--- พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ---

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2553

สื่อนอกวิเคราะห์"อภิสิทธิ์"ไม่ใช่ เป้าหมายสุดท้ายผ่าวิกฤติการเมือง

แดเนียล เทนเคท ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เสนอบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ระบุว่า

ถึงแม้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีจะก้าวลงจากตำแหน่ง ก็อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะยุติความไม่สงบทางการเมืองครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบ 18 ปีคราวนี้ลงได้ เนื่องจากผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลกลุ่มนี้ น่าจะมีเป้าหมายอื่นอยู่ในใจ

เทนเคท ได้อ้างคำให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 เมษายน ของนายจรัล ดิษฐาอภิชัย ผู้นำคนหนึ่งในกลุ่มคนเสื้อแดง ที่บอกว่า คณะองคมนตรีที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน เป็นสถาบันเผด็จการ ที่หนุนหลังการรัฐประหาร และบงการการตัดสินใจทางกฎหมายที่มุ่งขัดขวางเจตนารมณ์ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง

“เราจะโจมตี พล.อ.เปรมไปเรื่อยๆ ว่าอยู่เบื้องหลังการรัฐประหารคราวที่แล้ว ถ้าคณะองคมนตรียุติการกระทำแบบสถาบันเผด็จการ เราก็จะหยุดโจมตี” นายจรัล กล่าวและยืนยันว่า บรรดาแกนนำชุมนุมประท้วงครั้งนี้ จงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

บทวิเคราะห์ของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก ยังอ้างความเห็นของ นายเควิน ฮิววิสัน อาจารย์ประจำภาควิชาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนา สหรัฐ ที่บอกว่า คณะองคมนตรีควรจะต้องเกิดความวิตกกังวล เพราะถ้าพวกผู้ประท้วงได้รับชัยชนะ ก็จะเป็นความพ่ายแพ้ของคณะองคมนตรี

นอกจากนี้ นายเทนเคท ยังได้โทรศัพท์สอบถามไปยังทำเนียบองคมนตรีเมื่อวันที่ 12 เมษายน แต่ได้รับคำตอบจากผู้รับโทรศัพท์ว่าไม่มีผู้ใดตอบอะไรได้จนกว่าจะผ่านพ้นช่วงวันหยุดในเทศกาลสงกรานต์ไปก่อน

อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กได้สอบถามไปยังนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกผู้หนึ่งของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งกล่าวว่า คณะองคมนตรีเป็นคนดี ที่สามารถเป็นตัวอย่างให้แก่สังคมในเรื่องความเป็นผู้นำทางจริยธรรม อีกทั้งอำนาจของคณะองคมนตรีก็จำกัดอยู่เพียงแค่การถวายคำปรึกษาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และผู้ประท้วงเสื้อแดงก็ไม่มีหลักฐานใดๆ มาพิสูจน์ข้อกล่าวหาของพวกเขาในเรื่องอิทธิพลแอบแฝง

นายปานเทพ กล่าวด้วยว่า กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเหล่านี้ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบพูดว่า พล.อ.เปรมอยู่หลังฉาก เนื่องจากต้องการที่จะปิดบังการทุจริตคอร์รัปชัน และความประพฤติผิดกฎหมายของตัวเอง นี่จึงเป็นเพียงแค่การเล่นเล่ห์ด้วยคำพูดเท่านั้นเอง

บลูมเบิร์ก ยังได้เสนอความคิดเห็นของ ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งให้ความเห็นว่า นายอภิสิทธิ์อาจจะลาออกหรือยุบสภา แต่นั่นไม่จำเป็นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้
"ไม่มีใครสามารถดำเนินการตามหลักนิติธรรมได้เลย ถ้าปราศจากความร่วมมือของสังคม" ม.ร.ว.พฤทธิสาณกล่าวพร้อมกับชี้ว่า เวลานี้ไม่มีข้างไหนเลยที่ให้ความเชื่อถือไว้วางใจ การทำตามอำนาจหน้าที่ของรัฐ

ขณะที่บทวิเคราะห์บางส่วนในเว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์เจแปน ไทม์ส ระบุว่า แม้จะมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจากระยะไกล แต่ก็บังเกิดความรู้สึกสะเทือนอารมณ์อย่างถึงที่สุด เมื่อต้องให้ความเห็นว่า ดินแดนของผู้คนและวัฒนธรรมอันสุดแสนวิเศษได้แตกแยกออกเป็นสองฝักสองฝ่าย ไม่มีใครที่เคยได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยความยินดี และมีเสน่ห์อย่างไร้ขีดจำกัดของคนไทย จะสามารถประณามเหตุการณ์ที่นำไปสู่การหลั่งน้ำตา ที่ได้เห็นภาพเหตุการณ์ความรุนแรงในกรุงเทพฯ ได้

ปรากฏการณ์อันน่าเศร้าใจที่ได้เห็นคือ การแปรเปลี่ยนจากดินแดนแห่งรอยยิ้ม ไปสู่ภาพของตัวตลกหน้าบูดที่ยิ้มไม่ออก เพราะปัญหาของคนที่ยืนกันคนละฝ่าย แน่นอนว่าพวกเขารู้ดีกว่าใคร ที่ปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมืองเป็นแบบนี้ แม้ว่าเหตุการณ์ความไม่สงบที่ยืดเยื้อมายาวนานจะยุติลงได้ด้วยการแก้ปัญหาทางการเมืองอย่างเหมาะสม แต่มูลค่าความเสียหายในระยะสั้น ก็มากมายเกินบรรยาย เพราะคงต้องลืมเรื่องการรื้อฟื้นด้านการท่องเที่ยวและการลงทุนไปก่อน เพื่อให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองก่อนเป็นอันดับแรก

เมื่อพูดถึงผลประโยชน์ในสหรัฐ ในประเด็นที่อาจเกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยนั้น สหรัฐ ได้ชื่อว่า เป็นพันธมิตรที่ช่วยไทยต่อต้านการแพร่ขยายอิทธิพลของระบบคอมมิวนิสต์ แต่เมื่อภัยร้ายนี้ได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว ความสำคัญของไทยในสายตาของสหรัฐก็พลอยลดน้อยลงตามไปด้วย แต่ประเทศไทย ที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคนแห่งนี้ ก็เป็นผู้เล่นสำคัญในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีแนวทางสร้างความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ภายใน 10 ปีข้างหน้า อาเซียนจะมีความใกล้เคียงกับสถาบันระดับโลกอย่าง องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) มากกว่า กลุ่มประเทศที่เอาแต่เจรจากันเหมือนที่ผ่านมา

ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสหรัฐในกรุงเทพฯ คือ นายอีริค จี จอห์น เอกอัคราชทูตสหรัฐ ประจำประเทศไทย ซึ่งจะไม่ละเลยต่อประเทศที่เขาได้รับมอบหมายให้มาติดต่อประสานงานด้วย ในการแสดงความเห็นช่วงแรกๆ ของเขา ออกมาในแนวไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง

บทวิเคราะห์ชิ้นนี้ ยังทิ้งท้ายว่าอาจถึงเวลาที่องค์กรระดับโลกอีกแห่งคือ สหประชาชาติ (ยูเอ็น) อาจยื่นมือเข้ามาช่วยดูแลการหยุดยิงและการเลือกตั้ง แต่ผู้ที่เขียนบทความนี้ ระบุว่า เขาเขียนในช่วงที่สถานการณ์กำลังร้อน และเห็นว่าประเทศที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังมอดไหม้ จึงอยากให้ตระหนักด้วยความห่วงใยว่า ดินแดนแห่งรอยยิ้มนี้ กำลังจะกลายเป็นรัฐที่เสื่อมถอย

านเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อีโปช ไทม์ ของจีน ได้นำเสนอบทความของผู้ใช้ชื่อว่า "เพื่อนคนไทย" เรื่อง "ประชาธิปไตยไทยถูกคุกคามโดยกลุ่มคนที่ต้องการลบล้างระบอบการปกครอง" โดยตั้งข้อสงสัยว่า กำลังมีกลุ่มแอบแฝงที่อ้างตัวว่าเป็นกลุ่มประชาธิปไตย เพื่อล้มล้างระบอบการปกครองประชาธิปไตยในไทย

สื่อมวลชนของจีนฉบับนี้ ระบุว่า จากรายงานข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับความรุนแรงทางอาวุธชวนให้คิดว่าการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อาจเกี่ยวข้องกับการก่อกบฏในราชอาณาจักร ไม่ใช่การประท้วงเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ (10 เม.ย.) ที่รัฐบาลประกาศผลักดันกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อแดง หนึ่งในสองของพื้นที่ชุมนุมในกรุงเทพฯ แต่เกิดเหตุปะทะตามมา จนมีผู้เสียชีวิต 11 รายและบาดเจ็บราว 500 คนนั้น มีรายงานข่าวว่าผู้ประท้วงได้ต้านทานทหารของรัฐบาลด้วยการประทุษร้าย จนเป็นเหตุให้พันเอกร่มเกล้า ธุวธรรม เสียชีวิต

อีโปช ไทม์ ระบุว่า พันเอกร่มเกล้า เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนายทหารผู้ซื่อสัตย์ ที่เคยนำทหารเข้าปราบปรามเหตุจลาจลและคืนกฎระเบียบแก่สังคมในช่วงเวลาเดียวกันนี้เมื่อปีก่อน และเวลานี้ปรากฏอย่างชัดเจนว่าเขาถูกฆาตกรรม

หนังสือพิมพ์ของจีนฉบับนี้ ยังรายงานโดยอ้างรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่นอื่นๆ ที่ระบุว่า มีพยานเห็นลูกไฟถูกยิงขึ้นฟ้าก่อนมือปืนจะลั่นไกใส่พันเอกร่มเกล้าโดยตรง จนทำให้เขาเสียชีวิต ขณะที่นายทหารคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เขาได้รับบาดเจ็บ

สื่อจีน ระบุว่าคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประท้วงที่มักอ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ถูกจัดตั้งขึ้นมา ผ่านการจ่ายเงินตอบแทนและโฆษณาชวนเชื่อ และมีข่าวลือต่างๆ นานา ว่า ผู้ประท้วงได้รับค่าจ้างสำหรับร่วมชุมนุมและทางแกนนำก็ได้ค่าตอบแทนจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจำนวนหลายล้านบาท พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า หากดูสถานะทางการเงินของแกนนำ นปช.หลายคน จะพบว่าบุคคลเหล่านั้น มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นจากการสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบางคนจากที่เคยเป็นหนี้ ก็สามารถปลดหนี้ได้อย่างง่ายดาย


ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
*************************************************

นปช.ยอมส่งตัวตร.คืน"ณัฐวุฒิ"ยันแกนนำไม่จากกัน

แกนนำ นปช.ยอมส่งตัว ตร.คืน แต่ข้องใจถูกยัดข้อหา จี้ "อภิสิทธิ์" ยุบสภา อย่าให้ ปชช. ตร. ทหาร ตายอีก ยันวันนี้ แดง ไม่เคลื่อนบุกสถานีโทรทัศน์ ลั่นจากนี้ไปแกนนำจะไม่พรากจากกัน "กี้ร์"เล่านาทีหนีตาย-ประกาศไล่ล่า"อภิสิทธิ์-สุเทพ"

เมื่อเวลา 12.30 น.วันที่ 16 เม.ย. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำนปช.แถลงข่าวภายหลัง พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบช.น. เจรจาขอรับตัวนายตำรวจว่า โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า พร้อมที่จะให้พล.ต.ต.วิชัย รับตำรวจทั้งหมดกลับ แต่ตนยังมีข้อสงสัยว่า เวลานี้ เรื่องของการยัดเยียดข้อหา และของกลางยังมีอยู่อีกหรือ ที่มากล่าวหาว่ากลุ่มคนเสื้อแดงมีวัตถุระเบิดจะไปหามาจากไหน ขณะที่วันนี้ นายอภิสิทธิ์ ควรจะต้องตัดสินใจแล้วว่า ยุบสภาวันนี้ หรือจะให้ประชาชน ตำรวจ ทหาร ประชาชน ต้องมาเสี่ยง เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดเหตุการณ์มีประชาชน และทหารได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตแล้วเมื่อวันที่ 10 เม.ย.

นายณัฐวุฒิ กล่าวยืนยันว่า วันนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงจะไม่มีการตั้งขบวนเดินทางไปสถานที่อื่น รวมทั้งไม่ไปตามสถานีโทรทัศน์ต่างๆ ตามที่เคยกำหนดแผนไว้ก่อนหน้านี้ และยืนยันว่า จากนี้ไปแกนนำทุกคนเราจะไม่พรากจากกัน

ขณะที่นายจตุพร กล่าวถึง พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษก ศอฉ. ว่า เวลานี้ที่ออกมาพูดว่าพร้อมที่จะจัดค่ารักษาพยาบาลเป็นการส่งสัญญาณใช่หรือไม่ ว่าเตรียมที่จะมีการใช้กำลังอีกรอบหนึ่ง ขณะที่ตนอยากฝากบอกถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ขณะนี้รัฐบาลได้ใช้ดีเอสไอเป็นเครื่องมือที่จะสร้างคดีให้กับคนเสื้อแดง ฐานก่อการร้าย ตนจึงอยากเตือนนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ

"กี้ร์"เล่านาทีหนีตาย-ประกาศไล่ล่า"อภิสิทธิ์-สุเทพ"

ทั้งนี้เมื่อเวลา 10.45 น. ขบวนของแกนนำเสื้อแดงที่เดินทางมาจากโรงแรม เอสซีปาร์ค ได้มาถึงยังเวทีราชประสงค์ เมื่อมาถึงบรรดาแกนนำ นปช.ต่างโผเข้ากอด และจับมือกัน โดยมีตำรวจ 3 นายนั่งรถมาด้วย คือ พ.ต.อ.พชร บุญญสิทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 และ พ.ต.ท.ประพจน์ อนุศิริ พนักงานสอบสวน สป.2 และตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 1 นาย

จากนั้น นายณัฐวุฒิ กล่าวบนเวทีว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นหัวหน้าชุดที่รับงานจากนายสุเทพ เพื่อมาจับกุมพวกเรา ซึ่งเวลานี้ไปหลบอยู่ในราบ 11 อย่างไรก็ตาม การบุกจับแกนนำวันนี้ ทราบมาว่า ไม่มีหมายค้น ดังนั้นผู้บริหารและฝ่ายกฎหมายของโรงแรมจะเป็นผู้ดำเนินคดีต่อ

ด้านนายอริสมันต์ เล่าเหตุการณ์ว่า ระหว่างกลับมาที่รถเพื่อเอาแผนที่ไปประชุมวางแผนกระจายกำลังในวันนี้ มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่า มีตำรวจ 200 นายมาล้อมที่รถแล้ว ตนจึงได้ไปดูที่กล้องวงจรปิด ว่าตำรวจอยู่ที่ไหนบ้าง จากนั้น ได้ประสานกับทุกคน ว่าอย่าออกจากห้องเด็ดขาด จนกว่าตนจะนำกำลังไปเสริม จากนั้น การ์ดของ นชป.ได้พาตนไปหลบอยูที่ห้อง 377 และจากนั้นเจ้าหน้าตำรวจได้ถีบประตูและโยนระบิดควันและระเบิดเสียงเข้ามา 2 ลูก แต่ตนได้วิ่งเข้าไปชนประตู เพื่อล็อคประตูอีกครั้ง แต่ตำรวจยังถีบประตูเข้ามา แล้วโยนระเบิดเสียงเข้ามาอีก 1 ลูก ตนจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง จากนั้น ใช้สายไฟสปอตไลต์โรยตัวจากชั้น 3 มาที่รถบรรทุกของคนเสื้อแดงเพื่อบัญชาการให้คนเสื้อแดง ไปปิดล้อมทุกประตูของโรงแรม จากนั้นตนได้ไปคุยกับ พ.ต.อ.พัชระ และ พ.ต.ท.ประพจน์ เพื่อให้ยุติการปฏิบัติการโดยทันที่

จากนั้น นายอริสมันต์ นำกระเดื่องระเบิด และหัวกระสุนปืนที่อ้างว่ายิงเข้ามาภายในห้อง 377 มาโชว์บนเวที พร้อมกับกล่าวว่า ไม่คาดคิดว่าจะทำรุนแรงเหมือนเราไม่ใช่คน เหมือนเป็นฆาตกร ผู้ก่อการร้าย เขาประสงค์ฆ่าแกนนำและคนเสื้อแดง ดังนั้น จากนี้ศัตรูของคนเสื้อแดง คือนายอภิสทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และนายสุเทพ ยุทธการต่อไป จะเป็นยุทธการไล่ล่านายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ดังนั้น หากนายสุเทพ นำคนผิดที่โยนระเบิดเข้ามาในห้อง 377 รวมทั้งคนที่ยิงปืนเข้ามาอีก 1 นัด มารับผิดไม่ได้ เท่ากับเป็นการประกาศสงคราม ระหว่างรัฐบาลกับคนเสื้อดงทั้งแผ่นดิน เพราะเราจะไม่อดทนอีกต่อไปแล้ว


ที่มา.คมชัดลึก
*************************************************

ส.ส.พท.ไม่พบ ศอฉ.ถามกลับอยากให้ชี้แจงเรื่องอะไร เพื่อไทยบุก"เอ็นบีที-ไทยพีบีเอส"ขอเวลาออกอากาศบ้าง

ส.ส.เพื่อไทย บุกเอ็นบีที-ไทยพีบีเอส ขอเวลาออกอากาศชี้แจงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม ปัด "ศอฉ." ไม่ส่งคนเข้าไปชี้แจง แต่ให้ทนายทำหนังสือแทนต้องการให้ชี้แจงเรื่องอะไร

ส.ส.เพื่อไทย บุกเอ็นบีที-ไทยพีบีเอส ขอเวลาออกอากาศชี้แจงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุม

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 16 เมษายน ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.กทม พร้อมด้วยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส. แพร่ นางฐิติมา ฉายแสง ส.ส.ฉะเชิงเทรา นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรค ได้เดินทางมาที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (เอ็นบีที) เพื่อยื่นหนังสือเพื่อขอเวลาออกอากาศชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย. โดยมีนายสืบพงศ์ นุตริยทัศน์ ผู้อำนวยการส่วนเทคโนโลยี มารับหนังสือแทน

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ช่องเอ็นบีที ซึ่งเป็นสื่อของรัฐ ได้ชี้แจงข้อมูลเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งมีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทำให้ประชาชนสับสนและเข้าใจผิด ดังนั้นจึงอยากขอเวลาออกอากาศ เพราะความจริงช่องเอ็นบีทีน่าจะเป็นเครื่องมือของประชาชน ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของรัฐบาลหรือใครคนใดคนหนึ่ง

ด้านนายสืบพงศ์ กล่าวว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเรียนกับผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ เพราะตนไม่มีอำนาจจะอนุญาต ทำให้นายอนุดิษฐ์ กล่าวว่า ในเมื่อช่องเอ็นบีทีไม่พร้อม ตนก็จะพยายามหาช่องทางเพื่อขอเวลาชี้แจงในโอกาสต่อไป และต่อจากนี้จะเดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานีโทรทัศน์ทีวีไทยต่อไป

จากนั้นเวลา 12.00 น.ได้เดินทางไปยังสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพื่อยื่นหนังสือดังกล่าว โดยมีนายยุทธนา วรุณปิติกุล ผ.อ.สำนักข่าว มารับหนังสือ โดยนายยุทธนา กล่าวยืนยันว่า ไทยพีบีเอสเป็นสถานีของประชาชน และฟังเสียงจากประชาชนทุกภาคส่วนจนมีเสียงบอกว่าทำไมทีวีเราแดงจัง แต่เราก็รักษาจุดยืนในการเป็นทีวีสาธารณะมีพื้นที่ให้ทุกฝ่ายแม้จะมีอุดมการณ์ที่แตกต่างกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับการเดินทางยื่นหนังสือขอเวลาออกอากาศจากสถานีต่างๆ นั้น คณะของพรรคเพื่อไทยจะเดินทางไปทุกสถานียกเว้นช่อง 5, 7 และ9 เนื่องจากไดรัรายงานว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำการอยู่เป็นจำนวนมาก

เพื่อไทยบอกปัด "ศอฉ." ไม่ส่งคนเข้าไปชี้แจง แต่ให้ทนายทำหนังสือแทน

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีที่ศอฉ.โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.ศอฉ. ได้อาศัยอำนาจตาม พ.ร.กการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11(2) ออกคำสั่งเรียกบุคคลที่เป็นนักการเมืองและนักธุรกิจจำนวนประมาณ 60 คน เพื่อมารายงานตัวต่อ ศอฉ. ว่า ผู้ใหญ่ของพรรคและทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทยได้ประชุมหารือกัน โดยเห็นว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องทางการเมือง เป็นการใช้อำนาจโดยไม่สุจริตและบิดเบือน ผู้ที่ได้รับหนังสือของ ศอฉ. จึงต้องมาพิจารณาดูว่าสมควรหรือไม่ที่จะต้องไปยอมรับอำนาจดังกล่าว เพราะลักษณะการใช้อำนาจเหมือนกับประเทศอยู่ในภาวะของการปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งเป็นการใช้อำนาจอย่างอำเภอใจ ใช้อย่างไรกับใครก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงหลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม ในส่วนของสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ได้รับหนังสือ ก็จะให้ทนายความดำเนินเพื่อทราบประเด็นว่า ศอฉ.ต้องการให้ชี้แจงเรื่องอะไร หลังจากนั้นก็จะส่งคำชี้แจงเป็นหนังสือให้ทราบ โดยจะไม่ไปชี้แจงด้วยตนเอง เพราะเห็นว่าการออกคำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงเกมการเมืองของรัฐบาล เพื่อต้องการสร้างข่าว และทำลายคู่แข่งทางการเมือง โดยหวังผลในการทำลายขวัญกำลังใจของผู้ชุมนุม

“พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง และ กรรมการ ศอฉ.ทุกคน ยุติการใช้อำนาจตามพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และควรยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้แล้ว เพื่อให้สังคมกลับคืนสู่ความสงบสุขต่อไป เพราะถึงประกาศใช้ก็ไม่สามารถบังคับได้ เนื่องจากการใช้กฎหมายดังกล่าวไม่เป็นธรรมกับบางฝ่าย และนับวันจะเพิ่มความขัดแย้งรุนแรงบานปลายออกไป”นายพร้อมพงศ์กล่าว


ที่มา.มติชนออนไลน์
************************************************

คอมานโดบุกเอสซี ปาร์คบุกจับ แกนนำ นปช.เหลว "อริสมันต์" โรยตัวหนี "รอง ผบช.น." เสียท่าถูกจับเป็นตัวประกัน

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ (ศอฉ.) แถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 เม.ย.เวลา 10.00 น.ว่า ขอรายงานการปฏิบัติงานและมาตรการต่างๆ ที่ ศอฉ.จะดำเนินการ โดยขณะนี้ชัดเจนว่า นอกจากจะมีผู้ชุมนุมที่มาเรียกร้องเหตุทางการเมือง ยังมีกลุ่มผู้ก่อการร้ายรวมอยู่ด้วย แล้วได้ปฏิบัติการอย่างชัดเจน เช่น การวางระเบิดเสาไฟฟ้าแรงสูง เพื่อให้ กทม.ไม่มีไฟฟ้าใช้ และการก่อวินาศกรรมที่ร้ายแรงที่สุดคือการโจมตีเจ้าหน้าที่ ในคืนวันที่ 10 เม.ย. โดยใช้อาวุธสงคราม และขอให้ประชาชนที่บริสุทธิ์แยกตัวออกจากกลุ่มผู้ก่อการร้าย ไม่เป็นโล่มนุษย์อีกต่อไป ศอฉ.จะดำเนินการทางกฎหมายโดยเด็ดขาดกับผู้ก่อการร้ายและแกนนำที่ทำผิดกฎหมาย

นายสุเทพ กล่าวอีกว่า ส่วนการดำเนินคดี ศอฉ.มีมติเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ ที่จะประชุมในวันนี้ เวลา 10.30 น.ได้รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษ แล้วให้ระดม 9 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล สืบสวนเอาตัวการมาลงโทษให้ได้ โดยการประชุมวันนี้ ตนจะเข้าร่วมประชุมด้วย

นายสุเทพกล่าวว่า สำหรับการจับกุมปราบปรามผู้ก่อการร้ายนั้น ได้จัดชุดกระจายกำลังออกไปติดตามจับกุมผู้ก่อกการร้ายและแกนนำ โดยให้ชุดปฏิบัติการพิเศษปิดล้อมโรงแรมเอสซี ปาร์ค เพราะทราบมาว่า ผู้ก่อการร้ายและแกนนำบางส่วนซ่อนตัวอยู่

"นอกจากนี้ จะดำเนินการเรียกผู้ต้องสงสัย ผู้สนับสนุน ให้มารายงานตัวที่กรมทหารราบที่ 11 หากไม่มาจะออกหมายจับ และยังออกหมายบจับเพิ่มเติม ผู้ที่สืบสวนแล้วมีหลักฐานว่าผิดกฎหมายชัดเจน รวมทั้งการค้นหาอาวุธที่ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายยึดได้ ทางเจ้าหน้าที่จะตรวจค้นสถานที่ต่างๆ ถ้ามีความคืบหน้าเพิ่มเติมจะเรียนให้ทราบ" นายสุเทพ กล่าว

นายสุเทพกล่าวว่า ขอให้บรรดาพี่น้องประชาชนที่ร่วมชุมนุมได้ออกมา เพราะเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องปฏิบัติการโดยเด็ดขาดต่อผู้ก่อการร้าย ไม่ปล่อยให้ดำเนินการที่เสียหายต่อบ้านเมือง และเกรงว่าจะกระทบต่อประชาชน โดยสิ่งที่กังวลใจ คือ ผู้ก่อการร้ายทำร้ายประชาชน โดยโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่และสร้างสถานการณ์

นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า ประชาชนได้ออกมาแล้ว จากนี้ให้การเมืองได้แก้ปัญหาตามวิถีทางการเมือง ขอให้ญาติหาทางติดต่อผู้ชุมนุมให้กลับบ้าน ศอฉ.ได้ทำใบปลิวและให้รถขยายเสียงประกาศผู้ชุมนุมให้รับทราบ เพราะผู้ก่อการร้ายแฝงตัวเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อบ้านเมืองและต้องยุติโดยเร็ว ทั้งนี้ ที่แกนนำได้ประกาศบุกสถานที่ราชการ สถานีโทรทัศน์ สถานีวิทยุ รวมทั้งสำนักงานสื่อ เพื่อข่มขู่คุกคามให้ฟังคำสั่งและปฏิบัติตามแกนนำ รัฐบาลยอมรับไม่ได้ และได้สั่งเจ้าหน้าที่ไปคุ้มครองทุกสถานีแล้ว หากแกนนำบุกเข้าไปจะปฏิบัติการโดยเด็กดขาด หากจำเป็นจริงๆ ที่รัฐบาลต้องปฏิบัติการเพื่อหยุดยั้งการข่มขู่คุกคามและการเป็นอันธพาล

นายสุเทพ ยังขอให้ประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตา หากเห็นแกนนำ ผู้ก่อการร้ายซุกตัวที่ไหน ก็ให้แจ้งข่าวเจ้าหน้าที่จะไปจับกุมทันที โดย ศอฉ.แยกออกเป็นสองส่วน 1.การบังคับใช้กฎหมายพิเศษ 2.การติดตามจับกุมปราบปรามเด็ดขาด ส่วนในเรื่องการเมือง บ่ายวันนี้ นายกรัฐมนตรีจะแถลงกับประชาชนว่าจะแก้ไขอย่างไร ขอให้ประชาชนมั่นใจว่า รัฐบาลดำเนินการตามพื้นฐานของกฎหมาย เพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข เป็นการปกครองตามกฎหมายอย่างแท้จริง โดยธรรมะและกฎหมายต้องชนะ ไม่ใช่ชนะของฝ่ายการเมืองหรือพรรคการเมือง แต่เป็นพี่น้องทั้งประเทศเพื่อลูกหลานในอนาคต

รายงานข่าวล่าสุดแจ้งว่า ตำรวจหน่วยคอมานโดได้บุกเข้าโรงแรม เอสซี ปาร์ค ถนนพระราม 9 เพื่อจับกุมตัวนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายสุภรณณ์ อัตถาวงศ์ นายพายัพ ปั้นเกตุ นายวันชนะ เกิดดี และเจ๋ง ดอกจิก ทำให้กลุ่มเสิ้อแดงที่อยู่รอบๆโรงแรมฮือล้อมบริเวณรอบและบุกเข้าในโรงแรมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นายอริสมันต์ได้โรยตัวหนีจากระเบียงชั้นสามของโรงแรมโดยมีกลุ่มเสื้อแดงรอรับอยู่เบื้องล่างและนำตัวไปขึ้นหลังคารถเวทีปราศรัย

นอกจากนั้นยังมีกระแสข่าวว่า ในที่สุดแกนนำ นปช.ทั้งหมดไม่ได้ถูกจับกุม และสามารถกลับไปที่เวทีราชประสงค์ได้ ขณะเดียวกันสามารถจับกุมตัวนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร 4-5นายยศ พ.ต.ท.และนายร้อยตำรวจไปเป็นตัวประกันและนำตัวไปที่สี่แยกราชประสงค์ด้วย

ทั้งนี้ มีรายงานแจ้งว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.45 น. ที่กลุ่มคนเสื้อแดงได้จับกุมเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นชุดที่เข้าไปบุกจับตัวแกนนำที่โรงแรมเอสซีปาร์ค หนึ่งในนั้นคือ พล.ต.ต.สุเมธ เรืองสวัสดิ์ รอง ผบช.น. โดยรายงานข่าวระบุว่า สภาพของ พล.ต.ต.สุเมธ อยู่ในสภา อ่อนล้า พร้อมกับพยายามทำร้าย แต่ก็ถูกแกนนำบางคนห้ามไว้ ด้านตำรวจ ปจ.ก็พยามยามที่จะเข้าช่วยเหลือ แต่ก็ไม่สามารถช่วยเหลือได้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้นำตัวไป เพื่อใช้ในการต่อรองไม่ให้จับกุมแกนนำ


ที่มา.มติชนออนไลน์
****************************************************

เฝ้าประกบจ่อจับ...'แกนนำแดง'

ผ่านพ้นวันมิคสัญญีมาได้ไม่กี่วันก็เข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ภาพความสูญเสีย บาดเจ็บ ล้มตายของผู้ชุมนุมและทหาร สร้างความสะเทือนใจต่อใครหลายคน จนดูเหมือนกับว่าสถานการณ์การชุมนุมอาจจะเดินหน้าไปได้อีกไม่กี่ก้าว กระทั่งเกิดกระแสข่าวเจ้าหน้าที่รัฐจะปฏิบัติการจับกุมแกนนำคนสำคัญของคนเสื้อแดง 24 คน

สาเหตุหนึ่งก็เพื่อยุติการชุมนุมที่ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างมหาศาลอยู่ในขณะนี้ กระแสข่าวนี้ดูเหมือนจะมีเค้าความจริงเจืออยู่ค่อนข้างมาก ขนาดแกนนำคนเสื้อแดงถึงกับมีมติยุบเวทีผ่านฟ้าลีลาศมารวมอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียว เพื่อรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนยากแก่การบุกเข้ายึดพื้นที่คืนจากกำลังทหารตำรวจ และป้องกันการบุกจับตัวแกนนำ จากนั้นก็คืนพื้นที่ให้แก่กรุงเทพมหานครเปิดการจราจรได้ตามปกติวันที่ 19 เมษายนนี้

ต้องยอมรับว่าการข่าววงในของคนเสื้อแดง ทั้งลึก ละเอียด และมีข้อเท็จจริงที่เชื่อถือได้ ดังนั้น กระแสข่าวปฏิบัติการจ่อจับ 24 แกนนำ จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามได้

โดยเฉพาะมีข่าวว่าหลังมิคสัญญี 10 เมษายน มีหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้ามาร่วมมือกับตำรวจตามเฝ้าประกบแกนนำคนสำคัญที่มีหมายจับตลอดเวลา รอเพียงสัญญาณและสบโอกาสก็จะลงมือปฏิบัติการได้ทันที

"ตอนนี้ชุดสืบสวนของ บช.น.ได้สับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังเฝ้าติดตามประกบแกนนำคนเสื้อแดงที่มีหมายจับไว้หมดแล้ว" นายตำรวจระดับสูงใน บช.น.กล่าวต่อ "คม ชัด ลึก"

นายตำรวจคนเดิมบอกด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุรุนแรง 1 วัน ตำรวจได้ประชุมหาแนวทางจับกุมแกนนำ หลังจากศาลอนุมัติหมายจับแกนนำเสื้อแดง ที่มีความผิดตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน 24 คน โดย 7 คนแรกคือกลุ่มที่นำผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ส่วนอีก 17 คนเป็นแกนนำที่ขึ้นเวทีปราศรัยและนำคนมาร่วมชุมนุม แม้จะไม่มีความผิดตามกฎหมายอาญา แต่มีพฤติกรรมก่อความวุ่นวายในสถานการณ์ฉุกเฉิน

อย่างไรก็ดีไม่ได้มีเฉพาะกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวนของนครบาลเท่านั้นที่เฝ้าประกบแกนนำทั้ง 24 คน แต่มีหน่วยงานด้านความมั่นคงเข้ามาร่วมเสริมอีกชุดหนึ่ง โดยกำลังทั้งสองส่วนนี้ทำหน้าที่ติดตามประกบแกนนำตลอดเวลาไม่ให้คลาดสายตา ตั้งแต่ยังไม่ได้มารวมตัวอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์

"ตอนนี้เรารอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาระดับสูงก่อนว่า จะสั่งการให้ดำเนินการอย่างไร เพราะตอนนี้เท่าที่ได้รับรายงานมีผู้ชุมนุมอยู่ราวๆ 20,000 กว่าคน และชุมนุมอยู่รวมกันในจุดเดียว ยุทธศาสตร์นี้เจ้าหน้าที่ค่อนข้างเสียเปรียบหลายด้าน ยังคาบลูกคาบดอกอยู่ ระหว่างนี้ก็มีการประชุมหารือกันทุกวัน รอเพียงคำสั่งอย่างเดียว แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะลงมือเมื่อไร อาจจะเร็วๆ นี้" นายตำรวจคนเดิมกล่าว

ทั้งนี้ หากมีการจับกุมแกนนำทั้ง 24 คนจริง ขั้นตอนหลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะแยกแกนนำคนที่มีหมายจับคดีอาญาออกมาดำเนินคดีตามที่ปรากฏความผิด ส่วนที่เหลือก็จะนำไปควบคุมยังสถานที่หนึ่งที่ใด ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้กำหนด แต่ไม่ใช่ในเรือนจำเป็นเวลา 7 วัน ดำเนินการสอบปากคำ โดยมีเจตนาไม่ให้ก่อความไม่สงบขึ้นอีก

ด้านตำรวจฝ่ายสืบสวนนอกเครื่องแบบคนหนึ่ง ที่ได้รับมอบหมายภารกิจเฝ้าประกบแกนนำเสื้อแดง บอกว่า เขากับตำรวจอีกหลายชุดตามประกบแกนนำมาตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าฯ รู้หมดว่าไปนอนที่โรงแรมไหนบ้าง จนกระทั่งมารวมตัวกันอยู่ที่สี่แยกราชประสงค์ก็ยังตามประกบอยู่

อย่างไรก็ดี สิ่งที่เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน คือ บรรดาแกนนำที่มีหมายจับต่างรวมกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น มีน้อยครั้งมากที่จะปลีกตัวแยกออกไปเป็นกลุ่มเล็กๆ แต่ก็ไม่ถึงกับแยกเดี่ยว เขาตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นเพราะแกนนำรู้ตัวดีว่า ถูกตามประกบและเจ้าหน้าที่พร้อมจับกุมทันทีที่ได้สัญญาณไฟเขียว

"เท่าที่เห็นนอกจากแกนนำแล้ว ยังมีการ์ดเสื้อแดงคอยคุ้มกันอยู่ด้วย ตอนนี้ผมก็รอคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาว่าจะให้ทำอย่างไรเท่านั้น ส่วนแผนปฏิบัติคือตำรวจจะจับกุมแกนนำระดับล่างขึ้นไป เพื่อกดดันแกนนำระดับสูงให้ยุติการชุมนุม" นายตำรวจคนเดิมกล่าว

ส่วนแกนนำที่มีหมายจับทั้ง 24 คน ประกอบด้วย กลุ่มแรก 7 คนที่นำกำลังบุกรัฐสภา ได้แก่ นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อดีตตลก นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ นางศิริวรรณ นิมิตศิลป์ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง นายพายัพ ปั้นเกตุ พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัตน์ และนายวันชนะ เกิดดี

ส่วนแกนนำอีก 17 คนที่ขึ้นเวทีปราศรัย ได้แก่ นพ.เหวง โตจิราการ นางดารุณี กฤตบุญญาลัย นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายนิสิต สินธุไพร นายวีระ มุสิกพงศ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายขวัญชัย สาราคำ หรือไพรพนา นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย นายอดิศร เพียงเกษ นายวรพล พรหมิกบุตร พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ นายสำเริง ประจำเรือ นายวิสา คัญทัพ นางไพจิตร อักษรณรงค์ และ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง

ที่มา.คมชัดลึก
***********************************************

"วีระ"แฉนายกฯชง10เม.ย.คดีพิเศษ บอกยินดีเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย

เมื่อคืนวันที่ 15 เม.ย. นายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวบนเวทีปราศรัย ว่า ทราบมาว่านายกรัฐมนตรี (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ได้สั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ชงคดีผู้ก่อการร้ายในเหตุการณ์ วันที่ 10 เม.ย.ขึ้นเป็นคดีพิเศษ เพื่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้ามาจัดการ โดยพวกตนยินดีที่ได้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายเสียที ทั้งนี้ ขอท้าให้รัฐบาลตั้งข้อหาเพิ่มเติมว่าเป็นกบฎ หรือข้อหาที่มีโทษประหาร 7 ชั่วโคตรก็ได้ แต่อย่าตั้งข้อหาพรากผู้เยาว์ก็แล้วกัน


นายวีระ กล่าวอีกว่า นปช.จะไม่เข้าไปร่วมเป็นกรรมการสอบข้อเท็จจริง เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ย.เพราะรัฐบาลกินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง และทราบว่าก่อนคืนวันดังกล่าว มีการสั่งให้โรงพยาบาลเตรียมเลือดไว้ ให้หมอพยาบาลพร้อม 24 ชม. และยังสั่งให้สำรวจดาดฟ้ากองสลากกับโรงเรียนสตรีวิทยา ถ้าไม่คิดชั่วจะทำอย่างนั้นทำไม นอกจากนี้ ยังรู้มาว่ารัฐบาลได้คัดมือดีจากตำรวจและทหาร 20-30 คน ไว้คอยอุ้มแกนนำ นปช.เวลาเผลอ จึงยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาอีก รัฐบาลจะต้องยุบสภาให้เร็วที่สุด


ที่มา.มติชนออนไลน์
*************************************************

สื่อต่างชาติชี้เสื้อแดงย้ายไปรวมตัวที่ราชประสงค์ ส่งผลทหารจัดการยากขึ้น

ราเชล ฮาร์วีย์ ผู้สื่อข่าวบีบีซีวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่กลุ่มคนเสื้อแดงตัดสินใจเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมทั้งหมดไปรวมตัวกันที่สถานที่ชุมนุมบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์กลางเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เพียงแห่งเดียวว่า เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงหวาดกลัวว่าจะถูกปราบปรามครั้งใหม่ ดังนั้น พวกเขาจึงย้ายมารวมตัวกันที่แยกราชประสงค์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงไม่อาจบุกเข้าสลายการชุมนุมได้โดยง่าย


ฮาร์วีย์รายงานด้วยว่า ขณะนี้ขอบเขตการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงกินพื้นที่ตั้งแต่บริเวณถนนชิดลมไปจนถึงสนามกีฬาแห่งชาติ นอกจากนี้ ผู้ชุมนุมบางส่วนยังหลบอากาศร้อนตอนกลางวันไปอาศัยอยู่ในสวนลุมพินีด้วย


ขณะที่โทนี เบิร์ตลีย์ ผู้สื่อข่าวของอัลจาซีร่า ก็ได้วิเคราะห์เช่นกันว่า ทหารจะไม่สามารถสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ได้โดยง่าย เพราะพื้นที่ดังกล่าวเต็มไปด้วยถนนหลายสายที่สลับซับซ้อน ส่งผลให้มีสถานที่มากมายให้ผู้ชุมนุมได้ใช้หลบซ่อน หรือใช้เป็นด่านกั้นขวางกองกำลังของเจ้าหน้าที่


ที่มา.ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
*************************************************

ความรับผิดชอบ

"ความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย"

วรรคทองประจำตัว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ทำให้รัฐมนตรีหลายคนต้องพ้นจากตำแหน่ง

ไม่ว่าเต็มใจหรือไม่ก็ตาม แต่รัฐมนตรีปลากระป๋องเน่า รัฐมนตรีไทยเข้มแข็ง รัฐมนตรียูวีแฟน ต่างต้องจำลาจากไป

เพราะ

"ความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย"

แต่วันนี้ผ่านมาเกือบ 1 สัปดาห์ เจ้าของวรรคทองยังไม่ได้แสดงความรับผิดชอบใดๆ

ทั้งทางการเมือง และทางกฎหมาย??

ทั้งๆ ที่มีประชาชนบาดเจ็บ ล้มตาย จากการปะทะกับเจ้าหน้าที่ที่มาตามคำสั่งรัฐบาล

ประเด็นมือที่ 3 ผู้ก่อการร้าย กบฏ เปลี่ยน แปลงประเทศไทย ที่ฝ่ายรัฐบาล และกองทัพพยายามเปิดขึ้นมานั้น

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องสืบสวนสอบสวน ต้องติดตามจับกุมดำเนินคดี ตามหน้าที่ไปตามระบบอยู่แล้ว

ไม่ว่านายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือผู้บังคับบัญชา จะเป็นใคร!

เหตุการณ์นองเลือด 10 เมษาฯ ศอฉ.ต้องยอมรับความ "พลาด" แล้ว "ผิด" ของตนเอง

ไม่ว่าด้านยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี ยุทธการ

เพราะมีคนตายถึง 20 กว่าศพ เจ็บอีกกว่า 800

หัวหน้ารัฐบาลต้องรับผิดชอบสูงสุด และทันที!!

ชะตากรรมของผู้นำมือเปื้อนเลือด แล้วกลบเกลื่อน เบี่ยงเบน ดึงดัน ดื้อด้าน เป็นอย่างไร

คนความจำดีอย่างนายอภิสิทธิ์คงรู้?

เช่นเดียวกันในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จะแสดงความรับผิดชอบอย่างไร

เมื่อกกต.มีมติยุบพรรค ฐานกระทำผิดรัฐธรรม นูญ 2 เรื่อง 2 คดี

แม้กระบวนการยังไม่สิ้นสุด แต่ถือว่าพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าและกรรมการบริหารพรรค

ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาเรียบร้อย?

"ความรับผิดชอบทางการเมือง ต้องสูงกว่าความรับผิดชอบทางกฎหมาย"

วรรคทองวรรคนี้ งดงาม สละสลวย เมื่อได้อ่าน ได้ยิน ได้ฟัง

ทว่า หาก "นายของคำพูด" ดีแต่พูด ไม่ยอมทำ

ก็ไม่ต่างลมที่ผายออกมา!?


ที่มา.ข่าวสดรายวัน
คอลัมน์ เหล็กใน
**********************************************

ศอฉ.เรียกตัว60นักการเมือง-การเงินหนุนเสื้อแดง

เตือนพื้นที่ราชประสงค์ ผู้ก่อการร้ายแฝงตัว

เมื่อวันที่ 15 เม.ย. เวลา 20.45 น. ที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมศอฉ.ช่วงค่ำว่า เป็นการประชุมเพื่อประเมินสถานการณ์การชุมนุมที่เปลี่ยนแปลงไปว่า

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และผอ.ศอฉ. มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้เครื่องขยายเสียงและแจกใบปลิวชี้แจงกับผู้ชุมนุมที่สี่แยกราชประสงค์ให้เข้าใจถึงภัยคุกคามจากการที่มีบุคคลเข้ามาแฝงตัวอยู่ โดยขอให้ประชาชนระมัดระวังและออกจากพื้นที่ และยังออกคำสั่งให้บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสนับสนุนทางการเงินให้กับกลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองที่เป็นอดีตรัฐมนตรีรวม 50-60 คน มารายงานตัวต่อ ศอฉ. ที่ ร.11 รอ. เริ่มส่งหมายเรียกให้มารายงานตัวตั้งแต่วันที่ 16 เม.ย. โดยเป็นคำสั่งภายในพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ถ้าผู้รับหมายเรียกดังกล่าวไม่มารายงานตัว จะมีโทษตามพ.ร.ก. ทั้งนี้เป็นการเชิญมาให้ข้อมูลว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมหรือไม่ ไม่ใช่การมากักตัวหรือควบคุมตัว

เมื่อถามว่าต้องเรียกคนในครอบครัวชินวัตร พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย และพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี สมาชิกพรรคเพื่อไทย มารายงานตัวด้วยหรือไม่ นายปณิธาน กล่าวว่า วันที่ 16 เม.ย. รายชื่อจะมีความชัดเจนอีกครั้ง
รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มบุคคลที่ ศอฉ.มีคำสั่งให้มารายงานตัวนั้น อาทิ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ อดีต รมช.พาณิชย์ และพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตผบช.ก. เป็นต้น

ก่อนหน้านี้ช่วงกลางวัน ที่ ร.11 รอ. พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ. สั่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการภาพเตรียมโปรเจกเตอร์ พร้อมคอมพิวเตอร์ เพื่อนำวิดีโอคลิปเหตุการณ์ปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณผ่านฟ้า ถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 พร้อมเปิดแถลงว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 14 เม.ย.ที่ผ่านมา ที่ทางศอฉ.ได้นำภาพจากสถานีโทรทัศน์ และหลายสื่อมาชี้แจงทำความเข้าใจกับสังคมปรากฏว่า สำนักข่าวญี่ปุ่นได้ลงข่าวคลาดเคลื่อนไปจากเดิมทำนองว่า ทหารได้ยิงเล็งตรงใส่หาประชาชน ซึ่งเป็นข่าวสั้นๆ ไม่มีคำอธิบาย ทางศอฉ.จึงต้องนำภาพมาชี้แจง เพื่อทำความเข้าใจอีกครั้ง

สำหรับปฏิบัติการยึดพื้นที่ราชประสงค์นั้น พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ต้องมีความเข้มข้น เฉียบขาดขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ทหารมีชีวิตมีเลือดเนื้อเหมือนกัน ดังนั้นการดำเนินการต้องปกป้องชีวิตเขาได้ ความพยายามเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ พลเรือนทุกนายที่สังกัดใน ศอฉ.หากจะปฏิบัติภารกิจต้องคำนึงความปลอดภัยของประชาชนเป็นหลัก ต้องการบังคับใช้กฎหมาย แต่ก็ต้องปกป้องชีวิตของตนเองได้ด้วย ทั้งนี้ ขอให้ดูขั้นตอนการปฏิบัติ มั่นใจทุกคนเข้าใจอธิบายได้ในทุกขั้นตอน

พ.อ.สรรเสริญ กล่าวด้วยว่า พื้นที่แยกราชประสงค์ขณะนี้ คือพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัย เพราะกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่แฝงตัวอยู่ในพื้นที่การชุมนุมพร้อมเอาอาวุธสงครามมาทำร้ายเจ้าหน้าที่ และไม่เลือกเจ้าหน้าที่ แม้กลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมก็อาจตกเป็นเหยื่อของการกระทำทั้งหลาย ดังนั้นท่านที่อยู่ต่างจังหวัด เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านในช่วงสงกรานต์นั้น อย่าได้กลับมาในพื้นที่แยกราชประสงค์อีก เพราะเป็นพื้นที่ที่อันตรายมาก

"พี่น้องประชาชนที่มีญาติหรือคนรู้จักที่เข้ามาชุมนุมในพื้นที่ขอให้ใช้โทรศัพท์ แจ้งข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เขาออกจากพื้นที่ชุมนุมโดยเร็ว เพราะเป็นพื้นที่อันตรายอย่างที่สุด และชีวิตเขาถูกหยิบยกเป็นเงื่อนไขในการสร้างความรุนแรงตลอดเวลา ซึ่งการแยกกลุ่มผู้ชุมนุมกับกลุ่มก่อการร้ายออกจากกันยอมรับว่า เป็นเรื่องที่ยากลำบากมา ทั้งนี้ทางศอฉ.ได้สื่อสารลงไปยังพี่น้องประชาชนโดยตรงเช่นกัน แต่ไม่อาจเรียนได้ว่า ใช้วิธีอย่างไร เพราะอาจจะถูกสกัดกั้น และถูกห้ามปรามจากกลุ่มแกนนำบางส่วน"


ที่มา.ข่าวสดออนไลน์
*********************************************

จับการ์ดพันธมิตรระยอง พร้อมอาวุธปืน-กระสุนปืน

03:52 น.

กลางดึกที่ผ่านมา พ.ต.ท.หญิง ชุติมา ศิริเมธาวี พนักงานสืบสวนสอบสวน สน.บางซื่อ ได้รับแจ้งจากจุดตรวจร่วมระหว่างทหารและตำรวจบริเวณหน้ากระทรวงการคลัง ถ.พระราม6 พบรถกระบะเชฟโรเรต สีดำ หมายเลขทะเบียน ผข 240 สงขลา ขับผ่านมาด้วยท่าทางมีพิรุธ จึงทำการเรียกตรวจพร้อมนำตัวไปสอบสวนต่อที่สน.บางซื่อ จากตรวจค้นภายในรถคันดังกล่าว พบอาวุธปืน ออโตเมติก 9 มม. จำนวน1 กระบอก อาวุธปืนรีวอลเวอร์.38 จำนวน 1กระบอก กระสุน.38 จำนวน 31ลูก,กระสุน 9มม. จำนวน43 ลูก, กระสุนเบอร์ 12 จำนวน13 ลูก ,กระสุนเบอร์ 20 จำนวน2 ลูก และน้ำมันเบนซิน 1 แกลลอน อาวุธมีดพับ สปาตาร์ 1 เล่ม นอกจากนี้ยังพบบัตรการ์ดพันธมิตรระยอง 6ใบ

สำหรับชายฉกรรจ์ทั้ง 6 คนที่นั่งมาภายในรถคันดังกล่าว ทราบชื่อ 1.นาย ไพล อู๋อ่อน อายุ 50 ปี บ้านเลขที่ 14 ซอย สุนทรภู่5 ต.ทาง อ.แกลง จ.ระยอง 2. นาย นิมิตร เจริญยิ่ง อายุ 28 ปี เจ้าของรถ อยู่บ้านเลขที่ 5/14 หมู่6 ต. ทุ่งขมิ้น อ.พาหม่อน จ.สงขลา 3. นาย อนุชา ควรชอบ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 5 ต.คูตัน อ.กาบเชิง จ. สุรินทร์

4. นาย ธนากฤต มณีวรรณ อายุ 40 ปี พกมีดพับ สปาตาร์ บ้านเลขที่ 205 ซ.จรัญสนิทวงศ์45 ต.กฤชอัมเพหาะ อ.พากกอกซอย จ. กรุงเทพ และ5. นายประเสริฐ ชาวเวียง อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นคนพกพาทั้งอาวุธปืนพร้อมด้วยกระสุน อยู่บ้านเลขที่ 77/15 ซ.อดุลย์ธรรมประภาส ต. เชิงเนิน อ.เมือง จ. ระยอง 6. นาย ธีรพงศ์ องอาจ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 383 หมู่12 ต.ครบุรี อ. คะบรี จ. นครราชสีมา ทั้งหมดถูกนำตัวไปสอบสวนยังห้องสืบสวน บริเวณชั้น 2 ของโรงพัก จากนั้นได้นำตัวลงมาสอบสวนต่อที่บริเวณชั้นล่าง โดยที่ทางตำรวจไม่ได้แจ้งลายละเอียดใดๆกับทางสื่อมวลชนที่รอทำข่าวเป็นจำนวนมาก

เบื้องต้นตำรวจได้แจ้งข้อหาพกอาวุธปืนผิดมือกับนายประเสริฐ พร้อมกับปรับเงินนาย นาย ธนากฤต ในข้อหาพกพาอาวุธมีด โดยที่ตำรวจยังควบคุมตัวทั้งหมดเพื่อทำการสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

"ขวัญชัย"แฉแกนนำนปช.กลัวตำรวจชิวตามหมายจับ

00:56 น.

ที่เวทีราชประสงค์ เมื่อเวลา 23.25 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการชุมนุมของคนเสื้อแดงตั้งแต่หลังเวลา 21.00 น.เป็นต้นมาการชุมนุมยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยประเด็นการปราศรัยของแกนนำและองค์เครือข่ายยังคงมุ่งเน้นในการโจมกรณีที่รัฐบาลใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น

ขณะที่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำชมรมคนรักอุดรฯ ได้ให้สัมภาษณ์หลังเวทีถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมเข้าจับกุมแกนนำนปช.ว่า เดิมทีแกนนำนปช.จะมีการแยกย้ายเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ แต่เมื่อมีกระแสข่าวออกมาว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้าจับกุม ทางแกนนำจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปพักตามโรงแรม แต่จะพักอยู่ในพื้นที่การชุมนุมเท่านั้น แต่หากแกนนำนปช.ถูกจับกุมการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็พร้อมจะมีการยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
*********************************************

"อริสมันต์"เผยวันพรุ่งนี้เตรียมนำเสื้อแดงลุยทีวีทุกช่อง

นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. ขึ้นปราศรัยบนเวทีราชประสงค์ช่วงค่ำที่ผ่านมาว่า พรุ่งนี้ (16) เวลา 11.00 น. คนเสื้อแดงจะเริ่มเคลื่อนขบวนไปที่สถานีทีวีไทยเป็นที่แรก จากนั้นจะดาวกระจายไปทีวีช่องต่างๆ เพื่อให้คนเสื้อแดงไปยื่นหนังสือต่อผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ทุกช่องที่นำเสนอภาพที่เกี่ยวกับกองทัพ ได้จัดสรรเวลาให้คนเสื้อแดงบ้าง ทั้งนี้จะนำเอาคลิปของคนเสื้อแดงที่มีรายละเอียดไปเปิด การดำเนินการครั้งนี้ถือเป็นมติของแกนนำ นปช. โดยการเดินทางไปสถานีโทรทัศน์ครั้งนี้จะขอให้คนที่ออกมารับหนังสือมีคำตอบด้วย

ส่วนที่รัฐบาลกล่าวหามีคนชุดดำอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายนั้น นายอริสมันต์ ระบุว่า เป็นการสะท้อนความอ่อนแอของรัฐบาล หากพิจารณาจริงๆคิดว่ากลุ่มคนเสื้อดำเป็นกลุ่มทหารแตงโม ที่ไม่ชอบวิธีสั่งการของรัฐบาล ส่วนทหารแตงโมจะเป็นใครก็เป็นหน้าที่ของกองทัพที่จะสืบหา เพราะตนเองก็ไม่รู้เช่นกัน แต่เชื่อว่าเป็นการขัดกันของคนในกองทัพ สำหรับการที่คนเสื้อแดงย้ายมาชุมนุมที่ราชประสงค์แห่งเดียว เนื่องจากเป็นชัยภูมิเหมาะสม และพื้นที่ราชประสงค์ก็เป็นพื้นที่เศรษฐกิจ รัฐคงไม่ใช่อำนาจในการสลายผู้ชุมนุม เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก


ที่มา.เนชั่นทันข่าว
***********************************************