โดย.ภูผาหิน
************************************************
ปฏิวัติรัฐประหาร
ชาติ บ้านเมือง และ ประเทศไทย สำคัญกว่าและเหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น...ถ้ายังไม่รู้จักคำว่า “เสียสละ” เลือดต้องนองแผ่นดิน...
-บางกอกทูเดย์ หนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์รายวัน “ทันคิด ทันคน ทันข่าว” ฉบับนี้ วันเสาร์ที่ 24-วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2553...
- “แม้ว่าท่านอาจโชคดี ไม่มีใครสามารถเอาผิดท่านได้ตามกฎหมาย ท่านก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นสัจธรรมอันแท้จริงที่จะต้องส่งผลมาถึงตัวท่านและลูกหลานอย่างแน่นอน ทั้งหมด คือ ถ้อยความอันควรสำนึกและรับผิดชอบของผู้มีอำนาจและผู้เคยมีอำนาจที่ควรฟัง จดจำและนำไปคิดของท่านองคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร...
-ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าได้ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาพูดวิจารณ์เรื่องการขอเข้าเฝ้าฯ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ว่า ควร หรือ ไม่ควร...
- “พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และองค์รัฎฐาธิปัตย์และจอมทัพไทยที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นกับพระองค์...ไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะสามารถหยุดยั้งได้ นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์” คือเหตุผลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่กลับมาเป็นการย้อนคำถามคนที่ออกมาล่วงพระราชอำนาจว่า การขอมาตรา 7 กับการขอเข้าเฝ้าฯ นั้นต่างกันตรงไหน หรือว่าต่างกันตรงที่ใครพูด?...
-เพราะประเทศไทย ยังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากอยู่ตรงสูตร 3, 2, 1 จึงยังหาทางออกให้ประชาชนไม่ได้ เพราะคิดว่าสงครามการเมืองต้องแก้ด้วยอำนาจจึงเป็นเรื่องน่าอนาถใจอย่างยิ่ง ความสงบสันติ สามัคคีถึงยังไม่มีวันจะกลับคืนมาได้ เพราะหนึ่ง...ยังไม่มีการเจรจาหาทางออก...สองยังไม่มีคนกล้าสลายม็อบหนใหม่ และสาม...ยังไม่มีใครกล้าออกมาปฏิวัติรัฐประหาร...
-บุคคลที่ต้องกลายมาเป็นคนรับเผือกร้อนมาถือไว้ในมือคนใหม่คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พูดจาออกชัดเจนไม่อ้อมค้อมว่า “อย่าให้ผมบอกว่า สลาย-ไม่สลายเลย...ผมจะทำทุกอย่างตามสถานการณ์และผลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถ้ารักษากฎหมายไว้ได้ ไม่มีคนบาดเจ็บและตายและเป็นที่ยอมรับว่าทำตามกฎหมายและสมควรแก่เหตุ มันเหมาะสมที่จะทำ ตอนไหน อย่างไร ผมก็คงทำ เว้นแต่เขาจะออกไปก่อน ก็ไม่ต้องทำ”...ความอย่างนี้ มด คันไฟ คงไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยนะครับ...
-แต่หากว่าหลังจากนี้ไป พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะถูกย้ายหรือถูกปฏิวัติรัฐประหารก่อนเกษียณ ก็น่าเสียดาย เพราะหมายความว่า เราจะเสียทหารที่ไม่มีอุดมการณ์ของเผด็จการและการใช้อำนาจใช้ความรุนแรงและกำลังไป...
-ได้ยินข่าวเล่ามาว่า “11 วัน” หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 (ที่ถ้าหากวันนั้นไม่รีบถอยออกก่อน ความเสียหายตายบาดเจ็บจะมากมายกว่านี้หลายเท่า) มาถึงคืนวันที่ 21 เมษายน 2553 ที่มีข่าวลือฮือฮาที่ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้ ออกมาว่า...จะมีการเข้าสลายม็อบที่ราชประสงค์ พร้อมทั้งคนทั้งอุปกรณ์ทั้งอาวุธ...สถานการณ์คืนนั้นจึงตึงเครียดที่สุดและเครียดสุดของประเทศไทย...
-แต่ภายหลังพอถึงรุ่งสางวันที่ 22 เมษายน 2553 ข่าวลือไม่กลายเป็นข่าวจริง...ไม่ใช่เพราะข่าวลือนั้นเลื่อนลอยและไม่จริง...แต่ข่าวลือไม่เป็นข่าวจริงเพราะ คนที่ต้องปฏิบัติการหยุดตัวเอง เพราะไม่อยาก-ไม่กล้าเพิ่มคนไทยคนตายขึ้นมาอีก...ไม่ใช่เพราะ “คนสั่ง” สั่งให้หยุด!...
-มด คันไฟ จึงอยากฝากความนี้ไว้ให้คิดกับ ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ว่า อำนาจที่ได้มา ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ต้องบริหารจัดการเป็น ต้องใช้เป็น...เพราะต้องระวังให้ดีที่อนาคตของตัวเองและลูกหลานด้วย
คอลัมน์บางกอกกอสซิบ
โดย.มด คันไฟ
***********************************************
-บางกอกทูเดย์ หนังสือพิมพ์แท็ปลอยด์รายวัน “ทันคิด ทันคน ทันข่าว” ฉบับนี้ วันเสาร์ที่ 24-วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2553...
- “แม้ว่าท่านอาจโชคดี ไม่มีใครสามารถเอาผิดท่านได้ตามกฎหมาย ท่านก็ไม่มีทางรอดพ้นไปจากกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นสัจธรรมอันแท้จริงที่จะต้องส่งผลมาถึงตัวท่านและลูกหลานอย่างแน่นอน ทั้งหมด คือ ถ้อยความอันควรสำนึกและรับผิดชอบของผู้มีอำนาจและผู้เคยมีอำนาจที่ควรฟัง จดจำและนำไปคิดของท่านองคมนตรี ธานินทร์ กรัยวิเชียร...
-ใครก็ตามที่รู้ตัวว่าได้ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาพูดวิจารณ์เรื่องการขอเข้าเฝ้าฯ ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต้องนำกลับไปทบทวนใหม่ว่า ควร หรือ ไม่ควร...
- “พระองค์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ และองค์รัฎฐาธิปัตย์และจอมทัพไทยที่ทั้งรัฐบาลและทหารจะต้องขึ้นกับพระองค์...ไม่มีสถาบันใดอีกแล้วที่จะสามารถหยุดยั้งได้ นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์” คือเหตุผลของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ที่กลับมาเป็นการย้อนคำถามคนที่ออกมาล่วงพระราชอำนาจว่า การขอมาตรา 7 กับการขอเข้าเฝ้าฯ นั้นต่างกันตรงไหน หรือว่าต่างกันตรงที่ใครพูด?...
-เพราะประเทศไทย ยังเวียนว่ายตายเกิดซ้ำซากอยู่ตรงสูตร 3, 2, 1 จึงยังหาทางออกให้ประชาชนไม่ได้ เพราะคิดว่าสงครามการเมืองต้องแก้ด้วยอำนาจจึงเป็นเรื่องน่าอนาถใจอย่างยิ่ง ความสงบสันติ สามัคคีถึงยังไม่มีวันจะกลับคืนมาได้ เพราะหนึ่ง...ยังไม่มีการเจรจาหาทางออก...สองยังไม่มีคนกล้าสลายม็อบหนใหม่ และสาม...ยังไม่มีใครกล้าออกมาปฏิวัติรัฐประหาร...
-บุคคลที่ต้องกลายมาเป็นคนรับเผือกร้อนมาถือไว้ในมือคนใหม่คือ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. พูดจาออกชัดเจนไม่อ้อมค้อมว่า “อย่าให้ผมบอกว่า สลาย-ไม่สลายเลย...ผมจะทำทุกอย่างตามสถานการณ์และผลที่ได้มาจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถ้ารักษากฎหมายไว้ได้ ไม่มีคนบาดเจ็บและตายและเป็นที่ยอมรับว่าทำตามกฎหมายและสมควรแก่เหตุ มันเหมาะสมที่จะทำ ตอนไหน อย่างไร ผมก็คงทำ เว้นแต่เขาจะออกไปก่อน ก็ไม่ต้องทำ”...ความอย่างนี้ มด คันไฟ คงไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยนะครับ...
-แต่หากว่าหลังจากนี้ไป พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะถูกย้ายหรือถูกปฏิวัติรัฐประหารก่อนเกษียณ ก็น่าเสียดาย เพราะหมายความว่า เราจะเสียทหารที่ไม่มีอุดมการณ์ของเผด็จการและการใช้อำนาจใช้ความรุนแรงและกำลังไป...
-ได้ยินข่าวเล่ามาว่า “11 วัน” หลังเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 (ที่ถ้าหากวันนั้นไม่รีบถอยออกก่อน ความเสียหายตายบาดเจ็บจะมากมายกว่านี้หลายเท่า) มาถึงคืนวันที่ 21 เมษายน 2553 ที่มีข่าวลือฮือฮาที่ไม่สามารถปิดเป็นความลับได้ ออกมาว่า...จะมีการเข้าสลายม็อบที่ราชประสงค์ พร้อมทั้งคนทั้งอุปกรณ์ทั้งอาวุธ...สถานการณ์คืนนั้นจึงตึงเครียดที่สุดและเครียดสุดของประเทศไทย...
-แต่ภายหลังพอถึงรุ่งสางวันที่ 22 เมษายน 2553 ข่าวลือไม่กลายเป็นข่าวจริง...ไม่ใช่เพราะข่าวลือนั้นเลื่อนลอยและไม่จริง...แต่ข่าวลือไม่เป็นข่าวจริงเพราะ คนที่ต้องปฏิบัติการหยุดตัวเอง เพราะไม่อยาก-ไม่กล้าเพิ่มคนไทยคนตายขึ้นมาอีก...ไม่ใช่เพราะ “คนสั่ง” สั่งให้หยุด!...
-มด คันไฟ จึงอยากฝากความนี้ไว้ให้คิดกับ ผู้มีอำนาจสั่งการอย่างอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ว่า อำนาจที่ได้มา ยิ่งใหญ่ที่สุดก็จริง แต่ต้องบริหารจัดการเป็น ต้องใช้เป็น...เพราะต้องระวังให้ดีที่อนาคตของตัวเองและลูกหลานด้วย
คอลัมน์บางกอกกอสซิบ
โดย.มด คันไฟ
***********************************************
บริหารด้วยปืน
ถ้าเครื่องมือในการบริหารประเทศของรัฐบาลใดคือกองทัพ....ผลงานของประเทศและรัฐบาลนั้น ก็คือ...การจับกุมคุมขัง..การเข่นฆ่าสังหาร ประเทศใดมีรัฐบาลที่ใช้ปากกระบอกปืนเป็นกลไกการปกครอง....ประเทศนั้นก็เป็นเผด็จการไม่ว่ารัฐบาลนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งไม่มีปากกระบอกปืนของรัฐบาลใด..จะไม่ได้รับการต่อต้านจากประชาชน..เพราะสิ่งที่ประชาชนต้องการจากทุกๆ รัฐบาล..คือการกินดีอยู่ดี...ไม่ใช่การกดขี่บังคับประวัติศาสตร์โลก..บอกกับทุกๆ ชีวิตในโลกว่า...ในที่สุดแล้วอนุสาวรีย์ของผู้กดขี่จะต้องถูกทำลายลงไม่ว่าในวันใดวันหนึ่ง..สตาลิน..เลนิน..แคทเธอลิน เดอะเกรท..เหมาเจ๋อตุง จิ๋นซีฮ่องเต้ ชาร์
แห่งอิหร่าน..ฯลฯ และแม้แต่หลังสุด..วีรบุรุษอย่าง นายพลฟรังโก..แห่งสเปญ..ก็กำลังถูกรัฐสภาสเปญ ออกกฎหมายให้ทำลายสัญลักษณ์ทุกอย่างของท่านผู้นี้...30 กว่าปีมาแล้ว...ประธานาธิบดี เฟอร์ดินัล มาร์คอส..ให้ยศนายพลกับให้เงินจำนวนมหาศาลให้กับนายทหารฟิลิปปินส์ของเขา...โลกในครั้งนั้นเรียกเขาว่า ประธานาธิบดีตลอดกาล..ประชาชนชื่นชอบเขาประดุจเทพเจ้า..และเผื่อแผ่ไปถึง อีเมลด้า ผู้ภริยาว่าเป็น..ผีเสื้อเหล็กแห่งกรุงมนิลา..เพราะกระสุนนัดเดียว
แท้ๆ ที่ลั่นใส่ศรีษะ อาควิโน.. แค่ศพเดียวแท้ๆ...ฟิลิปปินส์กลายเป็นแผ่นดินต้องห้ามของมาร์คอสกับภริยา..แผ่นดินฟิลิปปินส์รังเกียจแม้แต่กระดูกของเขา...กองทัพของมาร์คอส..ปฏิเสธการสังหารประชาชน..ที่เดินดาหน้าเข้ามาที่ มาลากันยัง...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....พณะหัวเจ้าท่านนายกรัฐมนตรี..เก่งภาษาเล่าเรียนมาอย่างดิบดีเช่นท่าน..ท่านไม่ต้องหาทางออกให้กับประเทศ..ประเทศอยู่มาแล้วอยู่มาได้ 700 ปี..ประเทศยังอยู่ได้ไปถึงหนึ่งพันปี...ที่ต้องห่วงคือ..หา
ทางออกให้กับตัวท่าน ภริยาและลูก..ประชาชนคงจะส่งเสริมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน..ด้วยกองศพทับถมของพวกเขาไม่มากมายไปกว่านี้..กองทัพก็คงจะฆ่าประชาชนให้กับท่านอีกไม่นานเท่าไหร่..ABRAHAM MASLOW กล่าวว่า WHEN THE ONLY TOOL YOU OWN IS A HAMMER EVERY PROBLEM BEGINS TO RESEMBLE A NALLถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือปืน..ทุกปัญหาจะเริ่มกันที่ศพ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************
แห่งอิหร่าน..ฯลฯ และแม้แต่หลังสุด..วีรบุรุษอย่าง นายพลฟรังโก..แห่งสเปญ..ก็กำลังถูกรัฐสภาสเปญ ออกกฎหมายให้ทำลายสัญลักษณ์ทุกอย่างของท่านผู้นี้...30 กว่าปีมาแล้ว...ประธานาธิบดี เฟอร์ดินัล มาร์คอส..ให้ยศนายพลกับให้เงินจำนวนมหาศาลให้กับนายทหารฟิลิปปินส์ของเขา...โลกในครั้งนั้นเรียกเขาว่า ประธานาธิบดีตลอดกาล..ประชาชนชื่นชอบเขาประดุจเทพเจ้า..และเผื่อแผ่ไปถึง อีเมลด้า ผู้ภริยาว่าเป็น..ผีเสื้อเหล็กแห่งกรุงมนิลา..เพราะกระสุนนัดเดียว
แท้ๆ ที่ลั่นใส่ศรีษะ อาควิโน.. แค่ศพเดียวแท้ๆ...ฟิลิปปินส์กลายเป็นแผ่นดินต้องห้ามของมาร์คอสกับภริยา..แผ่นดินฟิลิปปินส์รังเกียจแม้แต่กระดูกของเขา...กองทัพของมาร์คอส..ปฏิเสธการสังหารประชาชน..ที่เดินดาหน้าเข้ามาที่ มาลากันยัง...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ....พณะหัวเจ้าท่านนายกรัฐมนตรี..เก่งภาษาเล่าเรียนมาอย่างดิบดีเช่นท่าน..ท่านไม่ต้องหาทางออกให้กับประเทศ..ประเทศอยู่มาแล้วอยู่มาได้ 700 ปี..ประเทศยังอยู่ได้ไปถึงหนึ่งพันปี...ที่ต้องห่วงคือ..หา
ทางออกให้กับตัวท่าน ภริยาและลูก..ประชาชนคงจะส่งเสริมตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของท่าน..ด้วยกองศพทับถมของพวกเขาไม่มากมายไปกว่านี้..กองทัพก็คงจะฆ่าประชาชนให้กับท่านอีกไม่นานเท่าไหร่..ABRAHAM MASLOW กล่าวว่า WHEN THE ONLY TOOL YOU OWN IS A HAMMER EVERY PROBLEM BEGINS TO RESEMBLE A NALLถ้าเครื่องมือเดียวที่คุณมีคือปืน..ทุกปัญหาจะเริ่มกันที่ศพ
โดย.พญาไม้ทูเดย์พญาไม้
************************************************
‘สีลม’2553
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา คงเป็นภาพที่คนไทยทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นในสภาพบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายในขณะนี้ อีกทั้งไม่คาดคิดว่า เหตุระเบิดเอ็ม 79 จะนำมาซึ่งการสูญเสียครั้งใหญ่ มีผู้บาดเจ็บ 80 กว่าราย เสียชีวิต 1 รายเหตุการณ์ครั้งนี้...เกิดขึ้นบนความเห็นที่ขัดแย้งทางการเมือง ระหว่าง 2 กลุ่ม คือกลุ่มคนรักสีลม ที่เห็นว่ากลุ่มคนเสื้อแดงได้สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ทำมาหากินในย่านสีลม รวมทั้งการรวมตัวกันเพื่อป้องกันไม่ให้คน
เสื้อแดงยกพลบุกสีลม ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ขณะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงที่สร้างป้อมค่ายป้องกันเหตุปะทะ มองว่าการออกมาท้าตีท้าต่อยของคนรักสีลมเป็นการยั่วยุให้เสื้อแดงออกมาใช้กำลังปะทะกัน ก่อนเกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ถล่มสีลม เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่อยู่คนละสีเท่านั้น แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะมีการขว้างปา ขวด ก้อนหินเข้าใส่กัน แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ไม่นานถนนสีลมอาจจะนองเลือดแล้วในค่ำคืนวันที่ 22 เม.ย.
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...เมื่อคนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง 3 ลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บด้วย ในเวลาใกล้เคียงกัน...คนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกหน้าโรงแรมดุสิตธานี และหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนซึ่งเป็นคนทำงานที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านได้รับบาดเจ็บ ความโกลาหล เกิดขึ้นทันที! หลายคนช่วยนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลายคนรีบวิ่งหนีเพื่อหา
ทางกลับบ้านจนไม่เหลือบรรยกาศถนนสีลม ที่เคยเป็นถนนแห่งการจับจ่ายของคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ “สีลม” ในพ.ศ. นี้ไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ตำรวจ ทหาร เสริมกำลังเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่ง แต่สถานการณ์กลับไม่ได้คลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มอยู่ในอาการโกรธแค้น โดยเฉพาะฝั่งคนสีลม ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมระดม ขวด หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดงในฝั่งตรงข้าม ทำให้ตำรวจทหารได้เจอลูกหลงบาดเจ็บหลายคน ทันทีที่เหตุ
ระเบิดเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผบ. เหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้องเรียกประชุมศอฉ. ทันที เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ แม้จะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่สามารถระงับยับยั้งเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ขณะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ออกมาชี้แจงผ่านทีวีพูล โดยยืนยันว่า...วิถีกระสุนเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดง พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยห่าง 400 เมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การแถลงของนายสุ
เทพ กลับสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดง ที่เหมือนเป็นการโยนความผิดให้คนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน งานนี้นายสุเทพจึง “ผิดคิว” ที่ออกมาโยนความผิดให้คนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่รัฐบาลมีไว้ในมือไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ กลายเป็นกฎหมายที่เอาไว้ขู่ม็อบเท่านั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
เสื้อแดงยกพลบุกสีลม ตามที่แกนนำคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ขณะที่ฝ่ายคนเสื้อแดงที่สร้างป้อมค่ายป้องกันเหตุปะทะ มองว่าการออกมาท้าตีท้าต่อยของคนรักสีลมเป็นการยั่วยุให้เสื้อแดงออกมาใช้กำลังปะทะกัน ก่อนเกิดเหตุคนร้ายยิงเอ็ม 79 ถล่มสีลม เกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างคนไทยด้วยกันเอง แต่อยู่คนละสีเท่านั้น แม้เหตุการณ์ครั้งนั้นจะมีการขว้างปา ขวด ก้อนหินเข้าใส่กัน แต่ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า ไม่นานถนนสีลมอาจจะนองเลือดแล้วในค่ำคืนวันที่ 22 เม.ย.
เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...เมื่อคนร้ายยิงเอ็ม 79 เข้าใส่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง 3 ลูก ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย ในจำนวนนี้มีชาวต่างชาติได้รับบาดเจ็บด้วย ในเวลาใกล้เคียงกัน...คนร้ายยิงเอ็ม 79 ตกหน้าโรงแรมดุสิตธานี และหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคนซึ่งเป็นคนทำงานที่กำลังจะเดินทางกลับบ้านได้รับบาดเจ็บ ความโกลาหล เกิดขึ้นทันที! หลายคนช่วยนำตัวผู้บาดเจ็บไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล หลายคนรีบวิ่งหนีเพื่อหา
ทางกลับบ้านจนไม่เหลือบรรยกาศถนนสีลม ที่เคยเป็นถนนแห่งการจับจ่ายของคนไทยและชาวต่างชาติ แต่ “สีลม” ในพ.ศ. นี้ไม่ต่างจากสมรภูมิรบ ตำรวจ ทหาร เสริมกำลังเข้าพื้นที่ เพื่อป้องกันการกระทบกระทั่ง แต่สถานการณ์กลับไม่ได้คลี่คลาย เพราะทั้ง 2 ฝ่าย เริ่มอยู่ในอาการโกรธแค้น โดยเฉพาะฝั่งคนสีลม ที่กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง พร้อมระดม ขวด หนังสติ๊ก ยิงเข้าใส่กลุ่มคนเสื้อแดงในฝั่งตรงข้าม ทำให้ตำรวจทหารได้เจอลูกหลงบาดเจ็บหลายคน ทันทีที่เหตุ
ระเบิดเกิดขึ้น นายกรัฐมนตรีพร้อมผบ. เหล่าทัพ และผู้เกี่ยวข้องเรียกประชุมศอฉ. ทันที เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการท้าทายอำนาจรัฐ แม้จะมีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ไม่สามารถระงับยับยั้งเหตุร้ายที่เกิดขึ้นได้ขณะที่ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ในฐานะ ผอ.ศอฉ. ออกมาชี้แจงผ่านทีวีพูล โดยยืนยันว่า...วิถีกระสุนเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดง พร้อมขอให้ทั้งสองฝ่ายถอยห่าง 400 เมตร เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์พื้นที่ แต่การแถลงของนายสุ
เทพ กลับสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดง ที่เหมือนเป็นการโยนความผิดให้คนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ไม่มีหลักฐานมายืนยัน งานนี้นายสุเทพจึง “ผิดคิว” ที่ออกมาโยนความผิดให้คนเสื้อแดง อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ครั้งนี้ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นแล้วว่า “พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” ที่รัฐบาลมีไว้ในมือไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ กลายเป็นกฎหมายที่เอาไว้ขู่ม็อบเท่านั้น!
ที่มา.บางกอกทูเดย์
*************************************************
"เสธ.แดง"ฟันธงรบ.ส่ง"คนชุดดำ"ยิงเอ็ม79ถล่มสีลม บอกกองกำลังนิรนามเคยช่วยแดงกลับบ้านหมดแล้ว
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก(ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นิตยสารไทม์ระบุว่า พล.ต.ขัตติยะ อยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดเอ็ม 79 ที่ศาลาแดง เมื่อคืนวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาว่า ขอฟันธงว่าเหตุระเบิดที่ศาลาแดง เป็นฝีมือของคนชุดดำผู้ก่อการร้ายตัวจริงที่ยิงอาวุธมาจากตึกสูงใส่รถฟ้าบีทีเอส และกลุ่มเสื้อหลากสี ซึ่งไม่ใช่คนของกลุ่มคนเสื้อแดง แต่เป็นคนที่รัฐบาลส่งมาสร้างเหตุการณ์รุนแรง เพื่อหาข้ออ้างขอความชอบธรรมบีบให้ทหารออกมาปราบประชาชนอีก
เพราะขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และทหารถอดใจแล้ว และถอนกำลังทหารกลับ เพราะไม่อยากออกมารบกับประชาชนคนไทยอีก นอกจากนี้ รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก่อความรุนแรง เพื่อบีบศาลแพ่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองไม่ให้สลายชุมนุมรุนแรง
เมื่อถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายยิงเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดงพล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า อยากถามนายสุเทพรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนทำ รู้ได้อย่างไรว่ายิงมาจากหลังพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 และเป็นลูกระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่เหตุระเบิดเพิ่งเกิด และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์หลักฐาน หรือมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลย นายสุเทพกลับมาฟันธงว่า เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพราะเขากลับบ้านกันหมดแล้ว หลังจากที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงจากการที่ทหารออกมารังแกประชาชน เพราะเขาจะออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงหากถูกทหารมารังแกเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
เพราะขณะนี้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และทหารถอดใจแล้ว และถอนกำลังทหารกลับ เพราะไม่อยากออกมารบกับประชาชนคนไทยอีก นอกจากนี้ รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่า กลุ่มเสื้อแดงก่อความรุนแรง เพื่อบีบศาลแพ่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองไม่ให้สลายชุมนุมรุนแรง
เมื่อถามว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ระบุว่ากลุ่มก่อการร้ายยิงเอ็ม 79 มาจากฝั่งคนเสื้อแดงพล.ต.ขัตติยะ กล่าวว่า อยากถามนายสุเทพรู้ได้อย่างไรว่ากลุ่มไหนทำ รู้ได้อย่างไรว่ายิงมาจากหลังพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 และเป็นลูกระเบิดเอ็ม 79 ทั้งที่เหตุระเบิดเพิ่งเกิด และยังไม่มีเจ้าหน้าที่ไปพิสูจน์หลักฐาน หรือมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) ไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุเลย นายสุเทพกลับมาฟันธงว่า เป็นฝีมือของกลุ่มคนเสื้อแดง ทั้งนี้เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฝีมือของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย เพราะเขากลับบ้านกันหมดแล้ว หลังจากที่ได้ช่วยเหลือกลุ่มคนเสื้อแดงจากการที่ทหารออกมารังแกประชาชน เพราะเขาจะออกมาเพื่อช่วยเหลือคนเสื้อแดงหากถูกทหารมารังแกเท่านั้น
ที่มา.มติชนออนไลน์
"อนุพงษ์"ย้ำ"ผบ.หน่วย"ไม่ใช้กำลังสลายแดง
พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงผลการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกว่า ผบ.ทบ.ได้กล่าวถึงภารกิจการดูแลอธิปไตยตามแนวชายแดนโดยให้กองกำลังชายแดนของกองทัพบกในทุกกองทัพภาคดูแลความมั่นคงตามแนวชายแดนให้เรียบร้อย อย่างไรก็ดามได้กำชับให้ทุกกองทัพภาคหลีกเลี่ยงและระมัดระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะนำไปสู่การไม่เข้าใจซึ่งกันและกันกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้พล.อ.อนุพงษ์ ยังกล่าวถึงสถานการณ์บ้านเมือง โดยขอให้ผู้บังคับหน่วยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และผบ.ทบ.ใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงให้ผู้บังคับหน่วยได้รับทราบถึงปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการชุมนุมที่เกิดขึ้น รวมถึงพัฒนาการของการชุมนุมและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เริ่มเหตุการณ์จนถึงปัจจุบัน โดยเจ้าหน้าที่ได้ยึดหลักมาตรฐานสากลและไม่ใช้ความรุนแรง
“ผบ.ทบ.ย้ำว่า กองทัพบกเป็นกลไกสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างของกองทัพจะยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ การสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะถือว่า ทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน การใช้ความรุนแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป โดยผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงให้กำลังพลและครอบครัวเข้าใจถึงสถานการณ์ และการปฏิบัติงานด้วยความยากลำบากของเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งให้ทุกทุกกองทัพภาคสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ให้รับทราบพัฒนาการของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันกับ ประชาชนว่า การใช้ความรุนแรงไม่สามารถทำให้ปัญหาจบลง ขอให้มั่นใจในการดำเนินการของกองทัพว่า ทุกสิ่งที่กองทัพปฏิบัติยึดถือผลประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นหลักเท่านั้น”รองโฆษกกองทัพบก กล่าว
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.พูดถึงการสลายการชุมนุมหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก่อนที่จะพูดถึงจุดนั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมรวมถึงการทำงานของทหารในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ และป้องกันไม่ให้ประชาชนทำร้ายซึ่งกันและกัน เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตรฐานในการทำงานแม้จะต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดันยังคงมีมาตรฐานในการทำงานเหมือนเดิม
ที่มา.เนชั่น
************************************************
“ผบ.ทบ.ย้ำว่า กองทัพบกเป็นกลไกสำคัญของรัฐที่จะช่วยแก้ไขปัญหา ยืนยันว่า การดำเนินการทุกอย่างของกองทัพจะยึดผลประโยชน์ประเทศชาติเป็นหลัก ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุด คือ การสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นในสังคม เพราะถือว่า ทุกคนเป็นคนไทยด้วยกัน การใช้ความรุนแรงไม่ได้ทำให้ปัญหาหมดไป โดยผบ.ทบ.ได้สั่งการให้ผู้บังคับหน่วยไปชี้แจงให้กำลังพลและครอบครัวเข้าใจถึงสถานการณ์ และการปฏิบัติงานด้วยความยากลำบากของเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งให้ทุกทุกกองทัพภาคสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ ให้รับทราบพัฒนาการของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ยืนยันกับ ประชาชนว่า การใช้ความรุนแรงไม่สามารถทำให้ปัญหาจบลง ขอให้มั่นใจในการดำเนินการของกองทัพว่า ทุกสิ่งที่กองทัพปฏิบัติยึดถือผลประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นหลักเท่านั้น”รองโฆษกกองทัพบก กล่าว
เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.พูดถึงการสลายการชุมนุมหรือไม่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์ กล่าวว่า ก่อนที่จะพูดถึงจุดนั้น ท่านได้เล่าให้ฟังว่า สิ่งที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มมีการชุมนุมรวมถึงการทำงานของทหารในการแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ และป้องกันไม่ให้ประชาชนทำร้ายซึ่งกันและกัน เป็นไปด้วยความยากลำบาก มาตรฐานในการทำงานแม้จะต้องอยู่ภายใต้ภาวะกดดันยังคงมีมาตรฐานในการทำงานเหมือนเดิม
ที่มา.เนชั่น
************************************************
ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้
สมหญิง อาชาวานิชสกุล
ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน “ตาสว่าง” ในหลายๆ เรื่อง
1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?
ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม – เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป “ขอคืนพื้นที่” แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง
2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?
“ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้” ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
3. สังคมไทย เป็นสังคม “สองมาตรฐาน” ?
ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่
4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?
สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ “ความเป็นไพร่” “ความเป็นอำมาตย์” หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ
ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า “เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม” บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป
5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?
เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.
“สัจธรรม” นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว “ขอโทษ” สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เข้าให้อีก
ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว
แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก “ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้” อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้
บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น
ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้”
ที่มา.ประชาไท
***********************************************
ไม่ว่าจะลงเอยเช่นไร การชุมนุมของคนเสื้อแดงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภาตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคมเป็นต้น ได้ช่วยทำให้ฉัน “ตาสว่าง” ในหลายๆ เรื่อง
1. ม็อบ นปช. เป็นม๊อบรับจ้าง?
ในรอบสองสามปีที่ผ่านมานี้ ฉันได้ยินได้ฟังมาโดยตลอดว่าชาวบ้านที่มาชุมนุมกับนปช. ต่างรับเงินมาจากหัวคะแนน คนละห้าร้อยบาทบ้าง พันบาทบ้าง คนพวกนี้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรทั้งนั้น อุดมกงอุดมการณ์อะไรก็ไม่มี ใครให้เงินก็มา ดีกว่าอยู่บ้านเปล่าๆ แต่การที่พวกเขามาชุมนุม นอนกลางฟุตบาท กินกลางถนน ท่ามกลางเปลวแดดอันร้อนระอุของเดือนมีนาคม – เมษายน ได้นานนับเดือนคงต้องมาด้วยอะไรที่มากกว่าเงินเป็นแน่ หากพวกเขาไม่มีใจ ไม่มีความหวัง ความเชื่อในบางสิ่งบางอย่างแล้ว พวกเขาจะอดทนตากแดดตากฝนกันได้ยาวนานเพียงนี้เชียวหรือ ยิ่งพวกที่ยอมเจ็บยอมตายในคืนที่รัฐบาลสั่งให้ทหารเข้าไป “ขอคืนพื้นที่” แล้วยิ่งไม่ต้องสงสัยว่าเลยว่าพวกเขาเป็นเพียงม๊อบรับจ้าง
2. คนเสื้อแดงถูกหลอกใช้?
“ไอ้พวกนี้มันควายทั้งนั้น ถูกไอ้พวกนักการเมืองชั่วมันหลอกใช้” ฉันได้ยินคำพูดทำนองนี้เต็มสองรูหูทั้งในที่ทำงาน ร้านอาหารหรูๆ และตามหน้าหนังสือพิมพ์ บนจอโทรทัศน์ หรือบนเฟซบุ๊ค แต่พอซักไซ้ถามต่อว่าพวกเขาโง่ตรงไหน ถูกหลอกใช้อย่างไร ส่วนใหญ่มักจะตอบกันไม่ค่อยจะได้ ได้แต่เสไปพูดเรื่องนักการเมืองชั่วบ้างล่ะ คนพวกนี้ไม่มีการศึกษาใครพูดอะไรก็เชื่อทั้งนั้น น้อยคนที่จะรู้จริงว่าคนเสื้อแดงคิดและรู้สึกอย่างไร เพียงแต่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอกก็ทึกทักเอาเสียแล้วว่าเขาเป็นคนโง่ ยิ่งพวกนักข่าวแล้ว ฉันไม่เคยเห็นพวกเขาไปทำข่าวถามไถ่คนพวกนี้สักคำว่าพวกเขามากันทำไม ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันว่าคนที่บอกว่าคนเสื้อแดงโง่ต่างหากที่โง่บรม วันๆ ได้แต่จำขี้ปากคนอื่นมาพูด รัฐบาลบอกอะไรก็เชื่อฟังเหมือนเด็กว่านอนสอนง่าย
3. สังคมไทย เป็นสังคม “สองมาตรฐาน” ?
ฉันได้ยินคำนี้มาพักใหญ่แล้วเรื่องสองมาตรฐาน แต่ไม่อยากจะปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังอยากจะคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไรที่บรรดานักปราชญ์ นักวิชาการผู้ปราดเปรื่อง นักคิด นักเขียน ปัญญาชนผู้มากด้วยวิจารณญาณ แพทย์พยาบาลผู้ได้ชื่อว่าอุทิศตัวเพื่อช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ คณะกรรมการอิสระผู้ทรงเกียรติและศักดิ์ศรี สื่อมวลชน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ผู้ยึดมั่นในจรรยาบรรณ ตลอดจนศาลผู้สถิตย์ไว้ซึ่งความยุติธรรม จะพากันมีอคติ เลือกที่รัก มักที่ชั่ง ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน ราวกับสั่งซ้ายหัน ขวาหันได้ แต่พฤติกรรมของคนทั้งหลายเหล่านี้ที่มีต่อคนเสื้อแดงในรอบหนึ่งเดือนที่ฉันเฝ้าติดตามดูอยู่นั้น เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของพวกเขาที่มีต่อพวกคนเสื้อเหลืองที่เคยชุมนุมบนถนน ยึดทำเนียบ และปิดสนามบิน ทำให้ฉันประจักษ์แน่ชัดแล้วว่า สังคมไทยมีสองมาตรฐานจริงๆ อย่าว่าแต่บรรดาผู้ทรงเกียรติและทรงศักดิ์ที่กล่าวมาข้างต้นนี้เลย แม้แต่ฟ้าก็ยังไม่เป็นใจให้กับคนเสื้อแดงเลย ไหนจะร้อนตับแตก ไหนจะฝนตกมาห่าใหญ่
4. สังคมไทยไม่มีชนชั้น?
สืบเนื่องจากเรื่องสองมาตรฐาน คือเรื่องไพร่กับอำมาตย์ นี่ก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน อย่างที่รู้ๆกันว่าระบบไพร่หมดไปแล้วจากสังคมไทย แต่ “ความเป็นไพร่” “ความเป็นอำมาตย์” หาได้หายสาบสูญตามระบบไพร่ไปด้วย แต่มันยังอยู่และปรากฏตัวอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้ ปฏิกิริยาของบรรดาท่านผู้ทรงเกียรติที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ รวมไปถึงพฤติกรรมและท่าทีของบรรดาชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ที่ดูหมิ่นถิ่นแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ยคนเสื้อแดงทั้งโดยเปิดเผยและในหมู่คณะของพวกเขา (นับเป็นความโชคร้ายอย่างยิ่งที่ฉันก็อยู่ในหมู่คณะของคนเหล่านี้ด้วย) ทำให้ฉันไม่ประหลาดใจ เมื่อคนเสื้อแดงจะประกาศยืนยันความเป็นไพร่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ และเป็นที่ถูกอกถูกใจคนจำนวนมากทั่วทั้งประเทศที่ถูกทำให้รู้สึกโดยตลอดมาว่าพวกเขาเป็นคนต่ำต้อยไร้ค่าในสายตาของท่านผู้ทรงศีลและมากด้วยภูมิปัญญาในกรุงเทพฯ
ที่ฉันไม่ค่อยจะเข้าใจนักก็คือ บรรดาอภิชน อภิสิทธิ์ชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯเหล่านี้พูดมาตลอดว่าชาวบ้านคนต่างจังหวัด เป็นพวกโง่เง่า ขายสิทธิ์ ขายเสียง ถึงขนาดนำเอามาเป็นข้ออ้างเพื่อล้มรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งก็เคยทำมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ถือว่าตนเองคือผู้ฉลาดมีปัญญา มีศีลธรรม รู้ผิดชอบชั่วดีมากกว่าคนต่างจังหวัด พฤติกรรมและวจีกรรมเหล่านี้ก็คือการแบ่งแยกคน แบ่งแยกชนชั้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่ครั้นเมื่อคนต่างจังหวัดลุกขึ้นมาประกาศว่า “เออ โง่ก็โง่วะ กูเป็นไพร่ แล้วมึงจะทำไม” บรรดาดัดจริตชนคนกรุงเทพฯ พาลจะเป็นจะตายเสียให้ได้ รีบมาจีบปากจีบคอบอกว่า สังคมไทยไม่มีไพร่ ไม่มีผู้ดี ไม่มีชนชั้น เราอยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง มันจะอะไรกันนักกันหนา นี่จะเอามันซะทุกอย่างเลยหรืออย่างไร มือข้างหนึ่งก็ชี้หน้าด่าชาวบ้านว่าโง่ แต่มืออีกข้างก็โบกปัดพัลวัน บอกว่าเราเป็นพี่น้องกัน ชนชั้นไม่มีในสังคมไทย อภิชนและชนชั้นกลางบ้านเรานี้มันไร้น้ำยากันขนาดนี้เลยหรืออย่างไร กล้าทำก็ต้องกล้ารับบ้างจะเป็นไรไป
5. ใครใช้ความรุนแรงก่อนคือผู้แพ้?
เชื่อกันว่า ในการต่อสู้กับรัฐบาลด้วยการชุมนุมประท้วงนั้น ฝ่ายใดใช้ความรุนแรงก่อนจะต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เหตุการณ์หลายครั้งในประวัติศาสตร์ดูเสมือนว่าจะพิสูจน์สัจธรรมของความเชื่อดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณี 14 ตุลาคม 2516 ที่ถนอม ประพาส ณรงค์ ต้องระเห็จออกนอกประเทศเพราะปราบปรามผู้ชุมนุม กรณีพฤษภาทมิฬในปี 2535 ที่สุจินดาจำต้องลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากมีการนำทหารเข้ามาสลายการชุมนุม หรือในกรณี 7 เมษายน 2551 ที่รัฐบาลสมชายถูกประณามอย่างรุนแรงภายหลังเกิดการปะทะกับกลุ่มพธม.
“สัจธรรม” นี้จึงเป็นเสมือนเกราะกำบังที่ทำให้ผู้ชุมนุมทางการเมืองกล้าเสี่ยงฝ่าฝืนกฎหมาย เพราะมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่กล้าใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมทางการเมืองเป็นอันขาด แต่การระดมทหารติดอาวุธและยุทโธปกรณ์เต็มอัตราวุธเข้าสลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. คือบทพิสูจน์ว่าสัจธรรมที่ว่านี้ไม่มีอยู่จริง แม้จะมีพลเรือนตายนับสิบและบาดเจ็บนับร้อย แต่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ก็ยังอยู่เป็นปกติดี โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องรับผิดใดๆ แม้แต่คำกล่าว “ขอโทษ” สักคำก็ไม่มี ซ้ำร้ายฝ่ายผู้ชุมนุมกลับถูกกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” เข้าให้อีก
ฉันไม่แปลกใจหรือผิดหวังอะไรหรอกที่นายอภิสิทธิ์จะไม่ออกมากล่าวขอโทษหรือยอมรับผิด เพราะรู้เช่นเห็นชาติบุคคลผู้ไร้ยางอายผู้นี้มาตั้งแต่ครั้งที่เขาออกมาเรียกร้องขอนายกพระราชทานแล้ว
แต่ฉันขอสารภาพว่าผิดหวังกับสื่อ องค์กรอิสระด้านสิทธิมนุษยชน องค์กรเอ็นจีโอต่างๆ ตลอดจนบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ นักสันติวิธี และผู้ต่อต้านความรุนแรงทั้งปวง ที่ต่างพากันวางเฉยไม่ออกมาตำหนิหรือกดดันให้รัฐบาลต้องรับผิดในสิ่งที่กระทำลง ซ้ำร้ายจำนวนมากของคนเหล่านี้กลับออกมาพูดให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง ราวกับว่าเหตุการณ์วันที่ 10 เป็นเรื่องของคนสองฝ่ายยกพวกตีกัน ทั้งๆที่ก็เห็นอยู่ทนโท่ว่ารัฐบาลเป็นฝ่ายเปิดฉากส่งทหารติดอาวุธหนักเข้ามาสลายการชุมนุมในยามวิกาลซึ่งผิดหลักสากลอย่างไร้ข้อกังขา ที่เลวทรามยิ่งกว่าคือจำนวนมากของคนเหล่านี้ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับผู้ชุมนุมให้หนักมือยิ่งขึ้น บ้างก็ออกมาป่าวร้องอย่างกระหายเลือดให้ฆ่าผู้ชุมนุมให้หมดไป ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความอยู่รอดของชาติ และความผาสุกของคนกรุงเทพฯ และที่ชั่วช้าน่าขยะแขยงที่สุดคือการออกมาใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุมให้เป็น “ผู้ก่อการร้าย” เป็นขบวนการล้มสถาบันหลักของชาติ ไม่ผิดอะไรกับเมื่อการใส่ร้ายนักศึกษาประชาชนก่อนที่เกิดการสังหารหมู่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519
ฉันอยากจะเตือนสติพวกท่านว่า เพียงเพื่อจะอุ้มรัฐบาลนี้กันต่อไป พวกท่านยอมลงทุนทำลายกฎเหล็ก “ใครเริ่มต้นความรุนแรงก่อน เป็นผู้แพ้” อันเป็นเกราะกำบังคุ้มครองความปลอดภัยของผู้ชุมนุมทางการเมืองจากการใช้ความรุนแรงของรัฐ วันข้างหน้าพวกท่านจะต้องสำนึกเสียใจ เพราะไม่มีใครอยู่ค่ำฟ้า และรัฐบาลนี้ต่อให้ลากยาวไปจนหมดวาระ ก็เชื่อแน่ได้ว่าจะไม่มีวันหวนกลับมาอีกแน่ ฉันจะไม่แปลกใจเลยเมื่อถึงวันนั้นการชำระแค้นในครั้งนี้จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นเมื่อพวกท่านระดมคนมาชุมนุมทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล ท่านจะเอาอะไรเป็นเกราะกำบังคุ้มครองได้
บัดนี้ฉันได้รู้ซึ้งแก่ใจแล้วว่าคนที่โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งเสียกว่าทหารหรือรัฐบาลก็คือบรรดาคนรอบๆตัวฉันนี่เอง คือราษฎรอาวุโส ปราชญ์ ปัญญาชน อาจารย์ตามรั้วมหาวิทยาลัย นักสันติวิธี เอ็นจีโอ สื่อมวลชน และชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ผู้อวดอ้างตนเองมาโดยตลอดว่าเป็นผู้ยึดมั่นในความจริง ฝักใฝ่ประชาธิปไตย เชิดชูคุณธรรมและความเป็นธรรม ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าหัวใจของคนเหล่านี้ทำด้วยอะไร พวกเขาไม่เพียงแต่จะวางเฉยปล่อยให้อำนาจอธรรมย่ำยี่ความจริงเท่านั้น แต่จำนวนมากได้ออกมาสนับสนุนและร่วมมือกระทำการใส่ร้ายและเข่นฆ่าประชาชนได้อย่างเลือดเย็น
ฉันไม่รู้ว่าสำนึกในเรื่องความยุติธรรมและความเป็นคนของพวกเขาได้ตกหล่นสูญหายไปตั้งแต่เมื่อไร หรือว่าจริงๆแล้วพวกเขาไม่เคยมีสำนึกเหล่านี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ฉันนึกไม่ออกว่าจะมีสังคมใดและชาติใดที่คนเราจะโหดเหี้ยมอำมหิตต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันได้อย่างเลือดเย็นดังที่ฉันได้ประสบในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้
อ้อแล้วก็เลิกพูดเสียทีเถอะว่าทั้งหมดนี้พวกท่านทำไปเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพราะหากชาติที่พวกท่านชอบอ้างกันนักมีหน้าตาดังเช่นที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ฉันต้องขอบอกว่า “ชาตินี้ที่รัก เราคงรักกันไม่ได้”
ที่มา.ประชาไท
***********************************************
ฤาเราต่างสะสมความความพ่ายแพ้?
20 (+5) ศพ เป็น "ราคา" ที่ "แพงเกินไป" ที่จ่ายไปแล้ว กับสิ่งที่อาจจะได้มา คือยุบสภา หรือแม้แต่อภิสิทธิ์ออก (อาจจะไม่ได้อะไรเลยก็ได้) การที่ยังชุมนุมเสี่ยงชีวิตต่อไปอีกนี่เพื่ออะไรนะครับ? "ขาดทุน" ด้วยชีวิตคนเพิ่มมากขึ้นไปอีก?
และคำถามทิ้งท้ายในกระทู้เดียวกันนี้ของอาจารย์สมศักดิ์ คือ
ใครที่คิดว่า ถ้าชุมนุมต่อ แล้วบีบให้ยุบสภา หรือแม้แต่ให้อภิสิทธิ์ออกได้ จะทำให้ถือได้ว่า การชุมนุมนี้เป็น "ชัยชนะ" ลองให้เหตุผลให้ผมดูหน่อยเถอะว่า การยุบสภา (และอภิสิทธิ์อาจจะออก) นี่มันมีคุณค่าสูงกว่า 20(+5) ชีวิตที่เสียไปอย่างไร? (ถามโดยยังไม่ต้องรวมถึงชีวิตที่อาจจะเสียไปอีกด้วยซ้ำ)
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์ ASTV ว่า
“ถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง ใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงซึ่งมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในนั้น ผมรับรองว่าคนหมื่นสองหมื่นทหารสามารถสลายเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง”
หากการสูญเสียชีวิต 25 ศพ (และอาจจะ +…) คือ ความพ่ายแพ้ของฝ่ายเสื้อแดงและเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาลด้วย การเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กองกำลังทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ราชประสงค์ ของพันธมิตรฯ เสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี คนสีลม ฯลฯ ก็คือการเร่งความพ่ายแพ้ให้มากขึ้นๆ จนไม่กล้าจินตนาการ
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นแล้ว (25 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพัน) หรือความพ่ายแพ้เกินจินตนาการที่อาจเกิดตามมา คือผลพวงของความพ่ายแพ้ของสังคมไทยที่สั่งสมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เช่น
1. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจตามจารีตเก่า ที่ไม่ยอมเรียนรู้และปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก ชนชั้นนำกลุ่มนี้ประกอบด้วยคนชั้นสูง อำมาตย์ ทหาร เครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนเก่า สื่อ และนักวิชาการสายอนุรักษ์นิยม
พวกเขายังยึดมั่นในจินตนาการ “ความเป็นไทย” ภายใต้ความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งมีลักษณะ “รวมศูนย์” ของอำนาจ อุดมการณ์ ความเชื่อ ความจงรักภักดี ไม่ยอมรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่มีจินตนาการความเป็นไทย ที่เปลี่ยนไปว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นสังคมประชาธิปไตย” ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นธรรมมากขึ้น แก่ “ทุกคน” ที่เป็น “ประชาชน” ของประเทศเหมือนๆ กัน
หรือความเป็นไทยที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของอุดมการณ์ อำนาจ ฉันทานุมัติในประเด็นสาธารณะต่างๆ อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำ กำกับ ยัดเยียด เบี่ยงเบน โดยอำนาจอื่นใดที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
แต่บรรดาชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจเก่าไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เพราะกลัวการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยมี พวกเขาจึงพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า ความคิดที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องอันตราย และพร้อมที่จะใช้กองกำลังทหาร (ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน) จัดการกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้สังคมเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำนาจครอบงำกำกับของพวกเขา
ซึ่งในที่สุดแล้ว ความพยายามของชนชั้นนำกลุ่มนี้จะเร่งให้พวกเขาพ่ายแพ้เร็วขึ้น และเป็นความพ่ายแพ้บนความแตกแยกของคนในชาติ แต่ในระยะยาวคนในชาติจะตาสว่าง เข้มแข็งขึ้น และพวกเขาจะไม่มีวันชนะเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะความรุ่งเรืองในอดีตย่อมคู่ควรกับอดีต ไม่อาจคู่ควรกับอนาคตที่มนุษย์ศรัทธาต่อเสรีภาพและความเสมอภาคเหนืออื่นใด
2. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำกลุ่มทุนใหม่ ที่แม้พวกนี้จะอยู่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก้าวหน้า ทุ่มทุนสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่พวกเขายังยึดติดอยู่ในอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ต้องการชัยชนะเฉพาะหน้าทางการเมืองมากเกินไป ตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าในเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและโครงสร้างสังคมที่เป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการปกป้อง “ชีวิต” ของประชาชนน้อยไป จึงไม่ได้มุ่งสร้างกระบวนการต่อสู้เพื่อ “ชัยชนะทางความคิด” อย่างแท้จริง
พวกเขาจึงเอาแต่เร่งเกมไปสู่ความสูญเสียและพ่ายแพ้ แต่ถึงเขาชนะทางการเมือง ทำให้เกิดการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ได้เสียงส่วนใหญ่ตั้งรัฐบาล หากเขายังตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าของประชาชน เขาก็จะพ่ายแพ้แม้ต่อประชาชนที่เคยสนับสนุน
3. ความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคม หรือความพ่ายแพ้ของทุกสถาบันในสังคมที่มีจุดยืนและบทบาทผิดเพี้ยนไปจากหลักการ อุดมการณ์ และครรลองประชาธิปไตย ทำให้สถาบันเหล่านั้นลดความน่าเชื่อถือในสังคมลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พูดอะไรไม่มีใครฟัง เพราะเข้าตัวเอง เอียงไปตามอคติ มีมีพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างที่ใครๆก็รู้ทัน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคโลกาภิวัตน์ บวกกับการที่คนรุ่นใหม่มีความคิดเป็นอิสระจากการชี้นำของความคิดแนวจารีตนิยมมากขึ้น
ฉะนั้น ทุกสถาบันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกษัตริย์ ศาสนา กองทัพ มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สื่อมวลชนล้วนแต่ถูกตั้งคำถามจากสังคมทั้งสิ้น สถาบันเหล่านี้ไม่อาจชี้นำ “ความถูกต้อง” ให้ประชาชน “เชื่อถือร่วมกัน” ได้อีกต่อไป เพราะล้วนแต่ตามไม่ทัน มีท่าทีกลัว กีดกัน ขัดขวางความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่สามารถตอบสนอง “อย่างสร้างสรรค์” (เช่น เปิดใจกว้าง เปิดพื้นที่ให้ความคิดฝ่ายก้าวหน้าได้แสดงต่อสาธารณะ และหรือร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างฉันมิตร ฯลฯ) ต่อความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีความเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งที่คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างของสังคมตื่นตัว และเดินนำไปก่อนแล้ว
(เช่น ความคิดของคนอย่าง “ยายไฮ ขันจันทา” เป็นความคิดที่ก้าวหน้ากว่าศาสตราจารย์บางคนของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ เพียงแต่พวกเขามี “พื้นที่สื่อ” อธิบายความคิดของตนเองน้อยเกินไปเท่านั้นเอง)
การสั่งสมความพ่ายแพ้ โดยการกีดกัน ขจัดความความคิดที่ก้าวหน้า ด้วยการปิดสื่อ การเร่งเกมไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสีย จึงเป็นบทบาทเก่าๆ ของ “ชนชั้นนำ” กลุ่มเดิมๆ และกลุ่มใหม่ (ที่แตกออกมาจากกลุ่มเดิม) บวกกับการสนับสนุนอย่างมืดบอดของนักวิชาการ สื่อ และคนมีการศึกษาในสังคมเมือง นี่คือสภาพความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคมไทย!
เหยื่อของความพ่ายแพ้ คือ คนชั้นกลางระดับล่าง คนชนบทที่เรียกร้องความเป็นธรรม และพวกเขาจำเป็นต้องได้รับความเป็นธรรม ความเสมอภาคในความเป็นคน จากการต่อสู้เพื่อให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
และคำถามทิ้งท้ายในกระทู้เดียวกันนี้ของอาจารย์สมศักดิ์ คือ
ใครที่คิดว่า ถ้าชุมนุมต่อ แล้วบีบให้ยุบสภา หรือแม้แต่ให้อภิสิทธิ์ออกได้ จะทำให้ถือได้ว่า การชุมนุมนี้เป็น "ชัยชนะ" ลองให้เหตุผลให้ผมดูหน่อยเถอะว่า การยุบสภา (และอภิสิทธิ์อาจจะออก) นี่มันมีคุณค่าสูงกว่า 20(+5) ชีวิตที่เสียไปอย่างไร? (ถามโดยยังไม่ต้องรวมถึงชีวิตที่อาจจะเสียไปอีกด้วยซ้ำ)
พลตรีจำลอง ศรีเมือง ให้สัมภาษณ์ ASTV ว่า
“ถ้ารัฐบาลเข้มแข็ง ใช้กฎอัยการศึกจัดการกับคนเสื้อแดงซึ่งมีผู้ก่อการร้ายอยู่ในนั้น ผมรับรองว่าคนหมื่นสองหมื่นทหารสามารถสลายเรียบร้อยภายในสองชั่วโมง”
หากการสูญเสียชีวิต 25 ศพ (และอาจจะ +…) คือ ความพ่ายแพ้ของฝ่ายเสื้อแดงและเป็นความพ่ายแพ้ของรัฐบาลด้วย การเรียกร้องให้รัฐบาลใช้กองกำลังทหารสลายการชุมนุม กระทั่งใช้กฎอัยการศึกจัดการขั้นเด็ดขาดกับคนเสื้อแดงจำนวนมากที่ราชประสงค์ ของพันธมิตรฯ เสื้อสีชมพู เสื้อหลากสี คนสีลม ฯลฯ ก็คือการเร่งความพ่ายแพ้ให้มากขึ้นๆ จนไม่กล้าจินตนาการ
ความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นแล้ว (25 ศพ และบาดเจ็บอีกนับพัน) หรือความพ่ายแพ้เกินจินตนาการที่อาจเกิดตามมา คือผลพวงของความพ่ายแพ้ของสังคมไทยที่สั่งสมต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน เช่น
1. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจตามจารีตเก่า ที่ไม่ยอมเรียนรู้และปรับตัวให้ทันความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและสังคมโลก ชนชั้นนำกลุ่มนี้ประกอบด้วยคนชั้นสูง อำมาตย์ ทหาร เครือข่ายธุรกิจกลุ่มทุนเก่า สื่อ และนักวิชาการสายอนุรักษ์นิยม
พวกเขายังยึดมั่นในจินตนาการ “ความเป็นไทย” ภายใต้ความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งมีลักษณะ “รวมศูนย์” ของอำนาจ อุดมการณ์ ความเชื่อ ความจงรักภักดี ไม่ยอมรับรู้ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่มีจินตนาการความเป็นไทย ที่เปลี่ยนไปว่า “ความเป็นไทยคือความเป็นสังคมประชาธิปไตย” ที่มีเสรีภาพ ความเสมอภาค ความเป็นธรรมมากขึ้น แก่ “ทุกคน” ที่เป็น “ประชาชน” ของประเทศเหมือนๆ กัน
หรือความเป็นไทยที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ของอุดมการณ์ อำนาจ ฉันทานุมัติในประเด็นสาธารณะต่างๆ อย่างอิสระ ไม่ถูกครอบงำ กำกับ ยัดเยียด เบี่ยงเบน โดยอำนาจอื่นใดที่ไม่ยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
แต่บรรดาชนชั้นนำในกลุ่มอำนาจเก่าไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ เพราะกลัวการสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ที่เคยมี พวกเขาจึงพยายามกระทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพให้เห็นว่า ความคิดที่เปลี่ยนไปของสังคมไทยนั้นเป็นเรื่องอันตราย และพร้อมที่จะใช้กองกำลังทหาร (ที่กินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน) จัดการกับประชาชนที่ออกมาเรียกร้องให้สังคมเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่พ้นไปจากอำนาจครอบงำกำกับของพวกเขา
ซึ่งในที่สุดแล้ว ความพยายามของชนชั้นนำกลุ่มนี้จะเร่งให้พวกเขาพ่ายแพ้เร็วขึ้น และเป็นความพ่ายแพ้บนความแตกแยกของคนในชาติ แต่ในระยะยาวคนในชาติจะตาสว่าง เข้มแข็งขึ้น และพวกเขาจะไม่มีวันชนะเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะความรุ่งเรืองในอดีตย่อมคู่ควรกับอดีต ไม่อาจคู่ควรกับอนาคตที่มนุษย์ศรัทธาต่อเสรีภาพและความเสมอภาคเหนืออื่นใด
2. ความพ่ายแพ้ของชนชั้นนำกลุ่มทุนใหม่ ที่แม้พวกนี้จะอยู่ฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยก้าวหน้า ทุ่มทุนสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่พวกเขายังยึดติดอยู่ในอำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไป ต้องการชัยชนะเฉพาะหน้าทางการเมืองมากเกินไป ตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าในเรื่องการออกแบบกติกาประชาธิปไตยและโครงสร้างสังคมที่เป็นธรรม ให้ความสำคัญกับการปกป้อง “ชีวิต” ของประชาชนน้อยไป จึงไม่ได้มุ่งสร้างกระบวนการต่อสู้เพื่อ “ชัยชนะทางความคิด” อย่างแท้จริง
พวกเขาจึงเอาแต่เร่งเกมไปสู่ความสูญเสียและพ่ายแพ้ แต่ถึงเขาชนะทางการเมือง ทำให้เกิดการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ได้เสียงส่วนใหญ่ตั้งรัฐบาล หากเขายังตามไม่ทันความคิดที่ก้าวหน้าของประชาชน เขาก็จะพ่ายแพ้แม้ต่อประชาชนที่เคยสนับสนุน
3. ความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคม หรือความพ่ายแพ้ของทุกสถาบันในสังคมที่มีจุดยืนและบทบาทผิดเพี้ยนไปจากหลักการ อุดมการณ์ และครรลองประชาธิปไตย ทำให้สถาบันเหล่านั้นลดความน่าเชื่อถือในสังคมลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน พูดอะไรไม่มีใครฟัง เพราะเข้าตัวเอง เอียงไปตามอคติ มีมีพฤติกรรมพูดอย่างทำอย่างที่ใครๆก็รู้ทัน เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสารยุคโลกาภิวัตน์ บวกกับการที่คนรุ่นใหม่มีความคิดเป็นอิสระจากการชี้นำของความคิดแนวจารีตนิยมมากขึ้น
ฉะนั้น ทุกสถาบันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นสถาบันกษัตริย์ ศาสนา กองทัพ มหาวิทยาลัย นักวิชาการ สื่อมวลชนล้วนแต่ถูกตั้งคำถามจากสังคมทั้งสิ้น สถาบันเหล่านี้ไม่อาจชี้นำ “ความถูกต้อง” ให้ประชาชน “เชื่อถือร่วมกัน” ได้อีกต่อไป เพราะล้วนแต่ตามไม่ทัน มีท่าทีกลัว กีดกัน ขัดขวางความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการการเปลี่ยนแปลง
หรือไม่สามารถตอบสนอง “อย่างสร้างสรรค์” (เช่น เปิดใจกว้าง เปิดพื้นที่ให้ความคิดฝ่ายก้าวหน้าได้แสดงต่อสาธารณะ และหรือร่วมถกเถียงแลกเปลี่ยนอย่างฉันมิตร ฯลฯ) ต่อความก้าวหน้าทางความคิด ความต้องการความเปลี่ยนแปลงที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น มีความเป็นธรรมมากขึ้น ทั้งที่คนชั้นกลางระดับล่าง และคนชั้นล่างของสังคมตื่นตัว และเดินนำไปก่อนแล้ว
(เช่น ความคิดของคนอย่าง “ยายไฮ ขันจันทา” เป็นความคิดที่ก้าวหน้ากว่าศาสตราจารย์บางคนของมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศนี้ เพียงแต่พวกเขามี “พื้นที่สื่อ” อธิบายความคิดของตนเองน้อยเกินไปเท่านั้นเอง)
การสั่งสมความพ่ายแพ้ โดยการกีดกัน ขจัดความความคิดที่ก้าวหน้า ด้วยการปิดสื่อ การเร่งเกมไปสู่ความรุนแรงและการสูญเสีย จึงเป็นบทบาทเก่าๆ ของ “ชนชั้นนำ” กลุ่มเดิมๆ และกลุ่มใหม่ (ที่แตกออกมาจากกลุ่มเดิม) บวกกับการสนับสนุนอย่างมืดบอดของนักวิชาการ สื่อ และคนมีการศึกษาในสังคมเมือง นี่คือสภาพความพ่ายแพ้โดยรวมของสังคมไทย!
เหยื่อของความพ่ายแพ้ คือ คนชั้นกลางระดับล่าง คนชนบทที่เรียกร้องความเป็นธรรม และพวกเขาจำเป็นต้องได้รับความเป็นธรรม ความเสมอภาคในความเป็นคน จากการต่อสู้เพื่อให้ประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น!
ที่มา.ประชาไท
***************************************************
แกนนำเสื้อแดงตรังยันชุมนุมไม่มีท่อน้ำเลี้ยง
นายสมาน ลิประพันธ์ อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดตรัง เขตอำเภอกันตัง ในฐานะแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง จ.ตรัง กล่าวว่า ตนเองได้พาประชาชนชาวตรัง ประมาณ 50-60 คน เดินทางขึ้นมาร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่แยกราชประสงค์ ส่วนใหญ่เป็นชาวอำเภอกันตัง นาโยง ย่านตาขาว และเมือง โดยมีลักษณะการเดินทางของกลุ่มคนเสื้อแดง ไปกันเป็นแบบต่างคนต่างมา แล้วนัดเจอกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งไม่เหมือนกับการเดินทางขึ้นไปชุมนุมในช่วงแรก ที่นัดกันไปโดยการเหมารถไปพร้อมๆ กัน โดยมีเป้าหมายที่จะอยู่ร่วมชุมนุมกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะ นอกจากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง ก็ยังมีการเตรียมการปรับเปลี่ยนกำลังขึ้นไปรวมตัวกันที่แยกราชประสงค์
ทั้งนี้ ก่อนที่ตนเองจะเดินทางขึ้นไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้เชิญไปพบ ร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ อีก 2-3 คน เช่น นายรัตน์ ภู่กลาง อดีต ส.จ.เขตอำเภอเมืองตรัง ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรามแกนนำเพื่อไม่ให้นำสมาชิกขึ้นไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการกระทำเหมือนกันทุกจังหวัด โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามนโยบาย โดยไม่ได้มีการคุกคามอะไร เพียงแต่ไปพูดคุยกันธรรมดา ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรังไม่มีผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของขั้วทางการเมือง ไม่ได้รับการข่มขู่จากอีกฝ่าย และไม่มีการสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นมาร่วมในการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง หรือในภาคใต้ มีท่อน้ำเลี้ยงนั้น ขอยืนยันได้ว่าพวกตนขึ้นมาชุมนุมด้วยหัวใจอันแน่วแน่ของอุดมการณ์ และมาด้วยทุนทรัพย์ของตนเองทั้งสิ้น แม้ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ถ้าทหารมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับกลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ เนื่องจากกลุ่มคนภาคใต้ส่วนใหญ่จะรวมตัวอยู่หน้าเวที
ที่มา.เนชั่น
************************************************
ทั้งนี้ ก่อนที่ตนเองจะเดินทางขึ้นไปชุมนุมที่กรุงเทพฯ ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ได้เชิญไปพบ ร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ อีก 2-3 คน เช่น นายรัตน์ ภู่กลาง อดีต ส.จ.เขตอำเภอเมืองตรัง ซึ่งการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจในครั้งนี้ เป็นไปตามนโยบายจากกระทรวงมหาดไทย เพื่อปรามแกนนำเพื่อไม่ให้นำสมาชิกขึ้นไปร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการกระทำเหมือนกันทุกจังหวัด โดยส่วนตัวเข้าใจว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำตามนโยบาย โดยไม่ได้มีการคุกคามอะไร เพียงแต่ไปพูดคุยกันธรรมดา ซึ่งที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรังไม่มีผลกระทบ เพราะส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นเรื่องของขั้วทางการเมือง ไม่ได้รับการข่มขู่จากอีกฝ่าย และไม่มีการสกัดกั้นไม่ให้ขึ้นมาร่วมในการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงในจังหวัดตรัง หรือในภาคใต้ มีท่อน้ำเลี้ยงนั้น ขอยืนยันได้ว่าพวกตนขึ้นมาชุมนุมด้วยหัวใจอันแน่วแน่ของอุดมการณ์ และมาด้วยทุนทรัพย์ของตนเองทั้งสิ้น แม้ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ ยังไม่ได้รับอันตรายอะไร แต่ถ้าทหารมีการปราบปรามอย่างรุนแรง ก็อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับกลุ่มคนเสื้อแดงของภาคใต้ เนื่องจากกลุ่มคนภาคใต้ส่วนใหญ่จะรวมตัวอยู่หน้าเวที
ที่มา.เนชั่น
************************************************
จาก รวันดา ถึง สีลม
800,000 คน คือจำนวนประมาณของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ประเทศรวันดา
แบ่งเป็น 750,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าทุตซีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
และ 50,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าฮูตูที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ปัจจุบัน ชาวรวันดาเกือบหนึ่งล้านยังต้องขึ้นศาล เนื่องจากมีส่วนพัวพันในเหตุการณ์ดังกล่าว อีกเกือบหนึ่งล้านยังต้องอยู่ในคุก และอาจต้องเสียชีวิตก่อนได้รับการตัดสิน
ทุกวันนี้ ประเทศรวันดาถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ประชากรของประเทศกระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ ที่เปิดรับ
พิจารณาดูแล้วน่าแปลกใจที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 หรือตรงกับ พ.ศ. 2537
ย้อนกลับไปดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลังสงครามโลก ประเทศรวันดาประกอบด้วยชนเผ่าฮูตูผู้เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีจำนวนมากกว่าชนเผ่าทุตซีที่ส่วนมากเป็นผู้อพยพจากเอธิโอเปีย โดยประเทศรวันดาได้ตกเป็นของอาณานิคมของเบลเยียม แต่แทนที่เบลเยี่ยมจะให้ความสำคัญกับชนเผ่าพื้นเมือง ก็กลับให้อำนาจทางการเมืองและสังคมแก่ชาวเผ่าทุตซี
แล้วชาวทุตซีก็เถลิงอำนาจนั้นด้วยการกดขี่ข่มเหงชาวฮูตู ทำให้ชาวฮูตูซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมต้องมีสถานะไม่ต่างจากพลเมืองชั้น 2 ต้องพบกับความยากลำบากในเงื่อนไขการปกครองของชาวทุตซี
ในที่สุดการปฏิวัติก็มาถึง ชนเผ่าฮูตูลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของเบลเยียมและชนเผ่าทุตซี ที่สำคัญเหตุการณ์ปฏิวัตนั้นจบลงด้วยชัยชนะของชนเผ่าฮูตู ส่วนชาวทุตซีจำนวนมากได้หนีไปอยู่ประเทศยูกันดา ซึ่งมีพรมแดนติดกับทิศเหนือของรวันดา พร้อมกับได้ตั้งกลุ่มกองกำลังแนวหน้ารักชาติรวันดา (RPF) เพื่อต่อต้านอำนาจชนเผ่าฮูตู
ส่วนสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น เกิดจากที่ประธานาธิบดี จูเวนัล ฮับยาริมานาของรัฐบาลฮูตู ได้เลือกเจรจาสันติภาพกับชาวรวันดาเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างเผ่า แต่ทางเลือกของประธานาธิบดีสร้างความไม่พอใจในคณะรัฐบาลหลายคน หลังการเซ็นสัญญาสงบศึกเสร็จสิ้นลง จรวดมิซไซล์ลึกลับได้พุ่งตรงไปยังเครื่องบินของประธานาธิบดี ปลิดชีวิตของผู้นำรวันดา รวมถึงอนาคตของประเทศนี้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต สื่อของรัฐก็ทำหน้าที่ทำลายล้างอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำลังทหารซึ่งเป็นชาวเผ่าฮูตูที่ออกไล่ล่าสังหารชาวทุตซีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทั้งชายและหญิง นำมาซึ่งวาทกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนิดที่วาทกรรมชุดเดียวกันที่ฮิตเลอร์สร้างไว้ยังมิอาจเทียบได้
ไม่เพียงแต่ชาวทุตซีเท่านั้น แต่ชาวฮูตูผู้รักสันติภาพก็ถูกกวาดล้าง จะพบว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และใช้พลังความเกลียดผลักดัน ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าไม่เหมือน คุณตาย"
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ภายหลัง 3 เดือนของกลียุคแห่งรวันดา กลุ่ม RPF ภายใต้การนำของ พอล คากาเม ได้บุกเข้ายึดกรุงคิกาลี และยึดอำนาจจากรัฐบาลฮูตู จนชาวฮูตูราว 2 ล้านคนต้องอพยพไปอยู่ประเทศคองโก
โดยในช่วงเวลานั้น มีชาวทุตซีเหลืออยู่ราว 130,000 คน แต่ความรุนแรงกลับมิได้ยุติลง เมื่อชาวทุตซีในนาม RPF ก็ไล่สังหารชาวฮูตูเพื่อเป็นการแก้แค้น นอกจากนั้นชาวทุตซีบางส่วนก็อพยพไปยังคองโกด้วย โดยผู้อพยพก็ยังถูกสังหารจากทหารคองโกอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าวดำเนินสืบเนื่องยาวนานถึง 3 เดือน โดยปราศจากร่างเงาจากสหประชาชาติ เบลเยี่ยม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพทั้งที่มีข่าวออกมาก่อนเป็นเวลานานพอสมควรว่ามีชาวฮูตูจำนวนมากเริ่มสะสมอาวุธ แต่สหประชาชาติกลับเพิกเฉยต่อข่าวกรองนี้
พลันทำให้นึกไปถึงว่า ช่วงปีดังกล่าวเป็นช่วงหลังสงครามเย็น อาวุธ ′มือสอง′ ซึ่งมีการพูดถึงว่า เป็นสินค้าที่ถูกขายทอดถ่ายโอนมายังประเทศโลกที่สามเหล่านี้
ถามว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ก็เพราะประเทศโลกที่สามเหล่านี้สามารถผลิตอาวุธจำนวนมากได้ที่ไหนกัน สังคมประเทศเหล่านี้คือสังคมเกษตรกรรม
ไม่แน่ว่าประเทศสำคัญๆ ในสหประชาชาติเองนั่นแหละที่สนับสนุนอาวุธให้กับชนเผ่าฮูตู
ณ กาลปัจจุบัน ความเกลียดชังเหล่านั้นยังคงคุกรุ่น เพียงแต่ถูกกลบด้วยขี้เถ้าจากกองกำลังทหารของแคนาดา แต่ลึกลงไปในจิตใจของชาวรวันดา
ที่ชาวทุตซีหลายคนยังมีความเชื่อว่าการจะอยู่รอดก็คือต้องปราบปรามชาวฮูตู ส่วนชาวฮูตูก็เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการต้องตกเป็นจำเลยของเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยไม่มีใครสนใจความยากแค้นของเขาในสมัยที่รัฐบาลทุตซีปกครองประเทศเลย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นและจบลงในปี 1994 ปีที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบกับแสงสว่างแห่งสันติภาพ และการได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่รวันดากลับก้าวสู่ห้วงรัตติกาล
ที่ทุกวันนี้ได้เป็น ′อุทาหรณ์′ ฝากไว้ให้โลกได้ขบคิด
แต่น่าเสียดาย ที่บางประเทศไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
แบ่งเป็น 750,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าทุตซีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
และ 50,000 คน คือจำนวนประมาณของชนเผ่าฮูตูที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้น
ปัจจุบัน ชาวรวันดาเกือบหนึ่งล้านยังต้องขึ้นศาล เนื่องจากมีส่วนพัวพันในเหตุการณ์ดังกล่าว อีกเกือบหนึ่งล้านยังต้องอยู่ในคุก และอาจต้องเสียชีวิตก่อนได้รับการตัดสิน
ทุกวันนี้ ประเทศรวันดาถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่ยากจนเป็นอันดับที่ 3 ของโลก ประชากรของประเทศกระจัดกระจายไปตามประเทศต่างๆ ที่เปิดรับ
พิจารณาดูแล้วน่าแปลกใจที่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1994 หรือตรงกับ พ.ศ. 2537
ย้อนกลับไปดูข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ตั้งแต่หลังสงครามโลก ประเทศรวันดาประกอบด้วยชนเผ่าฮูตูผู้เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีจำนวนมากกว่าชนเผ่าทุตซีที่ส่วนมากเป็นผู้อพยพจากเอธิโอเปีย โดยประเทศรวันดาได้ตกเป็นของอาณานิคมของเบลเยียม แต่แทนที่เบลเยี่ยมจะให้ความสำคัญกับชนเผ่าพื้นเมือง ก็กลับให้อำนาจทางการเมืองและสังคมแก่ชาวเผ่าทุตซี
แล้วชาวทุตซีก็เถลิงอำนาจนั้นด้วยการกดขี่ข่มเหงชาวฮูตู ทำให้ชาวฮูตูซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองดั้งเดิมต้องมีสถานะไม่ต่างจากพลเมืองชั้น 2 ต้องพบกับความยากลำบากในเงื่อนไขการปกครองของชาวทุตซี
ในที่สุดการปฏิวัติก็มาถึง ชนเผ่าฮูตูลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจของเบลเยียมและชนเผ่าทุตซี ที่สำคัญเหตุการณ์ปฏิวัตนั้นจบลงด้วยชัยชนะของชนเผ่าฮูตู ส่วนชาวทุตซีจำนวนมากได้หนีไปอยู่ประเทศยูกันดา ซึ่งมีพรมแดนติดกับทิศเหนือของรวันดา พร้อมกับได้ตั้งกลุ่มกองกำลังแนวหน้ารักชาติรวันดา (RPF) เพื่อต่อต้านอำนาจชนเผ่าฮูตู
ส่วนสาเหตุของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นั้น เกิดจากที่ประธานาธิบดี จูเวนัล ฮับยาริมานาของรัฐบาลฮูตู ได้เลือกเจรจาสันติภาพกับชาวรวันดาเพื่อยุติความรุนแรงระหว่างเผ่า แต่ทางเลือกของประธานาธิบดีสร้างความไม่พอใจในคณะรัฐบาลหลายคน หลังการเซ็นสัญญาสงบศึกเสร็จสิ้นลง จรวดมิซไซล์ลึกลับได้พุ่งตรงไปยังเครื่องบินของประธานาธิบดี ปลิดชีวิตของผู้นำรวันดา รวมถึงอนาคตของประเทศนี้
เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่ประธานาธิบดีเสียชีวิต สื่อของรัฐก็ทำหน้าที่ทำลายล้างอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงกำลังทหารซึ่งเป็นชาวเผ่าฮูตูที่ออกไล่ล่าสังหารชาวทุตซีทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชรา ทั้งชายและหญิง นำมาซึ่งวาทกรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนิดที่วาทกรรมชุดเดียวกันที่ฮิตเลอร์สร้างไว้ยังมิอาจเทียบได้
ไม่เพียงแต่ชาวทุตซีเท่านั้น แต่ชาวฮูตูผู้รักสันติภาพก็ถูกกวาดล้าง จะพบว่า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และใช้พลังความเกลียดผลักดัน ดังจะเห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นคือ "ถ้าไม่เหมือน คุณตาย"
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่านั้น ภายหลัง 3 เดือนของกลียุคแห่งรวันดา กลุ่ม RPF ภายใต้การนำของ พอล คากาเม ได้บุกเข้ายึดกรุงคิกาลี และยึดอำนาจจากรัฐบาลฮูตู จนชาวฮูตูราว 2 ล้านคนต้องอพยพไปอยู่ประเทศคองโก
โดยในช่วงเวลานั้น มีชาวทุตซีเหลืออยู่ราว 130,000 คน แต่ความรุนแรงกลับมิได้ยุติลง เมื่อชาวทุตซีในนาม RPF ก็ไล่สังหารชาวฮูตูเพื่อเป็นการแก้แค้น นอกจากนั้นชาวทุตซีบางส่วนก็อพยพไปยังคองโกด้วย โดยผู้อพยพก็ยังถูกสังหารจากทหารคองโกอยู่แม้กระทั่งในปัจจุบัน
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าวดำเนินสืบเนื่องยาวนานถึง 3 เดือน โดยปราศจากร่างเงาจากสหประชาชาติ เบลเยี่ยม และสหรัฐอเมริกา ซึ่งสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพทั้งที่มีข่าวออกมาก่อนเป็นเวลานานพอสมควรว่ามีชาวฮูตูจำนวนมากเริ่มสะสมอาวุธ แต่สหประชาชาติกลับเพิกเฉยต่อข่าวกรองนี้
พลันทำให้นึกไปถึงว่า ช่วงปีดังกล่าวเป็นช่วงหลังสงครามเย็น อาวุธ ′มือสอง′ ซึ่งมีการพูดถึงว่า เป็นสินค้าที่ถูกขายทอดถ่ายโอนมายังประเทศโลกที่สามเหล่านี้
ถามว่า อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เชื่อเช่นนั้น ก็เพราะประเทศโลกที่สามเหล่านี้สามารถผลิตอาวุธจำนวนมากได้ที่ไหนกัน สังคมประเทศเหล่านี้คือสังคมเกษตรกรรม
ไม่แน่ว่าประเทศสำคัญๆ ในสหประชาชาติเองนั่นแหละที่สนับสนุนอาวุธให้กับชนเผ่าฮูตู
ณ กาลปัจจุบัน ความเกลียดชังเหล่านั้นยังคงคุกรุ่น เพียงแต่ถูกกลบด้วยขี้เถ้าจากกองกำลังทหารของแคนาดา แต่ลึกลงไปในจิตใจของชาวรวันดา
ที่ชาวทุตซีหลายคนยังมีความเชื่อว่าการจะอยู่รอดก็คือต้องปราบปรามชาวฮูตู ส่วนชาวฮูตูก็เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการต้องตกเป็นจำเลยของเหตุการณ์สังหารหมู่ โดยไม่มีใครสนใจความยากแค้นของเขาในสมัยที่รัฐบาลทุตซีปกครองประเทศเลย
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นและจบลงในปี 1994 ปีที่ประเทศแอฟริกาใต้ได้พบกับแสงสว่างแห่งสันติภาพ และการได้ประธานาธิบดีผิวสีคนแรก แต่รวันดากลับก้าวสู่ห้วงรัตติกาล
ที่ทุกวันนี้ได้เป็น ′อุทาหรณ์′ ฝากไว้ให้โลกได้ขบคิด
แต่น่าเสียดาย ที่บางประเทศไม่ได้เรียนรู้อะไรจากมันเลย
ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)